WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


สวัสดีปีใหม่ที่ตะนาวศรี
EL RIFLE
จาก EL RIFLE
IP:49.49.86.249

อังคารที่ , 20/12/2554
เวลา : 10:28

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       พี่ๆกลุ่มโอ้แม่ยายเชิญชวนพี่น้องชาวแลนด์โรเวอร์ แล






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  4  

คำตอบที่ 31
       รองเท้า
นี่คือเครื่องทรงที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาเครื่องทั้งปวง คาวบอยไม่ชอบเกือกโหล ยกเว้นไม่ค่อยมีเงินหรือไปเจอคู่ถูกใจจริงๆ ส่วนมากจะสั่งตัดด้วยหนังชั้นดี โดยทั่วไปมักเป็นหนังลูกวัวอ่อน ต้องสีดำสนิท เป็นรองเท้าที่เรียกกันว่า “บูท” ทรงสูงอย่างน้อยครึ่งแข้ง บ้างหนังเรียบบ้างมีลวดลาย
หนังวัวต้องนิ่มจะได้กระชับ พื้นบนเรียบปาดลงไปหาปลายแหลมไม่มีเชือกผูก ไม่มีอะไรประดับให้เกะกะแก่การสอดเข้าไปในโกลน และเพื่อจะได้ลื่นหลุดง่ายถ้ามีการล่วงหล่นจากหลังม้า ส้นต้องสูงสอบปลายไม่ต่ำกว่า 2 นิ้ว นี่เป็นเครื่องกันพื้นรองเท้ากับโกลนและเป็นเครื่องยึดจิกเวลาเหนี่ยวบ่วง บาศคล้องวัว

สเปอร์
นัก ขี่ม้าแท้ต้องติดสเปอร์ เช่นเดียวกับเหล่าคาวบอยที่หากินบนหลังม้า แต่มิใช่เพื่อกระแทกสีข้างม้าเพื่อการลงโทษ คาวบอยเขาว่าสเปอร์มีไว้เพียงใช้สะกิดให้มันรีบไปเร็วขึ้นเท่านั้น

คาวบอย อเมริกันชอบสเปอร์ขนาดใหญ่วงจักรไม่แหลม ไม่ชอบสเปอร์แบบของเม็กซิกันซึ่งแม้จะมีใบจักรเล็กแต่ปลายจักรแหลม แต่แบบที่คาวบอยอมเริกันชอบกันจริงๆคือ ชนิดที่มีเสียงกรุ๊งกริ๊งเวลาก้าวเดิน เขาว่ามันเพราะเสนาะหู






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:27  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8045

คำตอบที่ 32
      





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:30  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8046

คำตอบที่ 33
       กางเกง
กางเกงนอกจากตัวที่สวมใส่แล้วยังมีกางเกงชั้นนอกใส่ทับอีกตัว เขาเรียกว่า “แชปส์” เป็นคำย่อมาจาก “ชาปาเรส” หรือ “ชาปาราเรส” ซึ่งเป็นภาษาเม็กซิกัน โดยทั่วไปจะตัดเย็บจากหนังอะไรก็ได้ขอให้ทนทานเป็นใช้ได้ คาวบอยทางเหนือชอบชนิดทำด้วยหนังแกะอังกอร่า เพราะแถบนั้นอากาศหนาวเย็น และหนังนุ่มกระชับกว่าหนังวัว

ประโยชน์ของแชปส์คือ ช่วยป้องกันคมจากใบหญ้า หนามจากกิ่งไม้ โดยเฉพาะจากเขี้ยวงู แต่แย่หน่อยเมื่อเจอฝนหรือต้องลุยน้ำ ยิ่งเจอหิมะด้วยแล้วจะแข็งมาก พวกคาวบอยจะใส่แชปส์เฉพาะเวลาทำงานเท่านั้น นอกเวลานั้นถอดเก็บหมด

ยังมีเครื่องทรงคาวบอยอีกอย่างหนึ่งที่แทบจะขาดมิได้คือ ผ้าพันคอที่บ้างเรียก Bandana ว่ากันว่าเป็นภาษาโปรตุเกสซึ่งได้ยินมาอีกทีว่าเป็นคำที่มาจากภาษาฮินดู

ที่ ว่ามันเป็นเครื่องทรงที่แทบจะขาดมิได้ ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่คาวบอยได้อาศัยใช้ประโยชน์สารพัด ตั้งแต่รัดห้ามเลือด เป็นผ้าพันแผล ใช้ปิดหน้ากันฝุ่น และเมื่อทำงานหนักก็เอาชุบน้ำวางบนหัวแล้วครอบทับด้วยหมวกช่วยคลายร้อน

ป.ล. แชปส์มี 2 แบบ คือ batwing กับ shortgun






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:31  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8047

คำตอบที่ 34
       คาวบอยกับเหล้า

คาวบอยก็เป็นปุถุชนคนธรรมดา เรื่องสุราเหล้ายาปลาปิ้งย่อมมี บ้างก็ซดพอเฮฮาหรืออย่างที่เรียกกันว่าเพื่อเข้าสังคม บ้างก็ไม่แตะเลย บ้างก็ซดเป็นน้ำเมาหัวราน้ำ แต่ระหว่างการต้อนฝูงวัวเดินทางไกล เหล้าเป็นสิ่งต้องห้าม ในไร่ปศุสัตว์อาจจะมีไว้บ้างในบ้านสำหรับเจริญอาหารหรือไว้ต้อนรับแขกเหรื่อ แต่พวกคาวบอยประเภทคอเหล้าหากนึกเปรี้ยวปากอยากซดให้สมอยากขอเมาสักตั้งก็ ต้องควบม้าเข้าเมือง ในไร่หรือที่ไหนชนิดตั้งวงกันไม่มี

การซดเหล้าของคาวบอยมิได้ผิดแผกแตกต่างกับคอเหล้าอมเริกันชนร่วมสมัยทั่วไป ที่ส่วนมากไม่ปล่อยตัวตามใจตกเป็นทาสน้ำเมาปล่อยตัวเมามายจนเสียงานเสีย การนอกจากนานๆที หลังจากอดอยากปากแห้งมานานเป็นแรมเดือนเพราะภาระหน้าที่ที่รัดตัว

เหล้าเมื่อดื่มกินเข้าไปแล้วก็ต้องเมา เมื่อคาวบอยเมาก็หาได้ผิดแผกไปกว่าใครอื่นไม่ ก็มีบ้างที่คล้ายกับในนิยายที่คนเขียนมักบรรเลงให้คาวบอยเวลาเมาแล้วต้องชัก ปืนยิงกันโป้งป้าง และแส่หาเรื่องวุ่นวายไปทั้งเมือง

คนภาคตะวันออกว่า กันว่าเมื่อเมาได้ที่มักจะคุยกันฟุ้งเสียงเอะอะทุบโต๊ะ ชูกำปั้นใส่กัน โดยเฉพาะคาวบอยมักจะรำพึงรำพันเพ้อฝัน เมาได้ที่ก็ชักปืนแต่น้อยรายที่ได้ลั่นกระสุนเพราะโดนพรรคพวกตะปบไว้ก่อน

เมื่อเมาได้ที่บ้างก็ชักใจใหญ่เรียกหาแต่วิสกี้ชั้นดีราคาแพง ยุคนั้นวิสกี้ยอดนิยมคือ เบอร์เบิ้น วิสกี้ฝีมืออเมริกันทางใต้มักผสมด้วยน้ำตะบองเพชร ว่ากันว่าทำให้เกิดประสาทหลอนดีนัก คาวบอยชอบซดเพียวๆ คนตะวันออกพลัดหลงเข้าไปในโรงเหล้าแล้วสั่ง “ค็อกเทล” จะโดนคนบาร์ตะคอกใส่หน้าหงายไปทุกราย

ตามมารยาทในวงเหล้าคาวบอยถ้าใครเลี้ยงเขาจะรินเหล้าเต็มปรี่แล้วประคองึ้น ซดด้วยมือข้างที่จับปืน เขาทำเช่นนั้นมิใช่เพราะความตะกละตะกรามที่มีเจ้ามือแล้วต้องซดให้เต็มคราบ หรือจะโอ้อวดว่าข้ายกซดมือเดียวไม่กระฉอกสักหยด แต่เป็นด้วยความหมาย 2 ประการคือ แสดงให้คนเลี้ยงเห็นว่าผู้รับเลี้ยงเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้รับ และคนควักกระเป๋าเลี้ยงมิได้ให้สิ่งที่ไม่ถูกปากตน

พวกคาวบอยใช่ว่าจะซดเหล้าเป็นคอทองแดงทุกคนไป ถึงจะคอทองแดงแต่เวลางานก็ไม่เอาเลยเหมือนกันเพราะงานมันบังคับ มีเรื่องเหล้าขานกันเรื่องหนึ่งในวงการคาวบอย ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะคิดว่าเกินจริงไปหน่อยก็ได้ ว่าด้วยเรื่องราวของคาวบอยคู่หูสองคน ซึ่งอุตส่าห์เก็บออมเงินทองไว้ 2-3 ปี กะการณ์ว่าจะเจอกิจการอะไรดีที่ไหนก็จะเข้าหุ้นทำด้วยกัน

วันหนึ่งเมื่อเดินทางไปถึงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งมีสถานรถไฟขนวัว ที่นี่มีโรงเหล้าเพียงแห่งเดียวสองเกลอชอบใจเข้าหุ้นซื้อกิจการทั้งร้านเลย ร้านเหล้าเปลี่ยนมือเป็นเจ้าของรายใหม่แล้ว แต่ปิดประตูเงียบไม่เปิดรับเหมือนเคยทำให้เป็นที่สงสัยคิดว่าปิดปรับปรุง เกือบสองอาทิตย์แล้วก็ยังไม่เปิด วันหนึ่งคอเหล้าอดไม่ไหวชักชวนกันไปอยู่หน้าร้านร้องตะโกนแกมประท้วงให้เปิด ร้าน สักประเดี๋ยวคาวบอยหุ้นส่วนคนหนึ่งก็แง้มประตูออกมาดู
“เมื่อไหร่จะเปิดร้านเสียที” คอสุรารายหนึ่งถาม
“เปิดร้าน...บ้าเหรอ” เจ้าของใหม่โก่งคอย้อนถามเสียงลั่น “เปิดทำไม ข้าซื้อร้านไว้กินกันเอง”






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:33  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8048

คำตอบที่ 35
       โทษทัณฑ์คนเถื่อน

ม้าเป็นเครื่องทำมาหากินเลี้ยงชีพทั้งใช้งานขนถ่าย ลากจูง เป็นพาหนะในการเดินทาง มันจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งของผู้คนในยุคนั้น ผู้ใดขโมยปล้นชิงม้าโดยเฉาพะในถิ่นกันดารน้ำ ซึ่งอาจทำให้เจ้าของอดน้ำตาย จึงมีโทษสถานหนักถ้าไม่โดนประชาทัณฑ์ของชาวบ้านจับแขวนคอเองก็ด้วยคำตัดสิน ของคณะกรรมการระวังภัยชุมชนนี่เป็น “ระบบป้องกันตนเอง” ของชาวตะวันตกซึ่งจะไม่ยอมให้โจรพวกนี้อ้างเหตุร้องขอความเมตตาปราณี


โทษของพวกโจรขโมยม้าส่วนมากคือ แขวนคอ บางคนดวงไม่ถึงฆาตรอดจากโทษประหารถ้ากรรมการชุมชนลดโทษให้การเนรเทศออกไปให้ พ้นเมือง แต่มักจะต้องแลกด้วยใบหูซีกบนข้างหนึ่ง เพื่อเป็นเครื่องหมายประจานความชั่วที่ติดตัวไปจนตาย ถึงแม้จะไว้ผมยาวจนปิดหู แต่ชาวบ้านชาวเมืองก็ไม่ค่อยจะปลื้มกับพวกผมยาวเท่าใดนัก
โทษทัณฑ์การฉกชิงขโมยม้าเมื่อเริ่มใช้ใหม่ๆได้ครอบคลุมไปถึงการขโมยวัวด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้โจรปล้นวัวมักจะได้รับการผ่อนผันเป็นโทษสถานเบาไม่ถึงกับ ประหาร และถ้าเป็นการกระทำด้วยเหตุผลทางการเมือง อย่างกรณี “ศึกปล้นวัว” ที่ไวโอมิ่งชาวบ้านเห็นว่าเป็นเรื่องสมควรอภัยโทษให้

คณะกรรมการระวังภัยชุมชน Vigilant Committee ครั้งนั้นมิใช่คนจำพวกเลือดร้อน สมคบคิดกันตั้งศาลเตี้ยเพื่อนหาเหตุกันคนเคราะห์ร้ายที่ต้องโทษ แต่เป็นคนทำงานด้านนี้โดยตรงอยู่แล้วในฐานะตัวแทนคนที่ได้รับเลือกตั้งหรือ แต่งตั้งเพื่อให้การใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้อง การพิจารณาโทษจะยึดหลักความสอดคล้องตามความเป็นจริง ผลลงเอยส่วนมามักยกเลิกข้อหาหากไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดหรือเพียงเนรเทศ

คนในชุมชนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของคณะกรรมการระวังภัยชุมชนก็มีมาก คนเหล่านี้จะไม่ยอมร่วมวงหรือร่วมมือใดๆ นี่มิได้หมายความว่าเห็นแก่ตัวหรือปลีกตัวออกจากการทำหน้าที่รักษากฎหมาย เพียงเขาถือว่าคณะกรรมการอย่างนี้เปรียบไปก็เหมือน “ศาลเตี้ย” แม้จะเป็นเรื่องจำเป็นแต่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องงานที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงแม้แต่จะเอ่ยปากพูดถึง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:34  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8049

คำตอบที่ 36
       ความเฟื่องเรื่องโจรลักวัว

การลักขโมยวัวเกิดขึ้นนานแล้วตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของการทำไร่เลี้ยงสัตว์เขา ทำกันง่ายๆ พวกโจรฉวยโอกาสที่เผลอเพียงควบม้าตรงเข้าไปต้อนเอาดื้อๆ และมักจะหนีไปได้อย่างลอยนวล บางทีเกิดการยิงกันบ้างเล็กน้อย ที่ที่มันอาละวาดหนักที่สุดคือ นิวเม็กซิโก

เจ้าของฝูงปศุสัตว์ใหญ่รายหนึ่งชื่อจอห์น เอส ซีซัม วัวถูกปล้นประจำจนชาวบ้านต้องรวมตัวกันช่วยดูแลจนกลายเป็นศึกกลางเมืองย่อมๆ ระดับท้องถิ่นที่กินเวลาเป็นปีๆ แต่เป็นไปอย่างเงียบๆ ใครแปลกหน้าเข้ามาเป็นโดน “เก็บ” และชาวบ้านที่ผ่านแดนโจรก็ต้องเจอชะตากรรมเดียวกัน ว่ากันว่าศึกกลางเมืองย่อยๆหนนั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 200 คน เมื่อศึกจบไปแล้วหลายปีในหุบเหวตามซอกโขดหินยังมีผู้พบโครงกระดูกอยู่บ่อยๆ
ศึกหนนั้นในเกร็ดประวัติศาสตร์เรียกว่า “ศึกลินคอล์น เคาน์ตี้” นี่เป็นเมืองเล็กๆในนิวเม็กซิโก และยังลุกลามไปยังเมือง “นาโทรน่า เคาน์ตี้” ที่อยู่ติดกัน มูลเหตุเกิดจากความมุ่งหมายจะลักขโมยของพวกโจรกับฝ่ายชาวบ้านที่จำเป็นต้อง ป้องกันทรัพย์สินของตนเอง

พอขึ้นปี 1880 ชาวแดนปศุสัตว์ยิ่งแสนจะเอือมระอาและเป็นเดือดเป็นแค้นกับการลักวัวที่ดู เหมือนนับวันจะยิ่งชุกขึ้นทุกวันและลักกันอย่างเย้ยกฎหมาย บางทีกลางวันแสกๆตีชิงเอาดื้อๆซึ่งหน้า เป็นฝีมือก๊กโจรลักวัวทั้งนั้น ในยุคนั้นมีหลายก๊กร้ายๆเช่น ก๊กสเลด,วัตกินส์,เลซี อาร์เน็ต,สปิลแมน เป็นต้น แห่กันมาเป็นขโยงพอเรื่องถึงหูนายอำเภอก็รวบรวมกำลังกันออกติดตามได้ตัวมั่ง ไม่ได้มั่ง ชาวบ้านก็ร่วมด้วยอีกแรงหนึ่ง

นักประวัติศาสตร์ยุคตะวันตกบางคนเผยว่าเท่าที่มีการลักวัวเกิดขึ้นชุกชุมกิน แดนลุกลามไปทั่ว เพราะว่าเหตุหนึ่งคือ ความรู้สึกบางอย่างของผู้คน บางคนว่ามันไม่เกี่ยวกันเลย แต่จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ลองฟังดูแล้วกัน

ชาวตะวัน ตกส่วนมากยึดถือสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิเฉพาะตัวบุคคล” หรือความเป็นส่วนตัวอย่างเหนียวแน่น เรื่องส่วนตัวข้าจัดการเองได้คนอื่นไม่ต้องมายุ่ง เรื่องส่วนตัวของใครจะอะไรก็ช่างอย่ามาแทรกแซงล่วงล้ำหรือกระทำอันละเมิดกฎ กติกามารยาท ซึ่งชาวปศุสัตว์ ชาวตะวันตกทั่วไปยึดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:35  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8050

คำตอบที่ 37
       ความเฟื่องเรื่องโจรลักวัว(ต่อ)

ดังนั้น ถ้าเขารู้มาว่าพวกโจรมันจะปล้นรถไฟสายยูเนี่ยนแปซิฟิกหรือธนาคาร เขาจะไม่แจ้งนายอำเภอหรือนายธนาคาร เพราะถือว่าในเมื่อตัวเองรู้ พวกนายอำเภอหรือธนาคารก็น่าจะรู้แล้วด้วย และถ้าขอให้เขาช่วยเหลือก็พร้อมเสมอด้วยความเต็มใจ ถ้าไม่มีใครขอก็แล้วไป หลังจากนั้นเขาอาจแสดงความสนใจเพียงไถ่ถามว่าฝาตู้เซฟถูกระเบิดปลิวไปถึงไหน

การปิดปากตัวเองทำนองนี้มิใช่เจตนาจะปกปิดการกระทำผิดของใคร หรือรู้เห็นเป็นใจ แต่ด้วยความซื่ออย่างน้ำใสใจจริง เพียงเพราะไม่อยากไปข้องแวะเรื่องของคนอื่นก็เท่านั้น ชาวไร่ปศุสัตว์ยุคนั้นพอจะแบ่งออกเป็นคน 2 ประเภท คือ คนที่ท้องถิ่นชอบและไม่ชอบ คนประเภทแรกนี้ไม่ค่อยมีปัญหา คนประเภทหลังส่วนมากไม่ใช่คนพื้นเพที่นั่นซึ่งโดนลักวัวประจำ เจ้าของอาจเป็นคนอังกฤษหรือชาวตะวันออก จะมาอยู่ไร่นานทีปีหน ส่วนมากจะแห่ไปกันในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นฤดูล่าสัตว์ใหญ่ คนพวกนี้ถือว่ามีไร่ไว้พักผ่อนหาความสำราญ จึงไม่ค่อยจะรู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรถ้าวัวหรือม้าถูกขโมยไปบ้างตามประสาคน รวย

ส่วนชาวตะวันตกทั่วไปเมื่อพูดถึงความพัวพันกับการลักวัวพอจะแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท

ประเภท A จัดว่าอยู่ในโอวาทของกฎหมาย เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือใครแม้แต่น้อยถ้าเห็นว่าทำไม่ถูกต้อง
ประเภท B อาจเรียกว่าพวกปากว่าตาขยิบ ใจหนึ่งไม่ค่อยชอบกับการฉกฉวยหาผลประโยชน์ใส่ตนโดยไม่ถูกต้อง แต่เพราะไม่ค่อยยี่หระกับกฎหมาย ก็เอาเหมือนกันถ้าโอกาสมันให้ บ้างก็ทำเฉยๆ บ้างก็ช่วยพวกลักวัวที่ถือว่าวัวไม่มีเจ้าของ ได้แบ่งสักสี่ห้าตัวก็ดี
ประเภท C คล้ายๆกับ B แตกต่างไปเล็กน้อยตรงที่พวกนี้ถือคติยังไงก็ได้ หรือได้ก็ดี ไม่ได้ก็แล้วไป
ประเภท D เป็นพวกไม่ค่อยสบอารมณ์กับการเข้มงวดของกฎหมายถ้าเจ้าของวัวเป็นคนที่ชาว บ้านไม่ค่อยชอบหน้าอยู่แล้ว คนพวกนี้จะเป็นพวกแรกที่เข้าไปเยี่ยมเยือน แต่เขาจะไม่เข้าไปรบกวนไร่ของแม่ม่ายหรือคนจน
ประเภท E เทียบกับทุกประเภทแล้ว คนประเภทนี้มีน้อยที่สุด แต่นี่แหละคือ พวกโจรลักวัวตัวจริง พร้อมเสมอที่จะฉกฉวยของใครก็ได้ไม่ว่าวัวหรือม้า
การลักวัวแบบปล้นกลางวันแสกๆ ชิงกันซึ่งหน้าต้อนไปเป็นฝูงๆ เป็นอยู่ไม่กี่ปีก็ค่อยๆซาลงไป แต่เกิดการลักแบบใหม่ตามมา เป็นวิธีการสำเร็จเสร็จสิ้นเด็ดขาดด้วยความชำนาญ การแบบใหม่นี้ยืดเยื้อเป็นเวลายาวนานราว 10 ปี ลุกลามกระจายไปทั่วแดนปศุสัตว์ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษหรือต่างเมือง

การลักวัวแบบใหม่ทำกันอย่างทีระบบ ตัวที่มีตราของไร่ ก็เอามาตอกตีตราใหม่ ตัวที่ไม่มีตรายิ่งสะดวกโดยเฉพาะลูกวัว พวกโจรใช้วิธีการโหดมากตัวไหนตามแม่แจจะถูกจับแยกไปเข้าคอกที่ห่างไกล ยังไม่อดนมก็ไม่สน เก็บไว้จนมันหายอยากไปเอง เลี้ยงโตได้ที่ก็เอาออกขาย ตัวแม่มันตัวไหนพล่านจะไปหาลูกจะโดนจี้ด้วยเหล็กร้อนที่เท้าหรือทำอย่างไรก็ ได้ให้เท้าเป็นแผลเดินไม่ได้ ตัวที่ดื้อมากๆจะยิงทิ้งเสียเลย






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:36  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8051

คำตอบที่ 38
       เผด็จศึกโจรลักวัว
การลุกฮือของชาวไร่ไวโอมิ่งเกิดขึ้นขณะที่ทางรถไฟสายใหม่ของบริษัทเบอร์ลิง ตันยืดออกไปถึง และขณะที่คนงานทำทางรถไฟหาเนื้อควายไบซันกินไม่ได้แล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีได้ทำมาหากินอย่างเริงร่าของคนกลุ่มหนึ่งคือโจรลักวัว กลุ่มใหม่ที่เห็นหนทางหาเงินได้ง่ายๆ คนพวกนี้ใจป้ำกล้าได้กล้าเสีย มีหัวการค้า โดยใช้วิธีรวดเร็วกว่าการลักวัวไปตีตราใหม่ นั่นคือการขโมยวัวตัวโตๆเอาไปฆ่า แล้วเอาเนื้อไปขายตามร้านขายเนื้อเล็กๆ ส่วนหนังก็ทำลายตราเสียแล้วนำออกขายได้กำไร

ตอนแรกบุกปล้นหรือขโมยจากเจ้าของไร่ที่ผู้คนไม่ชอบหน้า แต่ภายหลังดูเหมือนเขาจะยึดคติที่ว่า “เนื้อวัวก็คือเนื้อวัว” จึงไม่สนว่าจะเป็นของใคร
เหตุร้ายอย่างนี้เป็นอยู่แรมปี จนกระทั่งมีเหตุร้ายเกิดขึ้นมาแทรกอย่างปุบปับเป็นข่าวดังไปถึงยุโรป แต่ลงท้ายค่อนข้างดี เพราะได้รับความสนใจจากทางการได้เข้าไปแก้ไขจากร้ายกลายเป็นดีอย่างมีเหตุผล สมควรในที่สุด

เหตุร้ายนั้นเกิดขึ้นในปี 1892 ในไวโอมิ่ง ชาวไร่ปศุสัตว์สุดแสนจะทนต่อความเดือดร้อนจากการรังควานของพวกโจรลักวัว ระดมกำลังเป็นร้อยพร้อมอาวุธยกกันไปราวกับกองทัพ จากไชแอนไปถึงเมืองใกล้เคียงมุ่งหมายล้างผลาญพวกลักวัวให้สิ้นซาก ไปถึงเมืองจอห์นสันก็รายล้อมเปิดฉากยิงถล่มไร่แห่งหนึ่งที่สงสัยว่าจะเป็น ที่ชุมนุมของพวกโจร ซึ่งยุดนั้นเรียกกันว่า “เว็ดดี้”

ชาวไร่ปศุสัตว์รายเล็กรายน้อยในย่านใกล้เคียงที่เคยเดือดร้อนเห็นได้โอกาสก็ แห่กันไปช่วย ยิงกันพักใหญ่กว่าเรื่องจะถึงหูนายอำเภอท้องถิ่น ระดมผู้ช่วยแห่กันมาหลายสิบ ในผู้คนหลายสิบนี้ชาวบ้านจำได้ว่ามีพวกเว็ดดี้นอยู่ด้วยกลายคน แต่กว่าจะเลิกรากันก็ต่อเมื่อกองทหารแห่งสหรัฐมาระงับเหตุ แยกคู่กรณีพิพาทออกจากกันหลังจากถึงตายเพียง 2 คน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการล้างผลาญกันอีก

เหตุร้ายหนนั้นตามความคิดเห็นของชาวบ้านทั่วไปที่แม้จะโน้มเอียงเข้าข้างฝ่า ใดฝ่ายหนึ่งบ้างก็ตาม เห็นว่ากฎเก่าแก่ใดๆที่เคยยึดถือกันมานานบัดนี้มันหมดสิ้นไปแล้ว เขาเห็นว่ายุค OLD WEST ผ่านพ้นไปแล้ว บัดนี้เป็นยุค NEW WEST แดนปศุสัตว์เลิกเสียทีที่มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซง และทุ่งใหญ่ก็ถูกแบ่งสันปันส่วนเป็นของรัฐต่างๆ ไปแล้ว

ฝูงปศุสัตว์ที่เคยครอบครองความเป็นเจ้าทุ่งก็หมดยุคไปแล้ว แถบถิ่นที่เคยเป็นแดนปศุสัตว์ก็เปลี่ยนมือจากเจ้าของฝูงปศุสัตว์และพวก คาวบอยเป็นของชาวไร่ที่มาจากต่างแดน

อย่างไรก็ดีเหตุร้ายคราวนั้นทำให้เจ้าของไร่ที่เคยถูกลักวัวถูกปล้นวัว และยังไม่ถูกสิ่งที่เรียกว่า THE SPIRIT OF THE WEST สลักตราตรึงเต็มที่ ต่างก็ทิ้งไร่หรือขายเลิกกิจการไปมากมายหันหลังให้ทั้งอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และผืนแผ่นดินที่เคยทำไร่และเลี้ยงสัตว์ แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย คนที่เหลือก็พยายามปรองดองกันมากยิ่งขึ้น ขณะที่พวกโจรลักวัวต่างพากันกลับเนื้อกลับตัว ไม่นานโจรลักวัวก็ค่อยๆหมดสิ้นไป ความสงบสุขคืนสู่ดินแดนปศุสัตว์อีกครั้ง

เหตุร้ายที่ลงเอยด้วยอำนาจกระสุนปืนที่เรียนกันว่า “ศึกโจรลักวัว” หรือ “ศึกเมืองจอห์นสัน” คราวนั้น มันช่วยแยกการเมืองออกจากสังคมได้อย่างชัดเจน แรงระเบิดที่เกิดจากปัญหาโจรลักวัว โจรบางคนมองว่าเป็นการปล้น แต่คนอื่นๆอีกมากมองว่าเป็นความบ้าระห่ำของคนบางจำพวก บ้างก็ถือโอกาสแก้แค้น แต่สำหรับความเห็นของคนส่วนใหญ่เห็นว่าคือการลุกฮือขึ้นต่อต้านความรวยที่ กระจุกอยู่ในคนกลุ่มหนึ่ง อันส่งผลให้บรรลุถึงซึ่งการปฏิวัติทางสังคมและการเมืองครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง

การปะทะกันครั้งนั้นแม้จะเกิดในไวโอมิ่งแห่งเดียว แต่รัฐอื่นๆในภาคตะวันตกได้นำไปใช้เป็นบทเรียนในการแก้ปัญหาสิ่งที่ได้คือผล ประโยชน์ส่วนรวม

นับแต่นั้นจากแม่น้ำมิสซิสซิปปีไปถึงเซียร์ร่า เนวาดา ทุ่งหญ้าที่ใชเลี้ยงสัตว์ให้ถือเป็นสมบัติส่วนรวม เรื่องของการเมืองที่เข้าไปก้าวก่ายเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ไปแล้ว ยุคหลังๆไม่ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของไร่ใหญ่โตมีอิทธิพลสูงส่งทางการเมืองระดับ ชาติหรือท้องถิ่นต้องชนะใจได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้คนทั่วไป ไม่ว่าชาวปศุสัตว์ ชาวไร่ ชาวเมือง หรือแม้กระทั่งคนเลี้ยงแกะ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:38  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8052

คำตอบที่ 39
       น้ำใจตะวันตก
หน้าประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าจิตใจความสำนึกอันเหนียวแน่นของประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์อันเป็นความสำนึกแห่งความเป็นชาติอันมั่นคง จะก่อเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนผู้มีจิตใจเช่นนั้นมีความเห็นพ้องต้องกัน ไม่ว่ากิจการใดหลากหลายเพียงไหน จิตใต้สำนึกนี้จะคงอยู่ต่อได้ต้องอยู่บนพื้นฐานการสนับสนุนอย่างท้วมท้น และยืนนานต่อหลักการเช่นนั้น มันเป็นเครื่องสมัครสมานสังคมและเป็นมูลฐานการปกครอง

ก่อนถึงยุค “ตื่นทอง” ซึ่งเริ่มในปี 1848 ในบริเวณตามชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี มีคนผิวขาวไปปักหลักอยู่กันบ้างแล้วแต่ก็มีน้อย พวกเขาไม่ย่นย่อต่อการเดินทางอันไกลแสนไกล
นอกจากนั้นยังมีคนท้องถิ่นที่อยู่กันมาแต่เดิมเป็นชุมชนเล็กๆทั้งชาวแคลิ ฟอร์เนีย ชาวสเปนที่ไปตั้งรกราในนิวเม็กซิโก มีไร่ปศุสัตว์ตั้งกระจายอยู่เป็นกลุ่มๆในถิ่นห่างไกลทางตะวันออกเฉียงใต้ของ เท็กซัส ส่วนทางตะวันตกของโอเรกอนก็มีชุมชนเล็กๆกระจายอยู่ทั่วไป มีนิคมชาวมอร์มันในยูท่าห์ และกลุ่มสุดท้ายคนที่ไปหากินแถบนั้นซึ่งเลิกราจากอาชีพจับปลาวาฬและล่องเรือ ค้าขายหนังสัตว์ไปตั้งรกราอยู่ตามชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย

คนผิวขาวที่มีจำนวนน้อยมากดังกล่าวนี้ ซึ่งต่อมาคือชาวโอเรกอน ชุมชนชาวสเปน และชาวมอร์มัน เขาอยู่และทำมาหากินกระจัดกระจายห่างกันมาก มีผลประโยชน์ต่างกันออกไป ต่างคนต่างอยู่ จึงไม่อาจก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “จิตใจความสำนึกเพื่อสาธารณะประโยชน์” ได้แม้แต่ในท้องถิ่นของตัวเอง

ชาวโอเรกอนและผู้คนที่เพิ่มมากขึ้นในภายหลัง นอกจากลูกหลานที่เป็นคนรุ่นหลังแล้วก็มีผู้คนไม่น้อยที่อพยพย้ายถิ่นฐานไป ตั้งรกรากใหม่ที่นั่นจากย่านนิวอิงแลนด์มาถึงยุคหลัง โอเรกอนกับนิวอิงแลนด์สามารถประสานหล่อหลอมเข้ากันได้ทั้งความคิดอุดมการณ์ และพฤติกรรม ส่วนพวกมอร์มันและชาวสเปนที่อยู่โดดเดี่ยวห่างไกลกันก็ค่อยๆเจริญขึ้น มีความสมบูรณ์พร้อมไปตามอัตภาพ ดังนั้นทั้งชาวโอเรกอน มอร์มัน และชุมชาวสเปน จึงมิใช่ผู้เริ่มจิตวิญญาณแห่งตะวันตก

คนกลุ่มถัดมาที่พากันบุกดินแดนตะวันตกคือพวกชาวเหมือง พวกนี้ได้ยินว่ามีใครพบแหล่งทองคำที่ไหนก็พากันแห่ไปเป็นพรวน พวกนี้แห่กันไปแคลิฟอร์เนียเป็นแห่งแรกก่อนในปี 1849 จากนั้นมุ่งสู่โคโรลาโด ปี 1851, โอเรกอน 1852, เนวาดา 1859, ไอดาโฮ 1860 มอนทาน่า 1862, ไวโอมิ่ง 1867 และดาโกต้า 1875

แต่พวกชาวเหมืองที่หวังร่ำรวยด้วยการแสวงโชคจากการขุดทองร่อนทองอยู่กัน เป็นกลุ่มเป็นก้อนในย่านเหมืองหรือสายแร่เท่านั้น และจะอพยพแห่กันไปเมื่อได้ยินว่าที่ไหนมีแหล่งแร่ใหม่ จึงมิได้สร้างสำนึกในสาธารณะประโยชน์ใดๆ

คนพวกนี้มุ่งสู่ตะวันตกพอเข้าเขตที่เรียกว่า “ชายแดน” ซึ่งอยู่เลยฝั่งมิสซิสซิปปีออกไป ก็มักมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับพวกล่าสัตว์และบรรดาพ่อค้าที่ถือว่าตัวเองไป อยู่แผ่นดินต่างแดนอันเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่อาจขุดค้นพบความร่ำรวยได้ จึงจำกัดวงความคิดความอ่านไว้ที่การใช้เรี่ยวแรง ถ้าทำมาได้ก็ขนกลับบ้านที่พวกเขาเรียกว่า STATE

มีช่วงหนึ่งชาวเหมืองแห่กันไปอยู่ที่ “เยอร์บา บูนา” ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ติดกันอ่าวที่ไม่ค่อยมีเรือมาจอด นอกจากเรือรบ นานๆทีจะมีเรือค้าขายเลียบชายฝั่งเม็กซิโกมาแวะบ้าง เมื่อชาวเหมืองยกกันไปอยู่มากๆ ทำให้กิจการค้าขายท้องถิ่นค่อยๆคึกคักขึ้นไม่กี่ปีต่อมาหมู่บ้านเล็กๆแห่ง นี้ก็มีคนพลุกพล่านและค่อยๆเจริญขึ้น บ้านช่องเดิมมีแต่กระท่อมทับก่อด้วยอิฐดินโคลน ค่อยๆเปลี่ยนเป็นตึกรามและในที่สุดก็กลายเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของโลกทุก วันนี้ นั่นคือ “นครซานฟรานซิสโก”

ในเมื่อสิ่งที่เรียกว่า “THE SRIRIT OF THE WEST” มิได้ก่อให้เกิดจากกลุ่มคนดังกล่าว ถ้าเช่นนั้นจะเป็นผู้ใด เพราะสิ่งนี้มันได้เกิดขึ้นและประพฤติปฏิบัติอยู่ทั่วไปก่อนบรรดาโรงงาน ผู้คนวงการอาชีพต่างๆจะเข้าไปเสียอีก เห็นจะมีคนจำพวกหนึ่งที่ยังมิได้กล่าวถึง คนพวกนี้ประกอบด้วยชาวไร่ปศุสัตว์ทั้งเจ้าของ คาวบอยลูกจ้าง ผู้ร่วมทำงานในไร่ ไม่ว่าจะเป็นคนครัว คนเลี้ยงม้า ผู้คนเหล่านี้ออกไปทำมาเลี้ยงชีพใช้ชีวิตอยู่นพื้นที่กว้างใหญ่ ได้พบเห็นความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมผู้คนทั่วไป ตลอดจนพรานล่าสัตว์ พ่อค้าเร่ นักบุกเบิกรุ่นก่อนๆ เป็นผู้เติมหน้าประวัติศาสตร์ในด้านการสร้างสรรค์เชื่อมโยงความรู้สึกนึกคิด เพื่อสาธารณะประโยชน์ เป็นธรรมเนียมเชิงบังคับทั้งในชีวิตความเป็นอยู่และการทำอาชีพการงาน ว่ากันว่าข้อพิสูจน์ข้อนี้ให้ดูความเป็นอยู่ของผู้คนในแดน “ตะวันตกไกล” ทุกวันนี้ที่ธรรมเนียมต่างๆครั้งกระโน้นยังยึดถือปฏิบัติกันอยู่ หรือเปิดพจนานุกรมก็จะเห็นว่าถ้อยคำสำนวนครั้งโน้นที่รุ่นนั้นใช้กันมีอยู่ ดาษดื่นแทบทั้งเล่ม



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:41  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8053

คำตอบที่ 40
       วิชาคาวบอย
“เครื่องหมายนำทาง” เป็นความรู้จากธรรมชาติที่คาวบอยต้องศึกษาเรียนรู้ มันเป็นเครื่องชี้นำทางที่คนเดินทางรุ่นก่อนๆอาจทำไว้หรือทิ้งร่องรอยไว้ มันเป็นความชำนาญของ “แมวมอง” หรือ “นักแกะรอย” ของทหารครั้งโน้นใช้ดูร่องรอยอินเดียนแดงเพื่อหาทางหนีทีไล่ และมือกฎหมายใช้ไล่ล่าคนร้าย

คาวบอยบางคนเก่งมากเรื่องการแกะรอย แต่ว่ากันว่ามีน้อยคนที่จะเก่งมีความชำนาญเหมือนนักแกะรอยอินเดียนแดง สมัยนั้นถึงกับเคยมีการเปิดสอนวิชาในโรงเรียน มีคนอินเดียนแดงผู้ชำนาญการมาคุมสอบเป็นระยะ ใครสอบตกว่ากันว่าอาจโดนถลกหนังหัว – นี่เป็นตำนานที่เล่าขานกันมา ซึ่งอาจไม่จริงก็ได้ เพราะถ้าจริงคงหาคนเรียกยาก แต่ที่เป็นความจริงแน่ๆ คือวิชาการแกะรอยของคนอเมริกันยุคบุกเบิกเลียนแบบมาจากอินเดียนแดงทั้งนั้น นำมาดัดแปลงให้ได้ประโยชน์สูงสุด คาวบอยหลายคนได้อาศัยรับจ้างทำมาหาเลี้ยงชีพไม่ต้องตรากตรำอยู่แต่กับงาน เลี้ยงวัว
อินเดียนแดงนั้นมีมากมายหลายเผ่ามีเครื่องใช้สอยเป็นเอกเทศผิดแผกแตกต่าง กันไป แม้แต่กระโจมที่พักอาศัยก็ไม่เหมือนกัน เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งน่าสังเกตของนักแกะรอย ร่องรอยเพียงเล็กน้อย ลักษณะกระโจมแม้จะรื้อไปแล้ว นักแกะรอยจะบอกได้ว่าเป็นของเผ่าไหน มีหลักยึดประการหนึ่งที่อบรมสั่งสอนกันมาว่าเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอนเชื่อถือ ได้สำหรับนักแกะรอยคือ สัตว์ 2 ตัว คน 2 คน ที่จะทิ้งร่องรอยเหมือนกันไว้ย่อมไม่มี

งานของแมวมองหรือนักแกะรอยยุคนั้น ถ้าไม่เป็นคนนำทางไปยังที่ใดที่หนึ่งก็เป็นการไล่ล่าคนร้าย ภาระแรกอยู่ที่ทำอย่างจึงจะปลอดภัย ไปทางไหนจึงจะถึงแน่ๆ และหลีกเลี่ยงอุปสรรคกีดขวาง แต่งานประการหลังต้องใช้ความสามารถสูง เสี่ยงอันตราย ต้องใช้ประสาทหูและตา คอยวังเกตแยกแยะรอยหักใบไม้กิ่งไม้ รอยเท้า ตลอดจนการแตกตื่นของนกกา จนถึงซุ่มเสียงต่างๆ บางทีคนร้ายก็เผยที่ซ่อนออกมาเองโดยไม่รู้ตัวจากแสงสะท้อนของโลหะในเครื่อง แต่งตัว

ดังนั้นทั้งพลเมืองดีในแถบถิ่นชุกชุมด้วยอินเดียนแดงนักล่าสัตว์ใหญ่ทั้ง พลเมืองร้ายที่หนีการไล่ล่าต้องระวังไม่พกพาอะไรที่สะท้อนแสง นอกจากสิ่งที่จำเป็นเช่นด้ามปืนหรือกระบอกปืนหรือสเปอร์ นอกนั้นแม้แต่ผ้าเช็ดหน้าสีขาวทิ้งไปได้เลย

สิ่งที่ทำให้นักแกะรอยแน่ใจที่สุดคือรอยเท้าที่ฝ่ายหนีทิ้งไว้ ถ้าได้พบสักรอยหนึ่งไม่ว่าจะเป็นรอยเต็มฝ่าเท้า รอยจิกของส้นหัวแม่เท้า จะเป็นเค้าให้ติดตามไปได้ตลอดแม้ว่าจะพบนานๆที นักแกะรอยบางคนเก่งถึงขนาดสังเกตได้แม้แต่รอยเท้าจางๆที่ก้อนหิน

ถ้านักแกะรอยรู้จักคนร้ายมาก่อนอาจจะรู้ได้จากรอยเท้า หรือรอยรองเท้าว่ารูปร่างขนาดไหน จะรู้กระทั่งขาพิการหรือไม่ เวลาเดินขาข้างพิการกดลึกกว่าอีกข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองของบิดเฉียงผิดกับคนขาดี และระยะห่างของก้าว

ม้าถ้ามีคน ขี่มันจะไปตามทางที่คนขี่บงการ ถ้าไม่มีคนขี่มันจะเถลไถลไปตามประสาของมัน เดินๆควบๆหยุดๆ นักแกะรอยเก่งๆจะรู้จากรอยเท้าซ้ายขวาที่ขนานไปว่ามันเดินหรือวิ่งมีคนขี่ หรือไม่ บาดเจ็บหรือไม่

เมื่อปี 1894 นักแกะรอยของรัฐบาลกลางในเยลโลว์สโตนแกะรอยติดตามพรานเถื่อนที่แอบเข้ามาล่า สัตว์ ตามไปได้พักใหญ่เขาบอกกับนายทมหารที่ไปด้วยกันว่า “ไม่มีประโยชน์ มันไปลิบแล้ว ม้ามันเร็วกว่าของเรา” นั่นเป็นเพราะพบว่าหลังจากตามรอยเกือกม้าก้าวย่างสั้นๆ จนไปพบรอยห่างๆ และห่างกว่าม้าของตนมาก นักแกะรอยพูดถูก เพราะเมื่อพรานเถื่อนรายนี้ถูกจับในสองวันต่อมา บอกว่าม้าของเขาเป็นม้าแข่ง
กิ่งก้านสุมทุมพุ่มไม้ตามทางเดินในป่า ถ้าแตกหักถือเป็นร่องรอยมีค่ายิ่งของนักแกะรอย คนเก่งๆจะบอกได้ว่าเป็นฝีมืออะไรหรือใคร โดยธรรมชาติพวกสัตว์ป่าจะทำลายโดยไม่ตั้งใจนานๆทีหรือขณะมันกำลังแตกตื่น ถ้าเลี่ยงได้มันจะไม่เหยียบย่ำ อินเดียนแดงก็เช่นกันกิ่งไม้ขวางข้างหน้าจะข้ามไป มีแต่คนขาวหรือพวกสัตว์ที่จะลุยเหยียบย่ำทำลายต้นไม้ในป่า

เจมส์ บริดเจอร์ เป็นนักแกะรอยผู้เก่งกาจคนหนึ่งในยุคนั้นขี่ม้าผ่านไปเห็นขนนกอินทรีขนหนึ่ง วางอยู่ในทางเดินป่า เมื่อตรวจสอบดูก็เห็นมีแถบหนังกวางเล็กๆพันอยู่ ก็รู้ทันทีว่าหลุดมาจากเครื่องทรงพวกอินเดียนแดงออกศึก เมื่อแกะรอยไปก็พบชุมนุมกันอยู่กลุ่มใหญ่เพื่อเตรียมออกปล้น นักแกะรอยผู้ช่ำชองอีกคน เจมส์ ดูวิง ขณะกำลังเดินทางฝ่าดงสนค่อนข้างทึบ สังเกตเห็นใบไม้ใบหนึ่งยังสดอยู่ตกอยู่ที่พื้น เป็นใบแอสแพนซึ่งไม่มีในป่านี้ เขาลงจากหลังม้าด้อมๆมองๆหาสิ่งผิดสังเกต ประเดี๋ยวเดียวก็พบอินเดียนแดงนายหนึ่งแอบซึ่มอยู่กลังขอนไม้ ที่เสื้อยังมีกิ่งเล็กๆกับใบอีก 3 ใบเสียบอยู่ อีกใบหนึ่งหลุดร่วงไปเหลือแต่ก้าน แสดงว่าหมอนี่ควบม้าผ่านมาตามป่าแอสแพน

นักแกะรอยเก่งๆเมื่อไปถึงริมน้ำจะหาร่องรอยทั้งฝั่งนี้และฝั่งโน้น ถ้าไม่มีอะไรจะดูก้อนหินก้นลำธาร กิ่งไม้ใบหญ้า กระทั่งดงหญ้าตะไคร่น้ำ สีของน้ำถูกรบกวนหรือไม่ ถ้ารอยเท้าหายไปกลางป่าสิ่งแรกที่เขาจะตรวจดูคือต้นไม้ใกล้เคียง มันจะปีนขึ้นไปซ่อนตามยอดคาคบหรือไม่
อย่างไรก็ดีนักแกะรอยต่อให้เก่งแสนเก่งก็ต้องมีวันพลาด บางทีไปเจออินเดียนแดงที่จัดว่าแสนฉลาดวางแผนทางหนีทีไล่ยอกย้อนทั้งย้อนรอย และตลบหลัง ที่จัดว่าเป็นคู่ปรับของนักแกะรอยมีอยู่ 2 เผ่า คือ เผ่าอาปาเช่ และเผ่าซูส์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:42  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8054

คำตอบที่ 41
       คาวบอยกับปืน (1)

แฟนคาวบอยในบ้านเราคงมีไม่น้อย แม่อาจจะไม่ใช่แฟนหนังประเภท western หรือที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในแถบถิ่นตะวันตกอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นหนังบู๊หรือไม่บู๊มีดวลปืนกันหรือไม่ ขอให้มีฉากขี่ม้าควบม้ายิงกันโป้งป้างแฟนหนังพวกเรามักจะเรียกหนังคาวบอย ทั้งสิ้น และดูเหมือนจะเข้าใจว่าลงได้เป็นคนเลี้ยงวัวต้อนวัวอยู่กับฝูงม้าฝูงวัวก็ เรียกเป็นพวกคาวบอยทั้งสิ้น

ความจริงในแถบถิ่นดินแดนคาวบอยนั้น “คาวบอย”-cowboy เขามิได้เรียกคาวบอยเสมอไป บางทีเรียก cowpuncher หรือ puncher – punching แต่จะเรียกอย่างไรก็ตามความหมายของมันและตัวตนจริงๆของมันคือคาวบอยคนขี่ม้า ต้อนฝูงวัวไล่ปล้ำจับม้าจับวัวมาตีตราใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งกว้างแต่คำเรียกว่า horseboy หรือ horse puncher กลับไม่มีในวงการ

และคำเรียกขานก็มีการแบ่งแยกเหมือนกัน คาวบอยยังจะเป็นคาวบอยอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเป็นลูกจ้างอยู่ ถ้าเลื่อนฐานะขึ้นไปเป็นเจ้าของฝูงหรือไร่ปศุสัตว์ตำแหน่งคาวบอยก็จะหมดไป เจ้าของไร่ปศุสัตว์ยังมีการเรียกขายกันอีกแบบ แล้วแต่ว่าเขาจะเรียกอะไร ถ้าเลี้ยงม้าเรียก horse man ถ้าเลี้ยงวัวเรียก cattle man หรือ cow man มีความหมายถึงคนเลี้ยงวัว แต่ horse man กลับไม่เหมือนกันพวกแรกหมายถึงคนเลี้ยงม้าส่วนพวกหลังกลับหมายถึงคนทำมาหา กินอยู่บนหลังม้า หรือชำนาญการเรื่องม้า

นี่เป็นเพียงเกร็ดเล็กๆน้อยๆของวงการคาวบอยตามภาษาของเขา ที่จริงยังมีคำเรียกขานอย่างอื่นมากกว่านี้ ในบางท้องถิ่นโดยเฉพาะพวกโอเรกอนและไวโอมิ่งล้วนแต่เป็นคำแปลงหรือเพี้ยนมา จากภาษาสเปน เช่น บาเคโร่ บักการู บัคการา บัคเคย์โร เป็นต้น แต่จะอย่างไรก็หมายถึงคาวบอยทั้งสิ้น เพราะอยู่ในแวดวงวงการเลี้ยงม้าเลี้ยงวัวทั้งเพ ยกเว้นการเลี้ยงแกะเขาไม่เรียกคาวบอยทั้งที่คนเลี้ยงแกะก็ขี่ม้าต้อนฝูงแกะ เหมือนกัน

ในยุคหนึ่งนิยายคาวบอยเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านจำพวกแฟนคาวบอยมากเช่นกัน พอๆกับดูหนังในนิยาย คนเขียนมักเสกสรรปั้นแต่งให้คาวบอยมีนิสัยใจคอ รูปแบบแตกต่างกันไป เพียงเพื่อความสนุกสนาน แต่รูปแบบทั้งหลายมีคุณสมบัติตรงกันอยู่ข้อหนึ่งคือ เป็นลูกผู้ชาย มีสติตื่นตัวตลอดเวลาพร้อมที่จะกระตุปืนคู่มือออกมาสับไกได้อย่างแม่นยำราว กับจับวาง แต่ในชีวิตจริงๆนั้นไม่มีหรอกคาวบอยประเภทนั้นประเภทนี้ เพราะคาวบอยก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดานี่เอง

บาร์ท สมิธ คาวบอยเก่าแก่ขนานแท้คนหนึ่งใช้ชีวิตตรากตรำอยู่ในท้องถิ่นตั้งแต่หนุ่มจน แก่ เขาพูดไว้ว่า “คาวบอยก็คือชาวบ้าน ชาวบ้านธรรมดานี่เอง ชาวบ้านที่ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินอยู่ทุกวี่ทุกวัน...พวกขาโก่ง”

ในนิยาย คนเขียนทำให้คาวบอยเรียกปืนเป็นชื่อต่างๆ เช่น หกนัด, ลูกโม่หกนัด หรือเหล็กยิงได้ และพกกันเกลื่อน

ว่ากันว่าตามความเป็นจริงแล้วคาวบอยในยุคนั้นปืนที่ชอบพกกันมาส่วนใหญ่คือ ปืนพกลูกโม่ที่เรียกกันว่า “โคล์ท รีวอลเวอร์” ขนาด .45 หรือ .44 ลำกล้องยาว 8 นิ้ว น้ำหนักราว 2 กับ 1 ปอน์ด หรือราว 1 กิโลกรัม กระสุนต่างหาก

เมื่อคำนึงถึงว่าพวกคาวบอยทั่วไปก็เป็นคนทำมาหากิน มิใช่พวกริอ่านมีสันดานเป็นโจร หรือฆาตกร ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีอยากจะพกปืนให้หนักแรงและเกะกะเกินกว่าจำเป็น บางทีไม่อยากพกด้วยซ้ำ ยกเว้นสถานการณ์จำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้ สถานการณ์ที่ว่ามีหลายกรณีเช่น เกรงว่าจะถูกคู่อริแอบมาเล่นงานจึงต้องพกไว้ป้องกันตัว หรือคนที่อยู่ในย่านใกล้เคียงพรมแดนเม็กซิโกที่ชุมไปด้วยโจรผู้ร้าย หรือคนที่อยู่ในดงอินเดียนแดง หรือต้องอยู่เฝ้าฝูงปศุสัตว์ หรือแกรงว่าจะไปพบสัตว์ร้ายที่มารบกวนฝูงปศุสัตว์ หรือพบวัวม้าที่บากเจ็บหนักต้องยิงทิ้ง

เหตุผลอีกข้อหนึ่งคือ เมื่อได้หยุดงานได้ไปเที่ยวหาความสำราญกับเพื่อนฝูงในเมืองก็ต้องพกพาปืนคู่ ใจ นี่ก็เข้าข่ายเพื่อป้องกันตัว และการพกปืนนั้นก็ต้องให้กลมกลืนกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว การอวดอำนาจสำแดงอิทธิพลคุกคามข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยการยิงเฉียดๆทำให้ กระโดดเต้นโหยงเหยง หรือทำเกะกะระรานยิงใส่บาร์เหล้าตู้เหล้าโคมไฟ ในแดนคาวบอยแห่งความเป็นจริงนั้นไม่ค่อยมี ตรงข้ามกับที่นักเขียนนิยายได้บรรยายไว้ที่อ่านดูแล้วน่าสนุก น่าทึ่ง ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าพวกคาวบอยช่างชักปืนเร็ว ยิงแม่นอย่างร้ายกาจ แต่ลืมไปว่านั่นเป็นจินตนาการของคนเขียนนิยายที่หวังให้ความเพลิดเพลินแก่ ผู้อ่าน

คาวบอยกับปืน (2)
ในหนังสือหรือหนังจะเห็นว่าลักษณะวิธีการพกปืนของพวกคาวบอยหรือเหล่ามือปืน มีหลายแบบ เช่นใส่ซองห้อยเผล้ที่หน้าขา บ้างก็มีสายโยงพกซุกไว้ที่อกหรือซอกแขน พระเอกหรือผู้ร้ายที่เป็นนักเลงปืนมือฉกาจสามารถชักปืนจากซองที่ห้อยอยู่ ข้างตัวแล้วยิงโดยไม่ต้องเล็งจากระดับเอวหรือบางคนเพียงกระดกซองปืนแล้วยิง ทะลุออกไปเลยอย่างที่นักแปลบางคนบรรยายว่า “ยิงจากสะโพก” ในความเป็นจริงอาจมีบ้าง

บางรายใช้ตะไบขัดถูกลไกของมันทำให้ไกและนกเบาสามารถยิงได้เร็วขึ้น มีอีกแบบถอดไกออกไปเลยแล้วง้างนกด้วยหัวแม่มือเวลายิงก็กดไกไว้แล้วปาดนก ด้วยฝ่ามืออีกข้าง บ้างก็พกสองกระบอกทั้งซ้ายและขวา บ้างก็ห้อยในซองกระบอกหนึ่งเพื่อพรางตาคู่อริ แต่ยังมีอีกกระบอกซุกไว้จะได้หยิบฉวยออกมาใช้ในยามจำเป็น

การพกปืนแบบต่างๆหรือการยิงแบบลวดลายอย่างที่ว่ามาที่จริงแล้วไม่เป็นที่ นิยมกันทั้งมือกฎหมายและโจร ในยุคนั้นคนพกปืนแบบแปลกๆอย่างนี้มีมากในคนจำพวกหนึ่งคือนักเลงปืนหน้าใหม่ พวกไก่อ่อน อ่อนหัด อยากอวดโก้ ท่ายะโส อยากดัง ทำทีว่าข้าเป็นมือปืนใหญ่เก่งฉกาจ ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีพิษสงอะไรเลย แบบนี้พวกคาวบอยแท้หรือนักเลงปืนเขาไม่ประพฤติกัน

พวกคาวบอยโดยทั่วไปเขาจะพกปืนกระบอกเดียวไว้ทางซ้ายหรือทางขวาแล้วแต่ถนัด ซองก็ธรรมดาแต่เขาจะรอบคอบมากกับการเลือกสรร ซองต้องเป็นแบบไม่มีฝาปิด ไม่เกะกะด้วยปุ่มปม ต้องแบบชักได้ง่ายยิงได้เร็วทันใจ ที่ต้องระวังอย่างหนักหนาอีกย่างคือ เรื่องเสื้อผ้าที่อาจจะรุ่มร่ามเป็นที่เกะกะกีดขวางระหว่างมือกับด้ามปืน

เมื่อยามเผชิญหน้ากับคู่ปรับถึงคราวเป็นคราวตายคาวบอยจะไม่แตะต้องลูบคลำปืน เหมือนในนิยาย เพราะการกระทำอย่างนั้นยามหน้าสิ่วหน้าขวานเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันผิดกาลเทศะอย่างมาก เท่ากับเป็นการยั่วยุให้ฝ่ายตรงข้ามชักปืนออกมายิงก่อน ที่สำคัญกว่านั้นคือปืนนั้นมีไว้เป็นเครื่องมือป้องกันตัวมีไว้ยิงมิใช่มี ไว้เพื่อข่มขู่ให้ใครเกรงกลัว

ถ้าปลดอาวุธศัตรูในนิยายมักจะเป็นอย่างนี้ – ถ้าไม่สั่งให้โยนปืนทิ้ง ก็ส่งปืนมาส่งทางด้ามมาก่อน อย่างนี้นักเลงรุ่นก่อนเขาไม่ทำกัน เพราะเขาย่อมรู้ดีว่าปืนที่หันด้ามมาก่อนจากมือคนอันตรายมันแสนจะอันตราย เนื่องจากนิ้วอยู่โกร่งไกปืน ถ้าเพียงตวัดปืนพลิกข้อมือนิดเดียวปากกระบอกจะหันเข้าหาคนขู่ทันที ดังนั้นวิธีการของนักเลงปืนยุคคาวบอยที่เขาจะทำคือสั่งให้โยนปืนทิ้งแล้วบอก ให้ถอยออกไปห่างๆ

เมื่อยามฉุกละหุกเขาจะยิงทันทีถ้าคิดว่าจำเป็น และโดยไม่รีรอลังเลแม้แต่น้อย เมื่อยิงมักยิงให้ตาย และยากที่นักที่กระสุนจะไปโดนคนอื่น จะได้เป็นพยานรู้เห็นว่าเขายิงเพื่อป้องกันตัวเอง ซึ่งกฎหมายเปิดทางให้

เมื่อพูดถึงการยิงแม่นเทียบกับคนทั่วไป ความแม่นปืนของคาวบอยมิได้เก่งกาจกว่าหรือด้วยกว่าเท่าใด ซึ่งอาจจะเก่งโดยสันดานหรือการฝึกซ้อมก็ตาม แต่คาวบอยเป็นพวกรู้จักใช้ปืน ซึ่งต้องใช้ด้วยความจำเป็น ตรงนี้มันช่วยเสริมความได้เปรียบไม่น้อยทีเดียว คาวบอยชอบใช้ปืนลำกล้องยาวน้ำหนักถ่วงพอดีถนัดมือ ทั้งชักเร็วและยิงแม่น ไม่ต้องส่องเล็ง

ยุคนั้นมีแต่พวกคาวบอยกับทหารที่ใช้ปืนพกแบบนี้ แต่ผิดกันที่ทหารต้องฝึกซ้อมยิงเป้าตามระเบียบข้อบังคับมีกระสุนไม่อั้นความ ตั้งใจจึงสู้พวกคาวบอยไม่ได้ เพราะกระสุนต้องควักกระเป๋าซื้อเองจึงต้องประณีตกับทุกนัดที่ลั่นออกไป และต้องขยันหมั่นเพียรซ้อมมือเสมอทั้งชักปืนได้เร็วทันอกทันใจและความแม่น

ด้วยการขยันหมั่นเพียรซ้อมมืออยู่เสมอ และด้วยปืนที่เหมาะมืออย่างนี้ เป้าวงกลมขนาด 2 นิ้ว ห่างออกไป 100 ก้าว เพียงเหลือบตามองแวบเดียวมือดีบางคนสามารถกระตุกปืนออกมาพ่นกระสุนเข้าใส่ อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

พวกคาวบอยมักถนัดยิงปืนพกมากกว่าปืนไรเฟิล ทั้งใช้บ่อยมากกว่าเพราะความมั่นใจในประสิทธิภาพไว้ใจได้ของมัน ปืนพกคู่มือคาวบอยมักเป็นด้ามไม้ธรรมดาเรียบๆไม่ถึงกับเป็นด้ามงาช้างหรือ ฝังมุก ถ้าด้ามเป็นโลหะก็มักจะเป็นสีดำหรือน้ำเงินแก่ ไม่เคลือบนิดเกิ้ลเหมือนในนิยาย

ป.ล. ยังมีต่ออีกสำหรับ ตอน "คาวบอยกับปืน" จะยาวสักหน่อย อาจจะขาดตอนในการอัพเดทไปบ้าง ขออภัยด้วยครับ

คาวบอยกับปืน (จบ)

ปืนมีติดตัวไว้ป้องกันตัว แต่บางทีอำนาจของมันสู้ท่าทีอันแข็งกร้าวเอาเรื่องของเจ้าของมิได้ สายตาอันแข็งกร้าวเย็นชาสำแดงความไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าโดย เฉพาะคนดังที่มีชื่อเสียงระบือลือลั่นว่าประสาทมั่นคงเป็นยอดนักเลงปืนไวและ แม่นยำ

อย่างตำนานหนึ่งในแดนคาวบอย เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองวิชิตา ฟอลล์ วันหนึ่ง จิม กรีน ได้ยินว่ามีมือปืนหลายคนคบคิดกันมาฆ่าคนกำลังสุมหัวเมาเอะอะกันอยู่ในซาลูน เขาขี่ม้าลุยประตูเข้าไปยืนม้าอยู่กลางโรงเหล้า แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบราบแต่หนักแน่นกวาดสายตาแข็งกร้าวเย็นชาไป รอบๆ “ท่านสุภาพบุรุษ เราได้ยินมาว่าทุกท่านอยากพบ อยากซัดเหล้ากับเรามิใช่รึ” มือปืนทั้งหลายปิดปากสนิทราวกับใบ้กินไม่มีใครที่จะแตะปืน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า จิม กรีน คนนี้มือแน่แค่ไหน แล้วยอมรับเลี้ยงเหล้าโดยดี จิม เลยไม่ต้องเปลืองกระสุน ตามกติกาตะวันตกผู้ใดเกิดความแค้นอยากเข่นฆ่าผู้ใด ถ้าได้ร่วมวงก๊งเหล้ากับผู้นั้นแล้วจะฆ่าคนผู้นั้นด้วยสาเหตุเดิมไม่ได้ แต่ถ้ายังอยากจะหาเรื่องฆ่าให้จงได้ก็จะต้องกาเรื่องตีรวนชวนทะเลาะหาเหตุ ใหม่

จิม กรีน พาตัวเสี่ยงเข้าไปในกลางวงศัตรูวันนั้น ปรากฏภายหลังว่าเขาไม่ได้พกปืน แต่ก็รอดปลอดภัย เพราะไม่มีใครกล้าหือ จากความโด่งดังในฝีมืออันลือลั่นที่สั่งสมมานานปี เพราะรู้ตัวว่าไม่ได้พกปืน จำต้องวางท่าเขื่องของผู้มีฝีมือลือลั่นเป็นการชิงความได้เปรียบไว้ก่อน นักเลงปืนฉกาจอย่างนี้แม้ว่ามีปืนก็สามารถเลี่ยงการปะทะได้ เพียงแค่ทำตัววางท่าทีไว้เชิงข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม หรือทำเป็นวางเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เมื่อเจอคู่อริ แต่หากจำเป็นจวนตัวก็สามารถฉกยิงได้ทันทีในชั่วพริบตา

ในยุคตะวันตกแดนเถื่อนปืนคือกฎหมายตัดสินกันด้วยกระสุนมีบ่อยพกความแค้น เกิดอยากฆ่าใครสักคนหนึ่งที่คิดหมายตาไว้ทั้งยังได้ประกาศบอกกล่าวล่วงหน้า ถึงความตั้งใจ แสดงว่าข้าแน่จริง นักฆ่าจำพวกอวดตัวและตากหน้าหาเรื่องใส่ตัวทำนองนี้มักจะเที่ยวเสาะหานักเลง ปืนชื่อเด่นดัง เพื่อทดสอบลองดีอยากรู้ว่าแน่จริงหรือไม่ มากกว่าที่จะเสาะแสวงหาคนที่คิดหมายตาไว้จริงๆ แต่บางทีก็โคจรไปเจอเข้าจังๆ ถ้าเหตุการณ์แบบนี้คนแส่หาเรื่องนั่นแหละที่จะได้แผล เพราะทั้งที่รู้จักจำได้แม่นแล้วคนนี้นี่คือคนที่ต้องการตัว แต่พอเจอเข้าจังๆหน้ากลับไม่กล้าหรือไม่อาจปลุกปลอบใจขยับเขยื้อนมือได้

ปืนพกประจำตัวของพวกคาวบอยนอกจากมีไว้ประจำตัวแล้ว เสียงปึงปังของมันก็เป็นเครื่องมือแห่งการเฉลิมฉลองเมื่อมีเหตุอันควร หรือเมื่อยามนึกสนุกขึ้นมาและบางทีก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเองสักนิด แต่เมื่อคราวต้องเฉลิมฉลองกันเขาจะยิงปืนขึ้นฟ้าหรือลงดินจะได้ไม่มีใครถูก ลูกหลง ยิงกันโป้งป้างพร้อมกับเสียงโห่ร้อง บางทียิงด้วยฤทธิ์เมาเมื่อเหล้าเข้าปากนึกครึ้มขึ้นมาก็เปรี้ยงป้างโดยเฉพาะ เวลาเข้ากลุ่มเดียวกัน เล่นเอาชาวบ้านสะดุ้งกันเป็นแถว แต่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร เหมือนเป็นธรรมเนียม

เช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงที่หน้าสถานีรถไฟเกลนไดรฟ์มีคาวบอย 6-7 คนนั่งอยู่บนหลังม้าแถวหน้าสถานี มองดูผู้โดยสารลงจากรถไฟ หนึ่งในผู้โดยสารแต่งตัวท่าทางบ่งบอกว่าเป็นหนุ่มนักศึกษา เด็กหนุ่มคนนั้นเดินก้มหน้าก้มตางุดๆอยู่บนชานชาลา พักใหญ่ก็มีขบวนรถไฟมาเทียบที่สถานี มีผู้โดยสารคนหนึ่งค่อนข้างมีอายุลงมาจากรถ พอเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มแกก็ร้องทัก “เฮ้-จิม ยินดีด้วยนะทีมเธอชนะทีมเราขาดลอย 10 ต่อ 0 เลย...” ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็กระโดดโลดเต้นโห่ฮิ้วส่งเสียงไปทั่ว แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักทันควันเมื่อเสียงปืนแผดสนั่นเปรี้ยงป้างมากจากทาง หน้าสถานี คาวบอยกลุ่มนั้นนั่นเองที่ชักปืนยิงขึ้นฟ้าเสียงสนั่นเป็นชุด หญิงมีอายุคนหนึ่งคงรู้สึกฉงนจนอดไม่ได้จึงเข้าไปถามคาวบอยกลุ่มนั้นทำนอง ว่ายิงปืนฉลองอะไรกันรึ คำตอบคือ “ไม่มีอะไรหรอก เห็นไอ้หนุ่มคนนั้นมันดีอกดีใจอยู่คนเดียว เราก็เลยช่วยดีใจกับมันด้วย”



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:43  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8055

คำตอบที่ 42
       ประโยชน์ของปืนไรเฟิล
ปืนไรเฟิล พวกคาวบอยไม่ค่อยนิยมพกพากัน ยกเว้นในบางกรณีเมื่อเกิดสถานการณ์จำเป็นจะต้องใช้ เช่น เมื่อเดินทางไกลไปล่าสัตว์ใหญ่ เพราะการพกกาปืนไรเฟิลไปไหนมาไหนเป็นภาระหนักและยุ่งยากไม่ใช่กับคาวบอยแต่ เป็นกับม้า ไหนจะเก้งก้าง ไหนจะหนัก เขาจะสอดมันไว้ในซองข้างอานม้า บ้างก็ห้อยไว้ที่หัวอานแต่โดยทั่วไปจะห้อยขนาบข้างตัวม้าให้พานท้ายหันไป ข้างหน้า สอดอยู่ใต้โกลนไม่ให้กระทบสีข้างม้า และเพื่อสะดวกแก่การใส่อานปลดอานทั้งไม่เกะกะคนขี่

ในช่วงต้นๆปี 1870 ปืนไรเฟิลจะยี่ห้อๆไหนก็ตามมักเรียกปืน “วินเชสเตอร์” บางทีก็เพี้ยนเป็น “วอร์สเตอร์” สั้นๆ ยกเว้นบางแบบที่ทำมาเฉพาะสำหรับล่าควายป่าก็จะเรียกว่า “ปืนล่าควาย” แต่ถ้าเรียก “ปืน” เฉยๆ จะมีความหมายเดียวคือ “ปืนพก” เท่านั้น ส่วนปืนลูกซองก็เรียกคล้ายๆบ้านเรา ที่บ้านเราเรียกว่า “ปืนดาวกระจาย” แต่ทางตะวันตกเรียกว่า “ปืนกระจาย” มีพกพากันในหมู่นักเลงปืนหน้าใหม่ นิยมกระสุนที่อัดด้วยตะปูหรือไม่ก็ลูกปราย แต่ยกเว้นชนิดลำกล้องสั้นพวก “ม้าด่วน” ที่มีภาระส่งจดหมายและข่าวสารด้วยม้าซึ่งต้องควบขับได้เร็วจะนิยมใช้ปืนชนิด นี้

ความจำเป็นอย่างหนึ่งในการใช้ปืนไรเฟิลของพวกคาวบอยคือ ตอนไล่ต้อนฝูงม้าป่า รวมทั้งม้าที่ฝึกเชื่องแล้วและยังไม่เชื่อง ซึ่งบางทีมีความจำเป็นจะต้องจัดการ “สยบ” ด้วยการยิง หรือทำให้มันเกรงกลัว แต่พวกคาวบอยจะใช้วิธีนี้เมื่อจะเป็นจริงๆเท่านั้น การสยบม้าป่าหรือม้าพยศเขาเรียกตามภาษาของเขาว่า CREASING คือ ทำให้มันพับไป นี่เป็นวิธีสยบม้าที่ได้ผล คือ ยิงให้ทะลุส่วนคอด้านบน ยิงเพียงให้ถูกแต่ไม่เป็นอันตรายต่อกระดูกอ่อนของมัน และไม่ถึงชีวิต แต่ทำให้มันสลบหรือซึมไปพักใหญ่

การปราบม้าพยศด้วยวิธีนี้ในยุคบุกเบิกตะวันตกถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องการ ปราบด้วยวิธีนี้หรือวิธีอื่นๆมันเป็นสิ่งจำเป็นของคนกลุ่มหนึ่งที่ทำมาหา เลี้ยงชีพด้วยการไล่ต้อนจับม้าป่าไปขาย

ปืนไรเฟิลนอกจากประโยชน์ด้งกล่าวแล้ว บางทีก็มีประโยชน์อีกอย่างคือ เมื่อยามต้องการขอความช่วยเหลือ เมื่อตัวเองหรือผู้อื่นประสบภัยและต้องการความช่วยเหลือ เพราะเสียงของปืนไรเฟิลมันด้งกว่าเสียงปืนพกมาก การยิงปืนบอกเหตุอันตรายและต้องการความช่วยเหลือนั้นมีธรรมเนียมอยู่ว่าให้ ยิง 3 นัด เว้นระยะห่างเท่าๆกัน และมีธรรมเนียมต่อไปที่ไม่มีอะไรมาทำลายได้คือ ผู้ใดได้ยินเสียงสัญญาณเช่นนั้นแล้วจะต้องรีบรุดไปยังต้นเสียงทันที

อาวุธคู่มือของคาวบอยนอกจากปืนแล้วยังมีชิ้นสำคัญที่แทบจะขาดเสียมิได้เลย นั่นคือ มีดและบ่วงบาศ พวกคาวบอยชอบพกมีดยาวกันมาก มีไว้ป้องกันตัวยามฉุกเฉินหรือเป็นอาวุธเสริมจากปืน มีดที่เหมาะมือสำหรับใช้เป็นอาวุธที่นิยมพกพากันมากระหว่างยุคอินเดียนแดง อาละวาดคือมีดใบยาว ถ้าอยู่ในมือคนที่หมั่นฝึกฝนจนชำนาญ จะสามารถใช้ได้คล่องแคล่ว ในระยะห่าง 30 ก้าว เขาสามารถกระตกมีดจากซองขว้างใส่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ยังมีบ่วงบาศ เมื่อมันห้อยสงบนิ่งอยู่ที่ไหล่คาวบอยหรือห้อยอยู่ข้างอานม้ามันก็เชือกเส้น หนึ่งเชือกธรรมดาๆ แต่ถ้ามันอยู่ในมือคาวบอยที่ช่ำชอง มันจะดิ้นได้อย่างมีชีวิตชีวาและร้ายกาจกว่างูเสียอีก เพราะคนใช้สามารถควบคุมมันได้ดั่งใจหมาย สามารถใช้พิชิตได้ทั้งม้าทั้งวัวและคน นอกจากนั้นหากจำเป็นก็ได้อาศัยทำกั้นรั้วล้อมฝูงปศุสัตว์เป็นคอกชั่วคราว เมื่อต้อนฝูงปศุสัตว์ไปขาย







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:44  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8056

คำตอบที่ 43
       คาวบอยกับม้า
คาวบอยถ้าขี่ม้าไปไหนมาไหนคนเดียวระยะทางไกลๆ เขามักจะหาเรื่องคุยกับม้าคู่ขาของเขาไปเรื่อยๆ อย่างคาวบอยหนุ่มคนหนึ่งนาม “อัล สมิธ” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักขี่ม้าชั้นยอดคนหนึ่ง ทำงานอยู่ในไร่ “เอ็ม-เค” เมื่อครั้งเกิดติดตาต้องใจตกหลุมรักครูสาวคนหนึ่งที่บัฟฟาโลฟอร์ด เมืองข้างเคียง ด้วยหัวใจเรียกร้องต้องควบม้าไปหาแทบทุกวัน ตอนขากลับเหยาะย่างม้ามาเรื่อยๆกลางทุ่งกว้าง เขาจะเล่าเรื่องที่ได้พูดคุยกับครูสาว ความรักความคิดถึงที่เขามีต่อครูสาวให้ม้าคู่ชีพฟังตลอดทาง แต่กับเพื่อนร่วมงานเขาไม่เคยปริปากเลย จะเล่าให้ฟังก็กับแต่ม้าคู่ใจเท่านั้น

กล่าวกันว่าการทำตัวสนิทสนมพูดคุยกับม้าคู่ชีพอย่างนี้เป็นเพราะความเหงา หรือเพื่อระบายอารมณ์อย่างหนึ่งของเหล่าคาวบอย หรือบางทีเพราะเพื่อกลบเกลื่อนไม่อยากแสดงความอ่อนแอ

กับม้าคู่ชีพเจ้าของจะตั้งชื่อให้มันแล้วแต่ความพอใจว่าอยากเรียกมันว่า อย่างไร ส่วนมากไม่มีความหมายอะไร เพียงเพื่อสะดวกแก่การเรียกขายเท่านั้น ความน่ารักของม้าบางตัวถ้าใครรักม้าแล้วได้คุยกับคาวบอยเก่าในถิ่นปศุสัตว์ ฟังเขาเล่าเรื่องวีรกรรมม้าก็จะได้ยินเรื่องน่าตื่นเต้นน่าประทับใจมากมาย

บางเรื่องฟังแล้วแทบไม่น่าเชื่อ นักเขียนรู้แล้วคงไม่กล้าเอาไปเขียนเพราะเกรงว่าคนอ่านอ่านแล้วจะคิดว่าเป็น เรื่องโกหกมดเท็จปรุงแต่งขึ้นเอง อย่างเรื่องของยอดม้าตัวหนึ่ง เล่ากันว่ามันมีนิสัยขี้เล่นค่อนข้างจะทะลึ่งตึงตังด้วย แต่เมื่อถึงคราวคับขัน มันจะสะกดสันดานเดิมไว้ แล้วบุกบั่นพานายของมันไปทุกที่ ไม่ว่าจะลุยหิมะหรือฝ่าทะเลทราย มันจะลุยอย่างทรหดไม่คำนึงถึงชีวิต วันหนึ่งถึงคราวหมดเรี่ยวแรงเจียนล้มตาย มันสลัดนายบนหลังออกไปอย่างปลอดภัยโดยมิให้แผ้วพานอันตรายใดๆก่อนตัวมันเอง จะทรุดลงนอนแผ่ทำตาปริบๆ เจ้าของต้องตัดใจยิงมันทิ้งเพื่อไม่ให้มันทรมาน

หรือเจ้าตัวที่ควบหลังเปล่าตะบึงอานหลุดลุ่ยจากหลังห้อยอยู่ข้างหนึ่งและโชก ด้วยคราบเลือด แสดงว่านายของมันมีภัย มันอาจส่งเสียงร้องผงกหน้าผงกหลังเรียกร้องความสนใจจากผู้คน หากชักช้าไม่รีบไปช่วยมันอาจงับเอาใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ คล้ายจะเตือนว่าเร็วๆหน่อยอะไรทำนองนั้น

จริงอยู่มันอาจไม่ฉลาดแสนรู้อย่างที่ว่ามาทุกตัว แต่ตัวที่แสนฉลาดแสนรู้มีอยู่แน่นอน ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจเมื่อมีใครไปเห็นภาพประทับใจที่มุมใดมุมหนึ่งใน อเมริกายุคตะวันตกแดนเถื่อน อาจจะซุกอยู่กลางดงสน กลางป่าละเมาะ หรือหรือกลางป่าหุบเขา สิ่งที่ว่านั้นอาจเป็นแผ่นไม้ถากหยาบๆหรือแผ่นหิน มีตัวหนังสือโย้เย้ยุกยิก บ้างก็มีรอยไหม้ที่แสดงว่าจี้จารด้วยเหล็กเผาไฟ และบ้างก็แกะด้วยของมีคมบ้างก็สะกดอักษรผิดๆถูกๆ ปักไว้เหนือเนินดิน เหล่านั้นคือคำไว้อาลัยที่คาวบอยมีต่อม้าคู่ชีพของเขา ดังตัวอย่างนี้

JIM
A reel hors
Oct 1,82
รายนี้สะกดผิดๆถูกๆ แสดงว่ามีการศึกษาน้อย แต่ก็ยังอุตส่าห์เขียนไว้อาลัย

“I’m HERE”
The very Best of Cow Ponies,
A Gallant, Little Gentle man.
Died on this spot, Sept.3,1890.
รายนี้ชมม้าคู่ชีพเป็นยอดม้า เป็นสุภาพบุรุษตัวน้อยๆ รูปงามเจ้าชู้กรุ่มกริ่ม

“WHAT NEXT”
Born …., 1886 at ….
Died July 16,1892, near Ft, Washakie, Wyo.
He had the Body of a Horse,
The spirit of a Knight, and
The Devotion of a man
Who Erected this Stone.
รายนี้ต้องเป็นคนรักม้าคู่ชีพมาก ชมว่าร่างมันเป็นม้าหากจิตใจห้าวหาญกล้าดุจอัศวินผู้ซื้อสัตย์จงรักภักดียิ่งนัก

แม้จะรักปราณีปานใด แต่เมื่อบาดเจ็บป่วยหนักหรือล้มไม่ลุก อย่างนี้เจ้าของต้องตัดใจทำลาย ยิงทิ้งเพื่อไม่ให้มันทรมานด้วยกระสุนนัดเดียวจ่อเข้ากกหู






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:46  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8057

คำตอบที่ 44
      





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:49  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8058

คำตอบที่ 45
       ให้ข้อมูลวิถีชีวิตคาวบอย ต้องขอโทษยาวไปหน่อยและทำให้ตาลาย





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.204.198.68 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:52  IP : 223.204.198.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8059

คำตอบที่ 46
       มาสนุกด้วยกันนะครับพี่ท่านทั้งหลาย





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.207.80.65 พุธ, 28/12/2554 เวลา : 10:39  IP : 223.207.80.65   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8065

คำตอบที่ 47
      





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

psuwar จาก ซิก 124.121.5.56 พุธ, 28/12/2554 เวลา : 13:42  IP : 124.121.5.56   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8067

คำตอบที่ 48
       แดนปศุสัตว์
ราวปี 1848 มีชาวอเมริกันกลุ่มใหญ่พากันมุ่งไปแสวงโชคทางตะวันตก ผ่านอิลลินอยส์หุบเขาไอโอว่า บ้างก็ไปถึงโอไฮโอ เลยแนวแม่น้ำมิสซิสซิปปีไปเล็กน้อย เลยจากนั้นไปมีแต่พวกดักสัตว์ อินเดียนแดง พ่อค้าเร่หากินอยู่กับคนแถบนั้น และฝูงม้าป่าที่ร่อนเร่หากินเป็นฝูงขึ้นไปจากเท็กซัสซึ่งเป็นที่ถูกใจพวก อินเดียนแดงที่ชำนาญเรื่องม้า ปลายปีนั้นมีข่าวแพร่มาจากฝั่งแปซิฟิกตะวันออกว่ามีผู้พบแร่ทองคำที่ ซัตเตอร์มิลล์ทำให้พวกนักแสวงโชคแห่กันไปสู่แคลิฟอร์เนีย คนที่พากันบุกเบิกตั้งรกรากแถบตะวันตกรุ่นแรกๆเหล่านี้เมื่อไปเจอฝูงม้าป่า เข้าตำนานคาวบอยในแดนปศุสัตว์ตอนเหนือจึงเกิดขึ้น คนพวกนี้เก่งเรื่องม้าอยู่แล้ว พอมาเจอฝูงม้าป่าก็คิดจับมาเลี้ยงฝึกให้เชื่องไว้ใช้งานหรือขาย แล้วไร่ปศุสัตว์ทางตอนเหนือก็เริ่มเกิดค่อยๆ ขยายจนใหญ่โต

การทำไร่ปศุสัตว์แถบเหนือก็ไม่แตกต่างจากแถวตะวันออกเฉียงใต้ของเท็กซัส นัก เนื่องจากคนรู้งานทางใต้ที่ร่อนเร่ขึ้นไปถ่ายทอดวิชาให้ วันเวลาล่วงไป ชาวไร่ตอนเหนือและนักบุกเบิกรุ่นหลังๆ ค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปทางตะวันตกอย่างช้าๆ ที่ช้าเพราะต้องหลีกเลี่ยง-ผลักดันอินเดียนแดง และไม่ให้ไกลจากตลาดข้างหลังมากนัก จนกระทั่งราวปี 1860 ก็มิได้เคลื่อนย้ายคืบหน้าไปอีก

ในเนบราสกา ซึ่งมีไร่ปศุสัตว์กระจายอยู่ก่อนก็ค่อยๆ ขยายไปทางตะวันตกเช่นกัน ตามเส้นทางที่เรียกว่า “โอเวอร์แลนด์เทรล” อยู่ห่างจากแม้น้ำมิสซิสซิปปี้ไปทางตะวันตกราว 150 ไมล์ ลึกเข้าไปทางตะวันตกจากไร่ปศุสัตว์เหล่านี้ไปตามเส้นทางโอเวอร์แลนด์เทรล ยังมีไร่ปศุสัตว์ของนักบุกเบิกใจกล้าอยู่บ้าง พวกนี้เป็นพวกไม่กลัวอินเดียนแดง เลี้ยงวัวขายเนื้อให้แก่คนโดยสารรถม้าที่ผ่านไป-มา ข่าวคราวใดๆ ที่คนเหล่านี้รับรู้จากคนภายนอกต้องอาศัยจากแผ่นป้ายแจ้งข่าวที่นายไปรษณีย์ ตามสถานีรถม้าต่างๆ รายทาง เช่น จุลส์เบิร์ก, เด็นเวอร์, ไชแอน, เวอร์จิเนีย ติดบอกไว้เป็นครั้งคราว เช่น “วันนี้ไม่มีถุงเมลล์จากตะวันออก” นั่นแสดงว่ารถส่งข่าวถูกโจมตีจากเหล่าอินเดียนแดง และถ้ามีใครผ่านจุดตรงที่ถูกโจมตีก็จะมีการเขียนชื่อคนตาย วันเดือนปีที่เกิดเหตุ และระบุว่าถูกอินเดียนแดงฆ่า เป็นบรรทัดสุดท้าย

บางไร่โชคดีที่อยู่ใกล้สถานีรถม้า ข่าวคราวจากโลกภายนอกรับฟังได้ง่ายจากผู้คนที่มุ่งหน้าไปตะวันตก สถานีรถม้าโดยสารในยุคนั่นตั้งอยู่ห่างกัน 10-15 ไมล์ ทุกสถานีจะเตรียมม้าสำรองไว้ให้รถทุกคันที่แวะจอด สายดังสายหนึ่งคือ “โพนีเอ็กซเพรส” แล่นจากเมืองเซนต์โจในมิสซูรี่ไปยังเมือง ซิคราเมนโต ในแคลิฟอร์เนีย

ตามเส้นทางโอเวอร์แลนด์เทรลนี่เองที่ชาวปศุสัตว์ทางตอนเหนืออพยพคืบหน้าสู่ บริเวณที่เรียกว่า “แดนปศุสัตว์” ตกถึงปี 1860 มีมากมายที่หยุดตั้งรกรากอยู่แถบริมทางมาถึงช่วงนี้เข้ายุคเริ่มการก่อสร้าง ทางรถไฟ แม้จะมีอุปสรรคสงครามกลางเมืองทางรถไฟก็รุดหน้าเริ่มต้นไปเรื่อยๆ สู่แคนซัสและข้ามความกว้างของเนบราสกาไปถึงไวโอมิ่งในปี 1867 อีกสองปีต่อมาก็ทอดความยาวเชื่อมความกว้างของประเทศได้ตลอด การรังควานจากอินเดียนแดงแทบไม่มีเพราะถูกรัฐบาลปราบต้อนไปอยู่ในนิคม แม้จะมีบ้างก็น้อยและบางจุดและหมดไปในปี 1867 เมื่อหมดปัญหาอินเดียนแดงชาวไร่ปศุสัตว์ลืมตาอ้าปากได้ เนื่องจากการต้อนฝูงสัตว์ไปขายก็สะดวกขึ้นและยังมีรถไฟอำนวยความสะดวกเมื่อ ต้องไปขายไกลๆ อีกด้วย การต้อนฝูงวัวขึ้นเหนือจากเท็กซัสนี้เริ่มตั้งแต่ปี 1866



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 171.4.74.89 จันทร์, 2/1/2555 เวลา : 10:12  IP : 171.4.74.89   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8069

คำตอบที่ 49
       เจอกันเมื่อชาติต้องการครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

pomtlrc จาก ป๋อม ตาลบูด 203.131.208.114 พฤหัสบดี, 5/1/2555 เวลา : 13:19  IP : 203.131.208.114   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8079

คำตอบที่ 50
       วันนี้ฝนตกไม่รู้วันเสาร์อากาศโปร่งหรือเปล่า ของขวัญก็ยังไม่ได้หา ชุดคาวบอยก็ไม่มี ติดขัดไปหมดสงสัยอดไปเจอตัวเป็น ๆ แน่แล้ว



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

สมยศ 60 จาก สมยศ 124.121.210.117 พฤหัสบดี, 5/1/2555 เวลา : 16:14  IP : 124.121.210.117   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8081

คำตอบที่ 51
       ไปที่สนามมีฝนตลอดครับ เหมือนกับว่าทีมงานจะบนขอฟ้าขอฝนตลอดครับเพราะไปทีไรฝนตกทุกทีครับ
ของขวัญไม่มีก็เข้างานได้ครับ ยินดีต้อนรับเสมอ
ชุดคาวบอยไม่มีไม่เป็นไรครับ กางเกงยีนเสื้อเชิ้ต ทดแทนกันได้ครับ

อยากให้ไปร่วมงานกันเยอะๆครับ




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

psuwar จาก ซิก 124.121.6.165 พฤหัสบดี, 5/1/2555 เวลา : 16:39  IP : 124.121.6.165   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8082

คำตอบที่ 52
       กำลังจะออกเดินทาง ตื่นเต้น ไม่เคยไปไกลจากบ้านเลย เป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้มา ยังไม่มีชื่อเลยถ้าไปถึงแล้วช่วยตั้งชื่อให้ด้วย



เสือจ่อยครับ พี่สมยศบอกว่ายังไม่มีชื่อ ช่วยตั้งชื่อให้ด้วย อิอิ ตั้งชื่ออะไรดี ?02?
จาก : EL RIFLE(EL RIFLE) 13/1/2555 13:32:16 [49.49.89.235]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

สมยศ 60 จาก สมยศ 171.96.21.170 เสาร์, 7/1/2555 เวลา : 12:50  IP : 171.96.21.170   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8092

คำตอบที่ 53
       กลับมาแล้วเช่นกันครับ
งานนี้อบอุ่นมากได้เจอพี่ๆเพื่อนๆหน้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นครับ สถานนี้บรรยากาศดีจริงๆ ยิ่งดึกยิ่งหนาวไม่มียุงสบายมากๆ พี่ๆเพื่อนๆน่ารักเป็นกันเอง
ขอบคุณทุกๆท่านที่มาร่วมงานครั้งนี้
ขอบคุณพี่เบิ้มเจ้าของสนาม
ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทุกๆคนครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

bankclub จาก BANKCLUB 110.77.208.202 จันทร์, 9/1/2555 เวลา : 17:47  IP : 110.77.208.202   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8094

คำตอบที่ 54
       ออกเดินทางไปราชบุรีวันศุกร์กลับถึงบ้านที่ปราจีน 15.00 ของวันที่จันทร์ เป็นการสิ้นสุดของทริปภายในประเทศที่ยาวนานพอสมควรสนุกมาก ขอขอบคุณ น้องๆ เพื่อนๆและพี่ใหญ่ทุกท่านที่ปรุงแต่งให้ทริปนี้ ออกมาดีมากๆขอขอบคุณครับ ป้าง ป้าง ป้าง





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

EL RIFLE จาก EL RIFLE 223.206.166.32 จันทร์, 9/1/2555 เวลา : 17:49  IP : 223.206.166.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8095

คำตอบที่ 55
      





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

psuwar จาก ซิก 124.121.5.56 พุธ, 28/12/2554 เวลา : 13:26  IP : 124.121.5.56   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8097

คำตอบที่ 56
       สถานที่จัดงานปีใหม่ 2555 เป็นที่เคยจัดงานแลนด์เดย์ครั้งที่ 7 เมื่อสองปีที่แล้วครับ
ตามรูปครับผมไปเอาภาพเก่ามาให้ครับ







ขอบคุณ หาของขวัญก่อน ของพร้อม รถพร้อม แล้วเจอกัน
จาก : สมยศ 60(สมยศ 60) 29/12/2554 18:06:43 [124.120.227.4]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

psuwar จาก Six @.net 124.121.58.193 พฤหัสบดี, 29/12/2554 เวลา : 15:16  IP : 124.121.58.193   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8098

คำตอบที่ 57
       กลับถึงบ้าน 17.30 ทางพระราม2 มีรถชนกันหลายคู่ รถติดหน่อย แต่ หลายจุด

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ ผู้ที่เข้าร่วมงานทุกท่าน และทีมงานจัดงานนี้ขึ้นมานะครับทุกท่านเลย

ขอขอบคุณพี่เบิ้ม แลนด์ตะนาวศรี สำหรับสถานที่ เวที ไฟฟ้า ห้องน้ำและบ้านพัก พร้อมสนามโหดๆให้ออกกำลัง

ขอขอบคุณ พี่ๆโอ้แม่ยายออฟโรด กับ ทีมงานแม่ครัวชุดใหญ่

ขอขอบคุณ พี่โจ พี่เอ๋ พี่อ๋อ เครื่องดื่ม อาหารทานเล่นและครัวเคลื่อนที่

ขอขอบคุณ พี่สอง พี่เอวล์ ไรเฟิล พี่อู๊ด สำหรับ หมูหัน ไก่ทอดและแพะหัน

ขอขอบคุณ พี่ๆกลุ่ม Landrover4Hobby กับสินค้าประมูลเพื่อนำไปเข้ากองทุนบริจาคของโรงเรียน เลภะสุคี

ขอขอบคุณ ทุกท่านที่นำของมาร่วมบริจาคเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือเด็กๆครับ

ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมประมูลสิ่งของครับ

ขอขอบคุณ พี่ต้นราชบุรีแลนด์เขากระโจม เจอะกันตั้งแต่ก่อนวันงาน งานนี้ประมูลไปเยอะมาก พร้อมจ้างพิธีกรลงจากเวที อันนี้ฮา ได้ค่าตัวมาหลายพัน

ขอขอบคุณพี่ไพรัส ก็ร่วมประมูลไปเยอะเหมือนกันจาก พัทยา ชลบุรีกลุ่มแลนด์ภาคตะวันออก

ขอขอบคุณ พี่เทียนและเพื่อน ออฟโรด หัวหิน เพชรบุรีและประจวบ


 แก้ไขเมื่อ : 9/1/2555 12:21:24

 แก้ไขเมื่อ : 9/1/2555 14:22:00



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

psuwar จาก Six@.Net 124.122.4.238 จันทร์, 9/1/2555 เวลา : 11:16  IP : 124.122.4.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8101

คำตอบที่ 58
       กลับมาแล้วครับ ใครมีรูป เอามาลงเผื่อแผ่ให้ท่านที่ไม่ได้ไปด้วยนะครับ

รถกว่า 50 คัน คนอีกร่วมร้อย จัดอย่างเป็นกันเองและอบอุ่นมากครับ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Korn Disco จาก Korn Disco V8 110.168.115.138 จันทร์, 9/1/2555 เวลา : 11:19  IP : 110.168.115.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8102

คำตอบที่ 59
      





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Korn Disco จาก Korn Disco V8 110.168.115.138 จันทร์, 9/1/2555 เวลา : 11:21  IP : 110.168.115.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8103

คำตอบที่ 60
       พี่เบิ้มใจดีมากครับ กำลังจัดตกแต่งสถานที่ให้เข้ากับรูปแบบงานคาวบอย ตอนนี้กำลังทำป้ายไม้ติดหน้างานประกอบเวทีครับ พร้อมที่นั้งกองฟาง อย่าลืมหาชุดคาวบอยเท่ย์ๆสวยๆไปสร้างสีสรรค์ในงานกันด้วยนะครับ

 แก้ไขเมื่อ : 29/12/2554 21:24:35





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

psuwar จาก ซิก 101.51.236.172 พฤหัสบดี, 29/12/2554 เวลา : 21:21  IP : 101.51.236.172   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 8107

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  4  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพุธ,24 เมษายน 2567 (Online 3242 คน)