WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


ห้องเงียบๆอ่านนิยายกันดีกว่า "ทหารรับจ้างเดนตาย"
phumjai
จาก PhumJai
IP:171.6.106.138

จันทร์ที่ , 17/6/2556
เวลา : 18:33

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       ทหารรับจ้างเดนตาย เรื่องของทหารรับจ้างชาวไทย ในสมรภูมิลาว งานเขียนของสยุมภู ทศพล

ที่มา : THAIAIRSOFTGUN






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  3  4  

คำตอบที่ 1
       เรื่องสั้น ชุดฉากชีวิต

เรื่องของเพื่อน

" เพทาย "

เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบกับผม เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ นั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๑๐๘ คน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกองร้อยสี่หมวด เฉพาะหมวดที่ ๑ กองร้อยที่ ๑ ซึ่งผมอยู่ด้วยกันเกือบสามสิบคนนั้น ต่างก็สนิทสนมกันเป็นอันดี เพราะได้กินนอนเรียนเล่น ร่วมกันมาเป็นเวลา ๖ เดือนเต็ม แต่ที่ใกล้ชิดกันมากจนจำพฤติกรรมของแต่ละคนได้ดี และยังคบหาสมาคมกันต่อมา หลังจากออกรับราชการแล้วอีกหลายปี ก็มีอยู่หลายคน

คนหนึ่งเป็นลูกชาวสวนทางฝั่งธนบุรี พอได้ลาพักกลับบ้าน ในวันเสาร์อาทิตย์ ก็เอาผลไม้ในสวนกลับมาฝากเพื่อน ให้นอนกินกันในมุ้งเวลาเป่าแตรนอนแล้ว มันตื่นเต้นหวาดเสียวดี โดยเฉพาะชมพู่แก้มแหม่ม เวลากัดกินเสียงมันดังก้องในรูหูจนขนลุก กลัวจะได้ยินไปถึงสิบเวร แล้วจะต้องลุกขึ้นมาออกกำลังกันในตอนดึก

ตรงกันข้ามกับอีกคนหนึ่ง ซึ่งมักจะหาเรื่องเถียงกับครูฝึก จนต้องถูกกัก งดลาเสาร์อาทิตย์แทบทุกเดือน เวลาที่อยู่เฝ้ากองร้อย ก็เอามุ้งของเพื่อนลงไปช้อนปลาในคูหน้ากองร้อย เอามาย่างมาปิ้งกินเป็นอาหารว่าง โดยอ้างว่าช่วยซักมุ้งให้เพื่อน

อีกคนเป็นหัวหน้าตอน เพราะเป็นนักกล้าม เดินข้อกางหุบไม่ลง เมื่อออกรับราชการได้บรรจุอยู่ในกรุงเทพ พอเขาจะย้ายไปอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ก็ทำท่าจะขอลาออก เพราะเป็นเด็กกรุงเทพไม่เคยเห็นบ้านนอก ผมก็ต้องปลอบใจว่าให้ลองไปดูก่อน พอไปอยู่เข้าจริง ก็มีช่องทางทำมาหารายได้พิเศษ ด้วยการหาโฆษณา เข้าสถานีวิทยุกระจายเสียงประจำจังหวัด เลยติดใจอยู่มันเสียเกือบยี่สิบปี มีบ้านให้ฝรั่งเช่าหลายหลัง มีฐานะมั่นคงมาก พอนายจะย้ายเข้ากรุงเทพ ก็ไม่ยอมกลับอีกเข้าขั้นหนีราชการ ผมกับเพื่อนอีกคน ก็ต้องไปตามให้ช่วยเซ็นชื่อในใบลาออกให้ที จึงมีเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญกินจนถึงบัดนี้ เพราะสุดท้ายบ้านหลายหลังนั้นก็เปลี่ยนเจ้าของไปสิ้น ไม่รู้ว่าเป็นด้วยเหตุใด

แต่ยังดีกว่าอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่นักกล้ามแต่ก็หล่อล่ำ สูงขาวราวกับ มิตร ชัยบัญชา พอสำเร็จออกรับราชการใหม่เอี่ยม มีคนมาชักจูงไปแสดงหนังไทยในยุคนั้น หนแรก ๆ ก็หลบงานไปถ่าย เป็นตัวประกอบ ต่อมาติดใจเลยลาออกไปเป็นนักแสดงเต็มตัว เพราะนายทุนเขาให้เป็นพระเอก ต้องเข้าฉากตลอดเรื่อง แต่น่าสงสารที่เป็นพระเอกได้เพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียว ก็หายจ้อยไปเลย

อีกคนหนึ่งเป็นคนซื่อ ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ ไม่เคยกลัวใคร ชอบมีเรื่องกับเพื่อน ๆ อยู่เสมอ พอถึงชั่วโมงพละศึกษา ก็ขออนุญาตครูฝึกสวมนวม ต่อยกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้ากันอยู่ ถึงแม้จะตัวใหญ่กว่าก็ไม่กลัว ต่อยเสร็จแล้วหน้าตาแดงปากแดงเลือดกลบ ก็ยังหัวเราะเฉย และไม่อาฆาตจองเวรต่อไป

อีกคนหนึ่ง เป็นนักกีฬาที่ทำชื่อเสียงให้แก่หน่วยอย่างระบือลือลั่น เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว เขาได้เคยเป็นตัวแทนของกองทัพบก เข้าแข่งขันกีฬาสี่เหล่าทัพ ซึ่งรวมถึงตำรวจด้วย ต่อจากนั้นก็เป็นนักกีฬาทีมชาติไปแข่งขันกีฬาแหลมทอง หรือเซียพเกมส์ ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นซีเกมส์ กีฬาเอเชียนเกมส์ และโอลิมปิคเกมส์ตามลำดับ

เขาผู้นี้เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบแล้ว ก็ได้ออกไปรับราชการทางภาคใต้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการวิ่งมาแต่กำเนิด วิ่งได้เร็วโดยไม่ต้องฝึกหัด หรือฝึกซ้อมมาก่อนเลย ในต่างจังหวัดมีการแข่งขันวิ่งเร็ว แบบแข่งขันกันสองคนตัวต่อตัว ใครวิ่งไปชิงธงที่ปลายทางได้ ก็เป็นผู้ชนะ มีทั้งเดิมพันในระหว่างนักวิ่ง และมีการพนันขันต่อกัน ในระหว่างผู้ดูด้วย ไม่ว่าระยะทางที่วิ่งจะใกล้ไกลสักเท่าใด เพื่อนของผมคนนี้ก็คว้าเอารางวัลมาได้ทุกครั้ง ไม่เคยแพ้ใครเลย เมื่อมีคนรู้จักมากขึ้นในจังหวัดนั้น ก็ย้ายไปท้าแข่งที่จังหวัดอื่นต่อไป

ครั้นได้ย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพมหานคร ก็เลยได้เป็นนักกีฬาของหน่วยหลายประเภท แต่ที่ทำชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ ชนะเลิศการแข่งขันวิ่ง ๑๐๐,๒๐๐ และ ๔๐๐ เมตร ของประเทศไทย และเป็นตัวแทนไปแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่ประเทศญี่ปุ่น และกีฬาโอลิมปิค ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เรียกว่าตลอดเวลาที่รับราชการอยู่ เขาไม่เคยทำงานอื่นใดเลย นอกจากเข้าค่ายซ้อมกีฬาทั้งปี และทุกปี

ความเร็วในการวิ่งของเขาสมัยนั้น เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาก แต่ที่ผมได้เห็นด้วยตาตนเอง ที่สนามศุภชลาศัยหรือสนามกีฬาแห่งชาติ เขาจะวิ่งระยะทางเท่าใด ในกีฬาระดับไหนก็ จำไม่ได้ พอออกจากจุดสตาร์ทเขาก็วิ่งนำโด่งไปคนเดียวสามสี่ช่วงตัว เหมือนกับว่าคนอื่นไม่ได้วิ่งอย่างนั้นแหละ เขาเกิดนึกอย่างไรไม่ทราบ จึงเหลียวหน้ากลับมาดูนักวิ่งที่แข่งกับเขา เมื่อเห็นว่ามีผู้วิ่งตามมาแน่แล้วเขาก็เข้าเส้นชัยไปอย่างสบายอารมณ์ ดูเหมือนจะยังไม่ทันเหน็ดเหนื่อยเสียด้วยซ้ำไป

ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้น สังขารก็ร่วงโรยลง มีนักวิ่งหนุ่ม ๆ เกิดขึ้นมาใหม่ สามารถเอาชนะเขาได้ จนตำแหน่งชนะเลิศตกไปเป็นของนักวิ่งสังกัดกองทัพอากาศแล้ว เขาก็เบื่อการกีฬา จึงขอลาออกจากราชการ ไปประกอบอาชีพส่วนตัว ซึ่งก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หลายอาชีพตามความเบื่อง่ายของเขา แต่ส่วนใหญ่นั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการบันเทิงเริงรมย์ทั้งนั้น เพราะนอกจากจะเป็นนักกีฬาแล้ว เขายังเป็นนักรักด้วย

ครั้งหนึ่งผมเคยพบเขา เป็นคนต้อนรับแขก อยู่ที่ภัตตาคารใหญ่โต มีชื่อเสียงโด่งดังแถวสะพานยมราชหรือสี่แยกอุรุพงษ์ เมื่อก่อนที่ยังไม่มีทางด่วนพาดผ่าน ผมบังเอิญได้รับเชิญไปในคณะผู้ปฏิบัติงานออกอากาศ ของทีวีวิกสนามเป้าสมัยขาวดำ จากผู้จัดรายการของทางราชการคณะหนึ่ง เขารีบทักทายผมก่อน พร้อมกับโค้งคำนับอย่างล้อเลียน ผมไต่ถามเขาเพราะจากกันมานาน ก็ได้ความว่าเพิ่งมาอยู่ไม่กี่เดือน จึงถามต่อว่าพนักงานเสริฟหญิงมีทั้งหมดเท่าไร ก็ได้รับคำตอบว่ากว่าสองร้อยคน ผมซักว่ารู้จักอย่างลึกซึ้งแล้ว กี่คน เขาบอกว่าหลายสิบแล้ว

จนกระทั่งเกิดสงคราม ภายในสามประเทศของอินโดจีน เขาจึงได้อาสาสมัครไปเป็นเสือพราน ต้นกำเนิดของทหารพรานในปัจจุบัน ได้ออกไปปฏิบัติงานนอกประเทศอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทุ่งไหหินในประเทศลาวจะแตก ด้วยฝีมือคอมมิวนิสต์

เขาจึงมีประสบการณ์ในการสงคราม มากพอที่จะเอามาเขียนหนังสือขาย ได้เงินมากมาย และมีชื่อเสียงโด่งดัง ยิ่งกว่าการเป็นนักกีฬาหลายเท่าตัว ในยุคสมัยของเขานั้น เรื่องบู๊ปนเซ็กส์กำลังฮิตติดตลาดมาก มีผู้เขียนหลายนามปากกา แข่งขันกันเต็มที่ เขาเขียนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว และมากมายจนตัวเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เขาเคยเขียนเรื่องยาวลงในหนังสือพิมพ์หัวเขียวรายวัน แล้วต่อมาไปผิดเส้นอะไรก็ไม่ทราบ เลยย้ายมาลงในหัวชมพูคู่แข่งเป็นรายวันเหมือนกัน

ผมไปเจอเขาเข้าอีก ในงานวันนักเขียนที่ ๕ พฤษภาคม ปีหนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นที่สมาคม นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน หน้าวชิรพยาบาล เขายังจำผมได้ดี แต่ผมจำเขาไม่ค่อยได้ เพราะผมบนศรีษะของเขา หายไปมากกว่าครึ่ง

เขาโด่งดังอยู่ในวงวรรณกรรมหลายปี แต่แล้วก็เงียบหายไปจากวารสารต่าง ๆ ที่เคยลงพิมพ์ รวมทั้งที่เป็นเล่มขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คส์ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใด ผมพยายามติดตามข่าวคราวของเขา ก็ได้ยินว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ลอยชายอยู่ระหว่าง กรุงเทพกับนครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา แม้แต่น้องชายหญิงของเขาที่ทำงานอยู่หน่วยเดียวกับผม ก็ไม่เคยได้เจอหน้าเขาเลย

จนกระทั่งได้ทราบจาก เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบ ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ด้วยโรคเส้นโลหิตอุดตัน และผมได้ไปพบกับร่างอันไร้วิญญาณของเขา เป็นครั้งสุดท้าย ที่วัดแห่งหนึ่งในย่านห้วยขวาง ซึ่งเป็นงานฌาปนกิจศพที่เงียบเหงา ไม่สมกับความมีชื่อเสียงอันโด่งดังอย่างสูงสุด ทั้งในด้านการกีฬา และการประพันธ์ มาแล้วในอดีตเลย

ชื่อและนามสกุลจริงของเขาที่เขียนไว้บนกรอบรูปถ่ายหน้าเมรุนั้นคือ จ.ส.อ.ประจิม วงษ์สุวรรณ น่าเสียดายที่ไม่มีหน่วยใด บันทึกเกียรติประวัติในการแข่งขันกรีฑาของเขาไว้เลย ใน ปัจจุบันจึงหาคนที่จะจำชื่อของเขาได้อยู่เพียงไม่กี่คน

แต่เพื่อนของผมคนนี้ เมื่อเป็นนักเขียน ใช้นามปากกา

สยุมภู ทศพล

ซึ่งคงจะมีผู้อ่านหลายท่าน จำได้อย่างแน่นอน.

##########

จาก นิตยสารโล่เงิน
ธันวาคม ๒๕๔๓



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 18:35  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19222

คำตอบที่ 2
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่1

?พรึ้ม...?
เสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด ?T-28? คำรามขึ้นมาพร้อมๆกัน สรรพสำเนียงที่อึกทึกครึกโครมกลบเสียงเครื่องยนต์ชนิดอื่นๆที่เซ็งแซ่อยู่รอบๆข้างอย่างสิ้นเชิง มันจอดเร่งเครื่องอยู่ชั่วครู่ก็แท็กซี่ช้าๆในลักษณะแถวตอนเรียงสอง มุ่งหน้าไปยังหัวสนามบิน กลับลำ จอดอุ่นเครื่องอยู่ชั่วขณะแล้วเร่งเครื่องยนต์เต็มที่อีกครั้ง... ปลดเบรกอากาศทะยานปร้าดไปตามพื้นรันเวย์ที่ยาวเหยียดพร้อมๆกันทั้ง 4 เครื่อง มองเห็นอุปกรณ์การรบจำพวกจรวดและลูกระเบิดที่ติดตั้งอยู่ใต้ปีกอิรุงตุงนัง

ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรันเวย์ เจ้า ?วิหคสายฟ้า? ทูตฤตยู 4 เครื่องก็เชิดหัวขึ้นท้องฟ้า แล้วบินเกาะหมู่ข้ามเนิน ?สกายไลน์-วัน? มุ่งหน้าไปยังสนามบินซำทองซึ่งขณะนี้ตกอยู่ในความยึดครองของทหารเวียดนามเหนือผสมลาวแดงโดยสิ้นเชิง

เช้าวันนั้นอากาสแจ่มใสเป็นพิเศษ ?ชอปเปอร์? (เฮลิคอปเตอร์) จากสนามบินอุดรมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ คนงานแผนก ?A-D-S? ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นสู่แนวรบ ทยอยออกปฏิบัติงานในบริเวณสนามบินล่องแจ้ง แน่นไปหมด ทำให้บริเวน ?เม็นแล้ม? คับแคบไปถนัดตา

เครื่องบินลำเลียงสีเทาสลับขาว บางเครื่องก็พรางลำตัวด้วยสีเขียวลายพร้อย ติดยี่ห้อ ?แอร์-อเมริกา? บินวนเวียนอยู่เหนือทิวเขาเสียดฟ้า รอจังหวะสนามบินว่างเพื่อขออนุญาตหอบังคับการบินลงพื้นในลำดับต่อไป

ไอ้หมู หรือเครื่องบิน C-123 ซึ่งเป็นเครื่องบินลำเลียงขนาดยักษ์ โผล่พรวดมาจากร่องสันเขาบริเวณรอยต่อของเนินสกายไลน์ มันกางฐานลดเพดานบิน จนกระทั่งลูกล้อแตะพื้นรันเวย์ พร้อมกับ ?เบรกอากาศ? เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ต่อจากนั้นก็ลดความเร็วลง แท็กซี่ช้าๆ เข้ามาจอด ณ บริเวน ?เม็นแล้ม? เลี้ยวซ้ายถอยหลังเอาประตูด้านท้ายซึ่งเปิดออกช้าๆ ด้วยระบบไฮโดรลิค จนกระทั่งเปิดออกเรียบสนิทเป็นแผ่นเดียวกับพื้นห้องโดยสาร

กลุ่มทารรับจ้างซึ่งอยู่ในชุดเสือพรานทะลักออกมาจากช่องประตูพร้อมด้วยอาวุธประจำกาย และเครื่องสนามครบครัน ต่อจากนั้นก็นั่งรวมกลุ่มกัน ณ บริเวณลานจอดนั่นเอง

?C-123? เครื่องที่สอง และที่สามทยอยกันแท็กซี่เข้ามาจอด ทำให้กลุ่มทหารรับจ้างเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ใช่แล้วครับ กองพันทหารรับจ้างจากประเทศไทยได้รับการขนย้ายเข้ามายันการรุกไล่ของกองทหารเวียตนามเหนือที่กำลังประชิดเมืองล่องแจ้งเข้ามาทุกขณะ ใบหน้าของนักรบเหล่านั้นบางคนก็ยิ้มหัว กระเซ้าเย้าแหย่กันด้วยความคึกคะนอง บางคนก็ซึมกระทือนั่งมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย

ผมนั่งอยู่บนรถจี้ปกับนักบินลาดตระเวนที่เพิ่งได้รับคำสั่งจาก ?นอร์แมน? ผู้เชี่ยวชาญของ ?ซี.ไอ.เอ? ให้ร่วมบินลาดตระเวนสนามบินซำทอง เพื่อหาข้อมูลและสภาพที่ตั้งฐานปฏิบัติการของข้าศึกประกอบเพื่อ พิจารณายุทธวิธีทิ้งระเบิดโจมตีในโอกาสต่อไป
ชอปเปอร์แบบ ?เบลส์? สองเครื่องตีวงกว้างบินลิ่วมาทางท้ายสนามบิน พอถึงบริเวณ ?เม็นแล้ม? ก็แตะพื้นอย่างนิ่มนวล
รถจี๊ปกลางมีเครื่องหมายกากะบาทสีแดงแล่นเข้าไปจอดเทียบในทันทีทันใด
ทหารเสือพรานที่แตกทัพจากทุ่งไหหินและซำทองที่ได้รับบาดเจ็บ แขนขาด...ขาขาด กระรุ่งกระริ่ง เลือดไหลเปรอะทั่วตัวถูกหามลงมาจากห้องโดยสาร ท่ามกลางการรุมล้อมของเหล่าทหารรับจ้าง ที่เพิ่งเดินทางมาถึงสมรภูมิลาวในเช้าวันนั้น
ทหารรับจ้างบางคนที่รอดจากสมรภูมินรกก็มีสภาพไม่ผิดอะไรจากซากศพ เนื้อตัวโดนทากกัดแดงเถือกไปหมด เสื้อผ้าขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี พูดจาแทบไม่เป็นภาษาคน บางคนก็ไชโยโห่ร้องกระโดดโลดเต้นตะโกนหาเพื่อนฝูงที่มาคอยรับด้วยความยินดี
คราวนี้เหมือนกับรายการสัมภาษณ์ดาราไม่ผิดเลยครับ...กลุ่มทหารรับจ้างน้องใหม่ต่างก็พากันเข้าไปซักไซ้ไล่เลียงเรื่องราวกับผู้ที่รอดตายด้วยท่าทางที่สนใจแกมตื่นเต้น
?พี่ครับ รบหนักไหมครับ พวกเราสูญเสียมากไหมครับ?
เสียงถามกันให้แซ่ดไปหมด ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
?ผมไม่อยากพูดหรอกครับ อยากให้พวกคุณไปเห็นด้วยตาเอง พวกมันขึ้นมาไล่ฆ่าพวกเราถึง ?คูเหลด? เลยทีเดียว กองร้อยผมมีทหาร 134 คน รอดกลับมาเพียง 19 คนเท่านั้นเอง?
ทหารรับจ้างที่มีบาดแผลบนใบหน้าเอ่ยตอบขึ้นมาพร้อมกับเอื้อมมือรับบุหรี่จากพวกน้องๆ ที่ส่งให้ ขึ้นไปอัดเข้าปอดสองสามครั้งด้วยความกระหาย แล้วก้าวเท้าพาตัวเองขึ้นไปบนรถพยาบาลอย่างรวดเร็ว
สารวัตรทหารรีบไล่กลุ่มทหารรับจ้างที่ยืนรุมล้อมกีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่สนามบินที่กำลังสาละวนขนหีบห่อ,กระสุน และเสบียง ?เรชั่น? อยู่อย่างชุลมุนวุ่นวาย ทำให้กลุ่มทหารนั้นแตกฮือกลับมารวมกลุ่มกับพรรคพวกที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ
สายตาของผมมิได้ฝาดไปหรอกครับ ทหารรับจ้างบางคนที่เคยหัวเราะเฮฮา ต่างก็พากันเงียบกริบเป็นปลิดทิ้ง ทอดสายตามองเปลสนามที่มีขวดเลือดห้อยอยู่บนเสาเล้กๆ มองเห็นสายเลือดไหลจากขวดลงสู่แขนของพวกบาดเจ็บด้วยท่าทางตกใจแกมขวัญเสีย...
?ไอ้ปากหมา? หรือเครื่องบินเครื่องยนต์เดียวสองที่นั่งแบบ ?L-19? แท็กซี่ช้าๆ จากโรงเก็บมายังบริเวณ ?เม็นแล้ม? แล้วจอดเร่งเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหว ปล่อยควันออกทางท่อไอเสียเป็นทางยาว...
?สไปร้ท? นักบินมือดีของ แอร์-อเมริกา หันมาตบบ่าพร้อมกับสัพยอกด้วยความคุ้นเคย
?บิ๊กแมน...ไปโว้ยเพื่อน โก ทู เฮล?
ผมชักเดือดปุดๆ อยู่ในใจที่สไปร้ทมันเสือกชวนผมไปลงนรกเอาดื้อๆ ก็เลยหันไปสดุดีมันด้วยคำพูดที่เคยปากว่า
?บุลเชี้ยส...ขอให้ไอ้แกวล่อหำมึงให้หลุดจากพวงก็แล้วกัน...ไอ้ห่า...เสือกแช่งอยู่ได้?
ผมล่อภาษาลาวปนฝรั่งท่ามกลางเสียงหัวเราะก๊ากใหญ่ของพลขับชาวแม้วที่นั่งเป็นหน้าลิงอยู่ข้างๆ
สไปร๊ท ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับผมมือผมกระโดดจาก หิ้วอุปกรณ์การบินอิรุงตุงนังมุ่งหน้าไปยัง ?ไอ้ปากหมา? ซึ่งขณะนี้ช่างเครื่องได้ปีนลงมายืนข้างๆ พร้อมกับชูหัวแม่โป้งให้กับสไปร๊ทเหมือนกับจะส่งสัญญาณให้ทราบว่า ขณะนี้ได้เช็คเครื่องพร้อมที่จะออกทำการบินได้แล้ว
ผมและสไปร๊ทขึ้นไปนั่งบนห้องโดยสารที่คับแคบของ ?ไอ้ปากหมา? อย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นสไปร๊ทก็แท็กซี่เครื่องช้าๆ ไปตามรันเวย์จนกระทั่งถึงท้ายสนามบินก็เลี้ยวเครื่องกลับ จอดนิ่งเช็คระบบคันบังคับอยู่ชั่วครู่ ก็เร่งเครื่องเต็มที่พาเจ้าปากหมาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าลัดเลาะมุ่งทิศทางการบินไปยัง ?ซำทอง? ทันที
ถึงแม้ผมจะนั่งอยู่เบื้องหลังสไปร้ทก็ตาม ระบบการสื่อสารที่ติดอยู่กับหมวกนักบิน ทำให้เราทั้งสองพูดคุยกันได้อย่างสบาย
?เฮ่...บิ๊กแมน... อั๊วขอถามลื้อซักหน่อยเถอะวะ ทำไมลื้อถึงกล้ามานั่ง ?ไอ้ปากหมา? เครื่องนี้กับอั๊วด้วย ลื้อกรู้นี่หว่า ?ไอ้ปากหมา? เครื่องนี้ถ้าจะเปรียบมันก็เป็น ?เครื่องล่อเป้า? ให้ข้าศึกยิงดีๆนี่เอง อั๊วสงสัยจริงๆว่ะ?
?คำสั่งและโอเวอร์ไทม์สิโว้ยพรรคพวก นอร์แมนต้องการเห็นสภาพอันแท้จริงของสนามบินซำทองและที่ตั้งปืนของข้าศึก ไอ้อั๊วมันก็ชำนาญภูมิประเทสแถบนี้แทบจะหลับตามองเห็นซะด้วย...มันก็เลยยัดเยียดตำแหน่ง ?ล่อเป้า? อันนี้ให้อั๊วพร้อมเบี้ยเลี้ยงพิเศษชั่วโมงละ 100 ดอลล่าร์ อั๊วก็เลยต้องมากับลื้อนี่แหละ เข้าใจ๋?
ผมตะโกนกรอกแก้วหูเจ้าสไปร๊ทผ่านทางเครื่อง ?อินเตอร์คอม? จนมองเห็นมันทำคอย่น หันมาแยกเขี้ยวให้ผมพร้อมกับตะโกนผ่านวิทยุด้วยเสียงพอๆกัน
?ค่อยๆพูดก็ได้โว้ย หูจะแตกตายห่า?
ต่อจากนั้น สไปร๊ทก็ดึงเครื่องเลี้ยวซ้ายโฉบฐานบังคับการของกองพันทหารรับจ้างที่ 616 ซึ่งตั้งฐานอยู่บนยอดที่สูงที่สุดของ ?ภูหมอก? มองเห็นทหารรับจ้างสาละวนเสริมที่มั่นอย่างชุลมุนวุ่นวาย
?เม้าส์แทร็ป เม้าส์แทรป จากสไปร๊ท?
สไปร๊ทใช้วิทยุจากไอ้ปากหมา ส่งสัญญาณเรียกขานลงไปยัง F.A.G. (แฟ็ก) ประจำกองพัน 616 ซึ่งทำหน้าที่เป็น ?ล่าม? อยู่ ณ ฐานปฏิบัติการเบื้องล่าง
?สไปร๊ทจากเม้าส์แทรป ผมได้ยินเสียงของคุณแล้วและมองเห็นคุณด้วย ระวังหน่อยนะครับ เมื่อสองชั่วโมงผมเห็นมันออกมาผึ่งลมบริเวณรันเวย์สนามบิน ขอให้โชคดี?
เสียง ?แฟ็ก? ประจำกองพันทหารรับจ้างที่ 616 สวนตอบขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
?ขอบคุณมาก เม้าส์แทร็ป?
สไปร๊ทตะโกนตอบลงไป พร้อมกับดึงไอ้ปากหมาไต่ขึ้นระยะสูงเพื่อหลีกเลี่ยง ป.ต.อ. ขนาด 12.7 ม.ม. อันทรงอานุภาพของทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งเคยสอยไอ้ปากหมาตัวอื่นๆปีกหักลงมาคลุกฝุ่นหลายต่อหลายลำมาแล้ว...
?ลื้อแน่จริงบินให้ต่ำกว่านี้สิว่ะ หรือบินมันลงไปจอดชมวิวที่รันเวย์กันซัก 10 นาทีเป็นยังไง?
ผมตะโกนแหย่เจ้าสไปร๊ทไปอีก
?จ้างอั๊วชั่วโมงละ 1,000 ดอลล่าร์ก็เห็นจะไม่รับประทาน ขนาดบินสูงๆขนาดนี้มันก็ยังยิงเฉียดไปเฉียดมาตั้งหลายครั้ง ว่าแต่ลื้อเถอะได้ โอเวอร์ไทม์พิเศษตั้งชั่วโมงละ 100 ดอลล่าร์ เครื่องบินอั๊วบินได้เกือบ 7 ชั่วโมง ลื้อมีรายได้ตั้ง 700 ดอลล่าร์ อั๊วจะแกล้งบินถ่วงให้ลื้อจนหมดน้ำมัน แล้วลื้อแบ่งให้อั๊ว 200 ดอลล่าร์ โอเคมั้ย พรรคพวก?
นั่นแน่... ลวดลายไอ้กะล่อนสไปร๊ททำไมผมจะไม่รู้กำพืดของมัน ผมรู้แม้กระทั่งจำนวนเงินเดือนและเงินชั่วโมงบินของมันแต่ละครั้งว่ามากมายกว่าผมอย่างเทียบกันไม่ได้ นี่มันวางแผนหลอกเล่นเงินดอลล่าร์ของผมเข้าแล้วนี่หว่า นึกเจ้บใจขึ้นมาก้เลยสวนคำพูดด่ามันออกไปทันควัน
?สไปร๊ทเพื่อนรัก เงินเดือนของลื้อ 2,000 ดอลล่าร์ต่อเดือน ชั่วโมงบินของลื้อชั่วโมงละ 50 ดอลล่าร์ แต่ขอโทษที ลื้อมีรายได้กับชั่วโมงบินของลื้อเองไม่เว้นแต่ละวัน แล้วนี่มันเรื่องอะไรที่ลื้อจะมาไถเอาเงินที่อั๊วนานปีทีหน จะมีโอกาสฟลุคแบบนี้ ขอทีเถอะวะ ถ้าคิดจะรักกับอั๊ว ขอกันกินก็ได้นี่หว่า?
ไอ้ยอดกะล่อนสไปร๊ทหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ๆแล้วพึมพำออกมาเบาๆ
?ลื้อนี่ช่างเสือกรู้เเยะจัง...อั๊วพูดเล่นน่า...เฮ้ย ระวังโน่นเห็นมั้ย ที่บริเวณหอบังคับการบินโน่น...วิ่งลงหลุมกันให้เพ่นพ่านไปหมด?
เขาชะโงกหน้าไปดู...ใช่ครับทหารเวียดนามเหนือกลุ่มเบ้อเร่อกำลังขนหีบกระสุนวิ่งหลบเครื่องบินตรวจการณ์กันเป็นจ้าละหวั่น แล้วอีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังขุดสนามเพลาะอยู่ข้างๆสนามบินทางด้านทิศเหนือ ก็พากันเผ่นเข้าไปซุกซ่อนอยู่ภายในป่าทึบที่อยู่ข้างๆทางมองเห็นอย่างถนัดชัดเจน
?สไปร๊ทบินไปเรื่อยๆก็แล้วกัน อย่าบินวกกลับมาอีกเป็นอันขาด บางทีมันอาจจะคิดว่าเรามองไม่เห็นพวกมันก็อาจจะเป็นไปได้ แล้วอย่าเสือกบินผ่านถ้ำใหญ่ที่อยู่ข้างๆสนามบินนั่นเป็นอันขาด บนยอดของมันเป็นที่ตั้ง ป.ต.อ. 12.7 ดีไม่ดีประเดี๋ยวอั๊วกับลื้อก็ต้องกระโดดร่มกันบ้างล่ะ?
?โอเค บิ๊กแมน อั๊วจะบินผ่านไปทางเนิน ?ทันเดอร์? ซึ่งเป็นทิวเขาที่อยู่ทางหัวสนามบินอีกครั้ง อั๊วอยากรู้ว่า ไอ้ปืนใหญ่ 155 ม.ม. ของฝ่ายเรา ที่ทิ้งเอาใว้ก่อนจะถอนตัว จะอยู่หรือเปล่า หรือว่าพวกเราทำลายได้ทันก่อนถอนตัว สังเกตให้ดีนะโว้ย บางทีฟลุคๆเจอะขบวนรถถังจะได้มีงานทำกันเสียที...คืนนี้?



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 18:36  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19223

คำตอบที่ 3
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่2
สไปร้ทพา ?ไอ้ปากหมา? บินขึ้นสูงลิบ ด้วยกล้องขยายแรงสูงแบบพิเศษ เราสามารถตรวจตราภูมิประเทศเบื้องล่างได้อย่างถนัดชัดเจน
บริเวณที่เนินเขา ?ทันเดอร์? ที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 634 เคยตั้งฐานปฏิบัติการอยู่นั้น ถูกทหารราบของเวียดนามเหนือสองกองร้อยเข้าโจมตีพร้อมด้วยการสนับสนุนด้วยอาวุธหนักจากปืนครกแบบ 82 ม.ม. ทำให้ทหารปืนใหญ่ซึ่งมีทหารราบคุ้มกันอยู่เพียงกองร้อยเดียวต้องถอนตัวกระทันหันแทบไม่มีเวลาที่จะทำลายปืนใหญ่แบบ 155 ม.ม. ทั้งสองกระบอกนั้นได้ จำเป็นต้องทิ้งอาวุธอันทรงอานุภาพเอาใว้ให้กับข้าศึกอย่างช่วยเหลือไม่ได้
หลังจากทหารปืนใหญ่ดังกล่าวโดนโจมตีจากทหารเวียดนามเหนือที่หนุนเนื่องเข้ามาทุกทิศทุกทางจนต้องเตลิดหนีจากการไล่ล่าสังหารของข้าศึกอย่างชนิดตัวใครตัวมัน
การบังคับบัญชาไม่ต้องพูดถึงกันละ ในหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าพอที่จะออกคำสั่งพวกทหารรับจ้างเหล่านี้หรอกครับ แม้แต่ตัวผู้บังคับบัญชาเองก็ยังต้องวิ่งหนีความตายไปอย่างชนิดตัวใครตัวมัน
ตามปกติแล้วทหารรับจ้างทุกคนที่ถอนตัวจากฐานบังคับการ จะต้องมุ่งหน้ากลับไปยังกองบังคับการส่วนหลังซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองล่องแจ้ง ทั้งนี้เพื่อรายงานตัวเพื่อสรุปผลยอดเสียหายของกองพันทหารรับจ้าง กองพันดังกล่าวนั้นด้วย
ของมันรู้ๆกันอยู่แล้ว ขืนดันทรังกลับไป หน่วยเหนือก็จะรวบรวมกำลังพลส่งขึ้นปะทะกับข้าศึกอีก รอดตายกลับมาหยกๆ ไม่มีใครยอมหรอกครับ ทหารรับจ้างบางคนพร้อมด้วยอาวุธครบมือ พากันบุกป่าข้ามแม่น้ำงึมหวังจะไปให้ถึงชายแม่น้ำโขงให้จงใด้ ความคิดของพวกทหารเหล่านี้ก็คือหวังจะเล็ดลอดข้ามแม่น้ำโขงหนีกลับประเทศไทยนั่นเอง
แน่นอนเหลือเกิน สภาพของทหารรับจ้างที่หลบหนีดังกล่าว จะต้องตกอยู่ในภาวะ ?หนีทัพต่อหน้าอริราชศัตรู? มีความผิดต้องขึ้นศาลอาญาศึก ความผิดที่ปรากฏอยู่ในตัวบท ?กฏหมายสงคราม? ก็ตกอยู่ใน 3 ถึง 5 ปี
การพิจารณาของอาญาศึกก็ง่ายเหลือเกิน มีคณะกรรมการสอบสวนเพียงสามคน ตัดสินเสร็จก็ควบคุมตัวพาขึ้นเครื่องบินข้ามแม้น้ำโขง ไปยังเรือนจำทหารจังหวัดอุดรทันที
?โอ้โฮ้ แน่นไปหมดเลย ไอ้แกวขึ้นมายึดฐานของพวกเราจนหมดแล้ว ลื้อลองดูสิ บิ๊กแมน ไอ้พวกห่า นี่มันไม่กลัวเราเลย แทนที่มันจะซ่อนพราง หนอย กลับยืนแหงนหน้ามองดูเครื่องบินเราเสียฉิบ?
สไปร๊ทโวยวายออกลั่นวิทยุ และก็จริงๆอย่างที่มันพูดไม่มีผิด ทหารเวียดนามเหนือกลุ่มเบ้อเร่อยืนเอ้อระเหยทำทองไม่รู้ร้อนคล้ายๆกับจะไม่ยี่หระอะไรทำนองนั้น สไปร้ทเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมาก็เลยกดคันลดเพดานบินมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ตั้งปืนใหญ่บนยอดเนินทันเดอร์อย่างรวดเร็ว
สไปร้ทบ้าเลือดขนาดอย่างชนิดที่ผมมองเห็นแล้วอดขนหัวลุกไม่ได้ มันโฉบลงเกือบชนหอบังคับการยิงของปืนใหญ่เลยทีเดียว
เสียงกระสุนปืนอาร์ก้าดังแว่วๆอยู่เบื้องล่าง สไปร้ทบังคับไอ้ปากหมา พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแหกปากตะโกนออกมาอย่างบ้าดีเดือดอีกครั้ง
?มีลูกระเบิดกับปืนกลอากาศให้อั๊วหน่อยไม่ได้ อั๊วจะไล่ขับยิงพวกมันให้ช่ำมือไปเลย?
ผมพูดอะไรไม่ออกหรอกครับ ตกใจในความบ้าบิ่นของสไปร้ทจนแทบหัวใจหยุดเต้นเอาดื้อๆ นึกด่าพ่อล่อแม่เจ้าสไปร๊ทอยู่ในใจ
อย่างไรก็ดี ความบ้าดีเดือดของสไปร๊ทก็สามารถทำให้ผมตรวจการณ์เห็นที่ซ่อนพรางปืน ?ปรส.75? ของพวกมันได้อย่างฟลุ๊คที่สุด
?สไปร๊ทจากเม้าแทร็ป...สไปร๊ทจากเม้าแทร็ป?
เสียงแฟ้กจากกองพัน 616 ซึ่งคงจะสังเกตุการบินอย่างบ้าระห่ำของสไปร๊ทอยู่ตลอดเวลา สั่งวิทยุเรียกสไปร๊ทอยู่ตลอดเวลา สั่งวิทยุเรียกสไปร๊ทเสียงหลง
?จากสไปร๊ท มีอะไรว่ามา?
?ทหารของผมตรวจการณ์พบรถตีนตะขาบวิ่งเข้าไปในถ้ำข้างสนามบินโน่น... คุณลองโฉบไปดูอีกทีซีครับ?
เม้าแทร็ปส่งข่าวอย่างกระหืดกระหอบ
เนื่องจากที่ตั้งของกองพัน 616 เป็นภูเขาสูงจึงสามารถตรวจการณ์ ?สนามบินซำทอง? ได้อย่างถนัดชัดเจน พวกเวียดนามเหนือคงจะวางแผนหลอกให้ ?ไอ้ปากหมา? บินโฉบไปดูกลุ่มทหารที่แกล้งเดินเพ่นพ่านอยู่บนเนินทันเดอร์ แล้วถือโอกาสที่ไอ้ปากหมามองไม่เห็น เคลื่อนย้ายรถหุ้มเกราะเข้าไปซ่อนอยู่ภายในถ้ำหิน ขนาดใหญ่ข้างสนามบินทันที
สไปร๊ทโฉบบินดิ่งพุ่งเข้าหาถ้ำหินกึ่งกลางสนามบินซำทองอย่างบ้าดีเดือด ผมนึกทอดอาลัยตายอยากในชีวิตเสียแล้ว มาทำงานกับคนเลือดร้อนที่บ้าๆบอๆทำอะไรชอบเอาแต่อารมณ์ โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะบังเกิดขึ้นกับตัวเอง
ไหนๆ ผมก็ตกบันไดพลอยโจน เพราะอำนาจดอลลาร์ของไอ้กันเข้าไปแล้ว... เป็นอะไรก็เป็นกันวะ ผมนึกอยู่ในใจ
ไม่ผิดหวังหรอกครับ ผมและสไปร้ทเก็บเกี่ยวสถานที่ตั้งของข้าศึกได้มากพอดู เสียงกระสุนปืน ปตอ. ที่เกรียวกราวสวนทางเครื่องบินขึ้นมาเตือนสติสไปร๊ทเป็นอย่างดีว่า ถ้าขืนดันทุรังบินต่ำๆมีหวังเกมส์อย่างแน่นอน
สไปร๊ทเลยดึงเครื่องเงยขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางกระสุนแหวกอากาศที่สาดเป็นห่าฝนอยู่รอบๆเครื่องบินอย่างน่าเสียวไส้ผมจะเป็นลมเอาเสียให้ได้ นั่งซึมกระทือจนกระทั่งเครื่องบินร่อนลงมาสู่พื้นดินอย่างเรียบร้อย แม้ว่าสไปร๊ทจะลงจากเครื่องบินไปแล้วก็ตาม ผมก็ยังนั่งงงเป็นไก่ตาแตก พูดจาไม่ออกอยู่เป็นเวลาตั้งนาน กระทั่งสไปร้ทตะโกนเรียก ผมจึงรู้สึกตัว ค่อยๆปีนลงมาจากเครื่อง เดินกระย่องกระแย่งไปยังรถจิ๊ปเล็กที่สไปร๊ทกำลังชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้พลขับไปส่งที่กองบัญชาการเพื่อแจ้งผลปฏิบัติงานที่ผ่านมาต่อไป
ผมหย่อนกายบนเบาะรถจิ๊ป ยกนาฬิกาขึ้นดู เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง 30 นาทีพอดิบพอดี
หัวสมองรีบคำนวณออกมาเป็นเงินบาทอย่างปัจจุบันทันด่วน 13000 บาท คือโอเวอร์ไทม์ที่ผมได้รับเป็นพิเศษในเช้าวันนั้น
บอกจากหัวใจจริงครับผม ถ้าจะถามผมในขณะที่เจ้าสไปร้ท กำลังบ้าดีเดือดขับเครื่องบินสวนทางปืนเข้าไป ณ บริเวณปากถ้ำกลางสนามบินซำทอง จะเอาเงินหรือว่ากลับล่องแจ้ง ผมขอตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า
?อาตมาขอกลับล่องแจ้งแต่ประการเดียวเท่านั้น?
เออ ชีวิตหนอชีวิต ไอ้คนเราที่ยอมเสี่ยงตายอยู่ทุกๆวันนี้ก็เพราะอำนาจดอลล่าร์ของซี.ไอ.เอ. ที่ล่อใจอยู่เท่านั้น
อนิจจา เมื่อหวลมาคิดดูอีกที ชีวิตของผมมันมีค่าเพียง 650 ดอลล่าร์เท่านั้นเองหรือนี่
แผนที่แสดงลักษณะภูมิประเทศอาณาบริเวณเนิน ?สกายไลน์วัน? ?สกายไลน์ทู? ?บ้านน้ำชา? ?เนินทันเดอร์? และ ?สนามบินซำทอง? ถูกวางทาบตรึงอยู่บนกระดานำที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องยุทธการขนาดกระทัดรัดที่พรางตัวเองอยู่เบื้องหลังแนวกระสอบทรายที่หนาถึงสิบชั้น
นายทหารรับจ้างชั้น ผบ.พัน และฝ่ายยุทธการจากกองพันทหารรับจ้างกองพันต่างๆ ถูกเรียกตัวลงมาจากฐานปฏิบัติการเพื่อร่วมประชุมวางแผนป้องกันเมืองล่องแจ้งอันเป็นปราการสุดท้ายของกองบัญชาการกองพันทหารรับจ้างที่องค์การสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา(ซี.ไอ.เอ.)หนุนหลังอยู่อย่างลับๆ
วิทยุติดต่อชนิด ?แฮนดี้-ท็อกกี้? แบบ ?เอ็ชที-2? หลายความถี่ ที่สามารถรับฟังการเคลื่อนไหวและการสั่งงานของทหารรับจ้างกองพันต่างๆ หลายต่อหลายเครื่องวางเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะยาวด้านข้างของห้องยุทธการ เสียงเรียกขาน เสียงรายงานความผิดสังเกตที่ตรวจตราพบหน่วยซุ่มโจมตีดังกังวาน ลั่นห้องยุทธการ
มันเป็นเวลา 18.30 น. ไฟฟ้าที่เคยสว่างไสวถูกคำสั่งของหน่วยเหนือ งดจ่ายกระแสไฟฟ้าโดยฉับพลัน ทำให้ตลาดล่องแจ้งและบริเวณเส้นทางสนามบินมืดทะมึนอย่างน่ากลัว
จากการบินลาดตระเวณของไอ้ปากหมาเมื่อเช้า ข้อมูลที่ผมและสไปร๊ทได้มาทำให้ บก.ล่องแจ้งต้องเปิดการประชุมอย่างเร่งด่วนภายในเย็นวันนั้นเอง นายทหารชั้น ผบ.พันถูกเรียกตัวลงมาจากแนวโดย ?ชอปเปอร์? พิเศษที่บินตระเวณรับผู้ร่วมประชุมในทันที โดย ?ดาวขาว? ชื่อรหัสของนายพลวังเปาเป็นผู้ออกคำสั่ง
?เทพ? นายทหารเสนาธิการรับจ้างจากประเทศไทย พ.อ. วิทูรย์ ยะสวัสดิ์ (ยศในขณะนั้น) ยืนเด่นอยู่หน้าแผนที่ มือขวาถือไม้เรียวเล็กๆ ชี้ไปที่จุดพิกัดบนตารางแผนที่พร้อมกับอธิบายแผนรุกและรับ ของกองพันทหารรับจ้างกองพันต่างๆที่ขนย้ายกำลังพลมาตั้งฐานปฏิบัติการป้องกันรอบนอกของเมืองล่องแจ้งทั้งหมด
?ขอให้ทุกคนพึงทราบว่า ขณะนี้ข้าศึกล้อมเราอยู่ถึงสามด้านคือ ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก ทางถอนตัวของเราอยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งมีเส้นทางไปยังสนามบิน ?นาซู? ด้วยทางรถยนต์ อย่างไรก็ดี ฝ่ายเราจะยกกำลังทั้งหมดยึดรักษาเมืองล่องแจ้งจนวินาทีสุดท้าย จากลักษณะภูมิประเทศเนินเขาที่ล้อมรอบล่องแจ้ง ขณะนี้มีกองพันของพวกท่านตั้งฐานอยู่แล้ว ถ้าข้าศึกขึ้นยึดเนินเขาดังกล่าวได้เมื่อไหร่ ล่องแจ้งก็จะต้องถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักทันที ผมขอย้ำอีกครั้ง กรุณาวางแผนสกัดกั้นข้าศึกให้รัดกุมที่สุด ขณะนี้กำลังส่วนใหญ่ของพวกมันกำลังชุมนุมพลกัน ณ บริเวณสนามบินซำทอง พวกมันกำลังรอจังหวะที่จะเข้าโจมตีเราในวินาทีใด วินาทีหนึ่ง เส้นทางที่ลัดเลาะไหล่เขาจาก ?สนามบินซำทอง? มายังล่องแจ้งขอให้หมั่นตรวจตราด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ?M-19? (กับดักรถถัง) ผมได้สั่งจากอุดรแล้ว อย่างช้าพรุ่งนี้เช้า วัตถุระเบิดเหล่านี้ก็คงจะเดินทางมาถึง อ้อ... ?กองสิงห์? กำลังพลของคุณที่จะยึดรักษาช่องทางบริเวณทางแยกจากซำทองมายังล่องแจ้งมีจำนวนเท่าไร?
?เทพ? หันไปถาม ผบ.พันร่างยักษ์ของกองพัน 616 ซึ่งยืนฟังวิทยุจากกองพันของตนอย่างเอาใจใส่ตรงมุมห้อง
?ร้อยสี่สิบคน...ครับผม...เป็นกองร้อยที่สามยึดรักษาตั้งแต่ ?ชาร์ลี-เอ็คโค่? ไปจนกระทั่งถึง ?ชาร์ลี-บราโว่? ส่วนกองร้อยที่สองเพิ่งถอนจาก ?ชาร์ลี-กอล์ฟ? ไปป้องกัน ?โฮเต็ล-โฮเต็ล? บริเวณเส้นทางหลังบ้านเจ้ามหาชีวิตตามคำสั่ง บก.ล่องแจ้งเมื่อเช้านี้เองครับ และขณะนี้ จุดซุ่มโจมตีกลางคืนกำลังรายงานการเคลือนไหวของข้าศึกอยู่พอดี?
กองสิงห์เอ่ยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมกับปรับปุ่ม ?วอลลุ่ม? เพิ่มความดังของสัญญาณวิทยุขึ้นอีกจนกระทั่งลั่นห้องยุทธการ
?ศรแดงจากศรรัก...เปลี่ยน?
?ศรแดงจากศรรัก...เปลี่ยน?
เสียง ผบ.หมวดกองร้อยที่สอง ส่งสัยญาณเรียกขาน บก.พัน 616 ซึ่งใช้ชื่อศรแดงอย่างระล่ำละลัก
กองสิงห์เอื้อมมือหยิบวิทยุขึ้นมา ใช้มือขวากดสวิทช์เรียกผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปทันที
?ศรรักจากกองสิงห์ มีอะไรว่ามาเลย?
?ผมตรวจการณ์ พบแสงไฟเป็นจำนวนมากครับ แสงมันขึ้นๆลงๆ คล้ายกับเป็นแสงไฟของรถยนต์ที่กำลังวิ่งเป็นขบวนอยู่บนไหล่เขา?
บรรยากาศของห้องยุทธการเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
□□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 19:02  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19224

คำตอบที่ 4
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 3
?เทพ? ปราดเข้ามายืนข้างๆวิทยุพร้อมกับออกคำสั่งขึ้นมาทันควัน
?บอกลูกน้องของคุณ พยายามตรวจการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ให้นับจำนวนรถยนต์โดยอาศัยแสงไฟ ประเดี๋ยวผมจะติดต่อกับ ทชล. (ทหารชาติลาว) ดูว่ามีรถของฝ่ายเรากลับมาจากนาซูหรือเปล่า?
ต่อจากนั้น บก.ล่องแจ้งก็สอบถามไปยังฐานต่างๆ ที่ ทชล. ตั้งกองบัญชาการอยู่ กลับปรากฏว่า ไม่มีรถยนต์ของฝ่ายเราออกปฏิบัติงานในเวลาดังกล่าวเลย
?โอ้โห นี่มันเล่นขนกันมาเป็นขบวนเลยรึนี่ กองสิงห์ลองถามให้แน่นอนอีกครั้งซิ?
?เทพ? ซึ่งเดินออกมาจากห้องวิทยุเอ่ยขึ้นมาอีก
?กองสิงห์-ศรรัก แสงไฟเริ่มสว่างขึ้นทุกทีแล้วครับ มันขึ้นๆลงๆ คล้ายกับรถยนต์ที่วิ่งจากที่สูงลงที่ต่ำสลับกันนั่นแหละครับ หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า โอ้โห ผมนับไม่หวาดไม่ไหวแล้วครับ ผมกะว่า มันขนกันมาไม่น้อยกว่า 30-40 คันเลยทีเดียว?
เสียง ผบ.หมวด ซึ่งเป็นอดีตทหารม้า ส่งข่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
?กองสิงห์ จากศรรัก แสงไฟหายไปจากไหล่เขา จนผมตรวจการณ์ไม่เห็นแล้วครับ?
?โอเค...ให้ลื้อสังเกตอยู่ตลอดเวลาก็แล้วกัน มีอะไรเรียกมาได้ทันที เพราะทางนี้ ?แสตนด์บาย? อยู่ตลอดเวลา?
ยังไม่มีใครออกความเห็นอะไรออกมา ก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวติดต่อกันเป็นระยะๆ บนยอดเนิน ?สกายไลน์ทู?
ทุกคนเผ่นพรวดออกมาจากห้องยุทธการ จับกลุ่มกันมองฝ่าความมืดขึ้นไปบนยอดสูงสุดของเนิน สกายไลน์ ซึ่งทมึนเสียดฟ้าอยู่เบื้องหน้า
อา... ส่วนบนสุดของยอดเนินสกายไลน์ ปรากฏแสงไฟแดงฉานจับท้องฟ้า พร้อมๆกับมีเสียงระเบิดดังกึกก้องไม่ขาดระยะ
?ฉิบหาย มันเล่นงานฐานของผมเข้าให้แล้ว?
?สมุน? ผบ.พัน กองพันทหารรับจ้างที่ 618 อุทานขึ้นมาพร้อมกับวิ่งเข้าไปในห้องยุทธการ คว้าเอาวิทยุ HT-2 ขึ้นมาดึงเสาอากาศให้กางเต็มที่ กรอกคำถามชนิดไม่ต้องหายใจ ด้วยความเป็นห่วงผู้ใต้บังคับบัญชา ที่กำลังตกอยู่ในสถานะการณ์ที่เลวร้าย
?จงอาง จากสมุน...มีอะไรตอบด่วน?
?ลูกยาวของพวกมันครับ สงสัยจะเป็น ค. 82 ผมตรวจการณ์เห็นมันยิงขึ้นมาจากหุบข้างล่าง ผมกำลังจะเอา ค. 82 จวกมันลงไปเดี๋ยวนี้ครับ?
?ไอ้น้องแก้ว ระวังตัวหน่อยโว้ย มีชอร์ปเปอร์อั๊วจะขึ้นไปหาลื้อเดี๋ยวนี้เลย... มันจนใจว่า มันมืดเสียแล้ว ชอร์ปเปอร์กลับอุดรหมด ไม่เหลือซักเครื่องเดียว?
สมุนปลุกปลอบให้กำลังใจลูกน้องขึ้นไปอีก
?ไม่เป็นไรครับ ผู้พัน สบายมาก ขนาดนี้กำลังหอมปากหอมคอ ถ้ามีอะไรที่รุนแรงกว่านี้ผมจะรายงานมาอีกครับ?
?โอเค ขอให้โชคดี อย่าลืมตามแผนนะโว้ย?
?สมุน? ผบ.พันมือดี อดจะเตือนสติลูกน้องให้ทำตามแผนที่วางกันเอาไว้อย่างเรียบร้อยแล้วอีกครั้งหนึ่งด้วยความเป็นห่วง
การประชุมก็เลยต้องวางแผนยุทธการกันต่อไป ท่ามกลางเสียงระเบิดตูมๆ ของอาวุธหนักนานาชนิดที่พวกมันประเคนเข้าใส่ฐานปฏิบัติการของทหารรับจ้างกองพัน 618 อย่างชนิดต่อเนื่อง
ผมนั่งบันทึกการประชุมอยู่ตรงมุมห้องอดเสียวใจมิได้ แหงนหน้าสำรวจดูเพดานของห้องยุทธการพลางนึกอยู่ในใจ
ไอ้หลังคาปูด้วยแผ่นเหล็ก แล้ววางซ้อนทับด้วยกระสอบทรายแบบนี้ ถ้าเกิดจับพลัดจับผลูลูกกระสุนมันข้ามจากยอดเนินสกายไลน์ แล้วหล่นโครมลงถึงกลางห้องยุทธการ อะไรมันจะเกิดขึ้นหนอ ความแข็งแรงของมัน จะทนทานต่ออำนาจระเบิดของลูกปืนครกข้าศึกได้หรือไม่ ผมแอบชำเลืองดู เห็นแต่ละคนที่ร่วมประชุมมีท่าทางปกติ ผมก็เลยแกล้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน นั่งพิมพ์ดีดต่อไปด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามแทบจะระเบิดออกมานอกทรวงอก
?ดาวขาว? (นายพลวังเปา) เสนอขอใช้ B-52 ถล่มสนามบินซำทองเพื่อตัดกำลังอันเกรียงไกรของพวกเวียดนามเหนือ ที่ประชุมไม่กล้าคัดค้าน เพราะสนามบินซำทองเป็นฐานทัพอากาศที่สำคัญในอดีตของท่านนายพลวังเปา และขณะนี้อยู่ในความรับผิดชอบของนายพลวังปาแต่ผู้เดียว
?ถึงแม้จะสูญเสียอย่างมหาศาล ข้อยก็จำเป็นต้องทำ ทำเพื่อความอยู่รอดของล่องแจ้ง ถ้าล่องแจ้งแตก ข้อยจะไปอยู่ไหน ข้อยจะไม่ถอยอีกแล้ว ถ้าจะตายข้อยก็ขอตายอยู่ ณ ผืนแผ่นดินแห่งนี้ ข้อยตัดสินใจแล้วครับที่จะทำลายสนามบินซำทอง?
?ดาวขาว? เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับร่างคำสั่งขอ B-52 จากสหรัฐอเมริกาทันที
ตามปกติ ผู้ที่จะอนุมัติให้ B-52 เคลื่อนย้ายและทิ้งระเบิดได้ก้มีเพียงประธานาธิบดีเท่านั้น
ผมเพิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ และความสำคัญของ ?ดาวขาว? เดี๋ยวนี้เอง ชั่วเวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงด้วยระบบการติดต่อสื่อสารบนสถานีลอยฟ้า ซี.ไอ.เอ. ก็ได้รับคำสั่งจากทำเนียบขาวให้ใช้ B-52 โจมตีสนามบินซำทองทันที โดยระบุท้ายข่าวด้วยว่า B-52 สามเครื่อง จะโจมตีทิ้งระเบิดในเวลา 12.05 น. ของวันรุ่งขึ้น
การโจมตีด้วยอาวุธหนักของพวกเวียดนามเหนือที่กระทำต่อฐานบังคับการของ BC.618 ได้ผลพอดูทีเดียว มีทหารรับจ้างถูกอำนาจระเบิดบาดเจ็บล้มตายหลายคน ซึ่งกว่าจะเอาคนเจ็บลงมาจากแนวได้ก็ต้องเป็นเวลาตอนเช้า ทำให้คนตายต้องเพิ่มขึ้นอีกอย่างช่วยเหลืออะไรไม่ได้
ผมต้องติดตามกองสิงห์ ผบ.พัน 616 ขึ้นไปบนเนินสกายไลน์วันอีกครั้ง เพื่อตรวจการณ์ผลการทิ้งระเบิดด้วยป้อมบินยักษ์ B-52 ในเที่ยงของวันต่อมา
ด้วยความสูง ที่สูงจากพื้นดินถึง 1599 เมตร ผมสามารถใช้กล้องสนามแรงสูงตรวจการณ์เห็นความเคลือ่นไหวของข้าศึกที่เดินเพ่นพ่านอยู่ในขอบรันเวย์สนามบินซำทองได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่มียอดเนิน ?ทันเดอร์? ที่ทอดตัวทมึนกีดขวางอยู่แล้ว ผมสามารถที่จะมองเห็นภูมิประเทศของซำทองได้ทุกแง่ทุกมุมเลยทีเดียว
คำสั่งจาก บก.ล่องแจ้ง ให้ทหารทุกคนออกจากบังเกอร์ที่มีหลังคา หลบเข้าไปอยู่ในร่องสนามเพลาะให้หมด เนื่องจากไม่แน่ใจว่าอำนาจระเบิดที่รุนแรงของ B-52 อาจทำให้บังเกอร์ของทหารรับจ้างพังทลายลงได้
บรรยากาศของกองพันทหารรับจ้าง เท่าที่ผมเห็นแทบทุกคนมีความตื่นเต้นที่รู้ว่าเจ้านกเหล็ก B-52 จะบินมาทำงาน ใครที่สามารถซุกซ่อนกล้องถ่ายรูปจากสายตาของสารวัตรทหารเอาใว้ได้ ก็ตระเตรียมตรวจตราหวังจะเก็บภาพเอาใว้เป็นที่ระลึก
ยังไม่ทัน 11.30 น. ดี ทหารทุกคนก็หลบไปอยู่ในร่องสนามเพลาะจนหมดสิ้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสภาพภูมิประเทศที่กำลังจะถูกทิ้งระเบิดหลายพันตันทำให้ผมชักชวน F.A.G. ประจำกองพันออกไปนั่งตรวจการณ์นอกบริเวณลวดหนาม ที่มองเห็นสนามบินซำทองทันที
ตรงเวลาเผลงเลยครับ พอเที่ยงตรงผมก็ได้ยินเสียงหึ่งๆบนท้องฟ้า ด้วยอำนาจของกล้องสนามแรงสูง ทำให้ผมมองเห็นเจ้า B-52 อย่างชัดเจน ลำตัวที่ยาวผิดปกติสีขาววับ ปีกลู่ไปด้านหลังเกือบ 45 องศา
มีเครื่องบินขับไล่ไอพ่น F-105 คุ้มกันอีก 3 เครื่อง บินเกาะหมู่ข้ามฐานบังคับการของ BC-616 มุ่งทิศทางไปยังซำทอง ด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 800 ไมล์ต่อชั่วโมง
ทหารรับจ้างกล้าตายบางคน ไม่ยอมลงหลุมหรอกครับ พวกเขาลุกขึ้นมานั่งยองๆ บนแนวกระสอบทรายกันเป็นจ้าละหวั่น ส่งเสียงเฮฮากันด้วยความตื่นเต้นที่จะเห็นข้าศึกโดยทำลายต่อหน้าต่อตา
B-52 พร้อมขบวนคุ้มกัน บินผ่านสนามบินซำทองไปทางด้านทิศเหนือชั่วครู่ ก็บินย้อนกลับมาด้วยเพดานที่สูงลิบแบบเดิม
ผมใช้กล้องสนามจับที่ลำตัวของมันอยู่ตลอดเวลา พระเจ้าช่วย ผมมองเห็นแผ่นท้องของ B-52 เลื่อนออกช้าๆ พร้อมกับลูกระเบิดถูกเทลงมาติดๆกันจนแทบนับไม่หวาดไม่ไหว มองเห็นเป็นสายดำมืดไปหมด
?ทิ้งลงมาแล้วโว้ย โอ้โฮ ยังกะขี้ลงท้องแน่ะโว้ย? ทหารรับจ้างบางคนที่มีกล้องสนามเอะอะขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นสุดขีด
ในนาทีต่อมา ผมแลเห็นควันสีขาวลุกพรึบขึ้นมาบริเวณท้ายสนามบิน เจ้ากลุ่มควันดังกล่าววิ่งปร้าดเหมือนกับขบวนสินค้าที่ยาวเหยียดมองสุดลูกหูลูกตา
ยังไม่มีเสียงระเบิดติดตามมาหรอกครับ พอกลุ่มควันวิ่งจากท้ายสนามบินมาถึงกึ่งกลางสนามบิน เสียงระเบิดที่ดังสนั่น จนผมบรรยายไม่ถูกก็คำรามขึ้นสนั่นท้องฟ้า กลุ่มควันสีเทาอมดำพุ่งขึ้นมาแทรกซ้อนพร้อมกับกระเซ็นออกไปรอบๆบริเวณ
มันสะเทือนอย่าบอกใครเลยครับ ขนาดเนินสกายไลน์วันอยู่ห่างจากซำทองถึง 8-9 ก.ม. (ระยะทางตรง) ผมก็ยังได้รับความกระทบกระเทือนจากอำนาจระเบิดอันรุนแรงของมันจนหูอื้อไปหมดทั้งสองข้าง
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ดังติดต่อกันเป็นระยะเกือบ 30 นาที ควันไฟคละคลุ้งไปหมดจนผมตรวจการณ์ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
B-52 อีกสองตัว ที่บินวนเวียนคุมเชิงอยู่สูงลิบอยู่เหนือก้อนเมฆ ก็ปราดเข้ามาทำหน้าที่ต่อ จนกระทั่งจบภาระกิจ บินลับหายไปจากสายตา
ทั่วอาญาบริเวณสนามบินซำทอง ถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันมหึมาที่รวมตัวกันแผ่ขยายออกไปเหมือนกับดอกเห็ดยักษ์ เสียงระเบิดยังดังไม่ขาดระยะ บางครั้งก็มีเสียงระเบิดแทรกซ้อนขึ้นมา เนื่องจากอำนาจวัตถุระเบิดของข้าศึกโดนความร้อนจากการเผาผลาญของไฟบรรลัยกัลป์
เกือบชั่วโมง ผมถึงมองเห็นสภาพอันแหลกลาญของสนามบินซำทอง รันเวย์สนามบินเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดใหญ่ มองดูไกลๆเหมือนเตาขนมครก
หอบังคับการบินหายไปจากที่เดิมเหมือนกับโดนมือยักษ์จับกระชาก โรงพยาบาลที่ฝรั่งเศษเคยสร้างเอาใว้ให้ สมัยยึดครองประเทศลาว หายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็กำลังถูกไฟเผาผลาญอย่างไม่มีชิ้นดี
ผมคาดคะเนไม่ถูกหรอกครับ สำหรับการสูญเสียของข้าศึก เล่นทิ้งปูพรมแบบนี้ ถ้ารอดตายก็เห็นจะเลี้ยงไม่โตกันละ ผมคิดว่าไอ้ส่วนที่รอดก็คงจะเป็นพวกที่อาศัยหลบอยู่ในปราการธรรมชาติ ที่เป็นถ้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีอยุ่มากมายทั่วๆไป ในอาณาบริเวณของสนามบินซำทองนั่นเอง
เสียงแหลมเล็กของ ?ไอ้ปากหมา? บินผ่านศรีษะของผมไปทางด้านสนามบินซำทอง
ไม่ใช่ใครหรอกครับ ไอ้สไปร้ทเพื่อนรักผู้บ้าดีเดือดของผมนั่นเอง ผมขอยืมวิทยุจาก ?เม้าแทร็ป? หมุนสวิทช์ไปที่ ?แอร์ ทู กราวนด์? เรียกไปหาสไปร้ททันที
?สไปร้ทจากบิ๊กแมน ตรวจการณ์ให้ดีๆนะโว้ย อั๊วมองเห็นลื้อแล้ว ขณะนี้อั๊วอยู่บน ชาร์ลี-ชาร์ลี?
?บิ๊กแมน ลื้อเสือกอะไรกับเขาด้วยนะ เมื่อคืนอั๊วนอนอยู่อุดร รู้ข่าวสกายไลน์โดน ลูกยาว นึกว่าลื้อม่องซะแล้ว?
สไปร๊ทอดที่จะปากหมากับผมอีกไม่ได้เช่นเคย
?ขอให้ลื้อโดนยิงร่วงสักทีเถอะวะ เจอกันทีไรลื้อชอบแช่งชักหักกระดูกอั๊วอยู่เรื่อย?
ผมด่ามันออกไปด้วยความคุ้นเคย สไปร๊ทหัวเราะก๊ากใหญ่ พร้อมตะโกนก้องวิทยุ
?อเมริกันไม่ถือโว้ย ยิ่งแช่งชักหักกระดูกลื้อยิ่งจะอายุยืนขึ้นอีก คืนนี้เสร็จงาน ไปวังเวียงกับอั๊วมั้ย?
ผมชักหูผึ่งขึ้นมาทันที คำว่า ?วังเวียง? ทำให้ขนผมลุกซ่าไปทั่วสรรพางค์กาย โธ่...ท่านผู้อ่านครับ...ชีวิตทหารรับจ้างเดนตายอย่างพวกผม ไอ้ของพรรค์ยังงี้มันของโปรดเสียด้วยสิครับ ยังไม่ทันไร หัวใจของผมมันก็เผ่นไปถึง ?บัวคำ? สาวน้อยแห่งบ้านวังศรีแก้วเข้าให้แล้ว รีบตอบอย่างไม่ต้องคิด
?ลื้อขออนุญาตให้อั๊วซีวะ ไปตอนค่ำกลับตอนเช้า ไอ้นอร์แมนคงไม่ว่าอะไรหรอก?
?โธ่ ไอ้บิ๊กแมนยอดเซ่อ ลื้อก็รู้อยู่เต็มอกว่าไอ้นอร์แมนมันบ้ายอและบาผู้หยิงขาดใหน ลื้อก็ชวนมันไปค้างก็สิ้นเรื่อง อย่าลืม 18.00 น. พบกันที่ ?เม็นแล้ม? อั๊วจะขอชอปเปอรืเที่ยวสุดท้ายสำรองเอาไว้ให้ ขอตัวทำงานก่อนนะโว้ย?
ต่อจากนั้นสไปร๊ทก็ไม่ยอมติดต่อกับผมอีกเลย มันฉวัดเฉวียนโฉบไปโฉบมาอย่างน่าเสียวไส้ ท่ามกลางความเป็นห่วงของผมซึ่งนั่งภาวนา ขอให้มันปลอดภัยจากอำนาจของ ปตอ. ฝ่ายข้าศึกที่อาจจะหลงเหลืออยู่อีก
บอกด้วยหัวใจจริงครับผม ไอ้ที่เป็นห่วงก็คือกลัวมันจะม่องเท่งเสียก่อนที่จะพาผมไปมั่วราตรีที่ ?วังเวียง? ต่างหากละครับ ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้นกับสไปร๊ท ตามที่ผมคาดคิด ก่อนบินกลับล่องแจ้ง ไอ้สไปร๊ทบินหงายท้องอวดทหารรับจ้างกองพัน 616 ที่เฮฮาด้วยความชอบอกชอบใจในความบ้าๆบอๆของมนุษย์บ้าดีเดีอดคนนี้
ผมกลับลงมาจาก ชาร์ลี-ชาร์ลี เมื่อตอน 15.30 น. ใช้ความกะล่อนซักพักเดียว ?นอร์แมน? เจ้านายของผมก็ใจอ่อน อนุมัติให้ฟรีเดย์ 1 คืน ส่วนนอร์แมนขอตัว อ้างว่าจะไปสอนภาษาอังกฤษให้ลูกสาวแม่ค้าในตลาดเมืองล่องแจ้ง
ไม่ทราบว่า เจ้านอร์แมนสอนภาษาอังกฟษท่าไหน ถึงมีรอยลิปสติกติดเสื้อเปรอะมาทุกคืน ส่วนพวกเดนตายเงินเดือนน้อยหยั่งพวกผม สาวๆคนไหนจะแล คืนนี้น่า...มันคงจะเป็นคืนของพวกผมบ้าง แล้วแม่สาวบัวคำจะได้รู้ว่า ทหารไทยหยั่งผมก้มีฝีมือเหมือนกัน...
□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 19:22  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19225

คำตอบที่ 5
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 4
ผมอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งเดือน ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของบรรดาเพื่อนฝูงที่เคยเห็นผมเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับน้ำฝนเมืองลาวมาก่อน ล่องแจ้งใช่ว่าจะขาดแคลนน้ำนะครับ ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาสูง น้ำฝนที่ไหลบ่าลงมาจากร่องน้ำ บนภูเขาทั้งสี่ด้านทำให้ปริมาณน้ำที่ใช้ในเมืองล่องแจ้ง มีอย่างเหลือเฟือ
แต่ไอ้ความหนาว ที่หนาวอย่างเจ็บปวดกระดุกนี่ซีครับ มันเป็นอุปสรรคในการอาบน้ำอย่างมากทีเดียว ปรอทที่กองบัญชาการไม่เคยพ้นเลขสามขึ้นไปสักวัน
ที่พักของผมปลูกเป็นโรงสีขาวซีดๆสองชั้น ชั้นล่างเป็นคลังอุปกรณ์ทุกชนิด ที่จำเป็นสำหรับทหารรับจ้าง ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า ผ้าห่ม เครื่องแบบ รวมไปจนกระทั่งมีดพกแบบโบวี่ และผ้ากันฝนแบบ ?ปันโจ?
สิ่งของเหล่านี้ จะมีโควต้าแจกให้กองพันทหารรับจ้างกองพันต่างๆปีละสองครั้ง แต่ก็กรณีฐานบัญชาการแตกก็สามารถที่จะจำหน่ายสิ่งของเหล่านั้นให้หายได้ และแน่นอนเหลือเกิน เมื่อสูยหายก้ต้องเบิกทดแทนกันวันยังค่ำ
อันนี้แหละครับ ที่เป็นช่องโหว่ให้เกิดคอร์รัปชั่นกันอย่างหน้าด้านที่สุด ผมปากหมาให้ฟังเสียเลย
ตามปกติกองพันทหารรับจ้าง จะมีกำลังพลประมาน 400-500 คน แบ่งออกเป็น หนึ่งหมวด บก.พัน หนึ่งหมวดอาวุธหนัก และอีกสามกองร้อย แทบทุกคนได้รับอาวุธ M-16 เป็นอาวุธประจำกาย นอกจากอาวุธหนักเหล่านั้น ก็จะได้รับแจกปืนพก .45 แทน
กองพันทหารรับจ้างกองพันหนึ่งๆ ฝรั่งมีโควต้าปืนพก .45 ให้ถึง 20 กระบอก และปืนพกเหล่านี้ ฝรั่งมันจ่ายให้ตั้งแต่อยู่ในประเทศไทย ตอนที่ฝึกอยู่ค่ายกาญจนบุรีทีเดียว
ตัว ผบ.พันเองจะเป็นผู้พิจารณาว่า จะจ่ายปืนพกเหล่านี้ให้กับใครบ้าง
พอบางคนได้รับแจกปืนพกเรียบร้อยแล้ว ไม่เอาข้ามฝั่งลาวหรอกครับ เก็บซ่อนไว้อย่างเงียบเชียบ ณ บ้านพักนั่นเอง
คราวนี้ พอข้ามมาฝั่งลาว ก็รอจังหวะและโอกาส ตอนข้าสึกมันเข้าตีฐานปฏิบัติการฝ่ายเรา และเกิดบังเอิญมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงๆ พอเหตุการณ์สงบ กองพันทหารรับจ้างก็รายงานการสูญเสียอาวุธเลยทีเดียว ตอนนี้ท่านผู้อ่าน จะพอเดาออกไหมครับว่า กองพันทหารรับจ้างเหล่านั้นจะจำหน่ายอาวุธอะไรก่อน
ก็ปืนพก .45 สิครับ ห้อยอยู่ที่ซองหนังอย่างดี แถมติดกับเข็มขัดสนามอย่างแน่นหนา ทำไมถึงแจ้งหายทั้งหมดกองพันมิทราบ แต่นี่ก็เป็นทางหากิน ที่ฝรั่งมันเปิดช่องว่างเอาไว้ ทั้งๆที่พวกมันรู้ทั้งรู้ แต่ก็พูดไม่ออกครับ
แต่กองพันทหารรับจ้างส่วนหลังนี่สิครับ หน้าด้านเหลือทน ตามปกติกองพันทหารรับจ้างเมื่อไปถึงเมืองล่องแจ้ง ก่อนขึ้นสู่แนวรบ จะต้องแบ่งกำลังออกหนึ่งส่วน ทิ้งเอาไว้ ณ เมืองล่องแจ้ง เรียกว่า บก.ส่วนหลัง
พวกส่วนหลังเหล่านี้จะมีหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุงทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร กระสุนหรือแม้แต่กระทั่งจดหมายหรือพัสดุภัณท์ที่ส่งมาจากเมืองไทย จริงอยู่ถึงแม้งานจะหนัก แต่การเสี่ยงตายมีน้อยกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ทหารรับจ้างแทบทุกคนอยากจะอยู่ส่วนหลังกันทั้งนั้น
คราวนี้พอ บก.ส่วนหน้ารายงานการสูญเสียของปืนพกมายังส่วนหลัง พวก บก.ส่วนหลังก็จัดแจงเพิ่มยอดการสูญเสียของปืนพกเพิ่มเข้าไปด้วย ต่อจากนั้นก็นำเสนอ บก.ล่องแจ้ง เพื่อขอเบิกปืนพกมาทดแทนต่อไป
หน้าด้านไหมล่ะครับ อยู่ส่วนหลังแท้ๆ ปืนพกเกิดหายไปพร้อมกับพวกบนแนวเสียนี่ อย่างว่านั่นแหละครับ ?เสือพรานเขาไม่ว่ากันหรอก? ทีใครทีมัน เงินพ่อเงินแม่ของเราเมื่อไหร่ มันของไอ้กันทั้งนั้น เรื่องทั้งเรื่อง ปืนพก .45 ก้เลยระบาดที่อุดร ในราคากระบอกละ 1,000 บาทเท่านั้น
ตามปกติ ฝอ.4 ซึ่งมยศทางทหารเพียงนายร้อยโทคือผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการบังคับบัญชากอง บก.ส่วนหลัง มีสิทธิ์ที่จะดึงทหารรับจ้างคนใดคนหนึ่ง ลงมาทำงานที่ส่วนหลังได้ หรือแม้กระทั่งหน่วงเหนี่ยวพวกเจ็บป่วยที่ถูกเส้นเอาไว้นานๆก็ยังได้
แล้วอย่างนี้ ทหารรับจ้างที่จะ ?อู้รบ? ก็ต้องยอมซูฮกอย่างช่วยไม่ได้ ใครมีส้นดี, เส้นแข็ง เจอะเจ้านายเก่าๆ ที่มีอำนาจวาสนาในกองบัญชาการล่องแจ้งก็เลยทำหนังสือขอตัวขาดจากกองพันทหารรับจ้างไปเลยก็มี
ฝอ.4 บางคนก็โลภมาก เห็นทหารรับจ้างบ้านนอกที่แขวน ?พระ? ดีๆ มีราคาสูงๆก็ขอเอาดื้อๆ พร้อมกับตั้งสิ่งแลกเปลี่ยนเอาใว้ว่า จะช่วยเหลือให้ทำงานอยู่ บก.ส่วนหลัง
ไอ้ความกลัวนี่แหละครับ ก็จำยอมถอดพระที่เคารพบูชาให้เขาไปอย่างจำใจ
ผมร่วมรบสงครามในประเทศลาวมาหลายปี จากทหารรับจ้างธรรมดา จนกระทั่งกลายมาเป็นล่าม เคยคลุกคลีกับพวกนี้มาอย่างใกล้ชิด เคยเห็นความทุกข์ยากในขณะที่กองพันขาดอาหาร หรือการเคลื่อนย้ายกองพันเข้าตีข้าสึกท่ามกลางพายุฝน ด้วยเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวที่แห้งแล้วแห้งอีก ทหารรับจ้างบางคนทนไม่ไหวหรอกครับ บางครั้งเดินวันหนึ่งๆเกือบ 20 กม. ไหนจะต้องปีนภูเขาที่สูงชัน ไหนจะต้องลงหุบเขาที่อุดมไปด้วยตัวทากที่ดูดเลือดได้อย่างเจ็บแสบที่สุด
ไอ้ความยากลำบากเหล่านี้เอง ทำให้ทหารรับจ้างทุกคนพาลหาเหตุลงมา ?อู้รบ? ยังบก.ส่วนหลังเป็นอาจิณ
สาเหตุที่จะลงมาได้อย่างแน่นอนที่สุดก็คือ อ้างว่าเจ็บโน่นเจ็บนี่ แหกตาหมอประจำกองร้อยให้เซ็นต์ชื่อรับรองให้ ทหารเหล่านั้นก็สามารถนั่งชอปเปอร์ลงมาป่วยที่โรงพยาบาลล่องแจ้งได้อย่างสบาย
พูดถึงโรงพยาบาล ผมมีเรื่องขำแยะทีเดียวครับ ปกติหมอโรงยาบาลล่องแจ้ง จะเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเรียกว่าจะอนุมัติให้ใครไปป่วยอุดรก็ได้ ถ้าสมเหตุสมผลจริงๆ
หมอใหญ่ที่ผมกำลังจะเขียนถึงในขณะนี้ ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปทั่ววงการทหารรับจ้างในสมรภูมิลาว อย่าเพิ่งเดานะครับว่า หมอใหญ่ผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความเก่งกล้าในการรักษาอย่างยอดเยี่ยม ผิดถนัดครับ ความบ้าๆบอๆ และความเป็นคนตรงของคุณหมอ ?ชลกร? ต่างหากล่ะครับ ที่ทำให้คุณหมอผู้นี้โด่งดังอยู่ในกองบัญชาการเสือพราน
คราวแรก ผมยังไม่รู้จักกับหมอชลกรหรอกครับ แต่แล้วในวันหนึ่ง ในขณะที่หมอนอนคุยกับพนักงานวิทยุ ที่บังเอิญเปิดเครื่องแสตนบายด์ทิ้งเอาไว้ ก็ได้ยินหมอประจำกองร้อยของกองพัน 604 ส่งวิทยุขอชอปเปอร์ขึ้นไปรับทหารที่ใด้รับอุบัติเหตุจากปืนที่หน้าท้องจนเครื่องเพศห้อยร่องแร่ง ลำไส้ไหญ่ไหลลงมากองที่พื้น แต่ทหารคนนี้ก็ทนทายาทไม่ยอมสิ้นใจเอาง่ายๆ
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาน 21.30 น. ชอปเปอร์ก็หมดเวลาทำงาน บินกลับอุดรจนหมดสิ้น ทาง บก.ล่องแจ้งไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ก็พอดีพระเอกของเรื่องนี้ก็ขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยได้ทันเวลาพอดี
?นั่นหมอประจำกองร้อยพุดใช่ไหม นี่อั๊วชลกรหมอใหญ่?
เสียงหมอชลกรส่งวิทยุขึ้นไปบนแนว พร้อมกับถามอาการของผู้บาดเจ็บด้วยน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจัง
?ใช่ครับ อาการของคนเจ็บหนักมาก อาจจะรอด ถ้าได้รับการรักษาพยาบาลทันท่วงที?
เสียงหมอประจำกองร้อยส่งข่าวลงมา
?แล้วลื้อพยาบาลขั้นแรกกับคนเจ็บอย่างไร ไหนลองอธิบายให้อั๊วฟังซอ?
คุณหมอชลกรย้อนถามขึ้นไปอีก
?ผมฉีดมอร์ฟีนให้คนเจ็บ 1 เข็มแล้วครับ พร้อมกับเอาไส้ยัดกลับเข้าไว้ที่เดิม?
?เฮ้ย ลื้อจะบ้าหรือยังไงวะ รีบเอาไส้ออกมาอย่างเดิม พยายามเอาน้ำราดไว้ อย่าให้ไส้แห้งเป็นอันขาด?
เกิดมาผมก็เพิ่งเคยได้ยินการรักษาคนเจ็บทางวิทยุกันในวันนี้เองแหละครับ ต่อจากนั้นคุณหมอชลกรก็เอ็ดตะโรดุด่าพลพยาบาลประจำกองร้อยของกองพัน 604 ไปตามเรื่องตามราว เวลาผ่านไป 2-3 นาที คุณหมอชลากรย้อนถามขึ้นไปอีก
?เรียบร้อยแล้วใช่ไหม? พยาบาล ลื้อทำตามคำสั่งของอั๊วแล้วใช่ไหม? คนไข้อาการดีขึ้นหรือยัง??
?ครับ เรียบร้อยแล้วครับ ผมทำตามคำสั่งของคุณหมอทุกประการ คนไข้-เรียบร้อยแล้วครับ?
?อะไรว่ะ เรียบร้อย ลื้อหมายความว่าอย่างไร?
หมอชลกรตะโกนสวนขึ้นไปด้วยความโมโห
?คนไข้ตายเรียบร้อยแล้วครับ ขาดใจตอนผมเอาไส้ออกมานั่นแหละ?
เสียงพยาบาลตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงพอๆกัน
มีเสียงหัวเราะเกรียวกราวออกมาจากลำโพงวิทยุพร้อมกับมีเสียงตะโกนขึ้นมาลอยๆว่า
?ไอ้หมอเฮงซวย?
เล่นเอาทั้งผมและเพื่อนๆที่นอนฟัง ?มวยตู้? หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง
ยังครับ ยังไม่หมด พฤติการณ์บ้าๆบอๆ ของหมอชลกรยังมีอีกมากมาย ท่านผู้อ่านลองมาดูวิธีตรวจร่างกายของหมอชลกรดูบ้างสิครับ
ผมบังเอิญต้องมีธุระจะต้องขึ้นไปขอยา ?เตตร้า? จากหมอชลกร ทั้งๆที่รู้กิตติศัพท์เป็นอย่างดี ผมก็จำเป็นต้องไปเพราะ ?เครื่องเยี่ยว? ของผม กำลังขัดลำกล้องเข้าทุกที ขืนปล่อยไว้ ?คุณสนอง? รับประทานผมอย่างแน่ๆ ก็เห็นทหารรับจ้าง 4-5 คนยืนถอดเสื้อเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง คุณหมอชลกรเอาเครื่องตรวจแบบหูฟังขึ้นไปสวมเอาไว้ที่หูทั้งสองข้าง ใช้มือขวาหยิบปลายหูฟังขึ้นจิ้มลงบนหน้าอกทหารรับจ้างคนแรก จิ้มไม่จิ้มเปล่า แถมแหกปากร้องเพลงมาร์ชทหารอากาศคลอไปด้วยอย่างมีความสุข
มือที่ถือหูฟังก็จิ้มหน้าอกอย่างมีจังหวะจะโคน ผมไม่กล้าขึ้นไปบนโรงพยาบาลหรอกครับ นั่งหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลกับเพื่อนๆอยู่ที่บันไดนั่นเอง
พอเพลง ?วันนี้เราอยู่ดูโลกกันให้โสภิณ? ของคุณหมอชลกรจบลง คุณหมอก็ยกเท้าขึ้นเตะก้นคนป่วยคนละที แจกยาคนละ2 ? 3 ชุด บอกว่าเป็นยาแก้ขี้เกียจ พร้อมกับไล่ลงจากโรงพยาบาลทันที
นี่แหละครับคืออาวุธลับของ บก.ล่องแจ้ง นักรบรับจ้างจะหาโอกาสให้หมอชลกรเซ็นซื่ออนุมัติให้ไปป่วยที่อุดรเห็นจะหายากเต็มที
แต่ก็มีอยู่จังหวะหนึ่งเหมือนกันครับ ที่หมอชลกรยอมเซ็นต์ให้ไปอุดรโดยไม่ยอมตรวจร่าง ก็อีตอนที่ข้าศึกยิงปืนใหญ่หรือจรวดเข้าใส่เมืองล่องแจ้งสิครับ คุณหมอชลกรจะกระโจนเข้าไปนั่งปลุกพระอยู่ในหลุมหลบภัย คราวนี้พวกทหารรับจ้างนกรู้ทั้งหลายก็ถือใบรับรองแพทย์วิ่งตามก้นคุณหมอเป็นทิวแถว สำเร็จครับ คุณหมอรีบเซ็นต์ให้อย่างง่ายดายทีเดียว
ผมปล่อยก๊ากออกมาคนเดียว ขณะที่นั่งอยู่บนรถจิ๊ปที่พลขับชาวแม้วกำลังพยายามมุ่งหน้าไปตลาดล่องแจ้ง ?ไอ้หน้าลิง? พลขับหันมามองหน้าผมอย่างแปลกใจ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า
?นายภาษาขำอีหยังครับ หัวอยู่ได้แต่ผู้เดียว? (ล่ามขำอะไรหรือครับ หัวเราะอยู่เพียงคนเดียว)
?อั๊วนั่งคิดเพลินถึงหมอชลกรว่ะ เลยอดขำไม่ได้ ลื้อรู้จักหมอชลกรหรือเปล่าวะ ไอ้ลิง?
ผมย้อนถามเจ้าพลขับชาวแม้วไปอีก
?ทำไมบ่ฮู้จัก บักหมอบ้า หำผมเป็นแผล ไปขอยา มันจะเอามีดตัดหำผมท่าเดียว?
ผมเลยได้หัวเราะอีกก๊ากใหญ่ในคำพุดแบบตรงไปตรงมา ของเจ้าพลขับแม้ว ที่บ้าๆบอๆพอๆกับคุณหมอชลกร
เกือบจะถึงเวลาที่ผมนัดหมายกับเจ้าสไปร๊ทแล้วครับ แต่ผมเห็นว่ายังมีเวลาเหลือเฟือก็เลยแวะไปที่ตลาด หาซื้อน้ำหอมฝรั่งเศษยี่ห้อ ?โตป๊าส? ที่บัวคำสั่งนักสั่งหนาว่าจะมาเยี่ยมครั้งต่อไปช่วยซื้อมาฝากให้เธอด้วย
ในขณะที่ผมกำลังสาละวนเลือกซื้อ น้ำหอมยี่ห้อ ?โตป๊าส? อยู่นั่นเอง ประสาทหูได้ยินเสียงวี้ดๆ จึงหันกลับไปมองดูบริเวณสนามบิน มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวตรงบริเวณหัวสนามบินพร้อมๆกับควันสีขาวลอยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ในขณะที่ควันยังไม่ทันจาง ก็มีเสียงวี้ดยาวแทรกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ผมพุ่งพรวดเดียวหมอบติดกับพื้นดิน โดยไม่คำนึงว่าชุดเอี่ยมอ่องของผมจะเป็นเช่นไร
เสียงระเบิดดังแน่นกว่าครั้งแรก ผมยังเดาไม่ออกว่าจะเป็นลูกปืนใหญ่หรือจรวดกันแน่ แต่ที่แน่ๆตำบลกระสุนตกของมันใกล้คลังแสงที่บริเวณสนามบินเข้ามาทุกที
?นายภาษา สนามบินโดนโจมตีแล้วครับ กลับ บก.เถอะครับ?
พลขับชาวแม้วละล่ำละลักพร้อมกับฉุดไม้ฉุดมือจะให้ผมขึ้นไปบนรถจิ๊ปให้จงได้
ผมก็เลยตัดสินใจกระโดดขึ้นรถจิ๊ป แต่ไม่ลืมที่จะคว้าเอาห่อน้ำหอมขึ้นไปด้วย รถจิ๊ปของผมพุ่งปราดออกมานอกถนนใหญ่บริเวณทางเข้าสนามบินก็บังเอิญมองเห็นเจ้าสไปร้ทวิ่งกระเร่อกระร่าอยู่ในกลุ่มคนงานที่กำลังเตรียมตัวจะกลับอุดรในเย็นวันนั้นด้วย ?เฮ้ย จอดรับเพื่อนอั๊วหน่อย?
ผมตะโกนแข่งกับเสียงระเบิดที่กำลังคำรามกึกก้อง ทันใจดีเหลือเกินครับ เจ้าพลขับแม้วกระแทกเบรคเต็มที่ ล้อทั้งสี่ของจิ๊ปเล็กครูดไปกับพื้นถนน ผมหันหลังกลับไปดู เห็นเจ้าสไปร๊ทกำลังใช้ฝีเท้าน้องๆ นักกีฬาโอลิมปิคห้อกวดรถผมจนตัวโก่ง ก็เลยถอยหลังกลับไปรับ พามุ่งหน้าเข้าไป บก.ล่องแจ้งอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากขณะนั้น เป็นเวลาประมาน 17.00 น. บรรดาคนงาน A.C.S. และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่ทำงานอยู่ที่ล่องแจ้ง ต่างก็กำลังเตรียมตัวจะกลับอุดรโดยเครื่องบินลำเลียงของแอร์อเมริกา ทุกคนจึงออกันแน่นที่ ?เม็นแล้ม? เดชะบุญที่ลูกปืนใหญ่ลูกแรกของมันไม่ตกลงกลางกลุ่มคนเหล่านั้น จึงรอดตายไปอย่างหวุดหวิดที่สุด ต่อจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน แตกกลุ่มออกวิ่งเผ่นกันป่าราบหาที่กำบังไปตามมีตามเกิด
?สิงหะ จากลอนดอน เปลี่ยน?
พนักงานวิทยุของกองพันที่ 618 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่บนเนินสกายไลน์ ทางด้านตรงข้ามกับหัวสนามบินเรียกขาน บก.ล่องแจ้ง พร้อมกับรายงานข่าวต่อไปอีก
?ลูกปืนใหญ่ของข้าศึกข้ามฐานปฏิบัติการของลอนดอนลงไปเบื้องล่าง คาดว่ายิงมาทางสนามบินถ้ำตำลึง ขณะนี้กำลังตรวจการณ์ที่ตั้งปืนของพวกมันอยู่ครับ?
?ลอนดอน จากสิงหะ ตรวจการณ์โดยเร็วที่สุดพร้อมกับแจ้งพิกัดที่แน่นอนมาด้วย?
?โอเคครับ ปืนใหญ่ของข้าศึกอยู่ ณ บริเวณ ?ภูผาไซ? คาดว่าเป้นปืนใหญ่ขนาด 130 ม.ม. ของรัสเซีย?
?จบกัน?
?เทพ? อุทาน พร้อมกับเอ่ยต่อไปว่า
?ระยะทางเกือบ 20 กิโลเมตร เราจะเอาปืนอะไรไปดวลกับพวกมัน ให้ทางเบาวเดอร์คอนโทรลขอเครื่องบินจากอุดรมาทำงานด่วนก็แล้วกัน?
?ท่านครับ ผมสังเกตุเห็นตำบลกระสุนตกของกระสุนปืนใหญ่เลื่อนเข้าหาบริเวณคลังแสงของฝ่ายเราเข้าไปทุกที ผมคิดว่าให้หน่วยลาดตระเวณของเราค้นหา ตรวจการหน้า ของมันดีกว่าครับ มันจะต้องซุกซ่อนปรับทางปืนให้แก่พวกมันอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งใกล้ๆเป้าหมายของมันนี่เอง?
ชัยฤทธิ์ นายทหารเสนาธิการผู้หนึ่งเสนอความคิดขึ้นมา
?ลื้อออกคำสั่งทางโทรศัพท์ให้หน่วยป้องกัน บก.ล่องแจ้งออกค้นหาเดี๋ยวนี้ อย่าใช้วิทยุเป็นอันขาด อั๊วคาดว่าข้าศึกจะต้องดักฟังข่าวคราวการเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่ตลอดเวลา?
?เทพ? หัวหน้าเสนาธิการเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินกลับไปกลับมาด้วยท่าทางที่อึดอัดใจต่อสถานะการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
?ท่นนายพลวังเปาก็ยังไม่กลับจากอุดร สงสัยว่าคืนนี้ล่องแจ้งจะถูกทหารของมันเข้าโจมตีเสียละกระมัง
?เทพ? พึมพำออกมาอีก ก่อนที่จะเดินกลับไปในห้องยุทธการเพื่ออกคำสั่งเพิ่มการระมัดระวังล่องแจ้งเต็มอัตราศึกต่อไป
□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 20:26  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19226

คำตอบที่ 6
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 5
เสียงครวญครางเหมือนเปรตทวงวิญญาณของหางนำทิศ เมื่อเวลามันแหวกอากาศของลูกปืนใหญ่ขนาด 130 มม. เย็นเฉียบบาดจิตบาดใจเข้าไปในสมอง สิ้นเสียงครวญครางของมันครั้งใด จะต้องมีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวติดตามมาด้วยทุกครั้ง
เสียง...แว้ด...กรั้ม...แว้ด...กรั้ม ดังติดต่อกันเป็นระยะด้วยจังหวะที่ต่อเนื่องกันโดยไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าสังเกตุว่าตำบลกระสุนตกเลื่อนจากจุดเดิมเข้าหาคลังแสงที่อยู่เกือบท้ายสนามบินเข้าไปทุกที บางครั้งแนวการยิงของมันก็ข้ามฝั่งสนามบินเฉียดลานจอด (เม็นแล้ม) พุ่งดิ่งเข้าหาหมู่บ้านชาวแม้วที่สร้างอย่างง่ายๆ ด้วยไม้ไผ่แตะ หลังคาติดกันเป็นพืด
มันจะมีอะไรเหลือละครับ เศษดิน เศษไม้ กระเด็นปลิวว่อน หมู่บ้านกว่า 20 หลังคาเรือนหายวับไปกับตา เหมือนกับโดนพายุหมุน สะเก็ดระเบิดกระเด็นมา ตกบนหลังคาห้องอาหารของ บก.ล่องแจ้ง ดังกราวใหญ่
หีบห่อกระสุน ไม่ว่าจะเป็นลูกปืนใหญ่ขนาด 105 มม. หรือว่า 155 มม. ลูกระเบิดมือ ลูกปืนครกที่เพิ่งส่งมาจากอุดรหลายร้อยหีบ ซึ่งแพ็คเอาไว้ บริเวณ “เม็นแล้ม” เพื่อรอเวลาที่จะขนขึ้นแนวในเช้าวันรุ่งขึ้น มีหวังถูกระเบิดจากอำนาจการยิงที่รุนแรงของข้าศึกอย่างแน่นอน
ไม่มีใครออกคำสั่งให้ขนย้าย วัตถุระเบิดเหล่านั้นหรอกครับ แม้แต่ตัวฝรั่งเองก็เผ่นจนป่าราบ ส่งวิทยุเข้าสนามบินอุดร ขอชอปเปอร์มารับอย่างปัจจุบันทันด่วน
ชั่วเพียง 30 นาที ชอปเปอร์ที่จอดแสตนด์บายอยู่ในสนามบินนาซู ก็บินดิ่งมารับพวกฝรั่งเหล่านั้นหลบออกไปจากเมืองล่องแจ้งอย่างรวดเร็ว
เห็นไหมครับ เมื่อยามมีภัย ไอ้กันมันก็หนีเอาตัวรอดอย่างหน้าด้านที่สุด ปล่ยให้พวกรับจ้างรบที่ชีวิตไม่ค่อยจะมีค่างวดอะไร อยู่เสี่ยงอันตรายต่อไปและต่อไปท่ามกลางกระสุนปืนใหญ่ของพวกเวียตนามเหนืออย่างชนิดตัวใครตัวมัน
แม้กระทั่งนายของผมเองก็ตามที มิสเตอร์ “นอร์แมน” ยอดเสนาธิการของซี.ไอ.เอ. ก็ดันตาลีตาเหลือก เผ่นหนีไปกับเขาด้วย ปล่อยให้ฝรั่งกระจอกๆ 2-3 คน คอยอยู่รับหน้าพอเป็นพิธีเท่านั้น และก็พวกฝรั่งกระจอกๆเหล่านั้น ช่วยอะไรพวกเราไม่ได้หรอกครับ วิธีเดียวที่พวกมันกระทำได้ก็คือ ออกคำสั่งให้เรากินเงินดอลล่าร์ของพวกมัน ปฏิบัติงานแทนเท่านั้นเอง
แต่ขอโทษที ขณะนี้หมดเวลางานเสียแล้ว คำสั่งของพวกมันก็ไร้ความหมาย พวกผมเป็นทหารรับจ้าง เงินมาซีครับ ถ้าโอเวอร์ไทม์สูง พวกผมไม่เคยเกี่ยงสักครั้ง
ผมและเพื่อนๆ สามสี่คน หมอบนิ่งอยู่หลังกระสอบทราย บริเวณ บก.ล่องแจ้ง ที่ตรวจการณ์เห็นสนามบินได้ชัดที่สุด อดที่จะเป็นห่วงหีบกระสุนและวัตถุระเบิดนานาชนิดที่วางระเกะระกะอยู่ที่เม็นแล้มไม่ได้ เวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนติดปีกบิน จนกระทั่งพลบคำ การระดมยิงของพวกมันก็ไม่หยุดยั้ง บางครั้งลูกปืนของมันก้เพ่นพ่าน เข้าไปตกในบริเวณใจกลางเมืองล่องแจ้ง ซึ่งขณะนี้ กลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้วอย่างสิ้นเชิง
ประชาชนชาวแม้วเผ่นออกจากหมู่บ้าน ตั้งแต่กระสุนลูกแรกของข้าศึกตกลงบนสนามบินแล้ว พวกเขาหอบลูกจูงหลานเดินเป็นทิวแถวไปตามถนนที่ตัดเอาไว้บนภูเขา มุ่งหน้าขึ้นไปหลบซ่อนอยู่ในบริเวณหลังที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต (ปกติเจ้ามหาชีวิตของลาวจะประทับอยู่เมืองหลวงพระบาง นานๆครั้งพระองค์จึงเสด็จมาประทับในที่แห่งนี้) ที่มีเนินเขาสูงชันเป็นปราการธรรมชาติที่สามารถใช้เป็นที่หลบภัยได้อย่างปลอดภัยที่สุด
และแล้ว...หลังจากลูกปืนใหญ่ของมัน ที่ยิงเฉียดไปเฉียดมาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุด...ลุกฟลุคของมันก็หล่นโครมลงบนกองกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ที่วางซ้อนกันเป็นภูเขาเลากาเข้าอย่างถนัดใจ
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
สว่างยิ่งกว่าจุดพลุในงานมหกรรมใดๆ ที่ผมเคยเห็นมาทีเดียวครับ เสียงระเบิดของลูกปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ดังซ้อนๆกันจนแก้วหูแทบแตก ประกายไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสว่างโร่ไปหมด บางครั้งก้มีแฟลร์ที่บรรจุอยู่ในลูกปืนครกระเบิดตูมตามขึ้น พร้อมกับส่งร่มแฟร์ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าสว่างไสว อย่างกับมีงานมหกรรมระดับชาติเลยทีเดียว
ไหนจะต้องคอยระวังสะเก็ดลูกปืนใหญ่ของฝ่ายเราที่กำลังระเบิดตูมตาม ไหนจะต้องพะวงกับอำนาจการยิงของข้าศึก ทำเอาทหารรับจ้างที่อยู่ บก.ส่วนหลังวิ่งวุ่นกันอลหม่าน
เสียงระเบิดดังรุนแรงยิ่งกว่าทุกครั้ง ประตูหน้าต่างกองบัญชาการสะเทือนสั่นโยกเยก
“คลังแสงของเราระเบิดแล้วครับ”
ทหารรับจ้างคนหนึ่งกระหืดกระหอบวิ่งข้ามสะพานเหล็กระหว่างโรงพยาบาล มุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเราที่กองบัญชาการ
มันเป็นคราวเคราะห์อย่างช่วยอะไรไม่ได้ สะเก็ดของลูกปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ที่กำลังระเบิดตึงตังอยู่เฉือนเข้าที่บริเวณลำคอพอดี
ไม่มีเสียงร้องหรอกครับ ทหารรับจ้างที่ผมไม่รู้จักชื่อคนนั้น เซถลาหล่นวูบลงไปจากสะพาน ตกลงไปในร่องน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่เบื้องล่าง ลายวับไปกับความมืด ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกเราที่มองเห็นเหตุการณ์อยู่แค่เอื้อม
ไม่มีใครลงไปช่วยหรอกครับ แทบทุกคนซบหน้าลงกับแนวกระสอบทราย หลบสะเก้ดระเบิดที่ปลิวออกมาไปรอบทิศ ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
เสียงระเบิดที่ดังเหมือนกับฟ้าผ่าได้คำรามขึ้นอีกครั้ง...
อา...คลังแสงและอุปกรณ์ทุกชนิดของซี.ไอ.เอ. พินาศหมดสิ้นแล้ว เสียงระเบิดดังขึ้นซ้อนๆ กันหลายต่อหลายครั้ง แสงไฟลุกขึ้นท่วมท้องฟ้า มองเห็นสว่างโร่ไปทั่วบริเวณ
เหมือนกับนกรู้ ปืนใหญ่ของเวียดนามเหนือ ที่ระดมยิงอยู่ตลอดเวลา ยุติการยิงลงอย่างฉับพลัน แน่นอนเหลือเกิน “ตรวจการณ์หน้า” ของพวกมันที่แฝงกายอยู่ ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งของตลาดล่องแจ้ง คงจะแจ้งผลการยิงให้ฝ่ายมันทราบว่า ขณะนี้ผลการยิงของพวกมันสัมฤทธิ์ผลแล้ว พวกมันจึงยุติการระดมยิงในทันทีทันใด
เวลาผ่านไปจนกระทั่ง 24.00 น. แรงระเบิดจากกองกระสุนที่เม็นแล้มยังคงระเบิดต่อไปอีก และเริ่มแผ่วงกว้างออกไปทุกที ส่วนคลังแสงไม่ต้องพูดถึงกันละ ป่นปี้ไม่มีชิ้นดี ร่มชูชีพที่ใช้ “ดร็อป” ของ ถูกไฟเผลาผลาญไม่มีเหลือหลอ
ผมนั่งหลับนกอยู่ที่บริเวณกระสอบทรายนั่นเอง ศูนย์บังคับการที่อุดร ติดต่อสอบถามความเสียหายมาอยู่ตลอดเวลา พวกผมที่เข้าเวรวิทยุ ไม่ต้องพักผ่อนกันละ จัดแจงเข้ารหัสแจ้งผลความเสียหายอย่างมหาศาลให้ทางอุดรทราบเป็นระยะๆ
เกือบร้อยล้านบาท คือยอดประเมินสูญเสียจากการยิงของปืนใหญ่เวียดนามเหนือ
“ไอ้ปากหมา” เครื่องบินตรวจการณ์สองที่นั่งจอดอยู่ในโรงเก็บ รอดจากกระสุนปืนใหญ่และแรงระเบิดอย่างกับปาฏิหารย์
การระเบิดของกระสุนปืนได้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งรุ่งเช้า เสียงระเบิดจึงค่อยๆห่างลง และสงบเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเวลา 09.30 น. ผมคิดว่า คงจะยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนสะเออะเข้าไปในบริเวณสนามบินหรอกครับ
ที่ใหนได้... พอพวกผมเข้าไปเคลียร์สนามบิน
อุปกรณ์การรบที่รอดจากแรงระเบิดถูกขโมยเรียบวุธ ปืนพก .45 เท่าที่ผมทราบประมาน 100 กระบอกล่องหนไปอย่างไม่มีร่องรอย
ชุดเครื่องแบบสนาม ผ้าเต๊นท์ ถูกมือดีขโมยเกลี้ยง
ตลาดล่องแจ้ง ถูกทหารรับจ้างที่สังกัด บก.ส่วนหลังของกองพันทหารรับจ้าง กองพันต่างๆกรูกันเข้างัดแงะรื้อค้นของชาวบ้านที่พากันละทิ้งบ้านช่อง หลบภัยจากแรงระเบิดกันเป็นจ้าละหวั่น
ไม่เฉพาะทหารรับจ้างชาวไทยหรอกนะครับ ทหารลาวเองก็ตามที ทั้งพี่ไทย อ้ายลาวกอดคอกันขโมยของชาวบ้านสะเด็ดยาดไปเลย...
มันเข้าขั้นบ้านแตกสาแหรกขาดกันแล้ว นี่แหละครับ สภาพของสงคราม ใครๆอยากได้อะไรก็ยื้อแย่งเอาเป็นกรรมสิทธิ์กันอย่างหน้าด้านๆ ผมขอภาวนาอย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นที่รักของผมเลย
ทหารรับจ้างหอบข้าวของที่ขโมยมาได้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ หัวจักรเย็บผ้า เทป ลัดเลาะสนามบินหายหัวเข้ากอง บก. ของพวกเราจนหมดสิ้น
แม้แต่ที่พักของฝรั่ง บริเวณท้ายสนามบินเองก็ยังโดนมือดีเข้าไปขนของจนเกลี้ยง “เทปชั้นดี ยี่ห้อ อาไก” ถูกทหารแม้วงัดออกมาเร่ขายให้กับทหารไทยด้วยสนนราคาเครื่องละไม่ถึง 500 บาท
ร้อนถึงนายพลวังเปา ต้องออกประกาศให้ทางทหารรับจ้างและทหารแม้วคนใดที่มีของ “ต้องห้าม” อยู่ในครอบครอง ให้เอามาคืนภายใน 3 วัน มิฉะนั้นจะมีความผิดกฏหมายสงคราม
คำสั่งของนายพลวังเปาอาจจะศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะทหารแม้ว แต่สำหรับทหารรับจ้างชาวไทยแล้ว “ยากส์ส์” ครับ อ้อยเข้าปากช้าง ใครเอาไปคืนก็โง่เต็มทน ของใหญ่ๆก็โยนทิ้ง ปืนพกเรื่องเล็ก มีกรรมวิธีหลบหลีกสารวัตรทหารเอาไปอุดรได้หลายต่อหลายวิธีหรือจะปล่อยที่ล่องแจ้ง 800-900 บาทแสนที่จะสบายและคล่องมือที่สุด
สนามบินล่องแจ้งต้องปิดตัวเองโดยปริยาย เครื่องบินที่ไหนจะกล้ามาเสี่ยงลงครับ ก็ในเมื่อสะเก็ดระเบิดขาววับเป็นชิ้นๆเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ระเกะระกะไปหมด นอกจากนั้น ควันไฟที่กำลังครุกกรุ่นอยู่ตลอดเวลาในซากกองกระสุน อาจจะระเบิดขึ้นมาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้...
เครื่องบินทุกชนิดถูกห้ามขึ้นลงโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งชอปเปอร์ก็ต้องอาศัยทิวเขาหลัง บก.ล่องแจ้ง ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นแอ่งลึก สามารถป้องกัน “ลูกยาว” ของข้าศึกได้เป็นอย่างดี ใช้เป็นที่ขึ้นลงเพื่อปฏิบัติภาระกิจประจำวันต่อไป
ทางอุดรแก้ปัญหาการขนส่งลำเลียงออกเป็นสองวิธี วิธีแรกใช้ C-123 บินตรงจากอุดรแล้ว “ดร็อป” ด้วยร่มชูชีพขนาดใหญ่ลงในบริเวณ “ศาลาไทย” (ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับ บก.ล่องแจ้งนั่นเอง)
วิธีที่สองคือ ขนอุปกรณ์สงครามมาลงที่สนามบินนาซู แล้วลำเลียงด้วยเครื่องปีกหมุน (ชอปเปอร์) มายังล่องแจ้งอีกทีหนึ่ง
ปัญหาใหญ่หลวงที่ตามมาก็คือ การส่งอาหารให้แก่กองพันทหารรับจ้างกองพันต่างๆ ต้องประสพกับอุปสรรคนานาประการ อาหารจำพวก หมูเห็ดเป็ดไก่ ที่ทาง บก. สั่งซื้อมาจากอุดรก็มาตกค้างอยู่ที่สนามบินนาซู รอคิวที่จะลำเลียงมายังฐานปฏิบัติการต่างๆเมื่อใช้เวลาในการส่งนานกว่าปกติ ของสดดังกล่าวก็เลยกลายเป็นของเน่าไปโดยปริยาย
ตั้งแต่นั้นมา กองพันทหารรับจ้างก็ต้องพบกับอาหารแห้งจำพวกเนื้อเค็ม กระเทียมดอง จนกว่าเหตุการณ์จะปกติ ซึ่งก็ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร
ทหารรับจ้างเริ่มสะสมชูชีพเป็นการใหญ่ ร่มที่ไอ้กันใช้ “ดร็อป” มักจะถูกทหารรับจ้างเม้มเอาใว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวกันเป็นทิวแถว
ตามปกติแล้ว ในประเทศไทย ร่มชูชีพเป็นของมีราคาแพงและหายากที่สุด ทหารรับจ้างทุกคนจึงอยากได้ร่มชูชีพกันจนตัวสั่น พอเครื่องบินทิ้งร่มลงมายังไม่ถึงพื้นดิน ก็ถือมีด “สปาต้า” ใส่เกียร์หมาวิ่งไล่ร่มชูชีพหวังจะถือเป็นกรรมสิทธิ์ในร่มชูชีพอันนั้น
มันก็เลยเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอย่างช่วยเหลือไม่ได้ ปกติกล่องกระสุนมันก็หนักหลายสิบกิโลอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีร่มคอยพยุงเอาไว้ก็ตามที เวลามันลงจวนจะถึงพื้น มันจะกระทบพื้นด้วยน้ำหนักที่น่ากลัวทีเดียว เรื่องทั้งเรื่องมันก็เลยทับเอาผู้นิยมร่มทั้งหลายจนหัวสมองติดดินแบนแต๊ดแต๋เหมือนกับเขียดโดนรถบดถนนทับยังไงยังงั้น
ตั้งแต่นั้นมา ทหารรับจ้างบางคนพอเห็นร่มชูชีพก็ถึงกับเมินหน้าหนีไปเลยก็มี
หน่วยเคลียร์สนามบินเสี่ยงอันตรายออกไปเคลียร์รันเวย์ ไม่ถึง 10 นาทีก็ต้องวิ่งกระเจิงกันออกมาอีกครั้งเนื่องจากกระสุนปืนใหญ่ เกิดระเบิดตูมตามขึ้นมาเอาดื้อๆ เล่นเอาผวากันไม่เป็นขบวน
อากาศเริ่มมืดเป็นครั้งแรกในรอบวัน กลุ่มเมฆรวมตัวกันหนาขึ้นทุกที มันปกคลุมยอดเนินสกายไลน์ทึบไปหมดและเริ่มลามเลียลงมายังตีนเขามากขึ้น จนกระทั่งครอบคลุมเนินสกายไลน์จนขาวโพลนไปหมดทั้งภูเขา
เจ้าความหนาวเหฯบที่แสนจะทรมานทับทวีเพิ่มขึ้นทุกที ถึงแม้ผมจะมีชุดอันเดอร์แวร์ที่สวมทับด้วยแจ็คเก็ตฟิลด์อันหนาเตอะก็ยังต้องห่อไหล่ คางกระทบกันด้วยความหนาวเหน็บเข้าไปถึงหัวใจ
ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ทหารรับจ้างทุกคน เมื่อผ่านกองบังคับการจะต้องถูกถามรหัสผ่าน ถ้าตอบผิด แน่นอนเหลือเกินจะต้องถูก M-16 พรุนไปทั้งร่างด้วยน้ำมือของหน่วย “สิงห์ทะเลทราย” ที่มีหน้าที่ระแวดระวังกอง บก.ล่องแจ้งโดยเฉพาะ
ยิ่งอากาศปิดมากเท่าไหร่ บรรยากาศของเมืองล่องแจ้งก็ยิ่งเงียบและวังเวงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น นายทหารเสนาธิการทุกคนอยู่ในชุดสนามพร้อม ยืนจับกลุ่มคุยกันเบาๆอยู่หลังแนวกระสอบทรายด้วยลักษณะท่าทางที่เครียดขึง
มันเงียบเสียจนกระทั่งอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นในคืนนี้บ้างไหมหนอ
นึกถึงความสามารถของหน่วย “แซปเปอร์” เวียดนามเหนือ ที่กล้าฝ่าดงกับระเบิดเข้าไปเชือดคอทหารรับจ้างในฐานภูเทิงตอนทุ่งไหหินแตกแล้ว ผมอดที่จะเสียวคอหอยไม่ได้ ภาวนาขออย่าให้เจอะเจอกับมันอีกเลยในชาตินี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 21:42  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19228

คำตอบที่ 7
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 6
รายการเพลง ?ไลท์มิวสิค? จากสถานีวิทยุของเวียดนามใต้ที่ออกอากาศจากค่ายทหารอเมริกันเพิ่งจบไปได้สักสองสามนาที ผมขี้เกียจฟังภาษาเวียดนามก็เลยเอื้อมมือไปปิดวอลลุ่มพร้อมกับเหลือบสายตาชำเลืองมองดูเวลาที่ข้อมือของสไปร๊ท มันร่วมเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว
ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งทวีความหนาวมากขึ้นเป็นทวีคูณ ผมดึงคอเสื้อแจ็คเก็ตฟิลด์รูดซิบขึ้นไปจนสุด เอนหลังลงพิงกับกระสอบทราย ทอดสายตามองผ่านช่องกระสอบไปยังบริเวณสนามบินที่ปราศจากแสงไฟ
อดที่จะนึกถึงบรรดาเพื่อนฝูงที่พลัดพรากจากกันในคราวปฏิบัติการรบท่วมเลือด เป็นประวัติการณ์ ณ สมรภูมิทุ่งไหหินมิได้
ใบหน้าของ พ.ต.คำหล้า สิงห์คำ ผบ.พันทหารรับจ้างผุดขึ้นมาในห้วงนึก มันเป็นเวลาเกือบสามเดือนที่มิตรสนิทของผมผู้นี้ สูญหายไปอย่างไม่มีร่องรอย ผมยกมือซ้ายขึ้นลูบเข็มขัดสนามที่ พ.ต.คำหล้า มอบใว้ให้ก่อนฐาน ?ภูเทิง? ถึงกาลพินาศ อดใจหายไม่ได้ ถึงแม้จะมีช่วงเวลาอันน้อยนิด ที่ผมมีโอกาสสังสรรค์กับผู้พันชาวแม้วคนนี้ แต่ทว่าเหตุการณ์ที่ผมกับเขาได้ตะลุยเลือดกันมา มันฝังแน่นอยู่ในหัวใจของผม มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ขอให้ไปดีเถิดเพื่อนรัก สิ่งเดียวที่ผมกระทำเพื่อเพื่อนก็คือ สละเงินเดือนหนึ่งเดือนมอบให้แก่ภรรยาสุดที่รักของเพื่อนไปเรียบร้อยแล้ว
ภาพซ้อนของ ร.ท. คำวงษ์ ศรีวรรณาปรากฏพร่าขึ้นมาในมโนภาพของผมอีกครั้ง ผมยังจำภาพอันโชกเลือดที่หมวดคำวงษ์หมดสติอยู่บนเปลสนาม ณ บริเวณสนามบินถ้ำตำลึง (ไซร้ทเจ็ดสิบสอง) ได้เป็นอย่างดี คำวงษ์ได้รับการช่วยเหลือจากทหารปืนใหญ่ ที่แตกมาจากทุ่งไหหินอย่างจวนเจียนเต็มที พอจส่งคำวงษ์ขึ้นชอปเปอร์ เครื่องยังไม่ทันพ้นสนามบิน กลุ่มทหารเวียดนามเหนือก็พรั่งพรูออกจากป่าทึบเข้าโจมตี ?ไซร้ทเจ็ดสิบสอง? ทันที
คำวงษ์ต้องกระเซอะกระเซิงหนีจากฐานภูเทิงมาพร้อมๆกับผมด้วยขาที่เน่าเฟะทั้งสองข้าง เขากระเสือกกระสนหลบหนี ท่ามกลางการตามล่าของทหารเวียดนามเหนือที่กระหายเลือดด้วยน้ำใจผิดมนุษย์ คำวงศ์สามารถหนีมาได้
คำวงษ์ต้องเสียขาทั้งสองข้างเพื่อสกัดพิษร้ายที่กำลังลุกลามไปทั่วร่างกาย อนิจจา ต่อจากนั้นไม่นาน คำวงษ์ฆ่าตัวตายด้วยปืนพกคู่มือ พร้อมกับทิ้งบันทึกเอาไว้ก่อนตายด้วยคำพูดที่กินใจว่า
?เพื่อนที่รักของคำวงษ์ทุกคน คำวงษ์ขอลาไปก่อน การตายครั้งนี้ใช่ว่าผมจะหาทางหลบหนีสงครามเมืองลาวไปแต่ลำพังก็หาไม่ ผมจะอยู่ไปทำไม ในเมื่อผมไม่มีขาทั้งสองข้างที่จะใช้เดินเข้าสังหารข้าศึก ผมจะอยู่ไปทำไมในเมื่อไม่มีประโยชน์สำหรับแผ่นดินลาว ผมจะอยู่ไปทำไมให้เสียชายชาตินักรบ ผมขอลาก่อน ทุกๆคน?
ชีวิตการต่อสู้ของ รท.คำวงษ์ ศรีวรรณา ได้ปิดฉากลงแล้วอย่างน่าสงสารที่สุด เพื่อนเอ๋ย เพื่อนพบกับความสุขในบั้นปลายของชีวิตแล้ว โปรดรอกันด้วย ไม่ช้าไม่นาน เราอาจจะได้พบกัน
ผมมาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงแว้ดยาวก้องกังวานแหวกอากาศ จากเนินเขาบริเวณหลังที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต มุ่งหน้าไปยังบริเวณสนามบิน มองเห็นประกายไฟที่พ่นออกมาเป็นทางยาวคล้ายๆกับผีพุ่งไต้
?บึ้ม? เสียงระเบิดดังกึกก้อง เรือนโรงที่ใช้เก็บเครื่องบินลาดตระเวณ ไฟลุกขึ้นทันที
?เฮ้ย พวกมันถล่มเครื่องบินของอั๊วด้วย RPG แล้วโว้ย?
สไปร๊ทตะโกนขึ้นมา พร้อมกับผุดลุกชะเง้อศรีษะออกไปนอกกระสอบทรายด้วยท่าทางที่เป็นห่วง ?ไอ้ปากหมา? เครื่องบินคู่ทึกข์คู่ยากของเขาด้วยหัวใจจริง
เนื่องจากเรือนโรงถูกไฟไหม้ ส่งแสงสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ จึงทำให้ข้าศึกตรวจการณ์เห็นที่หมายอย่างชัดเจน
แว้ดที่สองก็คำรามติดตามมาในระยะใกล้กันอีก
คราวนี้ RPG กระทบผนังด้านนอกที่เป็นแผ่นสังกะสี ทะลุล่วงเข้าไปกระทบกับ ?ไอ้ปากหมา? ที่จอดซ่อนอยู่ข้างใน เสียงระเบิดและไฟที่ลุกโชนอยู่ทั่วบริเวณโรงเก็บ ?ไอ้ปากหมา? นอนตะแคงไฟลุกท่วมตัวอยู่ท่ามกลางโรงเก็บที่สลักหักพังนั่นเอง
?เสร็จกัน เพื่อนกู?
สไปร๊ทอุทานออกมา พร้อมกับหดศรีษะเข้ามานั่งนิ่งไม่ยอมพูดจาอะไรออกมาอีกเลย
ต่อจากนั้น เสียงปืนกล M.60 ปืน M.16 ปืน M.79 ก็รัวเป็นประทัดแตก มุ่งทิศทางการยิงไปยังจุดที่หน่วย ?แซปเปอร์? (กล้าตาย) ของข้าศึกลอบเข้ามาตั้งฐานยิง R.P.G. เข้าใส่สนามบิน
เหมือนกับไปยั่วยุให้พวกมันเกิดอารมณ์บ้าดีเดือดขึ้นไปอีก คราวนี้พวกมันเปลี่ยนทิศทาง ยิงถล่มเข้าไปในบริเวณตลาดล่องแจ้งและบ้านนายพลวังเปาเป็นว่าเล่นทีเดียว
เสียงปืนกลที่ใช้กระสุนส่องวิถีและR.P.G. วิ่งสวนทางกัน มองเห็นประกายไฟตัดกันอย่างสวยงาม ทหารรับจ้างบางคนที่ขวัญเสีย พอเห็นเพื่อนๆยิงปืนก็เอาบ้าง กราดM.16 ไปรอบทิศด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
แฟลร์จากปืน ค.81 ถูกยิงขึ้นไปสว่างโร่เหนือที่หมาย พอตรวจการ์พบข้าศึกกำลังวิ่งหนีก็เลยซัลโวกันขนานใหญ่ จนกระทั่งข้าศึกเงียบเสียงไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมหยุดยิง บก.ล่องแจ้งต้องสั่งหยุดยิงไปทางวิทยุ เสียงปืนที่เซ้งแช่อยู่รอบทิศ จึงสงบเงียบลงเหมือนปลิดทิ้ง
ต่อจากนั้นเหตุการณ์กลับคืนสู่สภาพปกติ จนกระทั่งเช้า พวกเราจึงออกเคลียร์พื้นที่ ก็พบหลักฐานที่บ่งใว้ว่า ณ บริเวณแห่งนั้น คือพื้นที่-ที่ข้าศึกใช้เป็นที่ ?ตรวจการณ์หน้า? คอยปรับทางปืนให้ปืนใหญ่ของมันทำลายสนามบินนั่นเอง ชะรอยมันจะเห็น ?ไอ้ปากหมา? ยังอยู่ในสภาพเรียบร้อยก็เลยช่วยกันจัดการเสียเลยเป็นการตัดการสอดแนมทางอากาศไปโดยปริยาย
ผมโดนเรียกตัวเข้าไปพบกับ ?นอร์แมน? ที่เพิ่งเดินทางมาจากอุดรโดยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบพิเศษที่มีรูปร่างกระทัดรัดกว่าแบบ ?เบลล์? ถึงเท่าตัว
ผมแทบไม่เชื่อประสาทหูตัวเอง ว่าจะฟังภาษาอังกฤษจาก ?นอร์แมน? ผิดความหมายไปหรือเปล่า?
นอร์แมนสั่งให้ผมขึ้นไปประจำกองพัน 616 เพื่อทำงานร่วมกับ ?เม้าแทร็ป? ซึ่งเป็น ?แฟ็ก? ประจำของกองพันทหารรับจ้างดังกล่าว
คำสั่งย่อมเป็นคำสั่ง ผมพร้อมที่จะออกเดินทางภายในชั่วโมงนั้นเอง
ด้วยประสพการณ์ที่ผ่านมา ผมสต็อค ?เรชั่น? ของ อสร. ชนิดเป็นซองเอาไปหลายสิบซองทีเดียว ต่อจากนั้นก็ขอยืมกระติกน้ำเพื่อนๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 ใบ และสิ่งสุดท้ายที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ หลวงพ่อทวดของเก่าแก่ที่ผมได้รับจากมือของคุณลุง เมื่อตอนกลับไปพักผ่อนที่ชุมพร อาราธนาเสร็จสรรพยกขึ้นบรรจงสวมใส่ศีรษะ ขนลุกซู่ไปทั่วสรรพางค์กาย เป็นอะไรก็เป็นกันซิวะ ผมคิดอยู่ในใจ
ผมมาถึง ?ชาร์ลี-ชาร์ลี? อันเป็นเนินที่สูงที่สุดของภูหมอกเมื่อเวลา 12.30 น. ผมได้มีโอกาสพบกับ ?กองสิงห์? ซึ่งเป็น ผบ.พันอารมณ์ดีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วที่ บก.ล่องแจ้ง
?คุณบิ๊กแมนครับ ผมคิดว่าขบวนรถถังของมันจะต้องหลบซ่อนอยู่ภายในถ้ำ หรือมิฉะนั้น ป่านนี้ คงจะเคลื่อนที่มาตามเส้นทาง เพื่อเข้ามายังฐานปฏิบัติการของพวกเราแล้ว หรือคุณมีความคิดเห็นอย่างไร?
?กองสิงห์? หันมาถามผมในขณะที่นั่งตรวจตราบริเวณซำทองด้วยกล้องสนามขนาดเล็ก แบบสองตา
?จากข่าวที่ฝ่ายเราสามารถดักฟังได้มา ทหารราบส่วนใหญ่ถูกอำนาจ B.52 ทำลายลงเกือบ 40 % ที่เหลือรอดตายเพราะเคลื่อนย้ายกำลังเข้ามาที่ ?บ้านน้ำชา? และรถถังของฝ่ายมันหลังจากสอบถามเชลยศึกที่หนีรอดมาได้ ปรากฏว่าเหลือเพียง 3 คันเท่านั้น
?ถ้าพวกมันมาอยู่บริเวณ ?บ้านน้ำชา? B.52 ก็ไม่สามารถจะทำงานได้ใช่ไหมครับ??
กองสิงห์ย้อนถามผมมาอีก
?แน่นอนครับ ขนาด B.52 ทิ้งที่ซำทอง บนชาร์ลี-ชาร์ลี? ยังสะเทือนไปหมด ขืนทิ้งที่ ?บ้านน้ำชา? ทหารรของพวกเราเห็นทีแก้วหูจะแตกกันไปหมดแน่ๆเลยครับ?
?คุณบิ๊กแมนมาอยู่กับพวกผมก็ดีแล้วครับ ผมจะได้ให้เม้าแทร็ปไปอยู่กับกองร้อยที่สอง ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวที่ ?แพ็ค? โฮเต็ล-โฮเต็ล
กองสิงห์เสนอแนะขึ้นมาอีก
?นอร์แมนจะส่งแฟ็กตนใหม่ขึ้นไปที่ ?แพ็คโฮเต็ล-โฮเต็ล? ในวันพรุ่งนี้ครับ สั่งมาให้บอกผู้พันว่า เฉพาะพื้นที่ ?ชาร์ลี-ชาร์ลี? ต้องมีแฟ็สองคน?
?นี่แสดงว่า พวกฝรั่งมันต้องรู้แหง๋ๆ เลยว่าพวกไอ้แกวมันจะเข้าโจมตีเราในเร็วๆนี้ อย่างแน่นอนใช่ไหมครับ?
?แต่ผมคิดว่าคงอีกนนานครับ พวกมันจะต้องเสริมกำลังเพิ่มเติมจากส่วนหลังอีก ผมคิดว่าทาง ?สกายไลน์? โน่นแหละครับ เห็นจะโดนจวกก่อนเรา?
ผมคาดคะเน ตอบไปตามความคิดของผมเอง
ผมขึ้นมาอยู่กับกองพัน 616 ได้ครบหนึ่งอาทิตย์พอดี ปรากฏว่า จะเป็นเพราะดวงของผมดีเหลือจะเดา ฐานปฏิบัติการของ 616 ไม่เคยโดน ?ลูกยาว? ของข้าศึกแม้แต่น้อย ทหารรับจ้างส่วนมากเป็นชาวเพชรบุรี และ ผบ.พันเองก็เป็นคนเพชรบุรี ฉะนั้นการปกครองสำหรับทหารรับจ้างกองพันนี้ จึงมีระเบียบวินัยดีกว่ากองพันอื่นๆเท่าที่ผมเคยเห็นมา คงจะเนื่องจากว่า บรรดาทหารรับจ้างเหล่านี้ ถูกเลือกเฟ้นเอาแต่เฉพาะลูกน้องเก่าๆ ในอดีตที่สมัยผู้พันเคยรับราชากรอยู่ ณ เมืองเพชรนั่นเอง
?อยู่ด้วยกันมานาน ย่อมรู้ใจกัน?
อันนี้แหละครับ ที่ทำให้ ?กองสิงห์? สามารถปกครองลูกน้องได้อย่างเด็ดขาดที่สุด
สนามบินล่องแจ้ง เปิดการจราจรทางอากาศได้แล้ว รันเวย์ถูกซ่อมอย่างรวดเร็ว คลังอุปกรณ์และกระสุนถูกย้ายไปเก็บไว้ที่สนามบินนาซู ซึ่งอยู่ห่างออกไปในระยะ 15 นาทีบิน
กองบัญชาการล่องแจ้ง แบ่งออกเป้นสองส่วน ส่วนหลังถอยไปตั้งมั่นอยู่ที่ นาซู เช่นกัน ปล่อยให้คนบวมๆ ที่มีความบ้า คอยเดินหลบ ?ลูกยาว? ที่ไม่รู้ว่าวันไดวันหนึ่ง พวกมันจะส่ง ?ของขวัญ? มาให้เราอีก
สนามบินล่องแจ้งที่เงียบเหงาก็เริ่มคึกคักเหมือนอย่างเดิม แต่เมื่อเวลาผมนั่งรถจิ๊ปผ่านสนามบินคราวไรก็อดเสียวขนหัวไม่ได้ ยิ่งมองเห็นซากสลักหักพังของโรงเรือน และบ้านช่องของประชาชนชาวแม้วแล้วอดที่จะหดหู่ใจไม่ได้ นี่แหละครับ ผลของสงคราม มีแต่คำว่า ทำลาย ทำลาย โดยมิหยุดหย่อน สร้างเสร็จก็ทำลาย กลายเป็นวงจรที่หมุนเวียนกันอยู่ชั่วนาตาปี
เมื่อสถานะการณ์ดีขึ้น ผมก็เลยมีโอกาสลงมากิน ?เฝ๋อ? ที่ตลาดล่องแจ้งอยู่เป็นประจำ
ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งสงสัยคำว่า ?เฝ๋อ? นะครับ มันก็ไอ้ก๋วยเตี๋ยวเราดีๆนี่เอง ที่แปลกออกไปหน่อยก็อีตรงที่ใช้เส้นแกงร้อนแทนเส้นก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นเอง
เวลาจะกิน ?เฝ๋อ? ต้องคอยสังเกตุให้ดี ผมเคยเจอเนื้อหมาตั้งหลายครั้ง สะอิดสะเอียนจนบอกไม่ถูก อย่างว่านั่นแหละครับ คนอื่นๆเขายังนั่งกินกันหน้าตาเฉย ผมเลยหลับหูหลับตากระเดือกมันเข้าไปอย่างแกนๆ
ทหารรับจ้างเอาเงินไทยมาทิ้งตลาดล่องแจ้งวันหนึ่งๆไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท อาหารการกินก็ถูก ?คุณแม้ว? ขูดเลือดอย่างสะเด็ดยาดไปเลย
เป๊บซี่ขวดเล็กขายตั้งแปดบาทถ้วนๆ แม่โขงจากบางยี่ขัน แบนเล็กที่ตลาดล่องแจ้งแบนละ 25 บาทขาดตัว แต่ขอโทษทีครับ พอขึ้นถึงบนแยวเพิ่มเป็น 30-40 บาทเลยก็มี คนขายไม่เคยง้อเสียด้วย ผู้ซื้อจะต้องอ้อนวอนจนแทบจะเตะกันตายด้วยความโมโห ถึงจะได้มากินกันพอเป็นกระสายยา
เรื่งอเหล้าแม่โขง เคยทำให้ทหารรับจ้างขึ้นศาลทหารไปตั้งหลายคน พอเหล้าเข้าปากก็เห็นช้างตัวเท่าหมูไปเสียแล้ว ยิงปืนเปรี้ยงปร้างขว้างระเบิดมือเล่นอย่างสนุกมือ ผู้บังคับบัญชาขอร้องกลับตะโกนด่าพ่อล่อแม่เสียอีก
พอตกตอนเช้า ถูกควบคุมไปล่องแจ้งขึ้นศาลทหารฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาต่อหน้าอริราชศัตรู โดนเข้าไปเบาะๆ 1 ปี 6 เดือน เจ็บแสบไหมล่ะครับ กฏหมายสงครามเมืองลาว และวันที่ผมอยู่บนกองพัน 616 ก็ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้ครั้งหนึ่ง ด้วยความเฉียบขาดของกองสิงห์ ทหารรับจ้างผู้นั้นก็ต้องติดตะรางตามคำสั่งศาบทหาร โดยมิได้รับความปราณีแต่อย่างใด
พวกข้าศึกมันสงบเงียบจนพวกเราตายใจ ข่าวคราวและการเคลื่อนไหวของพวกมันเงียบเหมือนจะยุติการโจมตีอะไรทำนองนั้น แม้แต่ข่าวกรองที่ดักฟังทางวิทยุของพวกมันก็ๆไม่มีข่าวที่พอจะทำให้เราพิจารณาอ่านแผนยุทธวิธีของพวกมันออกว่า พวกมันกำลังจะทำอะไร
?ลูกยาว? ที่เคยรบกวนสนามบินล่องแจ้งก็หายหน้าหายตาไปจนผิดสังเกตุ
ความเงียบเชียบเหล่านี้ ผมอดสังหรณ์ใจไม่ได้ มันช่างเหมือนกับครั้งที่ผมโดนโจมตีจนฐานละลายที่ภูเทิงเหลือเกิน คราวใดที่พวกมันไม่มีการเคลื่อนไหว คราวนั้นมักจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นทุกที ผมคาดการณืเอาไว้ว่า ไม่ช้าก็เร้ว พวกมันจะต้อง ทำอะไรซะกอย่างที่สร้างความเสียหายให้กับพวกเราอย่างแน่นอน
บทเรียนที่ผมเคยได้รับมา ข้าศึกจะอาศัยภูมิประเทศที่เป็นป่าทึบ หรืออาศัยความมืด เข้ามาเกาะฐานบังคับการของฝ่ายเราอย่างชนิดถึงบริเวณรั้วลวดหนามเลยทีเดียว
ตามปกติ ทหารจะออกลาดตระเวณเป็นวงกลมห่างจากฐานไม่เกิน 1 หรือ 2 ก.ม. แล้วก็กลับเข้าฐาน เท่าที่ผมสังเกตุหน่วยทหารรับจ้างบางหน่วย ออกลาดตระเวณดันพกถ้วยไฮโลและไพ่ป๊อกออกไปด้วยเสียนี่ พอลับตาผู้บังคับบัญชาก็นั่งโจ้ไพ่ไฮโลกันสบายใจเฉิบไปเลย
ข้าศึกมันเห็นเราอยู่ตลอดเวลา ที่มันยังไม่ทำอะไรเราก็เพราะมันกำลังดำเนินกลยุทธตามแบบฉบับของมันเท่านั้น ขอให้ถึงโอกาสและจังหวะของพวกมันเถิด มันจะเข้าขยี้พวกเราอย่างชนิดไม่เกรงกลัวกับความตายเลยทีเดียว
กองพัน 616 มี ผบ.พันที่ไม่เคยประมาท อีกทั้ง รอง ผบ.พันก็เป็นนักรบที่ผ่านมาแล้วทั้งเกาหลีและเวียดนาม ยี่ห้อ ?กองดี? จึงเป็นหลักประกันที่ทหารรับจ้างแทบทุกคนไว้วางใจแทบทุกกรณี
วันดีเดย์ของข้าศึกอาจะใกล้เข้ามาแล้ว กองพันทหารรับจ้างกองพันไหนจะเป็นกองพันที่ถูกชิมลางก่อน ก็จะได้รู้กันในเร็วๆนี้
□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 21:58  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19229

คำตอบที่ 8
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 7
ตามปกติแล้วยุทธวิธีในการทำสงครามต้องอาศัยกำลังพลจากทหารราบเป็นหลักสำคัญในการเข้ายึดครองภูมิประเทศ อันเป็นปราการที่จะป้องกันการเคลื่อนย้ายกำลังของข้าศึก ถึงแม้ว่าประเทศใดๆ ที่มีกองทัพอากาศที่เกรียงไกรสามารถส่งฝูงบินออกไปถล่มข้าศึกให้พังพินาศ แต่จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ถ้าไม่มีกำลังทหารราบเข้าไปยึดรักษาพื้นที่แห่งนั้นเอาไว้
แม้กระทั่งอาวุธหนักต่างๆก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปืนครก ปืนใหญ่ หรือปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง ถ้าขาดกำลังทหารราบคุ้มกันอย่างพอเพียงแล้ว จะต้องพบกับการถอนตัวไม่วาระใดก็วาระหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ดี อำนาจการยิงสนับสนุนของอาวุธหนักเหล่านี้ ก็สามารถที่จะช่วยให้ภารกิจของทหารราบลุล่วงไปได้มากทีเดียว เข้าทำนอง น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า นั่นแหละครับ
ก่อนการเข้าโจมต ฐานปฏิบัติการของข้าศึก ปืนใหญ่จากฐานต่างๆของกองพันทหารรับจ้าง จะถูกร้องขอให้กระหน่ำยิงพิกัดที่ฝ่ายเรามั่นใจว่า จะมีข้าสึกซุกซ่อนอยู่ขนาดใหญ่ บางทีระดมยิงกันเป็นชั่วโมงๆ ก่อนจะถึงเวลาเข้าตีกันเลยทีเดียว แล้วในขณะที่ปืนใหญ่ของฝ่ายเรากำลังซัลโวข้าศึกอยู่นั้น กองพันทหารรับจ้างก็เคลื่อนที่เข้าไปหาข้าศึกอยู่ตลอดเวลา
ครั้นถึงกำหนดการนัดหมาย การระดมยิงของปืนใหญ่ก็จะหมดภาระกิจยิงเป็นปลิดทิ้ง คราวนี้แหละครับโอกาสที่ทหารราบจะแสดงฝีมือก็ได้มาถึง ฐานปฏิบัติการไหนของข้าศึกที่มี “บังเกอร์” ที่แน่นหนา หรือว่าฝีมือการยิงปืนใหญ่ของฝ่ายเราห่วยเกินไป ก็ต้องประสพกับการต้านทานจากข้าศึกอย่างชนิด “ผึ้งหวงรัง” บางทีเข้าตีมันถึงสามสี่ระลอกก็ยังยึดฐานปฏิบัติการของพวกมันไม่ได้ จนกระทั่งต้องถอนกำลังกลับจุดเดิมก็เคยมี
ข้อแตกต่างระหว่างข้าศึกกับฝ่ายเราในขณะเข้าตี ก็คือการสนับสนุนด้วยอาวุธหนัก แตกต่างกันอย่างเทียบอะไรไม่ได้
เมื่อข้าศึกจะเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการของฝ่ายเรา พวกมันจะลำเลียงอาวุธหนักทุกชนิดที่กองพันของมันมีอยู่เข้ามาตั้งสนับสนุนกำลังพลของมันอย่างใกล้ชิดทีเดียว บางครั้งมันก็กระหน่ำพวกเราเสียจนโงหัวไม่ขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที...พวกมันก็ถึงรั้วลวดหนามเสียแล้ว คราวนี้อะไรจะไปเหลือครับผม
ผิดกับฝ่ายเรา เวลาจะเคลื่อนย้ายเข้าตี หมวดอาวุธหนักที่ติดกองพันเอาไปอย่างมากก็มีเพียง ค.60 ที่ไม่มีฐานยิง เพียงกองร้อยละ 2 กระบอกเท่านั้น ลูกกระสุนก็มีไม่กี่นัด นอกนั้น “แพ็ค” รอชอปเปอรืหิ้วเอาไปส่งให้เมื่อเข้าตีฐานข้าศึกได้เรียบร้อยแล้ว
การยิงปืนใหญ่ของฝ่ายเราก็เหมือนกัน มักจะบังเกิดความผิดพลาดขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งก็สร้างความสูญเสียให้กับพวกเดียวกันอย่างเหลือคณานับ
ขอให้ท่านผู้อ่านและผู้ที่สนใจ ลองสอบถามทหารรับจ้างที่ท่านบังเอิญรู้จักกันเป็นการส่วนตัวดูบ้างสิครับ แทบทุกคนจะส่ายหน้าเมื่อพูดถึงฝีมือการยิงปืนใหญ่ฝ่ายเรา
ยิงแต่ละครั้ง ห่างเป้าหมายเกือบครึ่งกิโลเมตร แถมบางครั้งยิงลูกตกลงกลางกลุ่มพวกเดียวกันนี่สิครับ มันเจ็บปวดกระดองใจอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว
แต่สำหรับตัวของผม ผมขอออกความเห็นในฐานะที่ผมเคยร่วมงานกับทุกๆฝ่าย จนสามารถรู้ตื้นลึกหนาบางของสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี...
ปืนใหญ่ไม่ได้ห่วยหรอกครับ “ผตน.” หรือ “ผู้ตรวจการณ์หน้า” ที่อยู่กับกองพันทหารรับจ้างเหล่านั้นต่างหากล่ะครับ ที่เป็นผู้สั่งการยิง มันป็นสิ่งที่พิสูจน์กันไม่ได้ว่าตรวจการณ์หน้าคนนั้น อ่านลักษณะภูมิประเทศและเป้าหมายที่จะทำการยิงผิดไปจากลักษณะความเป็นจริงหรือไม่...
ทิวเขาที่สลับซับซ้อน บางแห่งก็มีหุบเขาที่ลึกจนกระทั่งมองเห็นต้นไม้ลิบๆอยู่เบื้องล่าง ต่อให้แน่ขนาดไหนก็ตาม ย่อมจะมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา เมื่ออ่านพิกัดไม่ถูกต้อง และส่งพิกัดดังกล่าวร้องขอให้ปืนใหญ่สนับสนุน เรื่องทั้งเรื่อง มันก็ยิงไม่ถูกอยู่วันยังค่ำนั่นแหละครับ และบางครั้งเกิดจับพลัดจับผลูซวยขนาดหนัก ดินขับกระสุนปืนใหญ่เกิดไม่พอเพียง ซึ่งตามภาษาสงครามที่เขาเรียกว่ากระสุน “ช็อต” นั่นแหละครับ
แทนที่ลูกมันจะข้ามไปหาข้าศึก ดันหมดกำลัง หล่นตุ๊บลงกลางกลุ่มของฝ่ายเดียวกันเสียฉิบ และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ก็มีเป็นประจำเสียด้วยสิครับ และก็ไม่มีใครรับผิดชอบซะด้วย ไอ้ที่ตายก็ตายไป ไอ้ที่เหลือก็ห้ำหั่นกันต่อไปอีก จนกระทั่งตายจากกันไปข้างหนึ่งจึงจะหมดเวรหมดกรรม
เมื่อตรวจการณ์หน้าร้องขอมา ปืนใหญ่ก็ยิงสนับสนุน กว่าจะปรับวิถีกระสุนให้อยู่ “เหนือที่หมาย” ได้ พวกข้าศึกก็หลบอยู่ในรูที่พวกมันขุดชอนไปชอนมาอยู่ใต้ดินเบื้องล่างของฐานปฏิบัติการของพวกมันนั้นเอง ลูกกระสุนจะต้องผ่านซุงต้นใหญ่ๆ หรือบางทีก็ทะลุทะลวงโขดหินซึ่งเป็นปราการธรรมชาติอันแสนจะมั่นคงและแข็งแรง ดังนั้นเปอร์เซนต์ที่มันจะสูญเสียจึงมีน้อยมาก
เมื่อพวกมันพ้นจากอำนาจการยิงของปืนใหญ่ มันก็ซุ่มสงบเงียบคอยจังหวะที่จะขยี้พวกเราที่กำลังเคลื่อนที่เข้าหาพวกมัน
แล้วแค่ไอ้อาวุธประจำกายที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกมัน “พวกแกว” มันไม่ยี่หระหลอกครับ ขนาด T-28 ทิ้งระเบิดใส่พวกมันควันยังไม่ทันจาง พวกมันวิ่งขึ้นจากบังเกอร์เต้นกระหย็องกระแหย็ง กันให้เพ่นพ่านไปหมดอย่างไม่มีความกริ่งเกรงอะไรทั้งสิ้น
ผมขอท้าพนันได้เลยว่า ถ้าพวกมันไม่ขาดแคลนกระสุนหรือเสบียงอาหารอย่างขนาดหนักจริงๆแล้ว “ยากส์ส์” ครับที่พวกมันจะยอมให้ฝ่ายเราขึ้นไปเดินพาเหรดบนฐานของมันได้
เท่าที่ผมเขียนความเป็นจริงเรื่องนี้ขึ้น บางท่านอาจจะตำหนิที่ผมเขียนเชียร์ทหารเวียตนามเหนือ ในด้านความสามารถในการสู้รบจนเก่งเกินมนุษย์มนาจนเกินไป
ผมเขียนตามความจริงครับ ลองคิดดูอย่างง่ายๆ กองพันทหารรับจ้างได้รับการสนับสนุนจาก ซี.ไอ.เอ. อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น B-52, F-105, T-28 ก็ยังเอาชนะทหารเวียดนามเหนือไม่ได้สักครา พอถึงฤดูแล้งทีไรพวกเราเป็นต้อง “หางจุกก้น” เผ่นมาตั้งรับอยู่ ณ บริเวณเนินสกายไลน์ทุกที
โน่นครับ รอให้ถึงฤดูฝนโน่นแหละ พวกเราจึงได้อาศัยสภาพสิ่งแวดล้อมที่เป็นอุปสรรคในการขนส่งลำเลียงกำลังพลและอาหารเข้าจู่โจมข้าศึก จนกระทั่งข้าศึกถอยไปตั้งรับฝ่ายเราอยู่ ณ บริเวณทุ่งไหหิน
ที่ผมเขียนว่า ทุ่งไหหิน ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่าพวกมันจะถอยหนีเราไปจนสุดชายทุ่งนะครับ
ผิดถนัดเลย พวกมันหลอกล่อให้ฝ่ายเราติดตามมันไปเพียงแค่ชายทุ่งรอบนอกทุ่งไหหินเท่านั้นเอง พอกองพันทหารรัจ้างตั้งฐานบังคับการเสร็จไม่ถึง 48 ชั่วโมง มันก็เริ่มถล่มเราด้วยอาวุธหนักทุกชนิด ยังไม่ทัน 06.00 น. ดี ทหารราบพร้อมด้วยรถถังของพวกมันก็บุกขยี้ฝ่ายเราเสียแล้ว
บุกแล้วก็ถอย...ถอยแล้วก็บุกอีก
เฮ้อ สงครามลาวนี่เหมือนกับ “การค้าสงคราม” เลยนะครับ...ให้ตาย ผมยังเดาไม่ออกเลยครับว่าสภาพของสงครามในอนาคต มันจะลงเอยในรูปลักษณะเช่นไร
ฤดูแล้งนี้อีกเช่นเคย ฝ่ายเราก็ต้องเสียทีมัน ทุ่งไหหิน, บ้านนา, ไซร้ท72, มาจนสนามบินซำทอง อันเป็นประตูหน้าด่านที่จะเข้าเมืองล่องแจ้ง ก็ตกอยู่ในกำมือของทหารเวียดนามอย่างสิ้นเชิง
กองพันทหารรับจ้างที่ถอนตัวลงมาต่างก็กระจัดกระจายตั้งฐานบนจุดต่างๆของเนินสกายไลน์ที่ล้อมรอบเมืองล่องแจ้งเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เส้นทางคมนาคมต่างๆที่พุ่งเข้าหาเมมืองล่องแจ้งถูกตรวจตรา และยึดรักษาด้วยกำลังพลที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธที่ตระเตรียมเอาไว้ต่อต้านกับขบวนรถถังของข้าศึกโดยเฉพาะ
ปืนใหญ่หลายกระบอก ที่ถูกทำลายเมื่อครั้งทุ่งไหหินและซำทองพังพินาศ เพิ่งจะได้รับการเบิกทดแทนจาก “สกาย” ซึ่งเป็นหน่วยกลางที่ทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง ซี.ไอ.เอ. กับกองบัญชาการทหารรับจ้าง
หลังจากนั้นเจ้า “สกายเครน” หรือเฮลิคอปเตอร์ขนาดยักษ์ก็หิ้วปืนใหญ่ขนาด 155 ม.ม. ลอยละล่องแกว่งไปแกว่งมามุ่งไปตั้งฐานยิงบนเนินเขาด้านทิศตะวันตก ของ บก.ล่องแจ้งทันที
จากโควต้า 4 กระบอกที่ได้รับสดๆร้อนๆ ทำให้ฐานปืน “แคนเดิ้ล” และฐานปืน “เฮอร์คิวลิส” มีหน้าที่ป้องกันเมืองล่องแจ้ง และพร้อมที่จะสนับสนุนกองพันทหารรับจ้างในระยะการยิงไม่ต่ำกว่า 14 กิโลเมตรในทันทีทันใด เมื่อสร้างหอบังคับการยิงเสร็จ
ขวัญกำลังใจของทหารรับจ้างที่ตั้งฐานเป็นกันชนอยู่บนเนินสกายไลน์เริ่มดีขึ้น ต่างก็พากันคิดว่าอำนาจการยิงของปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกคงจะสามารถต้านทานการโจมตีของข้าศึกได้อย่างแน่นอน
ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะพอดี ผมและกลุ่มนายทหารของกองพันทหารรับจ้างที่ 616 นั่งรับประทานอาหารกันอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ที่มีร่มชูชีพสีฟ้าขนาดใหญ่ขึงกางบังแดดเอาไว้อย่างลวกๆ
อาหารการกินสมบูรณ์ คงจะเนื่องจากการจราจรทางอากาศของสนามบินล่องแจ้งเป็นปกติแล้วนั่นเอง กองพันของผมจึงมีทั้งเบียร์และเหล้าซดกันเป็นประจำ ยิ่งได้พ่อครัวฝีมือเอกอย่างหมอ “พรศักดิ์” จากเมืองเพชรเข้าไปด้วยอีกแล้ว ทำให้แป๊ะซะปลาช่อนตัวเท่าโคนขา เหลือแต่ก้างในเวลาอันรวดเร็ว
วิทยุ PRC.77 ที่มีข่าวการสื่อสารรับฟังกันได้ทุกกองพัน เงียบเสียงกันไปชั่วขณะ ชะรอยคงจะถึงเวลาอาหารกลางวัน ไอ้ข่าวคราวที่ไม่เร่งด่วนและสำคัญก็เลยถูก “ดึง” ไปโดยปริยาย
“ตอนเย็นก่อนเวลา 16.00 น. เล็กน้อย ผมอยากจะให้ฐานปืน “แคนเดิ้ล” ยิงเข้าไปบริเวณถ้ำหน้า “หมู่บ้านน้ำชา” สัก 6-7 ชุด เพราะเมื่อคืนทหารของเราตรวจการณ์เห็นแสงไฟส่องตอบโต้กันคล้ายๆกับจะเป็นอาณัติสัญญาณอะไรซักอย่าง ประเดี๋ยว “กองดี” ให้พนักงานวิทยุส่งข่าวร้องขอการยิงไปที่ “แคนเดิ้ล” ด้วยนะครับ”
กองสิงห์ หันไปพูดกับรอง ผบ.พัน พร้อมกับเลื่อนแก้วเบียร์ที่ล้นปรี่ออกมาให้ผมเป็นครั้งที่สาม
“ผมขอตัวครับ แค่สองแก้วผมก็ชักจะมึนๆแล้วประเดี๋ยวตอนดึกๆ “สตริงเกอร์” กับ “สปุ๊กกี้” จะมาทำงาน เกิดผมลิ้นไก่สั้นพูดกับนักบินไม่รู้เรื่อง เงินเดือนเดือนนี้เห็นทีจะต้องไปรับที่ฮานอยโน่นแหละครับ....ไอ้นอร์แมนมันจะต้องเฉ่งผมแน่ๆ ผมพอละครับ”
ผมตัดบทออกไปเพราะรู้สึกว่ากระเพราะของผมชักจะแสดงอาการไม่เข้าท่าเข้าทางขึ้นมาทุกที ก้เลยขอตัวกลับเข้าไปพักผ่อนอยู่ในบังเกอร์ ซึ่งได้รับความกรุณาจาก “กองดี” จัดหาทหารรับจ้างที่มีฝีมือดีมาสร้างให้อย่างแข็งแรง
คงจะเนื่องจากอาหารที่ผมสวาปามเข้าไปเต็มคราบนั่นเอง ทำให้หนังตาของผมหย่อนลงทุกที จนกระทั่งปิดสนิทเผลอหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
มาตกใจตื่นอีกทีก็อีตอนถูกกระชากอย่างแรงที่ข้อเท้าพร้อมๆกับมีเสียงตะโกนติดตามเข้ามาอย่างละล่ำละลักของหมอพรศักดิ์ที่พรวดพราดเข้ามาในบังเกอร์
“...บิ๊กแมน เตรียมพร้อมครับ กองพัน 617 บนเนินสกายไลน์โดนลูกยาวกระหน่ำเดี๋ยวนี้เอง”
ผมโงศีรษะขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ประสาทหูได้ยินเสียงระเบิดเซ็งแซ่อย่บนเนินสกายไลน์อย่างถนัดชัดเจน
ผมโผล่พรวดออกมานอกบังเกอร์ โดยไม่ลืมที่จะคว้าเจ้า M-16 อาวุธคู่มือออกมาด้วยความเคยชิน
เสียงระเบิดของลูกกระสุนนานาชนิดที่กำลังถล่มฐานปฏิบัติการของกองพัน 617 ทวีความรุนแรงขึ้นมาทุกขณะ
“ข้าศึก 3 หมวด กำลังโจมตีกองร้อยที่ 2 ห่างจากบริเวณรั้วลวดหนามประมาน 500 เมตร ช่วยให้แคนเดิ้ลสนับสนุนด้วยครับ”
เสียงพนักงานวิทยุจากกองร้อยที่ 2 ของกองพัน 617 ส่งข่าวถึง บก.ล่องแจ้งดังลั่นออกมาจากลำโพงของวิทยุ PRC-77 ได้ยินถนัดหู
“ทหารทุกคนเตรียมพร้อม เข้าประจำร่องสนามเพลาะให้หมด กองจันทร์สั่งเตรียมปืน ค 4.2 พร้อมยิงทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง”
กองสิงห์ ผบ.กองพัน 616 ออกคำสั่งประจำแนวรบแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยท่าทางที่เด็ดขาด และเอาจริงเอาจัง พร้อมกับใช้กล้องสนามตรวจการณ์ลักษณะภูมิประเทศหน้าฐานปฏิบัติการอย่างเอาใจใส่ชั่วครู่
“พวกมันเล่นงานกองพัน 617 เข้าแล้ว ผมสังหรณ์ใจชอบกล กลัวมันจะเข้าโจมตีพร้อมกันทุกด้าน หรือคุณมีความคิดเห็นยังไง บิ๊กแมน”
กองสิงห์หันกลับมาถามผม ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ
“ผมอ่านแผนของมันไม่ออกหรอกครับ แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้พวกมันเข้าโจมตี “ชาร์ลี-แทงโก้” แล้ว แต่ของเรายังเงียบอยู่ แต่ทหารของผู้พันก็พร้อมแล้วมิใช่หรือครับ”
ผมย้อนถามกลับไปอีก
“ครับ พร้อมแล้ว ถ้ามันให้โอกาสและเวลาผมพอที่จะรู้ล่วงหน้าเหมือนกับในขณะนี้ ก็พอได้ลุ้นกันสนุกละครับ”
กองสิงห์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆด้วยท่าทางที่ใจเย็นเอาการ
เสียงระเบิดบนยอดเนินสกายไลน์-ทู ยังดำเนินต่อไปอย่างมิได้หยุดยั้ง มันระเบิดเป็นช่วงๆ ติดต่อกันไม่ขาดระยะ ควันสีดำคละคลุ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นหย่อมๆ บางครั้งก็มีเสียงรัวถี่ๆ ของปืนอาร์ก้าสอดแทรกขึ้นมา เสียงอันเล็กแหลมของมันผิดแปลกไปจากเสียงปืนของฝ่ายเราจนสังเกตุได้ชัด
ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอก ไม่สามารถจะสนับสนุนกองพัน 617 ได้เนื่องจากภูมิประเทศบังคับ และยิ่งไปกว่านั้น ข้าศึกสามารถรุกคืบหน้าเข้ามาเกาะฐานบังคับการกองพัน 617 อย่างหนาแน่นเสียแล้ว
ฉากการประทะกันระหว่างอาวุธหนักและอาวุธประจำกายของข้าศึกกับทหารรับจ้างกองพัน 617 ก้ได้เริ่มขึ้นท่ามกลางสายตาของทหารรับจ้างกองพันต่างๆที่พากันส่องกล้องสนามแรงสูง ดูด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในชะตากรรมของเพื่อนร่วมสงคราม
มันเป็นเวลา 15.30 น. กองร้อย 2 ของกองพัน 617 ขออนุญาตถอนตัวไปยัง บก.ล่องแจ้งอย่างกระทันหัน และในขณะที่ บก.ล่องแจ้งกำลังตัดสินใจที่จะออกคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่นั้น ข้าศึก 2 กองร้อยก็จู่โจมขึ้นประชิดตัวฐานปฏิบัติการเลยทีเดียว
จากกล้องสนามแรงสูง ผมมองเห็นกลุ่มทหารรับจ้างวิ่งหนีออกจากฐานที่ตั้งมุ่งหน้ามายัง “ชาร์ลี-บราโว่” ซึ่งเป็นบริเวณที่กองร้อยที่ 3 ของกองพันผมตั้งฐานปฏิบัติการอยู่มองดูเป็นสาย
ผมเห็นประกายไฟวาบขึ้นมาจากฐานของกองพัน 617 ซึ่งขณะนี้ ทหารเวียดนามเหนือพรั่งพรูขึ้นมามองดูยั๊วเยี้ยไปหมด ต่อจากนั้นก็มีเสียงระเบิดติดตามขึ้นมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
มันเป็นกระสุนปืน ปรส. ขนาด 75 ของข้าศึกที่ยิงเข้าใส่กลุ่มทหารรับจ้างนั่นเอง และจำเพาะเจาะจงเกิดตกลงมาระหว่างกลุ่มเสียด้วย มันจะมีอะไรเหลือครับ ขนาดรถถังโดนเข้ายังพลิกคว่ำเป็นทอดๆ แล้วนี่เป็นเนื้อหนังของมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้กินเหล็กไหลมาจากไหน หลายสิบคนทีเดียวที่ผมเห็นล้มระเนระนาดสุมกันอยู่บนเนินสกายไลน์นั่นเอง
“ศรคีรีจากกองสิงห์ เปลี่ยน”
ผบ.พัน 616 เรียกกองร้อยที่ 3 ที่ตั้งฐานอยู่บริเวณใกล้เคียงกับกองพัน 617 พร้อมกับสั่งวางแผนการต่อไปอีกทางวิทยุสนามนั่นเอง
“ศรคีรีจากกองสิงห์ ให้คอยรับทหารจากจากกองพัน 617 ที่ถอนตัวมาหาพวกเราด้วย ให้เข้าแนวเสริมที่มั่น อย่าให้ผ่านขึ้นมาบน ชาร์ลี-ชาร์ลี เป็นอันขาดเพราะบริเวณทางเดินเต็มไปด้วยกับระเบิด ถ้าพวกเขาจะลงไป บก.ล่องแจ้งก็ปล่อยเขาไป”
“กองสิงห์จากศรคีรี รับทราบ รับปฏิบัติเปลี่ยน”
รอง ผบ.ร้อย อดีตนักรบจากเพชรบุรีซึ่งเคยผ่านการรบในป่าจากมาเลเซียมาแล้ว ตอบรับคำสั่งกับผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างห้วนๆ อันเป็นแบบฉบับในการทำงานในระหว่างสงครามที่ไม่ต้องการคำพูดแบบยืดเยื้อโดยไม่จำเป็น
□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 22:22  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19230

คำตอบที่ 9
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 8
เมื่อทหารเวียดนามเหนือขึ้นยึดฐานปฏิบัติการของกองร้อยที่ 2 ได้แล้วก็บุกตะลุยเข้าไปยัง บก.พัน ที่มีกองร้อยที่ 1 คุ้มกันอยู่อย่างรวดเร็ว หวังจะขยี้กองบัญชาการกองพัน 617 ให้ราบเป็นหน้ากลอง...
การสู้รบบนเนินสกายไลน์ได้ทวีความดุเดือดเหี้ยมเกรียมยิ่งขึ้นทุกขณะ กองร้อยที่ 2 ของกองพันทหารรับจ้างที่ 617 ต้องสูญเสียที่มั่นเป็นกองร้อยแรก ทหารรับจ้างที่รอดชีวิตแทนที่จะอยู่เสริมกำลังให้กับกองพัน 616 กลับแยกกลุ่มจากเพื่อนๆมุ่งหน้าไปยในหุบเขาบริเวณร่องน้ำที่ทอดตัวเองคดเคี้ยวลงไปยังหมู่บ้านชาวแม้ว ณ บริเวณเมืองล่องแจ้งที่มองเห็นลิบๆอยู่เบื้องล่าง โดยหวังจะเอาแต่ตัวรอดแต่เพียงลำพัง
ซวยอย่างมหาซวยเลยครับ ณ บริเวณพื้นที่ดังกล่าวทหารเวียดนามเหนือได้ตระเตรียมเอาใว้เป็น “คิลลิ่งโซน” (พื้นที่สังหาร” เอาใว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้พวกข้าศึกได้คาดการณ์เอาไว้ว่า ทหารรับจ้างส่วนใหญ่ จะต้องพากันถอยมายังบริเวณดังกล่าวนั้นอย่างแน่นอน
ด้วยกำลังพลเพียงหนึ่งหมวดที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธปืนเล็กกลได้ซ่อนพรางตัวเองอยู่ท่ามกลางความหนาทึบของภูมิประเทศเอาไว้อย่างเงียบเชียบรอเวลาที่จะขยี้ทหารรับจ้างที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างเลือดเย็น
มันเป็นความโชคดีของกองพัน 617 ที่ตัดสินใจพาทหารส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปตามเส้นทางคมนาคมบนเทือกเขาสกายไลน์แทนที่จะตัดตรงลงไปยัง บก.ล่องแจ้ง มิฉะนั้นแล้วยอดสูญเสียของกองพัน 617 จะต้องเพิ่มปริมานยิ่งกว่าเท่าที่เป็นจริงมากมายทีเดียว
ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกที่ตั้งฐานยิงอยู่ที่เมืองล่องแจ้ง เบนปากกระบอกสลุตกระสุนขึ้นไปบนฐานของกองร้อยที่ 2 ซึ่งขณะนี้ถูกข้าศึกบังคับให้ถอนตัวอย่างกระทันหัน เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของปืนใหญ่ที่ยิงพร้อมๆกันทั้ง 4 กระบอก ช่วยให้บรรยากาศของเนินสกายไลน์เพิ่มความน่าสะพึงกลัวยิ่งขึ้นป็นทวีคูณ
การยิงดำเนินไปได้เพียงชั่วครู่ ก็จำเป็นต้องยุติการยิงโดยฉับพลัน เมื่อได้ทราบข่าวว่ายังมีทหารรับจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ ตกค้างอยู่บนเนินฐานปฏิบัติการอีกหลายสิบคน
“ภูเวียง” ผบ.พัน 617 ออกคำสั่งป้องกันฐาน บก.พันอย่างชนิดสู้ตายคารัง ผบ.พันใจเด็ดพร้อมด้วย “ไทเกอร์” นายทหารคู่ใจที่เพิ่งสำเร็จมาจาก จปร. อย่างสดๆร้อนๆ นำทหารเข้าประจัญบานกับข้าศึกอย่างชนิดเลือดแลกเลือด
ด้วยกำลังพลที่มากกว่ากันจนเทียบกันไม่ติด เข้าทำนองน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ฐาน บก.พัน อันหนาแน่นที่คุ้มกันด้วยกำลังพลถึง 130 คน ฐาน บก.พันอันหนาแน่นที่คุ้มกันด้วยกำลังพลถึง 130 คน จากกองร้อยที่ 1 ของกองพัน 617 ก็ต้องประสพกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับกองร้อยที่ 2 เข้าอีก
และคราวนี้ก็ไม่ต้องมีใครสั่งให้ถอนตัวหรอกครับ เมื่อ “ภูเวียง” ถูกกระสุนอาร์ก้าเข้าบริเวณเหนือคิ้วซ้ายล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา ขวัญและกำลังใจของทหารเหล่านั้นก็โบยบินไปเสียแล้ว พวกเขาพากันห้อตะบึงออกจากฐาน บก.พัน มุ่งหน้าไปยังกองพัน 616 อย่างชนิดตัวใตรตัวมัน
เมื่อลูกน้องพากันหลบหนีจนหมดสิ้น “ไทเกอร์” นายทหารคู่ใจของ ผบ.พัน ก็จำใจต้องวิ่งติดตามกลุ่มทหารเหล่านั้นออกไปอย่างชนิดขวัญเสีย
บังเอิญเหลือเกินที่พนักงานวิทยุของกองพัน 617 อาศัยความรวดเร็วคว้าวิทยุติดมือออกมาได้อย่างหวุดหวิดก็เลยสามารถติดต่อกันได้ขณะถอนตัว
“ช่วยยิงคุ้มกันให้พวกผมหน่อยครับ ขณะนี้พวกมันวิ่งไล่ผมมาติดๆเลยครับ...กรุณาช่วยด้วยครับ”
พนักงานวิทยุกองพัน 617 กระหืดกระหอบขอตวามช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก จนได้ยินเสียงหอบฟืดฟาดออกมาจากลำโพงวิทยุอย่างน่าเหน็ดเหนื่อยแทน
“ยิง ค.81 คุ้มกันให้ 617 เขาด้วย ระวังอย่าให้โดนพวกเดียวกันนะโว้ย”
กองสิงห์ สั่งลูกน้องหมวดอาวุธหนักที่ประจำอยู่ ณ กองร้อย 3 บริเวณ ชาร์ลี-บราโว-แพด ให้ยิงสนับสนุนตามคำร้องขอด่วน
“ผมยิงให้ไม่ได้หรอกครับผู้พัน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พวกที่หนีก็แต่งชุดเสือพราน...ไอ้พวกที่กำลังไล่ติดตามก็แต่งชุดเสือพราน”
หมวดอาวุธหนักโวยวายมาลั่นอย่างเคลือบแคลงใจ
“ยิงเลยครับ...ไอ้แกวทั้งนั้น มันเอาชุดพวกเราที่ตายมาใส่แทนและวิ่งไล่หวังจะสวมรอยเข้าไปในฐานของพวกคุณพร้อมๆกับผมนี่แหละ ผมเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากฐาน...นี่ผม ไทเกอร์ ฝอ.3 พูดครับ”
นายทหารคู่ใจของ “ภูเวียง” กระหืดกระหอบส่งข่าวร้องขอการยิงต่อไปอีกอย่างร้อนรน
“ยิงสลุตเลยไอ้น้อง อั๊วจำเสียง ฝอ.3 ของกองพัน 617 ได้ไม่ผิดแน่”
กองสิงห์ตัดสินใจออกคำสั่งยิงทันที
ท่ามกลางอากาศที่กำลังสลัวลงทุกขณะ บนเส้นทางที่ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมบนเนินสกายไลน์ จะมองเห็นกลุ่มมนุษย์สองกลุ่มทิ้งระยะห่างกันไม่เกิน 400 เมตร ทุกคนมุ่งหน้าเข้ามายังฐานปฏิบัติการของกองร้อยที่ 3 ของกองพัน 616 มองดูดำมืดไปหมดทั้งถนน
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวที่ตกลงกึ่งกลางกลุ่มทหารเหล่านั้น จากแสงไฟที่สว่างแวบขึ้นมาทำให้ตรวจการณ์เห็นกลุ่มทหารที่กำลังวิ่งติดตามทหารรับจ้างฝ่ายเรา แตกขบวนถอยหลังเผ่นกลับไปยังฐานที่กองพัน 617 เพิ่งจะถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
“ชัดเลย ไอ้แกวทั้งนั้น ถล่มแม่มันเข้าไปไอ้น้อง ต้อนมันกลับเข้าไปในฐานเก่าให้หมด ประเดี๋ยวจะให้ “แคนเดิ้ล” กับ “เฮอคิวลิส” ช่วยกระหน่ำมันต่อไปอีก”
กองสิงห์ตะโกนออกคำสั่งเสียงลั่นวิทยุ พร้อมกับยกกล้องสองตาขึ้นปรับโฟกัสตรวจการณ์ต่อไปอย่างชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตา
“ผู้พันครับ ผมกลัวปัญหาอีตอนพวก 617 เข้ามาในฐานของพวกเรา สถานะการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอกครับ กรุณาแก้ปัญหาให้ผมด่วน”
รองผบ.ร้อย จากกองร้อยที่ 3 ส่งข่าวขึ้นมาหากองสิงห์อีกครั้ง
“ไอ้น้อง มีวิธีเดียวโว้ย ให้ทหารกองพัน 617 โยนอาวุธทุกชนิดเอาไว้ที่บริเวณรั้วลวดหนามก่อนเข้าฐานฝ่ายเรา เมื่อตรวจสอบโดยละเอียดว่าไม่มีพวกมันแปลกปลอมเข้ามา ค่อยให้ทหารออกไปขนอาวุธกลับเข้ามาในฐานต่อไป อย่าลืมติดต่อกับ ฝอ.3 และประสานงานกันตลอดเวลา กำชับให้ลูกน้องของเขาปฏิบัติงานตามแผนของเราอย่างเคร่งครัด ใครมีอาวุธเข้ามา ยิงทันที อั๊วรับผิดชอบเอง”
กองสิงห์แก้ปัญหาให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ด้วยมันสมองและปฏิภาณที่ยอดเยี่ยมจนผมอดที่จะชมเชยด้วยใจจริงไม่ได้
“โอเคครับ นี่ผม ฝอ. 3 พูด ได้ยินและรับทราบคำสั่งของผู้พันโดยตลอด รับทราบ รับปฏิบัติครับ”
“ไทเกอร์” ซึ่งเปิดวิทยุฟังอยู่ตลอดเวลาสอดขึ้นมาทันทีที่กองสิงห์พูดจบลง ทำให้ปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นลุล่วงไปอย่างหวุดหวิดที่สุด
ณ บริเวณสนามบินล่องแจ้ง เครื่องบิน “ปอรตเตอร์” ที่ได้รับการติดต่อให้มารับพวกหัวกระทิของซี.ไอ.เอ. กลับอุดร บินวนเวียนอยู่เป็นรอบที่สาม ไม่กล้าที่จะตัดสินใจลงรับพวกเจ้านายของมัน เนื่องจากปืนกลหนักที่ยิงสาดลงมาเป็นสายจากยอดเนินสกายไลน์นั้น
นักบินคงได้รับการอัดฉีดเข้าไปเป็นจำนวนมหาศาล ถึงได้ยอม “เสี่ยงตาย” ฝ่าห่ากระสุนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดระยะเช่นนั้น
เจ้าปอร์ตเตอร์ตัดสินใจ ลดเพดานบินถลาลงบนรันเวย์ทันที
มีเสียงกราวใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมๆกับแสงสว่างของกระสุนส่องแส่งวิ่งเป็นสายพุ่งมาจากยอดเนินสกายไลน์...ทิศทางของกระสุนคือเครื่องบินบ้าเลือดลำนั้น
อา ข้าศึกใช้ปืนกลหนักระดมยิงปอร์ตเตอร์เข้าให้แล้ว
คราวนี้ต่อให้บ้าเลือดขนาดใหนก็เห็นจะทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วครับ นักบินเร่งเครื่องยนต์เต็มที่...เชิดหัวดิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยคามเร็วที่เร่งสุดขีดแทบเครื่องยนต์จะหลุดออกเป็นชิ้นๆ
ไปแล้วครับ เจ้าปอร์ตเตอร์ที่เมินหนีต่อเงินโอเวอร์ไทมส์อย่างไม่ยอมแยแส มันบินหนีไปเสียแล้ว ปล่อยให้ “นอร์แมน” ถอดหมวกออกขว้างลงกับพื้นสนามแล้วใช้เท้ากระทืบด้วยความโมโหสุดขีด
ชะรอยพวกข้าศึกมันคงจะตรวจการณ์เห็นกลุ่มฝรั่งที่ยืนออกันแน่น ณ บริเวณ “เม็นแล้ม” มันก็เลยปล่อย ปรส. 75 ลงมา 3 นัดซ้อนๆ
คราวนี้การแข่งขันวิ่งเร็วที่ความเร็วอาจทำลายสถิติโอลิมปิคก็ได้บังเกิดขึ้น กลุ่มฝรั่งแตกฮือเผ่นกันอย่างลืมตาย วิ่งเกาะกันมุ่งหน้าเข้ามายังกองบัญชาการท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงหัวเราะเกรียวกราวของกลุ่มทหารรับจ้างที่ยืนดูอยู่ข้างแนวกระสอบทราย
“นอร์แมน” ใช้ช่วงขาที่ยาวเหยียดสปีดฝีเท้าพาตัวเองมาถึง บก.ล่องแจ้งก่อนเพื่อน
เท่าที่ผมทราบจากเพื่อนๆในวันนั้น อาการของนอร์แมนหนักกว่าเพื่อน พอมาถึง บก.ล่องแจ้งก็ชักพะงาบๆ ร้อนถึงคุณหมอ “ชลกร” ผู้สามารถ ต้องเข้ามาแก้ไข อาการของนอร์แมนจึงพ้น “โคม่า” ไปได้อย่างหวุดหวิด
เนินสกายไลน์ทู...ตั้งแต่ชาร์ลี-แทงโก้ ชาร์ลี-อัลฟ่า ไปจนถึง ชาร์ลี-ออสก้า ตกอยู่ในความยึดครองของทหารเวียดนามเหนือจนหมดสิ้นในพลบค่ำวันนั้นเอง
“ไทเกอร์” พาทหารเดนตายจากกองพัน 617 เข้ามาเสริมแนวที่มั่นของกองร้อยที่ 3 ของกองพันที่ผมประจำอยู่โดยเรียบร้อย
และจากการสำรวจยอดครั้งสุดท้ายเป็นที่น่าสังเกตุว่าทหารสูญหายไปเกือบ 80 คน ซึ่งการสูญหายครั้งนี้ ยังเป็นปัญหาที่จะจำหน่ายกำลังพลลงไปอย่างแน่นอนไม่ได้ว่า
“ยอดเหล่านี้เป็นยอดกำลังพลที่สูญเสียในการประทะกับเนินสกายไลน์อย่างแท้จริง”
ทางกองพันส่วนหลังจะต้องใช้เวลา 4 ถึง 5 วันที่จะคอยเช็คยอดทหารรับจ้างที่กระจัดกระจายหนีตายไปรอบๆทิศ
ทั้งๆที่เนินสกายไลน์ห่างจากเมืองล่องแจ้งเพียง 5 กิโลเมตร แต่ทหารรับจ้างบางคนก็ต้องใช้เวลาถึง 4 วันกว่าจะเล็ดลอดเข้าไปยัง บก.ส่วนหลังที่เมืองล่องแจ้งได้
จากการสอบถามทหารรับจ้างที่บาดเจ็บบางคนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในบริเวณฐานปฏิบัติการ ทำให้ บก.ล่องแจ้งสามารถประเมินข่าวได้ว่า ทหารเวียดนามเหนือใช้กำลังพลถึง 2 กองพัน (800 คน) ขึ้นบุกขยี้เนินสกายไลน์จนพังพินาศ
เป็นที่น่าสังเกตุว่า หลังจากทหารเวียดนามเหนือยึดยอดเนินดังกล่าวได้แล้ว กำลังพลส่วนใหญ่ของมันจะถอนตัวกลับลงไปแล้วทิ้งหน่วยระวังป้องกันเอาไว้จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
มันเป็นปัญหาว่า กำลังส่วนใหญ่ของข้าศึกซุกซ่อนอยู่ที่ใหน
พวกมันลำเลียงและส่งกำลังบำรุงกันได้อย่างไร ทหารนับพันๆคน การขนส่งอาวุธหรืออาหารจะต้องมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากลำบากนานาประการ
ทำไมฝ่ายเราถึงไม่เคยทราบข่าวคราวหรือตรวจการณ์พบขบวนลำเลียงของพวกข้าศึกเลย หรือว่าข้าศึกอาจจะมี “ชอปเปอร์” คอยบินส่งอาหารและอาวุธมาจากทุ่งไหหิน หรือคิดแบบบ้าๆ ว่า “แอร์-อมริกัน” คงจะเล่นตลกกับพวกผมเข้าแล้ว เผลอๆก็เลยถือโอกาสรับจ้างพวกเวียดนามเหนือขนอาวุธยุทโธปกรณ์แลกเงินค่าจ้างทั้งสองฝ่ายสบายแฮไปเลย
คืนนั้นทั้งคืนกองพันของผมไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย ทั้งผู้พันและลูกแถวถ่างตาคอยข้าศึกอยู่ตลอดเวลาด้วยความระแวดระวัง
เงียบ เงียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ยิ่งตกดึกยิ่งเกิดบรรยากาศที่น่าวังเวงขึ้นทุกที จนทำให้พวกทหารรับจ้างตามร่องสนามเพลาะเกิดอาการกริ่งเกรง กลัวพวก “แซปเปอร์” (หน่วยกล้าตาย) ของข้าศึกจะลอบคลานขึ้นมาจากหุบเบื้องล่าง ต้องขออนุญาตขว้างระเบิดหรือยิงปืน M-79 ออกไปนอกรั้วลวดหนาม อันเป็นการเคลียร์พื้นที่ไปในตัว
ตลอดทั้งคืนนั้น เหตุการณ์เลวร้ายก็ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้พวกผมได้พักผ่อนร่างกายเอาตอนก่อนสว่างนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็สามารถขับไล่ความเมื่อยล้าให้หมดไปได้บ้างพอสมควร
ก่อนสองโมงเช้า กองร้อยที่ 2 ที่ป้องกันที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตก็ได้รับคำสั่งจาก บก.ล่องแจ้ง ให้เคลื่อนย้ายไปป้องกัน “โรงเรียน ผบ.ร้อยทหารแม้ว” ที่ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาสกายไลน์และอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการของข้าศึกเพียง 2 ก.ม.เท่านั้น
ด้วยกำลังพลเพียง 120 คน บก.ล่องแจ้งมอบภาระกิจที่หนักอึ้งให้กับกองร้อยที่ 2 อีกแล้ว มันเป็นปัญหาว่า ถ้าข้าศึกเกิด “แหยม” ลงมาจากยอดเนินพร้อมกับเข้ “าแหย่” ด้วยการลอบเข้าโจมตีฉาบฉวย กองร้อยที่ 2 ของกองพันเราจะสามารถ “ รับ” ได้หรือไม่”
ปัญหาอันนี้แหละครับ ที่กองสิงห์ปรับทุกข์กับผมด้วยความห่วงใยในชะตากรรมของลูกน้องที่ต้องมาตั้งฐานโดดเดี่ยวห่างจากกองพันไปคนละทิศละทาง
ในขณะที่การขนย้ายกำลังดำเนินอยู่นั้น ทาง บก.ล่องแจ้ง ก็ประชุมวางแผนยับยั้งข้าศึกที่ยึดเนินสกายไลน์เกือบตลอดทั้งเนิน ด้วยการเคลื่อยย้ายทหารราบไปตั้งรับเป็นแนวตลอดความยาวของรันเวย์สนามบินด้วยหวังเพียงจะยันการบุกของข้าศึกที่ทะลักลงมาจากเนินสกายไลน์แล้วข้ามสนามบินมุ่งเข้าโจมตีเมืองล่องแจ้งในวาระต่อไป
เพื่อหวังผลเด็ดขาด “ดาวขาว” (นายพลวังเปา) ได้ร้องขอ B-52 ถล่มเนินสกายไลน์อีกครั้งภายในเที่ยงคืนของวันนั้น
ด้วยความกลัวว่าความลับในการทิ้งระเบิดจะรั่วไหล บก.ล่องแจ้งมิได้แจ้งให้กองพันทหารรับจ้างทุกกองพันทราบอย่างเด็ดขาด
ผลจากการทิ้งระเบิดในคืนนี้ ทหารกองร้อยที่ 2 ของกองพันของผมกฌต้องสังเวยชีวิตไป 3 คนเนื่องจาก อำนาจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ทำให้ “บังเกอร์” ถล่มทลายลงมาพังทับทหารรับจ้าง ที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขารมณ์
กว่าจะขุดรื้อซากบังเกอร์เอาออกมาได้ สามในสี่ก็หมดลมหายใจไปเสียแล้ว ปล่อยให้ ส.อ.แฟง แสงทอง รอง ผบ.หมวดที่นอนเอาหัวออกนอกบังเกอร์รอดชีวิตไปอย่างหงุดหงิดแต่เพียงคนเดียว
ทั่วทั้งเนินสกายไลน์ไฟลุกท่วมไปหมด ความสว่างไสวของแสงไฟและอำนาจระเบิดที่รุนแรงของมัน ทำให้ทหารรับจ้างทุกกองพัน เกิดความระส่ำระสายจนแทบจะสั่งการไม่ได้ คว้าเป้สนามขึ้นใส่หลังทำท่าจะเผ่นหนีออกไปจากฐานท่าเดียว แต่พอรู้ว่า B-52 มาทำงานเท่านั้น ก็บังเกิดความดีใจดห่ร้องพร้อมๆกัน ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเนินสกายไลน์
แน่นอนเหลือเกิน ถ้ากองพันทหารเวียดนามเหนือตั้งกองบัญชาการอยู่บนฐานดังกล่าวในคืน ก็เป็นอันเชื่อได้ว่า จะต้องประสพกับความสูญเสียอย่างชนิดละลายหมดทั้งกองพลเลยทีเดียว
ทหารเวียดนามเหนือมีสภาพเหมือนกับ “กองพันปิศาจ” เข้าทำนอง “รบมาก-ย่อมรู้มาก” พวกมันอาจจะรู้แกว ถอยลงไปจากยอดเนิน แล้วซุกซ่อนอยู่ตามถ้ำหินใหญ่บริเวณ “หมู่บ้านน้ำชา” ตามคำบอกเล่าของทหารรับจ้างที่บาดเจ็บกระเวอะกระเซิงหลบหนีมาถึง บก.ล่องแจ้ง ก็อาจจะเป็นได้ ถ้าเป็นความจริง...กำลังพลส่วนใหญ่ของเวียดนามเหนือ ก็จะต้องเหลือรอดอยู่มิใช่น้อย
อา! เมืองล่องแจ้งเห็นทีจะต้องพบกับศึกหนักอีกแล้วละกะมัง...
□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 22:38  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19231

คำตอบที่ 10
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 9
ควันไฟที่คละคลุ้งอยู่บนยอดเนินสกายไลน์ตั้งแต่ “ชาร์ลี-แทงโก้” ไปจนสุด “ชาร์ลี-ออสก้า” ที่เกิดจากอำนาจระเบิดของเครื่องบิน B-52 เมื่อตอนดึกของเมื่อคืน ยังปรากฏอยู่เป็นหย่อมๆไปทั่วอาณาบริเวณ
พอแสงอาทิตย์ส่องจ้าขับไล่สายหมอกบางๆที่ครอบคลุมยอดเนินจนมองเห็นแต่เพียงรางๆไปจนหมดสิ้น
ภาพภูเขาๆหัวโล้นก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ ขณะนี้ยอดที่สูงที่สุดของเนินสกายไลน์ทู แหว่งหายไปจนมองเห็นด้วยสายตาเปล่าอย่างถนัดชัดเจน สีเขียวสดของแมกไม้ที่มองดูเขียวสดชั่วนาตาปีของเนินสกายไลน์เปลี่ยนเป็นสีแดงของเนื้อดินที่ถูกอำนาจขุดคุ้ยของแรงระเบิดพลิกขึ้นมาแทนที่
จากการตรวจการณ์ด้วยกล้องสนามแรงสูงปรากฏหลุมบ่อมหึมาคล้ายๆกับเตาขนมครกขนาดยักษ์ที่ถูกอำนาจลึกลับจับขึ้นไปวางพาดขวางบนแนวสกายไลน์และเป็นที่น่าสังเกตุว่า หลุมเหล่านั้นเกาะกลุ่มเหมือนวิถีกระสุนที่บรรดามือปืนฝีมือเยี่ยมทั้งหลายบรรจงเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนเข้าสู่เป้าด้วยแนวกระสุนที่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างสวยงาม
ไม่มีหลุมระเบิดแตกกลุ่มออกมาจากเนินสกายไลน์ลงมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวหมู่บ้านชาวแม้วที่มองเห็นลิบๆอยู่เบื้องล่างเลยแม้แต่หลุมเดียว อย่างดีก็เพียงหล่นจากยอดเนินหลุดออกมาระเบิดเป็นรอยแหว่งอยู่ ณ บริเวณร่องสันเขาที่เป็นร่องน้ำเพียงสองสามหลุมเท่านั้น
ผมเพิ่งเคยเห็นความแม่นยำในการทิ้งระเบิดจากเครื่องอิเล็กโทรนิคของเครื่องบิน B-52 ในครั้งนี้เอง ทุกครั้ง B-52 บินไม่เคยต่ำกว่าสองหมื่นฟิตด้วยอำนาจกลไกที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ระเบิดหล่นสู่เป้าหมายได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์เต็ม
เสียงแหลมเล็กของเครื่องบิน “L-19” สองเครื่องที่เพิ่งบินมาจากสนามบินนาซู บินร่อนเล่นลมอยู่สูงลิบเหนือเนินสกายไลน์ทู เจ้าสไปร้ทเพื่อนรักของผมคงจะได้เครื่องบินประจำตัวใหม่แล้ว ผมเห็นว่าสไปร้ทกำลังบินตรวจการณ์ ก็เลยไม่กล้ากระเซ้าเย้าแหย่มันทางวิทยุเหมือนที่เคยทำ อย่างดีที่ผมกระทำก็คือ หมุนปุ่มวิทยุปรับความถี่ให้ตรงกับ “ไอ้ปากหมา” คอยรับฟังข่าวคราวที่สไปร้ทกำลังจะรายงานผลความเสียหายและการเคลื่อนไหวให้ “เบาน์เดอร์ คอนโทรล” (ศูนย์บังคับบัญชาพวกล่ามที่ขึ้นตรงต่อ ซี.ไอ.เอ.โดยเฉพาะ) ทราบ
สนามบินเมืองล่องแจ้งถูกปิดการจราจรทางอากาศ ไปโดยปริยายอุปกรณ์สงครามถูกลำเลียงเอามาเก็บไว้ ณ สนามบินนาซู เม็นแล้มที่เคยคึกคัก บัดนี้เงียบเชียบเหมือนป่าช้า อย่าว่าแต่คนเลยครับ แม้แต่สุนัขเลี้ยงของชาวแม้วก็ยังไม่กล้าที่จะเดินผ่าน คล้ายๆกับพวกสัตว์เหล่านี้มันมีสัญชาตญาณ ที่พอจะรู้ว่าอำนาจระเบิดเหล่านี้สามารถทำให้มันตายได้ ผมเคยเห็นมันวิ่งหางจุกตูดกัน เมื่อตอนลูกระเบิดถล่มล่องแจ้งแล้วอดเวทนามันไม่ได้ ทั้งคนทั้งสัตว์ต่างก็มีความกลัวต่อความตายเหมือนกันทั้งนั้น
ตลาดล่องแจ้งปิดตัวเอง ตั้งแต่เนินสกายไลน์ทูโดนโจมตี ประชาชนก็เริ่มอพยพออกจากหมู่บ้านอีกครั้งและครั้งนี้ถึงกับใช้รถยนต์ขนข้าวขนของออกไปเลยทีเดียว จะมีเหลืออยู่ก็เพียงผู้ถือโอกาสขายของกินเล็กๆน้อยๆ ด้วยราคาที่สูงลิบลิ่วเท่านั้นเอง
หน่วยระวังป้องกันสนามบินที่ขนานนามตัวเองว่า “สิงห์ทะเลทราย” ใช้รถจิ๊ปติดปืน ปรส.ขนาดเล็ก หน้ารถก็ติดตั้งปืนกลแบบ M-60 พร้อมด้วยทหารรับจ้างเดนตายที่แตกจากทุ่งไหหิน คุมกำลังออกกวาดล้างบริเวณเมืองล่องแจ้งด้วยหัวใจที่คลั่งแค้นและอาฆาตทหารเวียดนามเหนือจนเข้ากระดูกดำ
ทหารเวียดนามเหนืออย่าให้พวกสิงห์ทะเลทรายเหล่านี้เห็นเข้าเป็นอันขาดเลยนะครับ พวกเขาจะฆ่าอย่างไม่ปราณีเลยทีเดียว ฆ่าไม่ฆ่าเปล่ายังมีการทารุณศพด้วยกรรมวิธีพิสดาร ยกตัวอย่างเช่น แหวะอกทหารเวียดนามเหนือลากลำไส้ออกมาสับทิ้งแล้วตัดเครื่องเพศออกมางัดปากให้กว้างเต็มที่ ยัดเครื่องเพศของข้าศึกให้งับติดเอาไว้ที่บริเวณริมฝีปากนั่นเอง
ผมเคยถามว่า ทำไมทารุณศพพวกเขามากมายถึงขนาดนี้ ทหารรับจ้างเหล่านั้นกัดกรามแน่น หันมาตอบผมอย่างเครียดแค้นว่า
“แค่นี้ยังไม่สาแก่ใจพวกผมหรอกครับ เมื่อตอนผมแตกมาจาก “ภูห่วง” ขนาดเพื่อนผมยกมือยอมแพ้ มันยังยิงด้วยอาร์ก้าอย่างไม่ปราณีปราศัย คนเจ็บคนตายที่นอนระเกะระกะมันใช้ดาบปลายปืนทิ่มแทงอย่างโหดร้าย ผมหนีพวกมันมาเกือบเดือน คราวนี้เป็นทีของผมบ้าง ผมปฏิญาณเอาไว้แล้ว จะไม่ไว้ชีวิตของพวกมันแม้แต่คนเดียว”
ผมก็เลยต้องเดินหนี ไม่กล้าที่จะพุดคุยกับทหารรับจ้างหน่วยสิงห์ทะเลทรายอีกต่อไป เพราะผมสังเกตุเห็นแววตาของทหารดังกล่าว ชักจะแวววาวด้วยความบ้าเลือดขึ้นมาทุกที จับพลัดจับผลูเห็นหน้าผมเป็น “ไอ้แกว” ขึ้นมา ผมก็เสร็จเท่านั้น
ภูมิประเทศที่ใดที่กองพันทหารรับจ้างสงสัยว่าจะมี “ตรวจการณ์หน้า” ของข้าศึกซุกซ่อนอยู่ขอให้บอกมาเถอะครับ ต่อให้หนทางลำบากขนาดใหน ขอให้รถจิ๊ปบุกเข้าไปได้เท่านั้นแหละครับ ด้วยกำลังพลเพียง 5-6 คน หน่วยสิงห์ทะเลทรายจะบึ่งเข้าไปกวาดล้างในทันทีทันใดเลยทีเดียว
กองพัน 617 ถอยลงมาจากเนินสกายไลน์ได้รับคำสั่งให้ถอนออกจาก “ชาร์ลี-บราโว่” เมื่อรวบรวมกำลังพลที่ บก.ส่วนหลัง จนได้กำลังพลที่กระจัดกระจายลงมาเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าขึ้นไปตั้งรับข้าศึก ณ บริเวณแพค “โฮเต็ล-แทงโก้” ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของ บก.ล่องแจ้งนั่นเอง
เนื่องจาก “ภูเวียง” ผบ.พันคนเก่าเสียชีวิต ทาง บก.ล่องแจ้งต้องวิทยุเรียก “ขุนศึก” คนใหม่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแถวๆชายแดนอีสานของประเทศไทยและในอดีตเคยบังคับบัญชากองพันที่ 601 มาแล้ว
“คำคม” หรือ สุภาพบุรุษจาก “ดงอีนำ” ได้บินมาถึงล่องแจ้งในเช้าวันนั้นเอง พอตกเย็นก็เข้ารับหน้าที่บังคับบัญชากองพันทหารรับจ้างที่ 617 แทน ผบ.พันคนเก่าทันที
“เบาเดอร์ จาก สไปร้ท มีข่าวด่วน พบกองทหารเวียดนามเหนือประมาน 2 กองพัน กำลังออกจากถ้ำที่บ้าน “น้ำชา” มุ่งหน้าขึ้นมาบนเนินสกายไลน์ทูตามเส้นทางเข้าฐาน ชาร์ลี-แทงโก้ โปรดขอเครื่องบินมาทำงานด่วนครับ”
เพียงคำรายงานของสไปร๊ทไม่กี่คำ สร้างความตื่นตระหนกให้กับกองบัญชาการล่องแจ้งอย่างเหลือหลาย พนักงานติดต่อจาก “เบาน์เดอร์” ตาลีตาเหลือกส่งวิทยุเข้าฐานบินอุดร เพื่อขอเครื่องบินแบบ F-105 มาโจมตีทิ้งระเบิดกองพันทหารเวียดนามเหนือที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านสกายไลน์มุ่งหน้าเข้ายึด กองบัญชาการล่องแจ้งต่อไป
สไปร้ทดึงเครื่องบินตรวจการณ์ขึ้นสูงลิบอยู่เหนือก้อนเมฆ ชะรอยสไปร้ทมันคงจะรู้พิษสงของ ปตอ.ที่คุ้มกันขบวนทหารราบของทหารเวียดนามเหนือได้เป็นอย่างดี มันจึงเลิกนิสัยบ้าดีเดือดที่มันเคยทำเป็นนิจศีล บินลัดเลาะเล่นลมในระยะที่ ปตอ. ไม่สามารถจะสอยมันลงมาคลุกฝุ่นได้
กองพันของผมอยู่ในสภาพพร้อมรบตั้งแต่เมื่อวาน จึงไม่มีปัญหาอะไรที่จะสร้างความหนักอกหนักใจมากนัก
อีกประการหนึ่ง ขบวนรถถังของข้าศึกที่เหลืออยู่เพียง 3 คัน ก็สงบเงียบจนพวกผมพากันคิดว่า รถถังของพวกมันคงชำรุด หรือไม่ก็ขาดน้ำมันจนไม่สามารถบุกตะลุยฐานของพวกผมได้ต่อไปอีกพวกมันคงจะรอจังหวะหรือว่ารอน้ำมันจากกองส่งกำลังบำรุง ซึ่งกำลังซุกซ่อนและแฝงกายลำเลียงมาจากทุ่งไหหินโดยทางเท้า(ถนนที่สร้างเอาไว้บนภูเขา B-52 ทำลายลงบางส่วน จนไม่สามารถที่จะใช้เป็นทางคมนาคมได้)
ต่อจากนั้น ไม่ถึง 30 นาที ขบวนทหารราบของทหารเวียดนามเหนือก็พรั่งพรูขึ้นมาเต็มเนินสกายไลน์ทู มองเห็นจากล้องสนามเขียวพรืดไปหมดทั้งเนิน
เหมือนกับพระเจ้าช่วย เจ้า F-105 สามเครื่องลดเพดานบินวูบลงมาจากก้อนเมฆดิ่งเข้าเล่นงานทหารเวียดนามเหนือบนยอดเนินสกายไลน์อย่างรวดเร็ว
จรวดลูกแรกถูกยิงจากใต้ปีก ถล่มเข้าไปในกลางกลุ่มทหารเวียดนามเหนือ ประกายไฟผสมกับควันสีดำอมเทาพุ่งขึ้นสู่ฟ้าพร้อมๆกับเสียงระเบิดที่สะเทือนเลื่อนลั่น
กลุ่มทหารเวียดนามเหนือแตกฮือเหมือนกับผึ้งแตกรัง พากันวิ่งหนีเจ้า F-105 ที่กำลังยิงจรวดเข้าใส่อย่างเมามันอยู่บื้องบน
ทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งจากการตรวจการณ์ของสไปร้ทที่อยู่บน “ไอ้ปากหมา” รายงานให้ทราบว่า มีประมาน 200 คนลงไปซ่อนอยู่ในหลุมระเบิด B-52 สองสามหลุมที่บริเวณล่องน้ำด้านลาดลงเมืองล่องแจ้ง
คราวนี้เจ้า F-105 ทั้งสามเครื่องปราดเข้ารุมกินโต๊ะเป็นจุดเดียวกันเลยทีเดียว
จรวดทั้งหมดที่อยู่ใต้ปีกถูกสวิทช์พุ่งถล่มลงไปในบริเวณก้นหลุม B-52 ที่ทหารเวียดนามเหนือซุกซ่อนอยู่อย่างชนิดเทกระจาดกันเลยทีเดียว
“ทั้งสามหลุมเกลี้ยงหมดเลยครับ โน่น วิ่งไปทางชาร์ลี-ออสก้าร์อีก 100 กว่าคน ช่วยไล่ต้อนกลับมาที่ชาร์ลี-แทงโก้ด้วยครับ”
สไปร้ทรายงานการเคลื่อนไหวของข้าศึกให้ F-105 ทราบอีกครั้ง
จรวดที่เหลือชุดสุดท้ายกระหน่ำทหารเวียดนามเหนือล้มระเนระนาด ที่รอดจากอำนาจระเบิดก็เผ่นลงจากเนินหาที่กำบังตามมีตามเกิด
ฝูงบินจากอุดรแห่กันมาเล่นสงครามเลือดบนเนินสกายไลน์อีก 3 ฝูงตามคำร้องขอของ “เบาน์เดอร์ คอนโทรล” ที่หวังจะถอนรากถอนโคนทหารเวียดนามเหนือให้เกลี้ยงทั้งเนินสกายไลน์
เจ้าสามเครื่องจากฝูงแรก แตกกลุ่มกันลงมาจากท้องฟ้าไล่ทิ้งระเบิดขับไล่ทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งขระนี้กำลังหนีตายจากยอดเนินไปคนละทิศละทาง บางกลุ่มก็มุ่งหน้าไปทาง “ชาร์ลี-จูเลียต” ที่กองร้อยทั้งสองของกองพัน 616 ตั้งฐานขวางทางอยู่
“อิสเรสจากกองสิงห์ ข้าศึกประมาน 25 คน จากการตรวจการณ์ของไอ้ปากหมา กำลังเคลื่อนที่ไปที่ ชาร์ลี-จูเลียต ให้ระวังตัวด้วย”
“รับทราบ รับปฏิบัติครับ ขณะนี้ผมจัด “ชุดต้อนรับ” เอาใว้รับมือโดยเฉพาะเอาไว้แล้ว ก็ไอ้พวกหน่วยกล้าตาย ชุดเดิมของเรานั่นแหละครับ”
รอง ผบ.ร้อย กองร้อยท่สองกล่าวตอบ ผบ.พันของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
“บอกชุดกล้าตายของเราด้วย พยายามป้องกันฐานอย่างเต็มที่ ถ้าข้าศึกถอนตัว อั๊วมีรางวัลให้ “อาบน้ำ” ที่อุดร 3 วันพอใจมั้ย”
กองสิงห์ “ฉีดยา” ลูกน้องต่อไปอีก
“โอเคครับ ผู้พัน ไอ้พวกนี้มันอยากไปอาบน้ำที่อุดรจนตัวสั่นไปหมดแล้ว แบบนี้พวกมันสู้ตายแน่ครับ”
อิสเรสสวนคำพูดขึ้นมาทันทีทันควัน
ไม่มีกองทหารเวียดนามเหนือเหลืออยู่บนเนินสกายไลน์ทูอีกเลย จากการตรวจการณ์ของสไปร้ทที่บินลงต่ำ เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์บนยอดเนินเข้าสู่สภาพปกติแล้ว
“ข้าศึกล้มตายประมานไม่ต่ำกว่า 700 คน ไอ้เฉพาะที่นอนสุมกันอยู่ในหลุม B-52 ก็กว่าครึ่งเข้าไปแล้วครับ ประเดี๋ยวผมจะถ่ายรูปลงไปให้ บก.ล่องแจ้งดูด้วยตนเอง”
สไปร้ทตะโกนก้องวิทยุ พร้อมกับโฉบบินตรวจการณืต่อไปอีกอย่างละเอียดถี่ถ้วน เสียงไชโยดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหวในห้องประชุม บก.ล่องแจ้ง พวกฝรั่งของ “ซี.ไอ.เอ” จับไม้จับมือกันเองด้วยความยินดีปราโมทย์ที่สามารถยับยั้งทหารเวียดนามเหนือที่กำลังมุ่งหน้าข้ามเนินสกายไลน์ลงมายัง บก.ล่องแจ้งลงได้
คราวนี้อนาคตของล่องแจ้งที่ริบหรี่ ที่จวนจะดับแหล่มิดับแหล่ก็สว่างขึ้นชั่วคราว เพราะอำนาจการทิ้งระเบิดของฝูงบินจากอุดร ข้าศึกจะต้องใช้เวลาอีกนานเหลือเกินกว่าจะรวบรวมกำลังบุกเข้าเมืองล่องแจ้งอีกครั้ง
อากาศที่สว่างจ้าของเมืองล่องแจ้งเริ่มทำพิษอีกแล้ว อยู่ดีๆสายหมอกก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เริ่มปกคลุมเนินสกายไลน์จนมืดครึ้มไปหมด จนกระทั่ง “ไอ้ปากหมา” ทำงานไม่ได้ ต้องบินกลับไปยังนาซูในทันทีทันใดนั้นเอง
ยิ่งพลบค่ำมากเท่าใด สภาพเลวร้ายของอากาศก็ยิ่งทวีความมืดมากขึ้นเท่านั้น หมอกจับตัวลงต่ำ จนกระทั่งถึงตีนเขาสกายไลน์ และเริ่มลามเลียแผ่กว้างออกไปครอบคลุมอาณาบริเวณเมืองล่องแจ้งจนทึบไปหมดทั้งเมือง
สภาพอากาศเป็นใจให้กับข่าศึกเหลือเกิน คราวนี้เป็นโอกาสทองของพวกมันแล้ว พวกข้าศึกที่รอดชีวิตจากอำนาจระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆก็ค่อยๆทยอยกันออกมารวบรวมกำลังอย่างไม่ต้องคอยระมัดระวังการตรวจการณ์จากฝ่ายเราอีกต่อไป
คืนนั้น เป็นคืนที่ทหารรับจ้างจากกองร้อยที่สองของผมเตรียมพร้อมอย่างหนักที่สุด ทั้งลูกแถวและผู้บังคับบัญชาออกมานอนหมอบอยู่ในคูสนามเพลาะ อาวุธหนักและอาวุธประจำกายติดมืออยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะยิงได้ทันท่วงที
ไม่เสียหลายที่เตรียมรับมือพวกมันหรอกครับ ยังไม่ทันถึงห้าทุ่มดี พวกมันที่แตกฝูงลงมาจากเนินก็ประทะกับส่วนหน้าสุดของกองร้อยที่สองเข้าให้แล้ว
เนื่องจากคำว่า “อุดร” ที่กองสิงห์ให้คำมั่นสัญญากับหน่วยกล้าตายเอาไว้ ทำให้ทหารรับจ้างชุดนั้นสู้อย่างชนิดถวายหัวเลยทีเดียว
ทหารเวียดนามเหนือ 4-5 คนถูกอำนาจระเบิดมือของทหารรับจ้างนอนสุมกัน ณ บริเวณแท้งค์น้ำของโรงเรียน ผบ.ร้อยทหารแม้วนั่นเอง ที่เหลือก็วิ่งกระเจิงไปทาง “วัด” ที่อยู่หัวสนามบิน ก็เลยตกเข้าไปอยู่ในทิศทางปืนของกองพัน 618 เข้าไปอีก
คราวนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอกครับ ล่อกันให้มั่วไปหมด จนกระทั่งเสียงปืนอาร์ก้าที่กราดโต้ตอบขาดเสียงไป
ด้วยอำนาจของแฟลร์จากฐานปืนใหญ่ “แคนเดิ้ล” ที่ยิงสว่างโร่เหนือฐานกองพัน 618 สามารถตรวจการณ์พบทหารเวียดนามเหนือนอนตายอยู่อย่างถนัดชัดเจน
ไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจค้นหรอกครับ รอจนกระทั่งรุ่งเช้า หน่วยกล้าตายจึงออกไปเคลียร์พื้นที่ เคลียร์ไม่เคลียร์เปล่า ยังอุตส่าห์ยึดข้าวของสมบัติส่วนตัวของทหารเวียดนามเหนือที่เสียชีวิตติดมือกลับเข้ามาอีกด้วย
จากเอกสารและเครื่องหมายยศของผู้ตาย ทำให้เราทราบว่า ทหารกองพันนี้เป็นกองพันที่ 146 ของเวียดนามเหนือ หัวหน้าที่ควบคุมมียศเป็นนายร้อยโทและจากรูปถ่ายในซองธนบัตรยืนยันให้ บก.ล่องแจ้งทราบว่าทหารเวียดนามกองพันนี้ ผ่านการอบรมมาจากจีนแดงทั้งสิ้น
รวมเบ็ดเสร็จ 10 ศพพอดีที่ทหารรับจ้างของกองพันผสมสังหารข้าศึกได้ ทำให้ขวัญและกำลังใจของทหารรับจ้างที่เคยเกรงกลัวทหารเวียดนามเหนือเหมือนกับหนูกลัวแมวดีขึ้นแยะทีเดียว
จากคำสั่งของ บก.ล่องแจ้ง ให้กองพัน 618 และกองร้อยที่สองของ 616 จัดชุด “ล่าสังหาร” ขึ้นกวาดล้างบริเวณตีนเขาสกายไลน์ทูภายในเช้าวันนั้นเอง
ไม่มีพวกข้าศึกหลงเหลืออยู่หรอกครับ พวกมันที่เหลือรอดชีวิตก็พากันล่าถอยไปจากเนินสกายไลน์จนหมดสิ้น จะมีก็แต่ซากศพของพวกมันระเกะระกะไปทั่วอาณาบริเวณเท่านั้น
เหตุการณ์อันน่าสะพึงกลัวได้ผ่านพ้นไปในที่สุด และนอกจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาแผ้วพานมาทำความยุ่งยากให้กับพวกผมอีกเลย จนกระทั่งสามวันผ่านพ้นไปทาง บก.ล่องแจ้งก็ถอนกองร้อยที่สองให้ขึ้นไปเสริมกำลังบนเนินสกายไลน์ ที่ บก.พัน 616 ตั้งฐานอยู่ ตามคำร้องขอของกองสิงห์ ผบ.พัน 616 ที่ต้องการจะใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
เนินสกายไลน์วัน เป็นภูเขาแฝดสามยอด กองสิงห์คงจะเห็นว่า กองร้อยที่ 3 ที่อยู่บริเวณ “ชาร์ลี-บราโว่” มีสภาพภูมิประเทศที่กว้างเกินอำนาจป้องกันของกองร้อยที่ 3 ที่ขึ้นมารวมอยู่บนเนินสกายไลน์วันทั้งหมด
ทาง บก.ล่องแจ้งคงจะเล็งเห็นว่า ที่ตั้งฐาน 616 มีความสำคัญต่อกอง บก.ล่องแจ้งเป็นอันมาก ถ้าข้าศึกยึดฐานดังกล่าวได้ จะต้องใช้อาวุธหนักถล่มสนามบินได้สบายทีเดียว ก็เลยอนุมัติพร้อมกับส่งกองพัน 604 ขึ้นไปวางกำลังตั้งแต่ชาร์ลี-เอคโค่ เป็นต้นไปจนกระทั่งถึงชาร์ลี-บราโว่เลยทีเดียว
“เอาละครับ คราวนี้กองพันของผมมีครบทั้งสามกองร้อยแล้ว ขอให้พวกมันปีนเขาขึ้นมาเถอะ คงได้ฟัดกันสนุกมือละทีนี้”
กองสิงห์พูดขึ้นมา ในขณะที่พวกเรานั่งล้อมวงกันกินอาหารเย็น วันที่กองร้อยที่สามกำลังเคลื่อนย้ายกำลังพลเดินลัดเลาะตามถนนบนไหล่เขาขึ้นมาบนเนินสกายไลน์วันมองเห็นระยิบระยับไปหมด ผมอดขำไม่ได้ที่เห็นทหารรับจ้างบางคนไล่ต้อนจับเอา “ลา” ของชาวบ้านแม้วที่ทิ้งเอาไว้มาบรรทุกสัมภาระอย่างสบายใจเฉิบไปเลย แล้เจ้าลาดังกล่าวก้ไม่ยอมจากกองพันของผมไปจนกระทั่งมันเสียชีวิตเพราะบังเอิญเดินไปเหยียบเอากับระเบิดที่วางดักข้าศึกเอาไว้
□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 23:24  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19232

คำตอบที่ 11
       เคยติดตามผลงานมาโดยตลอด อ่านมันส์มากๆ



ใช่ครับ ผมก็เซฟเก็บไว้ เห็นห้องเหงาๆ เลยเอามาโพสให้อ่านกันแก้เบื่อครับ
จาก : phumjai(phumjai) 18/6/2556 12:29:38 [171.6.106.138]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TMVC031 จาก คนชายแดน 101.51.27.165 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 00:37  IP : 101.51.27.165   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19233

คำตอบที่ 12
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 10

กองพันทหารรับจ้างที่ 616 ได้ดัดแปลงภูมิประเทศและเสริมสร้างป้อมสนามขนานใหญ่ ต้นหญ้าที่อยู่ขึ้นหนาทึบบริเวณรั้วลวดหนามถุกกลุ่มทหารรับจ้างจุดไฟเผาเตียนโล่งไปหมด ทั้งนี้เพื่อป้องกันข้าศึกแอบเข้ามาขุดรูซุกซ่อน “เกาะ” ฐานปฏิบัติการของฝ่ายเรา ผบ.พันได้วางแผนตั้งรับข้าศึกด้วยการตั้งฐานปฏิบัติการเป็นสัดส่วนอยู่บนยอดเนินทั้งสาม โดยจัดให้กองร้อยที่ 3 ตั้งอยู่ที่หัวเนินแรกที่มีรูปร่างคล้ายกับหัวช้างพร้อมกับมีหน้าที่คุ้มกัน บก.พันและหมวดอาวุธหนัก ใช้ชื่อ “แพ็ด” ตามรหัสว่า “ชาร์ลี-ชาร์ลี”

ส่วนยอดกลางที่สูงที่สุดของเนินสกายไลน์วันที่อยู่ถัดออกไปประมาน 480 เมตร ให้เป็นหน้าที่ของกองร้อยที่ 2 ที่เพิ่งเคลื่อนย้ายมาจาก ชาร์ลี-จูเลียต เนื่องจากมีพื้นที่แคบ ไม่เหมาะที่จะให้ “ชอปเปอร์” ส่งกำลังบำรุงได้ จึงใช้ “แพ็ด” ร่วมกับ บก.พัน

สำหรับปีกซ้ายสุดที่เป็นเนินลาดลงไปยังบริเวณหมู่บ้าน 50 หลัง ซึ่งมองเห็นลิอบๆอยู่เบื้องล่างนั้น กองร้อยที่ 1 ถูกจัดให้รับหน้าที่สกัดกั้นข้าศึกที่อาจจะทะลักมาจากสนามบินซำทอง ใช้รหัส ชาร์ลี-กอล์ฟ เป็นชื่อชอปเปอร์แพด

จากการประสานงานกับกองพัน 604 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการตั้งแต่ทางแยกขึ้นเนินสกายไลน์ทู ไปจนกระทั่งถึงชาร์ลี-บราโว่ และต้องหยุดชะงักสะดุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะบริเวณต่อจากนั้นไปเป็นยอดเนินที่สูงที่สุดของสกายไลน์ทู ซึ่งบัดนี้ ถึงแม้ว่า B-52 จะโจมตีทิ้งระเบิดจนข้าศึกล้มตายเกือบหมดทั้งกองพันก็ตาม ปรากฏว่าข้าศึกที่รอดจากอำนาจการระเบิดได้กลับเข้ามายึดฐานปฏิบัติการเอาไว้อีก บางครั้งจะมองเห็นสัญญาณไฟโต้ตอบกันในเวลากลางคืนอย่างถนัดชัดเจน

พอตกถึงเวลากลางวัน ฝูงบินทิ้งระเบิดจากวังเวียงไม่ว่าจะเป็น F-105 หรือเจ้า T-28 ก็แห่กันมาเทกระจาดเข้าใส่เป้าหมายเหล่านั้นเป็นพัลวัล

เหมือนกับกองทัพปิศาจจริงๆครับ มิไยที่พวกเราจะโหมทิ้งระเบิดขนาดไหนก็ตามที พอตกตอนกลางคืนก็ยังมีแสงไฟโต้ตอบกันตามปกติอีก ทำให้ บก.ล่องแจ้งไม่กล้าที่จะตัดสินใจส่งกำลังทหารขึ้นยึดพื้นที่เหล่านั้นกลับคืนมา ก็เลยต้องตั้งฐานปฏิบัติการกันชนอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้นเอง

จากบริเวณทางแยกจะมีถนนสร้างตามไหล่เขา ตัดขึ้นมายังฐานของกองพันของผม และพื้นที่เหล่านี้ ถ้าจะเปรียบก็เสมือนหนึ่งเป็นส่วนหน้าสุดที่กองพันของผมจะต้องวางแผนป้องกันเป็นพิเศษจริงๆ

กองสิงห์ต้องตัดสินใจแบ่งกำลังพลจากกองร้อยที่สองอีกสองหมวด ลงไปสร้างฐานปฏิบัติการในบริเวณดังกล่าว พร้อมด้วยอาวุธหนักแบบ ค.60 สองกระบอกที่ตั้งทิศทางการยิงไปยังเส้นทาง “ซำทอง-ล่องแจ้ง” ซึ่งทอดตัวเองคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา และปลายสุดของมันตัดตรงเข้ามาสดุดอยู่ในบริเวณทางแยกเบื้องหน้าพอดิบพอดี

หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยตามแผนยุทธวิธีแล้ว กองสิงห์ก็ร้องขอปืนใหญ่จากฐานแคนเดิ้ล ยิงถล่มภูมิประเทศบริเวณรอบๆฐานและที่ที่ซึ่งสงสัยว่าพวกข้าศึกจะซ่อนพรางอยู่ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม

“คราวนี้พวกเราจะได้นอนตาหลับกันบ้างล่ะ บอกตรงๆครับ คุณบิ๊กแมน ไอ้ถ้ำใหญ่ที่มีน้ำตกถ้ำนั้น ผมคิดว่าจะต้องเป็นที่รวมพลของพวกมันอย่างแน่ๆ แต่มันเรื่องอะไรที่ผมจะส่งคนของผมออกไปกวาดล้างพวกมัน...ลักษณะภูมิประเทศที่เป็น “ซอง” แบบนั้น กว่าเด็กของผมจะบุกเข้าไปถึงปากถ้ำ ก็เห็นจะเหลือรอดชีวิตเพียง 2-3 คนเท่านั้น ผมคิดว่าต่อให้สามกองพันก็ยังทำอะไรพวกมันไม่ได้”

กองสิงห์เอ่ยขึ้นมาในขณะที่นั่งตรวจการณ์ บริเวณปากถ้ำน้ำตกด้วยกล้องสนามอยู่บนแนวกระสอบทรายที่วางซ้อนกันเป็นแนวยาวคดเคี้ยวไปตามร่องสนามเพลาะ

“ผมรายงานไปทางเบาน์เดอร์-คอนโทรล ตั้งหลายครั้ง เขาก็ยังไม่เห็นจัดการอะไรให้เราซักที ผมเคยถามด้วยตนเอง มันกลับตอกหน้าผมเสียหน้าชาว่า “ยูมีหน้าที่เป็นล่าม ก็ทำหน้าที่ของยูไปก็แล้วกัน ยุทธวิธีเป็นหน้าที่ของเบาน์เดอร์...เข้าใจ๋” ผมโมโหก็เลยตะคอกมันกลับไปว่า “ยูจะปล่อยให้ข้าศึกมันรวบรวมกำลังอยู่ในที่อับกระสุน โดยฝ่ายเรานั่งงอมืองอเท้า นั่งกระดิกขามองดูเฉยๆ ก็เอาซีวะ สบายดีเสียอีก ไอ้เรื่องที่จะให้กำลังพลของอั๊วลงไปกวาดล้างโดยไม่ทิ้งระเบิดให้พวกอั๊วก่อน เห็นจะยากว่ะ พรรคพวก”

กองสิงห์หัวเราะพร้อมกับกล่าวต่อไปอีก

“ผมไม่อยากบอกกับพวกมันหรอกครับ ไอ้นอร์แมนมันเอาแต่ได้ของมันฝ่ายเดียว มันสั่งให้พวกเราบุกขยี้ข้าศึกโดยไม่คำนึงถึงผลเสียเปรียบได้เปรียบของภูมิประเทศ ถ้าพวกเราโชคดียึดฐานของข้าศึกได้ แสดงว่าแผนยุทธวิธีของนอร์แมนได้ผล เจ้านายของมันก็จะต้องเพิ่มเงินเดือนให้มันเท่านั้น แล้วทางเราจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง นอกจากยอดความสูญเสียจะเพิ่มเป็นเงาตามตัวเท่านั้น นี่ขนาดยังไม่ประทะกับข้าศึก ทหารของผมก็ตายไป 16 คนแล้ว ไอ้นอร์แมนมันพูดว่ายังไงอีกครับ”

“ไอ้นอร์แมนมันตอบเสียงอ่อนลงว่า ไอ้ถ้ำใหญ่ถ้ำนั้น มันเห็นแล้ว ต่อให้เอา B-52 ทิ้งปูพรม พวกข้าศึกก็นั่งกระดิกเท้าฟังเสียงระเบิดสบายไปเท่านั้นเอง มันเป็นภูเขาหินทั้งลูกที่กองพันทหารแม้วที่ 222 และ 226 เคยเข้าไปหลบซ่อนอยู่ได้ท้งสองกองพัน แล้วยังเหลือพื้นที่พอที่จะเก็บสัมภาระและอาวุธยุทโธปกรณ์ได้อีกพะเรอเกวียน ยูไม่ต้องตกใจหรอก ทางเบาน์เดอร์กำลังรอกำลังพลจากทหารลาวที่ฝึกการรบอยู่ที่สุวรรณเขต ซึ่งขณะนี้เตรียมตัวจะเคลื่อนย้ายมาถึงล่องแจ้งภายในวันสองวันนี้ ไอจะให้กองพันทหารลาวดังกล่าวเป็นส่วนหน้า โจมตีขุมกำลังของข้าศึกในบริเวณถ้ำใหญ่ แล้วกองพัน 604 และ กองพันยูเข้าเป็นส่วนหนุน ยูพอใจไหม?”

“ถ้าเป็นอย่างที่นอร์แมนมัน “ยาหอม” ก็ดีซิครับ ผมพอจะเดาแผนของนอร์แมนออกอย่างทะลุปรุโปร่ง กองพันทหารลาว 5 กองพันที่กำลังฝึกอยู่ที่สุวรรณเขตเป็นกองพันเด็กหนุ่มที่ไม่เคยผ่านการรบมาก่อนเลย แน่นอนเหลือเกิน เด็กหนุ่มพวกนี้จะต้องฮึกเหิมอยากจะจับอาวุธยิงกราดให้ชุ่มมืออยู่ทุกขณะ นอร์แมนจะต้องส่งทหารลาวดังกล่าวขึ้นบุกสกายไลน์ทู เพื่อยึดฐานปฏิบัติการของเรากลับคืนมาให้ได้ คอยดูสิครับ เลือดจะต้องท่วมเนินสกายไลน์อีกครั้ง กองพันทหารลาวจะต้องพบกับการสูญเสียอย่างชนิดครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว”

กองสิงห์กล่าวขึ้นมา พร้อมกับห้อยกล้องสนามเอาใว้ที่บริเวณหน้าอก ต่อจากนั้นก็ลุกขึ้นชวนผมเดินกลับเข้ามายังศูนย์วิทยุของ บก.พัน เพื่อรับฟังข่าวคราวการเคลื่อนไหวของกองพันทหารรับจ้างอื่นๆต่อไป

“ทหารของใครครับที่เดินอยู่บริเวณท้ายสนามบิน มีกำลังพลประมาน 150 คน พร้อมด้วยอาวุธประจำกาย ขอให้ทาง บก.ล่องแจ้งช่วยตรวจสอบให้ด้วยครับ”

พนักงานวิทยุของกองพัน 604 ซึ่งตั้งฐานอยู่บนเนินบริเวณท้ายสนามบินตรวจการณ์พบกลุ่มทหารจึงรีบรายงานให้ทาง บก.ล่องแจ้งทราบโดยด่วน

ทาง บก.ล่องแจ้งยังมิได้สอบถามไปยังทาง ทชล. (ทหารชาติลาว) บรรดาทารรับจ้าง บก.พันส่วนหลังของกองพันต่างๆที่ทราบข่าวจากวิทยุที่ดักฟังการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ก็บังเกิดความอลเวงและตื่นตระหนก มิหนำซ้ำยังมีมนุษย์ตาแหกที่วิ่งหนีมาจากบริเวณตลาดล่องแจ้งพร้อมกับตะโกนเสียงหลงว่า

“ทหารแกวลงมาที่สนามบินแล้วโว้ย พวกมันกำลังบุกมาที่ บก.ล่องแจ้ง ตัวใครตัวมันโว้ย”

คราวนี้ก็ถึงวาระตัวใครตัวมันอีกครั้ง กลุ่มทหารรับจ้าง ไม่ว่าเจ้านายและลูกแถว ต่างก็คว้าเป้สนามขึ้นสะพายหลัง เผ่นตาลีตาเหลือกห้อแน่บไปยังบริเวณหลังที่ประทับกันเป็นพัลวัล

ยิ่งมีเสียงปืนกลรัวเป็นประทัดแตก ดังติดต่อกันเป็นระยะเข้าอีกแล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้สถานะการณ์ดังกล่าวทวีความตึงเครียดขึ้นทุกขณะ

ทหารปืนใหญ่ที่แตกมาจากทุ่งไหหินกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ยิง ค. 4.2 ณ บก.ส่วนหลัง แทนที่จะบรรจุลูกกระสุนเตรียมต่อสู้ กลับใช้ C4 อัดแน่นลงไปในลำกล้อง ล่ามสายชนวนระเบิดปืนจนกระทั่งปากกระบอกขาดกระจุยเหมือนโดนขวานจาม ต่อจากนั้นก็ติดตามกลุ่มทหารรับจ้างกองพันต่างๆ ซึ่งขณะนี้เกาะขบวนเดินลัดเลาะไปตามถนนบนไหล่เขา มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ตัดตรงไปยังเมืองนาซูที่อยู่ห่างออกไปเกือบสี่สิบกิโลเมตร

หลังจากสอบถามกันเป็นโกลาหลอยู่ชั่วครู่ ทชล.ก็ตอบกลับมาว่า ทหารดังกล่าวเป็นกลุ่มทหารจากกองพันสุวรรณเขตที่ได้รับคำสั่งจาก พอ. โซราย่าให้กวาดล้างบริเวณท้ายสนามบิน และเนื่องจากเป็นเวลากระทันหัน จึงมิได้แจ้งให้ทาง บก.ล่องแจ้งทราบ...

กว่าจะรู้เรื่องกัน ก็เล่นเอาอลเวงไปทั้งล่องแจ้ง นอกจากนั้นก็ยังมี บก.ส่วนหลังของกองพันต่างๆเอาของส่วนตัวของทหารรับจ้างที่ฝากใส่ถุงทะเลเอาไว้ นำมารวมกันแล้วราดด้วยน้ำมันเบนซินเผาจนเกลี้ยงไปหมด เรื่องทั้งเรื่องมันก็ต้องหาทางจำหน่าย เพื่อเบิกทดแทนให้แก่ทหารเหล่านั้นอีกครั้ง

ผมโดนเรียกตัวลงมาช่วยราชการชั่วคราวอยู่ที่ “เบาน์เดอร์-คอนโทรล” ปล่อยให้ “เม้าส์แทร็ป” เฝ้าโยงอยู่กับกองสิงห์แต่เพียงลำพังบนฐาน “ชาร์ลี-ชาร์ลี”

ในที่สุดกำหนดการเคลื่อนย้ายของกองพันทหารลาวทั้ง 5 กองพันจากสุวรรณเขตมายังล่องแจ้งก็ได้มาถึง

ซี.ไอ.เอ. ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดให้เครื่องบินลำเลียงขนาดยักษ์ “C-123” (ไอ้หมู) เสี่ยงลงสนามบินล่องแจ้ง เพราะไม่มีวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว บก.ล่องแจ้งต้องการใช้เวลาในการขนส่งให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้เพราะหมายกำหนดการในการเข้าตีเนินสกายไลน์-ทู ของกองพันทหารเหล่านี้ พร้อมที่จะปฏิบัติบัติการภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากการขนส่งได้เสร็จสิ้นลง

สนามบินล่องแจ้งถูกเคลียร์อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง

พอถึงเวลา 9.00 น. “ไอ้หมู” ตัวแรกก็กางฐานล้อลดเพดานบินลงสู่รันเวย์ พอแตะพื้นเท่านั้นเอง...

เสียง “ตุ้ง…วี้ด...กรั้ม” ก็ดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับมีควันไฟสีขาวกระเด็นแวบขึ้นมา ณ บริเวณขอบรันเวย์ด้านนอก

อา...ข้าศึกใช้ ปรส.75 ยิงเครื่องบินลำเลียงเข้าให้แล้ว

“ไอ้หมู” เบรคอากาศ แล้วแท็กซี่เครื่องหลบเข้าไปในช่องเขาบริเวณสนามบิน ซึ่งเป็นบริเวณเดียวที่มีภูมิประเทศ “อับกระสุน” พร้อมกับเปิดประตูด้านท้ายออกอย่างรวดเร็ว
กลุ่มทหารลาวทะลักกันลงมาเหมือนกับสายน้ำ ต่างคนต่างแต่งกันลงจากเครื่องบิน แล้ววิ่งไปหลบ “ลูกยาว” ของข้าศึกที่จ้องจะเล่นงานเครื่องบินลำเลียงอยู่ทุกขณะ

บก.ล่องแจ้งสั่งการให้ฐานปืนใหญ่ “แคนเดิ้ล” ยิงถล่มขึ้นไป ณ บริเวณที่ตั้งปืนของข้าศึกบนยอดเนิน “ชาร์ลี-แทงโก้” ในทันทีทันใด

ในขณะที่ปืนใหญ่กำลังสลุตกระสุนอยู่นั้น “ไอ้หมู” ได้โอกาสก็เร่งเครื่องยนต์เต็มที่พาเครื่อง “ไดร๊ฟ” ขึ้นสู่ท้องฟ้าเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปยังสุวรรณเขตเพื่อขนย้ายกองพันทหารลาวต่อไป

“บอกเบาน์เดอร์ด้วยครับ เวลาผมยิงปืนใหญ่อย่าเพิ่งปล่อย “ไอ้หมู” เกิดโดนกระสุนของฝ่ายเราตก ใครจะรับผิดชอบครับ”

“ซีโร่” ศูนย์บังคับการยิงปืนใหญ่ต่อว่า “เบาน์เดอร์” ทางโทรศัพท์สนาม

“ผมบอกนักบินแล้วครับ นักบินเขาขอเสี่ยงเอง โดยจะใช้เวลาวิ่งบนรันเวย์ให้นานที่สุด กะว่าพอถึงหัวสนามบินก็จะไดร๊ฟเครื่องขึ้นไปเลย นักบินเขากะแล้วครับ ว่าระยะนั้นปลอดภัยจากวิถีกระสุนของปืนใหญ่ฝ่ายเราแน่ๆ”

“โอเคครับ ถ้าเขาจะเสี่ยงพวกเขาก็รับผิดชอบตัวของเขาเองก็แล้วกัน ผมมีหน้าที่ยิงคุ้มกัน อันตรายนอกเหนือจากนี้ ผมไม่ขอรับรู้ด้วย ถ้าจะเล่นพิเรนกันแบบนี้ก็ได้ ผมจะยิงแบบ “โซนสวิป” ให้อร่อยเหาะไปเลย”

พนักงานวิทยุจาก “ซีโร่” ส่งข่าวมาอีกครั้ง

คงจะเนื่องจากอำนาจการยิงที่รุนแรงของปืนใหญ่ฝ่ายเรา ทำให้ข้าศึกต้องลาก ปรส.75 ของมันลงไปหลบอยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน และยิ่งไปกว่านั้น T-28 สามเครื่องที่บินตรงมาจากนาซู ก็ได้มาบินวนเวียนจ้องจะเล่นงาน จนข้าศึกต้องมุดหัวหลบซ่อนอยู่ภายในบังเกอร์ไม่กล้าโผล่ขึ้นมาเล่นงานฝ่ายเราอีก จนกระทั่งการขนย้ายทหารลาวทั้ง 5 กองพันได้เสร็จสิ้นลงภายในเย็นนั้น

ซี.ไอ.เอ. ได้กำหนดให้กองพันทหารลาวผู้กระหายเลือดทั้ง 4 กองพัน “เข้าตี” เนินสกายไลน์-ทู ในวันรุ่งขึ้น โดยมอบหมายให้กองพันแรก เข้าตี ทางด้าน ชาร์ลี-บราโว่ และอีกสองกองพันอ้อมขึ้นไปทางด้านทิศใต้บริเวณ ชาร์ลี-จูเลียต ให้เริ่มเข้าตีพร้อมๆกันในเวลา 07.00 น.

ส่วนอีกกองพันที่เหลือ พ.อ. โซราย่า มือขวาของท่านนายพลวังเปา ได้สั่งให้เคลื่อนย้ายไปตั้งฐานปฏิบัติการในบริเวณ “หมู่บ้านลาวรวมเผ่า” เพื่อป้องกันข้าศึกเล็ดลอดมายังเมืองล่องแจ้งจากด้านท้ายสนามบิน

ตามภารกิจที่ได้วางแผนกันเอาไว้ กองพันทหารลาวดังกล่าวจะเป็นผู้เข้าตี และเมื่อยึดที่หมายต่างๆได้ ก็จะให้กองพันทหารรับจ้างกองพันที่ 618 เป็นผู้ยึดรักษาแทน ต่อจากนั้นกองพันทหารลาวเหล่านี้จะมุ่งหน้าข้ามเนินสกายไลน์ไปยังสนามบิน “ป่าดง” เพื่ออ้อมเข้ายึดทุ่งไหหินในโอกาสถัดไป

กองพัน 618 ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนย้ายติดตามกองพันทหารลาวในคืนนั้นเช่นกัน

พอถึงเวลา 05.30 น. ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกจากฐานแคนเดิ้ลและเฮอคิวลีสก็กระหน่ำเนินสกายไลน์-ทู โดยพร้อมเพรียงกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

พอไดเวลากำหนดนัดหมาย “เข้าตี” กองพันทหารลาวและกองพันทหารรับจ้างที่ทำหน้าที่ส่วนหนุนก็พาเหรดขึ้นเนินสกายไลน์-ทูด้วยความระมัดระวัง

ตามปกติเนินสกายไลน์เคยถูกสายหมอกครอบคลุมอยู่แทบทุกวัน สำหรับเช้าวันนี้คล้ายๆกับจะเป็นนิมิตรที่ดีของกองพันทหารรับจ้างก้เหลือจะเดา ปรากฏว่าเนินเขาสกายไลน์สว่างโล่ง ทัศนวิสัยแจ่มชัด สามารถมองเห็นที่หมายด้วยสายตาเปล่า

พ.อ.โซราย่า มือขวาของท่านนายพลวังเปาแต่งชุดสนามพาทหารเข้าโจมตีด้วยตัวท่านเอง เสียงสั่งการของ พ.อ.โซราย่าดังลั่นทางวิทยุสนาม

พอกลุ่มหน้าสุดของทหารลาวเข้าใกล้ฐาน “ชาร์ลี-แทงโก้” ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้รับการทักทายด้วยปืนกลเบาของข้าศึกที่สาดเข้าใส่เป็นห่าฝน

“อย่าหยุดอยู่กับที่ เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ พวกทหารแกวมันมีไม่กี่คนหรอกไอ้น้องแก้ว ขยี้มันให้เละอยู่ที่ฐานอย่าให้มันหนีรอดไปได้ แผ่นดินลาวต้องเป็นของคนลาวเท่านั้น รุกเข้าไป ไอ้หนู”

เสียงให้กำลังใจของ พ.อ.โซราย่าดังลั่นผ่านลำโพงวิทยุ “HT-2” จนได้ยินกันทั่วภายในห้องยุทธการล่องแจ้ง ซึ่งขณะนี้บรรยากาศกำลังเคร่งเครียดต่อสถานะการณ์ที่กำลังบังเกิดขึ้น บนสกายไลน์-ทู ในปัจจุบัน

ท่านนายพลวังเปาเอื้อมมืออกไปหยิบวิทยุมากดสวิทช์ กรอกคำสั่งไปยังสหายร่วมใจของท่านทันที

“โซราย่า นี่ผมวังเปาพูด บอกลูกๆของเราด้วยว่า ถ้าใครจับเชลยศึกได้ ให้ค่าหัวคนละ 4,000 บาท จับตายศพละ 300 บาท ให้ตัดหูข้าศึกรวบรวมลงมารับรางวัลที่ บก. ข้างล่าง อย่าเล่นตลกตัดหูข้าศึกที่โดนลูกระเบิด B-52 ตายนะโว้ย หูเน่าๆ อั๊วไม่จ่ายเงิน อั๊วต้องการหูสดๆ”

ท่านนายพลวังเปาพุดไปหัวเราะไปด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“ได้ยินเสียงท่านนายพลแล้วใช่ไหม ฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือหลอ มันไม่เท่าไหร่หรอก ไอ้พวกแกว วันนี้พวกเราจะต้องหยุดพักกินข้าวกลางวันบน “ชาร์ลี-ออสก้า” ให้ได้”
พ.อ.โซราย่าให้กำลังใจลุกน้องต่อไป คงจะเป็นด้วยการ “อัดฉีด” จะให้รางวัลของท่านนายพลวังเปานั่นเอง ทำให้หน่วยกล้าตายของกองพันทหารลาว 3-4 คน เสี่ยงชีวิตเข้าตะลุยรังปืนกลของข้าศึกอย่างชนิดใครดีใครอยู่ เปิดฉากดวลระเบิดมือกันในระยะประชิด “M-26” กับ “สากกระเบือ” ของทหารเวียดนามเหนือขึ้นพร้อมๆกัน ทั้งทหารลาวและทหารเวียดนามเหนือแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีสุมกันอยู่ ณ บริเวณรังปืนกลนั่นเอง

เสียงปืนกลของข้าศึกเงียบเสียงลงไปแล้ว กลุ่มทหารลาวบุกตะลุยผ่านขึ้นไปอย่างไม่รีรอ มุ่งหน้าขึ้นไปยังฐาน “ชาร์ลี-แทงโก้” ซึ่งมองเห็นลิบๆอยู่เบื้องหน้า

พอกลุ่มทหารลาวดังกล่าวเคลื่อนที่เข้าไปได้ระยะ เจ้าปืน ปรส. ที่ตั้งจังก้าอยู่บนเนิน “ชาร์ลี-แทงโก้” ก็คำรามพ่นกระสุนเข้าไปทักทายทันที เล่นเอากลุ่มทหารลาวต้องซุกตัวลงหมอบนิ่งกับพื้นดิน พร้อมกับส่งวิทยุขอความช่วยเหลือเสียงหลงมายังส่วนหนุนที่ตั้ง บก.อยู่เบื้องล่าง
□□□□□□□□□□□□□□□□□□



จบตอน “ล่องแจ้ง สมรภูมินรก”



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 12:35  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19245

คำตอบที่ 13
       นักเขียนผู้ล่วงลับ "สยุมภู ทศพล" มีชื่อจริงว่า ประจิม วงศ์สุวรรณ

เกิดเมื่อพ.ศ.2480 เป็นคนจังหวัดนครราชสีมา บิดามารดามีอาชีพค้าขาย สยุมภูเป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้อง 4 คน จบชั้นมัธยมปีที่6 จากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย

ตามประวัติเป็นนักกรีฑาทีมชาติไทย เคยได้เหรียญทองคนแรกในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 4 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ประเภทวิ่ง 400 เมตร และยังเคยไปร่วมมหกรรมกีฬาโลก แข่งโอลิมปิกที่กรุงโรม

ถามว่าเป็นมายังไงถึงมาแต่งนิยายสงครามก็คงเพราะ "สยุมภู ทศพล" สมัครเป็นทหารหลังจากเรียนจบใหม่ๆ และยังเคยเป็นทหารรับจ้างไปรบในลาว 1 ปี ถูกคอมมิวนิตส์จับเป็นเชลยศึกที่เดียนเบียนฟูอยู่ 2 ปี ก่อนถูกปล่อยตัวเป็นรุ่นแรกในสมัยรัฐบาลยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตในสนามรบ คงเป็นแรงบันดาลใจให้สยุมภูหันจับงานเขียนนิยายจนมีชื่อเสียงโด่งดัง

"สยุมภู ทศพล" เริ่มเขียนนวนิยายเป็นตอนๆ ครั้งแรกในนิตรสาร"จักรวาล รายสัปดาห์" เป็นนักเขียนรุ่นน้อง "พนมเทียน" ใช้นามปากกา "สยุมภู ทศพล" ครั้งแรกในนิยายเรื่องเฉือนคมเพชฌฆาต และยังเคยใช้นามปากกา "ทอง เทพบุตร"

ผลงานมีมากมาย อาทิ ดับรามสูร กองพันปิศาจ ชุมทางนรก เส้นทางนรก วันชโลมเลือด สงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง ไม่มีคำตอบจากทุ่งไหหิน ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ค่ายนรกเดียนเบียนฟู

สยุมภู เขียนเรื่องแรกขณะอยู่ในสมรภูมิลาว ส่งมาที่จักรวาลรายสัปดาห์ เรื่อง " ละเลงเลือดที่ภูเทิง" รู้สึกว่าจะ 2 ตอนจบ แกบอกส่งมาก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์หรือเปล่า เพื่อนๆ ในสนามรบแหย่ว่า ป่านนี้ ลงตะกร้าไปแล้ว แต่ไม่นานนักก็ได้คิวลงพิมพ์ ปรากฏว่าผู้อ่านติดกันงอม หนังสือขายดีขึ้น จักรวาลย์ก ็จ่ายค่าเรื่องให้และขอให้สยุมภู เขียนส่งมาอีก สยุมภูเขียนเหตุการณ์รบในสมรภูมิแบบสถานที่จริง ชื่อทห ารจริง สถานการณ์จริง โรงพิมพ์ถูกสันติบาลเข้ามาพบ ขอให้ปกปิดบ้าง เพราะตอนนั้นสงครามลาวเป็นสงครามลั บต่อภายนอก..

ถล่มเนินสกายไลน์-วัน
วันชโลมเลือด
ทหารรับจ้างเดนตาย
เส้นทางนรก
เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม
วันมหาประลัย
คอมมานโดรับจ้าง
ด่านนรก
สงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง
นักรบรับจ้าง
หลั่งเลือดทาแผ่นดิน
เผชิญหน้ามัจจุราช
เกิดมาเพื่อฆ่า
สนามรบสนามเลือด
ชุมทางกล้าตาย
วีรบุรุษเสือพราน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 15:19  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19248

คำตอบที่ 14
       กองพันมรณะ ตอนที่ 11
ด้วยการสนับสนุนของกองพันทหารรับจ้างที่ 618 ซึ่งตั้งปืน ค. แบบ 81 สองกระบอก ยิงเปิดทางข้ามศรีษะกลุ่มทหารลาว มุ่งทิศทางการยิงขึ้นไปบริเวณฐาน ชาร์ลี-แทงโก้ ด้วยการยิงชนิดโยกซ้ายโยกขวา บางครั้งก็ซัลโวถล่มอยู่ ณ จุดเดิมๆด้วยลูกสังหารติดๆกัน 6-7 ชุด ทำให้ ปรส.75 ทั้งสองกระบอกที่ตั้งจังก้าอยู่ ณ ที่ฐานยิง ชาร์ลี-แทงโก้ หมดพิษสงไปในทันทีทันใด
ทั้งพลบรรจุและพลยิงของข้าศึกหมดโอกาสที่จะออกจากหลุม ขึ้นมาปรับทิศทางการยิงของปืนได้ ด้วยอำนาจปืน ค. กดหัวข้าศึกจนกระทั่งต้องซุกตัวนิ่งอยู่กับพื้นสนามเพลาะ เปิดโอกาสให้หน่วยกล้าตายของลาวคืบคลานใกล้ที่หมายเข้าไปทุกที
ในที่สุด ค.81 ก็ถูกร้องขอให้ยุติการยิงชั่วคราว และในเวลาเดียวกัน กลุ่มทหารลาวก็คืบคลานเข้าถึงบริเวณที่ตั้งปืนของข้าศึกพอดี
ฉากการประจัญบานด้วยอาวุธสั้นก็ได้เปิดฉากขึ้นในทันทีทันใด
ทหารเวียดนามเหนือที่เหลืออยู่เพียง 2 หมวดเผ่นขึ้นจากร่องคูเหลด แต่ไม่ใช่หนีนะครับ พวกมันกระโจนเข้าห้ำหั่นกับกลุ่มทหารลาวย่างชนิดประชิดตัวเลยทีเดียว
เสียงปืนอาร์ก้ารัวถี่ยิบ บางครั้งก็มีเสียงระเบิดตูมใหญ่ของลูกระเบิดดังแทรกซ้อนขึ้นมาอีก กลุ่มทหารลาวที่แฝงกายเข้ามาเป็นชุดแรก ถูกความบ้าดีเดือดของทหารเวียดนามเหนือไล่สังหารตายยับอยู่ ณ บริเวณฐานปฏิบัติการนั่นเอง ส่วนที่เหลือรอดอยู่ 2-3 คนก็หันหลังกลับเผ่นลงจากยอดเนินอย่างขวัญเสีย
“ช่วยยิง M.60 คุ้มกันให้ด้วย ประเดี๋ยวจะส่งหน่วย “อินทรีดำ” ขึ้นบุกรังพวกมันอีกครั้ง”
พ.อ.โซราย่าตะโกนด้วยความโมโหที่มองเห็นลูกน้องตายยับต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น
ปืน M.60 สองกระบอกรัวเป็นจังหวะติดต่อกัน พลยิงส่ายปากกระบอกสาดกระสุนเข้าใส่รังปืนข้าศึกเป็นห่าฝน และในขณะเดียวกันนั้น กลุ่มทหารลาวที่มีเครื่องแบบพิสดาลกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากแมกไม้ที่ปกคลุมเป็นหย่อมๆ ณ บริเวณสองข้างทางที่ใช้เป็นเส้นทางขึ้นโจมตีฐานปฏิบัติการของข้าศึก
ด้วยชุดสีดำสนิทไปทั้งร่าง ศรีษะถูกคาดเอาใว้ด้วยผ้าประเจียดสีแดง ปล่อยชายพู่ห้อยเอาไว้เบื้องหลัง บริเวณหน้าอกซ้ายเหนือราวนมมีเครื่องหมาย “นกอินทรี” ของกองรบพิเศษเมืองหลวงพระบางติดเอาใว้อย่างโก้หรู ทุกคนมีปืนกล M.16 เป็นอาวุธประจำกาย วิ่งซิกแซ็กเข้าหาข้าศึกด้วยยุทธวิธีที่ผ่านการฝึกจากศูนย์สงครามพิเศษมาอย่างช่ำชอง
สนุกแน่ครับ บ้าดีเดือดกับบ้าระห่ำได้เจอะกันแล้ว “หน่วยอินทรีดำ” เป็นหน่วยที่มีชื่อเสียงที่สุดของกองพันทหารแห่งประเทศลาว แทบทุกคนผ่านคอร์ส “แรงเย่อร์” และ “รีค่อน” อันแสนทรมานจากสัตหีบมาแล้วอย่างโชกโชน
การต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือเล่ห์เหลี่ยมทุกชนิดในการสังหารศัตรู ถูกบรรจุอยู่ในหัวสมองของหน่วยอินทรีดำมาช้านานและครั้งนี้ได้มีโอกาสเล่นกับของจริง ก็เลยทำให้หน่วยอินทรีดำชุดนี้มีความกระเหี้ยนกระหือมากขึ้น
เมื่อมองเห็นหน่วยกล้าตายวิ่งตะลุยขึ้นไปอย่างบ้าเลือดเช่นนั้น ทำให้กลุ่มทหารลาวที่รีรออยู่เบื้องหลังบังเกิดความอุ่นใจพากันเคลื่อนที่ติดตามขึ้นไปทันที
คราวนี้ไม่ต้องรอให้ทหารเวียดนามเหนือขึ้นมาจากร่องคูเหล็ดหรอกครับ หน่วยอินทรีดำกระโจนลง “ล่า” พวกข้าศึกถึงก้นหลุมเลยทีเดียว
ด้วยชั้นเชิงและความสามารถที่เทียบกันไม่ได้ ทหารเวียดนามเหนือถูกสังหารเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็ว ต่อจากนั้น หน่วยอินทรีดำก็ผละออกจากร่องสนามเพลาะบุกตะลุยเข้ายึดฐานปฏิบัติการ ชาร์ลี-แทงโก้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 50 เมตร
“สิงหะ (บก.ล่องแจ้ง) จากโซราย่า พวกเรายึดชาร์ลี-แทงโก้ ได้แล้วเมื่อเวลา 10.30 ขณะนี้กำลังเคลียร์รอบๆบริเวณอยู่ ถ้าทำ “ชอปเปอร์-แพ็ด” (ที่ให้เฮลิคอปเตอร์ลงพื้น) เสร็จเมื่อไหร่ กรุณาส่งน้ำยาดับกลิ่นขึ้นมาให้ด้วย เหม็นเหลือเกิน ศพพวกมันเน่าเละเทะไปหมด”
พ.อ.โซราย่า ส่งข่าวการปฏิบัติการให้ บก.สิงหะ (บก.ล่องแจ้ง) ทราบทางวิทยุสนาม
“ดีมาก โซราย่า ทางปีกขวาของเราก็ยึด ชาร์ลี-ออสก้า ได้แล้วเช่นกัน เหลืออยู่ตรงยอดครึ่งกลางแห่งเดียวเท่านั้น ผมคิดว่า ทหารของเราคงทำสำเร็จก่อน 2 โมงเย็นใช่ไหมครับ”
ท่านนายพลวังเปาย้อนถามมือขวาขึ้นไปอีกครั้ง
“ผมคิดว่าคงไม่เกิน 3 โมงแน่นอนครับ ขณะนี้ชุดอินทรีดำของเราล่วงหน้าขึ้นไป “เกาะ” ฐานข้าศึกเรียบร้อยแล้ว พร้อมเมื่อไหร่ผมจะให้ส่วนหนุนเคลื่อนตีเข้าตีฐาน “ชาร์ลี-อัลฟ่า” ทันที”
“ทหารของพวกมันมีกำลังพลประมานเท่าไหร่” วังเปาย้อนถาม
“มีไม่เกิน 20 คนครับ แต่ละคนก็อยู่ในสภาพที่อดอยากเพราะขาดแคลนอาหาร และเป็นที่น่าเสียดายไม่มีข้าศึกรอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว พวกมันชิงฆ่าตัวตายหมดครับ”
“ไม่เป็นไร ขอให้ทหารของเรายึดฐานกลับคืนมาได้ ผมก็ดีใจแล้วครับ เมื่อทำชอปเปอร์แพ็ดเสร็จ ผมจะขึ้นไปเยี่ยมทหารถึงบนฐานเลยทีเดียว”
“ท่านนายพล อย่าเพิ่งขึ้นมาตอนนี้เลยครับ มันอุจาดตาเหลือเกิน รอให้ทหารของเราจัดแจงเผาศพเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนเถอะครับ”
“โอเค เพื่อนรัก เย็นนี่ถ้าเรียบร้อยแล้วคุณลงมาพักผ่อน แล้วพบกันตอนเย็นนะ ผมสั่งอุ้งตีนหมีเอาใว้ให้คุณเป็นพิเศษ”
“ขอบคุณท่านนายพลมากครับ” พ.อ.โซราย่ากล่าวตอบท่านนายพลวังเปาด้วยความดีใจที่จะได้ลิ้มรส “อุ้งตีนหมี” อันเป็นยาเสริมพลังเพศชั้นเยี่ยมจากตำหรับเก่าแก่ของชนเผ่าแม้ว
นับว่าเป็นการเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงของ บก.ล่องแจ้งที่คาดการณ์เอาไว้ว่า จะต้องมีกำลังพลของข้าศึกยึดครองเนินสกายไลน์ทูเอาใว้อย่างมากมายเลยทีเดียว
ผิดคาดครับ มีข้าศึกอยู่เพียง 20 กว่าคนเท่านั้นเองที่ถูกมอบให้รับหน้าที่ “ลวง” พวกเราอยู่บนยอดเนิน อุปกรณ์ในการ “ลวง” ที่ฝ่ายค้นพบก็คือ โคมไฟขนาดใหญ่ พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาดกระทัดรัดที่ใช้ส่งสัญญาณไฟ “โต้ตอบ” หลอกพวกเราอยู่เสมอๆในเวลากลางคืนนั่นเอง
ด้วยพลประจำโคมไฟเพียง 2 คน ทหารเวียดนามเหนือก็สามารถสร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายเราประเมินกำลังของพวกมันผิดพลาดไปหมด พลประจำโคมสัญญาณเหล่านี้ มีหน้าที่เพียงเปิดโคมไฟหลอกล่อพวกเราเท่านั้น
แม้กระทั่งอาวุธหนัก ปรส.75 ทั้ง 2 กระบอกก็เป็นปืนของทหารรับจ้างที่ถอนตัวแล้วพากันทิ้งปืนเอาไว้นั่นเอง
ฐาน “ชาร์ลี-ออสก้า” มีข้าศึกอยู่เพียง 4 คนที่ผอมโซด้วยความอดอยาก ขนมโก๋ชิ้นสุดท้ายของข้าศึกถูกทหารลาวยึดเอามาแบ่งกันกินอย่างสนุกสนาน
ส่วนบนยอดเนินที่สูงที่สุดบนฐาน “ชาร์ลี-อัลฟ่า” พลประจำโคมไฟสองคนสุดท้ายปล่อยทีเด็ด สวมหัวใจสิงห์ด้วยการบรรจุดินระเบิดเต็มแผงหน้าอก แล้ววิ่ง “ชาร์จ” กลุ่มอินทรีดำแหลกลาญไป 6-7 คน ท่ามกลางความเป็นเดือดเป็นแนของทหารหน่วยนั้น
ชัยชนะอย่างเด็ดขาดตกเป็นของกองพันทหารลาวภายในเย็นวันนั้นเอง
ก่อนเวลา 15.00 น. เล็กน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างบนเนินสกายไลน์ทู ก็เรียบร้อยพร้อมที่จะให้ชอปเปอร์บินขึ้นส่งกำลังบำรุงได้ตามปกติ
หน่วย เอ.ดี.เอส. ที่ปฏิบัติงานอยู่ ณ บริเวณลานจอด เริ่มออกเคลียร์รันเวย์ด้วยเครื่องตรวจวัตถุระเบิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจราจรทางอากาศของสนามบินล่องแจ้งที่ปิดตายมาเกือบอาทิตย์ก็เริ่มเปิดการจราจรภายในเย็นวันนั้นเอง
กองพัน 618 ถูกฝูงชอปเปอร์หิ้วอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นไปวางแนวแทนกองพันทหารลาวทั้ง 4 กองพันในวันต่อมา
หลังจากนั้น กองพันทหารลาวก็เริ่มเคลื่อนย้ายลงจากเนินสกายไลน์ทู มุ่งหน้าบุกป่าทึบไปยังสนามบิน “ป่าดง” เพื่อเข้าที่รวมพล รอแผนการที่จะบุกตะลุยเข้าทุ่งไหหินต่อไป
มันเป็นการสูญเสียที่น้อยเป็นประวัติการณ์ในการบุกเข้าโจมตีข้าศึก อย่างไรก็ดี นายพลวังเปาเสียอกเสียใจในการสูญเสียชีวิตของหน่วยอินทรีดำทั้ง 7 คนเป็นอย่างมาก ท่านเคยปรารภกับผมอยู่เสมอว่า หน่วยอินทรีดำหน่วยนี้ เป็นหน่วยที่ท่านภูมิใจอย่างที่สุด แล้วท่านก็เลยกระซิบบอกกับผมอย่างเปิดอกว่า แท้ที่จริงทหารชุดนี้ก็คือ หน่วยกล้าตายพิเศษที่ท่านจ้างมาจากศูนย์สงครามพิเศษประเทศไทยนั่นเอง
ทุกคนเป็นทหารรับจ้างชาวไทยล้วนๆ ที่เข้ามาเผชิญโชคในแผ่นดินลาวด้วยค่าจ้างเดือนละ 8,000 บาทต่อคน มีกำลังพลทั้งหมด 67 คนพอดี
ไอ้ความสงสัยที่ผมมีต่อทหารหน่วยนี้ เมื่อคราวพบครั้งแรกที่สนามบินล่องแจ้ง เมื่อตอนที่เคลื่อนย้ายมาจากสุวรรณเขตก็ประจวบเหมาะกันพอดี
ก็ใครจะไม่สงสัยเล่าครับ ผิวพรรณบางคนดำคล้ำเหมือนไทยอิสลามก็มี แถมบางคนก็เดาะพูดภาษาปักษ์ใต้กันหนุงหนิงไปหมด คราวแรกผมนึกว่าผมหูแว่วไปเสียอีก พอหันหน้าไปมองดู ทหารกลุ่มนั้นก็ทำเป็นนิ่งเฉยคล้ายๆกับกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นอะไรทำนองนั้น ลักษณะดังกล่าวตบตาผมไม่ได้หรอกครับ ลักษณะท่าทางของทหารหน่วยอินทรีดำมันผิดแปลกไปจากลักษณะของชาวแม้วหรือชาวลาวโดยทั่วไปอย่างสังเกตุเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเหิน ลักษณะจากศูนย์สงครามพิเศษที่ได้รับการฝึกจนเป็นกมลสันดาน มักจะแสดงออกมาด้วยความเคยชิน โดยที่ไม่รู้สึกตัวเองเลยแม้แต่น้อย มิน่าเล่ายุทธวิธีการรบที่เต็มไปด้วยแบบแผนอันรัดกุม จึงสามารถบดขยี้ข้าศึกที่ผ่านการรบมาชั่วนาตาปีลงได้อย่างสะดวกโยธิน
ค่าใช้จ่ายในการเข้าตี “เนินสกายไลน์” ประเมินอย่างคร่าวๆ เริ่มคิดตั้งแต่ ราคาของกระสุนปืนใหญ่แต่ละนัดที่ยิงถล่มทั้ง 4 กระบอกเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง คิดเป็นจำนวน 1,500 นัด “ลูกสังหาร” ตามราคาที่ประเมินเอาไว้ในคลังสนามตกลูกละ 900 บาท โดยเฉพาะค่าลูกกระสุนปืนใหญ่ก็ตกเข้าไปตั้ง 1,350,000 บาทเข้าไปแล้ว ไหนจะค่าลูกกระสุน M.16,M.60,M.79,M.72 ค.81 และค่าอะไรต่ออะไรปลีกย่อยที่ทหารต้องสูญไปอีก เช่นค่าทำขวัญทหารผู้เสียชีวิตที่ซี.ไอ.เอ. ต้องจ่ายให้ศพละ 100,000 บาท เข้าไปอีก
เราจะเห็นได้ว่า ซี.ไอ.เอ. ทุ่มทุนในสงครามลาวด้วยค่าใช้จ่ายวันหนึ่งๆอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
อเมริกันจะได้อะไรในประเทศลาว?
จนด้วยเกล้าครับผม ไอ้ผมมันก็ชนชั้นกระจอกๆตามธรรมดานี่เอง แล้วจะมีหัวคิดปราดเปรื่องทางด้านการเมืองทันชาวบ้านเขาได้อย่างไร แต่ถ้าท่านถามผมมาอีกว่า ที่พวกเราดันสะเออะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาด้วย มันจะมีดีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
สำหรับข้อนี้ ผมขอตอบเสียเลย เพราะไหนๆเหตุการณ์มันก็ผ่านเลยเถิดมาจนกระทั่งทหารรับจ้างสลายตัวออกมาจากประเทศลาวจนหมดสิ้นแล้ว
ข้อแรกเรามีโอกาสออกไปยันข้าศึกที่จะทะลักข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาก่อความยุ่งยากขึ้นภายในเขตของประเทศไทยเข้าทำนองกั้นรั้วนอกบ้านนั่นแหละครับ
ข้อสอง เงินสิครับใครจะไม่ชอบบ้าง ไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้านกี่พันล้านที่ ซี.ไอ.เอ. ประเคนให้กับผู้บริหารงานกองบัญชาการเสือพราน
อยู่กับเงินซะอย่าง ไอ้ที่ไม่รั่วไหลเห็นจะยากส์ นิสัยคนไทยไอ้เรื่องจะไม่มีคอรัปชั่น หายากครับ ขนาดประมูลสร้างส้วมแท้ๆ พี่ไทยก็ยังเบียดบังผลประโยชน์กันเป็นว่าเล่น
สงครามลาวสร้างฐานะความเป็นอยู่ให้กับ “คนบางคน” อย่างล้นเหลือ และในทำนองเดียวกันสงครามลาวก็สร้างความหายนะให้กับชีวิตอาสาสมัครชาวไทย ล้มหายตายลงจากไปมิใช่น้อย
□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□
เมื่อเหตุการณ์ทางด้านสกายไลน์ทูเข้าสู่สภาพปกติ ผมก็ถูกส่งตัวขึ้นไปบนฐานชาร์ลี-ชาร์ลี เพื่อประสานงานกับกองพันทหารรับจ้างที่ 616 อีกครั้ง
เพื่อให้กองพันทหารรับจ้างทั้งหลาย มีอำนาจการคุ้มครองจากปืนใหญ่โดยทั่วถึงกัน ทาง บก.ล่องแจ้งก็วางแผนให้ย้ายฐานปืนใหญ่จากเฮอคิวลิสขึ้นไปตั้งรวมอยู่กับ บก.พัน 616 เพื่อให้มีอำนาจการยิงครอบคลุมไปถึงสนามบินซำทองได้อย่างสบาย
และแล้วในวันรุ่งขึ้น ส่วนล่วงหน้าของฐานปืนเฮอร์คิวลีส ซึ่งประกอบด้วยกำลังทหารปืนใหญ่ 40 คน ก็ได้มาถึงฐานปฏิบัติการกองพันผม
หน้าที่ของทหารปืนใหญ่เหล่านี้ก็คือ จัดการสร้างฐานปืนให้เรียบร้อยก่อนที่เจ้า “สกายเครน” จะหิ้วเอาตัวปืนมาในภายหลัง
ทหารต่างกองพันเจอะกันเข้า ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพนันหรอกครับ “ไฮโล” คือการพนันที่ขึ้นหน้าขึ้นตาที่สุดในสมรภูมิลาว บริเวณหลังศูนย์วิทยุ บก.พัน ที่ผมใช้เป็นที่พักอาศัย กลายเป็นที่ชุมนุมของ “นักนิยมกระดูกเต้นรำ” กันให้คลั่กไปหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือเจ้านาย ต่างก็เชือดเฉือนกันอย่างหน้าดำหน้าแดง ลืมสถานการณ์ที่กริ่งเกรงไปชั่วขณะ
ข่าวคราวและวี่แววของข้าศึกที่ตั้งฐานอยู่ ณ สนามบินซำทองเงียบเชียบ จนทำให้กองพันทหารรับจ้างของผมคิดว่ากำลังส่วนใหญ่ของพวกมันคงจะถูกอำนาจระเบิดจาก B-52 ถล่มสูญเสียไปจนหมดสิ้นแล้ว
ไอ้ความเงียบนี่แหละครับที่สร้างความประมาทให้กับกลุ่มทหารรับจ้างชั้น ผบ.หมวดบางคนอย่างช่วยเหลืออะไรไม่ได้
จากการลาดตระเวณที่เคยทำเป็นประจำ ก็อาศัยความประมาทหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ บางครั้ง บก.ล่องแจ้งออกคำสั่งให้ค้นหาร่องรอยข้าศึก ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการค่อนข้างจะไกลพอสมควร พ่อเจ้าประคุณเหล่านี้ก็ทำทีออก ลว.เหมือนกัน แต่พอเดินลับตาจากฐานปฏิบัติการก็หลบแว่บเข้าไปซุกซ่อนตามป่าทึบ
บางกลุ่มก็งัดไฮโล หรือไพ่ป๊อกออกมาจั่วกันสบายอารมณ์ไปเลย ปล่อยให้พลวิทยุส่งข่าว “แหกตา” ไปทาง บก.พัน ด้วยข่าวที่แนบเนียน จน ผบ.พัน ไม่มีทางจับผิดได้
ข้อนี้แหละครับ เป็นจุดเสื่อมที่กองพันทหารรับจ้างต้องประสพกับการเข้า “เกาะ” ฐานปฏิบัติการจากพวกข้าศึกอยู่เสมอๆ ข้าศึก “เกาะ” ฐานของฝ่ายเราเมื่อไหรา พึงสำเหนียกเถิดว่าหายนะกำลังเข้ามาเคาะประตูบ้านของท่านแล้ว อีกไม่นานเกินรอ ฐานปฏิบัติการของท่านอาจจะโดนหน่วยแซปเปอร์ (กล้าตาย) ของทหารเวียดนามเหนือ แหกลวดหนามขึ้นมาเชือดคอทหารรับจ้างที่ทำหน้าที่เป็นยามรักษาการเอาดื้อๆ อย่างชนิดที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ภาระกิจอันซ้ำๆซากๆของพวกทหารรับจ้างยาม “ปลอดศึก” ก็คือการลาดตระเวณที่น่าเบื่อหน่าย และจำเจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง
...................
“พบข้าศึก 7-8 คน บนเนินทันเดอร์กำลังลากปืน ค. ซึ่งคาดว่าจะเป็นแบบ 82 ขึ้นมาจากทางด้านที่ลาดลงไปสนามบินซำทองครับ”
พลวิทยุจากหน่วยตรวจการณ์หน้า ซึ่งซุ่มอยู่บนเนินเล้กๆบริเวณ “เนินอานม้า” รายงานข่าวเข้า บก.พันด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนฟังไม่ได้ศัพ์...



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 15:22  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19249

คำตอบที่ 15
       กองพันมรณะ ตอนที่ 12
ผมเผ่นพรวดเดียวออกมานอกบังเกอร์ แต่ไม่เร็วไปกว่ากองสิงห์ ซึ่งขณะนี้คว้ากล้องสนามตรวจการณ์บริเวณเนินทันเดอร์อย่างเอาใจใส่ แล้วหันมาพูดกับผมเบาๆว่า
“พวกมันลาก ปืน ค. 82 จากสนามบินซำทอง ขึ้นมาตั้งฐานยิงบนเนินทันเดอร์แล้วครับ อ่านไต๋มันไม่ออกเลยว่ามันจะเล่นงาน 604 หรือกองพันเราแน่ ผมไม่รอมันละ”
กองสิงห์หันไปออกคำสั่งกับ ผบ.หมวดอาวุธหนักที่ยืนอยู่ข้างๆทันที
“กองจันทร์ เตรียมปืน ค. 4.2 ยิงไปที่เนินทันเดอร์ ตรงบริเวณที่ตรวจการณ์หน้าของเราตรวจพบข้าศึกเดี๋ยวนี้ ปรับทางปืนด้วยตนเอง เพราะมองเห็นที่หมายชัดมาก พร้อมแล้วซัดเลย เอาลูกควันก่อนนะ”
“ปืน 4.2 ระยะยิง 4 ก.ม. ที่หมายกลุ่มข้าศึกและปืน ค.แบบ 82 พร้อมยิงได้”
กองจันทร์ออกคำสั่งให้ลูกน้องหมวดอาวุธหนักที่ขณะนี้กำลังสาละวนวัดระยะหามุมการยิงกันชุลมุนวุ่นวาย
ปืนของเรายังไม่ทันยิงเลยครับ ปืนของข้าศึกที่อยู่บนเนินทันเดอร์ก้เล่นงานพวกเราเข้าให้แล้ว มีเสียงดังตุ้งเบาๆ ต่อจากนั้นชั่วอึดใจ ก็มีเสียงวี้ดข้ามฐานของเราเลยไปตกบริเวณหุบเขาเบื้องล่าง พร้อมกับเสียงระเบิดดังก้องหุบเขา เสียงสะท้อนของมันบาดจิตรบาดใจเข้าไปในหัวสมอง
“เร็วๆเข้าโว้ย ปล่อยให้พวกมันจวกเราอยู่ได้”
กองสิงห์ ตะโกนขึ้นอย่างอารมณ์เสีย พร้อมกับหันไปสั่งการให้พนักงานวิทยุร้องขอปืนใหญ่จากฐานแคนเดิ้ลช่วยยิงสนับสนุนอีกด้านหนึ่ง
มีเสียงดังตุ้งติดตามมาอีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ตำบลกระสุนตกเขยิบขึ้นมาอยู่บนแนวลวดหนามข้างหน้าสุด ห่างฐานปฏิบัติการของเราเพียง 100 เมตรเท่านั้น
“เฮ้ย ลงคูเหลดให้หมดโว้ย มันปรับปืนเข้าใส้ไปเลย ประเดี๋ยวเถอะมึงเอ๊ย ไม่เบิร์มใครก็เบิร์มใครต้องป่นปี้กันบ้างล่ะ ครอบยากจะลองก็เชิญตามสบาย”
รอง ผบ. 403 ตะโกนออกคำสั่งให้ลูกน้องลงหลุม
เสียงคำรามหนักแน่น ของปืน ค 4.2 ของฝ่ายเราที่เริ่มปล่อยกระสุนควันออกเป็นนัดแรก เพียงชั่วครู่ควันสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ณ บริเวณเนินทันเดอร์มองเห็นด้วยตาเปล่าอย่างถนัดชัดเจน
“ระยะใช้ได้ แต่ต้องเพิ่มไปทางขวาอีก 400 เมตร คราวนี้เอาลูกสังหารเลย”
กองจันทร์ตะโกนสั่งลูกน้องของเขาอีกครั้ง
เสียงคำรามของลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ความดังของมันมิผิดเพี้ยนกับเสียงของลูกระเบิดที่ทิ้งจาก F-105 ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวจากทางเมืองล่องแจ้ง ชั่วอึดใจก้มีเสียงวี้ดข้ามศรีษะพวกเราไปทางเนินทันเดอร์ พร้อมกับมีควันสีขาวรวมกลุ่มกันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ณ จุดที่อยู่ห่างจากที่ตั้งข้าศึกเพียง 200 เมตร
“ศรแดงจากแคนเดิ้ล เป็นอย่างไรบ้างครับ ของขวัญจากแคนเดิ้ล ช่วยปรับให้ด้วยครับ”
กองสิงห์หันไปเอื้อมมือคว้าปากพูดหูฟังของเจ้า “ปิ๊ค 77” ที่ดังกังวานอยู่ใกล้ๆขึ้นมาทันที กดวิทช์ที่อยู่ข้างหูฟัง กรอกคำพูดไปยังฐานปืนแคลเดิ้ลอย่างรวดเร็ว
“โอเค จากศรแดง ลด 200 เมตร ขอลูกสังหาร 1 ชุดใหญ่ ช่วยโยกซ้ายโยกขวาให้ด้วยครับ”
“โอเคครับ ลด 200 เมตร ยิงแบบจังหวะหนังตะลุง รอประเดี๋ยวนะครับ”
พนักงานวิทยุขี้เล่นจากแคนเดิ้ลสวนคำพูดมาในทันทีทันใด
“เฮ้ย ไอ้พวกมือปืนขี้เท่อ พวกเองหยุดยิงได้แล้ว ยิงภาษาอะไรกันวะ ห่างตั้งเกือบครึ่งกิโล”
กองสิงห์หันไปตะโกนด่าหมวดอาวุธหนักท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนใหญ่ของกลุ่มทหารรับจ้างที่รู้ “กำพืด” ของทหารหมวดอาวุธหนักแตละคนว่า “ติดกัญชา” กันจนงอมแงมจนทำอะไรดูอืดอาดไปหมด
“ปล่อยมาแล้วครับ โยกซ้ายโยกขวาพร้อมๆกันทั้งสองกระบอก ช่วยตรวจมาให้ด้วยคร้าบ”
คราวนี้ตำบลกระสุนตกของปืนใหญ่ตกลงกลางที่ตั้งปืนของข้าศึกพอดิบพอดี ได้ยินเสียงระเบิดดังแทรกซ้อนขึ้นมาติดๆกัน 4-5 ครั้ง
“ลูกปืน ค ของพวกมันถูกอำนาจระเบิดหมดเกลี้ยงเลยครับ แบบนี้ปืนของมันพังแน่นอน”
ตรวจการณ์หน้าซึ่งซ่อนพลางอยู่บนยอดเนิน “อานม้า” ส่งข่าวเข้า บก.พัน
“แคนเดิ้ลจากศรแดง ปืนของข้าศึกถูกทำลายแล้ว หมดภาระกิจยิง ขอบพระคุณมากครับ มีเหตุการณ์ผมจะร้องขอไปอีก”
“ศรแดงจากแคนเดิ้ล มีอะไรบอกมาเลย สวัสดีครับ”
เสียงคำพูดของพนักงานวิทยุจากแคนเดิ้ลยังไม่ขาดคำก็ปรากฎเสียง วี้ด วี้ด ดังแหลมยาวอยู่บนท้องฟ้า พอสิ้นเสียงของมัน ก็ปรากฏเสียงระเบิดกึกก้องหลังบังเกอร์วิทยุ บก.พัน
ทั้งควันระเบิดและฝุ่นกระเด็นคลุ้งไปหมด กลุ่มทหารรับจ้างที่นั่งกันหน้าสลอนอยู่บนแนวกระสอบทราย ต่างก็พากันเผ่นหัวซุกหัวซุนลงคูเหล็ดชนิดยอมเจ็บตัวกันเลยทีเดียว
กองสิงห์ ยกเท้าถีบกลางหลังผมหล่นวูบลงไปในหลุมเพาะที่ขุดไว้อยู่ข้างๆ พร้อมกับพุ่งตัวลงมาหมอบอยู่ข้างๆผม
“ปืนใหญ่ 130 มม.ของมันแน่นอน คงจะยิงมาจากซำทอง คราวนี้เห็นจะแย่ครับ เพราะเราตรวจการณ์ไม่เห็นที่ตั้งของมันเลย คุณรีบขอเครื่องบินไปก็แล้วกัน”
กองสิงห์สั่งงานรวดเร็วตามแบบฉบับของเขา
“ผมขอไปทางเบาน์เดอร์ตั้งแต่ตรวจการณ์พบที่ตั้งปืน 82 ของมันแล้ว เบาน์เดอร์ก็บอกให้รอเครื่องจากนาซู ไม่เห็นมาซักที นี่ก็เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว น่ากลัวเครื่องจะไปทำงานอยู่ทางปากเซแน่ๆ”
เสียงวี้ดของหางนำทิศปืนใหญ่ ได้ดังกังวาลแหวกอากาศเข้ามาอีก คราวนี้มันเล่นงานเสาอากาศแบบทรีท็อปที่สูงตระหง่านอยู่โค่นลงมาทันที หลังคาของบังเกอร์พนักงานวิทยุที่สร้างอย่างแข็งแรงทลายลงเหมือนกับโดนซุงขนาดใหญ่กระทุ้ง เดชะบุญที่พนักงานหิ้ววิทยุออกมาตรวจการณ์อยู่ข้างนอกกับ ผบ.พัน มิฉะนั้นแล้วจะต้องโดนฝังทั้งเป็นไปพร้อมๆกับบังเกอร์ที่ถล่มทลายไปสดๆร้อนๆ นั่นเอง
“ทหารปืนใหญ่ตาย 2 คน บาดเจ็บแขนขาดอีก 2 คน ให้แฟ็กช่วยเรียกชอปเปอร์มารับด้วยครับ”
ทหารรับจ้างชั้ย ผบ.หมวดคนหนึ่งตะโกนฝ่าเสียงระเบิดขึ้นมา
ผมติดต่อขอชอปเปอร์จาก บก.ทันที และทาง บก.ก็ย้ำมาว่าจะพยายามส่งชอปเปอร์มารับผู้บาดเจ็บทันทีที่การระดมยิงของข้าศึกเบาบางลง
ฐานแคนเดิ้ลหมดปัญญาที่จะสนับสนุนพวกเรา แล้ว เพราะที่หมายของที่ตั้งปืนใหญ่ของข้าศึกตั้งอยู่กลางถ้ำหิน มองเห็นแต่ประกายควันตอนมันพ่นกระสุนออกจากลำกล้องเพียงเบาบางเท่านั้น
ปืนของมันเริ่มซัลโวที่ตั้งฐาน บก.พันของเราถี่ยิบ จนกองสิงห์เอะใจ สั่งให้ทหารตรวจการณ์บริเวณนอกรั้วลวดหนามอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะลักษณะการยิงเช่นนี้ เป็นการยิงสนับสนุนกลุ่มทหารราบของพวกมันให้เข้าตีฐานเรานั่นเอง
“ข้าศึกประมาน 2 กองร้อย กำลังมุ่งหน้าจากพิกัด 734635 ขึ้นมาบริเวณอานม้า ช่วยให้ แคนเดิ้ลยิงทำลายด้วยครับ”
ผบ.หมวด 5 กองร้อยที่ 2 ซึ่งเป็นหมวดระวังป้องกันส่วนหน้าสุด ซึ่งอยู่ที่ต่ำจากเนินหัวช้างตรงบริเวณทางแยกขึ้นเนินสกายไลน์ส่งข่าวให้ บก.พันทราบในทันทีทันใดที่ตรวจการณ์พบข้าศึกกำลังมุ่งหน้าเข้ามา
“จากแคนเดิ้ล ผมกำลังฟังอยู่แล้วครับ ขอย้ำอีกครั้งว่าเป้าหมายคือทหารข้าศึกที่พิกัด 734635 ถูกต้องไหมครับ”
“ถูกต้องแล้วครับ รีบปล่อยมาเร็วๆหน่อยครับ พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว”
ผบ.หมวดที่ 5 ของกองร้อยที่ 2 ที่ถูกแยกกำลังพลออกไปตั้งฐานโดดเดี่ยวละล่ำละลักขอความช่วยเหลือจากฐานปืนใหญ่ด้วยความตกอกตกใจ
“ปล่อยมาแล้ว ช่วยตรวจให้ด้วย”
“ซ้าย 300 ลด 400 โอเคมั้ยครับ”
“รับข่าวถูกต้องครับ ซ้าย 300 ลด 400 โปรดรอสักครู่ ผมจะส่งของขวัญมาให้พวกมันอีก”
“แคนเดิ้ลจากศรแดง ขณะนี้ข้าศึกเคลื่อนที่ผ่านอานม้ามุ่งหน้าขึ้น บก.พันแล้วครับ ช่วยยิงคุ้มกันกองพันให้ผมด้วย”
“ทหารทุกคนเตรียมพร้อม ยิงทันทีเมื่อเห็นตัวข้าศึก ขณะนี้ปืนจากฐานต่างๆสนับสนุนเราไม่ได้แล้ว เพราะข้าศึกเคลื่อนที่เข้าประชิดฐานของเรา จนปืนใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะกลัวลูกกระสุนจะชอร์ทถูกพวกเดียวกัน”
กองสิงห์ออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดพร้อมับหันมากระซิบกับผมเบาๆว่า
“อย่าหวังเลยครับเครื่องบินจากนาซู พอฐานกองพันทหารรับจ้างเข้าตาจนทีไร มักจะมีอุปสรรคอย่างนี้ทุกที ผมจะฟัดมันด้วยอาวุธเท่าที่มีอยู่ในกองพัน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ บิ๊กแมนอย่าโผล่ศรีษะขึ้นมาพ้นแนวกระสอบทรายนะครับ”
กองสิงห์อดที่จะเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของผมไม่ได้
“ค.60 ทั้งสองกระบอกตั้งทิศทางการยิงไปที่เนินอานม้า มุม 70 องศา ยิงทันทีเมื่อข้าศึกโผล่ขึ้นมาทางด้านนั้น”
เสียงสั่งการโหวกเหวกดังให้แซ่ดไปหมด ในวิทยุสนามแบบ HT-2 ที่รับฟังได้ทั้ง 3 กองร้อย
เสียงปืนอาร์ก้าเริ่มคำรามจากเนินอานม้าเข้าให้แล้ว จากกล้องสนามที่ผมยื่นออกจากช่องกระสอบทรายสามารถมองเห็นข้าศึกที่ยืนลับๆล่อๆอยู่ ณ บริเวณแมกไม้อย่างชัดเจน
“โอ้โห รูปร่างของมันไม่ใช่เล็กๆเหมือนคนญวนทั่วเลยนี่ครับ ใหญ่โตสูงขาวเหมือนกับคนจีนเลยทีเดียว ผมว่าจีนแดงแหงๆเลยครับ”
“ผมคิดว่า พวกจีนแดงคงจะส่งผู้เชี่ยวชาญทางวัตถุระเบิด หรือไม่ก็ผู้วางแผนทางยุทธวิธีมาร่วมประสานงานกับกองพันทหารเวียดนามเหนือตามโครงการช่วยเหลือที่มีต่อกัน ไอ้ตัวที่คุณบิ๊กแมนส่องกล้องมองเห็นตะกี้นี้ ต้องเป็นตัวชั้นหัวกระทิอย่างแน่นอน”
กองสิงห์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับสั่งการทางวิทยุต่อไป
“อาวุธทุกชนิด ยิงลงไปทางรั้วลวดหนามด้านเนินอานม้า ประสานการยิงอย่าให้พวกมันเคลื่อนที่เข้ามายิงได้”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงคำสั่งของ ผบ.พัน เสียงระเบิดนานาชนิดก็เซ็งแซ่ขึ้นรอบด้าน ห่ากระสุนนับเป็นหมื่นๆนัด ตัดกิ่งไม้บริเวณเนินอานม้าขาดปลิวว่อนกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง บางครั้งมีเสียงระเบิดของปืนจรวดแม็กนีโตแบบเอ็ม 72 ดังแทรกขึ้นกลบปืนเล็กกลต่างๆให้เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
ข้าศึกเคลื่อนที่เข้ามา ประสพกับการยิงต้านทานอย่างชนิดถวายหัวเข้า ก็ไม่สามารถที่จะรุกคืบหน้าเข้ามาได้ การยิงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน และทวีความเหี้ยมเกรียมยิ่งขึ้นทุกที
ผมมองเห็นประกายไฟวาบบนเนินอานม้า พร้อมกับมีเสียงระเบิดดังสนั่นเหมือนกับฟ้าผ่าตรงบริเวณรั้วลวดหนามที่อยู่ใกล้ บก.พันที่สุด อำนาจของระเบิดส่งลวดหนามทั้งแผงกระเด็นขึ้นมากองเป็นกระจุกอยู่บนคังคาบังเกอร์ของหมวดพยาบาล นอกจากนั้น แรงระเบิดของมันยังตัดสายเคโม (กับระเบิด) ที่ทหารฝ่ายเราวางดักข้าศึกเอาไว้จนขาดกระจุยกระจายไปจนหมดสิ้น
ประกายไฟวาบที่สองได้ติดตามมาอีกครั้ง คราวนี้วิถีกระสุนของมันพุ่งเข้าปะทะร่องสนามเพลาะ อำนาจทะลุทะลวงของมัน แหวกร่องสนามเพลาะออกเป็นช่องพร้อมกับระเบิดเสียงสนั่นหวั่นไหว ส่งร่างของทหารรับจ้างที่อยู่ห่างจากหลุมเพลาะของผมออกไปทางซ้ายมือประมาน 25 เมตร ลอยกระเด็นขึ้นมาพาดค้างอยู่บนแนวกระสอบทราย พระเจ้าช่วย... ท่อนบนของทหารรับจ้างคนนั้นขาดหายไปเสียแล้ว
“ผู้พันครับ พวกมันเอา ปรส. (ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง) ขึ้นมาตั้งกระหน่ำเราบนเนินอานม้าแล้ว ตัดสินใจให้ปืนใหญ่จากแคนเดิ้ลยิงเถอะครับ ผู้พัน แม้จะใกล้ฐานก็ต้องเสี่ยงกันละครับ”
รอง ผบ.ร้อย 3 ตะโกนฝ่าเสียงระเบิดเข้ามา
“ให้ทหารลงหลุมให้หมด ก้มหน้าลงให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้ อั้วจะให้แคนเดิ้ลยิงเดี๋ยวนี้”
กองสิงห์กัดกรามพูดพร้อมกับตัดสินใจ เพื่อความอยู่รอดของลูกน้อง สั่งยิงปืนใหญ่ทันที
เนื่องจากเนินอานม้า เป็นเนินที่ทหารของกองพันผมใช้เป็นที่ตรวจการณ์ พิกัดของเนินดังกล่าวขึ้น “สกอร์บอร์ด” อยู่ที่ฐานปืนใหญ่แคนเดิ้ลเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้เนินอานม้าจะอยู่ห่างจากฐานของเราเพียง 100 เมตร เพื่อความอยู่รอด ปืนใหญ่จากฐานแคนเดิ้ลตัดสินใจยิงทันที
เหมือนกับพระเจ้าช่วย 3 นัดแรกของแคนเดิ้ลตกลงบนที่หมายพอดิบพอดี จะมีอะไรเหลือครับ แรงระเบิดของกระสุนขนาด 155 มม. ส่งทั้งปืนและพลยิงกระเด็นหายไปจากตาเหมือนกับถูกมือยักษ์กระชากออกจากกัน อีก 2 ลูกชอร์ท ตกลงข้างๆ
เดชะบุญ กระสุนด้าน ทำให้ทหารรับจ้างที่อยู่ในคูเหลดเผ่นโกยอ้าว กระโจนไปแย่งหลุมบุคคลที่เพื่อนๆทหารบางคนซุกตัวหมอบอยู่ก่อนแล้ว ด้วยความตกใจอย่างสุดขีด ท่ามกลางเสียงโวยวายของเพื่อนฝูงที่อยู่ดีๆก็มีร่างมนาญ์กระโจนทับมาบนศรีษะ เล่นเอาเพื่อนฝูงที่อยู่ข้างๆอดที่จะหัวเราะมิได้
พอ ปรส. กระบอกที่ ข่ม กองพันของเรา ถูกอำนาจปืนใหญ่จากฐานแคนเดิ้ลยิงกระจุยกระจายพังพินาศไปต่อหน้าต่อตาของบรรดาทหารรับจ้าง ทำให้ขวัญกำลังใจที่เขม็งเกลียวเต็มที่ของทหารเหล่านั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
เสียงรัวอย่างถี่ยิบของปืนกลเบาแบบเอ็ม. 60 จากฝีมือของ “เจ้าดำ” อดีตช่างตัดผมฝีมือเยี่ยม แต่ใจร้อนในอดีตที่มือไว ใช้มีดโกนปาดคอคู่อริในสถานอาบอบนวดจนห้อยร่องแร่ง เลยต้องเผ่นหนี ทิ้งปัตตาเลี่ยนเปลี่ยนอาชีพเป็นนักล่าหัวมนุษย์ โดยไม่ผิดกฏหมายอยู่ในสมรภูมิลาว จะว่าไปแล้ว เจ้าดำก็มีศิลปะที่มือก็เหลือเดา ฝีมือการยิงปืน เอ็ม.60 ของเจ้าดำเข้าขั้นจริงๆ หลายสิบศพทีเดียวที่ผมแลเห็นฟุบไปกับตา ณ บริเวณรั้วลวดหนาม
“ผู้พันครับ ผมขออนุญาตออกไปจวกกับมันนอกลวดหนามได้ไหมครับ ผมทนไม่ใหวแล้ว ปล่อยให้พวกมันหลอกล่อพวกเราอยู่ได้”
ส.ท. มนตรี วีระศิริ หัวหน้าหน่วยกล้าตายของกองพันทหารรับจ้างตะโกนฝ่าเสียงระเบิดขึ้นมาด้วยความโมโหสุดขีด
“ใจเย็น ไอ้ตรี ประเดี๋ยวเอ็งได้ฆ่าพวกมันแน่ๆ รอให้มันโงหัวไม่ขึ้น เพราะอำนาจปืนใหญ่จากฐานแคนเดิ้ลสักประเดี๋ยวก่อน อั๊วจะอนุมัติให้พวกเอ็งลงไปล่าให้ชุ่มมือทีเดียว”
กองสิงห์เตือนสติลูกน้องคนโปรดของเขา ซึ่งหมอบคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางจงรักภักดีสุดชีวิต
ปืนใหญ่จากฐานแคนเดิ้ล ตัดสินใจยิงถล่มบริเวณนอกรั้วลวดหนามของฐานปฏิบัติฝ่ายเราอีก
ตั้งแต่ผมใช้ชีวิตเป็นทหารรับจ้างอยู่ในลาวมา 3-4 ปี ก็ในวันนี้แหละครับที่ผมเห็นฝีมืออย่างแท้จริงของปืนใหญ่จากฐานแคนเดิ้ล แต่ละนัดแต่ละชุดที่กระสุนปืนใหญ่บรรจงปล่อยมาจากฐานปืนที่ล่องแจ้งตกลงบนที่หมายเกือบ 90 เปอร์เซนต์
ข้าศึกเริ่มระส่ำระสายแล้ว บางคนเริ่มหันรีหันขวาง ทำท่าจะถอนตัวออกจากบริเวณรั้วลวดหนามท่าเดียว โผล่หัวขึ้นมาจากหลุม พอลูกปืนใหญ่กระทบพื้นก้หดหัวลงไปอีก เอาเถิดเอาล่ออยู่เช่นนี้จนกระทั่งกองสิงห์ตัดสินใจส่งหน่วยกล้าตายออกกวาดล้างทันที
ส.ท. มนตรีพร้อมด้วยลูกน้องของเขาอีก 14 คนคลานด้วยข้อศอกออกจากคูสนามเพลาะ ท่มกลางการยิงคุ้มกันของปืนกลเบาแบบเอ็ม.60 ทั้งสองกระบอกที่สาดห่ากระสุนไปยังกลุ่มทหารเวียดนามเหนือที่ซุกตัวหมอบนิ่งอยู่กับก้นหลุมเบื้องหน้า
หน่วยกล้าตายทั้ง 15 คน คลืบคลานเข้าหาหลุมบุคคลที่ทหารเวียดนามเหนือซุกซ่อนอยู่ ด้วยความบ้าดีเดือด ชนิดที่ผมตรวจการณ์อยู่ตลอดเวลาด้วยกล้องสนาม อดที่จะเสียวขนหัวแทนมิได้
ยิ่งใกล้ข้าศึกเข้าไปเท่าใด อาวุธทุกชนิดกระหน่ำยิงประสานกันลงไปอย่างหูดับตับไหม้ เป็นที่น่าสังเกตุว่า วิถีกระสุนของฝ่ายเราสูงขึ้นทุกที ทั้งนี้เป็นไปตามแผนของกองสิงห์ที่เกรงกระสุนจะถูกพวกเดียวกันนั่นเอง
จากกล้องสนามผมแลเห็นมนตรีทำสัญญาณให้ลูกน้องของเขาผุดลุกขึ้นจากท่าคืบคลาน ปลดสลักนิรภัยโยนลูกระเบิดลงไปในหลุมบุคคลที่ทหารเวียดนามเหนือซุกซ่อนอยู่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับกลิ้งตัวหลบสะเก็ดระเบิดไปคนละทิศละทาง
เสียงระเบิดของลูกระเบิดมือได้ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นพร้อมๆกัน ทหารเวียดนามบางคนที่รอดตายจากอำนาจสะเก็ดระเบิดก็เผ่นขึ้นจากหลุม ก็พอดีกับวิ่งเข้ามาในทิศทางปืนของหน่วยกล้าตายที่รอจังหวะอยู่แล้ว
ฉากการดวลระหว่างอาร์ก้ากับปืนเอ็ม.16 ก็ได้เปิดฉากขึ้นในระยะประชิดตัว ใครยิงก่อนก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ แน่นอนเหลือเกิน การสาดกระสุนเข้าหากันก็เหมือนสาดน้ำรดกัน ย่อมมีการเจ็บการตายด้วยการทั้งสองฝ่าย หน่วยกล้าตายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ที่เปิดฉากการโจมตีขึ้นก่อน ทำให้ข้าศึกตกอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อม ยอดการสูญเสียจึงมากกว่าฝ่ายเราอย่างเทียบกันไม่ได้
ชัยชนะตกเป็นของหน่วยกล้าตายอย่างเด็ดขาด ข้าศึกเผ่นลงไปจากเนินอานม้าจนหมดสิ้น ภารกิจต่อไปของหน่วยกล้าตายก็คือรวบรวมเอกสารจากศพทหารเวียดนามเหนือ พร้อมกับยึดอุปกรณ์สื่อสารได้บางส่วนและไม่ลืมที่จะหามศพเพื่อนร่วมทีมที่ต้องเสียชีวิตในการประจัญบานเลือดท่วมไป 4 คน ขึ้นมาด้วย
กองสิงห์สั่งทหารอีก 4 หมวดลงไปคุ้มกันหน่วยทหารกล้าตายทันที ต่อจากนั้นก็ส่งข่าวการปฏิบัติให้ทาง บก.ล่องแจ้งทราบโดยด่วน
ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เวลาปาเข้าไปตั้ง 16.45 น. เข้าไปแล้ว ชอร์ปเปอร์ 3 ตัว บินลิ่วมาทางเม็นแล้มมองเห็นลิบๆอยู่เบื้องล่าง
“บอกให้คนเจ็บเตรียมตัวด้วยครับ ชอปเปอร์มารับแล้ว คนตายก็เตรียมเอาไปด้วย ประเดี๋ยวชอปเปอร์เที่ยวสุดท้ายจะนำถุงใส่ศพติดมาด้วย”
ผมตะโกนบอกทหารรับจ้างที่สาละวนดัดแปลงรั้วลวดหนามและซ่อมแซมสิ่งสลักปรักพังอยู่รอบด้าน
การขนส่งทหารผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตได้ผ่านพ้นไปแล้วอย่างเรียบร้อย กองสิงห์สั่งเพิ่มยามในการตรวจตราฐานปฏิบัติการเป็นสองเท่า พร้อมกับกำชับให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ
จะมีอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้นหรือเปล่า ภายในคืนนี้ไม่มีใครอ่านแผนยุทธวิธีของพวกมันออกหรอกครับ มีวิธีเดียวก็คือ พร้อมอยู่ตลอดเวลาที่จะรับมือพวกมันนั่นแหละ คือวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเราจะทำได้....



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 16:18  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19250

คำตอบที่ 16
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 13
เพื่อความเหมาะสม กองสิงห์ได้ออกคำสั่งให้เม้าส์แทร็ป แฟ็กประจำกองพันไปประจำอยู่ที่กองร้อยที่ 1 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ทางปีกซ้ายสุดของเนินสกายไลน์วัน ทั้งนี้เพื่อให้เม้าแทร็ปสามารถมองเห็นลักษณะภูมิประเทศรอบฐานพอที่จะแจ้งทิศทางหรือที่ตั้งของข้าศึกให้เครื่องบิน “แอร์สไตร๊ค์” ทิ้งระเบิดได้เลยโดยไม่ผิดพลาด
เม้าแทร็ปเก็บเครื่องสนามพร้อมกับบ่นออกมาเบาๆ
“ผมไม่อยากอยู่ห่างคุณเลย บิ๊กแมน สถานการณ์เช่นนี้ ผู้พันไม่น่าจะปล่อยเดี่ยวผมเลย เมื่อตอนเช้าคุณก็คงเห็นแล้ว ผมไซส์ไปหมด ขนาดพูดยังไม่เป็นภาษาคน ถ้าข้าศึกมันบุกขึ้นฐานจริงๆ ผมคงช็อคตายแน่”
ผมเอื้อมมือไปตบไหล่เม้าแทร็ปเบาๆพร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจว่า
“ผมเห็นใจคุณครับ ผมก็เช่นเดียวกัน เวลาออกทำงานใหม่ๆตอนแรกสั่นยิ่งกว่าคุณเสียอีก แต่พอนานๆเข้ามันก็ชินไปเอง ผู้พันท่านคงเห็นว่าพื้นที่ของศรดำ (กองร้อยที่ 1) เป็นเนินลาดลงไปเบื้องล่าง ถ้าเครื่องบินมาทำงาน และเราสองคนอยู่บนชาร์ลี-ชาร์ลี มองไม่เห็นภูมิประเทสทางโน้นหรอกครับ ผมคิดว่าท่านวางแผนของท่านถูกแล้ว”
“โอเคครับ ผมถือโอกาสลาคุณเสียเลย ถ้าผมเป็นอะไรลงไป กรุณารับเงินเดือน-เดือนนี้ไปฝากให้แฟนของผมด้วย”
เม้าแทร็ปคว้าเป้ที่บรรจุ ปิ๊ค-77 ขึ้นสะพายหลังพร้อมใช้มือขวาถือคอปืน M-16 เดินออกไปจากบังเกอร์พร้อมด้วยทหารคุ้มกัน 3-4 คน มุ่งหน้าไปยังกองร้อยหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปประมาน 800 เมตรอย่างรวดเร็ว
ผมอดใจหายไม่ได้ คำพูดตอนสุดท้ายของเม้าแทร็ปยังกังวานอยู่ในสมอง มันคล้ายๆกับจะเป็นลางสังหรณ์ว่าเม้าแทร็ปจะต้องประสพเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน คงจะเป็นจิตสำนึกที่อยู่ภายในสมองของเขาบงการให้เขาพูดออกมาเช่นนั้น เหมือนกับเม้าแทร็ปจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้ายังไงยังงั้น
พาสเวิร์ด (สัญญาณผ่าน) ประจำวัน ถูกออกคำสั่งให้พลนำสารตั้งแต่ 18.00 น. เป็นต้นไป ห้ามทหารทุกคนออกเดินเพ่นพ่าน ให้อยู่ในคูเหล็ดหรือในเบิร์มเท่านั้น
ผู้มีหน้าที่เฝ้ายาม เจอะทหารรับจ้างคนใดที่ต้องเดินผ่านฐานจะต้องถามสัญญาณผ่านทันที และถ้าเกิดบังเอิญถึงคราวซวยจำรหัสไม่ได้ก็ตายฟรีเท่านั้น
ส่วนผมต้องใช้หัวนิดหน่อย เวลาปวดท้องอึจนทนไม่ใหวก็ต้องใช้วิธีตะโกนถามหายามว่าอยู่ที่ใหน
ปกติทหารรับจ้างแทบทุกคนจะต้องรู้จักยาม พอผมใด้รับคำตอบ ยามจะเดินเข้าหาผมทันที คราวนี้ผมก็นั่งอึอย่างสบายแถมมีทหารรับจ้างถือปืนคุ้มกันเป็นเพื่อนคุยซะอีก
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี “เม้าแทร็ป” ก็เช็ควิทยุมาที่ผมเป็นการยืนยันว่าขระนี้ เม้าแทร็ปเข้าฐานปฏิบัติการโดยเรียบร้อย
พระอาทิตย์เพิ่งจะลับหายไปจากสันเขาความสว่างของบรรยากาศเริ่มสลัวลงทุกขณะ ในไม่ช้าอากาศก็มืดมิดไปทั่วบริเวณ
ผมนั่งภาวนา ขออย่าให้หมอกปกคลุมสกายไลน์เหมือนอย่างทุกครั้งเลย อากาศปิดทีไรพวกข้าศึกจะฉวยโอกาสเข้ามาเกาะฐานของเราทุกที พอรุ่งเช้าอากาศเปิดพวกมันก็เต็มรั้วลวดหนามไปหมดแล้ว
“ศรแดงจากศรคีรี 5 ผมขอตะเกียง 2 ดวงครับ จะตรวจการณ์บริเวณเนินอานม้า”
ผบ.หมวดที่ 5 จากฐานชาร์ลี-เอคโค่ ซึ่งอยู่ส่วนหน้าสุด ร้องขอแฟลร์มาที่ฐาน บก.พัน
แฟลร์ที่บรรจุอยู่ในลูกปืน ค. ขนาด 81 ถูกยิงโด่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ชั่วอึดใจก็ส่องสว่างอยู่เหนือเนินอานม้าด้วยความสว่างขนาดหมื่นแรงเทียน
“ขออีกดวงหนึ่งครับ ลดซัก 300 ซ้าย 100 รับปากได้หรือปล่าวครับ”
“โอเค ลด 300 ซ้าย 100 แถมให้สองดวงติดๆกัน พยายามตรวจการณ์ให้ดีๆหน่อยเพื่อนฝูง”
พนักงานวิทยุจากหมวดอาวุธหนัก อดที่จะตอแยตามวิสัยผู้ที่ชอบเสพกัญชาไม่ได้
คราวนี้แฟลร์สองดวงถูกยิงขึ้นไปลอยฟ่องคู่กันอยู่บนท้องฟ้า แสงที่สว่างจ้าของมันสาดลงไปลามเลียภูมิประเทศเบื้องล่างสว่างไสวยังกับมีงานมหรศพ
“ข้าศึกไม่น้อยกว่า 4-5 คน กำลังลากศพพวกมันออกจากรั้วลวดหนาม แล้วเดินขึ้นไปบนเนินอานม้า ช่วยจวกให้หน่อยครับ”
ผบ.หมวด 5 รายงานขึ้นมาอีกครั้ง
“แฟลร์อีก 3 ดวงพร้อมยิงได้ ค.60 ตั้งทิศทางยิงไปที่เนินอานม้า ยิงทันทีเมื่อแฟลร์ถูกส่งขึ้นเหนือเป้าหมาย”
กองสิงห์สั่งการรวดเร็วฉับพลัน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่อจากนั้น ค.60 ก็เริ่มพ่นกระสุนเข้าใส่เป้าหมายเป็นชุดๆ ติดตามด้วยเสียงกราวใหญ่ของปืนกลเบา M.60 ช่วยปลุกประสาทให้กลุ่มทหารรับจ้างที่หมอบนิ่งอยู่ในแนวสนามเพลาะหูตาสว่างไสวขึ้นทันที และทหารรับจ้างบางหมวดที่อยู่ใกล้กับเนินอานม้าสามารถตรวจการณ์มองเห็นที่หมายซึ่งขณะนี้จ้าไปหมดด้วยอำนาจแฟลร์ที่ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยไม่ขาดระยะ ก็พากันกราดปืน M-16 เข้าใส่ข้าศึกอย่างชุ่มมือ
ทหารเวียดนามเหนือได้อาศัยความมืดแฝงกายเข้ามาลากศพของพวกมัน ที่นอนระเกะระกะจากอำนาจปืนใหญ่ และจากการกวาดล้างของหน่วยกล้าตาย ซึ่งจากการสำรวจ ข้าศึกถูกสังหารถึง 38 ศพ นับเป็นการสูญเสียที่พวกมันคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
พอโดนโจมตีด้วยอาวุธหนัก พวกข้าศึกก็ผละจากบริเวณรั้วเผ่นเข้าป่าทึบทันที เสียงปืนที่เซ็งแซ่อยู่รอบทิศสงบเงียบเป็นปลิดทิ้ง
“ผู้พันครับ ไอ้แกวมันถอดเอาเคย์โมว์ (กับระเบิด) ของพวกเราไปหมดเลยครับ ผมกดสวิทช์หวังจะจวกมันปรากฏว่า พวกมันถอดเอาไปเกลี้ยง”
ทหารรับจ้างรายงานข่าวเข้า บก.พันไม่ขาดระยะ
“ส่งข่าวไปยังกองร้อยต่างๆให้ระมัดระวังด้วย อากาศทำท่าไม่ดีอีกแล้ว ถ้าอากาศปิด จะตรวจการณ์พวกมันลำบากยิ่งกว่านี้”
กองสิงห์หันไปสั่งพนักงานวิทยุให้ส่งข่าวไปยังกองร้อยต่างๆพร้อมกับกำชับให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
สายหมอกเริ่มจับกลุ่มรวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้นทุกที...มันเริ่มปกคลุมตั้งแต่ยอดเนินและแผ่กระจายช้าๆคลุมอาณาบริเวณเนินชาร์ลี-ชาร์ลี และบริเวณใกล้เคียงมองดูมืดทึบไปหมดทั้งภูเขา สายหมอกหนาแน่นจนกระทั่งไม่สามารถที่จะเห็นกันได้ในระยะ 10 เมตร ทำให้เพิ่มความน่ากลัวเข้าไปในหัวใจของกลุ่มทหารรับจ้างเป็นทวีคูณ
ผมนอนห่มผ้าสักหลาดสองผืนซ้อนอยู่ในบังเกอร์ที่สร้างด้วยแผ่นเหล็กหนาถึง 4 หุน แล้วนอกจากนั้นยังมีกระสอบทรายวางซ้อนอีกหลายชั้น
PRC-77 ส่งเสียงแว่วๆอยู่บริเวณหัวนอน ผมทอดสายตามองฝ่าสายหมอกลอดประตูบังเกอร์ออกไปภายนอก ก็มองเห็นแต่สีขาวโพลนไปหมดทั้งฐานปฏิบัติการ เสียงตะโกนถามรหัสผ่านจากกลุ่มทหารรับจ้างดังโหวกเหวกมาทางหมวดอาวุธหนัก ติดตามมาด้วยเสียงด่าอย่างอารมณ์เสียของทหารรับจ้างบางคนที่หิวกัญชาจนหน้ามืด
“ไอ้ห่ากระดิ่งเอาห่อเนื้อเก็บซ่อนไว้ที่ใหนโว้ย...กูเงี่ยนจนจะลงแดงตายอยู่แล้ว เฮ้ย ใครมีขอปันกูหน่อยเถอะวะ”
“มีแต่ลูกแตก...มึงจะแดกมั้ย ไอ้แทน”
ทหารรับจ้างคนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างเหลือดอด
“สำหรับลูกแตกพี่ไม่ขอรับ ถ้าจะให้จั๋งหนับ...พี่ขอเปลี่ยนเป็นบ้องกัญชา”
ด้วยสำเนียงลิเกที่เล่นลูกคอพริ้วราวกับลิเกอาชีพเรียกเสียงหัวเราะคลืนใหญ่จากกลุ่มนิยมควันทั้งหลายที่รวมกลุ่มกันเวียนเทียนบ้องกัญชาไปรอบๆ คูสนามเพลาะเข้าทำนองถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน
“บิ๊กแมนหลับหรือยัง”
ผมได้ยินเสียงเม้าแทร็ปแว่วผ่านลำโพง PRC-77 ออกมา
“ใครจะหลับเข้าไปใหว ทางคุณมีอะไรผิดสังเกตุบ้างมั้ย”
“ตอนนี้ยังไม่มีหรอกครับ อากาศก็ปิดขนาด ซีโร่-ซีโร่ ทีเดียว ยิงแฟร์จนเกือบหมดลังก็ตรวจการณ์อะไรไม่เห็น ตะกี้นี้มีพวกเรา กิโล-วิสกี้ (ตาย) มั่งหรือเปล่าครับ”
เม้าแทร็ปย้อนถามผมเป็นรหัส แฟ็ก มาอีก
“เนกาทีฟ (ไม่มีครับ) ขณะนี้ทางผม ซิสซูเอชั่น ไคว้ทเอ็ท (สถานการณ์เงียบ) เลิกกันนะครับ”
ผมตัดบทออกไป เพราะเกรงใจสถานีอื่นๆที่จะใช้วิทยุทำการส่งข่าวราชการในช่วงเวลานั้น
“ระวังเด้อ-บิ๊กแมน ระวังพวกแกวมันสิขึ้นมาตัดหำเจ้าเด้อ”
มีเสียงล่ามประจำกองพันใดกองพันหนึ่งที่ผมจำเสียงไม่ได้เอ่ยกระเซ้าผมขึ้นมาทางวิทยุ PRC-77
ได้ยินเสียงแว่วๆเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์เล็กๆ ที่กำลังเปิดเพลงกุหลาบปากซัน ในรายการทหารแนวหน้าจากสถานีวิทยุเมืองเวียงจันทร์อย่างสบายใจ
พูดถึงเรื่องวิทยุ ผมมีข้อเปรียบเทียบที่ขอสาบานว่าไม่เคยได้ค่าโฆษณาจากบริษัทใดบริษัทหนึ่งมาก่อนเลย ผลการรับฟังวิทยุบนภูเขาในประเทสลาว วิทยุกระเป๋าหิ้วไม่ส่าจะเป็นยี่ห้อใด ที่มีราคาเป็นพันๆบาทขึ้นไปไม่ติดฝุ่น “ธานินทร์” ที่ผลิตในประเทศไทยหรอกครับ ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อก็ลองสอบถามทหารรับจ้างบางคนที่ท่านบังเอิญได้มีโอกาสสังสรรค์ดูก็แล้วกัน แล้วเขาเหล่านั้นจะบอกกับคุณเองว่า “ธานินทร์” คว้าตำแหน่งแชมป์เปี้ยนเอาไปครองอย่างชนิดเปรียบกันไม่ได้เลย ยี่ห้ออื่นๆอย่างดีก็รับสถานีเอเชียเสรีและสถานีประเทศไทยได้เป็นบางครั้งเท่านั้น พอตกกลางวันก็มีอาการจางหายจางหายจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง จนอยากจะเตะทิ้งตั้งหลายครั้งหลายครา
คงจะเนื่องจากความอ่อนเพลียที่ผจญมาตลอดวันทำให้ผมเผลอหลับไป จนกระทั่งตกใจตื่นตื่นขึ้นมาเพราะแรงกระชากตรงบริเวณแขนซ้ายจากพนักงานวิทยุประจำ บก.พัน ที่นอนอยู่ข้างๆ
“กองร้อยที่หนึ่งของเราโดนมันเข้าโจมตีแล้วครับ”
พนักงานวิทยุกระซิบกระซาบพร้อมกับเอื้อมมือหยิบไฟฉายขึ้นมาเตรียมพร้อม ที่จะรับข่าวการโจมตีจากสถานีลูกข่าย
หูของผมได้ยินเสียงอาร์ก้าคำราม เสียงแหลมเล็กผสมเผสกับเสียงหนักแน่นของปืน เอ็ม 16 ที่สาดกระสุนเข้าใส่กันเป็นพายุบุแคมจากทางด้านขวามือสุดของเนินสกายไลน์วัน จากพรายน้ำบนหน้าปัดนาฬิกา มันเกือบจะหกโมงเช้าเข้าไปแล้ว เมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่หนสแน่นเริ่มจางลงไปทุกขณะ ผมเผลอตัวนอนหลับไปตั้ง 4-5 ชั่วโมงเลยเชียวหรือนี่
“บิ๊กแมนจากเม้าแทร็ป ข้าศึกประมานจำนวนไม่ถุก ตัดสายเคลย์โมว์ทะลักข้ามลวดหนามชั้นนอกเข้ามาแล้ว เสาอากาศสูงของผมหักมีแต่สายสั้น ติดต่อตรงกับเบาน์เดอร์-คอนโทรลไม่ได้ กรุณารีเลย์ให้ผมด้วย ผมต้องการให้เครื่องบินมาทำงาน บิ๊กแมนขอทางวังเวียงให้ผมด้วยครับ”
ตกลงผมก็ต้องเป็นสถานีกลาง คอยรีเลย์ข่าวให้กับเมาส์แทร็ป ซึ่งขณะนี้กำลังถูกข้าศึกไม่ปรากฏจำนวนบุกเข้าโจมตีเสียแล้ว
ทางเบาน์เดอร์ตอบให้ผมทราบว่า ได้ขอเครื่องบินไปทางวังเวียงเรียบร้อยแล้ว ถ้าสภาพอากาศดีขึ้นกว่านี้เล้กน้อย เครื่องบินจะมาทำงานทันที ผมก็ถ่ายทอดจากเบาน์เดอร์ ไปให้เม้าแทร็ป และแน่นอนเหลือเกิน ขวัญและกำลังใจของกองร้อยที่หนึ่งจะต้องดีขึ้น เมื่อรู้ว่าเครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดใส่ข้าศึกที่กำลังประทะติดพันกันอยู่นั้น
“พายัพจากกองสิงห์ เป็นยังไงบ้างวะ ยันมันให้อยู่นะโว้ย จะให้ทาง บก.พันสนับสนุนอะไรก็ร้องขอมาได้เลย”
กองสิงห์ถามข่าวคราวจาก รองผบ. 601 ซึ่งเป็นลูกน้องคนโปรดด้วยความห่วงใยเป็นพิเศษ
“สบายมากครับ ผู้พัน ผมขึ้นมาคุม ค.60 จวกมันจนขาลากวิ่งแจวอ้าวออกไปจากรั้วลวดหนามชั้นนอกหลายต่อหลายคนแล้วครับ ขณะนี้มันซ่อนอยู่ในหลุมบุคคลซึ่งพวกมันแอบเข้ามาขุดเมื่อตอนอากาสปิดเต็มไปหมดแล้วครับ”
พายัพ พาจิตเย็น สิงห์ร้ายจากเมืองเพชรตอบเจ้านายของเขาอย่างใจเย็น
“เอาเอ็ม 72 ยิงถล่มไปตรงบริเวณปากหลุมของมันเลย ยิงประหยัดหน่อยโว้ย เหลือเอาไว้ต้อนรับรถถังของมันบ้าง”
“ผมใช้ ค.60 ค.81 และ เอ็ม 79 ยิงถล่มลงไปบริเวณหลุมของมัน แต่ไม่ค่อยจะได้ผล นอกจาก แจ็คพอร์ต จริงๆเท่านั้น”
“โชคดีโว้ย พายับ ขอให้คุณพระคุ้มครองลื้อและลูกน้องทุกคน”
อากาสแจ่มใสขึ้นทุกที ดวงอาทิตย์ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากยอดเนินซีบร้า ประกายอันร้อนแรงของมันเริ่มเผลาผลาญสายหมอกที่ค่อนนข้างจะเบาบางอยู่นั้น จางหายไปในชั่วพริบตา
การต่อสู้ได้ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ เสียงคำรามของปืนนานาชนิดก็ยังเซ็งแซ่อยู่เหมือนเดิม ยิ่งสายเข้าท่าใด ยอดความสูญเสียของฝ่ายเราและมันก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ข้าศึกใช้ ปรส. 2 กระบอกอ้อมขึ้นไปตั้งบนเนินเล็กๆที่ทาง บก.พัน ตรวจการณ์ไม่เห็นเพราะสันเขาบัง ต่อจากนั้น ปรส. ของมันก็เริ่มบรรเลงกระสุนเข้าใส่ฐาน ชาร์ลี-กอล์ฟ อย่างเมามัน
ร่องสนามเพลาะของหมวด 5 ทะลุขาดออกเป็นช่อง แรงระเบิดของมันเฉือนศรีษะของทหารรับจ้างชาวไทยที่นั่งคุกเข่าประทับเอ็ม 16 อยู่ ณ บริเวณหลังกระสอบทรายกระเด็นแวบขึ้นไปกลิ้งอยู่หน้าบังเกอรืของเม้าส์แทร็ป ซึ่งขณะนี้ปากคอสั่น พูดวิทยุแทบไม่เป็นภาษาคน
“บิ๊กแมน เครื่องบินมาหรือยังครับ ฐานของผมเห็นทีจะต้องถอนตัวแน่ๆ ปืน ปรส.ของมัน กดหัวพวกเราจนโงหัวหัวไม่ขึ้นแล้ว”
“ใจเย็นๆ เม้าแทร็ป ขณะนี้อากาสเปิดแล้ว ประเดี๋ยวเครื่องคงมา”
ผมให้กำลังใจ พร้อมกับติดต่อไปทางเบาน์เดอร์เพื่อรายงานสถานการณ์ที่ตรึงเครียดให้หน่วยเหนือทราบ
ปรส.ของข้าศึก ดับ ค.81 ของฝ่ายเราที่สนับสนุนกองร้อยที่หนึ่งเสียแล้ว ทั้งพลยิง,พลบรรจุเผ่นหนีไปคนละทิศละทาง
สถานการณ์ของกองร้อยที่หนึ่ง ตกอยู่ในภาวะที่ถูกบีบให้ถอนตัวจากอำนาจการยิงที่รุนแรงของอาวุธหนักข้าศึกแล้ว
พายัพ พาจิตเย็น รองผบ.ร้อย สั่งทหารรับจ้างทุกคนสู้ตาย อย่างชนิดไม่ยอมถอยออกจากฐานปฏิบัติการแม้แต่ก้าวเดียว ทัศนวิศัยที่แจ่มใสจนมองเห็นทหารเวียดนามเหนือคืบคลานผ่านลวดหนามชั้นนอก เข้ามามองดูยั้วเยี้ยไปหมด
“ยิงมันเข้าไปไอ้น้อง มันจะเท่าไหร่กันวะ กว่ามันจะขึ้นมาบนฐานก็เหลือไม่กี่คนหรอก”
พายัพ ซึ่งขณะนี้เข้าไปยิง ค.60 ถล่มข้าศึกด้วยตนเอง แทนพลยิง ซึ่งนอนตาเหลือกค้างโพลงด้วยอำนาจสะเก็ดระเบิดที่ฉวัดเฉวียนอยู่รอบๆทิศ ร้องตะโกนให้กำลังใจลูกน้องของเขา ซึ่งขณะนี้กำลังระดมยิงข้าศึกอย่างชนิดลืมตาย
“เม้าแทร็ป จากบิ๊กแมน ที.28 สามเครื่องจากวังเวียงมาแล้ว...โชคดีเพื่อน”
เครื่องบิน ที-28 สามเครื่องจากวังเวียงที่ได้รับการร้องขอจากเม้าส์แทร็ปก็ได้มาถึง หลังจากบินวนเวียนอยู่ชั่วครู่ก็ติดต่อกับเม้าแทร็ป เพื่อขอทราบที่ตั้งของข้าศึกทันที...
“เม้าแทร็ปจาก ที-28 ผมจะให้สองเครื่องทางซ้ายมือแยกไปทำงาน กับที่ตั้ง ปรส.ข้าศึก ซึ่งขณะนี้ลูกหมู่ของผมตรวจการณ์พบแล้ว ส่วนผมจะทำงานให้กับคุณเดี๋ยวนี้ โปรดโชว์ควันสัญญาณ”
เม้าแทร็ปร้องตะโกนสั่งให้ทหารที่อยู่ส่วนหน้าสุดโชว์ควันสัณญาณ ทันใดนั้นเอง ควันสีแดงก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นสายมองเห็นอย่างถนัดชัดเจนในระยะทางไกลๆ
“สีแดงของคุณใช่มั้ย เม้าแทร็ป”
นักบิน ที-28 ถามลงมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“โรเจอร์”
เม้าแทร็ปตอบเป็นรหัสขึ้นไปห้วนๆ พอขาดคำ ที-28 เครื่องนั้นก็ดำดิ่งลงมาทันที เสียงเครื่องยนต์ของมันคำรามจนแสบแก้วหูทั้งสองข้าง ลูกระเบิดขนาด 250 ปอนด์ที่อยู่ใต้ปีกถูกปลดอย่างรวดเร็วท่ามกลางความระทึกใจ ของทหารรับจ้างที่นอนตาเบิกโพลงอยู่ในหลุมเพลาะ
□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 16:45  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19252

คำตอบที่ 17
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 14
บึ้ม...บึ้ม
เสียงเหมือนกับฟ้าผ่าได้ดังขึ้น อย่างสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดของมันส่งรั้วลวดหนามลอยข้ามแนวสนามเพลาะขึ้นไปกองเป็นกระจุกอยู่ข้างๆ บก.ร้อย ควันไฟและเศษดินเศษหินปลิวว่อนออกไปทุกทิศทุกทาง ควันยังไม่ทันจาง ลูกระเบิดชุดอีกชุดหนึ่งก็ถูกทิ้งลงมาเป็นระลอกที่สอง
แรงสะเทือนของมัน ทำให้กระสอบทรายที่วางซ้อนกันอยู่อย่างหมิ่นเหม่ พังทลายลงทับทหารรับจ้างที่กำลังซุกตัวหมอบอยู่ในร่องคูเหล็ดจนมองไม่เห็นตัว เดือดร้อนเพื่อนฝูง ต้องรีบขุดคุ้ยออกมาอย่างปัจจุบันทันด่วน กว่าจะตลุยขนกระสอบทรายออกจากคูเหล็ดได้ ทหารเคราะห์ร้ายคนนั้นก็หมดลมเสียแล้ว
พอควันจาง ภาพที่แหลกลาญด้วยอำนาจลูกระเบิดที่บริเวณรั้วลวดหนามก็บังเกิดขึ้น
รั้วลวดหนามทั้งแถบถูกถอนรากถอนโคน หายไปจนหมดสิ้น ซากศพของข้าศึกนอนสุมกันระเกะระกะ ชิ้นส่วนบางชิ้นไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขา ปลิวข้ามมาตกบนกึ่งกลางฐานให้เกลื่อนไปหมด ข้าศึกที่บาดเจ็บบางคนก็พยายามผงกศรีษะขึ้น แล้วก็กลับซบลงไปพื้นดินแน่นิ่งไปอีก
การเคลื่อนไหวของข้าศึกได้สะดุดลงเป็นปลิดทิ้ง และโน่น บนเนินที่ตั้ง ปรส. ไฟลุกสว่างจ้า พร้อมกับบังเกิดเสียงระเบิดรุนแรงติดตามมา 7-8 ครั้ง
อา...กระสุน ปรส. ของมันถูกอำนาจระเบิดทำลายลงหมดสิ้นแล้ว น่นอนเหลือเกิน สำหรับตัวปืน พลยิง ต่อให้มันมีปีกบินก็คงจะไปไม่รอด เพราะเท่าที่ตรวจการณ์ด้วยกล้องสนาม ยอดเนินดังกล่าวแหว่งหายไปเหมือนกับถูกของมีคมปาดเอาส่วนยอดสุดหลุดออกไปทั้งกะบิ
“เม้าแทร็ปจากที-28 ภารกิจสุดท้ายของผมจะโจมตีพื้นที่ดังกล่าวด้วยปืนกลอากาศให้ทหารระมัดระวังด้วย”
ไม่มีเสียงตอบจากเม้าแทร็ป ทำให้ผมตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบรายงานให้กองสิงห์ทราบทันที
“ศรดำจากกองสิงห์ ลองไปดูที่บังเกอร์ของเม้าส์แทร็ปซิ ทำไมเงียบเสียงไป”
เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ มันเป็นเวลาที่ผมอึดอัดที่สุดในชีวิต ความห่วงใยที่มีต่อเม้าแทร็ปทำให้ผมเดินพล่านไปมาเหมือนกับเสือติดจั่น
“กองสิงห์จากพายัพ เม้าแทร็ปกำลังดื่มเป๊ปซี่อยู่ครับ”
เสียงรอง ผบ.ร้อยกล่าวตอบมาเป็นรหัสที่ผมไม่เข้าใจ
“เม้าแทร็ปเป็นอะไรไปครับ”
ผมย้อนถามไปอย่างรวดเร็ว
“เม้าแทร็ปเสียชีวิตแล้วครับ ผมยังไม่ทราบรายละเอียด ประเดี๋ยวพลนำสารจะนำรายละเอียดมาส่งที่ บก.พัน ผมเสียใจด้วยครับ แกต้องมาตายเพราะคำสั่งของผมแท้ๆ”
กองสิงห์พึมพัมออกมาด้วยความเสียใจ
ตัวของผมชาดิกไปหมดทั้งร่าง มันช่างรวดเร็วเหลือเกินคำพูดทิ้งท้ายก่อนเดินทางไป ชาร์ลี-กอล์ฟ ของเม้าแทร็ปยังก้องอยู่ในโสตประสาทของผมอยู่เสมอ เพื่อนเอ๋ย ลางสังหรณ์ของเพื่อนช่างเหมาะเหม็งอะไรเช่นนั้น ไม่มีใครฝืนดวงของตัวเองไปได้หรอก ขอให้ไปดีเถอะเพื่อนรัก
ไม่ถึงสองชั่วโมง พลนำสารก็นำรายละเอียดจากการประทะมาส่ง บก.พัน (กองสิงห์ไม่ยอมให้มีการส่งข่าวการสูญเสียยอดกำลังพลของฝ่ายเรา ทางวิทยุอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ทราบว่า ข้าศึกจะดักฟังการเคลื่อนไหวของเราอยู่ตลอดเวลาหรือไม่)
“ไอ้โค้ดลับ รหัสที่ทาง บก.ล่องแจ้งแจกให้ทุกๆครึ่งเดือน ผมไม่แน่ใจหรอกครับ จากการถามผู้หมวดสาครที่หลบหนีทหารเวียดนามเหนือมาพักอยู่กับกองพันของผมหนึ่งคืน แกเล่าว่ารหัสที่ บก.ล่องแจ้งแจกให้ รั่วไหลไปอยู่ที่มันอย่างชนิดที่ตัวแกเองแทบช็อคเอาทีเดียว ผมก็เลยต้องคิดรหัสประจำกองพันขึ้นมาเอง บางครั้งถ้าข่าวสำคัญ ก็ใช้พลนำสาร ความปลอดภัยมีมากกว่ากันครับ
กองสิงห์ พูดพร้อมกับอ่านรายละเอียดจากกองร้อยที่หนึ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“เม้าแทร็ปโดนชิ้นสะเก็ดระเบิดเข้าที่หน้าผากพอดี นอนตายอยู่หน้าบังเกอร์นั่นเอง ส่วนทหารรับจ้างเสียชีวิตทั้งหมด 12 คน บาดเจ็บ 8 คน รวมทั้งเม้าแทร็ปด้วยครับ เป็นยอดจำหน่ายกำลังพลในวันนี้ 21 คนพอดีครับ”
กองสิงห์เอ่ยขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับหันหน้ามาพูดกับผมค่อนข้างห้วนว่า
“คุณบิ๊กแมนช่วยขอชอปเปอร์ให้หน่อยครับ มีทหารอาการซีเรียสอยู่สองคน บางทีอาจจะรอด ถ้าได้รับการรักษาพยาบาลทันท่วงที”
“เรียบร้อยแล้วครับ ผมติดต่อไปตั้งแต่เสียงของเม้าแทร็ปขาดหายไป ประเดี๋ยวทาง บก.ล่องแจ้งจะส่งชอปเปอร์มา 3 ตัวครับ”
ผมตอบออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อเอาใจกองสิงห์ที่กำลังเครียดอย่างหนัก เนื่องจากการสูญเสียชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชา ในการสู้รบที่ผ่านมา
“ยอดการสูญเสียอาวุธของเรามีปืน ค.81 หนึ่งกระบอก ปืนพก สองกระบอก ปืนเอ็ม.16 สี่กระบอก ส่วนข้าศึกจากการเคลียร์พื้นที่ ยึดได้วิทยุที่อยู่ในสภาพเรียบร้อย 1 เครื่อง ปืนอาร์ก้า 24 กระบอก และสามารถสังหารข้าศึกได้ 84 ศพ นอกจากนั้นยังมี ปรส.ของข้าศึกอีก 2 กระบอก ที่ถูกระเบิดพังพินาศอยู่บนเนินทางซ้ายมือสุด เอาละครับ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว มันเป็นอัตราสูญเสียที่น่าแลกกับพวกมันอย่างที่ผมพึงพอใจทีเดียวประเดี๋ยวคุณช่วยคอนโทรลชอปเปอร์ในการขนส่งผู้บาดเจ็บด้วยนะครับ”
กองสิงห์หันมากำชับผมอีกครั้ง ก่อนที่จะขอตัวกลับเข้าไปวางแผนภายในห้องยุทธการ ร่วมกับกองอินนายทหาร ฝอ.3 ต่อไป
เบาน์เดอร์-คอนโทรล เพิ่งทราบการเสียชีวิตของเม้าแทร็ปจากผมเดี๋ยวนี้เอง ทำให้ข่ายการติดต่อทางวิทยุของบรรดาล่ามประจำกองพันทหารรับจ้างเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่งด้วยความหดหู่และเสียดายเด็กหนุ่มหน้าเป็นผู้มีอัธยาศัยดีผู้นั้น
ชอปเปอร์ทั้ง 3 เครื่อง ลำเลียงทหารผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกลับลงไปล่องแจ้ง เสร็จเรียบร้อยภายใน 20 นาทีนั่นเอง
ความหิวโหยได้วิ่งเข้ามาจนปวดท้องจี้ดไปหมด ยกนาฬิกาขึ้นดู 13.40 น. เข้าไปแล้วครับ อย่าว่าแต่อาหารมื้อเที่ยงเลยครับ มัวแต่พะวงคอยเป็นสถานีกลางให้เม้าแทร็ปติดต่อกับเบาน์เดอร์จนกระทั่งลืมกินอาหารไปอย่างสนิทใจ
ชะรอยพ่อครัว บก.พัน คงจะรู้ใจ รีบตักเอาข้าวราดหน้าหมูเค็มจานเบ้อเร่อ มายัดเยียดให้ผมถึงในบังเกอร์ เพียงพริบตาอาหารจานนั้นก็เรียบวุธ
“ศรแดงจากศรคีรี5 ขอลูก ค.60 ให้ผมซัก 10 หีบได้ไหมครับ ช่วยให้ ฝอ.4 ส่งให้เดี๋ยวนี้ด้วย กระสุน ค.60 ของผมชักจะชอร์ทเต็มทีแล้ว”
หมวดป้องกันหน้าสุดที่ตั้งอิสระอยู่ ณ ชาร์ลี-เอ็คโค่-วัน ร้องขอกระสุนปืนขึ้นมา
“ศรคีรี5 จากศรแดง ประเดี๋ยวจะส่งข่าวให้ ฝอ.4 ทราบ กระสุนพร้อมเมื่อไหร่จะส่งมาให้ทันทีโอเค...มั้ย”
“ขอบพระคุณคร้าบ...ที่กรุณา อยู่ทางนี้หนาวเหลือเกิน ถ้าศรแดงมียาแก้หนาวยี่ห้อแม่โขง ก็ส่งมาให้ซัก 2 แบนซีครับ”
ผบ.หมวดออดอ้อนต่อไปอีกตามประสาของคนคอสุรา
“มีแต่ ส.ร.ถ. จะเอามั้ย ม้าแก่”
กองสิงห์ย้อนถามลูกน้องออกไปอีก
“ถ้าได้ก็ดีครับ ผู้พัน สุราเถื่อนของลาวนอกจากจะใช้กินแล้วยังใช้จุดตะเกียงได้ครับ ตกลงครับ ประเดี๋ยวผมจะให้ขึ้นมาเอาบน บก.พัน”
“ไอ้บ้า อย่าเสือกปล่อยทหารขึ้นมาล่ะ ประเดี๋ยวก็โดนเสียบกลางทางหรอก ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ อั๊วจะบอกให้ ฝอ.3 ใส่กล่องแพ็ครวมมากับลูกกระสุนปืน ค.60 คอยรับก็แล้วกัน พอทีโว้ย พูดกับคนขี้เมาอย่างลื้อ เรื่องมาก”
กองสิงห์ตัดบทออกมาอย่างรำคาญ
ด้วยการร้องขออย่างรีบด่วน บก.ส่วนหลังรีบส่งกระสุนขึ้นมาตามต้องการทันที
ชอปเปอร์หิ้วกล่องกระสุนบินลิ่วมาจากบริเวณท้ายสนามบิน ผ่านหมู่บ้านลาวรวมเผ่า ตีวงกว้างเพื่อหาทางลงจอดบนลานที่บริเวณฐานชาร์ลี-เอ็คโค่-วัน ทันที
พอบินผ่านชอปเปอร์แพ็ด ชอปเปอร์เครื่องนั้นก็สลัดกล่องทิ้ง บินโฉบมุ่งหน้ากลับไปล่องแจ้งทันที ท่ามกลางความแปลกใจของกลุ่มทหารรับจ้างที่ยืนดูอยูภายในสนามเพลาะ
“ศรแดง จากศรคีรี 5 ลองถามนักบินมันดูสิครับ ทำไมมันทิ้งหีบกระสุนของผมลงในป่าทางโน้น แล้วเสือกบินหนีไปวะด้วย เหล้าของผมแตกหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ผบ.หมวดคอสุรา “จ้อ” ขึ้นไป บก.พันอีก
“ไอ้ม้าแก่ เตรียมพร้อมโว้ย นักบินเฮลิคอปเตอร์โดนยิงด้วยปืนอาร์ก้าบริเวณ ชอปเปอร์แพ็ด (ที่จอดเฮลิคอปเตอร์) ของฐานลื้อนั่นแหละ ป่านนี้พวกมันไปเกาะฐานลื้อเต็มไปหมดแล้วมั้ง ลองเคลียร์ด้วย เอ็ม 72 ซักนัดซิไอ้น้อง”
กองสิงห์สั่งให้ลูกน้องเคลียร์พื้นที่-ที่สงสัยตามคำบอกเล่าของนักบินที่โดนยิงทันที
ผมได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ณ บริเวณฐานอิสระเบื้องล่าง ชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรของ ผบ.หมวดคอสุราคนนั้นดังลั่นวิทยุ เอช-ที-ทู (HT-2)
ศรแดงจากม้าแก่ ชัดเลยครับผู้พัน คุณแกวเธอมาขุดหลุมเพลาะอยู่รอบๆ ชอปเปอร์-แพ็ด ของผมเต็มไปหมดเลยครับ ผมจวกไป 2 นัด แตกฮือขึ้นไปทาง บก.พัน มองเห็นยั้วเยี้ยเลยครับ ช่วยกรุณาสกัดด้วย เอ็ม 79 ให้ผมด้วยครับ”
ทั้งที่อยู่ในสถานะการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน อารมณ์ของผบ.หมวดเลือดทหารม้าคนนั้นก็ยังครึกครื้นเหมือนเดิม ทำให้ผมอดจะชมเชยความใจเย็นของ ผบ.หมวดคนนั้นอยู่ในใจไม่ได้
พอสิ้นเสียงร้องขอของ ผบ.หมวด ระวังป้องกันส่วนหน้าสุด ปืนเอ็ม.79 และเอ็ม.72 อันทรงอานุภาพก็ยิงถล่มลงมาจากชาร์ลี-ชาร์ลี เพื่อบีบบังคับให้ข้าศึกถอยลงไปจากเส้นทางที่มุ่งหน้าขึ้นไปบน บก.พัน
ได้ผลครับ ข้าศึก 7-8 คนหันหลังกลับวิ่งเข้าไปหมอบอยู่ในหลุมบุคคลที่พวกมันแอบเข้ามาขุดเอาไว้รอบๆชอปเปอร์แพ็ดเหมือนอย่างเดิม
ตามความคาดคะเนของผม ข้าศึกชุดนี้คงเป็นหน่วยที่ได้รับ ภารกิจพิเศษในการทำลายชอปเปอร์ที่ลำเลียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์มาส่งทหารฝ่ายเราอย่างเดียว ดังนั้นอาวุธหนักที่จะสนับสนุนพวกมันจึงไม่มี ทำให้ทหารรับจ้างที่ตั้งฐานอิสระอยู่เบื้องล่างทั้งสองหมวดถล่มทั้งอาวุธประจำกายและอาวุธหนักแบบ ค.60 เข้าใส่อย่างมันมือ
ผลการประทะทราบถึง บก.ล่องแจ้งในทันทีทันใด ทาง บก.ล่องแจ้งเห็นว่า ชอปเปอร์แพ็ด ชาร์ลี-เอ็คโค่-วัน เป็นพื้นที่ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันระหว่าง กองพัน 604 และ กองพัน 616
ทหารส่วนใหญ่ของกองพัน 616 อยู่บริเวณยอดเนินและพื้นที่ที่กำลังประทะกันก็ค่อนมาทางบริเวณทางแยกขึ้นไปกองพัน 604
ฉะนั้นคำสั่งให้กองพัน 604 จัดทหาร 3 หมวดเคลื่อนที่เข้ากวาดล้างบริเวณ “ชาร์ลี-เอ็คโค่-วัน” จาก บก.ล่องแจ้ง โดยให้ 604 ประสานการปฏิบัติกับ ศรศรี5 (หมวดที่ 5 กองร้อยที่ 2) ก็ได้มาถึง
“ศรศรี 5 จากมะม่วง 3 ช่วยยิงตรึงให้ผมด้วยครับ ขณะนี้ลูกๆของผมกำลังเคลื่อนที่เข้าหาชาร์ลี-เอคโค่-วัน เพื่อกวาดล้างตามคำสั่งของสิงหะ กดหัวพวกมันอย่าให้โผล่ขึ้นมานะครับ”
“ขอบคุณมากมะม่วง 3 ที่รัก ศรศรี 5 จะยิงอย่างชนิดให้ปากลำกล้องทะลุเป็นไฟเลยทีเดียว”
ม้าแก่ “สรศักดิ์” สวนคำพูดออกไปอย่างรวดเร้วพร้อมกับหันไปออกคำสั่งให้เพิ่มการระดมยิงไปยังบริเวณชอปเปอร์แพดอย่างชนิดไม่กลัวเปลืองกระสุน
ผมและกองสิงห์คืบคลานไปตามคูเหล็ด จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่ใช้เป็นช่องทางลงสู่ทางแยกที่มองเห็นชัดเจนอยู่เบื้องล่าง ก็เลยใช้บริเวณดังกล่าวเป็นที่สังเกตุการณ์และสั่งงานต่อไป
จากกล้องสนามผมแลเห็นการล่าหัวมนุษย์จากกลุ่มทหารรับจ้างของกองพัน 604 อย่างถนัดชัดเจนเหมือนกับตัวเองเข้าไปร่วมกับเหตุการณ์นั้นด้วย
ด้วยการยิงอย่างชนิดประสานการยิงเป็นจุดเดียวเข้าไป ณ บริเวณเป้าหมาย ทำให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะที่ต้องหมอบนิ่งไม่กล้าโผล่ศรีษะขึ้นมาตรวจการณ์ได้ ทำให้ทหารรับจ้างกองพัน 604 คืบคลานเข้าใกล้ชอปเปอร์แพ็ดมากขึ้นทุกทีจนกระทั่ง ศรคีรี 5 ได้รับการติดต่อให้ยุติการยิงชั่วคราว
จากกล้องสนาม ผมแลเห็นทหารรับจ้างแยกย้ายกันคืบคลานเข้าหย่อนลุกระเบิดมือลงในหลุมบุคคลที่สงสัยจะมีทหารข้าศึกซุกซ่อนอยู่เป็นจ้าละหวั่น พอสิ้นเสียงระเบิดก็กราดปืน เอ็ม.16 ซ้ำลงไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
ทั้งเสียงระเบิดและเสียงปืน เอ็ม.16 ระงมไปทั่วบริเวณ นานๆจะมีเสียงปืนอาร์ก้าสวนตอบขึ้นมา 2-3 ชุดแล้วก็เงียบหายไปเป็นปลิดทิ้ง
รอง ผบ.หมวดคนหนึ่งของกองพัน 604 คืบคลานเข้าไปในหลุมสุดท้ายที่มองเห็นสาอากาศโผล่ขึ้นมา ไม่มีใครอ่านความคิดของรอง ผบ.หมวดคนนี้ออกหรอกครับ แกอยากจะจับเป็นข้าศึกเพื่อหวังรางวัลหรือว่าแกอยากจะยึดเครื่องมือสื่อสารของข้าศึกก็เหลือจะเดา คงจะเป็นความชะล่าใจที่คิดว่าป่านนี้ข้าศึกคงจะโดนสังหารหมดสิ้นแล้ว ทำให้รองผบ.หมวดขาดความระมัดระวังเท่าที่ควร
ข้าศึกคนสุดท้ายที่รอดชีวิตอยู่เดินขึ้นมาจากหลุมด้วยร่างกายที่แดงเถือกไปด้วยโลหิตที่ทะลักเครื่องแบบออกมาชุ่มไปหมดทั้งตัว
มันปราดเข้าประชิดร่างรองผบ.หมวดผู้ชะตาขาดคนนั้น จ้วงแทงด้วยดาบปลายปืนอาร์ก้าที่ขาววับอย่างไม่นับ จนกระทั่งแน่นิ่งซบกายกันอยู่หน้าหลุมบุคคลนั่นเอง
กลุ่มทหารรับจ้างที่อยู่ห่างออกไปพรั่งพรูเข้ามารายล้อมศพผู้เสียชีวิตทั้งสอง ทหารเวียดนามเหนือที่เครื่องหมายยศบ่งเอาใว้ว่าเป็น นายร้อยโท ถูกลากออกมาวางหายใจรวยรินอยู่ข้างร่างอันท่วมเลือดของ รอง ผบ.หมวดผู้โชคร้ายคนนั้น ซึ่งบัดนนี้ปราศจากลมหายใจเสียแล้ว
“อย่าเพิ่งให้มันตาย ฆ่ามันก็เหมือนกับฆ่าหมาตัวหนึ่งเท่านั้น เอาเงินรางวัลมากินเหล้ากันดีกว่า ไอ้น้อง เงินตั้ง 4,000 บาทบางที บก.ล่องแจ้งอาจจะได้ข่าวกรองจากเชลยศึกคนนี้ก็ได้”
ผบ.หมวดทหารรับจ้างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับสั่งการให้ลากศพทหารเวียดนามเหนือด้วยเชือกขึ้นมาวางเรียงกันเป็นตับอยู่บนชอปเปอร์แพดนั่นเอง
18 ศพกับอีกหนึ่งชีวิตที่บาดเจ็บ คือยอดสูญเสียที่ฝ่ายข้าศึกได้รับในการปะทะกันในเย็นวันนั้น
นายทหารเวียดนามเหนือที่ได้รับบาดเจ็บ ชอปเปอร์ได้บินมารับในชั่วโมงต่อไป เพื่อนำไปพยาบาลรักษาหาทางซักถามเพื่อประเมินข่าวกรองต่อไป
ทหารรับจ้างกองพัน 604 ต้องสูญเสียกำลังพลไป 3 คน รวมทั้งรอง ผบ.หมวดผู้กล้าตายคนนั้นด้วย ทางบก.ล่องแจ้งได้ให้กำลังใจด้วยการอนุมัติเงิน 10,000 บาท จัดสรรปันส่วนให้กลุ่มทหารรับจ้างหมวดที่เข้ากวาดล้างข้าศึกจนละลายไปทั้งชุด
ด้วยน้ำใจที่มีต่อกันของทหารรับจ้าง เงิน 2,000 บาท ยอดรางวัลถูกแบ่งมาให้ศรคีรี 5 ที่มีส่วนช่วยยิงสนับสนุนจนทำให้ภาระกิจของทหารรับจ้างดังกล่าวสัมฤทธิ์ผล
“ผู้พันครับ ว่างๆผมจะเอาขนมโก๋ขึ้นไปฝากนะครับ สงสัยว่าไอ้พวกแกวพวกนี้จะเป็นพ่อค้าขายขนมโก๋ก็ไม่รู้ แทบทุกคนมีขนมโก๋เป็นตันเลย”
ม้าแก่สรศักดิ์เย้าแหย่ผู้พันของเขาขึ้นไปอีก
“ลื้ออย่าเสือกให้ทหารเอาขนมโก๋ของพวกมันกินเข้าไปเป็นอันขาดนะโว้ย...เดี๋ยวจะหาว่าอั๊วเตือน...ระวังพวกลื้อจะไม่มีน้ำยาเอาไว้สู้ อีตัว ที่เวียงอีกนะ ขนมโก๋เหล่านั้นไอ้กันมันพิสูจน์แล้ว มีตัวยาสกัดความรู้สึกทางเพศ เดี๋ยวได้ยุ่งกันตายห่า”
กองสิงห์พูดพลางหัวเราะพลางด้วยความขบขัน
“ถึงไม่มีขนมโก๋ มันก็ไม่สู้อยู่แล้วครับ ลูกปืนใหญ่ตูมตามขนาดนี้ ใครขืนมีฤทธิ์จำปีโด่ขึ้นมา มันก็ไม่ใช่คนแล้วครับ”
จสอ. สรศักดิ์สวนตอบคำพูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนใหญ่ของกลุ่มทหารรับจ้างที่รับฟังวิทยุอยู่ข้างๆ
“ไอ้เสือนี่มันยอดคนจริงๆ ขนาดกรมทหารม้าเอามันไม่อยู่ ต้องส่งไปสอนนายสิบอยู่ศูนย์ปราณโน่น ดันเสือกมารบในลาวร่วมกับกองพันผมเสียด้วย ดีเหมือนกันครับ ม้าพยศถ้ารู้จักใช้ มันก็อำนวยประโยชน์ให้มากเหมือนกัน”
กองสิงห์หันมาพูดถึง สรศักดิ์ ยอดนักรบขี้เมาให้ผมฟัง
กว่าจะสงบเรียบร้อย ก็ตกเข้าไปเกือบหกโมงเย็น เวลากลางคืนที่น่าสะพึงกลัวกำลังจะคลืบคลานเข้ามาอีกแล้ว สองวันที่ผ่านมา กองพันของผมสามารถป้องกันฐานเอาไว้อย่างเหนียวแน่นที่สุด แต่กาลเวลาข้างหน้าเล่าครับ ใครจะทำนายอนาคตได้ ผมรู้นิสัยของพวกเวียดนามเหนือเป็นอย่างดี พวกมันก็เหมือนกับเสือที่จ้องจะเล่นงานพวกเราอยู่ทุกขณะ การสูญเสียของมันแค่นี้ ไม่ทำให้มันยุติการเข้าตีพวกเราหรอกครับ
จังหวะและโอกาสเท่านั้น ที่พวกมันรอคอยอยู่อย่างกระหายเลือด
□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 17:06  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19253

คำตอบที่ 18
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 16
มีทหารบาดเจ็บหลายต่อหลายนายที่ถูกทอดทิ้งเอาใว้บนฐานชาร์ลี-ชาร์ลี ในสถานการณ์เช่นนี้ช่วยเหลือกันไม่ได้หรอกครับ สิ่งแรกที่ทหารรับจ้างคำนึงถึงก็คือการหนีเอาตัวรอดจากฐานปฏิบัติการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกได้รับบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ ก็ยังมีโอกาสคืบคลานตามพรรคพวกออกไปได้ ส่วนพวกที่บาดเจ็บสาหัสก็นอนร้องครวญครางอยู่กับพื้นรอบคูเหล็ดนั่นเอง และในจำนวนดังกล่าวก็มีพยาบาลประจำกองร้อยรวมอยู่ด้วย
กองสิงห์สั่งสำรวจยอดในทันทีทันใดที่เข้าฐานของกองร้อยที่ 2 เสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่าจากยอดกำลังพล 130 คนเหลือทหารรับจ้างอยู่เพียง 95 คนเท่านั้นและหนึ่งใน 35 คนที่สูญหาย มี ผบ.หมวด 5 ของกองร้อยที่ 3 รวมอยู่ด้วย
“เฮ้ย ใครเห็นหมวดบุญลือบ้างวะ ไอ้พวกหมวด 5 เหลืออยู่กี่คน ลองสอบถามมันดูซิ มนู”
กองสิงห์หันไปถามรอง ผบ.หมวด 5 ด้วยความเป็นห่วงผู้ใต้บังคับบัญชาที่สูญหายไปในระหว่างการถอนตัว
“เหลืออยู่ 8 คนครับ หายไป 7 คน รวมทั้งหมวดบุญลือและหัวหน้าชุดยิง ผมสอบถามแล้วทหารบอกว่า หมวดบุญลือคลานย้อนกลับเข้าไปวิทยุ เอช-ที-ทู ที่ลืมเอาใว้ในบังเกอร์ พวกลูกน้องที่มาด้วยกันก็เลยติดตามหมวดบุญลือย้อนกลับเข้าไปอีก”
รอง ผบ.หมวดกล่าวตอบ
“ขอวิทยุ เอช-ที-ทู ให้อั๊วหน่อยสิวะ ของอั๊วเสาหักเสียแล้ว”
กองสิงห์โยนวิทยุประจำตัวซึ่งขณะนี้เสาอากาศในตัวขาดร่องแร่งเหลือติดอยู่แต่เพียงโคนเสาลงไปที่พื้นอย่างอารมณ์เสีย พร้อมกับเอื้อมมือรับวิทยุ รอง ผบ.ร้อย กองร้อยที่ 2 ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆมากรอกคำพูดลงไปด้วยความห่วงใยลูกน้อง
“ศรรัก 5 จากกองสิงห์ ขณะนี่ศรรัก 5 ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า ถ้ารับฟังอั๊วได้ให้กดคีย์ตอบมา 3 ครั้ง”
มีเสียงฟรืด...ฟรืด...ฟรืด กดตอบผ่านเข้ามาในลำโพงได้ยินอย่างถนัดหู
“ผมคิดว่าจะต้องมีเหตุการณ์อะไรบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น หมวดบุญลือจึงไม่ใช้เสียงตอบมา”
ธงชัย รอง ผบ.ร้อย กองร้อยที่ 3 ที่เพิ่งถอนตัวมาพร้อมกองสิงห์เอ่ยขึ้นอย่างเอางานเอาการ พร้อมกับส่งวิทยุย้อนถามไปอีกครั้งด้วยรหัสที่ใช้กันในระหว่างกองพัน
“บุญลือ อย่าเสียใจไปเลย ฝนถึงแม้จะตกหนักมันก็ยังมีวันหยุด บอกให้ชื่นใจสักนิดเถอะน่า ว่าคุณไม่โกรธผม”
มีเสียงกดคีย์ที่ใช้เป็นสวิทช์ตัดวงจรให้เครื่องวิทยุเปลี่ยนจากเครื่องรับฟังเป็นเครื่องส่งดัง “อืด” ยาวๆ เป็นเวลานานตอบกลับมาจากหมวดบุญลือทันที
“พวกข้าศึกขึ้นมาบนฐานชาร์ลี-ชาร์ลีแล้วครับ บุญลือคงจะอยู่ใกล้ชิดกับข้าศึกมากทีเดียว จึงไม่กล้าพูดวิทยุออกมา นอกจากกดคีย์ให้สัญญาณมาเท่านั้น”
รองธงชัย เอ่ยขึ้นมาพรอมกับสั่งให้ลูกน้องของเขาเข้าไปเสริมแนว ร่วมกับกองร้อยที่ 2 เตรียมพร้อมที่จะรับมือข้าศึก ที่อาจจะทะลักเข้ามาทางเส้นทางที่มองเห็นอยู่สลัวๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดแสงนวลจ้าไปทั่วขุนเขา
“ไอ้มนตรีไปใหนวะ จัดชุดของเอ็งเลือกเอาไอ้ที่คล่องตัวหน่อย ซัก 7 คนก็พอ ออกไปให้ใกล้ฐานเก่าของเราให้มากที่สุด ตรวจการณ์และคอยช่วยเหลือบุญลือด้วย... ถ้าลื้อพิจารณาว่าได้เปรียบก็ตะลุยเข้าไปจวกมันเลย”
กองสิงห์เอ่ยขึ้นกับหัวหน้าหน่วยคอมมานโดซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ
หน่วยกล้าตายทั้ง 7 สะพาย “M 72” อันทรงอานุภาพคนละสองกระบอก รวบรวมระเบิดมือจากเพื่อนๆ บรรจุลงในถุงที่มีลักษณะคล้ายย่าม ห้อยสะพายเอาใว้ตรงบริเวณเอวด้านตะโพก เกาะขบวนกันลงจากเนินมุ่งหน้าไปยังฐาน ชาร์ลี-ชาร์ลี เพื่อช่วยเหลือและสังเกตุการณ์ตามคำสั่งของกองสิงห์อย่างรวดเร็ว... ด้วยการประสานงานกันด้วยวิทยุ เอ็ช-ที-ทู (HT-2) ที่เลื่อนสวิทช์ไปที่ปุ่ม “แอร์ทูกราวนด์” ทั้งนี้เพื่อป้องกันข้าศึกที่อาจจะมีวิทยุความถี่ชนิดเดียวกับฝ่ายเรา ดักฟังการเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่ตลอดเวลา
หน่วยกล้าตายของกองพันผม สวนทางกับ ผบ.หมวด 5 กับลูกน้องเดนตายของเขา ณ บริเวณเขตติดต่อระหว่างฐานต่อฐานนั่นเอง
มนตรีได้วิทยุขึ้นมาให้กองสิงห์ทราบเพื่อกันความเข้าใจผิด ในขณะที่หมวดบุญลือจะกลับเข้าฐาน
โดยการประสานการปฏิบัติอย่างมีระเบียบแบบแผน ความผิดพลาดอันจะพึงมีขึ้นทุกโอกาสก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
ด้วยสภาพเครื่องแต่งกายที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตม ผู้หมวดบุญลือและลูกน้องของเขากลับมาถึงฐานปฏิบัติการกองร้อยที่ 2 ท่ามกลางการซักถามจากเพื่อนๆทหารรับจ้างที่รุมกันเข้ามาไต่ถามกันให้แซ่ดไปหมด
“ในขณะที่ผมกำลังถอนตัว บังเอิญผมนึกถึงวิทยุที่วางเอาใว้ที่กระสอบทรายขึ้นได้ ก็หวนกลับเข้าไปเอาทันที พวกลูกน้องผมของผมมันเป็นห่วง ก็เลยติดตามไปด้วย พอผมเจอวิทยุ ก้นึกสงสัยว่าทำไมปืนใหญ่ของมันจึงยุติการระดมยิงเอาดื้อ พอผมชะโงกศรีษะขึ้นตรวจการณ์จากแนวกระสอบทรายเท่านั้นก้มองเห้นพวกมันปีนขึ้นมาจากบริเวณหน้าแนวลวดหนามคืบคลานเข้ามาในฐานเต็มไปหมดเลยครับ ผมก็เลยต้องหมอบอยู่ในคูเหล็ดอย่างนั้นเอง หูผมได้ยินเสียงแว่วๆเป็นภาษาไทยออกมาจากเบริมรับส่งวิทยุของมัน ผมรู้ทันทีเลยว่า พวกมันมีวิทยุดักฟังการเคลื่อนไหวฝ่ายเราอยู่ตลอดเวลา ผมตัดสินใจจะพูดวิทยุรายงานให้ผู้พันทราบตั้งหลายครั้งก็กลัวมันจะได้ยิน ผมอยู่ห่างมันไม่ถึง 15 เมตร ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวเราะที่พวกมันแบ่งสิ่งของที่มันค้นมาจากบังเกอร์ของพวกเราได้ ก็พอดีได้ยินเสียงผู้พันและรองธงชัยส่งรหัสมาหาผมที่นี่แหละครับ”
“เอ้าแล้วพวกมันไม่ได้ยินเสียงของอั้วทางลำโพงวิทยุหรอกหรือ ใกล้กันขนาดนั้น”
กองสิงห์ย้อนถามออกไปอีก
“ผมใช้หูฟังต่อออกมาจากเครื่องรับครับ ถ้าไม่มีหูฟังผมโดนอาก้าพรุนไปหมดแล้ว ลูกน้องผมมันจะยิงให้ได้ ผมต้องกระซิบบอกพวกมันพร้อมกับชี้มือให้ดูกลุ่มพวกมันที่คืบคลานเพ่นพ่านอยู่ตรงหมวดอาวุธอีกเป็นฝูงๆนั่นแหละครับ ลูกน้องของผมมันจึงได้ลดความกระเหี้ยนกระหือลงบ้าง ต่อจากนั้นผมตัดสินใจเคลื่อนที่ออกทางช่องกระสอบทรายเลื้อยลงไปในกองขยะส้วมหลังบก.พัน คลานอยู่ในบ่อน้ำคลำอยู่ตั้งนาน กว่าจะหาทางลัดขึ้นมาพบมนตรีเข้ากลางทางพอดี แย่ครับ พวกมันยึดของของพวกเราไปหมดแล้ว”
“ผมคิดว่าในขณะที่ลูกยาวของพวกมันถล่มเราอย่างหนักจนพวกเราพะวักพะวงห่วงหน้าห่วงหลัง พวกมันคงสงบนิ่งอยู่ที่รั้วลวดหนามแล้ว พอตรวจการณ์หน้าของมันเห็นพวกเราถอนตัว มันก็ขึ้นฐานเราทันที เอาละครับ ขอเวลาสักพัก ผมจะไล่ให้มันกระเจิงละไปจากฐาน ชาร์ลี-ชาร์ลี ให้จนได้”
กองสิงห์พูดด้วยความเดือดดาลใจ
“กองสิงห์จากสลาตัน ขณะนี้ผมอยู่ห่างจากข้าศึกประมาน 40 เมตร มองเห็นไฟจากก้นบุหรี่ที่พวกมันสูบอยู่อย่างชัดเจนเลยครับ พวกมันคลานเข้าเบริมโน้นออกเบริมนี้กันให้มั่วไปหมด เบริมของผู้พันมันก็ไม่เว้นหรอกครับ จะทำยังไง สั่งการด้วยครับ”
มนตรีส่งวิทยุด้วยระบบแอร์ทูกราวนด์มาดังลั่น
“ค่อยๆหน่อยไอ้มนตรี แหกปากดังๆเดี๋ยวก็โดนซัดด้วยอาร์ก้าวิ่งแจ้นกลับมาหรอก ยังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ลื้อกล้าเสี่ยงไหมวะ อั้วจะให้ปืนใหญ่ถล่มบริเวณบก.พัน เดี๋ยวนี้”
ต่อจากนนั้นฐานปืนแคนดั้ลก็ได้รับการร้องขอจากกองพันของผมให้สลุตกระสุนเข้าใส่ฐาน ชาร์ลี-ชาร์ลี ซึ่งขณะนี้ กลุ่มทหารเวียดนามเหนือกำลังกระจัดกระจายเข้าค้นสิ่งของตามบังเกอร์ต่างๆเป็นพัลวัลไปหมด
เสียงระเบิดของลูกปืนใหญ่ที่แคนดั้นประเคนเข้าใส่ฐาน ชาร์ลี-ชาร์ลี ผมอดที่จะหดหู่ใจไม่ได้ นอกจากป้อมสนามที่บวกเราบรรจงสร้างเอาไว้ จะพังพินาศแล้วบรรดาร่างของทหารรับจ้างของเราที่นอนระเกะระกะอยู่ก็คงจะแหลกลาญหาชิ้นดีไม่ได้ด้วย
เสียงระเบิดตึงตังที่ดังเป็นระยะๆ เริ่มถี่ขึ้นทุกที ในเมื่อฐานโกไลแอทเบนปากกระบอกเข้ามาช่วยซัลโวอีกแรงหนึ่ง
“กองสิงห์ครับ แนวกระสุนมันตกใกล้ผมเหลือเกิน ช่วยบอกแคนดั้ลให้ปรับไปที่หัวเนินโน่นซีครับ เล่นยิงแบบนี้เห็นทีจะขอลาละครับ”
มนตรีโวยวายมาดังลั่น เมื่อตำบลกระสุนตกเบียดเข้ามาใกล้ๆ
“ใจเย็น ไอ้ตรี อั๊วบอกแคนดั้ลไปแล้ว ลื้ออย่าเพิ่งถอนตัวนะโว้ย อยู่เป็นสายตาให้กองพันต่อไป ขณะนี้ก็มีแต่พวกลื้อเท่านั้น ที่จะช่วยกองพันเราตรวจการณ์”
กองสิงห์ “ยาหอม” ลูกน้องของเขาต่อไปอีก
“พวกมันเริ่มถอนตัวแล้วครับ วิ่งเผ่นกันไปลงทางเส้นทางที่ลงไปหาศรคีรี 5 ช่วยบอกหมวดศรศักดิ์เตรียมตัวด้วยครับ มันลงไปแล้ว”
มนตรีส่งข่าวมาอีก
“ศรคีรี 5 จาก กองสิงห์ ไอ้ม้าแก่ กระต่ายออกจากกรงช่วยดักจับให้ด้วย”
ยังไม่มีเสียงตอบจาก ผบ.หมวด 5 ก็มีเสียงกราวใหญ่ของปืนกลเบา เอ็ม.60 เซ็งแซ่ขึ้น ณ บริเวณที่ราบ “ชาร์ลี-เอ็คโค่-วัน” พร้อมกับมีแสงสว่างจากแฟร์ถูกยิงโด่งขึ้นมาลอยฟ่องอยู่เหนือบริเวณเนินหัวช้าง ยิ่งแฟร์ลอยต่ำลง มันยิ่งสาดแสงสว่างจ้าขึ้นทุกที
ทั้งปืน ค.60 และปืนกลเบา เอ็ม.60 จากฐานอิสระเบื้องล่าง ก็ประเคนเข้าใส่กลุ่มทหารเวียตนามที่ทะลักลงไป ด้วยการยิงอย่างชนิดที่ไม่ยอมให้ข้าศึกตั้งหลักเลยทีเดียว
แต่ก็เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น พอข้าศึกตั้งหลักได้ พวกมันก็ห้อแน่บเผ่นเข้าป่าทึบ หายหัวไปจนหมดสิ้น
“กองสิงห์จากม้าแก่ กระต่ายกระโดดม้าขย้ำเผ่นป่าราบไปหมดแล้วครับ ขอให้คุณพระคุ้มครองผู้พันและเพื่อนๆของผมทุกคนด้วยครับ โชคดีครับ ผู้พัน”
ผบ0.หมวดอิสระ ส่งข่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เอางานเอาการเป็นครั้งแรก
“เช่นกันโว้ย ม้าแก่ อั๊วยังไม่อาภัสราง่ายๆหรอกวะ ถ้าดวงของอั๊วดีจริง พรุ่งนี้พบกันตอนเช้า........ เลิกกัน”
กองสิงห์ตัดบทห้วนๆ พร้อมกับหันมาสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดเตรียมตัวเคลื่อนย้ายกำลังพลเข้ายึดฐานปฏิบัติการคืน
หลังจากปืนใหญ่ถล่มฐาน ชาร์ลี-ชาร์ลี อยู่พักหนึ่ง ก็ถูกกองสิงหืร้องขอเป็นรหัสให้ยุติการยิง เพื่อนำกำลังพลเคลื่อนที่เข้ายึดฐาน ชาร์ลี-ชาร์ลี ต่อไป
“มนตรีจากกองสิงห์ ลื้อพาลูกน้องเข้าเคลียร์ฐาน ชาร์ลี-ชาร์ลีได้แล้ว ระมัดระวังตัวหน่อยนะโว้ย ไอ้น้อง ทำสำเร็จอั๊วให้ลาคนละ 15 วัน”
คงจะเป็นเพราะด้วยการอัดฉีดของ ผบ.พันนี่เอง ทำให้หน่วยกล้าตายดังกล่าว คืบคลานออกจากที่ซ่อนพรางมุ่งหน้าขึ้นไปบนที่ตั้งยิงปืน ค. 4.2 ซึ่งสลักปรักพังมองเห็นอยู่ใกล้ๆเพียง 20 เมตร
“ผมยึดหมวดอาวุธหนักได้แล้วครับ ขณะนี้กำลังให้ไอ้เล็กกับไอ้โล้นอ้อมขึ้น บก.พัน ผมยังไม่แน่ใจว่า จะมีพวกมันหลงเหลืออยู่หรือเปล่า ผู้พันเต้นระบำหรือยังครับ”
“ดีมาก ไอ้น้อง อั๊วเต้นระบำแล้วโว้ย มีอะไรติดต่อมาทันที อั๊วแสตนด์บายวิทยุอยู่ตลอดเวลา”
กองพันผมเริ่มจัดขบวน เคลื่อนย้ายเข้ายึดฐานปฏิบัติการคืนจากข้าศึก ด้วยการมอบหน่วยเข้าตีหน้าสุดให้กับหมวด 2 และหมวด 4 หมวด 1 และ หมวด 3 เป้นส่วนหนุน ส่วนหมวด 5 และหมวด 6 มีหน้าที่คุ้มกัน บก.พัน เดินปิดท้ายขบวนอยู่หลังสุด
การติดต่อกันทางวิทยุ ระหว่างหมวดต่อหมวดถูกระงับชั่วคราว ผมเดินตามหลังกองสิงห์ไปติดๆ หูก็แว่วฟังข่าวคราวจากมนตรีด้วยความสนใจ และอดที่จะนิยมชมชอบต่อความ “กล้า” ของทหารชุดนั้นไม่ได้
ส.ท.มนตรี วีระศิริ เป็นทหารรรับจ้างที่ผ่านสงครามเวียดนามอย่างโชกเลือดมาแล้ว ทั้งๆที่ฐานะครอบครัวก็อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ด้วยความที่อยากจะใช้ชีวิตในการผจญภัย มนตรีก็สมัครเข้ามาเสี่ยงโชคในสมรภูมิลาวอีกครั้ง
ผมและมนตรี วีระศิริ สนิทสนมกันเป็นพิเศษ คงเนื่องจากชะตาต้องกันนั่นเอง ไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลไหน มนตรีไม่เคยห่างผมและ ผบ.พัน แม่แต่ก้าวเดียว (หลังจากมนตรีได้รับอุบัติเหตุ จากน้ำมือทหารรับจ้างขี้เมาโยนระเบิดเข้าใส่ จนต้องได้รับการผ่าตัดที่ช่องท้อง ที่ รพ.น้ำพอง มนตรีก็ต้องโดนปลดออกจากอาชีพทหารรรับจ้างเนื่องจากพิการ ต่อจากนั้นทั้งผมและมนตรีก็ขาดการติดต่อกันจนกระทั่งบัดนี้ขอให้พึงทราบใว้ด้วยเถิดเพื่อนรัก ผมยังไม่เคยลืมวีรกรรมของเพื่อนเลย ในชีวิต เราจะต้องพบกันอีกครั้ง)
มีเสียงระเบิดดังตูมใหญ่ขึ้นมา บริเวณเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ทำให้ขบวนทหารรับจ้างที่กำลังเคลื่อนที่ชงักทันที
“ผู้พันครับ พวกมันที่เหลืออยู่ตอกไอ้โล้นด้วย อาร์.พี.จี เฉียดก้นไปนิดเดียวครับ ผมคาดว่าพวกมันอย่างดีก็ไม่เกิน 5 คน เลิกกันนะครับ ผมจะลงไปสบทบกับพวกเราเดี๋ยวนี้”
กองสิงห์ยังไม่ทันจะตอบลูกน้อง ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ขึ้นพร้อมกัน 4-5 ครั้ง
“สงสัยพวเราจวกมันด้วย M-72 เข้าไปแล้ว เสียงระเบิดแน่นๆแบบนี้ M-72 แน่ๆครับ๐
ธงชัย รอง ผบ. ร้องกล่าวขึ้นพร้อมออกคำสั่งให้ทหารเคลื่อนที่ต่อไป
มีเสียงตูมใหญ่ของระเบิดมือ ดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง เงียบไปชั่วครู่ มนตรีก็เรียกวิทยุรายงานผลการปฏิบัติมาทันที
“กองสิงห์จากสลาตัน ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าศึก 4 คนที่พวกมันทิ้งเอาใว้บนฐาน โดน เอ็ม.72 ตายเรียบหมดแล้วครับ ขณะนี้พวกผมกำลังตรวจดูตามบังเกอร์ที่สงสัยอยู่ครับ ให้ส่วนหน้าของเราเข้ามาได้แล้วครับ ผมได้ให้ไอ้โล้นกับไอ้นวยไปรอรับอยู่ที่ปากทางแล้วครับ ใช้สัญญาณผ่านของคืนนี้”
ในที่สุดกองร้อยที่ 3 ของกองพันผมก็สามารถกลับเข้ายึดฐานปฏิบัติการได้ ภายในตอนเที่ยงคืนของคืนวันนั้นเอง บังเกอร์และอาณาบริเวณต่างๆ ถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผมมองเห็นสภาพฐานของเราแล้วอดหดหู่ใจไม่ได้
ไหนจะโดนปืนขนาด 130 ม.ม. จากข้าศึกไหนจะโดนกระหน่ำด้วยปืน 155 ม.ม. จากฝ่ายเราเข้าให้อีก มีบังเกอร์ที่รอดจากอำนาจระเบิดเหลืออยู่เพียง 2-3 แห่ง เท่านั้น
จริงอย่างที่ผมคาดเอาไว้ไม่มีผิด ร่างของทหารรับจ้างทุกคนที่นอนเกลื่อนอยู่บนฐานปฏิบัติการ มีรอยถูกซ้ำเติมด้วยของมีคมยับไปทั้งร่าง บางศพก็ถูกซ้ำเติมด้วยของมีคมยับเยินไปทั้งร่าง บางศพก็ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าเฉือนซ้ำจนแขนขาขาดห้อยร่องแร่งมองดูเอน็จอนาถใจอย่างที่สุด
กองสิงห์วางแผนป้องกันด้วยการขยายแนวออกไปจนถึงพื้นที่ที่ต่อกันระหว่างกองร้อยที่ 2 และย้าย บก.พันมาอยู่ ณ บริเวณดังกล่าวซึ่งอับกระสุนกว่าบริเวณเนินหัวช้าง
เจ้ารถถัง 2 คันที่ยิงถล่มกองพัน 604 เมื่อตอนหัวค่ำก็แล่นเข้าซ่อนพรางตัวเองไปกับความหนาทึบของภูมิประเทศรอบข้าง หายเงียบปราศจากวี่แววทั้งสองคัน
ผมและกองสิงห์ อาศัยมูลดินขนาดใหญ่เป็นที่เอนกายครึ่งนั่งครึ่งนอน พักผ่อนร่างกายด้วยเครื่องแบบเพียงชุดเดียวที่ติดกับตัวเอามาก่อนถอนตัวนั่นเอง...!



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 19:19  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19254

คำตอบที่ 19
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 17 (กองพันมรณะ ตอนที่ 7)
ข่าววิทยุจาก บก.สิงหะ ที่เคยเซ็งแซ่ด้วยการส่งข่าวชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานได้สงบเงียบจนคล้ายๆ กับว่าความถี่ดังกล่าวได้ถูกประกาศยกเลิกการใช้งานไปเสียแล้ว นานๆครั้งจะมีเสียงพนักงานวิทยุจาก บก.ล่องแจ้งสอบถามสถาณการณ์กองพันทหารรับจ้างต่างๆ เป็นการปลุกประสาทมิให้เผลอหลับไปในตัว
แม้กระทั่ง การติดต่อของธรรมดาล่ามต่างๆ ที่ใช้ความถี่คนละชนิดกับ บก.สิงหะ ก็พลอยเงียบเหงาไปด้วย ชะรอยทางเบาน์เดอร์ คอนโทรลคงจะเกรงใจผมเห็นเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ดังนั้นหลังจากผมเข้ารหัสรายงานข่าวไปแล้ว ก้ไม่ได้รบกวนอะไร ผมอีกเลย
ผมเอนหลังลงนอนกับมูลดิน หยิบลำโพงชนิดพิเศษที่ต่ออกจาก “ปิ๊ค 77” ขึ้นมาเสียบห้อยเอาไว้กับกึ่งกลางเสาอากาศชนิดสั้น หรี่วอลลุ่มลงที่เลข 2 พร้อมกับยกแขนทั้งสองข้าง ขึ้นประสานกัน หนุนศรีษะนอนหลับตานิ่งด้วยความ “เซ็ง” ต่อ สภาพการณ์ในปัจจุบัน
“บิ๊กแมน ฟรอม ไฮโล โอเว่อร์ .... บิ๊กแมน ฟรอม ไฮโล โอเวอร์”
มีเสียงเรียกขานชื่อผมเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยเสียงแผ่วเบาออกมาจากลำโพง คราวแรกผมคิดว่าตัวเองหูแว่วไป ก็เลยหลับตานอนฟังเฉยอยู่
“บิ๊กแมน ฟอร์ม ไฮโล โอเวอร์….”
คราวนี้เจ้าของเสียงลึกลับดังขึ้นกว่าเดิม ผมพยายามนึกทบทวนชื่อโค้ดของล่ามแต่ละกองพัน ก้ไม่มีชื่อดังกล่าวอยู่ในสารบบเลย หรือแม้แต่ล่ามพวกกองพันทหารแม้ว ก็ไม่มีใครใช้ชื่อพิเนรๆ เช่นนี้ คงจะมีเพื่อนขี้เล่นบางคนกระเซ้าเย้าแหย่ผมเข้าให้แล้ว ด้วยความรำคาญผมจึงตะคอกลงไปที่ปากพูดด้วยความโมโห
“ไฮโลเตี่ยไฮโลก๋งของมึงละซี อย่ากวนใจหน่อยเลยวะ เหนื่อยทั้งวันก็ขอพักบ้างซีโว้ย”
“บิ๊กแมน ฟอร์มไฮโล พลิส โก ทู ซิกตี้โฟตี้ไฟ้ว์ อาร์ ยู คอปปี้”
มีเสียงเรียกผมสวนมาอีก พร้อมทั้งขอร้องให้ผมไปที่ ฟรีเคว็นซี่ 60.45 มิหนำซ้ำยังตบท้ายรหัสวิทยุว่า รับข่าวถูกต้องไหม? มือไวเท่าความคิด ผมหมุนฟรีเควนซี่ไปตามที่เสียงลึกลับขอร้องมาทันที
“บิ๊กแมน นี่ผม ไฮโลพูด คุณไม่ต้องซักถามอะไรผมทั้งนั้น คุณมีหน้าที่รับฟังอย่างเดียว ผมมีเวลาให้คุณ 2 นาที อันดับแรกผมขอบอกให้คุณทราบว่า ผมเป็นทหารรับจ้างสัญชาติเดียวกับคุณ ขณะนี้ตกเป็นเชลยของข้าศึก โปรดอย่าถามว่า ผมติดต่อทางวิทยุได้อย่างไร ถ้ามีโอกาศดีกว่านี้ผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจ โปรดทราบ ตอน 6.00 น. ฐานของคุณจะโดนโจมตีด้วยกำลังพล 2 กองพัน ซึ่งขณะนี้มันกำลังจะเตรียมตัวเคลื่อนย้ายอยู่แล้ว ขอให้โชคดี ลาก่อน”
ประสาทของผมเขม็งเกลียวไปหมด สบตาขึ้นมาก็พบกองสิงห์นั่งตาแป๋วตะแคงหูฟังอยู่ก่อนแล้ว ผมตัดสินใจขานนามไฮโลสวนกลับไปหลายครั้ง ก้ไม่มีเสียงตอบมาอีก ผมเลยหมุนฟรีเควนซี่กลับที่เดิม
“จากคำบอกเล่าของเชลยศึกที่หนีพวกมันขึ้นมาบนฐานของผมเมื่อเดือนที่แล้ว เขาเล่าให้ผมฟังว่า วิทยุแบบ พี อาร์ ซี 77 พวกมันมีอยู่พะเรอเกวียนทีเดียว คงจะมีเชลยศึกคนใดคนหนึ่งแอบส่งข่าวมาให้พวกเราทราบก็อาจจะเป็นไปได้ หรือคุณคิดยังไง บิ๊กแมน”
กองสิงห์ย้อนถามผมขึ้นมา
“ผมคิดอะไรไม่ออกหรอกครับ บางทีอาจจะเป็นเพื่อนๆ แหกตาผมเล่นก้ได้ อย่างไรก็ดี ถ้าพรุ่งนี้ตอนเช้าเหตุการณ์เป็นจริงอย่างที่ไฮโลส่งข่าวมาให้ผมทราบมันก็เป็นปรากฏการณ์ที่แสนจะแปลกประหลาดสิ้นดี”
เพื่อความแน่ใจ ผมสอบถามไปยังกองพันต่างๆ ที่พรรคพวกประจำอยู่ทุกคนยืนยันว่า สถานการณ์เช่นนี้ไม่มีใครตลกกับผมแน่นอน มีบางคนสอบถามด้วยควงามสนใจว่า ไฮโลพูดอะไรมาบ้าง ผมก็เลยตัดบทออกไปว่ากระเซ้าเย้าแหย่ธรรมดาๆเท่านั้น
ดูเหมือนกองสิงห์จะมีความเชื่อมั่นเอามากทีเดียว รีบออกคำสั่งเป็นรหัส เรียก ผบ.หมวดทุกหมวดประชุมวางแผนการกันในทันทีทันใดเลยทีเดียว
ไม่ถึง 15 นาที กลุ่มทหารรับจ้างชั้น ผบ.หมวด และ ผบ.ร้อย ก้พร้อมที่จะรับคำสั่ง กองสิงห์ได้วางแผนให้เอาถังน้ำมันเบนซินสามถังที่เหลือตกค้างอยู่บริเวณบ่อน้ำครำขึ้นมาวางบนแนวกระสอบทรายด้านที่หันหน้าเข้าเนินอานม้า ต่อจากนั้นให้กลิ้งถังน้ำมันเบนซินขนาด 200 ลิตรลงไปทางลาดเบื้องหน้า โดยเว้นระยะต่อให้ห่างกันถังละ 20 เมตร
“ฐานของเราขณะนี้ ไม่มีรั้วลวดหนามพอที่จะกีดขวางหรือป้องกันการบุกเข้าโจมตีของพวกมันได้ ให้ ผบ.หมวดที่รับผิดชอบด้านที่มีถังน้ำมันเป็นผู้ประเมินสถานการณ์ว่า เวลาใดควรจะยิง เอ็ม.72 เข้าใส่ถังน้ำมันเบนซินอันนั้นสำหรับรหัสถอนตัวที่ใช้กันฟุ่มเฟือยจนข้าสึกมันรู้แกวก็ควรจะเปลี่ยนใหม่เสียที คราวนี้จะไม่มีคำว่า “อาภัสรา กิติยากร” อีกต่อไปแล้ว จะมีคำว่า “เลือดสุพรรณ” เข้ามาแทนที่สำหรับศรคีรี 5 และ ศรคีรี 6 ที่อยู่ข้างล่าง อั๊วเชื่อว่า “ไอ้ม้าแก่” มันคงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เอาตัวรอดได้ วิทยุเปิดกลับมาที่แอร์ทูกราวนด์ เอาละ แยกย้ายกันไปได้แล้ว อ้อ ...แล้วก็เตรียมเครื่องสนามพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายได้ทุกเวลา”
กองสิงห์กำชับอีกครั้ง
ถังน้ำมันขนาดใหญ่ ที่จมอยู่บ่อน้ำครำข้างส้วม บก.พัน ถูกกลุ่มทหารรับจ้างลากขึ้นมา แล้วผลักกลิ้งลงไปบริเวณทางขึ้นตามแผนของกองสิงห์ นอกจากนั้นก็ยังมีถังน้ำมันเหลืออีกสองถัง กองสิงห์ก็เลยสั่งให้ทหารกลิ้งออกไปซ่อนเอาใว้บริเวณเส้นทางก่อนจะถึงปลายทางเข้าสู่กองร้อยที่สอง
ทุกสิ่งทุกอย่างได้เสร็จเรียบร้อยในสองชั่วโมงต่อมา ถ้าคำบอกเล่าของไฮโลเป็นความจริง ผมก็มีเวลาเหลืออยู่เพียงสามชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น แต่ให้ตายเถอะ ผมก็ยังเชื่อมั่นอยู่ว่า ไอ้เพื่อนพิเรนแกล้งกระเซ้าผมให้ตื่นเต้นอยู่นั่นเอง
เวลาแห่งการรอคอยได้ผ่านไป อย่างเชื่องช้าที่สุด ผมพยายามหลับตาข่มจิตใจให้หลับ ประสาทมันก็แข็งค้างโพลงอยู่เช่นนั้น มนตรีนั่งอยู่ใกล้ๆ งัดเอาสก็อตเทป ขึ้นมาพันแม็กกาซีน เอ็ม.16 ให้บริเวณก้นแม็กกาซีนติดกัน ด้วยประสพการณ์ของการฆ่าคนที่ผ่านมา ทำให้มนตรีสามารถดัดแปลงสิ่งเล็กๆน้อยๆให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ด้วยลักษณะดังกล่าวทำให้ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแม็กรวดเร็วกว่าเก่าถึง 80 เปอร์เซ็นต์
ทุกวินาทีที่ผ่านไป ไม่มีใครเดาความคิดแต่ละคนที่นั่งกันหน้าสลอนอยู่ข้างๆผมได้หรอก
กองสิงห์ อาจจะคิดถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้บังคับบัญชากองพันทหารรับจ้าง ที่บังเอิญทราบข่าวข้าศึกจะเข้าโจมตีฐานของตัวเองในชั่วโมงข้างหน้า ผู้พันคงจะวางแผนยับยั้งข้าศึกอย่างเต็มความสามารถ อย่างชนิดที่เรียกว่า พลิกตำราออกมาสู้กันเลย ความที่ขาดคู่คิด ทำให้กำลังใจของกองสิงหืไม่มดีเท่าที่ควร ตามปกติแล้ว “กองดี” (พ.ต. ประดิษฐ์ จันทร ขณะนี้ดำรงค์ตำแหน่ง ฝอ.3 กองพล 9 กาญจนบุรี) รองผบ.พัน คือมันสมองกองพัน 616 เป็นที่น่าเสียดาย กองดีครบกำหนดลาพักก่อนกองพัน 616 ถูกโจมตีเพียงไม่กี่วัน
“กองอิน” (พ.ต. เสรี ธรรมโหร ปัจจุบันสังกัด ร.พัน 3 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา) หรือฝอ.3 ในตำแหน่งนายทหารผู้วางแผน จากอดีตเคยเป็นทหารเรือรุ่นประแสร์เกยตื้นที่เกาหลีมาแล้ว
กองอินเป็นคนอารมณ์ขัน ชอบกีฬาไก่ชนเป็นชีวิตจิตใจ แม้ขระเดินท่อมๆอยู่ในตลาดเมืองล่องแจ้งก็ยังเสาะหาไก่ชนจากชาวแม้วเป็นอาจิณ แน่นอนเหลือเกิน ในขณะนี้ ใครจะรู้ กองอินอาจจะนอนฝันถึงไก่ชนตัวของผู้กองอยู่ก็ได้
องครักษ์ของผู้พัน ส.ท.มนตรี วีระศิริ อาจจะนึกถึงอีตัวเด็ดๆที่บ้าน “ส.สงวน” ซึ่งเป็นแหล่งที่ทหารรับจ้างจะแวะเข้าเยือนเมื่อเครื่องบินแตะพื้นที่สนามบินอุดร ด้วยบำเหน็จรางวัลให้พักผ่อน 15 วัน อาจจะทำให้เพชรฆาตผู้นี้ลดความบ้าเลือดลงไปก็ได้ ใครจะรู้
ผมเหลือบมองดูนาฬิกาจากข้อมือของ กองสิงห์ที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ข้างๆ 04.45 น. เข้าไปแล้ว เวลาที่จะพิสูจน์คำพุดของไฮโลกระชั้นเข้ามาทุกที
มีเสียงเพลงเวียดนามเหนือ ที่ผมคาดว่า ออกมาจากเครื่องส่งวิทยุที่มีกำลังสูงสุดกังวานลั่นออกมาจากวิทยุ P.R.C. 77 ของฝ่ายเราและยิ่งทวีความดังมากขึ้นทุกที จนทำให้พนักงานวิทยุกองพันต่างๆเจี๊ยวจ๊าวสอบถามกันให้วุ่นไปหมด จนกระทั่ง บก.สิงหะสั่งเปลี่ยนความถี่ไปยังความถี่สำรองที่ตกลงกันเอาไว้
ไม่มีความถี่ไหนจะพ้นเสียงเพลงของเวียดนามเหนือไปได้หรอกครับ นี่เป็นเหตุผลที่บ่งเอาไว้ว่ารหัสลับที่ บก.ล่องแจ้งใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว บก.สิงหะไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย กลับมาใช้ความถี่เก่า ซึ่งขณะนี้นอกจากจะมีเสียงเพลงแล้ว ก็ยังมีเสียงเหล็กเคาะอลูมิเนียมดังเป็นจังหวะเพิ่มขึ้นอีก
“ผมบอกคุณแล้ว บิ๊กแมน คำพูดของไฮโลชักจะเข้าเค้าแล้วครับ ข้าศึกมันเริ่ม แจมมิ่ง วิทยุของเรา ก้เพื่อรบกวนมิให้ฝ่ายเราติดต่อกันได้ คอยดูเถอะครับ หกโมงเช้า พวกมันจะต้องแห่กันขึ้นมาบนฐานเราเป็นมดทีเดียว”
กองสิงห์ลุกขึ้นมาเอื้อมมือหรี่วอลลุ่ม จากเครื่อง ปิ๊ค 77 ให้เบาลงอีก
“ศรแดงจากศรดำ เปลี่ยน”
เสียง ไอ้แสบ พนักงานวิทยุของกองร้อยที่ 1 เรียกขานมายังกองพันด้วยน้ำเสียงเหน่อๆ แบบคนเมืองเพชร
“ศรดำจากศรแดง มีอะไรว่ามา”
พนักงานวิทยุ บก.พัน ที่อดีตเคยร่วมสถาบันเรือนจำเดียวกันมา สวนคำพูดตอบไปอย่างเบื่อหน่าย
“ศรแดง ...ไซป่อ...ซีท่อ...แซนป่อ...ซำต่อ...เสียวด่อ...ซี้หน่อ...แซ้วหล่อ...ซบหล่อ...สร้างข่อ...ซ้าหน่อ...ซ้าห่อ...รับข่าวได้หรือปล่าววะ ภาษาคนคุกที่มึงกับกูร่วมกันทำดิกชันนารี่ด้วยกันมา คราวนี้ถ้าไอ้แกวมันเข้าใจก็แสดงว่าพวกโคตรพ่อมันเคยติดคุกเมืองไทยมาแล้ว”
ด้วยรหัสที่ผมและกองสิงห์ไม่เคยได้ฟัง ณ ที่ใดมาก่อนเลย ด้วยความสงสัยจึงสอบถาม ก็ได้รับความรู้ใหม่ จากพนักงานวิทยุ บก.พันอีกว่า
“มันเป็นภาษาที่พวกมิจฉาชีพชอบพูดกันในสังคมพวกเขาง่ายๆครับ อย่างคำแรก ไอ้แสบมันส่งมาว่า “ไซป่อ” ถ้าเราผวนกลับ มันก็จะได้ “ส่อไป” ส่วนคำที่สอง “ซีท่อ” ผวนกลับอีกครั้งจะได้ความว่า “ส่อที่” คุณสังเกตุดูซีครับ ถ้าเราตัดคำว่า “ส่อ” ที่อยู่พยางค์หน้าออกความหมายที่แท้จริงจะอยู่พยางค์ รวมความที่ไอ้แสบ มันส่งข่าวมาถอดรหัสคุกออกมาแล้วครับ มันว่า ไปที่แบนด์ต่ำเดี๋ยวนี้แล้วลบข้างหน้าห้า”
ผมและกองสิงห์ก็เลยต้องหัวเราะออกมาด้วยความขบขันในความพิสดารของพนักงานเจ้าของนาม “ไอ้แสบ” ที่แสบพอๆกับชื่อของมันเลยทีเดียว
พอพนักงานวิทยุ บก.พัน หมุนความถี่ไปยังความถี่ที่ไอ้แสบบอกมา ก็ปรากฏว่าไอ้แสบไปรออยู่ตั้งนานแล้ว กำลังด่าพ่อล่อแม่อยู่พอดี
“ฉิบหาย พ่อแม่มึงตายหรือยังไงไม่รู้แหกปากร้องเพลงกันให้ลั่นไปหมด เฮ้ย ผู้พันท่านนอนหรือยังเพื่อน”
เสียงไอ้แสบ ถามหาเจ้านาย ที่มันยอมก้มหัวให้เพียงคนเดียวภายในกองพัน 616
“กูยังไม่นอน ฟังภาคนคุกของมึงแล้วปวดหัวว่ะ เฮ้ย ไอ้แสบ พวกๆของมึงรู้และเข้าใจภาษาคุกของมึงแยะไหมวะ”
กองสิงห์ย้อนถามกลับไป
“สบายมากครับ ทหารกองร้อยที่หนึ่งออกมาจากคุกหลายสิบคน ไอ้ที่ไม่เคยมันก้หัดพูดกันปร๋อไปเท่านั้น ผมว่า ไอ้รหัส ฝนตก น้ำลง ร้องไห้ ... ผู้พันเลิกใช้เถอะครับ เปลี่ยนมาใช้รหัสคุกของผมดีกว่า...แฮ่...แฮ่”
“พอแล้ว ไส่อ้อ...ซ่าบ้อ(ไอ้บ้า”
กองสิงห์ด่ากลับเป็นภาษามิจฉาชีพ สวนกลับไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงหัวเราะของกลุ่มทหารรับจ้างที่ฟังอยู่ข้างๆ
“คุณเอ๋ย พูดถึงไอ้แสบ ผมอิดหนาระอาใจมันเหลือเกิน มันแสบสมชื่อจริงๆ “รองพายัพ” อุตส่าหืเอามันมาเป็นทหารรับจ้าง พอฝึกอยู่ที่เมืองกาญจน์ได้สองเดือน ปืน เอ็ม.16 ก็หายไปจาก บก.ร้อย ใครๆก็สงสัยไอ้แสบ ผมเลยจับมันขังเสียสองวัน แต่ต้องปล่อยมันเพราะไม่มีหลักฐาน พอข้ามฝั่งลาวก็เข้ากับใครเขาไม่ได้ พูดผิดหูก็จะเฉ่งกบาลเขาท่าเดียว ครั้งหนึ่งได้ลาพัก ไอ้แสบทำเป็นรวยเช่าแท็กซี่จากอุดรไปเมืองเพชร ตกลงค่าจ้าง 500บาท พอรถไปถึงเมืองเพชร ไอ้แสบก็เลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งโชเฟอร์ดิบดี...มอมเหล้าแท็กซี่เสียฟุบ แล้วมันก็หายไปกับความมืด ค่ารถก็ไม่ได้ ซ้ำยังต้องจ่ายค่าอาหารทีฟัดกันเต็มโต๊ะเข้าไปอีก นี่ขนาดมันจบแค่ ป.4 นะครับ สอนให้มันเป็นพนักงานวิทยุพักเดียว ก็ทำงานได้ แถมมีลูกเล่นที่พนักวงานวิทยุ บก.ล่องแจ้งฟังแล้วปวดกระบาลกว่าจะคิดออกก็เล่นเอาเหงื่อตก อย่างคำว่า “9-W” แทนที่มันจะอ่านว่า เก้า-วิสกี้ มันดันเสือกอ่านว่า “หกกลับหลังหัน...ไมค์นอนหงาย” เล่นเอาพนักวิทยุถอดโค้ดไม่ออก โวยวายลั่ยวิทยุ ก็เลยโดนไอ้แสบย้อนเสียหน้าชาไปเลย”
กองสิงบรรยายคุณภาพของอ้แสบด้วยเรื่องราวที่สนุกสนาน จนผมอยากจะเห็นหน้าตาของไอ้แสบขึ้นมาจริงๆ

□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 20:50  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19256

คำตอบที่ 20
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 18 (กองพันมรณะ ตอนที่
“สิงหะ จากมะม่วง 3 ตรวจการณ์พบแสงสองคู่พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ คาดว่าเป็นเสียงรถถังข้าศึกสองคันที่พิกัด T.G. 774635”
มีพนักงานวิทยุรายงานแทรกเสียงเพลงเวียตนามที่กำลัง “แจมมิ่ง” วิทยุของกองพันผมขึ้นมาทันที กองสิงห์หยิบแผนที่ขึ้นมาใช้ไฟฉายที่พรางด้วยพลาสติกสีแดง ส่องตรวจดูพิกัดที่กองพัน 604 พบรถถังพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาอย่างเคร่งเครียดว่า
“ปืนใหญ่ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้า 401 ตรวจการณ์ไม่ผิดพลาด ขณะนี้รถถังอยู่ห่างจากทางแยก 300 เมตรเท่านั้น และบริเวณนนั้นเท่าที่ผมเคยพาทหารไปตรวจภูมิประเทศ มันเป็นเนินเขาที่มีเส้นทางพาดอยู่กึ่งกลาง ปืนใหญ่ยิงเข้าไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะมีปราการธรรมชาติคุ้มกันอยู่ข้างบนทั้งสองข้าง”
“ผู้พันครับ แสงไฟสว่างจ้าเลยครับ เสียงมันเร่งเครื่องถอยขึ้นเนินได้ยินชัดทีเดียว ผู้พันลองฟังดูซีครับ”
ผบ.หมวดที่อยู่เนินหัวช้างวิทยุเข้า บก.พัน
ผมพยายามตะแคงหูฟังก็ได้ยินเสียงหึ่งๆบริเวณเส้นทางที่ใช้เป็นทางคมนาคมจากซำทองไปยังล่องแจ้งอย่างถนัดหู ก็รีบรายงานขอเครื่องบินเข้า “เบาน์เดอร์” ทันที
“ศรแดง จากศรคีรี 5 ขณะนี้ไอ้รถถังที่มันจะขนสุราบานมาแจกพวกผมได้ใกล้เข้ามาแล้วครับ ก่อนจะถึงพวกผมก็ต้องเจอกับมะม่วง 3 เค้าก่อน ฝีมะม่วงจะแตกหรือไม่แตกก็อีตอนนี้ ผู้พันไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ M.72 เหลืออีกหนึ่งโหล ถ้าเอามันไม่อยู่ผมก็เห็นจะต้อง “โตน” ตามธรรมเนียมของเสือพรานนั่นแหละครับ”
จ.ส.อ. สรศักดิ์ พุดทรา ผบ.หมวดจอมสุรา “จ้อ” ขึ้นมาหาเจ้านายอีกครั้ง
“เต็มที่ ไอ้ม้าแก่ ลื้อก็ม้าเหล็กเก่านี่หว่า ม้าเหล็กกับม้าเหล็กย่อมรู้จุดอ่อนของมันดี ล่อให้ตีนตะขาบหลุดเป็นชิ้นๆเลย โชคดีเว้ย”
ไม่มีเสียงตอบจากม้าแก่ นอกจากเสียงสั่งงานทางวิทยุแว่วออกมาเท่านั้น
เสียงเครื่องยนต์ของมันดังฟังชัดขึ้นทุกขณะ บางครั้งก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ จากแคนเดิ้ลที่ปล่อยกระสุนข้ามตัวรถถัง ไปยังหุบเบื้องล่างเสียงก้องสนั่นไปหมดทั้งบริเวณ
เจ้าแสงมหาภัยปรากฏแสงวาบขึ้นอีกแล้ว คราวนี้มันแลบขึ้นติดๆกันสองจุดเลยทีเดียว ณ บริเวณหลังถ้ำ สนามบินซำทองพร้อมๆกับเสียงแหวกอากาศหวีดหวิวข้ามเนินทันเดอร์ ตรงลิ่วมายังเนินหัวช้างที่กองร้อยของผมตั้งฐานอยู่ทันที
เสียงกัมปนาทของมัน กึกก้องขึ้นสองครั้งซ้อนๆ วิถีกระสุนของมันตกลงบริเวณกึ่งกลางฐานปฏิบัติการพอดิบพอดี ถ้าเป็นการวางกำลังเหมือนครั้งแรก จุดที่กระสุนมันลงก็คือ บังเกอร์เก่าของ บก.พันนั่นเอง
นัดที่สามนัดที่สี่ก็ได้ทยอยติดตามมาอีกในระยะกระชั้นชิด คราวนี้ตำบลกระสุนตกเขยิบลงไปหน้าแนวสนามเพลาะด้านล่าง
ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น เจ้ารถถัง 2 คันก็พาตัวเองขึ้นมาจอดจังก้าอยู่บนเส้นทางที่เป็นเนินเล็กๆ พร้อมกับดับไฟหน้ารถที่สาดจ้าลงอย่างกระทันหัน ปืนประจำรถของมันเริ่มพ่นกระสุนขนาด 85 มม. ขึ้นมาบนฐานของเราทันทีและอีกนัดหนึ่งมุ่งทิศทางไปยังฐานชาร์ลี-กอล์ฟ ซึ่งเป็นที่ตั้งฐาน บก.ร้อย 1 ในช่วงระยะการยิงที่ติดต่อกันเป็นระยะ กองพันของผมโดนศึกหนักเสียแล้ว ไหนจะโดนกระหน่ำจากปืนใหญ่ ขนาด 130 มม. ซ้ำร้ายยังโดนปืนจากรถถังที่จอดจังก้าอยู่หน้าเนินยิงสลุตขึ้นมาอีก คำพูดของไฮโลยังก้องอยู่ในโสตประสาทของผมอยู่ตลอดเวลา อดที่จะชำเลืองดูนาฬิกาไม่ได้ อีก 20 นาทีจะครบห้านาฬิกาตรง...
อา...คำบอกเล่าของไฮโลกำลังจะเป็นความจริงขึ้นมาทุกขณะแล้ว
ความหวังของกองพันผมที่เหลืออยู่เวลานี้ก็คือ การรอคอยเครื่องบินทิ้งระเบิดที่จะมาจากวังเวียงเท่านั้น การสนับสนุนของฐานปืนใหญาแคนเดิ้ลซึ่งกำลังช่วยยิงยับยั้งรถถังข้าศึกอยู่ขณะนี้นั้น ปราศจากความหมายโดยสิ้นเชิง
ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นปราการธรรมชาติอู่เบื้องบนทั้งสองข้าง ช่วยคุ้มกันและป้องกันอำนาจการยิงของปืนใหญ่จากฝ่านเราเป็นอย่างดี
มิไยที่ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกจากล่องแจ้งจะช่วยกันซัลโวมายังที่ตั้งยิงของรถถังด้วยการยิงชนิดต่อเนื่องกัน เจ้ารถถังสองคันก็ยังคายพิษสงเข้าใส่ฐานปฏิบัติการของกองพันผมด้วยลักษณะ การยิงคลุมพื้นที่ไปทั่วเนินสกายไลน์วัน
แม้กระทั่งกองร้อยที่ 2 ซึ่งพบกับ “ดวงดี” อยู่ตลอดเวลาก็เริ่มพบกับอำนาจปืนจากรถถังของข้าศึกเข้าบ้างแล้ว
เอ็ม.72 หลายต่อหลายกระบอกที่ทหารรับจ้างประเคนเข้าใส่ อำนาจของมันเพียงแต่ทำให้ปราการธรรมชาติที่บังตัวรถอยู่พังหรือทลายลงไปเท่านั้น และเหมือนกับนกรู้ พอที่กำบังมันพังทลายลง เจ้ารถถังทั้งสองคัน ก็เขยิบเคลื่อนที่เข้าหาปราการธรรมชาติที่อยู่ถัดไปอีก เอาเถิดเอาล่อ จน เอ็ม 72 ที่มีอยู่จำกัดหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตา
ท่านผู้อ่านครับ ลองหลับตาแล้วนึกภาพในปัจจุบันที่ผมกำลังเผชิญอยู่ซีครับ เสียงปืนใหญ่รถถังที่ดังติดๆกันไม่เว้นเลยเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม นอกจากนี้ยังจะมีเสียงลูกปืนใหญ่ขนาด 130 มม. และปืนรถถังของข้าศึกที่คำรามเป็นระยะๆ ในช่วงการยิงที่เว้นว่างไม่ถึงหนึ่งนาทีสอดแทรกขึ้นมาอีก
ให้คนประสาทแข็งแค่ไหน ก็ทนไม่ไหวหรอกครับ ผมเคยเห็นทหารรับจ้างที่ในอดีตเป็นเสือร้ายฆ่าคนเป็นว่าเล่น ติดคุกนับเป็นเวลาสิบๆปีขึ้นไป ได้รับอภัยโทษก็สมัครมารบในลาว เจอะสภาพและเหตุการณ์แบบนี้เข้า ให้แน่ขนาดไหนก็ไปไม่รอดหรอกครับ พี่แกซุกตัวนิ่งลงกับพื้นสนามเพลาะ ปลุกพระปลุกเจ้าตัวสั่นเป็นลูกนกเอาทีเดียว ขนาดพรรคพวกสะกิดให้โผล่ขึ้นมายิงประทะกับข้าศึกก้ไม่ยอม จะเอาแต่หมอบอยู่ในรูท่าเดียว
ผมเคยเจอะกับการยิงด้วยอาวุธหนัก เมื่อครั้งกองพัน 609 ละลายที่ทุ่งไหหิน ก็ยังไม่หนักเท่าสภาพของกองพัน 616 ซึ่งกำลังประสบอยู่ในขณะนี้
ถ้าเหตุการณ์ยังคงอยู่ในสภาพดังกล่าว กองพันของผมจะต้องถุกบีบบังคับให้ถอนตัวอย่างแน่นอน
06.00 น. ตรง เสียงอาร์ก้าก็เซ็งแระงมครวญครางขึ้นมารอบทิศ ปืนใหญ่และปืนรถถังของข้าศึกยุติการยิงเป็นปลิดทิ้ง
กลุ่มทหารเวียดนามเหนือที่ผมประมานกำลังพลไม่ถุก พรั่งพรูคลานยั๊วเยี๊ยขึ้นมาบนทางลาด ซึ่งขณะนี้เตียนโล่งปราศจากลวดหนามและวัตถุระเบิดที่วางดักเอาใว้อย่างสิ้นเชิง
จากกล้องสนาม ผมมองเห็นถังน้ำมันเบนซินสามถังที่ค้างอยู่ร่องสนามเพลาะ ที่ใช้สำหรับจุดซุมโจมตีเวลากลางคืนอย่างถนัดชัดเจน
ทหารรับจ้างของฝ่ายเราเริ่มตอบโต้ข้าศึกด้วยอาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ในกองพัน
ในขณะเดียวกัน ปืนใหญ่จากล่องแจ้งก้หันทิสทางการยิงมาช่วยยับยั้งกลุ่มทหารราบข้าศึก ซึ่งขณะนี้คืบคลานใกล้ถังน้ำมันมาทุกที
เจ้าปืน 130 มม. ซึ่งสงบการยิงไปชั่วครู่เริ่มระดมการยิงอีกครั้ง คราวนี้เสียงหวีดหวิวของมันข้ามฐานของผมมุ่งหน้าไปยังเมืองล่องแจ้ง เพื่อเล่นงานฐานปืนใหญ่ของเราเข้าให้แล้ว
ฉากการดวลปืนใหญ่ก็ได้บังเกิดขึ้น แคนเดิ้ลและเฮอร์คิวลีสที่มีปืนถึง 4 กระบอก เบนทิศทางการยิงไปยังซำทองในทันทีทันใด
เสียงตึงตัง และเสียงแหวกอากาศของหางนำทิศที่ครวญครางข้ามฐานปฏิบัติการของผมไปมา เพิ่มบรรยากาศที่น่าระทึกใจยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
“กองสิงห์จากศรดำ ข้าศึกประมานสองกองร้อย มี ค. 82 สนับสนุนเข้าประชิดฐานศรดำแล้วครับ ช่วยให้ ค 81 ที่ศรคีรีสนับสนุนผมด้วย”
พนักงานวิทยุกองร้อยที่ 1 ร้องขอความช่วยเหลือมายัง บก.พัน เมื่อตรวจการพบทหารราบข้าศึกเคลื่อนที่เข้ามา
กองสิงห์ยังไม่ทันสั่งการแต่ประการใด ศรคีรีซึ่งตั้งฐานอยู่บนเนินกลางของสกายไลน์วันก็ส่งข่าวเข้า บก.พันอีกครั้ง
“กองสิงห์ จากศรคีรี ข้าศึกประมาณ 2 กองร้อย พร้อมด้วย ปรส.82 ที่ตั้งสนับสนุนอยู่บนเนิน 274 เริ่มโจมตี ศรคีรีแล้วครับ”
“เอาล่ะ พวกมันเริ่มตะลุยพวกเราพร้อมๆกันทั้งสามกองร้อยเลยทีเดียว ผมบอกคุณแล้ว คำบอกเล่าของไฮโลมันช่างศักสิทธิ์อะไรเช่นนั้น ผมอยากรู้เหลือเกินว่า ขณะนี้ไฮโลจะรวมกลุ่มอยู่ในกลุ่มทหารราบของพวกมันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาน่าจะติดต่อมาอีก”
กองสิงห์พึมพำพร้อมกับเอื้อมมือหยิบวิทยุขึ้นออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
“ศรแดง ศรดำ ศรศรี ศรรัก จากกองสิงห์ ขณะนี้ สถานการณ์ของพวกเราตกอยู่ในภาวะที่จะต้องช่วยตัวเอง ขอให้ผู้บังคับบัญชาประเมินสถานการณ์ให้ละเอียดถี่ถ้วนที่สุด พยายามยันข้าศึกจนสุดความสามารถ ถ้าถูกบีบจนทนไม่ไหว อั๊วจะเป็นผู้สั่งการเอง”
ต่อจากนั้นกองสิงห์คว้า เอ็ม.16 สะกิดผมคลานออกไปสังเกตุการณ์ที่ติดกับทางลาด ที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มทหารข้าศึก ที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นมาเป็นทิวแถว
ส่วนหน้าสุดของมันผ่านพ้นถังน้ำมันเบนซินขึ้นมาแล้ว และกำลังส่วนใหญ่ก็คืบคลานใกล้เข้ามาทุกที
“ประเดี๋ยวเถอะ มึงเอ๋ย พวกมึงจะต้องรู้รสเครื่องพ่นไฟชนิดพิเศษจากกองพันของกู”
กองสิงห์กัดกรามแน่น มองลงไปเบื้องล่างอย่างไม่กระพริบตาเลยทีเดียว
เอ็ม.72 ที่ถูกตระเตรียมเอาไว้เพื่อ “งาน” อันนี้โดยฉพาะ ถูกยิงลงไปพร้อมๆกันทั้งสามกระบอก ที่หมายก็คือถังน้ำมันที่เด่นอยู่เบื้องล่างในระยะห่างเพียง 50 เมตร
เสียงจรวดแม็กนีโตกระทบถังน้ำมันเบนซินด้วยเสียงระเบิดที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้งทุกคราว
อำนาจทะลุทะลวงของมัน ผ่านน้ำมันชนิดไวไฟที่อัดแน่นเป็นสูญากาศอยู่ภายในถังสังกะสีชนิดหนาทำให้เกิดแรงอัดอันมหาศาลพร้อมกับระเบิดขึ้นในทันทีทันใด
น้ำมันที่พุ่งทะลักออกมาแปรสภาพเป็นเปลวไฟที่มีความร้อนหลายร้อยองศา สาดกระเซ็นออกไปรอบทิศในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร
กลุ่มทหารราบเวียดนามเหนือ ตกอยู่ในท่ามกลางกองไฟบรรลัยกัลป์เสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าถังน้ำมันเบนซินอีกสองถังที่อยู่ถัดออกไปก็ระเบิดขึ้นอีก ทำให้รัศมีของเปลวไฟพุ่งเข้ามาบรรจบกัน มองดูเหมือนกับกลุ่มไฟที่เกิดจากระเบิดนาปาลืมไม่มีผิด
มันเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นด้วยตามาก่อนเลย นอกจากในจอภาพยนต์เท่านั้น ทหารเวียดนามเหนือบางคนโซซัดโซเซออกมาจากกองไฟ ในสภาพที่เครื่องแต่งกายลุกโชนไปด้วยเปลวไฟที่ไหม้ลามเลียไปหมดทั้งร่าง และแล้วก็ล้มลงกับพื้นในลักษณะคว่ำหน้า ทั้งๆที่มีไฟลุกท่วมตัวอย่างนั้นเอง
กลิ่นเนื้อมนุษย์ย่างไฟ ปลิวขึ้นมาสัมผัสกับจมูกของผมถึงฐานปฏิบัติการ ความร้อนแรงของไฟนรกวาบเข้ามาถึงแนวกระสอบทราย จนกระทั่งหน้าตาของผมปวดแสบปวดร้อนไปหมด
กลุ่มทหารเวียดนามเหนือชงักการเคลื่อนที่ไปชั่วขณะ ความระส่ำระสายบังเกิดขึ้นทันที แต่ก็เป็นอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น พออำนาจของเพลิงที่เกิดจากถังน้ำมันเจือจางลง พวกมันก็แห่แหนปีนภูเขาขึ้นมาหาเราอย่างบ้าคลั่งด้วยกำลังพลที่ทวีหนุนเนื่องเข้ามาเหมือนกับฝูงมด เอ็ม.16 ที่สาดกระสุนเข้าใส่ข้าศึกบริเวณเนินหัวช้างด้านชอร์ปเปอร์แพ็ดเงียบเสียงลง ด้วยความสงสัย กองสิงห์ตะโกนถามทันที
“ทำไมไม่ยิงมันลงไปวะ ปล่อยให้พวกมันซัดเราอยู่ได้ ยิงสิโว้ย”
“กางเกงขาดครับ ผู้พัน เหลือแต่กางเกงลิงเท่านั้น”
ผบ.หมวดตอบเป็นระหัสสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ฉิบหายแล้ว ลูกน้องผมกระสุนปืนหมด เหลือแต่เพียงระเบิดมือเท่านั้น จะไปหยุดอะไรพวกมันได้ อย่างดีจวกมันได้ 10-20 ลูกก้หมดแล้ว”
กองสิงห์อุทานขึ้นอย่างเดือดดาลใจ เขานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก้ตัดสินใจออกคำสั่งขึ้นมาอย่างเฉียบขาด
“หมวด 3 หมวด 4 ที่อยู่หัวเนิน ถอนกำลังเข้ามาตั้งแนวอยู่ตรงบริเวณบังเกอรืเก่า บก.พันเก่า วางกำลังแนวยาวไปตามร่องคูเหล็ด ยันพวกมันเอาไว้ให้ถึงที่สุด ปฏิบัติได้”
ทหารรับจ้าง เผ่นขึ้นจากร่องสนามเพลาะทยอยกันถอยออกมาวางแนว ตามคำสั่งของกองสิงห์อย่างรวดเร็วทันอกทันใจ
“ไอ้ดำ เอาปืน เอ็ม.60 เข้าไปตั้งยิงข้าศึกที่กำลังจะขึ้นมาตรงบริเวณเนินหัวช้าง ระวังวิถีกระสุนหน่อยนะโว้ย อย่ากินซ้ายมากนัก เดี๋ยวจะไปโดนหมวด 2 เข้า
ไอ้ดำผุดลุกขึ้น ใช้มือขวาหิ้ว “คานจับ” ตรงกึ่งกลางตัวขึ้น มือซ้ายประคองขาตั้งวิ่งซิกแซ็กมุ่งหน้าไปตั้งฐานยิงหน้า บก.พัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 40 เมตร โดยไม่มีอาการรั้งรอใดๆทั้งสิ้น
□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 21:10  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19257

คำตอบที่ 21
       ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 19 (กองพันมรณะ ตอนที่ 9) ตอนจบ
ข้าศึกทะลักขึ้นมาถึงบริเวณ “ชอปเปอร์แพด” แล้ว พวกมันไม่มีอาการเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น ส่งเสียงโห่ร้องวิ่งบุกตะลุยขึ้นมาบนแนวกระสอบทรายด้วยท่าทางกระเหี้ยนกระหือ
เสียงรัวเป็นข้าวตอกแตกจากน้ำมือของเจ้าดำส่งร่างทหารเวียดนามเหนือกระเด็นแวบหายไปจากแนวกระสอบทรายมองเห็นถนัดหูถนัดตา
พวกมันไม่ยี่หระหรอกครับ ไอ้ที่ตายก็ตายไปไอ้พวกที่อยู่ก็หนุนเนื่องเข้ามาอีก จนกระทั่งกระสุน 250 นัดของเจ้าดำเกลี้ยงเรียบวุธไปในชั่วพริบตา
“ถอนตัวเข้ามารวมที่ บก.พัน รวมทั้งหมวด 1 และหมวด 2 ด้วย”
กองสิงห์ตะโกนออกคำสั่งต่อไปอีก พร้อมกับหันมาพูดกับผมว่า
“ผมเห็นจะต้องถอนตัวแน่นอนครับ ทหารของพวกมันเกือบ 700 คน กองพันของเรายันไม่อยู่แน่ๆ ทาง บก.ล่องแจ้งจะคิดอย่างไรก็ตาม ผมจะต้องเอาความปลอดภัยของกองพันผมไว้ก่อน”
“ศรรัก 5 จาก ศรรัก 6 เป็นหน่วยตรึงกำลัง ศรรัก 1 ศรรัก 2 ศรรัก 3 ศรรัก 4 – เลือดสุพรรณ”
ด้วยรหัสถอนตัวเพียง 3 พยางค์ กลุ่มทหารรับจ้าง กองพัน 616 ก็เริ่มถอนตัวอย่างมีระเบียบแบบแผน
ด้วยอำนาจการยิงของกระสุนปืนจำนวนสุดท้ายเท่าที่มีอยู่ พากันสาดห่ากระสุนเข้าใส่ข้าศึกอย่างชนิดไม่ยั้งมือ สามารถหยุดข้าศึกให้หยุดนิ่งอยู่บนฐานบังคับการ บก.พัน ได้ชั่วคราว เป็นโอกาสให้ทหารรับจ้างกลุ่มใหญ่เคลื่อนย้ายไปเสริมกำลัง ณ กองร้อยที่ 2 ซึ่งขณะนี้ตกอยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงกันทุกประการ
“กองสิงห์ จากศรดำ หมวด5 หมวด 6 กางเกงขาด กระต่ายไล่กัดหนู หมูป่าเขี้ยวหัก”
รหัสจากกองร้อยที่ 1 ทยอยส่งผลการปะทะเข้า บก.พันอยู่ตลอดเวลา
“กระสุนหมด ข้าศึกขึ้นมาบนฐาน ผบ.หมวด 5 บาดเจ็บสาหัส เอ... นี่ดวงของผมมันจะต้องถอนตัวลงจากเนินสกายไลน์เสียแล้วกระมัง”
กองสิงห์พึมพำออกมาเมื่อทราบข่าวการสูญเสียของผู้ไต้บังคับบัญชา
“ผู้พันครับ เครื่องบินทำงานอยู่ที่ปากเซ กว่าจะหมดภารกิจที่โน่น กองพันเราคงแหลกลาญไปหมดแล้ว ผู้พันตัดสินใจเองเถอะครับ ตามความคิดของผม ถ้าขืนอยู่ช้า ความสูญเสียก็ยิ่งจะเพิ่มเป็นทวีคูณ ผมคิดว่าผู้พันควรจะสั่งการตามที่เห็นสมควร แล้วสถานะการณ์ ผมก็รายงานให้นอร์แมนมันทราบแล้ว ขณะนี้อาการของกองพันเรา “ซีเรียส” จนอาจจะต้องถอนตัวในเวลาใดเวลาหนึ่ง”
“โอเค.ครับ ผมตัดสินใจถอนตัวเดี๋ยวนี้ เตรียมตัวได้ บิ๊กแมน”
กองสิงห์หยิบเป้สนามขึ้นสะพายหลังคว้าวิทยุขึ้นมาออกคำสั่งถอนตัวด้วยรหัสที่ซึมทราบกันดีทั้งสามกองร้อย
“ศรดำ ศรคีรี ศรรัก จาก กองสิงห์ เลือดสุพรรณโว้ย”
คำว่า “เลือดสุพรรณ” มันช่างศักดิ์สิทธิ์เสียจริงๆ กลุ่มทหารรับจ้างทั้งสามกองร้อยต่างก็สาดกระสุนชุดสุดท้ายเข้าหาข้าศึก แล้วเผ่นออกจากร่องสนามเพลาะมุ่งหน้าลงไปยังเส้นทางที่ใช้เป็นทางลาดตระเวน แฝงกายเข้าป่าทึบเพื่อรวบรวมกำลังเกาะกลุ่มเป็นขบวนต่อไป
มนตรีหิ้ว “ปิ๊ค77” วิ่งตามหลังผมมาติดๆ กระหืดกระหอบพูดขึ้นมาว่า
“รีบวิ่งมาเร็วๆหน่อยครับ ไอ้แกวควบจี๋ไล่กลุ่มของเราจวนจะถึงถังน้ำมันที่ซ่อนเอาไว้แล้ว ประเดี๋ยวผมจะฌาปนกิจพวกมันเอง บิ๊กแมนล่วงหน้าไปก่อนนะครับ ประเดี๋ยวค่อยเจอะกันข้างล่าง”
ผมยังไม่ทันอ้าปากพูด มนตรีก็ผละจากผม วิ่งย้อนกลับไปทางเดิมเสียแล้ว หูของผมได้ยินเสียงมนตรีกำชับกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มสุดท้ายที่วิ่งตามหลังผมมาให้เร่งฝีเท้าให้ห่างถังน้ำมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ผมวิ่งมาถึงเนินที่สูงที่สุดของกองร้อยที่ 2 ซึ่งขณะนี้กลุ่มทหารรับจ้างกำลังทะยอยลงจากเนิน มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่มองเห็นป่าทึบลิบๆอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นได้ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นทางเบื้องหลังสามครั้งติดๆกัน ไม่ต้องหันไปดูผมก้พอที่จะเดาได้ว่า บัดนี้มนตรีได้จัดการกับถังน้ำมัน 3 ถังนั้นเรียบร้อยแล้ว
สักพักมนตรีก็วิ่งอกแอ่นมา กระหืดกระหอบละล่ำละลักพูดขึ้นว่า
“เละเทะไม่ต่ำกว่า 30 คนทีเดียวมึงเอ๋ย สมแค้นกูแล้ว ถ้ามีถังน้ำมันอีกซัก 4-5 ถัง กูจะเผาโคตรมึงให้หมดทั้งกองร้อยเลยทีเดียว บิ๊กแมนอยู่ไหนครับ เอาเป้สนามมาให้ผม ผมจะสะพายให้ รีบไปเถอะครับ”
มนตรียื้อแย่งเป้สนามที่ผมสะพายหนักอึ้ง อยู่บนหลังออกไปจนได้ ต่อจากนั้นผมและมนตรีก็ติดตาม ผบ.พันซึ่งเดินล่วงหน้าไปก่อนกับทหารคุ้มกันจำนวนหนึ่ง ด้วยเส้นทางที่มีความชันของมันไม่น้อยกว่า 70 องศาเลยทีเดียว
คงจะเป็นด้วยการถอนตัวของกองพันผมเป็นไปอย่างฉับพลัน จนฝ่ายข้าศึกไม่มีอกาสที่จะวางแผนจัดชุดซุ่มโจมตีอ้อมไปดักพวกเรายังเส้นทางที่กำลังใช้หลบหนีอยู่ในขณะนี้ได้
ฉะนั้น ทำให้เราหายพะวักพะวงในการเคลื่อนที่ไปมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี สภาพภูมิประเทศที่เป็นหุบเหวก็เป็นอุปสรรคแก่พวกเราอย่างเหลือคณานับ
พื้นดินที่เฉอะแฉะชั่วนาตาปี อุดมไปด้วยสัตว์มีพิษจำพวกงูจงอางที่หวงไข่ และทากที่ทำความรำคาญด้วยการดูดเลือดได้อย่างเจ็บแสบที่สุด
6 ชั่วโมงเต็มๆ ทีกองพันของผมเดินบุกลงไปในหุบลึก พอพ้นหุบขึ้นมาก็เจอะกับหน้าผาสูงชันขนาด 90 องศาขวางหน้าเข้าให้อีก
คราวนี้กองพันทหารรับจ้างของผมก้ต้องแปรสภาพเป็นกองพันลิงไปโดยปริยาย ทุกคนต่างช่วยตัวเองด้วยการห้อยโหนปีนป่ายข้ามหน้าผาสูงชันเพื่อหาทางข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามให้จงได้
กองสิงห์ตกที่นั่งลำบากมากกว่าเพื่อน ด้วยรูปร่างที่อ้วนใหญ่ น้ำหนักเกือบ 80 กิโลกรัม เป็นอุปสรรคอย่างมากในการขึ้นเขา
บรรดาลูกน้องต้องใช้เชือกมนิลามัดเอวกองสิงห์แล้วช่วยกันดึงทีละนิดทีละหน่อยกว่าจะถึงยอดหน้าผา กองสิงห์ก็นอนสลบไสลเพราะความกระหายน้ำตั้งหลายครั้งหลายครา
ส่วนผมอย่าบอกใครเลยครับ มันคงจะเนื่องจากความหิวโหยที่อาหารไม่ตกท้องเลยตลอดวัน บวกกับความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง ผลลัพท์ของมันก้เลยเพิ่มความทารุณ จนกระทั่งผมหน้ามืดเกือบจะร่วงลงมาจากหน้าผาตั้งหลายครั้งหลายหน เดชะบุญมนตรีซึ่งขนาบข้างผมอยู่ตลอดเวลาช่วยค้วาเอาไว้ได้ทันท่วงที เกือบห้าโมงเย็นทหารรับจ้างของเราทุกกองร้อยจึงขึ้นมารวบรวมกำลังพลอยู่บนยอดหน้าผาซึ่งมีบริเวณกว้างขวางพอสมควร
จากยอดที่สูงที่สุดของหน้าผา ที่กองพันของผมมาพักอยู่ขนาดนี้ สามารถใช้กล้องสนามแรงสูงตรวจการณ์เห็นสภาพบนฐานปฏิบัติการบนยอดเนิน “ชาร์ลี-กอล์ฟ” ได้อย่างสบาย
มองเห็นแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของทหารราบเวียตนามเหนือที่กำลังสาละวนขุดสนามเพลาะดัดแปลงที่มั่นเพิ่มเติมกันสลอนไปหมด
กองสิงห์ให้ความเห็นว่า สถานที่ที่กองพันของเราพักอยู่ในขณะนี้ไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าใดนัก เพราะถ้าข้าศึกตรวจการณ์พบแล้วใช้ ปรส.เพียง 6-7 นัดยิงถล่มมา กองพันของเราก็จะพบการสูญเสียอีกมิใช่น้อย
อีกประการหนึ่ง ฐานปฏิบัติการของ ทชล. (ทหารชาติลาว) ที่กองพันของเราจะมุ่งหน้าลงไปเสริมกำลังก็ตั้งอยู่ไม่ห่างจากตีนหน้าผาเท่าใดนัก จากการประสานงานกันทางวิทยุ กองร้อยอิสระของกองพันทหารแม้ว 229 จะจัดส่งชุดต้อนรับมาคอยดักพบทหารของเราในบริเวณเส้นทางดังกล่าวอยู่แล้ว กองสิงห์จึงออกคำสั่งให้เคลื่อนย้ายกำลังทั้งหมดจากหน้าผาทันที
“มนตรีจัดชุดสลาตันของเอ็งล่วงหน้าไปก่อน หิ้ว PRC-77 ติดมือลงไปด้วย ใช้ความถี่ 42.50 ประสานการปฏิบัติกับกองร้อยของแม้วให้ดี เลือกภูมิประเทศที่จะใช้สร้างฐานปฏิบัติการแห่งใหม่ของกองพันเอาใว้ด้วย ประเดี๋ยวอั๊วจะตามลงไปทีหลัง”
กองสิงห์ออกคำสั่วงกับลูกน้องคู่ใจของเขา ที่ทำความสะอาดปืน เอ็ม.79 อยู่ใกล้ๆ
ไม่มีท่าทีที่แสดงออกถึงความอิดหนาระอาใจออกมาจากท่าทางของมนตรีแม้แต่น้อยนิด ผมเห็นมนตรีผุดลุกขึ้นยัดลูกปลายลงในลำกล้อง เอ็ม.79 กระแทกให้ลำกล้องเข้าล็อค พร้อมกับตะโกนเรียกหาลูกน้องของเขาเอ็ดอึง
“เฮ้ย ไอ้พวกที่ได้ลาพัก 15 วัน มีงานอีกแล้วโว้ย คราวนี้ไม่มีรางวัล มีแต่น้ำใจ ใครจะไปกับอั้ว ให้เวลา 10 นาที”
ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ ไม่มีการออกคำสั่งบีบบังคับให้ปฏิบัติงานชุดสลาตันของมนตรีก็พร้อมที่จะไต่เขาลงไปยังภูมิประเทศเบื้องล่าง เพื่อพบกับชุดต้อนรับของทหารแม้วซึ่งเดินทางออกจากฐานมาคอยดักพบอยู่แล้วที่ตีนเขา
“อ้าว ไอ้นวยกับไอ้เล็กหายไปใหนวะ อั้วไม่เห็นหน้ามันเลยตั้งแต่ถอนตัว”
กองสิงห์เอ่ยขึ้นมาอย่างแปลกใจ ที่มองไม่เห็นมนุษย์บ้าดีเดือดทั้งสองคน ซึ่งตามปกติมักจะนำหน้าหน่วยสลาตันออกปฏิบัติการแทบทุกครั้ง
“ไอ้นวยกับไอ้เล็ก นอนเอวขาดอยู่หน้าบังเกอร์เก่าของผู้พันบน ชาร์ลี-ชาร์ลี โน่นแน่ะครับ ผมตะโกนบอกให้มัน “เลือดสุพรรณ” มันกลับแหกปากร้องว่า “มาด้วยกัน...ตายด้วยกัน...เลือดสุพรรณเอ๋ย” พอร้องจบ มันสองคนก็วิ่งขึ้นจากคูเหล็ดเข้าชาร์จข้าศึก ก็เลยโดนจรวดอาร์พีจีเข้าไปเต็มตัวทั้งสองคนเลยครับ ผู้พัน”
ทหารรรับจ้างคนที่เห็นเหตุการณ์ตอบออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา กองสิงห์นิ่งอึ้ง ดูท่าทางผูพันใจเพชรเสียอกเสียใจต่อการสูญเสียของทหารรับจ้างฝีมือดีทั้งสองคนนี้มากครับ
และเท่าที่ผมเคยทราบกิตติศัพท์จากกลุ่มทหารรับจ้างที่กล่าวขวัญถึงทหารกล้าตายทั้งสองคนให้ผมได้ยินอยู่เสมอว่า ทั้งอำนวยและเล็ก เป็นคนที่ชอบเครื่องรางของขลัง และมีความเชื่อมั่นในความเหนียวของเนื้อหนังของตัวเองเอาอย่างมากทีเดียว
โธ่ ผู้อ่านครับ ให้เหนียวแสนเหนียวขนาดไหนอย่าไปเที่ยวริ ลองของ กับจรวด อาร์พีจี เข้าเป็นขาดเลยนะครับ ถึงไม่ตายก็ตามทีเถอะ กระดูกกระเดี้ยวไม่มีเหลือหรอกครับ ขนาดรถยี.เอ็ม.ซี. ขนาดใหญ่โดนเข้าแต่ละครั้งยังพลิกคว่ำ แล้วนี่เนื้อหนังมังสาของมนุษย์มันจะทนทานอะไรไหว
การเคลื่อนย้ายทหารทั้งกองพันลงจากหน้าผาได้เริ่มขึ้นในชั่วโมงนั้นเอง เนื่องจากสภาพของอากาศชักจะสลัวลงทุกที ทำให้การเคลื่อนย้ายทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง
บางคนถูกแง่อันแหลมคมของหินบาดมือบาดเท้าเป็นแผลลึก เสียงหม้อสนาม ปืนเอ็ม.16 เอ็ม.79 ถูกทหารรับจ้างโยนทิ้ง เสียงกระทบกับก้อนหินดังเกรียวกราวไม่ขาดระยะ
อุปกรณ์การรบยิ่งทวีความหนักมากขึ้นทุกที บางคนทิ้งแม้กระทั่งเป้สนามที่สพายอยู่บนหลัง หนักๆเข้าถึงกับถอดเสื้อ “แจ็คเก็ตฟิลด์” ที่สวมกันหนาวอยู่ออกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี
ส่วนผมโยนปืน เอ็ม.16 ทิ้งตั้งแต่ก่อนจะขึ้นหน้าผา พอถึงกลางหน้าผาก็ต้องทิ้งเป้สนามที่บรรจุผเห่มส่วนตัวอันหนักอึ้งลงไปอีก
สำหรับวิทยุ พีอาร์ซี-77 เป็นตายอย่างไรผมก็ไม่ยอมทิ้ง เพราะนอร์แมน เจ้านายของผมตีราคาเอาใว้ถึงสองหมื่นห้าพันบาท วิทยุระยำ ราคายังกะทองคำ
กว่าจะลงถึงตีนเขาได้ ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม ทุกคนนอนแผ่หราอยู่กับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อยสุดชีวิต บางคนเกิดอาการคลุ้มคลั่งร้องตะโกนโหวกเหวก กราดกระสุนปืนซึ่งพอจะมีหลงเหลืออยู่ในแม็กกาซีนออกไปรอบทิศทาง เล่นเอาเพื่อนฝูงที่นอนพังพาบอยู่ลุกขึ้นวิ่งเผ่นกันป่าราบไปคนละทาง กว่าจะเข้าใจกันได้ก็เล่นเอาชุลมุนวุ่นวายไปพักใหญ่
“ให้กองพัน 616 รวบรวมกำลังพล เพื่อเข้าตีเนินสกายไลน์คืนจากข้าศึก”
นี่คือข้อความที่พนักงานวิทยุเพิ่งจะถอดรหัสออกมาจากข่าวของ บก.ล่องแจ้ง เมื่อได้รับการติดต่อเป็นอันดับแรก
อนิจจา กองพันของผม เปรียบเสมือนกองพันมรณะอย่างแท้จริง...รอดตายมาหยกๆ บก.ล่องแจ้ง ก็ยังเสือกไสให้ขึ้นไปผจญกับความตายอีกแล้วหรือนี่?
□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 21:54  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19259

คำตอบที่ 22
       เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม ตอนที่ 3
ทหารรับจ้างในสมรภูมิลาวมีหลายชนิด หลายประเภท ความใกล้ชิดกับทหารเหล่านี้ทำให้ผมพบเห็นบุคลิก และลักษณะท่าทาง ของทหารรับจ้างขี้โอ่บางคนเข้าอย่างช่วยไม่ได้...
ทหารรับจ้างที่เก่งกล้า รบอย่างดุดันเหี้ยมเกรียม ฆ่าไอ้แกวเป็นผักปลา แต่พอเขาเหล่านั้นกลับมาพักผ่อนยังประเทศไทย อากัปกริยาท่าทางของพวกเขาเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
“เงียบขรึม” ไม่ค่อยจะสุงสิงหรือพูดคุยกับใครมากนัก... เมื่อถามถึงเหตุการณ์สู้รบในสมรภูมิลาว พวกเขาก็จะคุยถ่อมตัวอยู่ตลอดเวลา
ส่วนในทิศทางที่ตรงกันข้าม ทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งซึ่งทำหน้าที่อยู่ส่วนหลัง ร้อยวันพันปีไม่เคยขึ้นไปแนวรบ หน้าที่ที่ผ่านไปในแต่ละวันหนึ่งๆก็คือหุงอาหาร ขนของส่งสนามบิน เป็นเจ้าหน้าที่คลัง
แต่พอได้พักผ่อน พ่อเจ้าประคุณเหล่านี้แหละครับ ที่คุยโขมงโฉงเฉงเอ็ดตะโรลั่นรถโดยสาร โอ้อวดพร้อมกับคุยถึงความเก่งกล้าที่ตัวเองเข่นฆ่าทหารเวียตนามเหนือมาอย่างเหลือคณานับ
บางครั้งก็จับกลุ่มดื่มสุรา แต่งกายกันด้วยชุดเครื่องแบบที่พิศดาร ด้วยการมีผ้าร่มชูชีพสีต่างๆพันศรีษะ แถมพกมีดดาบปลายปืน เดินยืดอวดสาวๆด้วย “มาด” ที่ผมมองดูแล้วอยากจะกระโดดถีบหน้าด้วยความ “เอียน” สุดประมาน
ทหารรับจ้าง(บางคน)ที่ขี้โอ่เหล่านี้เกิดเคราะห์หามยามร้าย แส่ไปสะดุดตีนจิ๊กโก๋อุดร ที่เหลือร้ายเข้า ก็เลยเกิดสงครามกลางเมือง ล่อกันวุ่นวายไปทั้งตลาดเมืองอุดร
ทหารรับจ้างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พอเห็นเพื่อนฝูงโดนกระทืบ ไอ้ความรักพวกรักพ้อง คนดีๆก็เลยต้องกระโดดเข้าไปร่วมวงกับคนนิสัยชั่วๆไปอย่างช่วยเหลือไม่ได้
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ เรื่องจริงที่ผมนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบถึงความเป็นไปที่แท้จริงนี้ มันอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจทหารรับจ้างบางกลุ่มที่มีนิสัยชั่วๆชอบคุยโอ้อวด ระรานชาวบ้านอยู่บ้าง...
และก็บางที “สยุมภู ทศพล” อาจจะโดนเหยียบปากเพราะความปากหมาก็อาจจะเป็นได้ แต่ สยุมภู ทสพล ก็พร้อมแล้วที่จะรับสถานะการณ์เหล่านั้น เพราะมันเป็นความจริง และเรื่องจริงใช่ไหมครับ....เพื่อนฝูง?
ผมกระโดดลงมาจากชอปเปอร์โดยลำพัง นอกจากวิทยุ HT-2 ระบบ กราวนด์-ทู-แอร์ และปืน M-16 แล้วทั่วทั้งตัวของผมก็มีเพียงสายกระสุน “หนึ่งเบสิกโหลด” ที่สะพายขวางอยู่กึ่งกลางหน้าอกเท่านั้น
ชอปเปอร์ดึงตัวเองขึ้นจากพื้นถนน แล้วบินตีวงกว้างขึ้นไปคุมเชิง อยู่เบื้องบนในลักษณะการบินที่สูงลิบ
ผมดึงสายอากาศ “เฮช-ที-ทู”ออกจนสุด เปิดสวิทช์ให้ทำงาน เสียงนักบินเรียกขานชื่อผมออกมาพอดี
“โฮเต็ล-แทงโก้ จาก บิ๊กแมน ไม่ต้องคุ้มกันผมหรอกครับ บินถ่วงเวลารอให้ผมตกลงกับทหารพวกนี้เสร็จสิ้นก่อน แล้วผมจะบอกเองว่าคุณจะต้องปฏิบัติอะไรต่อไป”
ผมเดินขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนหินข้างๆทาง เมื่อมองลงไปยังเส้นทางที่หักมุมข้อศอกที่อยู่เบื้องล่าง ผมก็มองเห็นกลุ่มทหารรับจ้าง 10 คนวิ่งเหยาะๆเกาะขบวนมุ่งหน้าขึ้นมาหาผม บางคนในกลุ่มส่งเสียงตระโกนโหวกเหวกโบกไม้โบกมือให้ผมด้วยอากัปกริยาที่แสดงถึงความดีอกดีใจ
ใกล้เข้ามาทุกขณะ จนกระทั่งผมสามารถจำหน้าทหารเหล่านั้นได้ คนที่วิ่งนำหน้าสุดชื่อ ส.ต.อาษา จิตต์เที่ยงตรง เป็นรองหัวหน้าชุดยิงหมวด 3 กองร้อย 1 ลูกน้องของรองพายับนั่นเอง
หมู่อาษาตระโกนเรียกชื่อผมลั่น แล้ววิ่งนำหน้าทหารรับจ้างทั้งหมดเข้ามารุมล้อมยกมือไหว้ผมด้วยอาการเคารพอย่างจริงใจ
“ขอโทษด้วยครับ บิ๊กแมน ไม่รู้จริงๆว่า คุณบิ๊กแมนมากับชอปเปอร์เครื่องนี้ด้วย เห็นมันบินวนต่ำลงมาทำท่ายังกับจะต้อนพวกเรากลับ ผมก็เลยสั่งไอ้นวยยิง M-60 ขึ้นไป...ขอโทษด้วยครับ”
ผมเอื้อมมือออกไปตบหลัง ส.ต.อาษา ค่อนข้างแรงแล้วหัวเราะออกมาดังๆ
“M-60 เล่นเอาหมวกเหล็กของทหารรับจ้างคนนึงเยินไปหมดทั้งแถบ เดชะบุญแฉลบออกไป คุณรู้มั้ย กระสุนเสียดก้นผมไปนิดเดียวเท่านั้น ...เออ... อาหารจำพวกเรชั่นพอจะเหลืออยู่อีกกี่วัน”
“โอ้ย...คุณบิ๊กแมน มันจะเอาอะไรมาเหลือ ล่อกันบนยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี โน่น เรียบวุธหมดแล้ว พวกผม 105 คน ไถอาหารพวกแม้วมันกินมาตลอดทาง คุณบิ๊กแมนช่วยแก้ปัญหาให้ผมด้วยครับ”
ส.ต.อาสา จิตต์เที่ยงตรง รองหัวหน้าชุดยิงตอบผมพร้อมกับหันไปดูขบวนทหารรับจ้างที่กำลังเดินพ้นมุมข้อศอกออกมาพอดิบพอดี
“ผมได้รับคำสั่งจาก บก.ล่องแจ้ง ให้มารับพวกคุณกลับ ถ้าเราจะเดินทางกลับล่องแจ้งเดี๋ยวนี้ ผมคิดว่า ตอนค่ำๆ ก็คงจะถึง”
“ไม่มีทาง คุณบิ๊กแมน ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ผมสงสารผู้พันของผม ทั้งที่ขาดอาวุธและการสนับสนุนจากหน่วยเหนือ ผู้พันก็ยังสู้...สู้ด้วยน้ำใจของชายชาตินักรบ ไอ้พวกผีห่าซาตาน บก.ล่องแจ้ง มันกำลังวางแผนที่จะต้อนพวกผมกลับไปเพื่อรวบรวมกำลังยึดยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี กลับคืน มันจะมีประโยชน์อะไรครับ บิ๊กแมน ทุกชีวิตที่สูญเสียลงไปข้างบนโน้น มันเป็นบทเรียนราคาแพงของพวกเราอยู่แล้ว พวกผมจะเดินทางไปนาซู และหาหนทางบุกป่าฝ่าดงกลับเมืองไทย พอกันทีกับสงครามที่บัดซบ สงครามห่าเหวที่รบกันฆ่ากันเหมือนผักปลา พวกผมเซ็งแล้วครับ จุ๊ๆ บิ๊กแมน พวกผมกำลังสงสัยพฤติการณ์พวกแม้วกลุ่มหนึ่งที่ร่วมเดินทางมากับพวกเราด้วย มันสังหรณ์ใจพิกลๆ รูปร่างของพวกมันเหมือนๆกับไอ้แกวที่ขึ้นมาจวกกับเราบนยอดเนิน ชาร์-ชาร์ลี ไม่มีผิด โน่นพวกมันอยู่ท้ายขบวนโน่น”
ส.ต.อาษา ชี้มือให้ผมมองดูแม้วกลุ่มหนึ่ง ซึ่งผมกะด้วยสายตาอย่างคร่าวๆ ไม่เกิน 15 คน สพายพะรุงพะรัง ก้มหน้าก้มตาเดินอยู่ท้ายขบวน ด้วยท่าทางเนือยๆ ไม่สนใจกับใคร
ผมละความสนใจจากสิ่งรอบด้าน พุ่งสายตามองดูขบวนแม้วกลุ่มนั้นอย่างพิจารณา จนลืมที่จะหันไปทักทายกลุ่มทหารรับจ้างที่ตะโกนเรียกชื่อผมกันให้แวดไปหมด
ประสาทลึกลับส่วนที่หก กระตุ้นจิตสำนึกของผมให้บังเกิดความสังหรณ์อีกครั้ง มันเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตของผมที่ยังพิสูจน์ไม่ได้มาจนกระทั่งทุกวันนี้
แทบทุกครั้งที่มีเหตุการณ์เลวร้าย ผมจะต้องบังเกิดอาการดังกล่าวขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน กล้ามเนื้อตรงบริเวณหน้าอกสั่นกระตุก เหมือนกับจะเป็นตะคริว ตาข้างซ้ายเขม่นยิบยับติดต่อกันเป็นระยะๆ
ผมพยายามสังเกตุดูสิ่งผิดปกติในร่างกายและชุดเดินทางของพวกแม้วต้องสงสัยพวกนั้น ด้วยความรอบคอบกว่าทุกครั้ง
แนบเนียนด้วยท่าทางและลักษณะของชาวแม้วทั่วๆไป จนผมมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น
กระชุที่สะพายอยู่บนหลัง แน่นเอี๊ยดไปด้วยสัมภาระที่ห่อด้วยเศษผ้าอย่างมิดชิด
แม้กระทั่งภาษาแม้วที่พวกเขาคุยกันในขณะเดินผ่านพวกผม ก็ชัดเปรี๊ยะเหมือนกับประชาชนชาวแม้วที่ผมเคยพบเห็นทั่วๆไปในหมู่บ้านต่างๆของสมรภูมิลาว
สองสามคนในกลุ่มหลบตาผมเหมือนกับมีพิรุธ จิตสังหรณ์ดังกล่าวทำให้ผมรีบส่งวิทยุเป็นโค๊ตให้กับนักบินผู้ขับขี่ชอร์ปเปอร์ทันที
ข่าวของผมถึง นอร์แมน และ กองสิงห์โดยเฉพาะ
ด้วยความผูกพันที่ผมมีอยู่กับทหารกองพันนี้ ทำให้ผมบังอาจสร้าง “สิ่งแวดล้อมเท็จ” ขึ้นมา เพียงเพื่อจะช่วยให้สถานะการณ์อันเลวร้ายให้กับทหารกลุมนี้ เท่านั้นเอง
ขณะนี้ทหารกลุ่มดังกล่าว ต้องตกอยู่ในสภาพ “หนีทัพต่อหน้าอริราชศัตรู”
กฎของศาลอาญาศึกก็คือ “ยิงเป้า” หรือจำคุกตลอดชีวิต
ข่าวของผมที่ส่งออกไป คงจะสร้างความตื่นตลึงให้กับ “บาวเดอร์-คอนโทรล” และ บก.ล่องแจ้งอย่างมากมายเลยทีเดียว
ผมบรรยายถึงการแทรกซึมของทหารเวียตนามเหนือที่กำลังจะดำเนินการโจมตีสนามบินนาซู ด้วยการปลอมตัวเป็นประชาชนแม้ว ร่วมขบวนไปกับทหารรับจ้างชุดที่ผมกำลังติดต่อประสานงานอยู่นั้น ท้ายสุดของข่าว ผมยืนยันว่า ทหารรับจ้างชุดนี้ รู้ความลับแล้ว และกำลังย้อนสวมรอยคุมเชิงทหารเวียตนามเหนือ ด้วยการประกบตัว มุ่งหน้าไปยังสนามบินนาซู เพื่อหวังที่จะจัดการแบบล้างขุมกำลังของพวกมัน ซึ่งอาจจะเคลื่อนย้ายติดตามไปในภายหลัง
ตัวของผมเองขออนุมัติร่วใน ขบวนการทหารรับจ้างชุดนี้ด้วย นอกจากนั้น ผมยังขอการสนับสนุน “เรชั่น” ด้วยการให้ชอปเปอร์นำไปทิ้งให้ก่อนจะข้ามแม่น้ำงึม และพร้อมๆกันนั้น ให้ทาง บก.ล่องแจ้ง แพ็ค ระเบิดมือ M.26 กระสุนปืน M-16,M-60,แฟลร์กระทุ้ง,ควันสัญญาณ,ตลอดจนปืนจรวด M-72 ซุกซ่อนมากับกล่องเรชั่นดังกล่าวด้วย
ชอปเปอร์บินกลับไปแล้ว ผมกับ สต.อาษา จิตต์เที่ยงตรง เลือกทหารรับจ้างฝีมือดีอีก 5 คน ทำหน้าที่ประกบแม้วชุดดังกล่าวด้วยการถ่วงเวลาเดินอ้อยอิ่งอยู่ท้ายขบวน
ถนนที่ซี.ไอ.เอ. ลงทุนสร้างให้กับประเทศลาวตามโครงการขยายสงครามอินโดจีน เพื่อเหตุผลทางการเมืองที่ยอกย้อนได้รับการสร้างอย่างขอไปที ขอบภนนโดนพายุฝนซึ่งกระหน่ำอยู่ชั่วนาตาปี พังทะลายลงหลายต่อหลายแห่งและบางแห่งทำท่าจะหลุดขาดออกจากกันอย่างน่ากลัว
เส้นทางวกเวียนอยู่บนภุเขาอย่างน่าเวียนหัว น้ำตกขนาดใหญ่ปรากฏเห็นชัดอยู่บนหน้าผาทางขวามือสุดของยอดเขา ความรุนแรงของสายน้ำที่ตกลงมาจากหน้าผาที่สูงชันทำให้บังเกิด เสียงอึกทึกครึกโครมดังสนั่นหวั่นไหว
แสงอาทิตย์ที่กระทบกับละอองน้ำ บังเกิดสีสันแพรวพราวเหมือนกับรุ้งกินน้ำที่งดงามจับตา
ทหารรับจ้างเดนตายบางคน ใช้ลูกตื๊อจีบสาวแม้วซึ่งร่วมเดินทางมาด้วย และความพยายามของเขาเหล่านั้น ก็ดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วย
สาวแม้วใจถึงเหล่านั้นให้ความสนิทสนมด้วยเป็นอย่างดี บางคู่ก็เดินคลอเคลียพะยักพะเยิดบุ้ยใบ้ คุยกันด้วยท่าทางซึ่งแสดงออกถึงความสุข บางครั้งถึงกับกอดจูบกันอย่างเปิดเผย โดยไม่แคร์ต่อสายตาใดๆทั้งสิ้น
ทหารรับจ้างฉุดสาวแม้วหายแวบลงข้างทาง แทนที่สาวๆแม้วเหล่านั้นจะขัดขืน พวกเธอกลับเดินนำหน้าลิ่ว แถมบางคนยังผละจากสามีลงไปมั่วกับทหารรับจ้างอย่างไม่ละอายแก่ใจ
ผู้ชายแม้วนั่งรอเมียของตนอยู่บนขอบถนน แถมงัดบ้องฝิ่นขึ้นมาบรรจงสูบอย่างใจเย็น ชั่วอึดใจ กลิ่นหอมหวลของแม่ทองดำก็อบอวลไปทั่วบริเวณ
ซักพักใหญ่ๆ ผมก็มองเห็นสาวแม้ว หน้าระรื่นออกมาจากป่าเสือหมอบข้างๆทาง ตามติดออกมาด้วยทหารรับจ้างที่เหงื่อแตกซิกไปทั้งร่าง ตาของผมไม่ฝาดไปหรอกครับ ผมเห็นสาวแม้วยื่นธนบัตรของรัฐบาลไทย ซึ่งมีค่าไม่น้อยกว่า 30 บาท ส่งให้กับสามีของเธอที่นั่งสูบฝิ่นด้วยความใจเย็นอยู่นั้น
แม้วหนุ่มเอื้อมมือรับธนบัตรใส่กระเป๋าแล้วพะยักพะเยิดให้เมียของตัวในทำนองให้ออกทำงานต่อไปอีกครั้ง
สาวแม้วผละจากทหารรับจ้างคู่ขา เดินตรงเข้าไปหาทหารรับจ้างคนอื่นๆต่อไปอย่างไม่เคอะเขิน
สองชั่วโมงผ่านไป กระเป๋าทั้งสองข้างของแม้วขี้ยาคนนั้นก็แออัดยัดเยียดไปด้วยธนบัตรนาๆชนิด
อนิจจา สภาพบ้านของบ้านเมืองที่ประสพกับภาวะสงครามจนบ้านแตกสาแหรกขาด อดอยากยากแค้นถึงกับต้องบังคับให้เมียของตัวเองขายตัวกินเชียวหรือนี่?
แม้กระทั่งสาวแม้วที่เพิ่งจะผ่านพ้นวัยมีเมนส์ มาเพียงเล็กน้อยก็ยังต้องกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและครอบครัว
∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 22:53  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19260

คำตอบที่ 23
       ตาลาย..แต่ก็คลายความเหงาของบอร์ดแลนด์ดีที่แฟนไม่โพสกันนานแล้ว..



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ม้าพระอินทร์ จาก ลางสาด หนุมาน 32 182.53.228.124 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 23:19  IP : 182.53.228.124   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19261

คำตอบที่ 24
       เคยอ่านไปแล้วสองรอบเมื่อหลายปีก่อน วันนี้ก็ยังติดตามจนครบทุกตอน ชื่อสยมพู / ระพินทร์ / ศักดิ์สุริยา ญาติๆผมนำไปตั้งให้เป็นชื่อลูกชายทั้งสามคนของเขา เพราะชื่นชอบกับผลงานกวีเอกแห่งพงไพร สุดยอดจริงๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TMVC031 จาก คนชายแดน 101.51.222.152 อังคาร, 18/6/2556 เวลา : 23:35  IP : 101.51.222.152   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19262

คำตอบที่ 25
       เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม ตอนที่ 4
เงิน เงินตัวเดียวเท่านั้น ที่มีค่าที่สุดในยามนี้ ทหารรับจ้างบางคนที่ถังแตกก็แก้ปัญหาด้วยการ ขายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นปืน M-16 อาวุธคู่มือ มีดดาบปลายปืน, เป้สนาม, เสื้อกันฝน หรือแม้กระทั่ง เสื้อแจคเก็ตฟิลด์เก่าคร่ำคร่า
ก็พ่อค้าสงครามชาวแม้วอีกนั่นแหละครับที่พากันรับซื้อของเหล่านั้น
กดราคาหยั่งกับหลงจู๊โรงจำนำ ปืน M-16 ค่อนข้างใหม่ พ่อค้าแม้วหน้าเลือดให้ราคาเพียง 300 บาทเท่านั้น ดาบปลายปืน 30 บาท เป้สนาม 20 บาท เสื้อกันฝน 20 บาท แจ็คเกตฟิลด์ 60 บาท คือราคามาตรฐานที่พ่อค้าแม้วหน้าเลือดได้กำหนดเอาใว้
ถ้าทหารรับจ้างไม่ต้องการเงินเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน พ่อค้าสงครามเหล่านี้ ก็จะบริการสาวแม้วในขบวนให้เสมือนหนึ่งอย่างจะรู้ใจซึ่งกันและกัน
ทหารรับจ้างบางคนที่บังเอิญมีเงินเหลือเฟือก็เลยรับซื้อปืนพกที่ราคาถูกอย่างน่าใจหาย จากเพื่อนๆเอาใว้ด้วยสนนราคากระบอกละไม่เกิน 700 บาท
และไอ้เงินดังกล่าวนี้ มันก็จะละลายหายวูบไปกับอีตัวแม้วเนื้อแน่นปั๋ง และวงไฮโลที่ผุดขึ้นมาเหมือนกับดอกเห็ด
ใครจะมีความสามารถยับยั้งกลุ่มทหารเดนตาย ที่มีอาวุธครบมือนี้ได้ ขืนผมเข้าไปวุ่นวายกับพวกเขามากเกินไป ดีไม่ดีจะโดนยิงทิ้งเอาเสียดื้อๆก็อาจจะเป็นได้
ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ผมไม่กล้าเข้าไปตักเตือนพวกเขาหรอกครับ แม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นของเขาเองยังสั่งไม่ได้ แล้วผมเองซึ่งตามตำแหน่งของการบังคับบัญชาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทหารรับจ้างเหล่านี้ แม้แต่นิดเดียว จะไปสั่งเขาได้อย่างไรกัน
ด้วยแผนงานที่ผมย้อนรอยทหารเวียตนามเหนือที่อยู่ในคราบของแม้วอพยพเอาใว้ ทำให้ผมต้องอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง พร้อมกับทำตัวเองให้อยู่ในสภาพเดียวกับสิ่งแวดล้อมเมือนหนึ่ง”ตกบันไดพลอยโจน”
อย่างไรก็ดี ทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 15 คน ก็ทราบแผนการของผมเป้นอย่างดี และทุกคนก็พร้อมที่จะเสี่ยงตาย เพื่องานชิ้นนี้กับผมอย่างใจจริง
หกชั่วโมงผ่านไป ดวงอาทิตย์หายลับไปจากสันเขา บรรยากาศรอบๆด้านเริ่มมัวซัวลงอย่างรวดเร็ว แม่น้ำงึม ทอดตัวเองอยู่ลิบๆที่ตีนเขาเบื้องล่าง
ผมกับทหารรับจ้างจำนวนหนึ่งเคลื่อนที่ล่วงหน้าขึ้นไปก่อนตามแผนที่วางเอาไว้กับนอร์แมน กล่องเรชั่นที่แพ็ครวมกันมากับอาวุธนานาชนิดกองระเกะระกะ อยู่ ณ บริเวณริมแม่น้ำ
อา.....นอร์แมน และกองสิงห์รับทราบและตกลงในแผนการที่ผมเสนอไปแล้วอย่างไม่มีเงื่อนไข
ชอปเปอร์คงจะบินมาดร็อปเรชั่นดักหน้าพวกผมเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่ตะวันจะตกดิน
ผมแบ่งเรชั่นออกเป็นสัดส่วน เพื่อที่จะแจกจ่ายให้กับทหารรับจ้าง และประชาชนแม้วอพยพในโอกาสต่อไป
อาวุธทุกชนิดถูกนำไปซุกซ่อนเอาใว้ตามภูมิประเทศรอบๆแม่น้ำงึมอย่างมิดชิด
“บิ๊กแมน แพข้ามแม่น้ำโดนระเบิดพังทะลายหมดเลยครับ ทั้งสองแพจมน้ำอยู่โน่น”
ทหารรับจ้างคนหนึ่งตะโกนบอกผมเสียงหลง ผมใจหายวาบ วิ่งหรวดออกจากกองเรชั่นมุ่งหน้าไปยังริมฝั่งแม่น้ำงึมซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 50 เมตร ด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามแทบจะระเบิดออกมานอกทรวงอก
แพขนาดใหญ่ที่สามารถบรรทุกรถยนต์ได้แพละ 3 คัน เอียงกระเท่ดเร่อยู่ห่างจากชายฝั่งแม่น้ำงึมประมาน 20 เมตร เศษไม้ไผ่ซึ่งผูกรวมกันอย่างแน่นหนาฉีกขาดกระจุยกระจายลอยเกลื่อนแม่น้ำ
เรือท้องแบน 4 ลำ ที่ใช้เป็นทุ่น สำหรับแพดังกล่าวถูกอำนาจระเบิดทะลุเป็นรูโหว่ น้ำทพลักเข้าไปเต็มปรี่ จนมองแทบไม่เห็นลำเรือ
แม่น้ำงึมตอนนั้งกว้างเกือบ 50 เมตร กระแสน้ำก็ค่อนข้างจะเชี่ยวกราก ปัญหาใหญ่หลวงที่ติดตามมาก็คือการข้ามแม่น้ำงึมในตอนกลางคืน
สำหรับทหารรับจ้างนั้น ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ หลักสูตรการข้ามแม่น้ำของทหารพรานที่ผ่านมาแล้วอย่างโชกโชนทำให้เหตุการณ์เฉพาะหน้าแบบนี้หมดความหมายลงไปอย่างสิ้นเชิง
ประชาชนชาวแม้วที่น่าสงสารเหล่านั้นสิครับ นอกจากผู้หญิง และคนชรา แล้วก็ยังมีเด็กๆร่วมขบวนมาอีกจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมก็เลยออกคำสั่งให้ขบวนทั้งหมด พักแรมคืนอยู่ ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำงึมนั่นเอง
∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆
แสงไฟวอบแวบไปทั่วชายฝั่งแม่น้ำงึม ทหารรับจ้างกับสาวแม้วจับกลุ่มกันร้องเพลงเสียงใส
แม้วหนุ่มนั่งล้อมวงสูบฝิ่นอย่างสุขารมณ์ อำนาจของยาเสพติดชนิดนี้ ทำให้ประสาทเฉื่อยชา พวกเขาจะละความสนใจจากสิ่งแวดล้อมรอบๆด้าน ลืมทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งเมียของตัวเอง สูดลมหายใจพาควันที่อิ่มเอิบเข้าไปเต็มปอด ดวงตาหรี่ซึม วิมานในฝันเจิดแจรง กำลังวังชาที่อ่อนเปรี้ยจากการเดินทางมาตลอดทั้งวันปลิวหายไปเป็นปลิดทิ้ง
จันทร์วันเพ็ญสีหมากสุกลอยเด่นอยู่เหนือลำแม่น้ำงึม รัศมีที่เรืองรองกระทบกับผิวผืนน้ำ มองดูระยิบระยับเหมือนกับเกล็ดเพชร
บรรยากาศที่โรแมนติคนี้สร้างความหรรษาให้กับทหารรับจ้างจนลืมเหตุการณ์ที่โชกเลือดไปอย่างถนัดใจ
ผมกับทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง ค่อยๆปลีกตัวเองออกจากค่ายพักแรมแห่งนั้น ตอจากนั้นก็แฝงตัวอยู่ในภูมิประเทสใกล้ๆกับ “แม้ว” ผู้ต้องสงสัยพักรวมกลุ่มกันอยู่อย่างเงียบเชียบ
23.00 น. เสียงเอ็ดตระโรที่ฟังไม่ได้ศัพทืก้เงียบลงเป็นปลิดทิ้ง เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งซึ่งเสียงของมันคล้ายๆกับ ซึง กังวาลขึ้นมาแทนที่ และพร้อมๆกันนั้น เสียงอันเจื้อยแจ้วของสาวแม้วคนหนึ่งก็ร้องเพลงคลอตามเสียง ซึง ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้ง
“ถึงแม้พี่ข้าจะอยู่แห่งหนตำบลไหน
ถึงแม้พี่ข้าจะอยู่บนท้องฟ้านภาลัย
ถึงอยู่ต่ำลงไปยังนรกซึ่งหมกดิน
ข้าก็ไม่สิ้นความรักซึ่งปักใจ
ข้าจะรอ ข้าจะรอ รอจนกว่าชั่วฟ้าดินสลาย”
ไม่ใช่ผมแต่งกลอนบทนี้ขึ้นมาเองนะครับ ข้อความเหล่านี้ ผมถอดออกมาจากบทเพลง ซึ่งสาวแม้วเพิ่งจะร้องจบลงไปอย่างสดๆร้อนๆนี่เอง
ฉะนั้น เมื่อมันไม่สัมผัสนอก สัมผัสในตามวิธีการแต่งกาพย์กลอนมันก็ช่วยไม่ได้ใช่ไหมครับ?
ถ้าบังเอิญท่านผู้อ่านบางท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกาพย์กลอนโดยเฉพาะอ่านเจอกับ กลอนแม้ว ของผมบทนี้เข้า ก็หวังว่าคงจะเข้าใจในเจตนาของผมนะครับ
มีเสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว ต่อจากนั้นเพียงชั่วอึดใจผมก็ได้ยินเสียง เม้าท์-ออร์แกน จากการเป่าของใครคนหนึ่งดังแทรกซ้อนขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
“ไกลบ้าน”
เพลงฮิตของสุเทพ วงศ์กำแหง ครางขึ้นมาอย่างอ้อยสร้อย ท่วงทำนองเพลงและน้ำเสียงของทหารรับจ้างที่ร้องเพลงนี้ บีบอารมณ์จนผมน้ำตาซึมออกมาด้วยความเผลอใจ
ผมปล่อยจิตใจไปกับเนื้อเพลงที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังจนกระทั่งลืมแม้วดังกล่าวไปสนิทใจ มารู้สึกตัวอีกทีก็อีตอนถูกสะกิดค่อนข้างแรงที่หัวไหล่ด้านซ้าย
“คุณบิ๊กแมน ดูโน่น ไอ้ฉิบหายแม้วคลานออกจากกลุ่มของมันมาหมอบนิ่งอยู่ข้างๆขอนไม้ สองคน จวกแม่มันเลยไหม๊ครับ?”
ส.ต.อาษา รองหัวหน้าชุดยิง กระซิบกระซาบกับผมพร้อมกับเอื้อมมือลงไปลดเซฟปืน
“แบ่งกำลังเป็นสองส่วน อาษาคุมอยู่ที่นี่ พร้อมด้วย M-60 ที่เหลือนอกนั้นตามผมมา ถ้าเห้นพลุสัญญาณแฟลร์กระทุ้งสีแดงให้ระดมยิงพวกแม้วกลุ่มนี้ทันที”
ผมกับทหารรับจ้าง 6 คนคลานติดตามแม้วทั้งสองคนซึ่งกำลังแฝงกายออกจากจุดพักแรมลัดเลาะขึ้นไปบนถนน ด้วยลักษณะการเดินที่ระมัดระวังอย่างเต็มที่
ผมแบ่งกำลังออกเป็นสองชุด ชุดแรกให้ทำหน้าที่แกะรอยอย่างกระชั้นชิด ส่วนชุดที่สองเป็นกำลังหนุนในขณะที่ส่วนหน้าสุดเกิดการประทะขึ้น
แม้วทั้งสองคนเดินลัดเลาะห่างจากจุดพักแรมพอสมควรก้ฉากแวบเข้าไปข้างๆถนน กระชุที่สพายอยู่บนบ่าถูกปลดลงมากองที่พื้น อีกคนหนึ่งเดินย้อนกลับออกมาจากทิศทางเดิม และคราวนี้มันถือปืนกลมืออาก้า ที่เพิ่งจะประกอบเสร็จติดมือกลับมาด้วย มันหยุดอยู่ห่างจากพรรคพวกของมันประมาน 20 เมตร แล้วนั่งลงพิงกับก้อนหินอย่างสงบนิ่ง
จากลักษณะดังกล่าว เจ้าแม้วคนที่ถือปืนอาก้าก็คือหน่วยคุ้มกัน หรือยามต้นทางของมันนั่นเอง
ผมสั่งให้ทหารรับจ้าง 3 คน คอยประกบแม้วต้นทางเอาไว้ พร้อมกับกำชับให้หลีกเลี่ยงการใช้ปืนอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ให้จัดการตามความเหมาะสมกับสถานะการณ์
ต่อจากนั้น ผมพาทหารรับจ้างอีกชุดคืบคลานเข้าไปจนอยู่ห่างจากเจ้าแม้วคนแรกไม่ถึง 10 เมตร ความสว่างของแสงจันทร์ทำให้ผมมองเห็นมันอย่างถนัดถนี่ เห็นแม้กระทั่งเครื่องรับส่งวิทยุขนาดเล็กที่ถืออยู่ในมือข้างขวาของพวกมัน
มีเสียงเรียกขานเป็นภาษาเวียตนามดังเบาๆออกมาจากวิทยุเครื่องนั้น และข้อความที่พูดติดต่อกันก็เป็นภาษาพูดธรรมดาๆที่ไม่ได้เข้ารหัสแต่อย่างใด
อา ผมเจอะกับทหารเวียตนามเหนืออย่างฟลุคที่สุดเข้าให้แล้ว ถ้อยคำที่มันส่งข่าวกันทำให้ขนหัวของผมลุดชันขึ้นมาด้วยความสยองใจ
เจ้าแม้วจอมปลอม แอบส่งข่าวให้หน่วยเหนือของมันทราบ พร้อมกับแจ้งตำแหน่งที่พักแรมคืนของพวกผมอย่างละเอียดถี่ถ้วน แผนการที่บัดซบของมันก็คืออาศัยความเผลอเรอและความเลินเล่อของพวกเราเข้าจู่โจมแบบสายฟ้าแลบในเวลา 04.30 น. โดยการสนับสนุนของหน่วยกล้าตายเวียตนามเหนือ ซึ่งขณะนี้อยู่ห่างจากที่พักแรมของผมประมาน 3 ชั่วโมงเดิน
แผนการละเลงเลือดของพวกมันไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ดี ทั้งๆที่ล่วงรู้ความลับของมัน ผมก็อดหนักใจไม่ได้
อาวุธหนักเท่าที่ผมมีอยู่ก็คือ M-72 15 กระบอก M-60 พร้อมด้วยกระสุนอีก 20 สาย นอกจากนั้นก็มีระเบิด M-26 และปืน M-16 ซึ่งเพิ่งจะได้รับทดแทนมาอย่างสดๆร้อนๆ ในตอนเย็นวันนี้เอง
ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู มันเพิ่งจะ 24.00 น เท่านั้น มันยังเหลือเวลาอีกตั้ง 4 ชั่วโมง กว่าที่จะถึงหมาย กำหนดการเข้าตีของทหารเวียตนาม
ผมสงบท่าทีรอดูมัน จนกระทั่งมันส่งข่าวเสร็จ มันเก็บวิทยุซุกซ่อนเอาไว้ในกระชุเดินออกมาสมทบกับต้นทางของมัน ต่อจากนั้นมันก็ช่วยกันถอดปืนอาก้าออกเป็นชิ้นๆห่อด้วยเศษผ้าบรรจุลงก้นกระชุยกขึ้นสะพายเอาไว้บนหลังแล้วเดินกลับจุดพักแรมอย่างระมัดระวัง
ผมกับทหารรับจ้างทั้งหมดคลานลงขอบถนนแล้วรีบเคลื่อนที่ออกไปดักตรงบริเวณทางเข้าจุดพักแรม รอจังหวะการมาของพวกมันทั้งสองคนด้วยความเครียดแค้น
ผมเลือกมือพิฆาตเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พอเจ้าแม้วจอมปลอมทั้งสองคนโผล่พรวดออกมาจากปากทางทหารรับจ้างมือดีทั้งสองคนก็ปราดเข้าประชิดตัวทางเบื้องหลัง
มือข้างหนึ่งเอื้อมไปอุดริมฝีปากแน่น มีดดาบปลายปืนอันคมกริบกระซวกเข้าไป ณ บริเวณใต้ชายโครงอ่อนจนมิดด้าม แล้วออกแรงดันมีดชำแหละขึ้นไปเบื้องบน
เจ้าแม้วจอมปลอมทั้งสองคนสะดุ้งเฮือกเสียงอึกอักที่ลอดนิ้วมือออกมาได้ยินถนัดหู
“ซ้ำ ไอ้น้อง ซ้ำให้สนิท อย่าให้มีเสียง”
ผมสำทับออกไปพร้อมกับสืบเท้าเข้าไปประชิด กระชากผมที่เป็นกระเซิงของแม้วจอมปลอมออกเต็มแรง
ร่างของแม้วเซถลาเข้ามาหาผมด้วยอาการเสียหลัก ผมสวนออกไปด้วยดาบปลายปืนสุดแรงเกิด
“สวบ”
ปลายมีดหายวูบเข้าไปในช่องท้อง ความเครียดแค้นทำให้ผลืมตัว กระชากมีดออกแล้วกระหน่ำแทงเป็นจักรผัน
มันใกล้ชิดจนผมได้กลิ่นคาวเลือด ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า ขณะนี้ ใบหน้าของผมเปียกชุ่มไปด้วยเลือดอันเลวระยำของแม้วจอมปลอมคนนั้นเสียแล้ว
ผมผละจากร่างที่งอก่องอขิงของมันออกมายืนหอบเป็นหมาหอบแดดอยู่ที่ขอบถนน การออกแรงฆ่าคนทำให้ประสาทตรึงเครียดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ความตรึงเครียดทำให้บังเกิดความเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับผ่านการออกกำลังมาอย่างสดๆร้อนๆ
∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆∆



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 07:50  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19263

คำตอบที่ 26
       เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม ตอนที่ 5
ผมรู้สึกเหนียวเหนอะหนะที่บริเวณริมฝีปาก เมื่อลองแลบลิ้นออกมาสัมผัสดูก็รู้สึกเค็มปะแล่มๆชอบกล ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า บัดนี้ผมได้รับรู้ถึงรสชาตของเลือดมนุษย์ เข้าให้แล้ว
จากคำพังเพยของคนโบราณ “ถ้าฆ่าใครตาย จงดื่มเลือดของมันเสีย เพื่อกันความอาฆาตของผีตายโหง”
จะเท็จจริงอย่างไร ผมไม่มีทางพิสูจน์หรอกครับ เพราะเท่าที่ผ่านๆมา ผมก็ไม่เคยถูกผีตายโหงของทหารเวียตนามเหนืออาฆาตซักที
ผมค้นศพเจ้าแม้วจอมปลอมทั้งสองอย่างละเอียดถี่ถ้วน วิทยุ ระเบิดสากกระเบือ ปืนอาก้า ดินระเบิดแรงสูงพร้อมด้วยสายชนวนถูกกองรวมอยู่ที่พื้น ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทหารรับจ้างที่ยืนล้อมวงอยู่รอบด้าน
“ถ้าไม่มีบิ๊กแมน พวกผมเห็นทีจะแหลกแน่ๆ จะเอายังไงดีครับคุณบิ๊กแมน ออกคำสั่งมาเลย พวกผมพร้อมแล้ว”
พลฯยงยุทธ หุยกระโทก คนสนิทของ ส.ต.อาษาพุดพลางใช้มีดดาบปลายปืน เช็ดเลือดกับขากางเกงอยู่ไปมา แล้วบรรจงสอดเข้าไปในซองผ้าใบ พร้อมกับหันไปพูดเบาๆกับทหารรับจ้างที่อยู่ข้างๆ
“ลากไอ้เหี้ยสองตัวนี่เข้าไปซ่อนเอาไว้ข้างทางก่อนโว้ย ไอ้สอน กูเหม็นคาวเลือดว่ะ ไอ้ห่า ใครว่าทหารแกวไม่มีเลือดวะ ของไอ้หอกสองคนนี่ไหลหยั่งกะน้ำพุวัดเลียบเชียวนะมึง”
ในขณะที่สพของแม้วจอมปลอมทั้งสองถูกลากเข้าไปซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังก้อนหินข้างๆทาง ผมก็วางแผนการณ์เก็บแม้วกลุ่มที่เหลือทันที
01.00 น. เมฆก้อนใหญ่โคจรเข้ามาปิดบังดวงจันทร์ชั่วขณะ ความสว่างไสวของจันทร์เพ็ญ 15 ค่ำเริ่มมัวซัวลงอย่างกระทันหัน
ผมพาทหารคืบคลานเข้าไปบริเวณที่พักของแม้วจอมปลอมกลุ่มนั้นอย่างเงียบเชียบ
เสียงเอ็ดตระโรของทหารรับจ้างที่แหกปากร้องเพลงเงียบเสียงลงมาแล้ว นอกจากนั้นทหารรับจ้างบางคนก็ยังจับคู่สาวแม้วที่หิวเงิน เกี่ยวก้อยกันเงียบหายไปตามสุมทุมพุ่มไม้ที่ขึ้นระเกะระกะอยู่ทั่วๆไปตามชายฝั่งแม่น้ำงึม เสียงระริกที่เต็มไปด้วยจริตแว่วมาตามลมไม่ขาดระยะ
ส.ต. อาษาคลานสี่ตีนไปที่โคนต้นมะยมป่าอันเป้นบริเวณที่ใกล้ชิดกับที่พักพักแรมของแม้วกลุ่มั้นอยู่ชั่วครู่กคลานกลับมาหาผม กระซิบกระซาบด้วยเสียงแผ่วเบา
“พวกมันยังนั่งอยู่ที่หน้ากองไฟอีก 2 คน ถ้าจะคลานเข้าไปเก็บพวกมัน ไอ้ห่าจวก 2 คนนั่นจะต้องเห็นเราแน่ๆจะเอายังไงดีครับ”
ผมนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ ปัญหาใหญ่ๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มันไม่ใช่ของง่ายๆ เหมือนกับที่ผมคิดเอาไว้เสียแล้ว ถ้าผมใช้ปืนยิงเข้าไป มันจะต้องวุ่นวายและชุลมุนกันอย่างมากมายเลยทีเดียว
ทหารรับจ้างอีกจำนวนไม่ใช่น้อย ที่ไม่รู้แผนการณ์ของผม จะต้องบังเกิดการตกอกตกใจ ยิงกันหูดับตับไหม้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร นอกจากนั้นประชาชนชาวแม้วผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทั้งหลายก็ยังจะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนลูกหลงไปอีกด้วย
ยังเหลือเวลาอีกพอสมควร ผมก็เลยสั่งให้ทหารรับจ้างมือพิฆาตสองคนย้อนกลับไปลอกคราบเสื้อผ้าและกระชุใส่ของ ของแม้วจอมปลอมที่ถูกฆ่าตายกลับมาโดยด่วน
ด้วยแผนการณ์ที่ซักซ้อมกันอย่างแนบเนียน ทหารรับจ้างทั้งสองคน ซึ่งอย่ในคราบของแม้วจอมปลอมก็พะยุงร่างกายเดินกระโผลกกะเผลกเข้าไปในบริเวณที่พักแรม ด้วยลักษณะเหมือนกับได้รับบาดเจ็บกลับมา
ก่อนจะถึงบริเวณที่พัก ผมก็มองเห็นแม้วทั้งสองคนผุดลุกขึ้นยืน ทหารรับจ้างที่กำลังพยุงกันเข้ามาเซถลาล้มลงไปกับพื้นแสดงอากัปกริยาเหมือนกับว่าได้รับบาดเจ็บมาอย่างแสนสาหัสด้วยอาการสนิทแนบเนียน
แม้วจอมปลอมทั้งสองคนหลงกลวิ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยอาการเผลอไผล พอร่างของมันคล้อยหลังพวกผมไปเท่านั้น มือพิฆาตที่คอยท่าอยู่ก้กระโจนพรวดเข้าตะปบ มีดดาบปลายปืนไม่รู้ว่ากี่เล่มต่อกี่เล่ม จ้วงแทงเข้าไปอย่างไม่เลี้ยง
ปราศจากเสียงร้อง ตายสนิท! พวกผมผละจากร่างของพวกมัน คลานเลื้อยเข้าไปในบริเวณที่พักแรมอย่างเงียบเชียบ
มันจะไปเหลืออะไรกันละครับ กับการฆ่าคนที่กำลังนอนหลับ พวกมันที่กำลังนอนหลับสนิทอย่างสุขารมณ์ ถูกฆ่าไม่เหลือหรอเป็นจำนวน 10 คน ซึ่งถ้าจะนับอีก 4 คน ซึ่งโดนฆ่าไปก่อนแล้ว ก็รวมเป็นจำนวน 14 คนพอดิบพอดี
อีกหึ่งคนมันหายไปใหน? พวกผมพยายามตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ไม่พบร่องรอยของมันเลยแม้แต่น้อยนอกจากเศษผ้าห่ม และกระชุใส่ของ ของมันเท่านั้น
หมายกำหนดการณ์เข้าตีของทหารเวียตนามเหนือชุดสนับสนุนของมันกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว กระชั้นชิดเข้ามาทั้งๆที่ผมยังค้นหาทหารเวียตนามเหนืออีกคนยังไม่พบ
บา....แผนการณ์ของผมเห็นทีจะพังเป็นแถบๆกันคราวนี้เองละกระมัง
ด้วยการปฏิบัติงานที่แข่งกับเวลา แข่งกับความตาย พวกผมพากันตรวจค้นทหารเวียตนามเหนือที่อยู่ในคราบของชาวแม้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยการออกคำสั่งระดมพลอย่างปัจจุบันทันด่วน
สถานที่เริงสวาท ณ บริเวณชายฝั่งแม่น้ำงึมถูกจู่โจมบุกตลุยแบบสายฟ้าแลบ ไม่มีร่องรอยของทหารเวียตนามเหนือปรากฏอยู่แม้แต่คนเดียว
คำชี้แจงของผมที่อธิบายต่อหัวหน้าแม้วอพยพทำให้พวกเขาเหล่านั้นบังเกิดความร้อนใจ และกริ่งเกรงต่อความผิดที่อาจจะบังเกิดขึ้นเนื่องจากความเข้าใจผิดของพวกผมเอง พวกแม้วอพยพเหล่านั้น พากันสำรวจยอดกำลังพลอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง
หญิงสาวแม้วผู้หนึ่งหายไปจากจุดพักแรมอย่างน่ากังขา และชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงโวยวายดังลั่นมาจากชายฝั่งแม่น้ำงึม
“โว้ย ! เจอะแล้วโว้ย ผู้หญิงแม้วโดนฆ่าตายอยู่นี่เอง”
ทุกคนวิ่งพรูเข้าไปใน ณ บริเวณที่เกิดเหตุก็พบร่างของหญิงสาวแม้วผู้เคราะห์นอนหงายอยู่กับพื้นทราย ร่างกายท่อนล่างจมลงไปในน้ำเกือบครึ่งตัว เสื้อผ้าถูกเปลือยออกจากร่างจนหมดสิ้น ที่บริเวณลำคอมีมีดพกปักเด่ทิ้งเอาไว้ มองเห็นถนัดตา โลหิตทะลักออกมากระทบกับแสงจันทร์มองเห็นเป็นคราบ มือข้างขวากำวัตถุชนิดหนึ่งแน่น
ชายแม้ว 2-3 คน ค่อยๆยกร่างของสาวแม้วชะตาขาดขึ้นมาวางบนฝั่ง เมื่อหัวหน้าแม้วแกะมือหญิงสาวออกก็พบนาฬิกาของจีนแดงที่เหลือแต่เพียงตัวเรือนวางอยู่ภายในกำมือที่เกร็งเหมือนกับจะเป็นตะคริวนั้น
หัวหน้าชาวแม้วใช้ไฟฉายส่องดูนาฬิกาอยู่ชั่วครู่แล้วอุทานออกมาด้วยความเครียดแค้น
“นาฬิกาของไอ้แกว มีลายเซ็นต์ภาษาเวียตนามอยู่หลังตัวเรือน ไอ้แกวฆ่าคนของผมแน่ๆ”
ตามความคาดคะเนของผม ทหารเวียตนามเหนือผู้นี้คงจะบังเกิดอารมณ์เปลี่ยวขึ้นมาอย่างกระทันหัน ในขณะที่กำลังมีความสุขอยู่กับสาวแม้วคู่ขา ก็คงจะเป็นเวลาที่พวกผมบุกเข้าตรวจค้นพอดี
สัญชาตญาณของนักรบ ทำให้เขาทราบถึงเหตุการณ์ร้ายที่จะกำลังจะบังเกิดขึ้น ทางเดียวที่เขาทำได้ในขณะนั้นก็คือจ้วงแทงคอของหญิงสาว เพื่อเป้นการปิดปากแล้วก็หนีเอาตัวรอด ในขณะที่โดนมีด หญิงสาวคงจะทะลึ่งขึ้นสุดตัวด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส มือที่กอดรัดทหารเวียตนามเหนืออยู่คงจะผวาไขว่คว้าอย่างสะเปะสะปะ
นาฬิกาสายหนังที่บอบบางก็เลยขาดติดมือหญิงสาวขึ้นมา ความตกใจทำให้ทหารเวียตนามเหนือผู้นั้นหลบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิตจนกระทั่งลืมนึกถึงนาฬิกาไปอย่างสนิทใจ
เมื่อผมอธิบายถึงเหตุการณ์ที่พวกผมได้ปฏิบัติไปในตอนเที่ยงคืน ชาวแม้วทุกคนก็ส่งเสียงฮือฮาออกมาด้วยความตื่นเต้น และเมือผมบอกให้ทราบถึงหมายกำหนดการณ์ การเข้าตีของทหารเวียตนามเหนือ ชาวแม้วทุกคนก็รับอาสาพวกผมเข้าโจมตรีย้อนรอยทหารเวียตนามเหนือเป็นชุดแรกด้วยความเครียดแค้นที่ครุกกรุ่นอยู่ในหัวใจ
ทั้งๆที่ผมเคยคลางแคลงในพฤติการณ์ของแม้วมาตลอด แต่ขณะนี้ผมไม่มีทางที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
ชาวแม้วทุกคนที่มีอาวุธประจำกายถูกระดมพลอย่างเร่งด่วน ในไม่ช้าขบวนนักรบหลายสัญชาติก็เกาะกลุ่มกันเดินย้อนกลับไปบนยอด ภูหินซับ เพื่อหาพื้นที่สังหารคอยดักโจมตีทหารเวียตนามเหนือในเวลาต่อไป
04.00 น. ในบริเวณเส้นทางที่สูงเสียดฟ้าซึ่งวกวนอยู่บนยอดเขา ภูหินซับ
ผมวางแนวทหารรับจ้างเป็นเส้นขนานขนาบถนนทั้งสองข้างด้วยการให้ทหารขึ้นไปวางตัวอยู่เหนือขอบถนนประมาน 25 เมตร
จากลักษณะดังกล่าว ทำให้เป้าหมายซึ่งเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเราบนเส้นทางดังกล่าว ต้องตกอยู่ในวงล้อมของคีมรูปปากกาไปโดยอัตโนมัติ
ทางรอดของการโจมตีก็คือวิ่งหนีลงไปในหุบเหวข้างๆทาง ซึ่งมีความลึกจนมองดูแล้วเสียววูบเข้าไปถึงไขสันหลัง
แม้วอาสาสมัคร 150 คน ขออนุญาตจากผมลงไปตั้งแนวอยาตรงบริเวณถนนหักข้อศอกที่อยู่ห่างจากแนวของผมเกือบ 50 เมตร
จากแผนการที่วางเอาไว้ แม้วอาสาสมัครกลุ่มนี้จะตลบหลัง ด้วยการไล่ตลุยทหารเวียตนามเหนือ ให้วิ่งกระเจิงเข้ามายังพื้นที่สังหารที่ผมได้วางกับดักเอาไว้
ทั้งๆที่ผมไม่ค่อยจะเชื่อน้ำมนต์แม้วกลุ่มนี้เท่าใดนัก ตลอดระยะเวลาที่รบอยู่ในสมรภูมิลาว ผมเคยคลางแคลงอยู่เสมอว่าทหารเวียตนามเหนือเหล่านั้น รู้เห็นเป็นใจกับพวกแม้วอยู่ตลอดเวลา และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกผมจะพิสูจน์น้ำใจของพวกเขาเหล่านี้ว่าจะมีความจริงใจกับพวกผมเพียงไร
ถ้าพวกผมโดนหักหลัง ผู้หญิง เด็ก คนชรา ทั้งหมดที่พักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำงึมจะต้องถูกทหารรับจ้างซึ่งประกบตัวอยู่สังหารเกลี้ยงทันที
อากาศอันเย็นยะเยือก ความสว่างไสวของจันทร์เพ็ญทำให้ผมตรวจการในถนนที่ทอดตัวเองอยู่เบื้องหน้าด้วยความชัดเจนพอสมควร
กลุ่มคน 3 คน ปรากฏตัวออกจากมุมหักข้อศอกเบื้องหน้า ทุกคนถือปืนเคลื่อนที่มาช้าๆด้วยอาการระมัดระวัง คนที่อยู่หลังสุดถือวิทยุสนามขนาดเล็กเดินเว้นระยะห่างกันพอสมควร
จากลักษณะดังกล่าว ทหารทั้งสามคนที่ปรากฏตัวอยู่นั้นก็คือ ชุดลาดตระเวณล่วงหน้าของทหารเวียดนามเหนือนั่นเอง
ชุดลาดตระเวณผ่านแนวอาสาสมัครแม้วเข้ามาแล้ว อาสาสมัครปฏิบัติตามคำสั่งของผมอย่างเคร่งครัด ทุกคนสงบเงียบ! ปล่อยให้ชุดลาดตระเวณทั้ง 3 คน ของทหารเวียดนามเหนือเดินผ่านไปอย่างปลอดภัย
ชุดลาดตระเวณ เดินผ่านเข้ามาจนถึงกระทั่งถึงแนวของพวกผม พวกมันอยู่ใกล้ชิดกับพวกผมจนกระทั่งได้ยินเสียงพูดวิทยุติดต่อกันอย่างถนัดชัดเจน
พนักงานวิทยุส่งข่าวเป็นรหัสที่ผมแปลไม่ออก แต่ที่แน่ๆ ถ้าผมเดาไม่ผิด พวกมันจะต้องส่งข่าวบอกถึงเหตุการณ์ที่ปลอดภัยบนเส้นทางแห่งนี้นั่นเอง
เป็นที่น่าสังเกตุว่า ชุดลาดตระเวณทั้ง 3 คนหยุดการเคลื่อนที่ชั่วคราว ทุกคนทรุดตัวลงนั่งกับขอบถนนบริเวณหน้าแนวของผมนั่นเอง
ทหารรับจ้างทุกคนหมอบนิ่ง ไม่กระดุกกระดิก นิ้วมือที่กระชับอยู่ในโกร่งไกสั่นระริก ระยะห่างขนาดนี้ ไม่ต้องยิงหรอกครับ หาก้อนหินก้อนใหญ่ๆ ทุ่มโครมลงไป ถ้าโดนจังๆ พวกมันก็หมอบเท่านั้น
เงาตะครุ่มๆของทหารเวียดนามเหนือโผล่ออกมาจากมุมข้อศอกเบื้องหน้า
พลลาดตระเวณทั้ง 3 คนรีบลุกขึ้นจากขอบถนนแล้วเริ่มเคลื่อนที่ออกลาดตระเวณต่อไปอีกด้วยลักษณะการเดินที่ระมัดระวังอย่างเต็มที่
กลุ่มทหารเวียดนามเหนือ ที่ปรากฏตัวออกมาจากมุมข้อศอกเบื้องหน้า มีจำนวนไม่น้อยกว่า 50 คน
**************************************************************************************************************



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 08:54  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19268

คำตอบที่ 27
       เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม ตอนที่ 6
นอกจากพลเดินเท้าแล้ว พวกผมยังตรวจการณ์เห็น “ล่อ” 2 ตัวบรรทุกปืน ปรส. ที่ผมไม่ทราบขนาดมาอีกด้วย
ลักษณะการเคลื่อนที่ของทหารเวียดนามเหนือ เท่าที่ผมมองเห็นเป็นรูปขบวนแถวตอนเรียงสอง แต่ละแถวเดินขนาบคนละฟากถนน โดยปล่อยให้ตรงกลางเป็นช่องว่างเอาใว้ ทุกคนกระชับปืนอาร์ก้าสอดส่ายสายตาไปรอบๆด้วยอาการกริ่งเกรง
พอขบวนทหารเวียดนามเหนือคนสุดท้ายผ่านแนวของอาสาสมัครแม้ว ผมก็มองเห็นประกายสีแสดเข้มของกระสุนส่องวิถีพรุ่งปร้าดจากขอบถนนเข้าหากลุ่มขบวนดังกล่าวเป็นสาย
กระสุนปืน M-16,M-72 ครางระงมเป็นประทัดแตก แนวกระสุนวิ่งเข้าหากลุ่มขบวนเป็นจุดเดียวกัน
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
เสียงระเบิดมือแทรกซ้อนขึ้นมาดังสนั่นหวั่นไหว จากแสงสว่างของแรงระเบิดผมมองเห็น “ล่อ” ที่บรรทุกปืน ปรส. ปลิวกระเด็นไปจากจุดเดิมเกือบ 10 เมตร ศรีษะของมันหลุดหายออกไปเหมือนกับโดนขวานจาม ทั้งสองตัวตายสนิทอยู่บนขอบถนนนั่นเอง
“พรึบ...พรึบ...พรึบ”
แฟลร์กระทุ้งสีเหลือง 3 ดวง ลอยฟ่องอยู่เหนือสมรภูมิเลือด
ทหารเวียดนามเหนือบางคนฟุบตัวเองลงหมอบกับพื้นถนนแล้วสาดกระสุนออกไปรอบๆด้านอย่างสะเปะสะปะ
ด้วยการยิงแบบประชิดตัว ทำให้ทหารเวียดนามประสพกับการสูญเสียอย่างย่อยยับ บางคนเริ่มคืบคลานด้วยข้อศอก มุ่งหน้าเข้ามาหาแนวของผมเป็นจ้าละหวั่น
“แว้ด...บึ้ม”
จรวด “RPG” จากจุดใดจุดหนึ่งเบื้องหลังถนนหักมุมข้อศอก เริ่มยิงถล่มบริเวณขอบถนนที่อาสาสมัครแม้วซุกซ่อนตัวอยู่เข้าให้แล้ว
อา...ผมลืมคิดถึงชุดสนับสนุนการเข้าตีของทหารเวียดนามเหนือไปอย่างถนัดใจ
ชุดสนะบสนุนซึ่งผมยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนซึ่งเดินคุมเชิงอยู่ห่างๆ เคลื่อนที่เข้ามาแก้สถานะการณ์ให้กับหน่วยของตนในทันทีทันใด ที่มีการประทะเกิดขึ้น
ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินการณ์ ผมก็มองเห็นอาสาสมัครแม้วทั้งหมดกรูกันขึ้นจากขอบถนน ดาบปลายปืนเปลือยสะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกายขาววับ
กระสุนชุดสุดท้ายสาดเข้าใส่ทหารเวียดนามเหนือแบบล้างแม็กกาซีน
ต่อจากนั้น ฉากการประจัญบานกันอย่างชนิดเลือดท่วมด้วยดาบปลายปืนก็ได้บังเกิดขึ้น บังเกิดขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์และแสงแฟลร์กระทุ้งที่ผ่องอำไพ
เสียงสบถ เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นไม่ได้ศัพท์ ทหารเวียดนามเหนือที่รอดชีวิตจากการระดมยิง ถูกกลืนหายเข้าไปในวงล้อมของอาสาสมัครแม้วจนหมดสิ้น
ชุดสนับสนุนของทหารเวียดนามเหนือระงับการยิงจรวด RPG. เป็นปลิดทิ้ง
สถานการณ์แบบนี้อย่าว่าแต่พวกมันเลยครับ แม้แต่พวกผมเองก็ตามที ทุกคนนิ่ง! ตกตะลึง! จนนิ้วชี้ที่อยู่ในโกร่งไกเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ
ผมน้ำตาซึมออกมาด้วยความตื้นตันใจ อาสาสมัครแม้วกลุ่มนี้ ได้แสดงให้ผมเห็นซึ่งถึงน้ำใจของพวกเขาแล้ว
นึกเจ็บใจตัวเองที่มองดูพวกเขาในด้านลบมาตั้งนานสองนาน
บัดนี้! บัดนี้! ผมเลิกครางแครงในพฤติการณ์ของแม้วกลุ่มนี้ลงอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งชั่วโมงหฤโหดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทหารเวียดนามถูกสังหารเกลี้ยง ซากศพที่ระเกะระกะอยู่บนท้องถนนทับกันเป็นภูเขาเลากา
06.00 น. แสงสุริยะเริ่มจับขอบฟ้า รัศมีที่แรงกล้าแผ่กระจายออกรอบทิศทาง สภาพที่เอน็จอนาถบนพื้นถนนก็ปรากฏขึ้นมาลางๆ ค่อยชัดเจนขึ้นมาทุกที...ทุกที...
อาสาสมัครแม้วที่รอดชีวิต จากการประจันบานนั่งซึมกระทืออยู่ที่ขอบถนน บางคนเลือดโทรมกายเหมือนกับเพิ่งจะเล่นสงกรานต์เลือดมาอย่างหยกๆ บางคนศรีษะแตกยับเยินเหมือนกับโดนฟันด้วยมีดสปาต้า
จากยอดกำลังพล 150 คน บัดนนี้อาสาสมัครชาวแม้วเหลืออยู่เพียง 50 คนเท่านั้น
อัตราการสูญเสีย หนึ่งร้อยคนต่อทหารเวียดนามเหนือ 58 คน
58 คนที่ผ่านการรบมาอย่างท่วมเลือดทั่วทุกแห่งหนของสมรภูมิอินโดจีน 58 คนที่สังกัดอยู่หน่วย “แซปเปอร์” (กล้าตาย) ที่มีชื่อเสียงที่สุดของกองพันทหารเวียตนามเหนือ
แทบไม่น่าเชื่อที่หน่วยแวปเปอร์ต้องมาสิ้นชื่อเพราะอาสาสมัครแม้วขี้ยากลุ่มนี้
พวกผมยิงเคลียร์พื้นที่บริเวณถนนหักมุมข้อศอกอีกครั้ง ต่อจากนั้นก็ปีนลงมาสมทบกับอาสาสมัครแม้วเพื่อตรวจสอบผู้รอดชีวิตจากการประจันบาญครั้งนี้ต่อไป
มีทหารเวียดนามเหนือนอนหายใจรวยรินทำท่าจะตายมิตายแหล่อยู่อีก 2 คน
ผมจัดแจงฉีดมอร์ฟีนให้คนละคนละเข็ม อีกสิบห้านาทีต่อมาคนนึงเสียชีวิตเนื่องจากโลหิตเป็นพิษ ส่วนอีกคนนึงมีเค้าว่าจะมีชีวิตรอดอยู่อีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
เสียงชอปเปอร์บินหึ่งๆ อยู่บนท้องฟ้าเมื่อผมเดินไปที่วิทยุ HT-2 ที่วางอยู่ใกล้ ผมก็ได้ยินเสียงของ “นอร์แมน” เสนาธิการโจรของ ซี.ไอ.เอ. ดังขึ้นมาอย่างร้อนรน
“บิ๊กแมน จาก นอร์แมน...เปลี่ยน”
“นอร์แมน จาก บิ๊กแมน ผมได้ยินเสียงของคุณ มีอะไรหรือครับ”
“บิ๊กแมน จาก นอร์แมน...เตรียมรับข่าว”
ข่าวรหัสของนอร์แมนสั่งให้ผมนำทหารทั้งหมดหลบลงข้างทาง เนื่องจากนักบินชอปเปอร์ตรวจการณ์พบทหารเวียตนามเหนือ กำลงพลประมานหนึ่งหมวด กำลังปีนเขาอ้อมขึ้นมาทางซ้ายมือ ท้ายสุดของข่าว นอรืแมนบอกว่าขณะนี้ “T-28” จากนาซูกำลังจะบินมาทำงาน
เกือบแหลกแล้วไหมละ ในขณะที่พวกผมกำลังหลงระเริงในชัยชนะอยู่นั้น ชุดสนับสนุนของเวียดนามเหนือ ซึ่งถอนตัวหลบหนีไปในตอนเช้ามืด เริ่มรวมตัวย้อนกลับมาใหม่อีกครั้ง
พวกมันปีนอ้อมเขาขึ้นมา หวังจะแอบซุ่มโจมตีพวกผมให้ย่อยยับ
ถ้าไม่ได้ “นอร์แมน” ตรวจการพบเสียก่อน พวกผมทั้งหมด อาจจะ “เกมส์” กันหมดเลยก็ว่าได้
ชุดสนับสนุนของทหารเวียดนามเหนือที่ปีนเขาขึ้นมาทางด้านซ้ายมือสุด ปรากฏตัวขึ้นมาบนยอด “ภูหินซับ” แล้ว
การเคลื่อนที่-ที่รวดเร็วของพวกมัน ทำให้ทหารรับจ้างซึ่งกำลังตรวจค้นศพอยู่ หลบลงข้างทางไม่ทัน
ด้วยชัยภูมิที่ได้เปรียบ เนื่องจากอยู่สูงกว่าพวกผม ทหารเวียดนามเหนือเปิดฉากโจมตีทันที
“แว้ด......บึ้ม”
“ตุ๊ง...แว้ด...บึ้ม”
“ปร๊อด...ปร๊อด...ปร๊อดๆๆๆๆๆๆ”
จรวด RPG, ปรส.57, อาร์ก้า 47 ครางระงมขึ้นมาอย่างกับฟ้าพิโรธ
ตำบลกระสุนตกก็คือกลุ่มทหารรับจ้าง และกลุ่มอาสาสมัครแม้วที่นั่งระเกะระกะอยู่ที่ขอบถนน
กระสุน ปรส. 57 ลูกหนึ่งตกลงกลางถนนพอดิบพอดี... แรงระเบิดของมันส่งให้สพที่กองพะเนินเทินทึก กระเด็นปลิวว่อน ออกไปรอบทิศ
แม้วอาสาสมัครและทหารรับจ้างที่กำลังสาละวนค้นของอยู่จำนวนหนึ่ง กระเด็นขึ้นไปค้างอยู่เหนือขอบถนน
ตับไต..ไส้พุง และชิ้นส่วนของร่างกายฉีกขาดแหลกเหลวเหมือนกับหมูบ๊ะช่อ
และในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น จรวด RPG. อีกลูกหนึ่งก็ซ้ำโครมลงมา ณ. บริเวณใกล้ๆกันอีกครั้ง
พื้นถนนที่ฉีกขาดออกป็นทาง หลุมลึกขนาดควายตีแปลงสองหลุม เรียงกันอยู่มองเห็นถนัดตา
“หลบลงข้างทางให้หมด ประเดี๋ยวเครื่องบินจะมาทำงาน”
ผมร้องตะโกนแข่งกับเสียงระเบิดขึ้นมาอย่างสุดเสียง พร้อมกับพุ่งพรวดเข้าไปหมอบอยู่ในร่อง ข้างๆขอบถนน พื้นดินรอบๆตัว
ผุ่นคลุ้งเป็นทาง เนื่องจากอำนาจของกระสุนปืนอาร์ก้าที่ยิงไล่หลังผมมาอย่างหวุดหวิด
ไม่ต้องรอให้ผมสั่งเป็นครั้งที่สองหรอกครับ ทั้งอาสาสมัครแม้ว ทั้งทหารรับจ้างที่หมุนคว้างอยู่บนถนนตาลีตาเหลือก กระโดดลงร่องขอบถนนจันเป็นจ้าละหวั่น
ทหารเวียดนามเหนือระดงยิงอาวุธทุกชนิดเข้าใส่พวกผมเป็นพายุบุแคม ตำบลกระสุนตกพุ่งเข้าหาบริเวณขอบถนนเป็นจุดเดียวกัน
จรวด RPG บางนัดพลาดจากขอบถนนแล้วหลุดลงไปในหุบลึกเบื้องล่าง เสียงระเบิดของมันสะท้อนกลับไปกลับมา ดังติดต่อกันเป็นเวลา ไม่น้อยกว่าสองนาทีขึ้นไป
“บิ๊กแมน จาก นอร์แมน T-28 สามเครื่องมาแล้ว...คุณติดต่อกับนักบินโดยตรงได้เลย”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของนอร์แมน ผมก็ได้ยินเสียงนักบินพูดสวนวิทยุเข้ามาอย่างร้อนรน
“บิ๊กแมน จาก T-28 โปรดโชว์ควันสัญญาณแสดงจุดที่ตั้งของคุณเดี๋ยวนี้”
ผมปลด “สโม๊ค” ออกมาจากสายรัดถึง 2 ชุด ถอดสลักนิรภัยข้วางมันขึ้นไปบนถนน
ควันสัญญาณสีเหลืองกับสีเขียว พุ่งขึ้นท้องฟ้าเป็นสาย ซึ่งพร้อมๆกันนั้น ผมก็มองเห็นเครื่องบิน T-28 ทั้งสามเครื่องลดเพดานบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือยอดเขา “ภูหินซับ” เสียงเครื่องยนต์แผดคำรามดังกึกก้องไปทั่วบนเขา
“บิ๊กแมน สีเหลืองกับสีเขียวของคุณใช่ใหม๊ พรรคพวก”
“โอเค แม่นแล้ว เพื่อนฝูง ช่วยจวกไอ้แกวที่อยู่บนยอดเขาให้ด้วยก็แล้วกัน”
ผมส่งวิทยุตอบนักบินออกไปพร้อมกับค่อยๆคลานขึ้นจากร่องขอบถนน แต่พอร่างของผมพ้นจากขอบถนนขึ้นมาครึ่งตัว อาร์ก้าซึ่งหยุดระดมยิงชั่วคราวก็กระหน่ำกระสุนเข้าใส่ผมอีกครั้ง
และครั้งนี้ แนวกระสุนเฉี่ยวสีข้างของผมจนร้อนฉ่า ผมหดตัวลงไปนอนนิ่ง ไม่กล้าที่จะโผล่ศรีษะขึ้นมาดูเหตุการณ์อีกต่อไป
T-28 สองเครื่องดิ่งลงมาเป็นมุม 45 องศา แล้วปล่อยระเบิดขนาด 250 ปอนด์ มองลงมาเห็นถนัดหูถนัดตา
ลูกระเบิดลอยละลิ่วลงมาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตา มันก็กระทบกับยอดภูหินซับ ด้วยความแม่นยำเหมือนกับผีจับยัด
ควันสีเทาอมดำ พวยพุ่งขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ตามติดๆด้วยปรกายไฟสว่างแว่บขึ้นมาสองดวงซ้อนๆกัน
บัดดลนั้นเอง ก้บังเกิดเสียงประหนึ่งอสุนียบาตฟาดเปรี้ยงลงบนยอดขุนเขา เศษดิน เศษหิน และเศษกิ่งไม้ที่ปลิวว่อนขึ้นมาคละคลุ้ง ทำให้ผมตรวจการณ์อะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ
พอควันจาง สิ่งแรกที่ผมมองเห็นก็คือ ส่วนหนึ่งของยอดเขาที่แหลมเป็นรูปฝาชีหลุดออกไปทั้งกระบิเหมือนโดนเฉือนด้วยของมีคม
ต้นไม้นานาชนิด ที่ขึ้นแออัดยัดเยียดบัดนี้เตียนโล่งเหมือนกับโดนไฟป่าเผาราบ
“ปร๊อด...ปร๊อด...ปร๊อดๆๆๆๆๆ”
เสียงระรัวเป็นประทัดแตกของปืนกลอาร์ก้าที่ยิงแบบ “ออโต” ครางระงมขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ แนวกระสุนพุ่งขึ้นหาเครื่องบิน T-28 เป็นจุดเดียวกัน
ความลืมตัวและความมัน ทำให้ผมคลานขึ้นมาอยู่บนนถนน แหงนหน้าดูความบ้าเลือดของทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งพากันออกจากที่กำบัง ยืนประทับปืนยิงต่อสู้เครื่องบินอย่างชนิดเลือดเข้าตา
□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 09:06  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19269

คำตอบที่ 28
       เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม ตอนที่ 7
เครืองบิน T-28 อีกเครื่อง ที่บินคุมเชิงอยู่ห่างๆ ดิ่งปร้าดลงมาจนแทบดูไม่ทัน
ลูกระเบิด 250 ปอนด์ ถูกกล่มซ้ำลงไปบนที่หมายเดิมอีกครั้ง
ควันยังไม่ทันจาง T-28 อีก 2 เครื่องก็ดิ่งลงมาเป็นระรอกที่ 3 ลูกระเบิดชุดสุดท้ายถูกปลดลงมาจากใต้ปีกทั้งสองข้างจนเกลี้ยงระวาง
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
เสียงสะท้อนกลับไปกลับมา จนผมประมานจำนวนลูกระเบิดไม่ถูกว่ามีกี่ลูกกันแน่ ต้องอาศัยแสงไฟ และกลุ่มควันที่พุ่งขึ้นมาตามจุดต่างๆเป็นเครื่องนับ
ต้นไม้และป่าเสือหมอบหายไปจากบริเวณเดิมเป็นแถบๆสีเขียวขจีของแมกไม้ เปลี่ยนเป็นสีหมากสุก พื้นดินถูกแรงระเบิดคุ้ยขึ้นมากระจุยกระจายไปทั่วบริเวณ
“บิ๊กแมน จาก T-28 พาทหารของคุณขึ้นมาเคลียร์พื้นที่ได้แล้วครับ”
“กรุณาเคลียร์พื้นที่ด้วยปืนกลอากาศให้ผมอีกครั้ง”
ผมตอบวิทยุขึ้นไป พร้อมกับหันไปสั่งให้ทหารรับจ้างขึ้นมาจัดรูปขบวนบนพื้นถนน
จากการสำรวจอย่างคร่าวๆ ทหารรับจ้างเสียชีวิตจากจรวด RPG และกระสุน ปรส. เป็นจำนวน 7 คน พอดี
สำหรับแม้วอาสาสมัคร ซวยอย่างมหาซวยเลยครับ นั่งอยู่ดีๆที่ขอบถนน จับพลัดจับผลูตายลงไปอีก 10 คนพอดิบพอดี
เสียงปืนกลอากาศขนาด .50 นิ้ว รัวเป็นข้าวตอกแตกอยู่เหนือภูหินซับ T-28 ทั้งสามครื่องโฉบลงมายิงในระยะไร่เรี่ยกับยอดไม้ เสียงหวีดหวิวของกระสุนที่แหวกอากาศดังครวญครางไม่ขาดระยะ
ไม่มีเสียงปืนโต้ตอบจากทหารเวียดนามเหนือแม้แต่นัดเดียว
เงียบ...เงียบเสียจนผมคิดว่า ขณะนี้พวกมันคงจะเสียชีวิตลงหมดสิ้นแล้ว
ชอปเปอร์ของนอร์แมน บินลงมารับเชลยศึกเวียดนามเหนือคนเดียวที่รอดชีวิตอยู่ แล้วบินกลับล่องแจ้งอย่างรวดเร็ว
ผมสั่งให้อาสาสมัครแม้วทั้งหมดจัดการกับศพพรรคพวกของเขาที่สูญเสียชีวิตจากการรบ ส่นทหารรับจ้างให้เคลื่อนที่ขึ้นยอดภูหินซับ เพื่อเคลียร์พื้นที่ต่อไป
T-28 เลิกระดมยิงปืนกลอากาศแล้วทั้ง 3 เครื่อง บินฉวัดเฉวียนคุ้มกันพวกผมในระยะต่ำ บางครั้งก็โฉบลงมาเหมือนกับจะทักทายทหารรับจ้างอยู่ในที
ไม่ถึง 20 นาที ผมก็พาทหารเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงยอด “ภูหินซับ” ซึ่งขณะนี้ พื้นถนนบริเวณดังกล่าวเป็นหลุมเป็นบ่อพรุนไปหมด เนื่องจากอำนาจระเบิดขนาด 250 ปอนด์
เนื่องจากเป็นส่วนที่สูงที่สุดของยอดเขา สองข้างทางจึงเป็นพื้นที่ราบเรียบปราศจากหุบเหว ศพของทหารเวียดนามเหนืออยู่ในสภาพที่เอน็จอนาถระเกะระกะอยู่ทั่วบริเวณ
ปืน ปรส.57 เก่าคร่ำคร่าปากกระบอกฉีกขาดจนอ้าบานเหมือนปากแตรวางทับอยู่บนขาข้างหนึ่งของที่ขาดออกมาจากร่างของทหารเวียดนามเหนือพอดิบพอดี
จรวดหัวปลีที่ยังเหลืออีก 10 ลูก “ปลอด” จากอำนาจระเบิดเหมือนกับปาฏิหารย์
ผมสั่งทหารรับจ้างยิง “M-72” เคลียร์พื้นที่ดังกล่าวอีกครั้ง ต่อจากนั้นก็กวาดซ้ำด้วยปืน M-16 ด้วยลักษณะการยิงระบบ “ออโต” อีกคนละแมกกาซีน ต่อจากนั้นก็เคลื่อนที่เข้าตรวจค้นพื้นที่ด้วยความระมัดระวัง
ทหารเวียดนามเหนือชุดสนับสนุนเสียชีวิต 12 คนพอดิบพอดี
11.00 น. ขบวนอาสาสมัครแม้วก็หามสพพวกที่สูญเสียชีวิตเดินขึ้นมาบนยอดภูหินซับ ในสภาพที่ผมมองดูแล้วหดหู่ใจเหลือประมาน
เพียงเพื่อจะพิสูจน์ว่าพวกเขาเหล่านั้นบริสุทธิ์ พวกเขาไม่รู้เห็นเป็นใจกับทหารเวียดนามเหนือกลุ่มนั้น
ชาวแม้วที่ไม่ค่อยจะประสีประสากับยุทธวิธีการรบก็อาจหาญเข้าบุกตลุยหน่วยแซปเปอร์เวียดนามเหนืออย่างชนิดเลือดทาแผ่นดิน
หัวหน้าชาวแม้วเสียชีวิตด้วยดาบปลายปืนอาร์ก้า และในขณะเดียวกันทหารเวียดนามเหนือผู้สังหารเขาก็โดนแทงสวนด้วยดาบคาร์บิน นอนกอดก่ายกันอย่างสมศักดิ์ศรีของชายชาตินักรบบนเส้นทางนรกแห่งนั้นนั่นเอง
ชอปเปอร์ทะยอยบินมารับศพทหารรับจ้างทั้ง 7 ศพไปล่องแจ้งในตรึ่งชั่วโมงต่อมา
12.30 น. ทหารรับจ้างและอาสาสมัครแม้วที่รอดชีวิตจากการต่อสู้ เคลื่อนที่ลงจากยอด “ภูหินซับ” มุ่งหน้าไปยังจุดพักแรม ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำงึม
ครอบครัวของแม้วอพยพออกมารอที่ปากทาง...ทุกคนพรูเข้ากอดศพคร่ำครวญปริ่มจะขาดใจ
เสียงร่ำไห้ฟังไม่ได้ศัพท์ ชาวแม้วทุกคนอพยพหนีความตายมาจากล่องแจ้ง จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็คือสนามบินนาซู ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำงึมเพียง 8 กิโลเมตรเท่านั้น
แต่ชาวแม้วผู้เคราะห์ร้ายกลุ่มนี้ก็หนีความตายไม่พ้น
ความโหดร้ายของสงครามดึงชีวิตที่น่าสงสารของพวกเขาเข้าไปพัวพันอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
เมื่อไม่มีทางหนี ไม่มีทางหลีกเลี่ยงก็ต้องสู้...สู้กันให้ยับไปข้างหนึ่ง เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
จากจำนวน 150 คน ที่อาจหาญเข้าตะลุยกับทหารเวียดนามเหนือ บัดนี้เหลืออยู่เพียง 40 คนเท่านั้น
อนิจจา ร้อยกว่าคนที่ต้องสังเวยความบ้าคลั่งของสงครามนอกแบบ ร้อยกว่าคนที่ต้องจบชีวิตลงเพราะน้ำมือของทหารเวียดนามเหนือ ร้อยกว่าคนที่ต้องสูญเสียลงไปเพียงเพื่อจะพิสูจน์ความจริงใจให้พวกผมเห็น
เออ! ความตายที่ไม่รู้จักจบสิ้น มันจะต้องตาย! ตาย! จนกระทั่งหมดแผ่นดินลาวเสียกระมัง
ณ ชายฝั่งแม่น้ำงึมอันสงบเงียบและวังเวง ร่างอันไร้วิญญาณของอาสาสมัครแม้วถูกฝังเรียงรายดูสุดลูกหูลุกตา
ทุกหลุมฝังศพมีรองเท้าของผู้ตายที่เคยสวมใส่ก่อนเสียชีวิตวางเอาไว้ที่บริเวณปลายเท้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ชั่วชีวิตเกิดมาด้วยความยากจนข้นแค้น ชาวแม้วมีชีวิตผ่านไปวันๆหนึ่งอย่างน่าสมเพช ความกันดารของภูมิประเทศ ทำให้พวกเขาต้องดิ้นรน ปากกัด ตีนถีบสุดชีวิต อาชีพหลักที่แน่นอนที่สุดก็คือการทำไร่ฝิ่น
ป่าทึบถูกถางเตียนโล่งเป็นแถบๆ ไร่ฝิ่นถูกปลูกขึ้นมาแทนที่ พอพื้นดินหมดปุ๋ยธรรมชาติ พวกแม้วเหล่านี้ก็จะเคลื่อนย้ายครอบครัวไปแสวงหาพื้นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์แห่งใหม่ต่อไปอีก
ชั่วชีวิตก็มีแต่การเดินทางอยู่ชั่วนาตาปี ฉนั้น “รองเท้า” คือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของพวกเขา ชาวแม้วมีความเชื่อว่า “ตายไปแล้วจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง” สิ่งที่ชาวแม้วกลัวนักกลัวหนาก็คือ กลัวว่าญาติพี่น้องของตัวเองที่ไปผุดไปเกิดใหม่จะไม่มีรองเท้าใส่ ก็เลยจัดหารองเท้าเตรียมเอาไว้ให้พร้อมเสร็จเสียเลย
ผมยืนเหม่อมองดูหลุมฝังศพอย่างเลื่อนลอย เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความหรรษา เสียงเพลงไทยและแม้วขับกล่อมเจื้อยแจ้วไพเราะเพราะพริ้ง สร้างความประทับใจ ไม่มีวันลบเลือน
“ถึงแม้พี่ข้าจะอยู่แห่งหนตำบลไหน
ถึงแม้พี่ข้าจะอยู่อยู่บนท้องฟ้านภาลัย
ถึงอยู่ต่ำลงไปยังนรกซึ่งหมกดิน
ข้าก็ไม่สิ้นความรักซึ่งปักใจ”
ข้าจะรอ! ข้าจะรอ! รอจนชั่วฟ้าดินสลาย
บทเพลงแม้วที่แสนจะอ่อนหวาน และกินใจแว่วกังวาฬขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียง “ซึง” บรรเลงคลอตามเหมือนอย่างเคย เสียงที่แทรกซ้อนขึ้นมาเป็น เสียงที่แทรกซ้อนขึ้นมาเป็นเสียงสะอื้น ร่ำไห้อย่างน่าเวทนาของสาวแม้ว ผู้สูญเสียคนรัก
ผมหันหลังกลับไปช้าๆ ภาพทีปรากฏอยู่เบื้องหลัง ณ บริเวณหลุมฝังศพหลุมหนึ่ง สาวแม้วหน้าตาเศร้าสร้อย แต่ทว่ายังมีร่องรอยแห่งความงามพอที่จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน นั่งพับเพียบร้องเพลงขึ้นมาด้วยเสียงที่บาดจิดบาดใจ ห่างออกไปเล็กน้อย กลุ่มคนชรา 3-4 ร้องไห้กระซิกๆ ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ไม่มีรองเท้าวางอยู่ ณ บริเวณหลุมฝังศพเหมือนกับคนอื่นๆ ผมเดินช้าๆ ผ่านกลุ่มสาวแม้วออกไปยังกลุ่มทหารรับจ้างที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอย่างมีรสชาด
“ใครมีรองเท้าเหลือบ้างครับ ผมขอซื้อสักครู่นึง”
ทหารทุกคนมองหน้าผมแล้วเปลี่ยนสายตาลงไปมองที่รองเท้าคอมแบทหนาเตอะของผมด้วยสายตาที่เป็นเครื่องหมายคำถาม?
“ผมมีอยู่คู่นึง เพิ่งจะถอดออกมาจากสพของทหารเวียดนามเหนือ ผมเห็นว่ามันสวยดี สงสัยว่าจะเป็นรองเท้าจีนแดง บิ๊กแมนจะเอาไปทำไมครับ”
ทหารรับจ้างคนหนึ่งพูดพรางส่งรองเท้าหนังสีดำยาวครึ่งแข้งมาให้ผมด้วยท่าทางที่แสดงออกถึงความเต็มใจ
ผมไม่ตอบ... ล้วงกระเป๋าหยิบดอลล่าร์ชนิดใบละ 5 ดอลล์ยัดลงไปในกำมือของทหารรับจ้างผู้นั้น แล้วหิ้วรองเท้าเดินลิ่วกลับไปยังหลุมฝังศพดังกล่าวอีกครั้ง
ผมเดินเข้าไปยืนอยู่หน้าหลุมฝังศพแล้วค่อยๆวางรองเท้าลงที่บริเวณปลายหลุมถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง ยกมือขวาขึ้นแตะขอบหมวกเบเรต์สีแดง กระทำความเคารพอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเป็นครั้งแรก
กลุ่มญาติของผู้ตายทั้งหมดลุกขึ้นยืนพร้อมกันเหมือนกับนัดกันเอาไว้ สาวแม้วที่ร้องเพลงโผเข้ามากอดเอวผมเอาไว้แน่น ร่ำไห้กลิ้งเกลือกใบหน้าลงกับทรวงอกของผมด้วยกริยาปริ่มว่าจะขาดใจตายตามคนรักของเธอไปด้วย
เสียงหึ่งๆของขบวนชอปเปอร์ที่บินเกาะกลุ่มกันอยู่เหนือภูหินซับ ทำให้ผมต้องผละออกมาจากบริเวณหลุมฝังสพอย่างรวดเร็ว
ชอปเปอร์ 4 ตัว บินวนเวียนอยู่เหนือชายฝั่งแม่น้ำงึมอยู่ชั่วครู่ก็ค่อยๆหย่อนตัวลงมาแตะพื้น
ทหารรับจ้างอาวุธพร้อมทะยอยกระโดดลงมาจากห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว
ชอปเปอร์ดึงตัวขึ้นจากลานจอด อีกสามเครื่องที่บินวนเวียนอยู่ก็ทะยอยบินลงมาเป็นระยะๆ แต่ละเครื่องบรรทุกทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ 6 คนพอดิบพอดี
ทหารรับจ้างผอมสูงท่าทางเอาเรื่อง เดินเข้ามาหาผม เขาเปิดปากยิ้มด้วยท่าทางเป็นกันเอง พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาด้วยสำเนียงเรียบๆเป็นการแนะนำตัวเอง
“ผม สรศักดิ์ พุทรา ผบ.หมวด 5 กองร้อยที่ 2 BC.616 คำสั่งกองสิงห์อยู่ในนี้ครับ”
ในขณะที่พูด ผบ.หมวด 5 ก็ยื่นซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่มาให้ผม
ผมนึกออกแล้วครับ “จสอ.สรศักดิ์ พุทรา” ยอดนักรบเลือดทหารม้าใจถึงที่ผมเคยได้ยินกองสิงห์กล่าวขวัญถึงบ่อยๆ ในขณะที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่บนเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” นั่นเอง
สรศักดิ์ ตั้งฐานอยู่ที่ “ชาร์ลี-เอ็คโค่-วัน” กับทหารรับจ้างอีก 1 หมวด ในขณะที่กองพัน 616 โดนเข้าตีระลอกแล้วระลอกเล่า สรศักดิ์ได้สนับสนุนกองพันของเขาด้วยอาวุธหนักทุกชนิดอย่างเต็มความสามารถ จนกระทั่งได้รับคำสั่งให้ถอนตัว
BC.616 ถอนตัวลงมายังฐาน “แทงโก้-วิคเตอร์” ส่วนสรศักดิ์ พุทรา พาทหารทั้งหมดเดินตบเท้าไปยังเมืองล่องแจ้งซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 8 กิโลเมตรอย่างสบายอารมณ์
ผมฉีกซองเอกสารออกมาด้วยความใจร้อน




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 09:18  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19270

คำตอบที่ 29
       เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม ตอนที่ 8
มันเป็นคำสั่งจากนอร์แมนที่สั่งผ่านกองสิงห์ ผบ.พัน กองพัน 616 มาถึงผมโดยเฉพาะ
มันเป็นแผนปฏิบัติการยุทธที่มีความลับสุดยอดจนกระทั่งส่งข่าวทางวิทยุไม่ได้
“นอร์แมน” รีดข่าวได้จากเชลยศึกทหารเวียดนามเหนือ ความลับต่างๆที่พวกมันกำลังดำเนินการปฏิบัติตามแผนของหน่วยเหนือถูกสารภาพออกมาจนหมดสิ้นด้วยอำนาจของยาฉีดชนิดพิเศษ
ทหารเวียดนามเหนือ 15 คน กำลังวางแผนเข้าวินาศกรรมสนามบินนาซู
และขณะนี้ตำแหน่งที่อยู่ของทหารเวียดนามเหนือชุดดังกล่าวก็กำลังซุกซ่อนอยู่ภายในป่าทึบห่างจากแม่น้ำงึมออกไปประมาน 4 กิโลเท่านั้น
นอร์แมนมอบหน้าที่ให้ผมและทหารรับจ้างที่มาเสริมกำลังทั้งหมดเคลื่อนที่ข้ามแม่น้ำงึมมุ่งหน้าขึ้นไปสนามบินนาซูในเวลา 14.30 เพื่อปฏิบัติตามแผน “ซีโร่”
ท้ายสุดของเอกสาร นอร์แมนสั่งให้ผมไปสำรวจแม่น้ำงึมตรงพิกัดที่ 647345 ว่า “สะพานลับ” ของซีไอเอ ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้หรือไม่ ถ้าใช้งานได้ให้ข้ามแม่น้ำงึมด้วยสะพานดังกล่าวนี้ ต่อจากนั้นให้ทำลายสะพานด้วยระเบิดเวลาชนิดถ่วงชนวน 5 ชั่วโมง ระเบิดเวลาชนิดพิเศษอยู่ที่ ผบ.หมวด 5 เมื่อเข้าใจแผนการปฏิบัติการโดยตลอดแล้วให้ทำลายเอกสารดังกล่าวนี้ทันที...แถมท้ายด้วยการสั่งจ่าย “โอเวอร์ไทม์” ให้กับผมเป็นพิเศษเป็นพิเศษ 1500 ดอลล่าร์
แผนการของนอร์แมนเสมือนหนึ่งจะเตรียมทิ้งเมืองล่องแจ้งอยู่ในที คำสั่งให้ทำลายสะพานลับเหมือนกับจะป้องกันการติดตามของทหารเวียดนามเหนือในขณะทิ้งเมือง
จากแผนปฏิบัติการยุทธดังกล่าว นอร์แมนมีความประสงค์จะใช้ผมนำกำลังเคลียร์เส้นทางก่อนจะถึงสนามบินนาซูนั่นเอง
ไม่มีคำสั่งเรื่องแม้วอพยพแต่อย่างใด เรื่องทั้งเรื่องมันก็ต้องเป็นภาระที่ผมจะต้องนำชาวแม้วเหล่านี้เดินทางไปสนามบินนาซูอีกเช่นเคย
สำหรับชาวแม้วไม่ได้เป็นภาระมากมายนัก ทุกคนเป็นนักเดินทางที่ทรหดอย่างหาตัวจับได้ยาก เส้นทางวกวนบนยอดเขาทหารรับจ้างบางคนเดินไม่ไหว ต้องนั่งพักเป็นระยะๆ ด้วยท่าทางที่อ่อนเปลี้ย แต่สำหรับชาวแม้วไม่ว่าเด็ก สตรี หรือคนชราพากันสะพายกระชุเดินตัวปลิว ด้วยอากัปกริยาเหมือนกับไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยใดๆทั้งสิ้น
ผมกับ สรศักดิ์และ สอ.แพง แสงทอง (ขระนี้เสียชีวิตแล้วเนื่องจากการต่อสู้รบครั้งสำคัญในสมรภูมิทุ่งไหหิน) ออกสำรวจแม่น้ำงึมตามคำสั่งของนอร์แมนทันที
จากพิกัดที่ 647345 ถ้าผมอ่านพิกัดในแผนที่ไม่ผิดพลาด ขณะนี้ผมยืนอยู่ชายฝั่งในจุดดังกล่าวพอดิบพอดี
ไม่มีสะพานปรากฏให้เห็นแม้แต่นิดเดียวทั่วทั้งแม่น้ำงึมที่กว้างเกือบ 50 เมตร ว่างเปล่ามองดูเวิ้งว้าง
“สะพานลับส้นตีนอะไรของมันวะ ไอ้ห่า ซี.ไอ.เอ. หลอกให้กูว่ายน้ำข้ามเสียก็ไม่รู้ ฉิบหายหนาวๆแบบนี้ ขืนลงน้ำตะคิวแดกกูแน่ๆ”
สรศักดิ์ พุทรา ผบ.หมวดจอมสุราเลือดทหารม้าบ่นพึมพำพร้อมกับยืนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือด้วยท่าทางฉุนเฉียว
กิ่งไม้กระทบกับวัตถุเนื้อแข็งชนิดหนึ่งในแม่น้ำเสียงดังพิกล
ผมนึกเอะใจขึ้นมาเลยก้าวเท้าลงไปเหยียบดูที่ชายตลิ่ง
อา! สะพานลับของซี.ไอ.เอ. อยู่นี่เอง จากใต้ผิวน้ำลงไปประมาน 1 ฟุต สะพานไม้เนื้อแข็งถูกสร้างเอาใว้อย่างมิดชิด เมื่อผมและ ผบ.หมวด 5 ลองเดินสำรวจดูก็สามารถเคลื่อนที่ข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้อย่างสบาย
ผมนึกศรัทธาความสามารถของ ซี.ไอ.เอ. ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ให้ตายซีครับ ถ้าไม่รู้ล่วงหน้า ผมจะไม่มีวันทราบอย่างเด็ดขาดว่าสะพานลับแห่งนี้อยู่ ณ จุดไหนของแม่น้ำงึมกันแน่ นอกจากจะเป็นการฟลุ๊คหรือว่าบังเอิญจริงๆเท่านั้น
สะพานกว้างประมาน 4 เมตร ยาวเป็นเส้นตรงแน๋ว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุผมได้ทำเครื่องหมายระหว่างชายฝั่งทั้งสองข้างเอาไว้อย่างเรียบร้อย ด้วยการปักเสาไม้เอาใว้ในตำแหน่งกึ่งกลางของสะพาน
ทหารรับจ้างและชาวแม้วที่ได้รับคำสั่งจากผมให้ข้ามลำน้ำมีท่าทางสงสัยเอามากๆ ชาวแม้วนี่เป็นศัตรูอย่างร้ายกาจกับน้ำ ถึงกับปฏิเสธ เอาอย่างดื้อๆ ถึงแม้ผมจะยืนยันว่ามีสะพาน พวกเขาเหล่านี้ก็ทำท่าทางไม่เชื่อจนสังเกตุได้ชัด
ฮืท่อ อย่าว่าแต่พวกแม้วเลยครับ ทหารรับจ้างบางคนก็เถอะน่า เริ่มมองผมด้วยสายตาพิกลเข้าให้แล้ว
ขบวนทหารรับจ้างและแม้วอพยพยืนนิ่งอยู่ ณ บริเวณจุดพิกัดที่ 647345 แทบทุกคนยื่นหน้าออกมามองดูผมสลอนเหมือนกับว่า ผมเป็นสัตว์ประหลาด
สรศักด์ พุทรา หัวเราะก๊ากออกมาแล้วตรงเข้ามากระซิบกับผมเบาๆ
“เฉยๆ บีกแมน ผมจะเล่นละครให้พวกแม้วมันดูเอง ไอ้พวกห่านี่ เชื่อถือสิ่งศักสิทธิ์และอภินิหารอย่างฝังจิตฝังใจ คุณคอยระเบิดสะพานกับหมู่แฟงก็แล้วกัน ผมจะนำพวกนี้ไปเอง
จ่าสรศักดิ์คงจะฟัด “แม่โขง” เข้าไปอย่างได้ที่ ผมเห็นเขาออกมายืนอยู่หน้าแถว แหงนขึ้นไปมองดูพระอาทิตย์ กางแขนทั้งสองข้างแล้วเหยียดขึ้นเหนือศรีษะพร้อมกับร้องตะโกนขึ้นเป็นภาษาแม้วอย่างช้าๆ ด้วยท่วงทำนองและ “มาด” ที่เหมือนกับหมอผีในภาพยนต์บางเรื่อง
ข้าคือหมอผีจากขุมนรก ข้าคือหมอผีที่มีวาจาสิทธิ์ วีรกรรมของทหารรับจ้างและอาสาสมัครชาวแม้ว ที่ได้กระทำการลงไปแล้ว ได้ดลบันดาลให้บังเกิดสะพานอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้น พวกเจ้าจงตามข้ามา จงตามข้ามา ตามมาติดๆ อย่าเหลียวหลังเป็นอันขาด แล้วพวกเจ้าจะปลอดภัย”
จ่าสรศักดิ์ เดินท่อมๆลงไปในแม่น้ำ ร่างของเขาเดินบนผิวน้ำเหมือนกับปาฏิหารย์ ท่ามกลางความตื่นตลึงของผู้ไม่รู้เหตุการณ์อันแท้จริง
“ลงมาซีโว้ย หมอผีหนาวส้นตีนจะตายห่าอยู่แล้ว ข้ามมาเร็วๆ เข้าไอ้หอก สะพานศักดิ์สิทธิ์ห่าเหวอะไรก็ข้ามมาเถอะ”
ทหารรับจ้างบางคน ซึ่งรู้ความลับหัวเราะออกมาครืนใหญ่อย่างพออกพอใจในความกะล่อนของ ผบ.หมวดอารมณ์ดีคนนั้น
การข้ามสะพานใต้น้ำได้ดำเนินไปอย่างทุลักทุเลพอสมควร ตะไคร่น้ำจับพื้นสะพานหนาเตอะทำให้สะพานลื่น แต่ละก้าวแต่ละตอนต้องคอยพยุงกันอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีชาวแม้วลื่นตกน้ำกันเป็นทิวแถว เสียงหัวเราะดังประสานกันด้วยความขบขันไม่ขาดระยะ
ผมเดินถือระเบิดเวลาอยู่ท้ายขบวน สายตาทั้งคู่สอดส่ายหาตำแหน่งที่จะวางระเบิดด้วยความพินิจพิจารณา
ความคิดในใจที่พุ่งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็คือ มีความเสียดายต่อสะพานใต้น้ำนี้อย่างสุดซึ้ง
ซี.ไอ.เอ. จะต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างสะพานลับแห่งนี้ หลายต่อหลายครั้งที่ผมเกือบจะเปลี่ยนความคิดเลิกทำลายสะพานลับแห่งนี้เสีย โดยอ้างว่าระเบิดไม่ทำงาน
ผมอาจจะไม่รู้ถึงแผนการณ์ที่ยอกย้อนของนอร์แมน “เสนาธิการ” เจ้าเล่ห์ แห่ง ซี.ไอ.เอ. ที่วางเอาไว้ดีนักเขาอาจจะคิดบวกลบผลได้ผลเสียกับแผนการของเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้วก็อาจจะเป็นได้
ผมตัดสินใจทำตามคำสั่งของหน่วยเหนืออย่างเคร่งครัด เลือกกึ่งกลางของสะพานเป็นจุดวางระเบิดทันที
ด้วยระบบลูกยางสูญญากาศ ตัวระเบิดซึ่งอยู่ในกล่อง “ไฟเบอร์” กันน้ำถูกลมดูดติดกับพื้นสะพานด้านข้างอย่างแนบเนียน
กรรมวิธีก็ไม่มีอะไรมากนัก จากสมุดคู่มือการใช้ ผมเพียงแต่กดปุ่มให้นาฬิกาของระเบิดมันทำงานเท่านั้น
เสียงติ๊กๆ ของนาฬิกาดังขึ้นมาเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอกัน เสียงของมันดังก้องอยู่ในโสตรประสาทของผมอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ขณะเดินท่อมๆอยู่บนผิวสะพานในขณะข้ามแม่น้ำงึม เสียงของมันก็คล้ายๆกับจะติดตามจังหวะการเดินของผมอยู่เมอ
อีก 5 ชั่วโมง ระเบิดเวลาจะทำงาน อา...สะพานใต้น้ำของ ซี.ไอ.เอ. ที่ผมประเมินราคาไม่ถูกจะถึงกาลพินาศด้วยน้ำมือของผมเชียวหรือนี่...
□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 09:32  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19271

คำตอบที่ 30
       ชุมทางคนกล้าตาย
คำนำ
จากสยุมภู ทศพล ถึงท่านผู้อ่านที่เคารพ
ผมมีความจำเป็นต้องขออภัยผู้ที่มีชื่อเกี่ยวข้องอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นกองสิงห์ รท. ปิ่นพันธ์ (วิเศษ) หรือทหารรับจ้างบางคนซึ่งเคยออกปฏิบัติการร่วมกับผมในแผนการรบที่นองเลือดครั้งนั้น
มันเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่ผมต้องทำเช่นนั้น ผมไม่มีทางดัดแปลงแก้ไขชื่อบุคคลสถานที่ - ที่เกิดเหตุให้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงได้...เรื่องทุกชุดของผมเป็นเรื่องจริง! ฉะนั้น ผมจะต้องยึด เอกลักษณ์ อันนี้ไว้เป็นบรรทัดฐานในการเขียนเรื่องของผมต่อไป..
นี่คือเหตุผลของคนเขียนหนังสือที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยที่ไม่รู้วันตายของตัวเอง
สยุมภู ทศพล

ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 1/11
เสียงติ๊กๆของนาฬิกาดังขึ้นมาเบาๆสม่ำเสมอกัน...เสียงของมันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผมอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในขณะเดินท่อมๆอยู่บนผิวสะพานในขณะข้ามแม่น้ำงึม เสียงของมันคล้ายๆกับจะติดตามจังหวะการเดินของผมอยู่เสมอ
อีก 5 ชั่วโมงระเบิดเวลาจะทำงาน อา...สะพานใต้น้ำของ ซี.ไอ.เอ. ที่ผมประเมินราคาไม่ถูกจะถึงกาลพินาศด้วยน้ำมือของผมเชียวหรือนี่
กำลังพล 24 คนจากหมวดที่ 5 กองร้อย 2 ของกองพัน 616 ที่มาเสริมกำลังใหม่ พรั่งพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน
“M-72” หรือจรวดแมกนีโตรวมทั้งสิ้น 96 กระบอก
ปืนกลเบา “M-60” 1 กระบอกพร้อมด้วยกระสุน 10 หีบ
นอกจากนั้นก็มีวิทยุสนาม และ “PRC-77” ครบถ้วนตามอัตรากำลังพลระดับกองร้อยทหารราบทุกประการ
หลังจากเสียเวลาในการข้ามสะพานใต้น้ำเกือบ 45 นาที พวกผมก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกเดินทางในลักษณะแถวตอนเรียงสอง
ทหารรับจ้าง 6 คน ซึ่งทำหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วพร้อมด้วยวิทุที่เพิ่งจะได้รับการเบิกทดแทนมาอย่างสดๆร้อนๆ
สองข้างทางของส้นทางหรือบริเวณพื้นที่-ที่ต้องสงสัยถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
สองชั่วโมงให้หลัง ทหารชุดลาดตระเวนก็ค้นพบร่งรอยของข้าศึกในบริเวณหุบร่องน้ำใกล้ๆกับเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง
ชุดลาดตระเวณส่งรหัสวิทยุให้ผมขึ้นไปสมทบ...
ผมกับจ่าสรศักดิ์ และทหารคุ้มกันอีก 3 คน เร่งฝีเท้าขึ้นไปสมทบชุดลาดตระเวณใน 20 นาทีต่อมา
ทหารรับจ้างและแม้วอพยพหยุดพักประจำชั่วโมงบนเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง
อาหารเย็นจากห่อเรชั่นถูกประกอบขึ้นมาด้วยความเอร็ดอร่อยเป็นมื้อแรก แกงส้ม...แกงจืดเห็ดหูหนูสำเร็จรูปถูกปรุงขึ้นมาใหม่ด้วยฝีมือของพ่อครัวจำเป็น กองไฟหลายสิบกองถูกจุดขึ้นมา เพื่อหุงหาอาหาร ควันไฟลอยคละคลุ้งมองเห็นในระยะเป็นสิบๆกิโลเมตร
ในบริเวณหุบร่องน้ำที่อยู่ต่ำจากขอบถนนลงไปในป่าค่อนข้างทึบเบื้องล่าง รอยเท้าของมนุษย์ปรากฏอยู่บนพื้นทรายมองเห็นเป็นทางยาว ทหารรับจ้างชุดลาดตระเวณคุกเข่าลงพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ก็หันมากระซิบกับผมพร้อมกับสอดสายตามองไปรอบๆบริเวณป่าทึบอย่างระมัดระวัง
“รอยเท้าของไอ้แกว...จำนวนกำลังพลไม่น้อยกว่าสี่คนขึ้นไป ลักษณะของรอยเท้ามุ่งทิศทางไปทางเดียวกับพวกเรา รอยเท้าค่อนข้างใหม่ ผมคิดว่าคงจะเป็นชุดลาดตระเวนของพวกมัน ซึ่งคงจะล่วงหน้าไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย”
ผมขยับไปคุกเข่าแล้วก้มลงไปพิจารณารอยเท้าที่มองเห็นชัดเจน จนผิดสังเกตนั้นด้วยความเคลือบแคลงใจ
มันชัดเจนเหมือนกับพวกมันมีเจตนาที่จะสร้างรอยเท้าให้พวกเราตรวจการณ์พบยังไงยังงั้น..
จากประสพการณ์ที่ผมเคยห้ำหั่นกับพวกมันมาอย่างชนิดท่วมเลือด ทำให้ผมไม่กล้าพอที่จะวินิจฉัยรอยเท้าของพวกมันได้อย่างง่ายๆ พอผมสังเกตุดูชั่วอึดใจก็พบสิ่งผิดปกติบนรอยเท้าของมันเข้าอย่างบังเอิญ
รอยเท้าทุกรอย ปรากฏว่า ตรงบริเวณส้นเท้าปรากฏรอยบุ๋มลึก อันเนื่องจากถูกน้ำหนักตัวกดลงไปมากกว่าส่วนอื่น
ส่วนบริเวณปลายนิ้วเท้า รอยจางหายไป จนสังเกตเห็นความแตกต่างได้ชัด
มันเป็นลักษณะที่ผิดแปลกไปจากลักษณะการเดินตามปกติอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งตามปกติแล้ว คนเราเวลาเดินไปข้างหน้า น้ำหนักตัวจะต้องกดลงที่บริเวณปลายเท้า ร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้ จะต้องมองเห็นรอยลึกหรือรอยบุ๋มบริเวณปลายนิ้วเท้าอย่างชัดเจน
ซึ่งตามปกติแล้วคนเรา เวลาเดินไปข้างหน้า น้ำหนักตัวจะต้องกดลงที่บริเวณปลายเท้า ร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้จะต้องมองเห็นรอยลึกหรือรอยบุ๋มบริเวณปลายเท้าอย่างถนัดชัดเจน
แต่จากร่องรอยดังกล่าว ผมสรุปในทฤษฎีของผมได้ในทันที
“ไอ้แกว” เล่นลูกไม้ต้มชุดลาดตระเวณของผมด้วยการ “เดินถอยหลัง” เข้าให้แล้ว พวกมันเจตนาที่จะสร้างรอยเท้าเอาไว้ เพียงเพื่อจะอำพรางทิศทางการเคลื่อนที่ของพวกมันอยู่ในที...
ทุกคนในชุดลาดตระเวณลงความเห็นว่าทหารเวียดนามเหนือเคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกับพวกเรา
ผมคนเดียว ยืนยันว่า ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือย้อนตลบหลังเข้ามาเกาะขบวนของพวกเราเสียแล้ว ขณะนี้ ถ้าผมเดาไม่ผิด ขบวนทหารรับจ้างและแม้วอพยพตกอยู่ในสายตาของพวกมันอย่างสิ้นเชิง...
เวลาและโอกาสเท่านั้นที่พวกมันคอยจ้องที่จะถล่มพวกเรา เป็นการแก้แค้นอยู่ทุกขณะ
ทหารทุกคนเริ่มคล้อยตามเหตุผลของผม และแล้วแผยการ “ลวง” ทหารเวียดนามเหนือจากสมองชุ่ยๆของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ผมกำชับชุดลาดตระเวณให้รักษาความลับในการที่พบสิ่งผิดปกติของทหารเวียดนามเหนืออย่างเคร่งครัด
ต่อจากนั้นผมออกคำสั่งให้ชาวแม้วทั้งหมดเคลื่อนที่ออกไปยังถนนหักมุมข้อศอกเบื้องหน้า ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ผมกำลังพักรับประทานอาหารเย็นประมานหนึ่งกิโลเมตร และกำชับให้ชาวแม้วพักแรมคืน ณ บริเวณดังกล่าว
ก่อนตะวันตกดิน ผมสั่งให้ทหารรับจ้างทุกคนสร้างเต้นท์สนามด้วยผ้ากันฝน “ปันโจ” เรียงรายกันเป็นพรืดอยู่บนถนน
กองไฟถูกจุดขึ้นมาหยั่งกับมีการเฉลิมฉลอง เสียงทหารรับจ้างคุยกันเอ็ดตระโรได้ยินไปไกลเกือบ 500 เมตร
ตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว บรรยากาศรอบด้านมัวซัวอย่างรวดเร็ว จั๊กจั่น แมลงกลางคืนขยับปีกกรีดสำเนียงกังวานไปทั่วพงไพร
ไฟที่ทหารรับจ้างเจตนาจุดเอาไว้สว่างโพลนอยูท่ามกลางความมืด
จากลักษณะดังกล่าว ถ้าเป็นผมเป็นชุดลาดตระเวณของทหารเวียตนามเหนือ ผมจะต้องเข้าใจว่าขบวนเดินทางชุดนี้จะต้อวพักแรมคืนอยู่ ณ บริเวณดังกล่าวอย่างแน่นอน
19.00 น. ท่ามกลางความมืดสลัวของบรรยากาศรอบด้าน ทหารรับจ้างคืบคลานลงข้างทางอย่างเงียบเชียบ แล้วค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นไปวางแนวอยู่บนสันเนิน ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากที่พักแรมเกือบ 50 เมตร
หนึ่งชั่วโมงเต็มๆที่พวกผมปีนเขาขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง แต่ละก้าวแต่ละคืบเต็มไปด้วยความลำบากแทบเลือดตากระเด็น
จากระยะทางบนแผนที่เหลืออีกประมาน 5 ก.ม. ก็จะถึงสนามบินนาซู
ระยะขนาดนี้ถ้าพวกผมออกเดินทางรวดเดียวในตอนกลางคืนด้วยอัตราการเดินทางตามปกติ ไม่กี่ชั่วโมงผมก็เข้าถึงชานเมืองนาซูได้อย่างสบาย
การเดินทางเข้าสู่นาซูในเวลากลางคืน อันตรายอันดับแรกก็คือการเข้าใจผิดระหว่างยามรักษาการณ์กับทหารของผม อันดับต่อไปก็ทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งเกาะหลังทหารของพวกผมมาติดๆอาจจะสวมรอยปะปนเล็ดรอดเข้าไปในสนามบินก็ได้
ผมไม่แน่ใจตัวเองพุ่งขึ้นมาในห้วงคิด... ความเชื่อมั่นในทฤษฎีเริ่มบังเกิดความลังเลใจ
อา...ทฤษฎีของผมจะถูกต้องไหมหนอ หรือว่าเหตุผลของทหารรับจ้างชุดลาดตระเวณ เป็นฝ่ายถูกต้องที่แท้จริง
ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือชุดนั้นคงจะเดินอกตั้งเคลื่อนที่เข้าไปซุกซ่อนอยู่ในเมืองนาซูเรียบร้อยแล้วละกระมัง?
บางทีความเชื่อมั่นตัวเองเกินไปของผู้บังคับบัญชาก็อาจจะพาทหารไปพบกับความวิบัติอันใหญ่หลวง ซึ่งคาดไม่ถึงก็อาจจะเป็นได้
ผมกัดฟันสลัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง ยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นมาดู 23.30 น. พอดิบพอดี...
แสงไฟจากที่พักแรมของผมสิ้นแสงไปตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทหารรับจ้างที่อยู่ใกล้ๆกับผมฟุบหน้าลงกับพื้นทำเสียงอึกอักอยู่ชั่วครู่ก็จามออกมาเต็มแรง
ในเวลาเดียวกันนั่นเองก็ปรากฏแสงสว่างแวบขึ้นมาสองจุดซ้อนๆ ทางเบื้องหน้าของผมเหนือจุดพักแรมขึ้นไปประมาน 50 เมตร แสงสว่างเหมือนกับผีพุ่งไต้วิ่งออกจากพื้นที่ดังกล่าวตรงลงมายังจุดพักแรมของผมด้วยความเร็วจนดูแทบไม่ทัน
“แว้ด...บึ้ม”
“แว้ด...บึ้ม”
จรวดอาร์พีจี 2 นัดซ้อนๆ ถล่มลงไปในจุดพักแรมของผมเกือบจะพร้อมๆกัน
เสียงระเบิดอันรุนแรง กลบเสียงจามของทหารรับจ้างไปโดยสิ้นเชิง
จากแสงไฟที่เกิดขึ้นจากอำนาจระเบิดทำให้เต๊นท์สนามที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวๆอยู่นั้นหลุดลอยขึ้นจากพื้นถนนเหมือนกับโดนพายุหมุน มันกระเด็นคว้างอยู่ชั่วครู่ก้ปลิวแวบลงไปข้างๆทาง
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
คราวนี้ไม่ใช่อำนาจระเบิดจากฝีมือข้าศึกของข้าศึกหรอกครับ เสียงระเบิดที่กระหึ่มขึ้นมาในขณะที่เต๊นท์สนามถอนรากถอนโคลนหลุดปลิวออกไปนั้นมันได้ดึงเอาลูกระเบิด “M-26” ที่พวกผมถอดสลักนิรภัยออกเรียบร้อยแล้ว หลุดปลิวตามออกไปด้วย
ด้วยกรรมวิธีอย่างง่ายๆ ที่ทำให้แผน “ลวง” ของผมสมบทสมผลยิ่งขึ้น... ผมสั่งให้ทหารรับจ้างถอดสลักนิรภัยลูกระเบิดออกแล้วหาวัตถุหนักพอสมควรทับลูกระเบิดเอาไว้
แรงระเบิดของจรวด “อาร์พีจี” ผลักดันวัตถุที่วางทับ “M-26” หลุดออกไป ลูกระเบิดจึงทำงาน เสียงระเบิดแทรกซ้อนขึ้นมาย่อมทำให้ทหารเวียดนามเหนือคาดว่าการยิงของเขาคงจะได้ผล วัตถุระเบิดทุกชนิดของพวกเรา คงจะโดนทำลายลงหมดสิ้นแล้ว
“ปึงๆๆๆๆๆๆ...ปึงๆๆๆๆๆๆ...ปึงๆๆๆๆๆ”
ปืนกลหนักชนิดหนึ่ง ยิงระรัวเป็นจังหวะจะโคนด้วยช่วงการยิงครั้งละ 5 นัดครางระงมอยู่เหนือแนวขึ้นไปข้างบน
กระสุนส่องแสงสีเขียวเข้มพรุ่งปร๊าดผ่านศรีษะผมลงไปเบื้องล่างเป็นสาย
อา ทหารเวียดนามเหนือแอบเข้ามาตั้งรังปืนกลหนักอยู่บนศรีษะของพวกเรานี่เอง
ความมืดและการระมัดระวังในขณะเคลื่อนที่ ทำให้พวกผม “ปลอด” จากสายตาของพวกมันไปอย่างหวุดหวิดเต็มที
จากสภาพของเหตุการณ์ที่ผมมองเห็น ถ้าพวกผมไม่ล่วงรู้แผนการของพวกมันมาก่อน เชื่อขนมแกวกินก่อนก็ได้ว่าในคืนนี้พวกผมจะต้องแหลกรานไม่มีชิ้นดีเลยทีเดียว
ทหารเวียดนามเหนือตั้งอาวุธหนักเป็นสามจุดในลักษณะแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ที่เห็นมุมแหลมเข้าหาแนวของผม ส่วนอีกสองจุดอยู่เยื้องออกไปยังฟากถนนเบื้องหน้า
ด้วยลักษณะการยิงประสานกันลงมาจากเบื้องสูงเช่นนี้...แล้วมันจะมีอะไรเหลือ เสียงจรวดอาร์พีจี...ปืนกลหนัก...ลูกระเบิด เอ็ม-26 ปืนอาร์ก้า แผดเสียงครางระงมประสานกันขึ้นมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ เต๊นท์สนามกระจุยกระจายราบเป็นหน้ากลอง
ความลำพองใจที่พวกมันยิงถล่มจุดพักแรมของพวกเราแหลกราน ทำให้พวกมันลืมสิ่งหนึ่งไปอย่างถนัดใจ
พวกมันลืมคิดไปว่า ทำไมจึงไม่มีเสียงปืนยิงต่อสู้มาจากเต๊นท์สนามแม้แต่นัดเดียว...
สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่มองข้ามกันแบบนี้ มักจะทำให้หน่วยทหารที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม “พัง” กันมานักต่อนักแล้ว
30 นาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า 30 นาทีที่ทหารเวียดนามเหนือระดมยิงเต๊นท์สนามของพวกผมอย่างชนิดต่อเนื่องกันโดยมิได้หยุดพัก
อาร์พีจีชุดสุดท้าย ไม่น้อยกว่า 10 ลูก กระหน่ำจุดพักแรมของพวกผมเป็นการสั่งลา
XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พุธ, 19/6/2556 เวลา : 09:39  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19272

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  3  4  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,29 มีนาคม 2567 (Online 4114 คน)