WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


ห้องเงียบๆอ่านนิยายกันดีกว่า "ทหารรับจ้างเดนตาย"
phumjai
จาก PhumJai
IP:171.6.106.138

จันทร์ที่ , 17/6/2556
เวลา : 18:33

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       ทหารรับจ้างเดนตาย เรื่องของทหารรับจ้างชาวไทย ในสมรภูมิลาว งานเขียนของสยุมภู ทศพล

ที่มา : THAIAIRSOFTGUN






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  

คำตอบที่ 61
       ทหารรับจ้างเดนตาย
ตอนที่ 1 ทหารผี (จบในตอน)
รัตติกาลครอบคลุมฐานปฏิบัติการกองพันทหารรับจ้างที่ 616 ซึ่งตั้งฐานอยู่บนยอดเนิน “เดลต้า-แยงกี้” จนมืดมิดไปหมดทั้งขุนเขา แนวสีดำที่คาดขึงอยู่อยู่รอบๆด้านมองดูเหมือนกับผ้าม่านผืนมหึมาที่โรยตัวลงมาปิดกั้นภูมิประเทศดังกล่าวเอาไว้โดยรอบ
สนามบินซำทอง ซึ่งมองเห็น และไฟวอมแวมอยู่เป็นประจำ บัดนี้...เงียบ...สนิท เหมือนกับสนามบินร้าง
ข่าวคราวของทหารเวียดนามเหนือที่กำลังจะเคลื่อนย้ายกำลังพลเข้ามาใกล้ฐานปฏิบัติการ...สร้างความระแวดระวังให้กับทหารรับจ้างเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ
เวร...ยามที่เคยหลับเป็นประจำ ต่างก็พากันนั่งถ่างตาคอยสังเกตุความเคลื่อนไหวของสิ่งผิดปกตินอกแนวลวดหนามด้วยจิตใจเต้นระทึก
ความสามารถของทหารหน่วยแซปเปอร์ (กล้าตาย) เวียดนามเหนือที่เคยแหกกับระเบิด ขึ้นมาเชือดคอทหารรับจ้างถึงข้างบนฐานปฏิบัติการสร้างความหวาดผวาขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
ผม,ไอ้โล้น, (รอง ผบ.หมวด) และเจ้าดำพนักงานวิทยุจอมกะล่อนครึ่งนั่งครึ่งหมอบอยู่ใน “ร่องสนามเพลาะ” ส่งสายตาตรวจการณ์ลงไปยังหุบลึกเบื้องล่าง อันเป็นขุมกำลังของข้าศึกด้วยความตั้งอกตั้งใจยิ่งกว่าทุกครั้ง
“หมวด ถ้าข่าวกรองของซี.ไอ.เอ.แน่นอน ผมคิดว่าป่านนี้ ไอ้แกวคงจะเคลื่อนที่เข้ามาอยู่ในหุบลึกนี่กันให้คลักไปหมดแล้วก็ได้ เมื่อตอนเย็นอาวุธหนักถล่ม ค 4.2 ลงไป 5 นัด ผมสังเกตุเห็นระเบิดซ้อนขึ้นมาตั้ง 7-8 ครั้ง คงจะโดนลูกปืนครกของมันระเบิดแน่ๆ รึหมวดว่ายังไง”
ไอ้โล้นหันมาถามผมเอาดื้อๆ
ผมยังไม่ทันตอบไอ้โล้น “เจ้าดำ” ซึ่งมองเขม็งลงไปเบื้องล่าง ไม่ยอมพูดจากับ ก็โวยวายออกมาค่อนข้างดัง
“ไฟ... หมวด...โน่น ทางขวามือโน่น หนึ่ง,สอง,สาม,สี่ โอ้โห แสงของมันหยั่งกับสปอร์ตไล้ท์เลยครับ”
จริงเหมือนอย่างที่เจ้าดำพูดไม่มีผิด แสงไฟสี่จุด สว่างจ้าเป็นทางยาวเหมือนกับแสงสปอร์ตไล้ท์ ความสว่างไสวของมัน สาดขึ้นท้องฟ้าเป็นมุมกว้างเหมือนกับแสงไฟจากปืนต่อสู้อากาศยานที่ส่องค้นหาเครื่องบินในเวลากลางคืนเลยทีเดียว
เป็นที่น่าสังเกตุว่า ทิศทางของไฟเคลื่อนที่เข้าหาฐานปฏิบัติการของพวกเราอยู่ตลอดเวลา
และจากลักษณะดังกล่าว ดูคล้ายๆกับพวกมันจะพากันปีนขึ้นมาจากหุบ เพื่อมาเล่นงานเราถึงยอดเนินเอาเลยทีเดียว
และสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกมันจำเพาะเจาะจงปีนขึ้นมายังบริเวณที่ผมและลูกน้องวางแนวเอาซะด้วย
เจ้าดำหยิบปากพูดหูฟังที่เสียบอยู่ข้างๆ “PRC-77” ขึ้นมาส่งวิทยุเข้า บก.พัน เพื่อรายงาน “กองสิงห์” ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ตื่นเต้น จนพูดวิทยุแทบไม่เป็นภาษาคน
“กองสิงห์จาก สลาตัน ขณะนี้สลาตันตรวจการณ์พบแสงไฟ 4 จุด กำลังเคลื่อนที่ขึ้นมาจากหุบ ช่วยให้หมวดอาวุธหนักยิงสลุตให้หน่อยครับ”
“สลาตันจากกองสิงห์ พูดวิทยุให้มันรู้เรื่องหน่อยซีโว้ย ไอ้หอก พูดซะเร็วจี๋ หยั่งกับรถด่วนยังนี้ ใครจะไปฟังมึงรู้เรื่องวะ กูเห็นแล้ว...แล้วก็รู้สึกว่า พวกมันจะขึ้นไปหาตรงบริเวณที่มึงอยู่เสียด้วย ตายแน่มึง ไอ้ดำเอ๋ย ...เฮ้ย บอกทหารลงหลุมให้หมดด้วย ประเดี๋ยวสปุกกี้จะมาทำงาน”
“กองสิงห์” ผบ.พันพูดสวนวิทยุกลับมาในทันทีทันใดที่เจ้าดำรายงานเหตุการณ์จบลง
รู้สึกว่า มันจะเป็นโชคที่เข้าข้างของกองพันผมอยู่มากเลยทีเดียว ตามปกติ เครื่อง “สปุกกี้” หรือเครื่องบินสองเครื่องยนต์แบบ “C-47” (ดาโกต้า) ติดอาวุธปืนใหญ่อากาศเจาะเกราะ ไม่ค่อยจะบินมาสนับสนุนในตอนกลางคืนเท่าใดนัก
ฟลุ๊คอย่างมหาฟลุ๊ค เจ้าสปุ๊กกี้เกิดบินผ่านพื้นที่ของผมทันเวลาพอดี
“สนุกแน่ไอ้แกว ลองแดกกระสุนเจาะเกราะดูบ้าง แล้วมึงจะรู้สึก”
ไอ้โล้นแหกปากร้องออกมาค่อนข้างดัง แล้วคลานสี่ตีนเข้าไปหยิบวิทยุ PRC-77 ของเจ้าดำขึ้นมาวางเอาไว้บนแนวกระสอบทรายแล้วหันกลับมาถามผมอีกครั้ง
“หมวด ฟรีเคว็นซี่ ของ สปุ๊กกี้เท่าไหร่ครับ สี่สิบหกหรือว่า ห้าสิบหก ผมชักจะลืมๆ เอาเซี๊ยแล้ว”
“ไอ้หอก ผิดทั้งสองอย่างโว้ย อะไรวะ จำความถี่ของสปุ๊กกี้ไม่ได้ เวลาฐานแตกคงได้แดกข้าวลิงกันเท่านั้น สี่สิบเก้าจุดหนึ่งศูนย์ แบนด์ต่ำ แล้วช่วยเร่งวอลลุ่มให้เต็มที่ด้วย อั๊วจะฟังล่ามคนใหญ่ทำงาน เห็นเขาลือกันนักว่าสำเนียงอังกฤษเอร็ดอร่อยนัก”
ยังไม่ทันไอ้โล้นจะหมุนฟรีเคว็นซี่ไปยังตำแหน่งที่สปุ๊กกี้ใช้งาน เสียงของกองสิงห์ก็แว่วผ่านลำโพงอีกครั้ง
“สลาตันจากกองสิงห์ คอนรับบูลเล็ตเฮดด้วย กำลังจะไปที่สลาตันเดี๋ยวนี้”
ไอ้โล้นตอบรับคำสั่งจาก ผบ.พัน เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นมานั่งยองๆอยู่บนกระสอบทรายแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า พร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงเครื่องบินด้วยท่าทางตื่นเต้นเอาการ
ชั่วอึดใจ ผมก็ได้ยินเสียงหึ่มๆ ของสปุ๊กกี้ดังแว่วๆอยู่ บนท้องฟ้า และพร้อมๆกันนั้น ผมก็ได้ยินเสียงกว้บก้าบออกมาจากร่องสนามเพลาะทางด้านซ้ายมือ
ไฟฉายเดินทางชนิดพรางแสงสีแดงเรื่อ ส่องกราดมาตามร่องสนามเพลาะ ร่างของทหารรับจ้าง 3 คนปรากฏออกมาจากความมืด คนหนึ่งในจำนวนนั้นขานตำแหน่งออกมาเบาๆ
“หมวด ช่วยเลือกภูมิประเทศที่ตรวจการณ์มองเห็นแสงไฟให้ผมด้วยครับ ผมจะคอนโทรลให้สปุ๊กกี้ยิงถล่มพวกมันเดี๋ยวนี้”
“บุลเลตเฮด” ล่ามประจำกองพันที่หุ่นเท่ห์หยั่งกับพระเอกหนัง สพายวิทยุ PRC-77 เดินตรงเข้ามาหาผมด้วยอากัปกริยาที่เร่งรีบ
เสียงเครื่อง “สปุ๊กกี้” ที่บินหึ่งๆอยู่บนท้องฟ้า ทำให้บุลเลตเฮดไม่มีเวลาทักทายพูดคุยกับผมมมากมายนัก พอเลือกภูมิประเทศที่ตรวจการณ์ให้ บุลเลตเฮดก็เริ่มปฏิบัติงานทันที
สต๊อบ-ไลท์ ไฟให้สัญญาณตำแหน่งที่ตั้งของบุลเลตเฮดถูกเปิดสวิทช์ขึ้นในฉับพลัน
ไฟกระพริบสีเหลืองเข้มแบบตัดหมอกจากเครื่องสต๊อบ-ไลท์ พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นจังหวะต่อเนื่องกัน
สปุ๊กกี้ลดเพดานบินลงมาทุกขณะ เสียงเครื่องยนต์ของมันได้ยินถนัดหูขึ้นทุกที
“บุลเลตเฮด... บุลเลตเฮด... ฟรอมสปุ๊กกี้ โอเวอร์”
พนักงานวิทยุประจำเครื่องสปุ๊กกี้เรียกล่ามประจำกองพันผมด้วยภาษาอังกฤษอู้อี้ และเร็วปริ๊ดจนผมแทบฟังไม่รู้เรื่อง
ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ชัดเปรี๊ย บุลเลตเฮด เริ่มประสานงานกับเครื่องสปุ๊กกี้ในทันทีทันใดที่ได้รับการติดต่อมา
สปุกี้ลดเพดานบินลง จนกระทั่งผมมีความรู้สึกว่า ขณะนี้มันบินต่ำจากฐานปฏิบัติการของผมลงไปเกือบจะถึงตีนเขาเลยทีเดียว
“พรึ๊บ”
ประกายไฟจากลูกแฟลร์ขนาดยักษ์สว่างพรึบขึ้นมาในหุบลึกเบื้องล่าง
แสงสว่างขนาด 1000 แรงเทียนสาดกระจายไปรอบทิศ... หุบเขาเบื้องล่างสว่างโพลนเหมือนกับโดนแสงอาทิตย์
ลูกไฟวิ่งลงจากเครื่องสปุ๊กกี้เป็นสายเหมือนกับผีพุ่งไต้...
อา... ปืนใหญ่อากาศชนิดกระสุนเจาะเกราะจากเครื่องสปุ๊กกี้เริ่มระดมยิงแสงไฟทั้ง 4 จุดเข้าให้แล้ว...
เสียงระเบิดของกระสุนปืนแทนที่มันจะดังปึงปังเหมือนกับปืนชนิดอื่นๆ กลับปรากฏว่ามันดังปืดๆ ปืดๆ ยาวเป็นพรืดติดต่อกันด้วยเสียงพิกลหูที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา
ด้วยปืนใหญ่อากาสแบบ “มินิ-กัน” ที่ยิงได้นาทีละ 6000-7000 นัด เครื่องสปุ๊กกี้ยิงถล่มหุบลึกดังกล่าวเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม จนกระทั่งกระสุน 80000 นัดที่บรรทุกมาเต็มระวางหายวับไปในชั่วพริบตา
สปุ๊กกี้บินกลับอุดรไปแล้ว บุลเลตเฮด นั่งคุยกับผมอยู่ชั่วครู่ก็ขอตัวกับ บก.พัน
จากชั่วเวลาอันเล็กน้อยที่ผมกับบุลเลตเฮด ได้สังสรรค์กัน ทำให้ผมได้ทราบฉากหลังของเขาพอสมควร
บุลเลตเฮด เป็นนักเรียนนอก ชื่อจริงของเขาคือ “อรินทร์ สนิทวงษ์ ณ อยุทธยา” พออายุได้ 7 ขวบก็ต้องติดตามคุรพ่อ “มล.ซัง สนิทวงศ์ ณ อยุทธยา” ไปอยู่สหรัฐอเมริกาเกือบ 15 ปีเต็ม
ตำแหน่งของคุณพ่อซึ่งเป็นทูตไทยประจำสหรัฐทำให้บุลเล็ตเฮดไม่ค่อยจะสนใจการเรียนเท่าที่ควร พอกลับประเทศไทย ก็เลยสมัครเป็นชุดเฝ้าถนน ปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณเส้นทางโฮจิมินส์(ลาวเหนือ)เกือบ 4 ปีเต็ม
ต่อจากนั้น บุลเลตเฮดก็โอนมาเป็น F.A.G. (ล่ามกองพัน) รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกผมจนกระทั่งสงครามลาวต้องยุติลง (ตามข้อตกลงจอมปลอมของลาวแดง) ขณะนี้บุลเลตเฮดทำงานเป็น “สจ๊วต-แอร์-สยาม” สบายองค์ไปซะแล้ว
ก่อนสว่าง ผมก็ได้รับคำสั่งจากกองสิงห์ให้นำทหารหนึ่งหมวดลงไปกวาดล้างบริเวณพื้นที่ ที่เพิ่งจะโดนสปุ๊กกี้ยิงถล่มลงไปอย่างสดๆร้อนๆ ในตอน 07.00 น. ของเช้าวันเดียวกันนั่นเอง...
เส้นทางลงจากยอดเนิน ชันเกือบ 70 องศา ผมพาทหารรับจ้าง 15 คนเดินแถวเรียงเดี่ยวมุ่งหน้าลงไปยังหุบลึกเบื้องล่างด้วยจิตใจที่สับสนอลเวงยิ่งกว่าทุกครั้ง สายหมอกที่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหยดน้ำค้างพร่างพรมเปียกชื้นไปทั่วบริเวณ ทำให้เส้นทางเดิน ลื่น จนกระทั่งทหารรับจ้างบางคนล้มหกคะเมนไม่เป็นท่า
เจ้าดำ พนักงานวิทยุลื่นไถลลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่เบื้องล่างเป็นคนแรก และบัดซบที่สุด เสาอากาศของเครื่อง “HT-2” หักสะบั้นเหลือแต่โคนเสา...ทำให้การติดต่อประสานงานกับกองพันของผมโดนตัดขาดไปโดยปริยาย
สามชั่วโมงเต็มๆที่ผมพาทหารลงไปในหุบลึก ที่ลึกเสียจนกระทั่งผมมองไม่เห็นยอดเนิน “เดลต้า-แยงกี้” อันเป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการของพวกผมเอง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็ถึงจุดที่สปุ๊กกี้ทำงาน
ต้นไม้ขนาดใหญ่พรุนไปหมด กิ่งไม้ขนาดเท่าโคนขาขาดกระเด็นเหมือนโดนขวานจาม สพทหารเวียดนามเหนือ 8 คน นอนระเกะระกะในสภาพที่ร่างกายขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี
ไอ้โล้นซึ่งลาดตระเวณล่วงหน้าขึ้นไปก่อน หันหลังกลับ คลานสี่ตีนเข้ามาหาผมพร้อมกับกระซิบเบาๆ ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น
“หมวด... เจอะรอยเลือด... และที่บริเวณพื้นดินมีรอยลากเป็นทาง รอยยังใหม่ๆอยู่เลย ถ้าตามเป็นได้ตัวแหงๆ จะเอายังไงดีครับ”
ในฐานะผู้บังคับหมวด ผมออกคำสั่งให้ทหารรับจ้างเคลื่อนที่ออกไปยังภูมิประเทศเบื้องหน้า ด้วยรูปขบวนแถวเรียงเดี่ยวโดยเว้นระยะกันพอสมควร
จากลักษณะของป่าที่ค่อนข้างทึบเปลี่ยนสภาพเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ห่างๆกัน ทำให้การเคลื่อนที่ของพวกผมสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“หมวด เจอะแล้ว... นอนพิงต้นมะม่วงอยู่โน่น”
ลูกน้องคนหน้าหน้าสุดร้องออกมาค่อนข้างดังพร้อมกับก้าวเท้าพรวดออกไปอย่างลืมตัว
“บึ้ม”
เสียงประหนึ่งอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาข้างๆตัว เศษดินและเศษใบไม้ที่ปลิวว่อน ทำให้ประสาทตาของผมมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ
สัญชาตญาณที่ผ่านการฝึกและการรบมาอย่างจำเจ ทำให้ผมฟุบตัวเองลงกับพื้นดินเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ
พอควันจางลง เศษหมูบ๊ะช่อกองมหึมาก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั่วบริเวณ อนิจจา พล ณรงค์ รักชาติ “รองหัวหน้าชุดยิง” ลูกน้องใจถึงของผมโดนกับระเบิดเละไปหมดทั้งตัวเสียแล้ว
ภาพอันสยดสยองที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ประสาทของทหารรับจ้างแทบจะโบยบินออกจากร่าง พลชิดชัยซึ่งหมอบอยู่ข้างหลัง พลณรงค์ ผู้เคราะห์ร้าย รีบคลานแยกออกไปทางซ้ายมืออย่างขวัญเสีย
“บึ้ม”
กับระเบิดของเวียดนามเหนือ ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ที่สุด ร่างของพลชิดชัยหายวับไปกับตา ชิ้นส่วนร่างกายถูกอำนาจสะเก็ดระเบิดเฉือนออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวว่อนออกไปรอบๆ... บางชิ้นปลิวมากระทบใบหน้าของผมจนรู้สึกชาไปทั้งแถบ
ยังไม่ทันที่ผมจะออกคำสั่งอะไรออกไป ก้ได้ยินเสียงรัวเป็นประทัดแตกของปืนกลอาร์ก้าดังระงมออกมาจากโคนต้นมะม่วงป่าที่มีร่างของทหารเวียดนามเหนือนอนพิงอยู่นั้น...
จะเคลื่อนที่ออกไปทางข้างๆ ก็โดนกับระเบิดของทหารเวียดนามเหนือซึ่งวางเอาไว้อย่างถี่ยิบ... ทางเดียวที่พวกผมกระทำได้ในขณะนี้ก็คือ ถอยหลังกลับออกไปจากพื้นที่สังหารดังกล่าว
อนิจจา แม้กระทั่งทางเดียวที่ผมคิดเอาไว้ก็ดูเหมือนจะไม่มีหวังเสียแล้ว
อาร์ก้าไม่น้อยกว่า 3 กระบอก คำรามขึ้นมาด้วยการยิงแบบอัตโนมัติเต็มตัว เสียงเล็กแหลมที่ดังอยู่เบื้องหลัง แนวกระสุนฉีกพื้นดินที่อยู่ข่างๆตัวผมกระจุยกระจายเป็นทางยาวจนเย้นวาบไปทุกขุมขน... อา พวกผมโดนบีบให้ตกอยู่ในพื้นที่สังหาร ผคิลลิ่งโซน) ของข้าศึกเสียแล้วรึนี่
ถอยหลังก็โดนจวกด้วยอาร์ก้า... เคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็เจอะกับ กับระเบิดและพลซุ่มยิงที่มีฝีมือเหมือนกับผีจับยัด
พฤติการดังกล่าว ดูเหมือนข้าศึกจะจงใจบีบให้พวกผมเคลื่อนที่เข้าไปในดงกับระเบิดที่วางอยู่ทั้งสองด้าน
“บึ้ม...วี้ด...บึ้ม”
“บึ้ม...วี้ด...บึ้ม”
เสียงจรวดแม็กนีโต 2 นัดซ้อนๆ จากที่ตั้งยิงแห่งไหนไม่ปรากฏ คำรามแหวกเสียง M.16 และ อาร์ก้าดังขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว
ตำบลกระสุนตกนัดแรก หล่นโครมลงไปบนที่หมายต้นมะม่วงป่าเบื้องหน้า... อำนาจจรวดจาก M-72 ถอนรากถอนโคนมะม่วงป่าล้มครืนลงมาเหมือนกับปาฏิหารย์
นัดที่สองกนระหึ่มขึ้นมาทางเบื้องหลัง แรงระเบิดอันมหาศาลของมันทำให้หูทั้งสองข้างของผมอื้อไปชั่วขณะ
เสียงอาร์ก้าเงียบลงเป็นปลิดทิ้ง... เงียบ... มันเงียบสงัดจนกระทั่งผมได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น วิทยุ HT-2 เสาหักซึ่งเจ้าดำสะพายอยู่ก็ดังลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีขลุ่ย
“สลาตันจากทอร์นาโด ผมได้รับการร้องขอจากกองพันของคุณ ให้ออกช่วยเหลือพวกคุณ ขณะนี้พวกคุณตกอยู่ในดงทุ่นระเบิด สิ่งแรกที่ควรดกระทำก็คือ อยู่นิ่งๆ คอยฟังคำแนะนำจากพวกผมแต่อย่างเดียวเท่านั้น อันดับแรก M-72 2 กระบอกเตรียมยิงทำลายทุ่นระเบิด ที่หมายทางซ้ามือของพวกคุณในระยะ 20 เมตร
ไอ้โล้นดูเหมือนจะสติดีกว่าเพื่อน ผมเห็นมันคลานขึ้นไปหาเพื่อนของมันที่อยู่ข้างหน้า แล้วใช้ M-72 ยิงแหวกทำลายกับระเบิดในทันทีทันใด ที่ได้รับคำสั่งจากหน่วยช่วยเหลือ ที่พวกผมยังมองไม่เห็นตัว
ไม่ถึงห้านาที ดงระเบิดอันถี่ยิบของทหารเวียดนามเหนือที่พวกผมจับพลัดจับผลูหลุดเข้ามาอยู่บริเวณใจกลางของพวกมันก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น
ทหารรับจ้างเจ้าของนามสถานี “ทอร์นาโด” 4 คน ปรากฏตัวออกมาจากทางขวามือด้วยลักษณะการเดินที่เงียบเชียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
ชุดเครื่องแบบเก่าคร่ำคร่าขาดรุ่งริ่งจนดูแทบไม่ออก ว่าเป็นเครื่องแบบของทหารพราน หมวกเบเรต์ที่สวมอยู่บนศรีษะปรากฏรอยเลือดเป็นคราบถนัดตา
คนที่นำหน้าสุดถือวิทยุ “HT-2” อยู่ในมือข้างซ้าย วิทยุเครื่องนั้นเสาอากาศหักเหลือแค่โคนเช่นเดียวกับเครื่องประจำหมวดของผมเหมือนหยั่งกับนัดเอาไว้
“เหม็นชิบหายเลยหมวด... โอ้โหกลิ่นหยั่งกับผีตายซากแน่ะครับ น่ากลัวพี่แกคงจะไม่ได้อาบน้ำเป็นปีๆละกระมัง”
ไอ้โล้นกระซิบกระซาบกับผมพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดอยู่ตลอดเวลา
“สวัสดีครับ ผม สอ.แฟง แสงทอง ตำแหน่งรอง ผบ.หมวด 4 ร้อย 3 BC.606 A และนี่ลูกน้องของผมทั้งนั้น พวกคุณโชคดีมากครับที่หลุดออกมาจากดงระเบิดนี้ได้”
ในขณะที่แนะนำตัว สอ.แฟง แสงทอง ก็นั่งทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้ ส่งสายตามองดูที่กระติกน้ำของผมด้วยท่าทางกระหายจัด และถ้าประสาทจมูกของผมไม่ผิดปกติ ผมได้กลิ่นสาปสางของซากสพอบอวลอยู่ใกล้ๆ หยั่งที่เจ้าโล้นตั้งข้อสังเกตุเอาใว้ไม่มีผิด
ผมปลดกระติกน้ำส่งให้ สอ. แฟง แสงทอง เขารับไปดื่มแล้วส่งให้ลูกน้องจนครบทุกคน
“ผมไปละครับ แยกกันตรงนี้เลย ขอให้พวกคุณและทหารไทยทุกคนที่อยู่บนโน้นโชคดี”
ร่างของ สอ.แฟง แสงทอง และลูกน้องทั้งสามคน เดินกลับออกไปทางเก่าอย่างเงียบเชียบเหมือนกับปีศาจ ไอ้โล้นยกวิทยุชำรุดเครื่องนั้นขึ้นมาเรียกหา สอ. แฟง คลื่นวิทยุซู่ซ่า ไม่ปรากฏเสียงตอบมาเหมือนอย่างเคย
ไอ้โล้นจ้องหน้าผมนิ่งอยู่ชั่วครู่ อากัปกริยาของมันคล้ายๆ กับจะพูดออกความเห็นอะไรวักอย่างหนึ่งออกมา เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ผมจำเป็นต้องขยิบตาเป็นทำนองปรามมันอยู่ในที
12.00 น. หมวดลาดตระเวณของผมเริ่มตรวจค้นศพทหารเวียดนามเหนือ เอกสาร..เครื่องหมายยศถูกรวบรวมเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน
ไอ้โล้นใช้มีดเฉือนใบหูข้างขวาจากศพทหารเวียดนามเหนือจำนวน 12 คนออกมาแล้วร้อยเป็นพวงด้วยสานเคลย์โมว์ ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักฐานในการปฏิบัติงานกวาดล้างของพวกผมนั่นเอง
ทหารรับจ้างพากันรวบรวมชิ้นส่วนศพของพล.ณรงค์ และพล.ชิดชัย ห่อด้วยเสื้อกันฝน “ปันโจ” แล้วพากันเดินทางขึ้นจากหุบลึกในครึ่งชั่วโมงต่อมา
เกือบหกชั่วโมงเต็มๆ ที่พวกผมปีนขึ้นมาจาก “หุบนรก” พอเท้าสัมผัสยอดเนิน “เดลต้า-แยงกี้” ลูกน้องของผมถึงกับนอนแผ่หลาด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงไปตามๆกัน
“เฮ้ย...ทำไมลื้อไม่ติดต่อวิทยุขึ้นมาวะ เสียงระเบิดตึงตังโครมครามลั่นหุบไปหมด อั๊วจะสั่งหน่วยช่วยเหลือลงไปก็กลัวจะไม่ประสานงานกัน เกิดจวกกันเองก็ป่นกันไปเท่านั้น ทำกันอีท่าไหนวะถึงหลุดเข้าไปในดงกับระเบิดของพวกมันเข้า”
“กองสิงห์ ผบ.พัน ซึ่งฟังคำบอกเล่าอย่างคร่าวๆจากลุกน้องคนนึงของผมเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับส่งเบียร์กระป๋องมาให้ ผมส่งต่อให้ไอ้โล้นแล้วถาม “กองสิงห์” ออกไปด้วยความแปลกใจ
“ผู้พันแน่ใจหรือครับว่า ไม่ได้ขอร้องให้ทหารจากกองพัน 606A ลงไปช่วยเหลือผม”
“ไอ้ห่า ถามชอบกล ตั้งแต่พวกลื้อขาดการติดต่อทางวิทยุ อั๊วก็เดินทางมารอลื้ออยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอน 5 โมงเช้า อั๊วไม่ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากทหารกองพันใดๆทั้งสิ้น”
ไอ้โล้นหันขวับมามองผม แล้วหันกลับไปเล่าเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหุบลึกเบื้องล่างให้กองสิงห์ฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
กองสิงห์อ้าปากหวอ ทำหน้าเหมือนกับโดนผีอำ ชั่วอึดใจท่านก็ปราดเข้าไปที่วิทยุ PRC-77 ติดต่อสอบถามกับกองพัน 606A ด้วยท่าทางตื่นเต้นอยู่ชั่วครู่ก็หิ้ววิทยุเดินมาหาพวกผม พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาด้วยคำพูดที่ผมเย็นเยือกไปทั่วขุมขน
“เฮ๊ย มันยังไงกันวะ อั๊วปวดกระดหลกจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ส.อ.แฟง แสงทอง ที่ลงไปช่วยพวกลื้อออกจากดงระเบิดนั่น อั๊วเช็คไปที่กองพัน 606A แล้วมีตัวตนจริง แต่ทว่าตายห่าไปตั้ง 3 เดือนแล้ว จากการประทะกับทหารเวียดนามเหนือตอนฐานแตกบริเวณหุบข้างล่างนั่นแหละ หมอตายพร้อมๆกับลูกน้องอีก 3 คน ไอ้ห่า... พวกลื้อแหกตาอั๊วหรือปล่าววะ? ”
เสียงของกองสิงห์ไม่ใช่ค่อยๆ ลูกน้องของผมที่นอนพังพาบอยู่กับพื้น เผ่นขึ้นมานั่งเบียดอยู่ข้างๆ ผมเป็นกระจุก เหมือนกับนัดกันเอาไว้ ไอ้โล้นเทเบียร์พรวดลงไปในกระเพราะ แล้วบ่นพึมพรำออกมาเบาๆ
“กูว่าแล้ว... กลิ่นสาปสางหยั่งกับผีตายซาก ผีหมู่แฟงแหงๆ ผู้พัน นึกสงสัยตั้งแต่ตอนวิทยุเสาหักเสือกติดต่อได้แล้ว วิญญาณหมู่แฟงคงจะเป็นห่วงพวกเราแน่ๆ ไปผุดไปเกิดเถิดเพื่อนฝูง อย่าทนทุกข์ทรมานอยู่อีกเลย”
ผมประสาทชาดิกไปทั้งร่าง ภาพของ ส.อ.แฟง แสงทอง ในสภาพที่เครื่องแต่งกายกระรุ่งกระริ่งผุดขึ้นมาในห้วงสำนึก
“เพื่อนเอ๋ย เพื่อนจะเป็นผี หรือเป็นคนก็ตามที พฤติการณ์ของเพื่อนที่ช่วยชีวิตพวกผมเอาไว้ ผมจะลืมไม่ได้จนชั่วชีวิตนี้”
ท่านผู้อ่านที่เคารพ สิ่งที่เหลือเชื่อและสิ่งน่าพิศวง มักจะบังเกิดขึ้นเสมอๆ โดยไม่เลือกสถานที่ ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่เคยลืม ส.อ.แฟง แสงทอง ทหารผีกล้าตายคนนั้น”
●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 17:00  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19336

คำตอบที่ 62
       ทหารรับจ้างเดนตาย
ตอนที่ 2 ยอดวีรบุรุษกระเทย (จบในตอน)
ผมกับไอ้โล้นนั่งเต๊ะท่าอยู่บน “แลนเซอร์” สีมัสตาดรุ่นล่าสุด ที่กำลังแล่นกินลมอย่างช้าๆผ่านสนามม้าราชกรีฑาสโมสร
นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา 23.00 น. พอดิบพอดีไอ้โล้นยกมือทั้งสิบนิ้วขึ้นมาพนมจรดหน้าผากแล้วหันไปไหว้สนามม้า ปากขมุบขมิบเหมือนจะอธิฐานอะไรอยู่ในใจ
“อะไรของมึงวะ ไอ้โล้น เมื่อกี้ก็หนนึงแล้ว อีตอนผ่านวัดเบญจะ... แทนที่มึงจะยกมือไหว้วัด มึงกลับยกมือไหว้สนามม้านางเลิ้งซะนี่ แล้วก็ครั้งนี้มึงไหว้สนามราชกรีฑาอีก มึงเกิดบ้าอะไรของมึงขึ้นมาวะ ไอ้โล้น”
ไอ้โล้นเอนหลังกับพนักพิงแล้วเปิดกระเป๋าเสื้อหยิบ “วินสตั้น” ออกมาคาบไว้ที่ริมฝีปาก
“เอ้า... ไหนมึงสัญญาว่าจะเลิกสูบบุหรี่ ถ้าวันไหนมึงสูบให้เห็น มึงจะต้องจ่ายตัวละ 500 บาท จ่ายมาเสียดีๆ ไอ้อิสลามนอกรีด”
“ยังก่อน ผู้เป็นสหายร่วมตายและนายข้า การสูบบุหรี่ที่ครบเครื่อง มันจะต้องจุดไม้ขีดสูบใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ โปรดสังเกตุ ไอ้โล้นเพียงแต่คาบบุหรี่เปล่าเอาใว้เท่านั้น เหตุผลง่ายๆ... แก้กระสันต์บุหรี่ครับผม พยายามคาบบุหรี่เปล่าๆ วันละหนสองหน มันก็เลิกได้เองใช่ไหมครับ ผู้หมวด”
จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ไอ้โล้นก็เอาตัวรอดจากการจ่ายเงินไปอีกจนได้ มันดีดบุหรี่ปลิวออกไปนอกหน้าต่างรถ ปากก็พึมพำออกมาอีก
“หมวดสงสัยอะไรครับ หมวดเป็นพุทธมามะกะที่นับถือพุทธศาสนาเป็นชีวิตจิตใจ ความสุขทางใจก็คือ การได้กราบไหว้สักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ ส่วนผมถึงแม้โครตเหง้าจะนับถือศาสนาอิสลาม แต่ผมก็เป็นอิสลามนอกคอกที่ไม่ถืออะไรเลย ที่ผมไหว้สนามม้าแทนวัด มันจะผิดแปลกอะไรตรงไหน ก็ในเมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งสองวัน ผมมีโชคจากการเล่นม้าทั้งสองสนามเกือบสามหมื่นบาท แล้วผมจะไม่จดจำบุญคุณของสนามได้อย่างไรกัน เลี้ยวซ้ายดีกว่าหมวด ขึ้นไปนั่งเต๊ะท่าบนดุสิตธานีให้กระเป๋ามันแฟบเล่นดีกว่า”
ผมหักพวงมาลัยพาเจ้าแลนเซอร์ที่ไอ้โล้นเพิ่งจะเช่ามาจากสถาบริการแห่งหนึ่งด้วยค่าเช่าที่แสนแพงลิบลิ่ว เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปยังดุสิตธานีที่มองเห็นสว่างไสวด้วยแสงฟลูออเรสเซนต์อยู่เบื้องหน้า
กระหรี่โทรมๆ หน้าแก่เหมือนกับแรดค้างปียืน “สี” ตำรวจอายุคราวพ่ออยู่ข้างๆป้อมยาม ทางเข้าโรงพยาบาลจุฬาพลุกพล่านเป็นพิเศษยิ่งกว่าทุกๆคืน ห่างจากทางเข้าโรงพยาบาลออกไปจนเกือบจะถึงบริเวณสี่แยกค่อนข้างจะเปลี่ยวและมืดเอาการ
กลุ่มคนไม่น้อยกว่า 3 คน ทำอากัปกริยาเสมือนหนึ่งจะทำร้ายซึ่งกันและกัน มองเห็นวอมแวมอยู่ตรงฟุตบาททางซ้ายมือของสี่แยกพอดี
“ดับไฟ... หมวด ดูไอ้โก๋มันฉึ่งกันข้างหน้าโน่น เอ้า มีผู้หญิงด้วยนี่หว่า”
ไอ้โล้นชี้มือชี้ไม้ให้ผมมองดูเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างมันเขี้ยว ผมเบาเครื่องยนต์ ดับไฟหน้ารถ หักพวงมาลัยชิดซ้าย ปลดเกียร์จอดรถซุ่มดูเหตุการณ์ซึ่งกำลังมั่วขึ้นทุกขณะ
ดรุณีนางหนึ่งถือรองเท้าแบบส้นหนา(รูปร่างเหมือนเตารีด) เอาใว้ในมือทั้งสองข้าง เท้าทั้งสองก็ยกเตะกราดปิดป้องจิ๊กโก๋ทั้งสองคนซึ่งถือมีดพกยาวเปลือยอยู่ตลอดเวลา
“ฉิบหาย... กระเทย ผมนึกว่าผู้หญิงเสียอีก ลงไปช่วยมันหน่อยนะผู้หมวด”
ไอ้โล้นกระซิบกับผม พร้อมกับดึงล็อคขยับบานประตูเผยอออกไปอย่างช้าๆ
มันไม่ทันการณ์เสียแล้ว กระเทยใจร้อนคนนั้นขว้างรองเท้าเตารีดตูมลงไปบนใบหน้าของจิ๊กโก๋คนที่ถือมีด และในจังหวะที่จิ๊กโก๋ยกมีดขึ้นเสมือนหนึ่งจะปิดป้องใบหน้าของมันนั่นเอง ผมก็มองเห็นกระเทยกระตุกมีดโกนออกจากกระเป๋าหลังสะบัดข้อมือนิดนึงแล้วกระโจนเข้าหาจิ๊กโก๋ที่กำลังยืนตะลึงด้วยชั้นเชิงการต่อสู้ที่ผมนึกนิยมชมชอบอยู่ในใจ
“ฉับ, ฉับ, ฉับ, ฉับ”
ใบมีดโกนซึ่งกระชับพาดอยู่ที่สันมือขวาปาดลงไปบนหน้าอก,แขน,ใบหน้า และครั้งสุดท้ายก็เฉือนลงไปบนหลอดลมของจิ๊กโก๋ผู้เคราะห์ร้ายตนนั้นอย่างถนัดถนี่
เสียงร้องโอดโอยที่ดังไม่ได้ศัพท์อยู่ตลอดเวลาเงียบเสียงลงเป็นปลิดทิ้ง จิ๊กโก๋อันธพาลตัวงอลงกับพื้น โลหิตที่ทะลักออกมากระทบกับแสงไฟที่มัวซัวมองดูคล้ายๆกับจะเป็นสีดำ
จิ๊กโก๋อีกคนที่ยืนตะลึงอยู่ใกล้ๆ ล้วงปืนออกมาจากกระเป๋ากางเกง พร้อมกับเหนี่ยวไกยิงด้วยอาการผลีผลาม
“ปัง”
กระเทยใจถึงเซผงะออกไปนิดนึง ไหล่ซ้ายคู้ห้อยลงทันตาเห็น ก่อนที่จิ๊กโก๋ผู้ยิงจะทันตั้งตัว กระเทยผู้เมาเลือดก็กระโจนเผ่นเข้าประชิด คราวนี้คุณเธอก็ซอยมีดโกนอย่างไม่เลี้ยง ไม่ถึงนาทีจิ๊กโก๋มือปืนก็ยับไปทั้งร่าง
เสียงฝีเท้าว่งตั๊บๆมาเบื้องหลัง ไอ้โล้นซึ่งลงไปยืนอยู่ข้างล่างตั้งแต่เมื่อไร ผมไม่ทันสังเกตุเห็น รีบเผ่นกลับขึ้นมานั่งบนรถ ละล่ำละลักขึ้นมาด้วยท่าทางเป็นห่วงกระเทยคนนั้นอย่างจับจิตจับใจ
“หมวด ตำรวจกำลังควบมาโน่น สงเคราะห์กระเทยมันหน่อย โน่นออกวิ่งเลี้ยวซ้ายไปทางโรงพยาบาลตำรวจโน่นแล้ว ช่วยเหลือมันหน่อยครับ”
ผมกระแทกคลัช ตบเกียร์ พาแลนเซอร์กระโจนพรวดออกจากที่จอด ไอ้โล้นโผล่หน้าออกไปนอกรถ แหกปากร้องตะดกนเสียงหลง
“อีหนู ขึ้นมาบนรถนี่ ขืนชักช้าโปลิศซิวแหง๋ๆ”
กระเทยหันมามองไอ้โล้นนิดนึงพร้อมกับชลอฝีเท้าลง พอแลนเซอร์ของผมเลี้ยวซ้ายลับสายตาตำรวจก็วิ่งตีคู่เปิดประตูกระโจนเข้ามานอนหมอบตัวสั่นอยู่ท้ายรถ
ผมพาแลนเซอร์ควบผ่านเอราวัณ เลี้ยวซ้ายผ่านหน้าโรงพยาบาลตำรวจ ความเบาบางของการจราจรทำให้ผมใช้ความเร็วได้อย่างเต็มที่ ไม่ถึง 10 นาที ผมก็เฉิดฉายอยู่บนสะพานพระปิ่นเกล้าด้วยลักษณะการขับแบบชมวิว
ด้วยอำนาจเงินของไอ้โล้น กระเทยผู้บาดเจ็บได้รับการปฐมพยาบาลจากคลีนิคแห่งหนึ่งในย่านธนบุรีนั่นเอง
“หนูชื่อ วิรงค์ลอง บุญนาค เป็นญาติกับน้าปานช่างเสริมสวยมือดีที่พวกพี่ๆคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของน้าหนูมาแล้ว จิ๊กดฏ๋มันจี้หนูค่ะ โธ่... พี่ หนูเพิ่งซิวฝรั่งมาหยกๆสองหมื่นบาท พอลงจากดุสิตธานีไอ้เปรตสองตัวนี่ก็จี้ประกบหนูมาทันที กว่าจะได้โอกาสจวกกับมันก็แทบแย่ จะทำยังไงดี หนูฆ่าคนตายซะแล้ว กรุงเทพคงจะแคบเกินไปสำหรับหนู พวกพี่พอจะหาทางช่วยหนูได้ไหมคะ นี่ค่ะเงินสองหมื่นหนูยกให้พวกพี่ทั้งหมด”
ไอ้โล้นผลักเงินดอลล่าร์ปึกใหญ่กลับคืนไปให้วิรงค์ลอง แล้วหันมาออกความเห็นกับผมดวยท่าทางเอาจริงเอาจัง
“หมวด ลุงนวลที่ได้พักพร้อมกับเรา น่ากลัวแกไม่กลับแน่ครับ เอกสาร,ใบลา, แกฝากไว้ที่ผมทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะยัดไอ้รงค์ข้ามฝั่งลาวไปอยู่กับกองพันเรา โดยใช้เอกสารของลุงนวลแทน ผมว่าสำเร็จแหง๋ๆ เอาน่าหมวด ลองมีทหารรับจ้างกระเทยมันซักครั้ง ไอ้พวกผีเปรตที่อยู่บนดอยมันจะได้แก้ขัดไปได้บ้าง”
ไอ้โล้นลูกน้องตัวดีของผมมันแส่เอาเรื่องฉิบหายบรรลัยจักรที่เฉียดคุกเฉียดตะรางมายัดเยียดให้ผมอีกแล้วไหมละ
มันก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่ผมต้องใจอ่อนยอมร่วมมือกับไอ้โล้นไปโดยปริยายทุกทีซิน่า
วิรงค์ลองตัดผมเสียเหี้ยนศรีษะ ทรวงอกที่ฉีดไขเข้าไปล้นปรี่เป็นปัยหาที่ผมกับไอ้โล้นต้อวขบคิดกันอยู่นาน ในที่สุดเราก็แก้ปัญหาอย่างง่ายๆ ด้วยการใช้เสื้อแจ็กเก้ตฟิลด์ไซด์ขนาดใหญ่ สวมทับชุดเครื่องแบบเสือพราน และกำชับให้วิรงค์ลองระมัดระวังความผิดปกติอันนี้อย่างระมัดระวัง
เครื่องเพศชายของวิรงค์ลองได้รับการผ่าตัดมาแล้ว ด้วยการเปิดปลายเครื่องเพศออกแล้วยัดหนังหุ้มกลับเข้าไปข้างใน ต่อจากนั้นก็ตบแต่งบริเวณด้านนอกจนกระทั่งแนบเนียนเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งเลยทีเดียว
“หมวด ของอีรงค์มันแต่งใหม่เหมือนของจริงไม่มีผิด ของผมพิสูจน์ดูแล้ว นิ๊งเป็นบ้าเลย”
“ไอ้โล้น ไอ้ลามกจกเปรต” ผมด่ามันออกไป
“อย่าเข้าใจผมผิดๆน่าหมวด พิสูจน์โดยใช้มือคลำอย่างเดียว ฮีท่อ ใครจะฟัดมันลง เห็นใส้เห็นพุงกันอยู่ทุกวัน ไม่มีฟิลลิ่งหรอกครับ จะมีก็คือความเอียนให้ตายห่า”
ไอ้โล้นสบถสาบานอย่างแข็งขันกับผมในขณะที่เราทั้งสามนั่งอยู่บนรถบัสที่กำลังมุ่งหน้าไปจังหวัดอุดร
ด้วยความหละหลวมของ บก.333 ผมยัดเยียด วิรงค์ลองแทนลุงนวลข้ามไปฝั่งลาวได้อย่างง่ายดายที่สุด
ก็มันทำไมจะไม่ง่ายละครับ บัตรประจำตัวของทหารรับจ้างก็ไม่เคยปรากฏว่ามี ใบลาที่ทาง บก.333 แจกให้ ก็คล้ายๆกับใบลาของโรงเรียนชั้นมัธยมศึกษา เรื่องทั้งเรื่อง ไอ้รงค์ก็เลยกลายเป็นตัวแทนลุงนวลไปโดยปริยายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
มีเงินซะอย่าง บก.ส่วนหลัง กองพันของผมก็เลยต้องหุบปากนิ่งเหมือนเป่าสาก ไอ้รงค์ก็เลยกลายเป็นทหารรับจ้างเต็มตัว แถมมีเงินเดือน 1800 บาท สบายตัวไป
เนื่องจากเป็นช่วงที่ทหารรับจ้างกำลังจัดผลัดลาพักทุกคน จึงไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าใดนัก
ฐานปฏิบัติการกองพันผมตั้งอยู่บนยอดที่สูงที่สุดของภูล่องมาศ ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาน 20 กว่ากอโลเมตร ก็เป็นที่ตั้งของที่ราบผืนมหึมา ที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาลที่กลายเป็นสุสานของทหารรับจ้างหลายสัญชาติ จนกระทั่งถูกนักรบทั่วๆไป ขนานนามที่ราบแห่งนี้ว่า “ทุ่งไหหิน – สมรภูมินรก”
ตีนเขาภูล่องมาส ทางด้านทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ปฏิบัติการของพวกเรา ส่วนเนินที่ลาดลงไปทางทิสตะวันออกเป็นเขตปฏิบัติการที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านของทหารเวียดนามเหนือ
สามเดือนผ่านไปเหมือนกับติดบิน ไอ้รงค์หรือ “อีวิรงค์ลอง” ถูกไอ้โล้นฝึกอย่างหนักหน่วง อาวุธทุกชนิดที่มีใช้ในกองพัน ไอ้รงค์ยิงอย่างสนุกสนานเหมือนกับปืนเด็กเล่น แม้กระทั่งหลักสูตรการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไอ้รงค์ก็สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
และแล้ววันหนึ่ง ความลับของไอ้รงค์ก็แตก ทหารรับจ้างทุกคนรู้ว่า ไอ้รงค์เป็นกระเทยที่ได้รับการผ่าตัดมาเรียบร้อยแล้ว
ความลับของไอ้รงค์ฉาวโฉ่ขึ้นมาก็เพราะไอ้รงค์มีความรัก ไอ้รงค์หลงรัก ผบ.หมวดคนหนึ่งอย่างเป็นชีวิตจิตใจ มันยอมเสียตัวให้หมวดคนนั้นเป็นครั้งแรกในบังเกอร์ที่เย็นยะเยือกบนดอยภูล่องมาศที่สูงจากพื้นดินถึง 2017 เมตร
ทหารรับจ้างคนนึงบังเอิญมาพบเข้า ไอ้รงค์ก็เลยกลายเป็น “นางพิม” ที่ต้องห้ามไปเสียแล้ว
ไอ้รงค์ถูกประกบตัวแจ ไม่ว่าไอ้รงค์จะก้าวไปไหน ทหารรับจ้างผู้หิวกระหายก็เดินติดตามเป็นฝูง
ไอ้รงค์เป็นกระเทยที่บูชาความรักอย่างยิ่งยวด มันไม่ยอมเสียตัวให้ใครง่ายๆ เพราะมันรักเดียวใจเดียว ทุกห้องหัวใจมันมอบให้กับ ผบ.หมวดรูปหล่อคนนั้นจนหมดสิ้น
เค้าแห่งความยุ่งยากเริ่มก่อตัวขึ้นมาบนกองพันพันของผมเข้าให้แล้ว
ผบ.หมวดคนรักของไอ้รงค์ โดนลูกระเบิดตายในขณะลาดตระเวณเคลียร์พื้นที่ ตามกระแสข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยัน มันเป็นอุบัติเหตุที่ทหารรับจ้างคนนึงจงใจให้มันบังเกิดขึ้น โดยตั้งความหวังเอาใว้ว่า การตายของ ผบ.หมวดรูปหล่อคนนั้น อาจจะทำให้ไอ้รงค์เปลี่ยนใจมารักเขาเข้าสักวันหนึ่ง
ไอ้รงค์เสียอกเสียใจแทบจะเป็นบ้า ร่างกายของมันผ่ายผอมจนผิดหูผิดตา ทุกวันตอนพระอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขา ไอ้รงค์นั่งเหม่อมองดูพื้นที่ ที่คนรักของมันเสียชีวิตด้วยลักาณะเซื่องซึมเหมือนกับคนวิกลจริต
หกเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมไอ้รงค์เริ่มยาวปะบ่าอีกครั้ง และพร้อมๆกับทหารเวียดนามเหนือก็ทุ่มก็ทุ่มกำลังเข้าโอบล้อมบดขยี้กองพันของผมทุกด้าน
ไอ้รงค์รบเหมือนกับคนบ้าเลือด มันยิงไปหัวเราะไปเหมือนกับคนวิกลจริต ทหารรับจ้างที่เวทนาไอ้รงค์ แอบมากระซิบบอกความลับในการตายของ ผบ.หมวดคนรักของมันให้ทราบ
ไอ้รงค์ตาขุ่นเหมือนกับหมาบ้า มันเดินพล่านตามหาทหารรับจ้างคนนั้นทั้งวัน แล้วก็บังเอิญทหารรับจ้างคนนั้นเกิดมาเสริมแนวยังพื้นที่ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของผมพอดี
ไอ้รงค์กระโจนพรวดลงไปขี่หลัง มีดโกนที่ผมจำติดหูติดดตา ในวันที่มันเชือดคอจิ๊กโก๋ที่หน้าโรงพยาบาลจุฬา ปาดฉับลงไปที่บริเวณคอด้านหลังของทหารรับจ้างมือระเบิดผู้นั้น จนกระทั่งคอขาดห้อยร่องแร่ง ทหารในร่องสนามเพลาะแตกฮือ ไอ้รงค์โยนมีดโกนทิ้ง นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนกับเด็กๆ
ทุกคนเห็นใจไอ้รงค์ ความเห็นใจทำให้ทหารรับจ้างแทบทุกคนปิดปากเงียบ เหตุการที่บังเกิดขึ้นในร่องสนามเพลาะถูกลืมไปจากความทรงจำอย่างสิ้นเชิง
ทหารเวียดนามเหนือบุกเข้าตีพวกเราระลอกแล้วระลอกเล่า การยิงต้านทานอย่างมีประสิทธิภาพของพวกเรา ทำให้พวกมันถอยลงไปซุกซ่อนอยู่ตามตีนเขา แล้วใช้อาวุธหนักลอบยิงทำลายพวกเราอยู่ตลอดเวลา
กองพันของเราประสพกับการสูญเสียเพิ่มขึ้นทุกที เนื่องจากอำนาจการยิงของปืน ค. กระบอกนั้น
ไอ้รงค์เข้าไปรับอาสากับ ผบ.พันขออนุญาตลงไปทำลายปืนกระบอกนั้นด้วยตัวของมันเอง
และแล้ว “ปฏิบัติการจองเวร” จากไอ้รงค์ก้ได้เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางความใจหายใจค่ำของทหารรับจ้างรอบด้าน
ไอ้รงค์ถอดชุดเครื่องแบบเสือพรานออกอย่างไม่ไยดี
รูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวสลวยปะบ่า ทรวงอกเต่งตูมและอวบอัด ส่วนที่แสดงความเป็นเพศหญิงท้าทายสายตาทหารรับจ้าง จนบางคนส่งเสียงฮือฮาออกมาด้วยความเผลอใจ และที่เป็นพิเศษ ไอ้รงค์งัดเครื่องสำอางที่ซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดขึ้นมาตบแต่งใบหน้าเป็นครั้งแรก
อย่าบอกใครเลยครับ รูปร่างหน้าตาของไอ้รงค์ เมื่อแต่งหน้าเสริมแล้ว ผู้หญิงที่จัดว่าสวยบางคนยังสู้มันไม่ได้
“ซืโฟ” แบบมัดข้าวต้มพร้อมด้วยสวิทช์ระเบิดถูกซ่อนเอาใว้ในผ้าขาวม้าที่ใช้เคียนเอวไอ้รงค์
ไอ้รงค์ถือธงขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของการยอมแพ้ เดินลงจากแนว มุ่งหน้าเข้าหาฐานที่ตั้งยิงอาวุธหนักของทหารเวียดนามเหนืออย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ทั่วทั้งร่างกายของมันเปลือยเปล่า จะมีก็เพียงผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียวที่เคียนเอวอยู่เท่านั้น
ร่างของไอ้รงค์เดินเข้าใกล้ฐานยิงอันมั่นคงของทหารเวียดนามเหนือไปทุกขณะ ทหารรับจ้างบนแนวเงียบกริ๊บ สายตาที่มองตามร่างไอ้รงค์ บ่งบอกถึงการเอาใจช่วย ให้งานของมันสำฤทธิ์ผล
จากกล้องสนาม ผมมองเห็นร่างของไอ้รงค์หายลับเข้าไปในบังเกอร์ที่แข็งแรงของทหารเวียดนามเหนือ ผมมองเห็นแม้กระทั่งกลุ่มทหารเวียดนามเหนือที่วิ่งเข้ามากุ้มรุมไอ้รงค์เหมือนกับแร้งหิวโซ
ไอ้รงค์หายเข้าไปเกือบ 2 นาที สองนาทีที่เนิ่นนานที่สุดในชีวิต บัดดลนั้นเอง ผมก็มองเห็นประกายไฟสีส้มสว่างแวบขึ้นมา ณ บริเวณแห่งนั้น
“บึ้ม, บึ้ม, บึ้ม, บึ้ม”
เสียงระเบิด 4 ครั้งซ้อนๆ ดังขึ้นมาสนั่นก้องขุนเขา บังเกอร์อันแข็งแรงถูกอำนาจดินระเบิดแรงสูงถล่มทลายไม่มีชิ้นดี ปืน ค. อันทรงอานุภาพที่กดหัวพวกเราอยู่ตลอดเวลา ป่นไปในชั่วพริบตา
อา ไอ้รงค์ได้สละชีวิตของมันเพื่อกองพันของผมแล้ว ผมกวาดสายตามองดูรอบๆ ทหารรับจ้างบางคนก้มหน้าร้องไห้กับกระสอบทราย สะอื้นฮักเหมือนกับเด็กๆ
ห่ากระสุนที่เงียบเป็นปลิดทิ้ง เริ่มรัวเป็นประทัดแตกอีกครั้งหนึ่ง
ทหารรับจ้างสองหมวดเริ่มเกาะกลุ่มกันลงไปกวาดล้างฐานยิงของทหารเวียดนามเหนือ อันเป็นภารกิจสุดท้ายที่จะต้องปฏิบัติก่อนที่จะรวบรวมกำลังเข้าตีข้าศึกในโอกาสถัดไป
วีรกรรมของไอ้รงค์ที่มันสร้างขึ้น ถูกทหารรับจ้างเล่าต่อๆกันไปเหมือนกับนิยายโกหก ความเก่งกล้าของมันเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วสมรภูมิลาว ทหารรับจ้างบางคนให้สมญานามไอ้รงค์ว่า “ยอดวีระบุรุษกระเทย”
ความลับของ “วิรงค์ลอง บุญนาค” ก็คือ เป็นทหารรับจ้างกระเทยคนแรกในสมรภูมิลาว แต่ความลับที่เหนือกว่าความลับของวีระบุรุษกระเทยผู้นี้ยังไม่มีผู้ใดทราบ นอกจากผมและไอ้โล้นเพียงสองคนเท่านั้น นี่คือจดหมายฉบับสุดท้ายที่ “วิรงค์ลอง” ส่งให้ไอ้โล้นก่อนพบจุดจบ
…พี่หมวดและพี่โล้นที่เคารพอย่างสูง หนูหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเสียแล้ว นมที่ฉีดกำลังจะเริ่มเน่าเฟะ เครื่องเพศหญิงที่ได้รับการผ่าตัดก็เน่าจนหนองไหลออกมาไม่เว้นแต่ละวัน วิ...อาย... ไม่กล้าไปหาหมอ... วิขอลาก่อน... ก่อนตาย วิจะขายชีวิตของวิให้แพงที่สุด แพงจนกระทั่งพี่ทั้งสองจะต้องไม่คาดคิดเลยจริงๆ... ขอให้คุณพระครุ้มครองพี่หมวดและพี่โล้นของวิให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทุกชนิด... วิ... ขอกราบลา
รัก...บูชา และเคารพยิ่งชีวิต
วิรงค์ลอง บุญนาค

□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 18:46  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19344

คำตอบที่ 63
       ทหารรับจ้างเดนตาย
ตอนที่ 3 ไอ้ยี (จบในตอน)
แผ่นกระดาบสีขาวสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ถูกวางลงกับพื้นปูนซีเมนต์ใต้ถุนตึกกองบังคับการบินของสนามบินล่องแจ้ง บนแผ่นกระดาษดังกล่าวถูกแบ่งออกเป็นหกช่องเท่าๆกัน และแต่ละช่องก็มีจุดวงกลมสีแดงเรียงรายเป็นพรืด โดยเริ่มตั้งแต่ช่องแรกอันเป็นตำแหน่งของหมายเลขหนึ่งไปจนกระทั่งถึงหมายเลขหก ซึ่งจากลักษณะดังกล่าวแล้วนั้น เจ้าจุดวงกลมแดงเหล่านั้น ความหมายของมันก็คือ ใช้แทนจำนวนเลขจากหนึ่งถึงหกนั้นเอง
บริเวณกึ่งกลางของแผ่นกระดาษถัดจุงวงกลมแดงเข้าไป ซึ่งเป็นที่ว่างปรากฏมีเส้นแบ่งกระดาษแผ่นนั้นออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน และแต่ละส่วนก็มีอักษรภาษาไทยเขียนกำกับเอาใว้ว่า “สูง – ต่ำ” มองเห็นถนัดตา
ใช่ครับ ที่ผมไตเติ้ลมายืดยาวนี้ก็เพียงเพื่อจะอธิบายให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึง ลักษณะของการเล่น “ไฮโล” อันเป็นเกมพนันที่ฮิตที่สุดในสมรภูมิลาวนั่นเอง
เจ้ามือหน้าตาแก่งั่ก ผมหงอกทั่วศรีษะ ชุดเครื่องแบบเสือพรานใหม่เอี่ยมเหมือนกับไม่เคยได้รับความยากลำบากบนแนว ถูกรีดกลีบโง้งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าถ้วยไฮโล ซึ่งขณะนี้ถูกเปิดถ้วยค้างทิ้งเอาไว้มองเห็น “ลูกเต๋า” ขนาดเล้ดสามลูกนอนสงบนิ่งเหมือนจะท้าทายอยู่ในที
“หัวเบี้ย” ซึ่งมีหน้าอ่อนอายุอานามห่างไกลกับเจ้ามือไม่น้อยกว่า 3 รอบขึ้นไป กำลังสาละวนแยกธนบัตรชนิดต่างๆ ออกเป็นสัดส่วนอย่างรวกๆ ธนบัตรไทย, ลาว, หรือแม้กระทั่งดอลล่าร์ถูกหัวเบี้ยยัดเข้ากระเป๋าครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งแน่นเอี้ยดไปหมดทุกกระเป๋า
ลูกค้าส่วนมากเป็นทหารรับจ้าง, พนักงานของสนามบิน, ประชาชนทั้งลาวและแม้ว,หรือแม้กระทั่ง ฝรั่งนักบินรายล้อมวงไฮโลจนกระทั่งแทบจะมองไม่เห็นเจ้ามือเอาเลยทีเดียว
“เอาละครับ ฟังให้ดีๆ ใครหูถึง ก็ล้มเค้าของผมได้ ใจสู้ซะอย่าง”
เจ้ามือพูดพลางบรรจงหยิบลูกเต๋าทั้งสามขึ้นมาเช็ดกับผ้าเช็ดหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อจากนั้นเช็ดก้นถ้วยเป็นครั้งสุดท้าย แล้ววางลูกเต๋าทั้งสามลงบนกึ่งกลางของก้นถ้วย จุดวงกลมสีแดงสี่จุด อันเป็นจุดที่แทนหมายเลขสี่ของลูกไฮโลทั้งสามวางเรียงรายท้าทายความกระหายของลูกค้าอยู่ชั่วอึดใจก็ถูกครอบด้วยถ้วยน้ำชาขนาดเล็กๆ
เจ้ามือใช้หัวแม่มือกับนิ้วกลางจับขอบถ้วยไฮโลขึ้นมาโดยมีนิ้วชี้วางทับอยู่บนฝาถ้วยครอบ เขาชั่งน้ำหนักข้อมืออยู่ชั่วอึดใจก็กระดกข้อมือเบาๆ
“ติ๊บ”
ลูกไฮโลทั้งสามกระดกขึ้นพร้อมๆกันจากก้นถ้วย ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจนกระทั่งทหารรับจ้างขี้เล่นคนหนึ่งถึงกับอุทานออกมาค่อนข้างดัง
“โอ้โห ลุ๊ง เสียงเบายังกะสำลีแบบนี้ ลูกสี่มันก็ต้องอยู่แหง๋ๆนะซีครับ”
“ตามสบาย หลานชาย ใจสู้ซะอย่าง ของอยู่ในถ้วย ถ้าไม่เปิดลุงก็แทงไม่อั้นเหมือนกัน”
ในขณะที่พูด เจ้ามือค่อยๆวางถ้วยไฮโลลงกับแผ่นกระดาษ สายตามองกวาดดูจำนวนธนบัตรจากมือลูกค้าที่กำลังวางลงบนช่องหมายเลขสี่ พร้อมกับอมยิ้มอยู่ไปมาอย่างอารมณ์เย็น...
ผมกับอับดุล-ราห์มาน (ไอ้โล้น) ยืนดูการเชือดเฉือนอยู่ใกล้ๆ ไอ้โล้นมันฉุดผมจากร้านเฝ๋อ (ก๋วยเตี๋ยวแม้ว) มาบ่อนไฮโลเกือบครึ่งชั่วโมงเข้สให้แล้ว ท่าทางของมันที่ยืนสงบนิ่งสังเกตุการเขย่าของเจ้ามือครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่แทง ทำให้ผมเกิดอาการเบื่อหน่ายจนต้องกระซิบด่ามันออกมาเบาๆ
“ไอ้หอก จะแทงก็ไม่แทง ยืนเต๊ะอยู่ได้ ใส่มันลงไปซีวะ... โครมๆ ประเดี๋ยวก็รู้เรื่อง”
“เฉยๆน่า-หมวด มือไม่พายแล้วยังจะเอาเท้าราน้ำอีก ไม่รู้จักเซียนใหญ่นราธิวาสอีกแล้ว ผมไม่ใช่หมูอย่างไอ้พวกนี้นี่ครับ... โดนเจ้ามือฟัดเอาไปหลายหมื่นแล้วเห็นไม๊ หมวดลองสังเกตุดูหุ่นเจ้ามือบ้างสิครับ แก่งักแบบนี้ อายุมิตอกเข้าไปตั้ง 50 แล้วรึ... แก่ๆแบบนี้สมัครมารบมันก็ผิดไปละ แกจะต้องสมัครมาเพื่อเล่นไฮโลต้มเขาแดกแหงๆ... และถ้าอีตานี้ ถ้ามีลูกสี่อยู่แม้แต่ลูกเดียวผมยอมให้หมวดเตะฟรีๆ 3 ที”
ชาวแม้วคนหนึ่งซึ่งถูกเบียดตัวลีบอยู่ทางซ้าย มือสุดของเจ้ามือเอื้อมมืออันสั่นเทาหยิบกระเป๋าเก่าคร่ำคร่าออกมา แล้วหยิบธนบัตรดอลล่าร์ใหม่เอี่ยม ฉบับละ 50 ดอลล่าร์ออกมาชั่งใจอยู่ชั่วอึดใจก็วางแปะลงไปบนช่องหมายเลข 6 ท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาทหารรับจ้างที่ยืนมองอยู่รอบๆ
แทบทุกคนประเคนเงินลงไปบนช่องหมายเลขสี่ไม่รู้ว่ากี่พันต่อกี่พันบาท แม้กระทั่งฝรั่งนักบินซึ่งไม่ค่อยจะประสีประสาอะไรนักก็ยังโดนลูกยุของพรรคพวกทุ่มแทงเลข 4 จนกระทั่งหมดกระเป๋า
ทหารรับจ้างท่าทางนักเลงเต็มตัว ผลักเงิน 50 ดอลจากหมายเลข 6 เข้าไปรวมกันที่หมายเลข 4 พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาค่อนดัง
“อั๊วยักไอ้แม้วนี่เอง เที่ยวนี้ขอเปิดนาโว้ย ไอ้ห่าแทงตั้งสามพันบาท ขอลุ้นหน่อยวะพรรคพวก”
ทหารรับจ้างท่าทางนักเลงคนนั้น ค่อยๆยกถ้วยไฮโลมาวางที่ตรงหน้า... แล้วบรรจงหยิบถ้วยขึ้นมาพร้อมกับตะแคงถ้วยให้ลูกไฮโลทั้ง 3 วิ่งจากกึ่งกลางของถ้วยมารวมกันเป็นจุดเดียวในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของขอบถ้วย อันเป็นกรรมวิธีของนักเลงไฮโลชั้นเหยียบเมฆ ที่ชอบปฏิบัติกันเป็นประจำ
“คริ๊ก”
เสียงของลูกไฮโลวิ่งเข้ามากระทบกันดังอย่างถนัดหู
“ไอ้ห่า... กูเทถ้วยได้ลูกสี่อีกวะ เอาละวะ ทิ้งทวนเลย เงินกูเหลืออีกสองพัน-แทงมันลูกสี่นี่แหละวะ”
ในขณะที่พูด เขาโยนปึกธนบัตรสีชมพูเข้มลงไปบนช่องหมายเลข 4 ด้วยความแน่ใจยิ่งกว่าทุกครั้ง
“เอาละครับ ไม่ขึ้นไม่ลง เปิดถ้วยได้แล้วครับ ใครยักใคร ทวงกันเอาเอง เจ้ามือไม่เกี่ยว”
หัวเบี้ยตัดบทขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นจำนวนเงินแทงมากมายยิ่งกว่าทุกครั้ง
ทั่วทั้งวงไอโลเงียบสงัด สายตาหลายสิบคู่เพ่งมองไปที่ถ้วยไฮโลที่กำลังจะถูกเปิด เหมือนกับจะให้มันผ่านทะลุเข้าไปถึงข้างใน
มันเป็นความตื่นเต้นและเป็นความ “มันส์” ทางอารมณ์ที่หาซื้อได้ยากที่สุด ช่วงหนึ่งของความโสภาอย่างสุดยอดก็ตอนถ้วยไฮโลจะเปิดนี่เองใช่ใหมครับเซียนไฮโลทั้งหลาย
ถ้วยไฮโลถูกยกขึ้นตรงๆแล้ว ค่อยๆเลื่อนออกไปข้างๆอย่างช้าๆ ด้วยวิธีการเปิดแบบเฉือนอารมณ์แทบหัวใจจะวายปราณ
สีดำสนิทจุดสีดำเรียงพรืดอยู่บนลูกเต๋าทั้งสามลูก แม้วคนที่แทงลูกหก 50 ดอลล่าร์ ตะเบ็งเสียงเป็นภาษาไทยออกมาคับห้อง
“หก-สามดอก”
ทั่วทั้งห้องเงียบกริบเหมือนโดนผีอำ สายตาทั้งหมด มองดูหัวเบี้ยกวาดเงินเกือบหมื่นบาทจากตำแหน่งหมายเลข 4 ด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง
“ผมแทงหก – พันบาท ต้องจ่ายให้ผมสี่พันบาท ขอเงินผมด้วยครับ”
แม้วคนที่แทงลูกหก 50 ดอลล่าร์ เอื้อมมือสะกิดทหารรับจ้างท่าทางนักเลงคนนั้นพร้อมกับเอ่ยปากทวงเงินด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นในความโชคดีของตัวเอง
“ไอ้สัตว์ ใครยักของมึงวะ กูไม่รู้เรื่อง มีแต่ตีนเอาไม๊... ไอ้แม้วโสโครก”
พอพูดจบ เขาก็พรวดพราดลุกขึ้นเตะโครมเข้าไปที่บริเวณใบหน้าของแม้วผู้เคราะห์ร้ายเต็มแรง
“ป๊าบ”
รองเท้าคอมแบทผ้าใบที่ใช้ปีนเขาพลาดจากใบหน้าหวดเข้าที่หน้าอกส่งแม้วขี้ยาปลิวกระเด็นออกไปนอกวงไฮโล ซึ่งขณะนี้แตกครืนเหมือนกับผึ้งโดนไฟ
ชายแม้วผู้เคราะห์ร้ายใช้มือทั้งสองยันพื้นผงกหน้าขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกนเสียงหลง
“ไอ้ยี...กัด”
ผมได้ยินเสียงคำรามของสุนัขแผดก้องขึ้นมาจากมุมห้อง และพร้อมๆกันนั้นผมก็มองเห็นร่างอันใหญ่โตของมันกระโจนพรวดเข้ามากลางวงไฮโล ที่หมายของมันคือร่างของทหารรับจ้างคนที่ยืนทะมึนอยู่นั้น
มันรวดเร็วจนผมมองดูแทบไม่ทัน อันดับต่อมาที่ผมมองเห็นก็คือ ร่างของทหารรับจ้างและร่างจของสุนัขกอดรัดฟัดกันอุดตลุดอยู่ที่พื้น ท่ามกลางความตกตะลึงของพรรคพวกที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ... “ไอ้ยี” ฟัดอย่างไม่ปราณีปราศัย มันขย้ำร่างกายของทหารรับจ้างเหวอะหวะไม่มีชิ้นดี
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
เสียงร้องของทหารรับจ้างผู้เคราะห์ร้าย ทำให้ทหารรับจ้างคนหนึ่งกระตุกมีดดาบปลายปืนออกจากซองผ้าใบแล้วเผ่นเข้ากระซวกช่องท้องของ “ไอ้ยี” สุนัขพันธุ์แม้วเต็มแรง... และพร้อมๆกันนั้นเอง ไอ้ยีก็ใช้เขี้ยวที่แหลมคมของมันกระชากคอหอยของทหารรับจ้างซึ่งกำลังตกเป็นเบี้ยล่างหลุดออกมาทั้งกระบิ
ทั้งคน... ทั้งหมา นอนแผ่หราอยู่กลางลานซีเมนต์... ทหารรับจ้างตาเหลือกโพลง เลือดทะลักออกมาจากลำคอเป็นสายน้ำ... ตายสนิท
ส่วนไอ้ยี นอนหายใจพะงาบๆ ส่งสายตาประสานกับผู้ที่ทำร้ายมันอย่างประสงค์ร้าย ปากก็ร้องคำรามไม่ขาดระยะ
“เฮ้ย... ส.ห. มาโว้ย”
ใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมาเสียงคับห้อง
คราวนี้ก็ถึงบทตัวใครตัวมัน ทหารรับจ้างเผ่นออกจากที่เกิดเหตุอย่างชุลมุนวุ่นวาย... แม้กระทั่งชาวแม้วต้นเหตุของเรื่องก็วิ่งกางเกงแพรปลิวหายวับเข้าไปในตลาดล่องแจ้งชั่วพริบตา
ผมกับไอ้โล้น เลี่ยงออกมายืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ... ศพของทหารรับจ้างถูกหามขึ้นรถจี๊ป ส่วนร่างของไอ้ยี ถูกลากออกมาทิ้งที่ข้างๆรันเวย์สนามบินนั่นเอง
ไอ้โล้นเดินตรงรี่เข้าไปที่ร่างของ “ไอ้ยี” ผมเห็นมันหยิบเข็มเย็บออกมาจากกระเป๋ากางเกง จัดการเย็บแผลให้ไอ้ยี ท่ามกลางความแปลกใจของทหารรับจ้างที่มองดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ
“ไอ้ยี” ปล่อยให้ไอ้โล้นจัดการกับแผลของมันแต่โดยดี สายตาที่มันประสานกับไอ้โล้นผิดแปลกไปจากเมื่อกี้นี้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
พอเย็บแผลเสร็จ ไอ้โล้นก็อุ้ม “เจ้ายี” ขึ้นชอปเปอร์ (เฮลิคอปเตอร์) บินกลับฐานปฏิบัติการในทันทีทันใด
“หมวด ผมจะเลี้ยงไอ้ยีเอาใว้ให้มันเป็นหมาลาดตระเวน... ผมได้ยินกิตติศัพท์ของหมาแม้วมานานแล้ว เพิ่งจะเห็นฤทธิ์เดชของมันวันนี้เอง ไอ้หอก ตายห่าเสียได้ก็ดี เสือกไปชักดาบแม้ว”
จบคำพูดของไอ้โล้น ชอปเปอร์ก็ร่อนลงบนยอดภูล่องมาศพอดิบพอดี
“ไอ้ยี” ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุดจากหมอประจำกองร้อย ไม่ถึงสองสัปดาห์ “ไอ้ยี” ก็หายสนิท และกลายเป็นทาษผู้ซื่อสัตย์ของไอ้โล้นอย่างชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตาเลยทีเดียว
“ไอ้ยี” กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองร้อยทหารเสือพรานไปเสียแล้ว ด้วยความแสนร็ของมัน ทำให้ทหารรับจ้างทุกคนให้ความเมตตาปราณีแก่มันด้วยใจจริง เศษอาหารที่เหลือเฟือถูกแบ่งให้ไอ้ยีจนกระทั่งมันอ้วนปึ๊กรูปร่างสูงใหญ่ผิดหูผิดตายิ่งกว่าเดิม
“ไอ้ยี” ถูกฝึกให้ค้นหากับระเบิดของข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หลายต่อหลายครั้งที่ไอ้ยีช่วยชีวิตทหารรับจ้างด้วยการนำทางคืบคลานออกจากดงกับระเบิดได้อย่างปลอดภัย คล้ายๆกับปาฏิหารย์
คราวใดที่ “อากาศปิด” ชอปเปอร์ไม่บินมาส่งอาหาร... ไอ้ยีวิ่งแน่บเข้าไปในป่าพักใหญ่ก็วิ่งกลับมาพร้อมด้วยแย้เขื่องๆ 3-4 ตัว ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปากท้องไปได้อย่างสะดวกโยธิน
“ไอ้ยี” กลายเป็นทหารรับจ้างคนหนึ่งในกองร้อยของผมไปเสียแล้ว
“พลอาสาสมัครยี แจ้งกระโทก สังกัดหน่วยลาดตระเวณระยะไกล” คือตำแหน่งและสังกัดที่พวกผมแต่งตั้งให้มันอย่างเต็มใจที่สุดในภาวะสงครามที่บัดซบเช่นนี้
“สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”
และแล้ววันหนึ่งไอ้ยีก็ได้พิสูจน์ “สุภาษิต” อันเก่าแก่ของไทยข้อนี้ให้เห็นจริงจังขึ้นมา
ผม ไอ้โล้น, และทหารรับจ้างอีก 12 คน ออกกวาดล้างเคลียร์พื้นที่ในเขตปฏิบัติการของทหารเวียดนามเหนือตามแผนปฏิบัติการยุทธของ บก.ล่องแจ้ง...
“พล.ยี แจ้งกระโทก” ออกเดินสี่ตีนนำหน้าเหมือนกับทุกครั้ง ในขณะที่ผ่านพื้นที่แห่งหนึ่ง ผมสงสัยในพื้นที่ดังกล่าวก็เลยออกคำสั่งให้ทหารทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว...ไอ้โล้นสั่งให้ไอ้ยีค้นหากับระเบิดเหมือนอย่างเช่นเคย
เกือบสี่ห้าเที่ยวที่ “ไอ้ยี” วิ่งพล่านเหมือนกับจะสงสัยในบางสิ่งบางอย่างในพื้นที่แห่งนั้น พอเที่ยวที่หก มันก็วิ่งย้อนกลับมาแสดงอากัปกริยาว่า พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัย
ส.ต. กระวี พุทธรักษา หัวหน้าชุดยิงเดินตามไอ้ยีไปติดๆ...
ในขณะที่ไอ้ยีวิ่งล่วงหน้าไปนั่นเอง...
“บึ้ม”
กับระเบิดของทหารเวียดนามเหนือที่ได้รับน้ำหนักแรงกดจาก 40 กิโลกรัมขึ้นไป แสดงพิษสงขึ้นมาทันที
ส.ต.กระวี ร่างกายแหลกเหลว ไอ้ยีรอดตายอย่างหวุดหวิด มันวิ่งกลับมาหมอบตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่หน้าไอ้โล้น ซึ่งกำลังโมโหสุดขีด ในความบกพร่องของสุนัขคู่ใจ
ไอ้โล้นเตะไอ้ยีกระเด็น มันกลับคลานเข้ามาหมอบอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง น้ำตาไหลพรากเหมือนกับสำนึกผิด จนพวกผมอดสงสารมันไม่ได้
พอกลับมาถึงฐานปฏิบัติการ ไอ้ยีมีอาการเซื่องซึมจนผิดสังเกต ข้าวปลาอาหารก็ไม่ยอมแตะต้อง และในตอนค่ำของวันนั้นเอง ในขระที่ไอ้โล้นกำลังตรวจความเรียบร้อยของแนวยิง ผมก็ได้ยินเสียงของมันเอะอะออกมาค่อนข้างดัง
“เฮ้ย ใครหยิบลูกระเบิดของกูไปโว้ย ไอ้ห่า กูเพิ่งจะเบิกมา 6 ลูก ใครขโมยไปลูกหนึ่งวะ”
“ผมเห็นไอ้ยีมันคาบวิ่งไปทางแนวลวดหนามโน่นครับ พี่โล้น”
ทหารรับจ้างคนที่อยู่ถัดออกไป ตะโกนบอกและตอนนั้นก็ยังไม่มีใครบังเกิดอาการเอะใจอะไรทั้งสิ้น
“บึ้ม”
เสียงระเบิดของ “M.26” ดังกระหึ่มออกมาจากบริเวณแนวรั้วลวดหนามตรงที่ ไอ้ยีเพิ่งวิ่งเข้าไปอย่างสดๆร้อนๆ
“ไอ้ยี...ลูกพ่อ”
ไอ้โล้นแหกปากร้องตะโกนขึ้นมาสุดเสียง พร้อมกับวิ่งควบเข้าไปยังบริเวณดังกล่าวอย่างชนิดลืมตาย
ผมและทหารรับจ้างหลายสิบคน วิ่งตามไอ้โล้นไปติดๆหยั่งกับงูกินหาง
มันเป็นภาพที่สะเทือนจิตใจพวกผมที่สุดเท่าที่เคยประสพมา
ไอ้โล้นนั่งลงรวบรวมชิ้นส่วนของไอ้ยีที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณเพราะอำนาจของสะเก็ดระเบิดด้วยท่าทางที่เซื่องซึม
น้ำตาลูกผู้ชายซึ่งผมไม่เคยเห็นจากไอ้โล้น บัดนี้เอ่อซึมออกมาเป็นทาง
“...ไอ้ยี มันน้อยใจที่ผมโกรธมัน... ไอ้ยีมันน้อยใจที่ทำให้หมู่วีตาย... มันก็เลยทำโทษตัวของมันเองด้วยการขโมยลูกระเบิดของผม แล้วใช้ปากดึงสลักนิรภัยฆ่าตัวตาย... หมวดขอชอปเปอร์ให้ผมด้วยครับ... ผมจะเอาศพไอ้ยีไปฝังที่ล่องแจ้ง... ผมไม่อยากให้มันถูกฝังอยู่บนสมรภูมิห่าเหวนี่ ผมจะพามันไปฝังด้วยตัวของผมเอง”
ด้วยกรรมวิธีแหกตาฝรั่ง... ผมร้องขอชอปเปอร์บินมารับไอ้โล้นใน 20 นาทีต่อมา
ชอปเปอร์ยกฐานสกีร่อนขึ้นจากพื้นสนาม... ร่างอันเละเทะของ “ไอ้ยี” ถูกบรรจุอยู่ในถุงทะเลประจำตัวของไอ้โล้น ชอปเปอร์บินสูงขึ้นทุกที... กลุ่มทหารรับจ้างยืนนิ่ง... บางคนน้ำตาซึมมออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์
“พลอาสาสมัครยี แจ้งกระโทก สุนัขพันธุ์แม้วที่มีประวัติชีวิตอันพิลึกกึกกือ ได้จากกองร้อยของผมไปแล้ว จากไปด้วยความทรงจำอันยาวนานซึ่งยากจะลบเลือนไปจากหัวใจของพวกผมง่ายๆ”
□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 19:02  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19345

คำตอบที่ 64
       ทหารรับจ้างเดนตาย
ตอนที่ 4 หมอเทวดา (จบในตอน)
ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเนินสกายไลน์ไปแล้ว ความมัวซัวของบรรยากาศรอบๆข้างเริ่มมืดสนิท อากาศที่หนาวเหน็บทับทวีเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว
ทั่วทั้งสนามเพลาะเงียบเชียบ ทหารรับจ้างนั่งอยู่ในหลุมบุคคล แทบทุกคนส่งสายตามองฝ่าความมืดลงไปยังทางลาดเบื้องล่าง ประสาทหูระแวดระวังเต็มที่
ผมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตฟิลด์ที่แขวนอยู่ที่หน้าบังเกอร์ขึ้นมาสวมทับชุดเครื่องแบบ กระแสลมที่รุนแรงบนยอดภูหมอกทำให้ผมต้องรูดซิปขึ้นไปจนกระทั่งถึงบริเวณใต้คาง
พนักงานวิทยุประจำกองร้อยนั่งหาวหวอดๆอยู่ข้างๆ
“บึ้มส์”
เสียงระเบิดปานประหนึ่งฟ้าผ่าดังสะท้อนอยู่บนเนินอานม้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองพันทหารรับจ้างที่ 604
พนักงานวิทยุยกปากพูดหูฟังของวิทยุ “PRC-77” กดสวิทช์ถามเหตุการณ์ออกไปด้วยความตื่นเต้น
“ลอนดอนจากนิวยอร์ค เสียงอะไรครับ... ของมันหรือของเราเปลี่ยน”
เงียบไปชั่วอึดใจ ทหารรับจ้างชำเลืองมองดูวิทยุเริ่มมีท่าทางอึดอัดใจ ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนในขณะนั้น ต่างก็พากันคิดว่า ทหารเวียดนามเหนือคงจะเริ่มยกกำลังเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ BC.604 เข้าให้แล้ว
“นิวยอร์คจากลอนดอน ไม่มีอะไรหรอกครับ ทหารของผมทำ M.72 ลั่น”
พนักงานวิทยุของ BC.604 กระหืดกระหอบตอบมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
โดยมารยาทแล้ว พวกผมไม่กล้าถามถึงอาการของผู้บาดเจ็บหรอกครับ วิธีเดียวที่พวกผมทำได้ก็คือนั่งฟังวิทยุจาก BC-604 ติดต่อขอความช่วยเหลือจาก บก.ล่องแจ้งต่อไป
“สิงหะ (บก.ล่องแจ้ง) จากลอนดอน ช่วยสนับสนุนชอปเปอร์ (เฮลิคอปเตอร์) ให่ผมด้วยครับ ทหารของผมประสพอุบัติเหตุโดน M.72 ถ้าได้รับการพยาบาลทันท่วงที อาจจะพอมีทางรอดชีวิต”
“ลอนดอนจากสิงหะ หมดเวลาทำงานของชอปเปอร์แล้ว มืดๆแบบนี้ มันจะบินมาได้ยังไงกันพ่อคู้ณ ทหารบาดเจ็บมากไม๊... เปลี่ยน”
บก.ล่องแจ้งปฏิเสธอ้างว่าไม่มีชอปเปอร์ แต่ก็ยังไม่วายที่จะสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง
“มากครับ เครื่องเยี่ยวหลุดออกไปทั้งหมด ช่องท้องฉีกขาด ลำไส้ไหลออกมากองเรี่ยราดอยู่ที่พื้น ช่วยจัดรถมารับหน่อยไม่ได้หรือครับ”
พนักงานวิทยุ BC.604 ออดอ้อนขอความช่วยเหลือจาก บก.ล่องแจ้งต่อไปอีก
“ใครจะกล้าขับขึ้นไปพ่อคุ๊ณ ทั้งกับระเบิด ทั้งหน่วยแซปเปอร์ (กล้าตาย) เพ่นพ่านยังกับตาสับปะรด.. ให้หมอประจำกองร้อยปฐมพยาบาลขั้นแรกเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้หกโมงเช้า ชอปเปอร์จะไปรับ ประเดี๋ยวคุณช่วยตามหมอประจำกองร้อยมาพูดกับหมอชลกรด้วย”
“สิงหะ นี่ผมหมอนะประจำกองร้อยพูดครับ”
“นี่อั๊วหมอชลกร หมอใหญ่พูด... ลื้อรักษาทหารบาดเจ็บขั้นแรกแบบไหน รายงานให้อั๊วทราบเดี๋ยวนี้”
“ผม ยัดลำไส้ของทหารผู้บาดเจ็บกลับเข้าไปอย่างเดิมแล้วครับผม”
“เฮ๊ย... เฮ๊ย... ประเดี๋ยวได้ตายห่าหรอก เอาลำไส้ออกเดี๋ยวนี้ แล้วให้ราดด้วยน้ำอย่าให้ลำไส้แห้ง วิธีนี้อั๊วปฏิบัติได้ผลดีมาแล้ว”
เสียงหมอประจำกองร้อยเงียบหายไปประมาณ 3 นาที ทหารรับจ้างทุกคนที่นั่งหน้าสลอนอยู่หน้าวิทยุเย็บปากนิ่ง ทุกคนนั่งฟังการรักษาคนบาดเจ็บทางวิทยุด้วยความสนใจ
“ลอนดอน จาก ชลกร ทำไมเงียบจึงไป เรียบร้อยใช่ไหม๊”
“ครับ – หมอ เรียบร้อย”
หมอประจำกองร้อยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆผิดไปจากครั้งแรกจนสังเกตุได้ชัด
“น่าน อั๊วบอกแล้ว มันจะไปยากเย็นอะไร อั๊วรักษามานักต่อนักลัว ลองดูอีกทีซิ คนเจ็บอาการดีขึ้นมากไหม๊”
หมอชลกรคุยจ้อด้วยน้ำเสียงที่ภูมิอกภูมิใจตัวเอง
“คนไข้ตายเรียบร้อยแล้วครับ ...ตายตอนผมเอาน้ำราดลำไส้นั่นแหละ ขอบคุณมาก หมอใหญ่ ว่างๆลองโดนยิงด้วย M-72 ดูบ้างนะครับ แล้วหมอจะรู้สึก”
มีเสียงหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้นลั่นวิทยุ เสียงที่แทรกซ้อนขึ้นมาที่ผมฟังอย่างถนัดหูก็คือ
“ไอ้ชลกร... ไอ้หมอบ้า”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินกิตติศัพท์ของคุณหมอชลกรและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความบ้าๆบอๆของหมอชลกรผู้นี้ ก็ทะยอยเข้าหูของผมไม่เว้นแต่ละวัน
พฤติการณ์ของหมอชลกรที่ปฏิบัติต่อทหารรับจ้างทำให้เกิด “โจ๊กสตอรี่” ที่เล่าสู่กันฟังอย่างสนุกสนาน
และแล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้ประสพกับวิธีรักษาคนไข้ด้วยกรรมวิธีแหวกแนวไปจากตำราอย่างสิ้นเชิง
ผมลงมาจากแนวเพื่อเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลล่องแจ้ง
พอก้าวเท้าขึ้นไปบนโรงพยาบาลผมก็ต้องชะงัก กัดริมฝีปากแน่นด้วยความขบขัน
ทหารรับจ้างท่าทางเซื่องซึมเหมือนกับคนติดยาเสพติดยืนถอดเสื้อให้คุณหมอชลกรตรวจโรคอยู่ 4 คน
คุณหมอชลกรแต่งชุดสนามพร้อมพกปืน .45 กระบอกเขื่อง ยืนถือหูฟัง เริ่มตรวจร่างกายทหารรับจ้างด้วยกรรมวิธีล้ำยุค
คุณหมอชลกรเริ่มร้องเพลงมาร์ชทหารอากาศขึ้นมาเสียงลั่นห้อง
“วันนี้เราอยู่ดูโลกกันให้โสภิณ....”
ในขณะที่ร้องเพลง หมอชลกรก็เริ่มจิ้มหูฟังลงไปบนส่วนต่างๆ ของร่างกายทหารรับจ้างเป็นจังหวะจะโคนตามทำนองของเพลง
พอเพลงจบ หมอชลกรก็เตะก้นทหารรับจ้างทั้ง 4 คนค่อนข้างแรง พร้อมกับสำทับออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“พวกลื้อเป็นโรคอู้ ติดกัญชากันงอมแง ไอ้ห่า ขึ้นแนวเดี๋ยวนี้ ประเดี๋ยวพ่อยิงทิ้งซะนี่”
พูดไม่พูดเปล่า หมอชลกรชักปืนออกมากระชากครอบลูกเลื่อนเสียงดัง “เคล๊ง”
ทหารรับจ้างทั้ง 4 คนกระโจนพรวดลงจากโรงพยาบาลวิ่งควบจี๋ หายลับไปจากสายตา ส่วนผมขึ้นบันไดไม่ไหวหรอกครับ ทรุดตัวลงนั่งหัวเราะงอก่องอขิงน้ำตาไหลพรากอยู่บนชั้นบันไดโรงพยาบาลนั่นเอง
ในช่วงเวลานั้น เมืองล่องแจ้งโดนถล่มอย่างหนักจากปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลังของทหารเวียดนามเหนือ โรงพยาบาลโดนยิงเฉียดไปฉิวมาไม่เว้นแต่ละวัน คุณหมอชลกรเกิดมีไอเดียเฉียบแหลมขึ้นมา ก็สั่งให้ทหารปีนขึ้นไปบนหลังคา แล้วเอาสีแดงขึ้นไปทาเป็นรูปกากะบาทจนมองเห็นเด่นชัดจากยอดเนินสกายไลน์
“ลื้อเชื่อหมอเถอะน่า ไอ้แกวมันไม่ยิงโรงพยาบาลหร๊อก ไอ้ที่มันยิงครั้งก่อนเพราะมันไม่รู้ เราไม่ได้ทำเครื่องหมายให้มันเห็น คราวนี้พวกลื้อสบายใจได้แล้ว”
หมอชลกรยืนเท้าเอว ร้องตะโกนคุยกับทหารรับจ้าง 3 คนที่กำลังทาสีรูปกากะบาท อยู่บนหลังคาโรงพยาบาล
กากะบาทเพิ่งเสร็จไปครึ่งเดียว ก็มีเสียงวี้ดดังลั่นอยู่บนท้องฟ้า พอสิ้นเสียงวี๊ดก็ปรากฏเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
“กรั๊ม”
ตำบลกระสุนตกอยู่หน้าโรงพยาบาลพอดิบพอดี ทหารรับจ้างที่นั่งอยู่บนหลังคา กระโจนลงมานอนแอ้งแม้งอยู่ข้างล่าง ทหารรับจ้างบาดเจ็บที่นอนอยู่ข้างในวิ่งพรวดพราดออกมาจากโรงพยาบาลอย่างตื่นตระหนก บางคนที่ขาเพิ่งจะเข้าเฝือกก็ลืมตัวออกวิ่งจี๋หยั่งกับ “อาณัติ รัตนพล”
คุณหมอชลกรกระโจนพรวดลงไปในหลุมสวะตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ โผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็หดหัวลงไปอีกด้วยอำนาจการยิงที่รุนแรงของ ปรส.ข้าศึก
ผนังด้านนอกของโรงพยาบาลพังทลายลงไม่มีชิ้นดี สองชั่วโมงเต็มๆที่คุณหมอชลกรต้องซุกตัวอยู่ในหลุมสวะ เมื่อการยิงของข้าศึกเริ่มเบาบางลง คุณหมอชลกรก็เผ่นแน็บเข้าไปหมอบเป็นเจ้าเข้าอยู่ในบังเกอร์ข้างๆ บก.ล่องแจ้งนั่นเอง
โรงพยาบาลถูกย้ายขึ้นไปอยู่บนเนินอับกระสุน ทหารเวียดนามเหนือก็ยังตามยิงรบกวนอีกไม่เว้นแต่ละชั่วโมง หมอชลกรมีอาการหวาดผวาจนเห็นได้ชัดสติป้ำๆเป๋อๆ เหมือนกับคนไม่เต็มเต็ง
ทาง บก.ล่องแจ้งคงจะเห็นสิ่งผิดปกติจากคุณหมอชลกรก็เลยออกคำสั่งย้ายคุณหมอชลกรไปยัง “เชียงลม” อันเป็นพื้นที่-ที่มีการรบไม่ค่อยรุนแรงเท่าไรนัก เพื่อเป็นการพักฟื้นจิตใจไปในตัว
และก็เป็นการบังเอิญอีกเหมือนกันในวันเดินทางออกจากล่องแจ้ง ผมกับหมอชลกรขึ้นชอปเปอร์ลำเดียวกันพอดี
หมอชลกรมีสีหน้าสดชื่น อากัปกริยาเหมือนคนไม่เต็มเต็งหายไปเป็นปลิดทิ้ง พอฐานสกีของเจ้าฮิวอี้ยกขึ้นพ้นจากลานจอด คุณหมอชลกรก็ร้องเพลงมาร์ชกองทัพอากาศขึ้นมาลั่นห้องโดยสาร
“วันนี้เราอยู่ดูโลกกันให้โสภิณ...”
พอร้องจบ คุณหมอชลกรก็หันหน้ามากระซิบกับผมเบาๆ
“คุณบิ๊กแมน ทุกๆคนในล่องแจ้งเขาหาว่าผมกำลังจะเป็นบ้าแม้แต่เจ้านายของผมก็ยังถามผมว่า ลื้อบ้าหรือปล่าวะ ฮ่าฮ่า ถ้าผมไม่แกล้งเป็นบ้า ผมจะได้ย้ายไปเชียงลมหรือครับ สถานะการณ์แบบนี้ ผมขืนอยู่ล่องแจ้ง เมียผมก็เป็นหม้ายเท่านั้น... ไอ้ห่า... ยิงเอ๊า ยิงเอา แม้กระทั่งหมอหรือโรงพยาบาลมันก็ไม่เว้น ไอ้สงครามระยำ เกิดชาติใดฉันใด อย่าให้เจอะเจอมันอีกเลย จุ๊ๆ ที่ผมเล่ามาอย่าไปบอกใครนะครับ บิ๊กแมน”
คุณหมอชลกรกระซิบกระซาบกับผมพร้อมกับหยิบหนังสือ “ต่วยตูน” เล่มกระทัดรัดออกมาเปิดอ่านดู ชั่วอึดใจ ผมก็ได้ยินคุณหมอชลกรหัวเราะก๊ากออกมาคับห้องโดยสาร...
□□□□□□□□□□□



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 19:18  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19346

คำตอบที่ 65
       ทหารรับจ้างเดนตาย
ตอนที่ 5 เมื่อผมปีนต้นงิ้วฝรั่ง (จบในตอน)
กลุ่มเมฆรวมตัวกันเป็นก้อนมืดทมึนอยู่บนท้องฟ้า ลมพัดแรงจัดขึ้นทุกที บรรยากาสรอบข้างสลัวลงอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าที่เคยแจ่มจ้าถูกสายหมอกบดบัง จนพร่าไปหมดทั้งอาณาบริเวณ ในไม่ช้าฝนก็เทลงมายังกับฟ้ารั่ว
“ตกยังกับห่าเหวเช่นนี้ ผมคิดว่ามันไม่มีทางหยุดหรอกครับ ผมเป็นห่วงนายเหลือเกิน ป่านนี้บินอยู่แถวไหนก็ไม่รู้ ทั้งหมอกทั้งฝนแบบนี้ ขืนดันทุรังบิน อยู่ดีไม่ดีเจอะกับยอดภูเขาเหมือนกับนายโคบาร์ละก็ พังแน่”
คนใช้ประจำตัวของสไปร๊ท์ นักบินตรวจการณ์บ่นพึมพำขึ้นมาพร้อมกับดึงผ้าใบลงมากันฝนที่กำลังสาดกระเซ็นไปรอบทิศ ละอองส่วนหนึ่งของมันถูกลมพัดย้อนเข้ามาในตัวรถจิ๊บจนเบาะที่ผมอยู่เปียกเลอะเทอะไปหมด
ผมยังไม่ทันกล่าวอะไรออกไปทั้งๆที่ในใจคิดอยากจะด่าไอ้ความปากเสียของเจ้าคนใช้ ที่พูดออกมาในทำนองแช่งชักเพื่อนของผมเช่นนั้น ก็พอดีได้ยินเสียงแหลมเล็กของเครื่องบินตรวจการณ์แบบ L-19 ที่ทหารรับจ้างเรียกกันติดปากว่า “ไอ้ปากหมา” ดังแว่วมาทางหัวสนามบิน ชั่วครู่ก็มองเห็นลำตัวของมันทะลุสายฝนโผล่พรวดออกมาจากร่องสันเขา แล้วถลาร่อนลงอย่างนิ่มนวล
เครื่องแท็กซี่เข้าไปในโฌรงเก็บที่สร้างอย่าง่ายๆด้วยแผ่นสังกะสีเรียงปะติปะต่อกัน กระแสลมที่กระโชกกระชั้นดันแผ่นสังกะสีเพยิบพยาบ ในไม่ช้ามันก็หลุดผลัวะกระเด็นแวบหายไปกับสายลม
ผมสะกิดเจ้าคนใช้ปากเสีย เหมือนกับมันจะรู้ความต้องการของผม รีบสตาร์ทเครื่องพารถจี๊บแล่นฝ่าสายฝนตรงไปที่โรงเก็บทันควัน
สไปร๊ท์ปีนลงจากที่นั่ง หิ้วอุปกรณ์การบินวิ่งตรงรี่เข้ามา พร้อมกับตะโกนเสียงโว๊กเว๊กแข่งกับสายฝน
“เฮ้ย บิ๊กแมน ดวงดีฉิบหายเลยว่ะ ก่อนฝนตกโดน 12.7 ม.ม. ของไอ้แกวที่ภูล่องมาศ ปีกซ้ายทะลุเป็นรูโหว่เลย”
สไปร๊ท์กระหืดกระหอบเล่าเหตุการณ์พร้อมกับมุดเข้ามาแทรกกับผมที่เบาะข้างหน้า หันไปสั่งคนขับด้วยภาษาอังกฤษปนลาวด้วยสำเนียงเหน่อๆ ซึ่งฟังแล้วอดขำไม่ได้
“เลท โก บักหำแตก”
รถจิ๊บเล็กเปิดไฟหน้าวิ่งฝ่าหมอกและสายฝนที่กระหน่ำลงมา จนพื้นถนนนองเจิ่งเหมือนกับเกิดอุทกภัย
พอรถจิ๊บจอดสนิท สไปร๊ท์ก็รีบเผ่นขึ้นไปบนทีพักทั้งๆที่รองเท้าคอมแบทเปื้อนโคลนเลอะเทอะเต็มไปหมด ท่ามกลางการมองค้อนของเจ้าคนใช้ปากเสียที่เบ้ปากพร้อมส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ
ผมเดินขึ้นไปบนห้องรับแขกที่จัดอย่างสวยงาม เก้าอี้นวมบุหนังสีดำตั้งตะหง่านอยู่กึ่งกลางห้อง ตู้เย็นขนาดเล็กยี่ห้อฟิลลิปตั้งอยู่ใต้แผงหนังสือประเภทพ็อคเก็ตบุ๊คจากต่างประเทศ วางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่หลายสิบเล่ม
มีเสียงโครมครามดังขึ้นในห้องนอน ซึ่งอยู่ถัดออกไปพร้อมกับมีเสียงตะโกนของสไปร๊ทดังออกมาลั่นห้อง
“ช่วยตัวเองพรรคพวก อยากจะฟัดอะไรก็หยิบเอาเอง ช่วยเปิดปิคอัพให้หน่อยโว้ย เลือกเอาเพลงบรรเลงที่เย็นๆ อั๊วจะนอนแช่น้ำร้อนสักครึ่งชั่วโมง... ถ้าลื้อง่วงจะนอน รออั๊วก็ได้ ประเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
นี่แหละครัความสุขของไอ้กันหลังจากเสร็จสิ้นจากการปฏิบัติงาน ด้วยเครื่องสุขภัณท์และเครื่องบำรุงความสุขที่ทาง ซี.ไอ.เอ. ประเคนให้กับนักบินรับจ้างของบริษัทแอร์อเมริกาอย่างครบครัน ซึ่งผิดกับทหารรับจ้างชาวไทยหยั่งพวกผมเหมือนฟ้ากับดิน
อย่างพวกผมแค่มีน้ำประปาที่กรองจากน้ำภูเขาก็เพียงพอแก่อัตภาพแล้ว ไอ้เรื่องจะมีสเตริโอ มีบาร์บรรจุเหล้านานาชนิดอยู่ในที่พัก ชาตินี้ทั้งชาติ คงจะไม่ได้เจอะเจอหรอกครับ
เสียงเพลงบรรเลงจากฝีมือของ “แซนโต้” ครางอ้อยอิ่ง ลวดลายการเล่นกีตาร์ฮาวาย นาบอารมณ์และไพเราะจนผมต้องเอนกายลง หลับตานิ่ง ตั้งอกตั้งใจฟัง จนกระทั่งเคลิ้มหลับไปอย่างไม่รู้ตัว...
ผมคงจะเผลอตัวหลับไปนานทีเดียว ตกใจตื่นขึ้นมาก็ได้กลิ่น “จอห์นนี่วอคเกอร์” หอมฉุยตลบอบอวลอยู่ใกล้ๆ
เจ้าสไปร๊ทยืนอยู่ตรงหน้าเค้าเตอร์ ใช้คีมคีบน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ใส่ลงไปในแก้วเหล้าทรงสูง เสื้อคลุมแบบกิโมโนปล่อยสายรัดห้อยรุ่มร่ามอย่างปราศจากการเอาใจใส่ ปล่อยให้ขนหน้าอกที่ขึ้นเปฌนแผงเหมือนกับลิงอุรังอุตังออกมาโชว์ความเป็นผู้ชาย จนผมมองดูแล้วอดขยะแขยงไม่ได้
อั๊วได้รับจดหมายจากเมียสองฉบับ ฉบับแรกบอกให้อั๊วส่งชุดแม้วไปให้ ยังไม่ทันจะส่งของไป เธอก็มานอนรออยู่ที่เวียงจันทร์เข้าให้แล้ว นี่เพิ่งฝากจดหมาย บรามสะเตียร์ มาให้เมื่อกี้นี่เอง เธออยากจะมาเที่ยวล่องแจ้ง ไอ้อั๊วมันไม่ค่อยจะมีเวลาว่าง ต้องปั้มเงินดอลล์ล่าร์หาเรื่องออกบินทุกวัน พรุ่งนี้ตอนสามโมงเช้าลื้อคอยรับเมียอั๊วด้วย ยังไงๆช่วยเซอร์วิสพาเธอเที่ยวตามหมู่บ้านชาวแม้วที่พอจะปลอดภัยให้อั๊วด้วย พรุ่งนี้ก่อนออกบิน อั๊วจะเขียนจดหมายแนะนำฝากไว้ให้ เฮ้ย ลุกขึ้นมาล่อเหล้ากันดีกว่า”
เอาแล้วซีครับ ไอ้ผมนี่มันเกิดมาราศรีอะไรหนอถึงต้องตกที่นั่งคอยบริการชาวบ้านเขาอยู่เรื่อยๆ จะปฏิเสธสไปร๊ท์มันออกไปก็เกรงใจมัน เพราะตามปกติตอนปลายๆเดือนถังแตก ผมก็เคยพึ่งพาดอลล่าห์ของมันอยู่เสมอมา... เรื่องทั้งเรื่อง ผมก็ไม่มีทางเลือกอีกเช่นเคยครับ
วันนั้นฝนตกกระหน่ำลงมาตั้งแต่เที่ยง และยิ่งตกหนักขึ้นทุกที จนกระทั่งหกนาฬิกาของวันรุ่งขึ้นจึงยุติเป็นปลิดทิ้ง พร้อมกับประกายอันเจิดจ้าของแสงอาทิตย์เริ่มผ่านพ้นเนินสกายไลน์ขึ้นมาสาดรัศมีไปทั่วบริเวณ
สายหมอกที่เคยปกคลุมและลามเลียตีนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสว่างโล่งไปหมดทั้งหุบเขา ผมไม่เคยเจอะกับสภาพอากาศที่สดใสเหมือนกับวันนี้มาก่อนเลย
น้ำฝนที่ค้างอยู่บนต้นไม้ใบหญ้าถูกแสงอาทิตย์สะท้านระยิบระยับเหมือนกับเกล็ดเพชร บางครั้งก็บังเกิดสีสันนานาชนิดมองดูเหมือนกับสายรุ้งที่แพรวพรายเจิดจรัสอยู่ในห้วงนภากาศ....
หลังจากผมส่งเจ้าสไปร๊ท์ขึ้น ไอ้ปากหมา” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งถือจดหมายแนะนำตัวอยู่บนห้องโดยสารชั่วคราวที่สร้างอยู่ข้างใต้หอบังคับการบินเฝ้ารอกำหนดการเดินทางของเมียเจ้าสไปร๊ท์ด้วยหัวใจที่บอกตัวเองไม่ถูก
ไอ้ธรรมเนียมฝรั่งมังค่านี่มันก็แปลกนะครับ ดูพวกมันไม่ค่อยจะถือสากันเลย ขนาดเมียมันยังกล้าใว้ใจฝากเอาไว้กับพรรคพวก ถ้าเป็นสังคมในเมืองหลวงมันก็พังเท่านั้น โดยเฉพาะคนไทยเราถือเหลือเกินไอ้เรื่องพรรค์นี้ ผมเคยได้รับการบอกเล่าอยู่เสมอๆว่ากามารมณ์ของพวกแหม่มนี้ ร้อนและรุนแรงผิดกว่าชาวบ้าน ถ้าแม่เกิดเฮี้ยนขึ้นมา เธอไม่รอให้เรา “เริ่ม” หรอกครับเธอจะเป็นฝ่ายโจมตีเราก่อนทีเดียว เป็นอะไรก็เป็นกันวะ จะได้รู้ฝีมือของผู้ชายไทยหยั่งเราเสียที
เครื่องปอร์ตเตอร์สีเทาสลับดำ วิ่งปร้าดเข้ามาทางด้านหัวสนามบิน มันใช้ความเร็วอยู่บนรันเวย์ชั่วครู่ก็ชะลอเครื่องเลี้ยวซ้ายเข้ามาจอด ณ บริเวณหน้าห้องพักผู้โดยสารทันที
ผมผลุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องพักผู้โดยสาร สอดส่ายสายตาสำรวจผู้โดยสาร ซึ่ง ขณะนี้กำลังทะลักออกมาชุลมุนวุ่นวาย
หญิงแม่ลูกอ่อนชาวแม้วโผล่ออกมาเป็นอันดับแรก ตะกร้าไก่ถูกยกโยนลงมาที่พื้น สลักที่ใส่เอาใว้หลวมๆหลุดผลั๊วะออกมาทันที ไก่ 2-3 ตัวที่ถูกขังมาเกือบชั่วโมงพอได้โอกาส ก็วิ่งพรูออกมาส่งเสียงร้องพร้อมกับวิ่งพล่านไปมา ท่ามกลางเสียงเฮฮาของกลุ่มทหารรับจ้างที่คอยยืนเครื่องบินอยู่ใกล้ๆ
แหม่มสาวแฟนของสไปร๊ท์ปรากฏตัวออกมาแล้ว เธอเดินตามกลุ่มทหารลาวท่าทางสกปรก 2-3 คน ที่หันรีหันขวางกลับไปมองดูเธอจนกระทั่งสะดุดขาตัวเองล้มลงกับพื้น ทำให้เจ้าคนท้ายสุดที่มีส่วนสูงแค่หน้าอกของแหม่มสาวสะดุดร่างของเพื่อนฝูงล้มตามลงไปด้วย
ผมเห็นเธอยกมือขึ้นปิดปาก ท่าทางเธอคงจะอยากหัวเราะออกมาเต็มที่ แต่ทว่าความที่ได้รับการอบรมในด้านสังคมมาพอเพียงจึงทำให้เธอสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้
ด้วยเครื่องแต่งกายชุดเดินทางที่ได้สัดส่วน ความเข้มของสีน้ำเงินช่วยขับให้ผิวขาวเผือดของเธอเด่นชัดขึ้นกว่าปกติ ดวงหน้าที่เรียวยาวแบบผู้หญิงยุโรป ถูกสวมทับเอาไว้ด้วยแว่นตากันแดดขนาดใหญ่ มองดูเก๋ และแปลกตากว่าแหม่มทุกคนที่ผมเคยเห็นมา
กระเป๋าถือชนิดสะพายยาวถูกห้อยเอาไว้ที่บ่าข้างซ้าย ส่วนกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมซึ่งผมคิดว่าจะต้องหนักเอาการ เพราะจากการสังเกตดูอาการเดินของเธอ ไหล่ลู่ไปข้างหนึ่ง
ผมพาตัวเองเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว ก่อนอื่นผมยื่นมือไปช่วยถือกระเป๋า พร้อมกับบอกให้เธอเดินตามผมไปขึ้นรถจี๊ปที่จอดอยู่ใกล้ๆ...
“สไปร๊ท์ออกบินไปลาดตระเวณทุ่งไหหิน สั่งให้ผมมารับคุณ กรุณาอ่านจดหมายด้วยครับ”
ผมเอ่ยขึ้นมา ในขณะที่สตาร์ทเครื่องพารถจิ๊ปออกมาจากสนามบินมุ่งหน้าไปยังที่พักของสไปร้ท์ ซึ่งมองเห็นลิบๆ บนเนินเขาเบื้องหน้า
เธอถอดแว่นกันแดดออก เอื้อมมือหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านลวกๆ เธอใช้เวลาอ่านอยู่ชั่วครู่ ก็หันมายิ้มพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา กล่าวเป็นภาษาอังกฤษค่อนข้างเร็วที่ผมฟังเกือบไม่รู้เรื่อง
“ยินดีมากค่ะที่ได้รู้จักกับคุณบิ๊กแมน ดิฉันชื่อ “มาเรีย” เป็นคนอิตาเลี่ยน ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยเป็นธุระให้กับสามีของดิฉัน
ผมยื่นมือจากพวงมาลัยออกไปสัมผัส มันคงจะหยาบกร้านและสกปรกเต็มที จนทำให้เธอชำเลืองดูมือของเธอที่อยู่ในอุ้งมือของผม
“ขอโทษครับ... รู้สึกว่าร่างกายของผมจะไม่ค่อยสะอาดนัก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชีวิตในสนามรบจะมามังพิถีพิถันกับร่างกาย ดิฉันคิดว่ามันคงจะไม่ถูกต้องเรื่องนักใช่ไหมคะ?”
เธอย้อนถามมาอีกครั้งด้วยลิ้นของชาวอิตาลีที่พูดสำเนียงอังกฤษรัวจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง...
ผมไม่ทันจะตอบ รถจิ๊ปก็ถึงบ้านพักของสไปร๊ท์เสียแล้ว เจ้าคนใช้ปากเสียปราดเข้ามาช่วยยกกระเป๋าขึ้นไปบนห้องพักอย่างรวดเร็ว
“มาเรีย” เดินสำรวจห้องพักอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเธอมองเห็นชุดเสื้อผ้าของชาวแม้วที่สไปร๊ท์แขวนเอาไว้ที่ตู้ ดูท่าทางของเธอตื่นเต้นมาก เห็นพึมพำเป็นภาษาบ้านเกิดออกมา ซึ่งพอจะจับใจความแว่วๆว่า
“เบนร่า... เบ็นร่า” ซึ่งมันก็จนด้วยเกล้าครับผม ผมไม่มีความรู้ในภาษาดังกล่าวนี้เลย แต่ถ้าจะให้ผมเดา มันคงจะแปลว่า “สวยมาก” อะไรในทำนองนั้นแหละครับ
“ขอเวลาดิฉัน 10 นาที นี่ก็แปดโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ดิฉันอยากไปเที่ยวที่ปากเค อยากจะเห็นการทอผ้าของพวกแม้ว และการทำไรฝิ่น คุณบิ๊กแมนพร้อมแล้วใช่ไหมค่ะ อ้า กรุณาเตรียมเครื่องนอนไปด้วย เพราะบางที ดิฉันอาจจะค้างแรมกับคุณ”
ประสาทของผมชาวูบ มันเรื่องอะไรที่แม่แหม่มคนนี้จะไปค้างคืนกับผมในหมู่บ้านชาวแม้วที่อยู่กลางป่าลึก ประเดี๋ยวไอ้สไปร๊ท์รู้เข้า มันก็จะฉีกอกผมป่นปี้เท่านั้น
มาเรียเห็นผมอึ้งไป ก็หัวเราะออกมา กล่าวต่อไปอีก
“คุรไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกค่ะ ประเพณีของดิฉันกับของคุณแตกต่างกันมากค่ะ เรื่องการเที่ยวเตร่ดิฉันมีสิทธิเสรีภาพและมีอิสระอย่างเต็มที่ ทั้งสไปร๊ท์และดิฉันเข้าอกเข้าใจกันดี ก่อนออกเดินทาง ดิฉันจะเขียนโน๊ตบอกสไปร๊ท์อีกครั้งหนึ่ง”
ใครปฏิเสธเธออกไปก็โง่เต็มทน ผมจัดแจงสต็อกขนมปังและเรชั่นกระป๋องติดตัวไปเต็มอัตราศึก เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจแก่ชาวบ้าน ผมต้องไปเสาะหาเครื่องแบบสีเขียวแบบที่ทหารรับจ้างแต่งกันในล่องแจ้งมาให้เธอผลัดเปลี่ยนแทนชุดเดินทางสีฉูดฉาดชุดนั้น
ไม่ถึงเก้านาฬิกาดี ทั้งผมและมาเรียก็ห้อตะบึงไปบนเส้นทางที่วกวนเวียนไปตามไหล่เขา
เมื่อผ่านจุดตรวจแต่ละแห่ง ทหารแม้วที่ยืนรักษาการณ์ทำตาโตมองดูมาเรียที่นั่งสวมหมวกเหล็กเต๊ะท่าอยู่อย่างสงสัย มันคงจะแปลกใจและคิดไม่ถึงว่าขณะนี้ ทางล่องแจ้งคงจะมีทหารหญิงฝรั่งรับจ้างรบเหมือนอย่างกับพวกมันเข้าให้แล้ว
ผมใช้เวลาประมาน 2 ชั่วโมงก็มาถึง “ปากเค” เสือกหัวรถเข้าไปจอดหน้าบ้านหัวหน้าเผ่าที่ขณะนี้ยืนยิ้มพุงกระเพื่อม ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“เชิญเลยครับ นายภาษา กำลังคิดถึงอยู่ทีเดียว มานั่งพักผ่อนข้างในก่อนครับ อุตส่าห์พาเมียมาเที่ยวถึงที่นี่”
มาเรียเกาะแขนผม กระซิบถามออกมาทันควัน
“อีตาอ้วนเขาพูดว่าอะไรคะ”
ผมก็เลยแปลเป็นภาษาอังกฤษออกไปตามนั้น มาเรียหัวเราะกิ๊ก กระซิบบอกผมให้ตอบตาลุงหัวหน้าเผ่าออกไปว่าเธอเป็นเมียของผม แถมยืนยันคำพูดด้วยการโอบสะเอวของผมแน่น พร้อมกับยื่นจมูกเข้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่...
เล่นพิเรนทร์กับผมอีกแล้ว แถมยังมาคุอารมณ์ของผมให้กรุ่นขึ้นมาอีก ผมก็เลยต้องตกกระไดพลอยโจนสมอ้างไปตามที่เธอบอก
เราได้รับการต้อนรับจากหัวหน้าเผ่าอย่างดีที่สุด ห้องพักที่มีอยู่ห้องเดียว ถูกโยกย้ายครอบครัวออกไปอย่างกระทันหัน ที่หลับที่นอนถูกตระเตรียมเหมือนกับจะให้เป็นสวรรค์ระหว่างผมกับมาเรียโดยเฉพาะเท่านั้น
ผมและมาเรียใช้เวลาว่างเท่าที่มีอยู่ตระเวณหมู่บ้านปากเคเสียจนทั่ว มาเรียจับจ่ายเงินอย่างมากมาย เพื่อซื้อเครื่องประดับของชาวแม้ว แม้กระทั่งแหวนเงินซึ่งผมพยายามมองนักมองหนา ก็ยังเห็นว่าแหวนสนามหลวงของบ้านเรายังจะเข้าท่ากว่า มาเรียก็เหมาซื้อแทบเกลี้ยงหมู่บ้าน นัยว่า จะหอบเอาไปแจกจ่ายเพื่อนฝูงที่ชิคาโก...
ตอนเย็นมาเรียเปลี่ยนชุดเครื่องแบบออก สวมชุดสาวแม้วออกไปเที่ยวไร่ฝิ่นที่ปลูกอยู่ใกล้ๆ
เนื่องจากในขณะนั้น ต่นฝิ่นเพิ่งจะเริ่มปลูกเท่านั้นเอง สภาพและลักษณะของมันก็เลยไม่เหมือนกับภาพยนต์ที่เธอเคยชมมา เมื่อผมชี้ให้ดูต้นฝิ่นต้นเล็กๆ ที่ปลูกอยู่เป็นแถวๆ เธอหันมาทำตาเล็กตาน้อยกับผมพร้อมกับพูดว่า
“บิ๊กแมนโกหก ดิฉันมองเท่าไหร่ก็เห็นเป็นต้นผักกาดหอมอยู่นั่นเอง อย่ามาหลอกดิฉันเลยค่ะ”
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เธอเข้าใจได้อย่างไร เมื่อเห็นว่าอากาศชักจะมืดลงทุกที ก็เลยชวนเธอกลับที่พัก
ตะเกียงน้ำมันก๊าซแสงส่องสลัวๆ ผมและมาเรียนั่งจัดสิ่งของที่ซื้อมาเมื่อตอนกลางวันลงในถุงทะเลใบเขื่องที่ผมถือตืดมือเอามาด้วย...
“หนาวเหลือเกิน ที่นี่เขาคงไม่อาบน้ำกันใช่ใหมคะ หนาวแบบนี้ ดิฉันคิดว่าปรอทคงจะไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสแน่ๆ พวกชาวบ้านเขาทนอยู่กันได้อย่างไรกัน”
“ชาวแม้วเกิดขึ้นมาในสภาพและสิ่งแวดล้อมต้องช่วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา คุณคงจะสังเกตุเห็นใต้เตียงนอนของแม้วแทบทุกบ้าน จะมีกองไฟจุดคุอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันก็สามารถช่วยได้มากทีเดียว”
“ดิฉันเห็นห้องนอนของเราแล้ว อดนึกถึงวันฮันนีมูนของดิฉันกับสไปร๊ท์ไม่ได้”
เธอพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับเอนกายลงนอน ผมขยับที่ให้เธอพร้อมกับค่อยๆพลิกตัวหันหลัง นอนใจเต้นตึกๆ คิดอะไรสับสนไปหมด
“กู๊ดไน๊ท์”
เสียงมาเรียกระซิบแผ่วเบาๆ ที่ใบหู ผมพยายามข่มใจอย่างเต็มที่ คาถาที่ท่องอยู่ในใจก็คือ “เมียเพื่อน เมียเพื่อน เมียเพื่อน” จนกระทั่งเผลอหลับไปจนได้
ตกใจตื่นขึ้นมาก็รู้สึกผิดปกติบนร่างกาย ความรู้สึกบอกตัวเองว่า ซิ๊ปกางเกงของผมถูกรูดออกไปจนสุด มีมือที่นุ่มนิ่มล้วงไต่เข้าลูบไล้บริเวณปืนพก “จุดสองห้อย” ของผมอยู่ไปมา
ผมนอนตัวเกร็ง เรี่ยวแรงไม่รู้ว่าหายไปใหนหมด อนิจจา ผมไม่มีกำลังแม้แต่จะยกมือขึ้นมาป้องกันสิ่งที่ผมรักและหวงแหนประดุจชีวิตเอาไว้ได้
ก่อนเหตุการณ์จะเลยเถิดไป จนกระทั่งผมประสพกับการพ่ายแพ้ ผมก็คว้าหมับไปที่ข้อมือของมาเรียทันควัน
ผมไม่เร็วไปกว่าเธอหรอกครับ มือข้างที่ว่างของเธอคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของผม ดึงร่างของผมเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรหยุดยั้งกระทิงแก่ๆอย่างผมอีกต่อไปแล้ว ผมเก็บเกี่ยวความละลานใจบนร่างของเธอทันที
“บิ๊กแมน กางเกง” มาเรียกระซิบเสียงสั่น ผมขยับก้นขึ้น ใช้มือขวาเขี่ยขอบกางเกงเลื่อนลงไปข้างล่าง คงจะไม่ทันใจ มาเรียก็เป็นฝ่ายช่วยดึงขากางเกงของผมหลุดออกไปด้วยตัวของเธอเอง
ผมเอื้อมมือคลำสะเปะสะปะไปทั่วร่างของเธอ ไม่มีส่วนไหนที่จะราบเรียบเหมือนกับผืนรันเวย์เลยครับ มันอวบอูมเหมือนกับเนินภูเขาไปเสียทั้งหมด เสียงหายใจของเราทั้งสองดังฟืดฟาดฟังไม่ได้ศัพท์ เจ้าตะเกียงน้ำมันก๊าซที่ลืมตาโพลง จ้องมองดูเราอย่างตื่นตระหนกสิ้นแสงไปเสียแล้ว เสียงคาถา “เมียเพื่อน เมือเพื่อน” ดังแว่วๆ อยู่โคนต้นงิ้ว
พับผ่า ผมเพิ่งจะรู้ว่าไอ้การปีนต้นงิ้วฝรั่งนี่มันมีรสชาดสะเด่าแบบนี้เอง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 19:25  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19347

คำตอบที่ 66
       ทหารรับจ้างเดนตาย งานเขียนอิงเรื่องจริงของ สยุมภู ทศพล
ตอนที่ 6 โรซี่ พยาบาลสาวเจ็ดแรงม้า (จบในตอน)
ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะพอดิบพอดี ท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มไปด้วยสายหมอกอยู่ตลอดเวลา ถูกประกายความร้อนที่เจิดจ้า ขับไล่สว่างโล่งไปหมดทั้งอาณาบริเวณ
บรรยากาศที่ซบเซาของสนามบินล่องแจ้งเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ความสงบเงียบซึ่งมีอยู่ชั่วขณะหนึ่งเนื่องจากสภาพอากาสอันเลวร้ายของอากาศ เริ่มอึกทึกครึกโครมและชุลมุนวุ่นวายกันให้มั่วไปหมด บรรดาเครื่องบินชนิดต่างๆไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบ,เครื่องบินลำเลียง, หรือแม้กระทั่งเฮลิคอปเตอร์ที่ถูกจอดแช่อยู่ตั้งแต่เช้าถูกติดเครื่องครางกระหึ่มส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หลายต่อหลายเครื่องเริ่มแท็กซี่ช้าๆไปตามรันเวย์ เพื่อรอคิวที่จะบินขึ้นไปปฏิบัติงานตามภาระกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากกองบัญชาการล่องแจ้งต่อไป...
ผมนั่งอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ชนิด ?ฮิวอี้? ที่พรางลำตัวด้วยสีเขียวสลับน้ำตาล ที่กำลังบินอยู่สูงลิบเหนือบริเวณ ?เนินซีบร้า? เพื่อสำรวจผลการทิ้งระเบิดจาก B-52 ตามคำสั่งของ ซี.ไอ.เอ. ที่ต้องการจะประเมินผลการสูญเสียของกองพันทหารเวียดนามเหนือที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณดังกล่าวนั้น
ทั้งๆที่เป็นการเสี่ยงอันตรายร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มจากอำนาจปืนต่อสู้อากาสยานที่อาจจะหลงเหลืออยุ่บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้มีทางหลีกเลี่ยงภาระกิจชิ้นนี้เสียแล้ว อันดับแรกก็คือคำสั่งจากเบื้องบน (ซึ่งอันนี้ พอจะเลี่ยงได้ด้วยชั้นเชิงที่เคยเบี้ยวไอ้กันเป็นประจำ)
แต่อันดับสองนี่สิครับ มันยั่วใจผมเหลือเกิน ก็ไอ้ ?โอเวอร์ไทม์? ที่ไอ้กันมันประเคนดอลล่าร์ให้อย่างไม่อั้นนี่แหละ ที่ทำให้ผมลืมตัว ?ลืมตาย? ไปชั่วขณะ ตกหลุมเงินสกุลดอลล่าร์ของพวกมันไปอย่างง่ายดาย
แต่พอมานั่งเฮลิคอปเตอร์ลอยฟ่องอยู่บนท้องฟ้า ณ บริเวณเป้าหมาย ก็อดที่จะขนหัวลุกไม่ได้ ร่ำๆที่จะเปลี่ยนใจตั้งหลายครั้งหลายคราก็อายนักบินมัน หันมาชำเรืองดูทหารแม้วที่ติดตามมาด้วย เห็นสายตาของมันแล้วอดใจแป้วไม่ได้ ทั้งลูกน้องและผู้บังคับบัญชา ขีดความสามารถในเรื่องความกลัวตาย มันก็ไอ้เครือๆกันนั่นแหละครับ
?บิ๊กแมนเตรียมตัวครับ ผมจะบินต่ำลงไปสำรวจยอดเนินข้างล่าง อย่าโผล่ศรีษะพ้นเกราะที่อยู่หน้าช่องประตูออกไปนะครับ?
เสียงกังวานของนักบินผู้ขับขี่เฮลิคอปเตอร์ดังออกมาจากหูฟังที่สวมทับหมวกเบเรต์สีแดงสดของผมได้ยินอย่างถนัดชัดเจน
ผมรีบดึงปากพูดขนาดจิ๋วที่ติดอยู่กับหูฟังขึ้นมาพูดตอบกลับไปทันควัน
?พร้อมแล้วครับ ผมอยากจะตรวจการณ์ตั้งแต่หัวเนินทางด้านทิศเหนือไปจนถึงทางลาดลงไปในหุบด้านตรงข้าม ถ้ามีโอกาส ผมคิดว่า คุณพอจะทำได้ใช่ใหมครับ?
?แคน ดู อีซี่ มายเฟรนด์? นักบินอเมริกันสวนคำพูดกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี...
เฮลิคอปเตอร์ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว แล้วตีวงกว้างบินร่อนลงไปเหนืออาณาบริเวณของยอดเนิน ?ซีบร้า? ซึ่งมองเห็นลิบๆอยู่เบื่องล่าง ยิ่งต่ำลงไปเท่าไหร่ สภาพและร่องรอยของภูมิประเทศที่บอบช้ำจากการทิ้งระเบิดแบบปูพรมของ B-52 ยิ่งปรากฏชัดขึ้นทุกที
หลุมขนาดยักษ์ 6-7 หลุมเรียงรายกันไปตามความยาวของสันเขา อย่างกับถูกน้ำมือของมนุษย์ถูกขุดเอาไว้ด้วยระยะความห่างที่เท่าๆกัน ต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งผมเคยจำได้อย่างถนัดหูถนัดตาว่าเคยมีอยู่หนาแน่น ณ บริเวณท้ายเนินซึ่งลาดลงไปในหุบเบื้องล่าง ถูกอำนาจจากไฟบรรลัยกัลป์เหี้ยนเตียนโล่งไปหมด จะมีเหลือพรอมแพรมอยู่บ้างก็เพียงสองสามต้นที่ถูกสะเก็ดเฉือนลำต้นขาดหายไป เหลือเพียงแต่โคนต้นเท่านั้นเอง
นักบินพาเครื่องบินกลับไปมาอยู่สองสามเที่ยว เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแล้ว นักบินตัดสินใจบินต่ำลงเพื่อสำรวจภูมิประเทศเบื้องล่างทันที
มันเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดอย่างช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ทหารเวียดนามเหนือที่ซุ่มซ่อนอยู่ในบังเกอร์ที่ได้รับการพรางอย่างดีเยี่ยมพร้อมด้วยปืนต่อสู้อากาศยานชนิดแตกอากาศแบบ 12.7 มม. ระดมยิงเฮลิคอปเตอร์ลำที่ผมนั่งทันที
เสียงระเบิดรัวถี่ยิบ ดังเป็นประทัดแตกเซ็งแซ่อยู่เบื้องล่าง เสียงหวีดหวิวของหัวกระสุนที่วิ่งตัดอากาศเฉียดลำตัวของเจ้าฮิงี้ ซึ่งขณะนี้นักบินผู้ขับขี่กำลังตาลีตาเหลือกไดร์ฟเครื่องบินหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ในขระที่เครื่องเงยลำตัวนั่นเอง กระสุดนัดหนึ่งของเจ้า 12.7 ก็จับพลัดจับผลูทะลุลำตัวเครื่องผ่านเข้าไปในห้องโดยสาร
ผมรู้สึกเสียวปร๊าบที่บริเวณต้นแขนซ้ายความรู้สึกเหมือนกับใครตบด้วยกำปั้นจนชาไปหมดทั้งแขน
ด้วยสามัญสำนึก ผมรีบยกมือขวาขึ้นตะปบบริเวณต้นแขนซ้ายทันที สัมผัสแรกที่ผมรู้สึกก็คือความเหนียวเหนอะหนะของเลือดที่ทะลักออกมาจนชุ่มฝ่ามือแดงเถือกไปหมด
?เฮ้ บิ๊กแมน... ยูโดนจวกเข้าแล้ว? อเมริกันนิโกรที่มีหน้าที่เปิดปิดประตูเฮลิคอปเตอร์ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก พร้อมกับส่งวิทยุให้นักบินทราบ
ผมพยายามเช็ดบาดแผลด้วยการขยับมือซ้ายให้เคลื่อนไหวไปมา
อนิจจา ผมไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวมือข้างซ้ายได้เสียแล้ว มันดูคล้ายๆจะเป็นอัมพาตไปหมดทั้งแขน เวลาผ่านไปชั่วครู่ ความชาได้ทุเลาลง แต่ทว่าความเจ็บปวดรวดร้าวได้เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
เศาผ้าร่มที่สกปรกขมุกขมอมไปด้วยเหงื่อที่พันคออยู่ตลอดเวลาของทหารแม้วถูกนำมาผูกมัดเอาไว้อย่างหนาแน่นบริเวณหัวไหล่ด้านซ้าย ซึ่งมันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้มากมายนัก นอกจากช่วยห้ามเลือด ซึ่งขณะนี้ซึมออกมานอกแขนเสื้อลงไปเปรอะเปื้อนไปหมดทั้งตัวให้เบาบางลงไปบ้างเท่านั้นเอง
ความเจ็บปวดรวดร้าวทับทวีเพิ่มขึ้นทุกที ผมนั่งคู้งอตัวลงกับเก้าอี้ ท่ามกลางการกุลีกุจอประคับประคองคนละไม้ละมือของเพื่อนฝูง ซึ่งตามปกติก็ไม่ค่อยจะมีความรู้มากมายนักในการปฐมพยาบาลขั้นแรก
เครื่องลดระดับอีกครั้ง อาการโคลงของมันเกือบทำให้ผมต้องพลัดตกจากเก้าอี้ ภูมิประเทสของเมืองล่องแจ้งผ่านสายตาเข้ามาพอล้อแตะพื้นจอด ความสะเทือนของมันทำให้สติของผมโบยบินออกไปทันที
มันคงจะนานเอาการทีเดียว เพราะในขณะที่ผมลืมตารู้สึกตัวขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำให้ผมได้ทำความรู้จักกับมันก็คือความหิวที่วิ่งปร้าดเข้ามาจนกระเพาะอาหารปวดจี๊ดไปหมด...
ผมงงอยู่ชั่วครู่ พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา พอสายตาชำเลืองดูที่ไหล่ซ้าย เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในตอนกลางวันก็พรั่งพรูเป็นภาพขึ้นมาในหัวสมอง
ผมไม่โกรธนักบินผู้ขับขี่เฮลิคอปเตอร์หรอกครับ ให้เป็นผม ผมก็ต้องตัดสินใจเช่นนั้น ก็ใครมั่งละครับ จะไปคิดว่า ไอ้แกวมันจะใจเย็นขนาดให้ ฮ.บินโฉบไปมาถึงสามเที่ยวจนกระทั่งเราตายใจ ลดระดับความสูงลงมา โดนขนาดนี้ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว รู้สึกปวดหนึบๆที่บริเวณบาดแผลซึ่งขณะนี้หนาเตอะไปด้วยผ้าพันแผลชนิดหนา ตั้งแต่บริเวณหัวไหล่ลงไปถึงบริเวณข้อศอกด้านใน
ผมพยายามเคลื่อนไหวแขนที่บาดเจ็บอีกครั้ง ให้ตายซี ผมไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนซึ่งวางพาดอยู่ขึ้นมาได้ ก็เลยนอนลืมตาสำรวจสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างอย่างเนือยๆ หลอดฟลูออเรสเซ่นต์ลักษณะวงกลมสว่างนวลอยู่บนเพดานห้อง เครื่องแบบทหารรับจ้างที่สกปรกถูกลอกคราบออกไปเสียแล้ว มีชุดสีฟ้าอ่อนแบบชุดคนไข้ใหม่เอี่ยมถูกสับเปลี่ยนเข้ามาแทนที่
ผมกวาดสายตาสำรวจต่อไปอีก มันเป็นห้องที่ถูกจัดแบ่งออกเป็นสัดส่วนจากห้องอื่นๆ มองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง ฝากั้นที่ทำด้วยไม้อัดทาสีขาว ถูกวางกั้นเอาไว้ทั้งสี่ด้านด้วยความสูงที่ไม่ต่ำกว่าด้านละสองเมตร เสียงหึ่งๆของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าครางผ่านประตูที่เปิดเผยอเอาไว้อย่างลวกๆ เข้ามาได้ยินแว่วๆ จากลักษณะของเตียงพยาบาลที่ยกหัวเตียงให้สูงขึ้นต้องทำให้ผมอยู่ในลักษณะครึ่งนั่งครึ่งนอน แต่เนื่องจากความหยุ่นของเจ้าหมอนที่วางซ้อนกันอยู่ ณ บริเวณแผ่นหลัง ช่วยทให้ผมมีความสุขสบายขึ้นมากทีเดียว
มีเสียงรองเท้าชนิดส้นแข็งดังเป็นจังหวะเข้ามาก่อนเพียงชั่วครู่ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมๆกับมีเสียงแหลมเล้กพูดเป็นภาษาแม้วดังค่อยๆ ถ้าหูของผมไม่ฝาดจนเกินไปนัก ภาษาแม้วที่ผมพอจะกระดิกหูอยู่บ้าง ก็คือการออกคำสั่งให้ยกอาหารมาให้ผมนั่นเอง
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวอยู่ในชุดนางพยาบาลสีขาวนวลโผล่พ้นประตูเข้ามาในอันดับแรก จากอาการเอี้ยวตัวให้เด็กหนุ่มที่ถือถาดอาหารเข้ามา ทำให้ผมมองหน้าเธอไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นัก คอรับกับปลายผมอันยาวสลวยที่หงิกงอยาวเคลียกับต้นคอบังดวงหน้าของเธอเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็พอสังเกตุเห็นจมูกที่โงเป็นสันอย่างสวยงามอย่างถนัดชัดเจน
พอเด็กหนุ่มชาวแม้ว ยกถาดอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะยก ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางขวามือของเตียงพยาบาล เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวผู้นั้นงับประตูเอาไว้อย่างเดิม หมุนตัวกลับ เดินตรงมาที่เตียงของผม
ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งผิดกับลักษณะของผู้หญิงลาวโดยทั่วไป ทำให้ผมเดาเอาเองว่า หญิงสาวผู้นี้จะต้องมีส่วนผสมของฝรั่งเศษอยู่ครึ่งหนึ่งอย่างแน่นอน จะเป็นทางบิดาหรือทางมารดาอันนี้แหละยังเป็นปัญหาที่ผมยังเดาไม่ออก
ด้วยอาก่รเดินเหินที่ไม่เคอะเขิน ลักษณะท่าทางเฉี่ยวเอาอย่างมากๆ เลยทีเดียว
เมื่อเธอมองเห็นผมลืมตาอยู่ เธอก็ชะงักเล็กน้อย ทันใดนั้นเองภาษาฝรั่งเศษที่เร็วปรื๋อก็ระรัวออกมาจากริมฝีปากที่บางเฉียบคู่นั้น
โธ่เอ๋ย ขนาดภาษาอังกฤษผมก็มีความรู้เพียงงูๆปลาๆเท่านั้น พื้นเพก็จบ ม.6 ธรรมดาๆ เท่านั้น ไอ้ที่สอบผ่านมาเป็นล่ามกับเขาได้ ไม่ใช่ว่าผมจะเก่งกาจในเชิงภาษาอังกฤษกว่าชาวบ้านเขาหรอกครับ มีนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยไปสอบภาษาอังกฤษแข่งกับผมที่อุดรหลายต่อหลายคน พอเจอะข้อสอบ ?จงแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาลาวเข้าเท่านั้น? ก็เจ๊งกลับบ้านกันเป็นแถวๆ ส่วนผม ส.บ.ม. ครับ ภาษาลาวมันของตายอยู่แล้ว
เมื่อฟังไม่รู้เรื่อง ผมก็เลยตอบกลับออกไปเป็นภาษาอังกฤษ แต่อย่าให้ผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษลงไปเลยครับ ประเดี๋ยวผู้รู้ไวยากรณ์ทั้งหลายจะหาว่าผมเอาภาษาอังกฤาของกระหรี่ท่าเรือคลองเตยมาใช้ มันก็เสียเหลี่ยม ?ล่ามผี? ไปเท่านั้น
?ขอโทษครับ ผมเป็นคนไทย สัญชาติไทย ภาษาที่ผมพอจะเข้าใจก็คือ อังกฤษ ลาว แม้ว แล้วก็ภาษาไทยเท่านั้น กรุณาใช้ภาษาใด ภาษาหนึ่งที่ผมบอกคุณไป แล้วพูดกับผมใหม่ครับ?
?อุ๊ยตาย... คุณบิ๊กแมนเป็นคนไทยหรือคะ ดิฉันเห็นในใบตรวจแพทย์ ตรงช่องสัญชาติเขียนเอาใว้ด้วยตัว ?F? ดิฉันนึกว่าคุณมีสัญชาติเป็นฝรั่งเศษเสียอีก นึกดีใจที่จะได้พูดภาษาเมืองคุณพ่ออยู่ทีเดียว?
ภาษาไทยที่ชัดเปรี๊ยะจากปากนางพยาบาลลูกครึ่งลาวผสมฝรั่งเศษพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง
?ใช้ภาษาไทย ค่อยยังชั่วหน่อยครับ... คงจะมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตัว ?F? นั่นคือ ตำแหน่งหน้าที่ของผมครับ ผมทำหน้าที่เป็น F.A.G. ซึ่งย่อมาจาก Forward Air Guide เจ้าหน้าที่คงจะฟังมาผิดๆ ก็เลยโมเมลงผิดช่อง กรุณาแก้ไขให้ด้วยครับ สารรูปอย่างผม ไม่มีเค้าเป็นฝรั่งเศษหรอกครับ จะมีทางก็เพียงเศษๆของฝรั่งเท่านั้น? ...พอจบคำพูดของผม เราก็เลยได้ประสานเสียงหัวเราะกันอีกครั้ง
นางพยาบาลสาวลูกครึ่ง ซึ่งผมทราบชื่อของเธอในเวลาต่อมาว่า ?โรซี่? ให้ความสนิทสนมกับผมอย่างรวดเร็ว
เธอกล้าพอที่จะเปิดเผยให้ผมฟังอย่างไม่ปิดบังว่า เธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว เป็นนายร้อยโทชาวแม้ว เพิ่งประสพอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิตมาไม่กี่เดือนมานี่เอง ในขณะที่เธอเล่าความเป็นไปของเธออยู่นั้น เอก็สาละวน วัดปรอท ตรวจชีพจรให้ผมอย่างคล่องแคล่ว ผมอดที่จะชำเลืองดูมือที่สะอาดเรียวเล็กทั้งสองข้างที่วุ่นวายอยู่กับข้อมือขวาของผมไม่ได้
บางครั้งเธอก็โน้มตัวลงจนกระทั่งศรีษะเกือบชิดหน้าอกของผม กลิ่นสาบสาวผสมกลิ่นน้ำหอมตลบอบอวนโรยรินอยู่ใกล้ๆ ร่างกาย ส่วนใดส่วนหนึ่งของผมเริ่มจะผิดปกติขึ้นมาแล้ว
งามหน้าไหมล่ะ มีทางเดียวที่ผมจะทำได้ก็คือขยับขาข้างขวาขึ้นไปทับขาข้างซ้ายเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้จากลักษระดังกล่าวมันก็พอที่จะป้องกันภูมิประเทศส่วนที่จะทำความอับอายมาสู่ผมให้ผ่านพ้นไปได้
?แผลยังปวดอีกหรือเปล่าคะ? โรซี่เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับใช้มือซ้ายเอื้อมผ่านลำตัวของผมไปขยับแขนที่บาดเจ็บในลักษณะ ที่ชะโงกหน้าเข้ามาจนกระทั่งภูเขาอันมหึมาทั้งสองลูกซึ่งขนาดของมันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเนินสกายไลน์-เนินมรณะง้ำผงาดห่างจากใบหน้าของผมเพียงชั่วกระเบียดนิ้วเท่านั้น
?เป็นอะไรก้เป็นกัน? ผมคำรามอยู่ในใจ เหมือนกับอัตโนมัติ ไอ้มือขวาที่เคยเหนี่ยวไกปืน M-16 สังหารมนุษย์ทุกเมื่อเชื่อวันยกขึ้นอย่างรวดเร็ว คว้าหมับเข้าไปที่บริเวณเอวที่กิ่วเหมือนกับมดตะนอย ดึงร่างของโรซี่เข้ามาหาร่างของผมที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงพยาบาลทันควัน
มีเสียงร้อง ?อุ้ย? เบาๆ พร้อมกับร่างของโรซี่ผวาเข้าปะทะหน้าอกของผม ไอ้จมูกเจ้ากรรมก็ดันซบลงกับร่องภูเขาอันมหึมาพอดิบพอดีเสียด้วย
เธอไม่ทันจะตั้งหลักก็โดนผมบุกเป็นพายุบุแคมเสียก่อนแล้ว
จมูกถูกดึงขึ้นมาจากร่องอก ฉกแว๊บเข้าหาริมฝีปากที่บางเฉียบคู่นั้น ปากต่อปากของเราทั้งสองเจอกันพอดี โรซี่ครางเสียงอึกอักอยู่ในลำคอ... ริมฝีปากของเธอเม้มสนิท แต่มันก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น พอลิ้นผ่านไรฟันเข้าไปได้... ร่างกายของเธอก็สั่นเหมือนลูกนกในยามหนาว
มือขวาของผมก็เลื่อนปร้าดลงไปบริเวณเนื้อหนันสะโพกที่อูมอวบอิ่ม ไอ้มือเจ้ากรรมมันฟ้องกับผมว่า เนื้อหนันข้างในชุดพยาบาลนี้ ไม่มีอะไรเลย นอกจากเนื้อสันชั้นดีที่แน่นปั๋งซุกซ่อนท้าทายอยู่เท่านั้น
มีเสียงรองเท้าดังกุกกักเป็นจังหวะแว่วมาข้างนอก โรซี่ผละจากผมอย่างรวดเร็ว เดินพรวดพราดไปยังตู้ยาขนาดกระทัดรัด ที่ตั้งอยู่มุมสุดของผนังห้อง พร้อมกับยกมือตบแต่งผมที่ยุ่งเหยิงอย่างลวกๆ
ประตูห้องถูกเปิดออก พยาบาลกลางคนโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับส่งภาษาฝรั่งเสษถามโรซี่อยู่ชั่วครุ่ก็ปิดประตูเอาไว้อย่างเดิมพร้อมกับเดินผละออกไป
?ดิฉันจะไปตรวจคนไข้ห้องถัดไป อีกครึ่งชั่วโมงจะมาดูคุณบิ๊กแมนอีกครั้ง อาหารทานเสียสิคะ เย็นชืดหมดแล้ว?
เธอยิ้มให้ผมนิดหนึ่ง พร้อมกับพาตัวเองออกไปจากห้อง ผมนอนคอตก หายใจฟืดฟาด ไอ้ความปวดจากบาดแผลที่หายไปชั่วคราวเริ่มเข้ามารบกวนผมอีกครั้ง
ชำเลืองดูนาฬิกาที่ข้อมือขวา ปาเข้าไปตั้งเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว เหลือบสายตามองลงไปที่ถาดอาหาร หิวจนทนไม่ไหว ก็เลยฟัดโจ๊กหมูเสียเรียบวุธไปเลย
โรซี่เงียบหายไปจนกระทั่งผมเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย มาตกใจตื่นขึ้นอีกทีก้อีตอนได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของระเบิดสามสี่ครั้งติดๆกัน ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากโรงพยาบาลไม่เกินครึ่งกิโลเมตร ไฟฟ้าที่สว่างไสวดับมืดลงทันควัน
ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงประตูห้องผมเปิดออกแผ่วเบา ร่างตะคุ่มๆที่ผมจำได้ติดหูติดตาเดินตรงเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
?โรซี่? ผมกระซิบออกไป
ไม่มีเสียงตอบ... โรซี่ตัวสั่นเหมือนกับลูกนกผวาเข้ามากอดผมแน่นพร้อมกับแทรกตัวขึ้นมานอนเบียดกับผมบนเตียงพยาบาล
อย่าให้ผมบรรยายภาพต่อไปอีกเลยครับ เว้ากันอย่างซื่อๆคืนนั้นทั้งคืน แม่โรซี่เล่นงานผมเสียจนฟ้าเหลือง อย่าเพิ่งสงสัยนะครับว่า ผมเจ็บแขนแล้วจะมีปัญญาปฏิบัติ ?กามยุทธ์? ได้อย่างไร ก้แม่คุณแม่ทูนหัวโรซี่สวมวิญญาณเป็น ?จ๊อกกี้? ตะบี้ตะบันขี่ม้าแก่อย่างผมเสียลิ้นห้อยไปเลย
อยู่โรงพยาบาลสามอาทิตย์แทนที่จะอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนกับชาวบ้าน ที่ไหนได้วันออกจาก ร.พ. เพื่อนฝูงฮากันเกรียวกราวที่เห็นสังขารอันร่วงโรยของผม ยังไม่ทะนจะอวดของดีที่เจอะมาให้เพื่อนฝูงฟังก็พอดีโดนอำเสียก่อน
?เฮ้ย บิ๊กแมน รีบไปหาหมอชลกรให้แกตรวจเลือดเสียก่อนนาโว้ย ลักษณะของเอ็ง อ้สารรูปแบบนี้ จะต้องถูกแม่โรซี่ถ่ายเชื้อให้เต็มเปาเข้าแล้ว?
กลับมาจากโรงพยาบาลส่วนหน้าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆที่พัก ผมนอนซึมกระทือดูใบความเห็นแพทย์ ที่ลงความเห็นให้ผมพักรักษาตัวต่ออีกหนึ่งอาทิตย์ เนื่องจาก ?เลือดบวกสี่? และมีอาการแรกเริ่มของ ?โกโนเรีย? แทรกเข้ามาอีก อนิจจา นางพยาบาลลุกครึ่งทำผมเสียป่นเลยคราวนี้ ผมหมดกระจิตกระใจก็เลยนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงนั่นเอง ก่อนจะเข้าภวังค์ ก็ได้ยินเสียงเฮฮาของกลุ่มทหารรับจ้างที่ล้อมวงโจ้เหล้าเถื่อนอยู่ข้างล่างดังแว่วๆขึ้นมาอีก
?ไอ้นวยทำปืนลั่นใส่นิ้วมืออีกแล้วโว้ย ห้อยร่องแร่งเลย มันอยากจะเจอคุณหมอโรซี่ใจจะขาด จะเป็นโรคก็ยอม กูเพิ่งประคองมันไปส่งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เอง?
พอจบคำพูดดังกล่าว ก็มีเสียงหัวเราะประสานกันเกรียวกราวให้ลั่นไปหมด.................



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 19:41  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19348

คำตอบที่ 67
       ทหารรับจ้างเดนตาย งานเขียนอิงเรื่องจริงของ สยุมภู ทศพล
ตอนที่ 7 กางเกงใน มรณะ (จบในตอน)
?ชอปเปอร์ของเราโดนยิงตกเมื่อตอนเช้าอีกหนึ่งเครื่อง ผมงงไปหมดแล้วครับหัวหน้า ไม่ทราบว่าพวกเวียดนามเหนือมันทราบหมายกำหนดการเดินทางของชอร์ปเปอร์ได้อย่างไร ทั้งๆที่การส่งข่าวแต่ละครั้ง ผมก็ได้เข้ารหัสด้วยตนเอง พวกมันยังแปลรหัสของเราออก ผมชักสงสัยเสียแล้วว่าไอ้สมุดรหัสหมายเลขต่างๆที่กองบัญชาการของเราเปลี่ยนแปลงทุกๆครึ่งเดือน ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง?
?แสน? นายทหารเสนาธิการของกองบัญชาการทหารรับจ้างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับใช้ไม้ที่ถืออยู่ในมือชี้ไปยังจุดพิกัดบนแผนที่ขนาดใหญ่ที่วางทาบกับกระดานดำตรงมุมห้องยุทธการ
?ชอร์ปเปอร์ของเราโดนยิงที่พิกัดแทงโก้-กอล์ฟ 893764 ซึ่งเป็นบริเวณที่หน่วยล่าสังหารของพวกเราปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้ เครื่องระเบิดทันที นักบินไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งข่าวทางวิทยุให้เบาเดอร์คอนโทรลทราบ ...พอตอนสาย ไอ้ปากหมา (เครื่องบินลาดตระเวณชี้เป้า) บินขึ้นไปตรวจการณ์ ขนาดบินสูงลิบก็ยังโดนยิงด้วย ป.ต.อ. ต้องเผ่นกลับมา ผมคิดว่ามีทางเดียวเท่านั้นครับ หัวหน้า?
?คุณจะให้เครื่อง T-28 มาทำแอร์สไตร้ท์ (ทิ้งระเบิด) ในบริเวณดังกล่าวใช่ใหม?
รองผู้บัญชาการทหารรับจ้างสอดคำพูดขึ้นมาทันควัน
?ถูกต้องครับ... มันมีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะกำจัดปืนต่อสู้อากาศยานของพวกมัน ...ถ้าขืนปล่อยใว้ หน่วยล่าสังหารของพวกเราจะประสพกับอุปสรรคในการปฏิบัติงานอย่างแน่นอน... เท่าที่ทราบ ขณะนี้ทั้งเสบียงอาหารและกระสุนเริ่มชอร์ทแล้วครับ?
แสนเอ่ยตอบผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างนอบน้อม...
?ไอ้เรื่องแอร์สไตร้ท์ ไม่ยากหรอกครับร้องขอไปไม่ถึง 30 นาที เครื่องมันก็จะแห่กันมาเป็นฝูงๆ สิ่งที่ผมอยากทราบให้แน่นอนก็คือ ที่ตั้งของปืน12.7 มม.แม้กระทั่งหน่วยล่าสังหารของเราเองที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้ กับบริเวณดังกล่าว ก็ยังตรวจการณ์ที่ตั้งปืนของมันไม่พบ ขืนขอเครื่องบินมาทิ้งระเบิดแบบปูพรมเช่นนั้น เปอร์เซ็นต์มีน้อยมาก ดีไม่ดีพวกเราเจอลูกหลงเข้าไปละก็ยุ่งแน่ครับ?
แสนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ สายตาจ้องมองดูลักษณะภูมิประเทศดังกล่าวบนแผนที่อย่างครุ่นคิด กล่าวออกมาอีก
?ลักษณะภูมิประเทศป่าทึบและหุบเหวเช่นนี้ มันยากเหลือเกินที่จะตรวจการณ์ให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ผมคิดว่า พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ผมจะลองเสี่ยงใช้เครื่องปอร์ตเตอร์บินไปดร็อปกระสุนและเสบียงให้กับพวกเรา ข้าศึกอาจจะตรวจการณ์พบที่ตั้งของพวกเรา แต่มันก็ไม่มีวิธีใดอีกแล้ว ใช่ใหมครับ หัวหน้า?
?โอเค นั่นมันเป็นปัญหาที่คุณจะต้องแก้ไขในฐานะ ฝ.อ.3 ของกองบัญชาการ แต่ไอ้ปัญหาที่รหัสหรือโค๊ตลับ ทางวิทยุของเรารั่วไหลนี่ซิ มันเป็นปัญหาที่พวกเราจะต้องวางมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวดที่สุด ผมชักสังหรณ์ใจเสียแล้ว ไม่พวกเราก็พวกทหารแม้วที่ทำงานอยู่ที่นี่แหละ เป็นตัวการ มันเอาไปให้ใคร... ที่ใหน... อันนี้แหละ คือสิ่งที่ผมอยากทราบที่สุดในขณะนี้?
รองผู้บัญชาการทหารรับจ้างลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปเดินมาด้วยท่าทางที่อารมณ์เสียขนาดหนัก
ผมนั่งฟังการประชุมอยู่ด้วย เห็นท่าไม่ดีก็เลยลุกขึ้นจากเก้าอี้หวังจะแว๊บขึ้นไปพักผ่อนบนที่พักที่สร้างเป็นเรือนโรง มีกระสอบทรายวางซ้อนกันหลายต่อหลายชั้น
?คุณบิ๊กแมนครับ อย่าเพิ่งครับ ผมอยากจะให้คุณปฏิบัติงานสอบสวนเกี่ยวกับการรั่วไหลของสมุดรหัส ผมคิดว่าช่วงเวลาที่คุณปฏิบัติงงานอยู่ในล่องแจ้งมันก็นานพอที่คุณจะกว้างขวางในหมู่ประชาชนชาวแม้วดีกว่าทหารของผมอย่างแน่นอน?
ผมชะงักหันกลับมา ขยับจะพูด ท่านรองผู้บัญชาการก็สวนคำพูดออกมาอีก
?ผมจะขอตัวคุณจาก ?นอร์แมน? มาช่วยงานที่ บก.สิงหะ ชั่วคราว ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องอัตราเงินโอเวอร์ไทม์ ผมจะให้คุณอัตราเดียวกับซีไอเอทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้างานสำเร็จ ผมจะเพิ่มโบนัสให้กับคุณอีกด้วย?
เอาแล้วสิครับ อยู่ดีๆก็จะหาเหาให้ผมเสียแล้วไหมล่ะ รับจ้างไอ้กันรบก็ปวดกระดหลกอยู่พอแรงแล้ว ท่านรองยังจะยัดเยียดตำแหน่ง ?เจมส์บอนด์? ให้กับผมเสียอีก ของมันกล้วยๆเสียเมื่อไหร่ละครับ งานสืบสวนท่ามกลางกลุ่มทหารรับจ้างหลายสัญชาติที่มีอาวุธสงครามอยู่ในมือ กฏหมายมันจะช่วยอะไรผมได้ ผิดหูผิดตาก็ซัดกันเปรี้ยงปร้าง ขนาดสารวัตรทหารที่มีอาวุธพร้อม ไม่จำเป็นจริงๆแล้ว ก็ไม่ค่อยอยากจะเจอะเจอพวกผีห่าเหล่านี้หรอกครับ
คิดๆไปมันก็น่าจะลองสนุกกับงานชิ้นนี้สักพัก แถมยังจะได้พักผ่อนไม่ต้องขึ้นแนวรบอีกด้วย ภาพยนต์ประเภทสืบสวนผมก็เคยดูมามากต่อมาก แอบสำรวจตัวเอง... ?มาด? ของผมมันชักจะคล้ายๆ ?ฌอน คอนเนอรี่? เข้าไปทุกที่ ไอ้ที่ผมว่าคล้ายๆไม่ใช่หุ่นนะครับ ทุกตะรางนิ้วของ ?ฌอน คอนเนอรี่? มีส่วนที่เหมือนกับผมเปรี๊ยบก็อีตรงกระบาลที่ล้านเป็นง่ามถ่อเท่านั้นเอง?
บก.ล่องแจ้งกับเบาเดอร์คอนโทรลประสานงานกันแพร๊บเดียว ผมก็มานั่งปร๋อบนรถจิ๊ปที่กำลังห้อตะบึงฝุ่นฟุ้งไปตามเส้นทางที่ตรงไปยังตลาดล่องแจ้งให้แล้ว
ก่อนจะเข้าสู่บริเวณตลาด รถของผมถูกตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารอย่างลวกๆเมื่อเขาชะโงกเข้ามาดูกระบะท้าย เมื่อมองไม่เห็นของต้องห้ามที่อาจจะถูกขโมยจากค่ายพักเข้าไปขายยังตลาดมืดแล้ว ยามรักษาการณ์ที่มีท่าทางเบื่อหน่ายก็ยกมือเป็นสัญญาณ ให้รถจิ๊ปเล็กของผมผ่านไปทันที
พ้นจากหน่วยตรวจ ผมก็มาถึงบริเวณร้านรวงที่สร้างอย่างง่ายๆด้วยวัสดุที่แปลงมาจากหีบห่อของอุปกรณ์สงคราม หลังคาที่มุงด้วยสังกะสีส่วนมากเป็นรูโหว่ ด้วยอำนาจสะเก็ดดระเบิดที่วันดีคืนดีข้าศึกมันก็จะซัลโวตลาดล่องแจ้งเป็นว่าเล่นทีเดียว
สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ หลุมขนาดใหญ่ที่ขุดเอาไว้ภายในบริเวณร้านนั่นเอง พอได้ยินเสียงระเบิดตูม-ตาม ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้าไม่ฟังอีร้าคารมหรอกครับ เผ่นกันโครมครามแย่งกันลงหลุมชุลมุนวุ่นวายไปหมด พอเหตุการณ์สงบจึงค่อยมานั่งโจ้เหล้ากันต่อไปอีก
นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วในบริเวณดังกล่าวนี้ ผมอดขำไม่ได้ ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนหมัดมวยสมัยก่อนโน้นคงจะจำชื่อของกรรมการห้ามมวยท่านหนึ่งได้ ใช่ครับ ผมกำลังจะเขียนถึง ?ร.ท.กมลศิลป ปาณุทัย? กรรมการห้ามมวยสนามราชดำเนินที่สมัครมารับจ้างไอ้กัน ในสมรภูมิลาวหยั่งกับผมเหมือนกัน
วันนั้นผมลงจากเนินสกายไลน์ หิว ?เผ๋อ? (กว๋ยเตี๋ยวแม้ว) เต็มฟัดก็เลยเตร่ๆมาที่ตลาด ก็บังเอิญเจอะผู้กองกมลศิลปนั่งซดสุราบาลหน้าแดงก่ำกับลูกน้อง 4-5 คน แถมมีอีตัวคอยนั่งสูสีเสียด้วย
ไอ้ความสนิทสนมกันตั้งแต่ประเทสไทย ผู้กองคะยั้นคะยอจะให้ผมร่วมโต๊ะให้ได้ ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลใจ ผมปฏิเสธออกไป พร้อมกับขอตัวไปทางหัวตลาด
ผมคล้อยหลังไม่ถึงยี่สิบเมตร ก็ได้ยินเสียงวิ้ด-วิ้ด ครางโหยหวนมาทางด้านสนามบิน ยังไม่ทันจะคิดการอะไร เสียงระเบิดเหมือนกับธรณีจะถล่มก็บังเกิดขึ้น ผมหันขวับกลับไปดู พระเจ้าช่วย ร่นค้าที่ผู้กองกมลศิลปนั่งอยู่เมื่อกี้นี้หายไปเสียแล้ว มีกองไม้ที่หักระเนระนาดปรากฏขึ้นมาแทนที่ เจ้าเสียงวิ้ดดังกล่าวปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว พุ่งพรวดเดียวเข้าไปซุกอยู่กับร่องน้ำที่เฉอะแฉะข้างๆทางนั่นเอง
ผมอดที่จะมองดูร้ารที่ผู้กองกมลศิลปนั่งอยู่ไม่ได้ จากซากสลักหักพังผมมองเห็นแผ่นสังกะสีพะเยิบพะยาบ ร่างของมนุษย์ 3-4 คนตะกุยกองไม้จนเศษไม้กระเด็นไปคนละทิศละทาง พร้อมกับวิ่งออกไปจากร้านที่เกิดเหตุอย่างไม่คิดชีวิต
ถ้าผมจำไม่ผิด คนที่วิ่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยก็คือผู้กองกมลศิลปนั่นเอง เป็นที่น่าสังเกตุว่าเจ้ากางเกงขายาวสีเขียวที่ผู้กองสวมอยู่นั้นฉีกขาดตลอดทั้งสองขา ทำให้มองดูคล้ายๆกับกะโปรงที่กำลังพองลม
ผมก็เลยนอนหัวเราะท้องแข็งอยู่กับร่องน้ำที่เฉอะแฉะนั่นเอง พอเหตุการณ์สงบเสียงระเบิดตูมตามที่กระหน่ำสนามบินและตลาดสดล่องแจ้งเงียบเสียงลงแล้ว กลุ่มทหารรับจ้างก้พากันมาช่วยรื้อสิ่งสลักหักพังออก อนิจจา ผู้หญิงแม้วที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่กับผู้กองกมลศิลปร่างกายตั้งแต่ส่วนล่างตั้งแต่บริเวณเอวขาดหายไปเสียแล้ว ผมไม่กล้าเข้าไปร่วมวงกับเขาหรอกครับ ดีไม่ดีเจ้า ?ลูกยาว? ของไอ้แกวเกิดจับพลัดจับผลูตูมตามเข้ามาอีก ผมก็ต้องอาศัย ?หลวงพ่อโกย? อีกเท่านั้น
ผมพุ่งหัวรถจิ๊ปเข้าไปจอดที่หน้าร้านแห่งหนึ่งที่มีป้ายภาษาไทยเขียนเอาไว้ด้วยสีแดงแจ๊ดอย่างสะดุดตาว่า ?โลลิต้า-ไนท์คลับ? เสียงเพลง ?ไทยดำรำพัน? จากการร้องของ ก.วิเสส ดังกระหึ่มก้องไปหมด ผสมผเสกับเสียงร้องของกลุ่มทหารรับจ้างขี้เมาบางคนที่แหกปากร้องคลอด้วยเนื้อร้องที่ดัดแปลงเสียใหม่อย่างสัปปะดี้สีปะดน ทำให้ผมเผลอตัวหัวเราะออกมาคนเดียว ก็มันจะไม่ขำอย่างไรใหวครับ ลองๆฟังเพลงไทยดำรำพันที่พวกทหารรับจ้างลาวเขาร้องกันบ้างเป็นไร...
?ทิดทองดี... สี่เด็กน้อย ร้องไห้เง ...เอามันเลย เด็กมันเก ...สี่มันให้ตายโลด?
ผมพาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนประกอบของโลลิต้าอนาถาแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
?สวัสดีค่ะ นายภาษา หายหน้าหายตาไปตั้งหลายวัน น้อยคิดว่านายภาษาจะย้ายไปปากเคเสียแล้ว เชิญเลยค่ะ วันนี้คนแน่นเป็นพิเศษ นายภาษาเข้าไปนั่งที่โต๊ะบัญชีนั่นก่อนก็ได้?
เจ้าของเสียงอยู่ในชุดเสื้อยืดสีแดงสลับขาวชนิดไม่มีแขนรัดรูปฟิตเปรี๊ย เมื่อผมเหลือบสายตาลงไปยังกางเกงชนิดขาบานที่ตัดเย็บเข้ารูปร่างของเธอเข้าดั้วยแล้ว
ผมก็ต้องกลืนนำลายด้วยความลานใจ เพียงแว๊บเดียวที่ผมมองผาดๆให้นึกถึง ?เนินพระอุมา? ในนวนิยายที่พี่พนมเทียนแต่งขึ้นมาทันที อย่าให้เซดเลยครับ ประเดี๋ยวผมจะเสียคนเอาเปล่าๆเมื่อตอนแก่
กลุ่มทหารจากสุวรรณเขต 4-5 คนกำลังสาละวนกับกระป่องเบียร์ที่กองพะเนินเทินทึกอยู่บนโต๊ะอย่างไม่สนใจใยดีกับบรรยากาศรอบข้าง โต๊ะถัดไปนักบินเฮลิคอปเตอร์ 2 คน นั่งหน้าตาแดงก่ำเหมือนกับลูกท้อ เท้าทั้งสองข้างขยับเข้าจังหวะกับเสียงเพลงจากตู้ลำโพง ซึ่งยังคงกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา
?น้อย? ดาวดวงเด่นของโลลิต้า ผละออกจากผมตรงเข้าไปนั่งกับทหารแม้วหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ซึ่งถ้าความจำผมยังใช้ได้ ไอ้หมอนี่ทำงานอยู่ที่หน่วยสื่อสารทหารบกล่องแจ้งนั่นเอง
ด้วยท่าทางที่สนิทสนมและเอาอกเอาใจจนผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ ซึ่งตามปกติแล้วผู้หญิงลาวน้อยคนนักที่จะสนิทสนมกับผู้ชายแม้ว ของมันรู้ๆกันอยู่แล้วครับ ทหารแม้วยศนายทหารเงินเดือนก็ไม่เกินหกร้อยบาท แต่ทหารรับจ้างชาวไทยขี้หมูขี้หมาพลทหารก็ฟัดไปตั้ง 1,500 บาท เข้าไปแล้ว ไหนจะเบี้ยเลี้ยง ไหนจะโบนัส แถมจ่ายไม่อั้นเข้าไปด้วยอีก แล้วแม่สาวชาวลาวจะไม่สนได้อย่างไร และโดยพาะผม ตำแหน่งล่าม เงินเดือนเบาะๆก็กดเข้าไปตั้งเจ็ดแปดพัน แม่สาวน้อยก็ยังไม่สนใจเสียนี่ ดันไปประจี๋ประจ๋อกับทหารแม้วที่เครื่องหมายยศก็บ่งเอาไว้ว่าเป็นเพียงนายทหารประทวนเท่านั้น
ไอ้หมอนี่ทำงานอยู่แผนกรหัส อาเป้าหมายแรกของการสืบสวนของผมชักเข้าเค้าเสียแล้ว...
ทหารแม้วคนนั้นใช้เวลาสนทนาอยู่ชั่วครู่ก็เดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว จากความสังเกต น้อยมิได้จ่ายเงินค่าอาหารจากโต๊ะดังกล่าวเลย
น้อยเดินตรงเข้ามาหาผม ในมือข้างขวาถือถุงกระดาษชนิดหนาสีเหลืองเข้ม ซึ่งผมมองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าเป็นซองที่ใช้สำหรับเก็บเอกสารของทางบก. นั่นเอง
?อะไรครับ? ผมแกล้งถามออกไปอย่างไม่ค่อยจะสนใจเท่าใดนัก
?กางเกงชั้นในค่ะ หมู่เล่าลือเอามาฝาก 3-4 ตัว? ในขณะที่เธอจีบปากจีบคอพูดอยู่นั้น เธอก็เปิดถุงกระดาษให้ผมดู กางเกงชั้นในแบบหูรูดสีขาวนวลที่ฝรั่งมันแจกให้ทหารรับจ้าง 3-4 ตัวอัดแน่นอยู่ภายในถุงกระดาษอันนั้น...
?น้อยจะเอาไปให้น้าชายที่อยู่โรงเรียน ?น้ำงัว? ถ้าว่างๆประเดี๋ยวนายภาษาไปกับน้อยไหมคะ?
ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู เห็นว่าระยะทางพอจะกลับมาทันค่ำ ก็เลยรับปากกับเธอไปทันที
ไม่ถึง 10 นาที น้อยกับผมก็นั่งอยู่บนรถจิ๊ปมุ่งหน้าตรงไปยังโรงเรียนน้ำงัวที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร ซองกระดาษที่บรรจุกางเกงชั้นในวางเอาไว้บนตัก กระแสลมที่พัดย้อนสวนเข้ามาทำให้ผ้าคลุมศรีษะของเธอปลิวไสว
ผมหักพวงมาลัยหลบหลุมขนาดใหญ่กึ่งกลางถนนทำใหเรถแฉลบวูบวาบ น้อยผวาเข้ามาปะทะกับร่างของผม เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ
?นายภาษา ถุงกระดาษน้อยตกค่ะ? ผมค่อยๆชะลอรถพร้อมกับเข้าเกียร์ถอยหลัง ถอยรถมายังบริเวณที่ถุงกระดาษตกแล้วลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว
ไอ้ถุงกระดาเจ้ากรรม ดันตกลงไปแช่อยู่ในน้ำที่ขังอยู่ก้นหลุมเสียด้วย ผมค่อยๆหยิบขึ้นมา มันเปียกชุ่มไปหมด ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมแกะปากถุงกระดาษพร้อมดึงเจ้ากางเกงชั้นในออกมาตรวจดูอย่างรวดเร็ว มองผาดๆมันก็ไอ้กางเกงชั้นในธรรมดาเท่านั้น แต่ไอ้ตรงที่มันเปียกน้ำนี่สิครับ น้ำหมึกที่เขียนเอาใว้ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง มันซึมออกมาดำปรื๋อไปหมด ผมก็เลยกลับข้างในของกางเกงชั้นในอันนั้นออกมาดูด้วยความสงสัย
เจอะแล้วครับ โค๊ดลับทางวิทยุที่เพิ่งออกเมื่อตอนเช้าถูกเขียนด้วยหมึกสีดำเต็มพรืดไปหมดทั้งกางเกง
?แคร๊ก? เสียงลูกเลื่อนดึงกระสุนเข้ารังเพลิง ดังแว่วขึ้นมาทางเบื้องหลัง
ผมกระโจนพรวดเดียวลงไปยังหลุมที่อยู่ข้างๆขอบถนนไล่ๆกับเสียงรัวเป็นประทัดแตกของปืน M-16 ที่วิถีกระสุนของมันฉีกพื้นถนนเข้าหามูลดินที่ผมหมอบอยู่อย่างหมิ่นเหม่ จนร้อนวูบวาบไปทั้งหนังหัว...
ผมเห็นท่าไม่ดีก้เลยกลิ้งตัว ให้ห่างออกจากจุดที่ใช้เป็นกำบังครั้งแรก นึกเจ็บใจตัวเองที่ลืมอาวุธคู่มือเอาใว้บนรถจิ๊ป แต่มานึกขึ้นได้ว่ากระสุนที่บรรจุอยู่ในแม็กกาซีนที่ติดมาอันเดียวนั้นมีเหลืออยู่เพียงสิบกว่านัด ก็มีความหวังฉายแสงขึ้นมาทันที...
?น้อยมีอะไรก็ตกลงกับผมได้นี่ครับ? ผมตะโกนแข่งเสียงปืนออกไป ได้ผล เสียงปืนชะงักชั่วครู่ มีเสียงแหลมเล็กสวนย้อนกลับมาทันควัน
?คุณบิ๊กแมน โยนถุงกระดาษขึ้นมาบนถนนแล้วชูมือเดินขึ้นมา ดิฉันจะปล่อยคุณไป คุณก็ทำหน้าที่ของคุณ ดิฉันก็ทำหน้าที่คุณไม่มีทางเลือก?
ผมกลิ้งเข้าไปหาขอนไม่ผุที่ทอดขวางอยู่ใกล้ๆ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อแบบ ?เวสมอร์แลนด์? สิ่งที่ติดมือมาก็คือลูกระเบิดมะนาวขนาดจิ๋ว (*เข้าใจว่าเป็นแบบเดียวกับระเบิดมือที่เรียกว่า mini v4 ที่ตชด.ไทยใช้ ? หลังเขา) ผมค่อยๆดึงสปริงสลักนิรภัยออกโยนทิ้ง อุ้งมือขวากำรอบกระเดื่องแน่น ต่อจากนั้นใช้มือซ้ายล้วงเอากางเกงชั้นในที่บรรจุอยู่ในถุงกระดาษออก ใช้เศษไม้ที่กองอยู่ข้างๆบรรจุเข้าไปแทนที่ ปิดปากถุงกระดาษด้วยเชือกเส้นเล็กๆ ที่ห้อยติดอยู่อย่างลวกๆ พร้อมกับขว้างถุงกระดาษออกไปกลางถนนทันที
ชะรอยเธอคงจะประมาทว่าผมคงจะไม่มีอาวุธอะไรติดตัวอีกแล้ว เพราะก่อนจะออกเดินทาง เธอก็เห็นถนัดอยู่แล้วว่า นอกจากเจ้า M-16 กระบอกใหม่เอี่ยมแล้ว ผมไม่มีอาวุธชนิดใดติดตัวมาอีกเลย
ร่างของเธอค่อยๆโผล่ออกมาจากตัวถังรถจิ๊ป เจ้า M-16 ถูกกระชับแน่นอยู่ในมือ ปากกระบอกขนานกับลำตัว เธอเดินช้าๆใกล้ถุงกระดาษเข้ามาทุกที
ผมค่อยๆขยับตัวจากท่าหมอบ มาเป็นท่านั่งคุกเข่า กำลูกระเบิดขึ้นมาเสอแนวอก จากประสพการณ์ฆ่าคนที่ผ่านๆมา ผมพอจะทราบดีว่า เมื่อเริ่มดึงสลักนิรภัย มันจะต้องใช้เวลาถึง 4 วินาทีกว่าที่ระเบิดมันจะตูมตามขึ้นมา ทั้งๆที่เชื่อมั่นในความรู้ที่เคยฝึกและเคยใช้มาอย่างช่ำชองก็อดที่จะขนหัวลุกไม่ได้ (*ผู้เขียนคงจะหมายถึงจากจากปล่อยกระเดื่องแล้วจอกกระทบแตกเริ่มทำงานจะมีเวลา 4 วินาทีกว่าระเบิดจะระเบิดขึ้น-หลังเขา)
ตัดสินใจทันทีคลายอุ้งมือออก เสียงกระเดื่องตีกับกระทบแก๊ปดังเบาๆ ผมเริ่มนับช้าอยู่ในใจถึง 3 ก็ขว้างลูกระเบิดไปยังร่างของเธอทันที พร้อมกับฟุบตัวลง ก้มศรีษะให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว อากาศรอบตัวถูกความกดดันวูบวาบไปหมด ผมคิดว่าลูกระเบิดของผมคงจะแตกอากาศเข้าให้แล้ว ผมหมอบดูเหตุการณ์อยู่ชั่วครู่ เห็นว่ามันเงียบเชียบก็ค่อยๆลุกจากขอนไม้เดินตรงเข้าไปยังร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า เลือไหลนองกับพื้นส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณ ผมก้มลงหยิบปืน M-16 ขึ้นมาถือไว้ ใช้ปากกระบอกเขี่ยร่างของหญิงสาวให้หงายขึ้น ใบหน้าข้างซ้ายของเธอฉีกขาดออกไปจนกระทั่งถึงใบหู ดวงตาปลิ้นถลนออกมานอกเบ้า ไม่มีร่องรอยดวงหน้าอันโสภาของเธอหลงเหลืออยู่อีกเลย ผมค่อยๆช้อนร่างอันยับเยินขอวเธอขึ้นมาวางบนรถจิ๊ป ใช้ผ้ากันฝนปันโจที่วางอยู่ใกล้ๆคลุมร่างของเธอจนมิด ต่อจากนั้นกลับรถมุ่งหน้าเข้า บก.ล่องแจ้งทันที
เห็นไม่ต้องบรรยายเหตุการร์ต่อไปก้ได้ใช่ใหมครับ ของพรรค๋นี้ ใครๆก็เดาออก ผมอยากจพขอแถมท้ายสักนิดว่า ส.อ.เล่าลือ ทหารแม้วผู้ทรยศโดนท่านนายพลวังเปาสั่งยิงเป้าในพลบค่ำวันนั้นเอง ?โลลิต้าไนท์คลับ? ถูกปิดตาย ญาติพี่น้องของ ?น้อย? โดนจับระนาว ในที่สุดความจริงก็ปรากฏออกมาว่า ?น้อย? เป็นลูกผสมระหว่างลาวแดงกับเวียดนามเหนือ ยศครั้งสุดท้ายก็คือ ?สิบเอกหญิงแห่งกองพันทหารเวียดนามเหนือที่ 172? เล่นเอา ?เจมส์บอนด์? สมัครเล่นอย่างผมขนหัวลุกไปตั้งหลายวัน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 19:53  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19349

คำตอบที่ 68
       ทหารรับจ้างเดนตาย งานเขียนอิงเรื่องจริงของ สยุมภู ทศพล
ตอนที่ 8 สาม ต่อ หนึ่ง (จบในตอน)
มกราคม 2511 เหนือสนามบินซำทอง 12,000 ฟิต ?คารีบู? สีน้ำตาลสลับดำบินวนเวียนอยู่เหนือที่ราบแอ่งกระทะ ภายในห้องโดยสารที่ก้วางขวาง บัดนี้แน่นเอี้ยดไปด้วยพลร่มอเมริกัน, ไทย, และฟิลิปปินส์ ที่กำลังยืนเรียงเดี่ยวหันหน้าไปทางประตูช่องท้ายที่เปิดอ้าเต็มที่ มองดูปุยเมฆเรียงรายเป็นชั้นๆ แลดูเวิ้งว้าง สุดสายตา
ร่มชูชีพแบบ ?สกายไดร้ท์? (SKY DRIVE-หลังเขา) ที่พ่วงติดเข้ากับเครื่องแบบเสือพรานมองดูรุ่มร่ามและรุงรังเหมือนกับมนุษย์อวกาศ ที่กำลังเดินอยู่บนดวงจันทร์
มันเป็นการกระโดร่มแบบ ?สกายไดร๊ฟท์? ที่กระจอกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา อุปกรณ์การกระโดจำพวก ?เครื่องวัดความสูง? ?ร่มรีเสริฟ? (*น่าจะหมายถึงร่มสำรอง-หลังเขา) ถูกหน่วย ?สกาย? ซึ่งมีหน้าที่เบิกและสนับสนุนแก่พวกเราโดยตรงปฏิเสธเอาดื้อๆว่า ?ขาดสต็อค?
หมายกำหนดการ กระโดร่ม ซึ่งถูกจัดขึ้นมาเพื่อต้องการทดสอบประสิทธิภาพของทหารอเมริกันและล่ามต่างๆที่ปฏิบัติงานอยู่ ณ สนามบินซำทองได้ถูก ?ฟิ๊ก? เอาใว้อย่างเรียบร้อยแล้ว โอกาสที่จะเลื่อนออกไปดูเหมือนจะไม่มีทางแม้แต่เปอร์เซนต์เดียว
และอีกอย่างหนึ่ง ประชาชนทั้งลาวและแม้วเผ่าต่างๆซึ่งแออัดยัดเยียดอยู่เบื้องล่างก็คงจะบังเกิดกริยาแน่ๆถ้าการแสดงชุดนี้ของทหารอเมริกันต้องพับลงไป
ร.อ. เบอร์นาด หัวหน้าทีม และเจ้านายโดยตรงของผม ยืนยิ้มเผล่อยู่หัวแถว เขาหันมาตะโกนกระเซ้าผมอย่างทีเล่นทีจริง
?เฮ๊ย... ใครจะจองเฟอร์นิเจอร์ของบิ๊กแมนก็จองๆกันเอาไว้บนเครื่องนี่ก่อนนะโว้ย ประเดี๋ยวลงไปข้างล่างเป็นได้แย่งกันตายห่า เที่ยวนี้บิ๊กมนจอดแน่ๆ สกายไดร์ฟไม่มีเครื่องวัดและร่มช่วยแบบนี้ ไม่แน่จริงอั๊วว่าได้วัดพื้นแหง๋ๆ?
ผมฉุนกึกเข้าไปถึงสมอง ไอ้คำพูดทีเล่นทีจริงของฝรั่งนี่เคยโดนคนไทยฉะปากมานักต่อนักแล้ว หยั่งว่านั่นแหละครับ ผมยังต้องอาศัยบารมีและอิทธิพลของ ?แคปตั้น-เบอร์นาร์ด? (แค็ปตั้น=Captain น่าจะหมายถึงทหารยศร้อยเอก-หลังเขา) ในการเลื่อนชั้นเงินเดือนอยู่เสมอเสมอ ถึงแม้จะโมโหโกรธาจนตัวสั่น อย่างดีที่ผมทำได้ก็คือ ตะโกนด่าพ่อล่อแม่ในความปากหมาของเจ้านายอยู่ในใจ
ความจริงมันก็เป็นอย่างที่ ร.อ.เบอร์นาดพูดเอาไว้ไม่มีผิด เกิดมาผมเคยกระโดด ?สกายไดร๊ฟ? กับเขาเมื่อไหราละครับ ฮี่ท่อ ตอนสะเออะไปอยู่ศูนย์สงครามพิเศษก็กระโดดเพียง 5 ครั้งเท่านั้นเอง แถมเป็นการกระโดดแบบธรรมดาๆ ที่ชาวบ้านเขากระโดดกันก็คือ หลับหุหลับตากระโจนพรวดออกมาจากเครื่องบินโดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น พอเชือกดึงร่มออกกินลม ผมก็ตั้งสติเตรียมลงพื้น เป็นอันเสร็จพิธี
แต่คราวนี้ อเมริกันเสือกมาให้ผมร่วมทีมกระโดร่ม แถมจำเพาะเจาะจงให้กระโดดแบบกระตุกเองซะด้วย
บ้ายอ... อยากได้เงินดอลล่าห์เพิ่ม และประการสุดท้าย ผมอายไอ้ ?ฟรีด้า? พนักงานวิทยุสัญชาติฟิลิปปินส์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผมอยู่ตลอดเวลาต่างหากครับผม
ก็ทำไมจะไม่อายเล่าครับ ขนาดไอ้ฟรีด้ามันขาเป๋ข้างหนึ่งยังกล้าโดด แล้วไอ้ผมที่มีอาการครบสามสิบสองขืนไม่กระโดดเป็นต้องโดน ?ถุย? จากไอ้ปินส์ไปตลอดชาติแน่ๆ
?ขณะนี้เครื่องขึ้นสู่ระยะ 12,000 ฟิตแล้ว อีก 5 นาทีจะถึงบริเวณกระโดด... แสตนบาย?
เสียงเลานดืสปี๊กเกอร์ที่ติดอยู่เหนือเคบินห้องโดยสารดังลั่น ร.อ.เบอร์นาดหันมาให้อาณัติสัญญาณพวกผมแล้วหันหน้ากลับไปเตรียมพร้อมที่จะกระโดดด้วยท่าทางที่ปราศจากอาการพรั่นพรึงแม้แต่นิดเดียว
ผมยืนอยู่หลังสุด ถัดผมออกไปเบื้องหน้าเล็กน้อย ?ไอ้ฟรีด้า? คู่รักคู่แค้นของผม ยืนเหงื่อแตกซิกทั้งที่อากาศหนาวจับจิตจับใจ อากัปกริยาดังกล่าวทำให้ผมอ่านไต๋ของมันออกอย่างทะลุปรุโปร่งขึ้นมาทันที
มันก็ไอ้ครือๆกับผมนั่นแหละครับ ?ไอ้ฟรีด้า? มันทั้งไซท์และกลัวจนขี้หดตดหายไม่แพ้ผมเหมือนกันทีเดียวเชียว
ประกายไฟสีแดงวับวาบอยู่เหนือช่องประตูท้าย
ร.อ.เบอร์นาดหล่นวูบไปเป็นคนแรก คนที่สอง, คนที่สาม ก็ก้าวเท้าเคลื่อนที่ไป ณ ตำแหน่งดังกล่าวแล้วกระโจนพรวดดิ่งเวหาลงไปเบื้องล่างจนมองแทบไม่ทัน
แถวของนักกระโดดร่มหดสั้นลงทุกที ตัวของผมเองก้เคลื่อนที่ใกล้ประตูช่องท้ายเข้าไปทุกขณะ ?ไอ้ฟรีด้า? เดินขาทิ่มกระเผล็กๆเข้ามาช่องประตูด้วยท่าทางที่ผมมองดูแล้ว อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆในความไม่เจียมกะลาหัวของมัน
พลร่มทั้ง 18 คนกระโดดลงไปเรียบร้อยแล้ว อีตานี้ก็ถึงรอบของไอ้ฟรีด้ากับผมกันละ
ชะรอยไอ้ฟรีด้าคงจะเกิดปอดลอยขึ้นมาดื้อๆ ผมเห้นมันสะดุ้งสุดตัว แล้วถอยหลังกลับเข้ามาชนกับผมโครมเบ้อเร่อ กริยาที่มันแสดงออกมาคล้ายๆกับจะเกี่ยงให้ผมกระโดดลงไปก่อนมัน
ฮี่ท่อ ใครจะยอม ขืนหลวมตัวให้มัน ผมก็เสียเชิงไทยเท่านั้น เท้าไวเท่าความคิด ผมถีบตูมเข้าไปที่บริเวณกลางหลังของมันเต็มแรง
ไอ้ฟรีด้าแหกปากร้องขึ้นมาด้วยความตกใจพร้อมๆกับที่ร่างของมันเซถลาหลุดออกไปจากช่องประตูด้วยลักษณะการกระโดดที่พลิกแพลงยิ่งกว่านักกระโดดร่มใดๆที่ผมเคยเห็นมา
ก็ไอ้ฟรีด้ามันตลังกาหน้าลงไปจากเครื่องบินนะซีครับ แรงถีบบวกแรงตกใจ ทำให้ไอ้ฟรีด้ากระโดดร่มด้วยท่าทางที่พิลึกกึกกือยิ่งกว่าทุกๆคน
ผมหลับหูหลับตากระโจนพรวดตามไอ้ฟรีด้าออกมาจากช่องประตู
อันดับแรกที่รู้สึกก็คือ กระแสลมที่รุนแรงปะทะหน้าจนชาไปทั้งแถบ อันดับต่อมา ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่ากำลังถูกแรงดึงดูดของโลกดึงตัวเองลงสู่พื้นดินด้วยความเร็วสูงจนหายใจแทบไม่ทัน
เอ๊ะ นี่ตัวอาตมายังไม่ตายนี่หว่า ลองลืมตาดูนิดนึงก็มองเห็นพื้นดินวิ่งเข้าหาลูกตาเร็วจี๋ เหมือนกับอีตอนนั่งมองดูภูมิประเทศในขณะนั่งอยู่บนรถยนต์ที่ใช้ความเร็วเกินกว่า 150 ก.ม.ต่อชั่วโมงขึ้นไป
ถ้าขืนไม่กระตุกร่ม ผมเป็นจอดตามคำพูดของผู้กองเบอร์นาดแน่ๆ...
มือมันเสือกไวกว่าความคิดไปซะแล้วซีครับ มือขวาของผมดึงห่วงร่มออกมาเต็มแรง
?พรึ่บ?
เสียงที่ชินหูที่สุดจากการกระโดดร่มดังลั่นขึ้นมาเหนือบริเวณศรีษะ ร่างของผมโดนกระตุกอย่างแรง ผมแหงนหน้าขึ้นไปดู
ไชโย ร่มกาง ผมรอดตายแล้ว ผมบังคับร่มพร้อมกับก้มลงดูเบื้องล่าง โอ้โห ผมยังอยู่สูงจากพื้นดินอีกตั้งหลายพันฟุต สนามบินซำทองเล็กกระจิ๊ดริ๊ดเหมือนโต๊ะปิงปองขนาดจิ๋ว และห่างจากผมไปทางตะวันทิศออก ร่มสีแสดของใครไม่รู้ลอยละลิ่วห่างออกจากสนามบินไปทุกที...
อนิจจา ทั่วท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล มีร่มชูชีพกางเพียงสองร่มเท่านั้นเอง ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจ นึกว่าพลร่มอีก 18 คน ร่มไม่กลาง ตกพื้นดินตายเรียบนะครับ
ความจริงร่มทั้ง 18 ร่ม มันจะต้องกางอย่างแน่ๆ แต่ที่แน่ๆในขนาดนี้ พลร่มทุกคนกำลังดิ่งเวหาด้วยการร่อนตีวงก้วางแล้ววกเข้าหากัน แถมยังจับมือจับไม้กันกลางอากาศให้วุ่นไปหมด ควันสีต่างๆที่ผูกติดกับสันรองเท้าพลร่มพุ่งเป็นสายฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้ามองดสวยงามสุดขอบฟ้า
กระแสลมพัดร่มของผมห่างสนามบินออกไปทุกทีๆ จนผมหมดปัญญาที่จะบังคับร่ม ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลยด้วยความท้อแท้ใจ
ร่มของผมตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งบริเวณหมู่บ้านดังกล่าว ผมสังเกตุเห็นประชาชนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็แหงนหน้ามองดูผมและออกวิ่งติดตามร่มของผมเป็นการใหญ่...
พระเจ้าช่วย บางคนถือมีดสปาต้าที่ขาววับอยู่ในมือ ทำอากัปกริยาเหมือนกับจะหั่นผมออกเป็นชิ้นๆเมื่อผมลงถึงพื้นดิน
ผมผ่านไร่ฝิ่นที่งามสะพรั่ง กระแสลมเฮือกสุดท้ายพาร่มของผมพุ่งเข้าหากระต๊อบหลังหนึ่งอย่างชนิดหมดทางแก้ไข
?โครม?
ปลายเท้าทั้งสองของผมทะลุหลังคาแฝกลงไปเต็มแรง ร่างของผมหล่นวูบลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในซอกแคบๆของกระต๊อบหลังนั้นเข้าอย่างเหมาะเหม็ง
กระทาชายแม้วนายหนึ่งที่กำลังนั่ง ?อึ? อยู่อย่างสบายอารมณ์ ทำหน้าเหมือนกับโดนผีหลอก เขาจ้องมองหน้าผมอยู่ชั่วอึดใจก็ร้องโวยวายออกมาสุดเสียง ร้องไม่ร้องปล่าว พี่แกยังลุกขึ้นวิ่งพรวดพราดทะลุฝาประตูที่บอบบางออกไปเบื้องนอกอย่างขวัญเสีย
ถ้าสายตาของผมไม่ฝาด พี่แม้วคนนั้นแกไม่ได้นุ่งกางเกงติดตัวออกไปหรอกครับ โธ่ ก็ใครบ้างครับที่เขานุ่งกางเกงนั่งอึกัน
อนิจจา ผมตกลงมาบนหลังคาส้วมแม้วเข้าให้ ส้วมดังกล่าวหักสะบั้นพังลงไม่มีชิ้นดี...
มีเสียงเอะอะเกรียวกราวดังลั่นอยู่ข้างนอก ภาษาแม้วที่ชินหูพูดกันสับสน ความรู้สึกต่อมาก็คือ สายร่มถูกดึงออกแรงดึงอยู่ข้างนอก ผมเซถลาล้มลงกับพื้นส้วมอีกครั้ง
ผมรีบปลดสายร่มแล้วคลานกระย่องกระแย่งออกมาอย่างทุลักทุเล
ชาวแม้วกลุ่มใหญ่ ทั้งชายและหญิงกำลังยื้อแย่งร่มชูชีพกันจ้าละหวั่น มีดสปาต้าที่ผมสังเกตุเห็นก่อนลงพื้นกำลังถูกฟาดฟันผ้าร่มจนขาดออกเป็นชิ้นๆ
ช่างหัวมัน ร่มของไอ้กัน กะอีแค่สมบัติแค่นี้ ขนหน้าแข้งไอ้กันไม่กระดิกหรอกครับ ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยนั่งดูพวกแม้วยื้อแย่งผ้าร่มกัน และรู้สึกว่าจะบังเกิดความสนุกสนานไปกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน...
เสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กของแม้วสาวกลุ่มหนึ่ง ทำให้ผมต้องละสายตาจากร่มชูชีพ หันขวับกลับไปมองทางที่มาของเสียงอย่างรวดเร็ว
สาวแม้วหน้าตาแฉล่มแช่มช้อย ผิวกายขาวซีดเหมือนกับสาวจีนยืนรวมกลุ่มกันอยู่ 3 คน แต่ละคนแต่งกายด้วยผ้าสีกรมท่า นอกจากนั้นก็ยังมีแถบแพรสีเขียวสลับชมพูคาดประดับอยู่ตามที่ต่างๆยืนส่งยิ้มให้ผมเหมือนกับชอบอกชอบใจอยู่ในที
?หัวเราะอะไรครับ น้องสาว?
ผมล่อภาษาไทยออกไปทั้งดุ้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนสืบเท้าเข้าไปหาพวกเธอ
?ขำค่ะ ขำที่คุณตกลงมาบนส้วมของพ่อเฒ่าวังตา คุณคงจะไม่รู้ว่า ส้วมหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จก่อนคุณตกลงมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี?
สาวแม้วที่หน้าตาเข้าทีที่สุดในกลุ่มนั้น จีบปากจีบคอพูดภาษาไทยที่ชัดเปรี๊ยออกมาจนผมอดทึ่งใจไม่ได้
?คุณเป็นคนไทยหรือคะ ดิฉันชื่อมีเดียร์ เคยข้ามไปเรียนวิทยาลัยครูที่อุดรตั้ง 3 ปี ขณะนี้เป็นครูที่นี่ คุณจะไม่แนะนำตัวของคุณให้มีเดียร์ทราบบ้างหรือคะ คุณป็นคนไทยคนแรกที่มีเดียร์พูดคุยด้วยหลังจากที่กลับจากอุดรมาแล้ว บ้านเถิดเทิงยินดีต้อนรับ?
ใจของผมเย็นวาบ ?บ้านเถิดเทิง? อยู่ห่างจากสนามบินซำทองถึง 7 กิโลเมตร ไอ้ความปอดลอยของผมแท้ๆ ที่ดันกระตุกร่มตั้งแต่อยู่ในระยะ 10,000 ฟิต ลมมันก็เลยพัดผมลอยมาไกลถึงขนาดนี้
?มีเดียร์? พาผมไปบ้านของเธอซึ่งปลูกอยู่ข้างๆโรงเรียนนั้นเอง เป็นที่น่าสังเกตุว่า ?พ่อเฒ่าวังตา? เจ้าของส้วมที่แก้ผ้าวิ่งหนีผมในขณะร่มชูชีพตกลงไปในส้วม เดินตามกลุ่มพวกผมแจ จนผมชักเอะใจ มีเดียร์พาตัวเองไปซักถามอยู่ชั่วครู่ ก้เดินอมยิ้มกลับมาหาผมพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่าทางขบขัน
?พ่อเฒ่าวังตาแกมาขอค่าเสียหายค่ะ แกคิดราคาทั้งหมดสองหมื่นกีบ?
ผมสะดุ้งเฮือก สองหมื่นกีบก็ตั้ง 500 บาท ส้วมระยำอะไรวะถึงแพงขนาดนี้ ตามสายตาของผม ไอ้ส้วมมุงแฝกหลังนั้น ถึงยังไงๆราคาของมันจะเกิน 30 บาทไปไม่ได้ ผมอธิบายเหตุผลให้มีเดียร์ฟัง เธอหันกลับไปซุบซิบกับพ่อเฒ่าวังตาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็หันกลับมาพูดพลางหัวเราะกับผมอีกครั้ง
?พ่อเฒ่าวังตาแกบอกว่า ราคาส้วมนะมันไม่กี่บาทหรอก สองหมื่นกีบที่แกคิดกับคุณ แกรวมถึงค่าปลอบขวัญที่คุณทำให้แกตกใจจนถ่ายอุจจาระไม่ออกด้วย แกเล่าให้มีเดียร์ฟังว่า หลังจากร่มชูชีพของคุณตกลงในส้วม แล้วแกพยายามไปถ่ายอุจจาระอีกครั้ง ก็ถ่ายไม่ออก พ่อเฒ่าวังตาตกใจมาก เหตุการณ์ครั้งนี้ คุณต้องรับผิดชอบจ่ายเงินให้แกค่ะ?
มีเดียร์หัวร่องอหาย ส่วนผมหัวเราะไม่ออกหรอกครับ เงินสองหมื่นกีบอีตอนปลายเดือนผมมีซะเมื่อไหร่เล่าครับ เรื่องทั้งเรื่องก็เลยต้องวานมีเดียร์บอกให้พ่อเฒ่าวังตาคอยเดินทางไปรับเงินพร้อมๆกับผมในวันรุ่งขึ้น แกถึงยอมเลิกประกบตัวผม เดินยิ้มร่ากลับไปด้วยความดีใจ
มีเดียร์เป็นคนล่องแจ้ง ท่านนายพลวังเปาออกทุนสร้างโรงเรียน ?วังเปาอนุสรณ์? ขึ้นแถวหมู่บ้านเถิดเทิง แล้วส่งเธอซึ่งสำเร็จจากวิทยาลัยครูอุดรอย่างสดๆร้อนๆ มาอบรมสั่งสอนประชาชนแม้วตามโครงการพัฒนาความรู้สมัยใหม่ของท่านนายพลวังเปา
เพื่อนของมีเดียร์ทั้งสองคนปลีกตัวหลบออกไปเหมือนอย่างจะรู้ใจ
อากาศก็เริ่มจะมืดครื้ม ฝนหลงฤดูจู่โจมเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้อากาศที่หนาวเหน็บอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความเยือกเย็นขึ้นอย่างจับจิตจับใจ
ผมเปลี่ยนชุดเครื่องแบบที่เหม็นหึ่งออก มีเดียร์รับภาระหาชุดแม้วมาให้ผมผลัดด้วยท่าทางที่เอาอกเอาใจ จนผมนึกเข้าข้างตัวเอง วาดอนาคตสำหรับค่ำคืนนี้เอาไว้อย่างสวยหรู
ฝนกระหน่ำตั้งแต่สามโมงเย็น จนกระทั่งสามทุ่มก็ยังไม่ยอมหยุด เทียนไขเล่มเล็กที่จุดมาตั้งแต่หัวค่ำถูกเปลี่ยนเล่มแล้วเล่มเล่า จนกระทั่งเหลือเล่มสุดท้าย และเล่มสุดท้ายดังกล่าวกำลังจะสิ้นแสงลงไปในไม่ช้า
ท่านผู้อ่านคงจะเดาจิตใจของผมออกใช่ไหมครับ ใช่ครับ ผมแช่งชักหักกระดูกให้เจ้าเทียนไขมันหมดแสงลงไปตั้งนานแล้ว แต่มันก็ยังไม่หมดซะที
ก็สว่างออกอย่างนั้น ผมจะมีปัญญา ?เริ่ม? กับเธอได้อย่างไรกัน ตามปกติผมก็ไม่ค่อยจะถนัดนักในเรื่องพรรค์ยังงี้ มันเขินๆ อย่างไรพิกล
ถ้ามืดๆสิครับ ความหน้าด้าน และความมืด บางทีเจ้าสองสิ่งนี้มันอาจจะช่วยให้งานของผมลุล่วงไปด้วยดีก็อาจจะเป็นได้
?ครืน...เปรี้ยง?
อสุนียบาตฟาดลงมาสนั่นหวั่นไหว ต้นไม้ใหญ่ข้างๆโรงเรียน ล้มครืนลงมาได้ยินถนัดหู หน้าต่างบานเดียวที่เพยิบพยาบอยู่เปิดผลัวะออกไปเต็มแรงสายลมกระโชกเข้ามา เทียนไขดับพรึ่บลงทันที
ผมเอื้อมมือออกไปควานหาไม้ขีด (อีตอนนี้อยากจะด่าตัวเองซะจริงว่าไอ้หน้าโง่) ไม่เจอะหรอกครับ สิ่งที่ผมเจอะก็คือสะโพกที่
แข็งปั๋งของ ?มีเดียร์? ซึ่งกระเถิบเข้ามาใกล้ผมเหมือนกับจะกริ่งเกรงต่อบรรยากาศรอบข้าง
มีเดียร์นิ่ง ผมก็นิ่ง มือที่วางอยู่บนสะโพกด้านข้างเริ่มร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟลน เมื่อมันร้อนผมก็เริ่มขยับมือนะซีครับ มีเดียร์นิ่ง แต่คราวนี้ผมไม่นิ่งอีกแล้ว มืออีกข้างของผมที่ว่างคว้าหมับเข้าไปบนร่างของเธอพร้อมกับออกแรงดึงให้ร่างของเธอนอนราบลงไปบนแคร่ไม้
ผมทาบร่างลงไปประกบเธอเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ มีเดียร์เอนกายขึ้นมาเหมือนกับเป็นตะคิว จมูกเจ้ากรรมดันฟ้องผมว่าหน้าอกของมีเดียร์ไม่มีอะไรเหลืออยู่จริงๆ นอกจากเนื้อสองก้อนที่อ่อนไหวนุ่มนิ่มเนียนจมูกจนผมแทบจะขาดใจตาย
ถ้าจะเปรียบมีเดียร์เป็นรถยนต์ เธอก็เหมือนกับรถเซคกันแฮนด์ที่ยังไม่ค่อยจะชอกช้ำเท่าไรนัก เครื่องยนต์เพิ่งจะถูกยกเครื่องมาอย่างสดๆร้อนๆ จากอากัปกริยาของเธอ ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเหยียบคันเร่งเท่าไรนัก ค่อยๆขับไปด้วยความเร็ว 70-80 ก.ม.ต่อชั่วโมง พอเครื่องร้อน มีเดียร์กลับเป็นฝ่ายจู่โจมผม เสียจนกระทั่งถูกน็อคนอนกลิ้งเหมือนกับผีตาย
มีเดียร์หายออกไปจากห้องพักใหญ่ผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เงาของกลุ่มคนไม่น้อยกว่า 3 คนวูบวาบอยู่ในความสลัวเบื้องหน้า
ผมพรวดพราดลุกขึ้น ผ้าห่มถูกมือลึกลับกระตุกพรืดหลุดไปกองอยู่ที่ปลายเท้า
?จุ๊...จุ๊... เพื่อนๆของมีเดียร์เค้ามาเยี่ยมคุณค่ะ คุณนอนเฉยๆไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น?
เสียงของมีเดียร์กระซิบกระซาบพร้อมกับใช้มือกดหน้าอกของผมให้นอนราบลงไปกับพื้น
สาวแม้วทั้งสองจู่โจมเข้าฟัดผมอย่างบ้าคลั่ง ผมขนลุกซู่ กลิ่นสาปสาวที่อบอวลอยู่รอบด้านทำให้จิตใจคึกคัก ร่างกายส่วนที่อ่อนปวกเปียกผงาดขึ้นมาเหมือนกับม้าถูกโด๊ปยา
นักมวยจำเป็นเริ่มชก ยกที่หนึ่ง, สอง, ผ่านไปอย่างหวานคอแร้ง พอขึ้นยกที่สามซึ่งเป็นยกที่แม่ครูสาวมีเดียร์เป็นผู้กำกับการแสดงเอง สติของผมก็เริ่มโบยบินออกจากร่าง ลมหายใจเริ่มอ่อนลงเหมือนกับคนไข้หนัก และสำนึกสุดท้ายก่อนที่จะหลับผล็อยลงไป ผมได้ยินเสียงหัวเราะคลิ๊กๆประสานเสียงกัยดังกึกก้องสะท้อนไปมาอยู่ในสมองที่หนักอึ้งนั้น
ผมหลับเหมือนตาย จนกระทั่งสิบเอ็ดโมงเช้า เสียงหึ่งๆของชอร์ปเปอร์ที่บินวนเวียนอยู่เหนือหมู่บ้าน ช่วยปลุกประสาทให้ผมกระโจนผลุงลงมายืนโซซัดโซเซอยู่ที่ลานบ้าน พื้นดินรอบตัวโคลงเคลงเหมือนกับเกิดแผ่นดินไหว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดๆ หูอื้อตาลาย ผะอืดผะอมหยั่งกับผู้หญิงที่มีอาการแพ้ท้องมิมีผิด
ด้วย ?สโม๊ค? ที่ติดตัวอยู่เป็นประจำ ทำให้นักบินรีบร่อนชอร์ปเปอร์ลงมารับผมทันที เมื่อเห็นอาณัติสัญญาณควันสีแดงจากเบื้องล่าง
มีเดียร์และเพื่อนสาวของเธอวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากโรงเรียน ร.อ.เบอร์นาดกับทหารลาวอีกสามคนกระโดดแผล็วลงมาจากชอร์ปเปอร์ เขาหัวเราะก๊ากที่มองเห็นผมอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายชาวแม้ว
?ลื้อกระโดดอีท่าใหนว่ะ ร่มห่างจุดตั้ง 6-7 ก.ม. แต่ก็ยังดีกว่าไอ้ฟรีด้าแยะ ลื้อคงไม่รู้หรอกว่า ไอ้ฟรีด้าดันไปลงที่บ้าน ?หนองไหล? โน่น ขาข้างซ้ายหัก ขณะนี้มันนอนอยู่โรงพยาบาลที่ล่องแจ้งเรียบร้อยแล้ว ลื้อรู้ไหม๊ ฟรีด้ามาขอบคุณลื้อมาด้วย?
ร.อ.เบอร์นาด หันไปทำตาเจ้าชู้กับมีเดียร์แล้วหันมาพูดกับผมอีกครั้ง
?ไอ้ฟรีด้ามันขอบคุณที่ลื้อช่วยสงเคราะห์ถีบมันลงมาจากเครื่องบิน จนทำให้ขาซ้ายมันหักไปอีกข้างหนึ่ง คราวนี้ขาของมันจะได้เท่ากันเสียที มันบอกให้ไปเยี่ยมมันบ้าง ...เฮ้ย โน่น อีแม้วนั่นสวยสะบัดช่อเลย?
?เบาๆครับ แค็ปตั้น เธอเข้าใจภาษาอังกฤษของคุณเป็นอย่างดี เอเป็นครูอยู่ที่นี่ ลองไปจีบดูซีครับ รึแค็ปตั้นจะอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ ตอนเย็นผมจะเอาชอร์ปเปอร์มารับ?
?เฮ๊ย วันนี้ ฟรีเดย์โว้ย อั๊วจะพักอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้มารับอั๊วก็แล้วกัน?
ร.อ.เบอร์นาดตัดบทเอาดื้อๆ ผมฉากแว๊บขึ้นชอร์ปเปอร์ ท่ามกลางเสียงโวยวายของพ่อเฒ่าวังตาที่วิ่งควบจี๋ร้องตะโกนเงินค่าส้วมมาติดๆ
ชอร์ปเปอร์ยกฐานสกีขึ้นจากพื้น... พ่อเฒ่าวังตาชูกำปั้น เต้นเป็นลิงอยู่เบื้องล่าง ผมชำเลืองดูเบอร์นาดที่กำลังเดินเข้าไปหา ?มีเดียร์? แล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความสาใจ
?คืนนี้แหละมึงเอ๋ย ไอ้แค็ปตั้นปากหมา มึงจะต้องรู้ฤทธิ์สาวแม้วเหมือนหยั่งที่กูรู้ ต่อให้มึงแน่ขนาดไหน สามต่อหนึ่งถ้ามึงไม่คลานขึ้นชอร์ปเปอร์ มึงก็เก่งเกินคนไปล่ะ ขอสวัสดีในความโชคร้ายของมึง?
ผมเอนตัวลงครึ่งนั่งครึ่งนอนกับพนักเก้าอี้ พนักงานประตูอเมริกันนิโกร ขมวดคิ้วเอ่ยปากกถามผมด้วยความคลางแคลงใจ
?วอทท์ แฮปเป่น บิ๊กแมน? (what happen ? เกิดอะไรขึ้น ?หลังเขา*)
?ทรู มัช ฟัก โว้ย ไอ้มืด? (too much fuck ? อึ๊บมากไป ? หลังเขา*)
ผมตอบมันออกไปเป็นภาษาไทยปนอังกฤษด้วยความฉุนกึก ไอ้มืดหัวเราะก๊าก ล้วงกระเป๋าหยิบซอง ?เหล้าแห้ง? โยนให้ผม
?ล่อเหล้าแห้งซะ พรรคพวก ต่อให้ลื้อโทรมมาขนาดไหน เจอะไอ้ 80 ดีกรีอันนี้ของอั๊วเข้าเป็นต้องคึกคักอยากจะเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เชื่อลื้อลองดูซิวะเกลอ?
ผมล่อ ?เหล้าแห้ง? ของเม็กซิกันเข้าไปสองซองซ้อนๆ
ดีกรีอันร้อนแรงวิ่งพรวดเข้าไปในกระเพราะ ชั่วอึดใจ หูตาของผมก็สว่างไสว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากเหลืองเป็นธรรมดา ภาพของเหตุการณ์ที่ประทับใจเมื่อคืน วูบวาบอยู่ในสมอง ความคึกคักของอารมณ์เริ่มทับทวีพุ่งขึ้นมาเหมือนกับพ่อม้าโดน ?ทิงเจอร์ขาว?
?เป็นยังไงพรรคพวก เหล้าแห้งของอั๊ว มันออกฤทธิ์หรือยัง?
ไอ้มืดย้อนถามผมออกมาอีกครั้ง ผมไม่ตอบคำถามของมัน แต่คำพูดที่ผมตะโกนใส่วิทยุบอกกับนักบินก็ทำให้ไอ้มืดหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่
?เฮ๊ย พรรคพวก อั๊วลืมของอยู่ที่เถิดเทิงช่วยบินกลับไปส่งอั๊วหน่อยวะ?
XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 20:08  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19350

คำตอบที่ 69
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 1

" -รามสูรจาก ยู.2 รามสูรจาก ยู.2-เปลี่ยน " ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันตามหลักสากลของการใช้วิทยุที่ถูกต้องดังแว่วออกมาจากตู้ลำโพงขนาดเล็กซึ่งติดตั้งอยู่ข้างๆ เครื่องวิทยุดักข่าวยี่ห้อ " เซ็นนิท " อันมีประสิทธิภาพสูงที่สุดของโลกในยุคปัจจุบัน


พนักงานวิทยุรูปร่างสูงเกินหกฟุต ตัดผมเกรียนติดหนังศีรษะ พลิกข้อมือซ้ายขึ้นมาชำเลืองดูนาฬิกาด้วยอาการเนือย ๆ เหมือนกับเซ็งต่อหน้าที่อันจำเจที่ตัวเองปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาเผลอตัวหาวออกมาดัง ๆ จนกระทั่งพนักงานวิทยุที่นั่งเรียงรายอยู่ข้าง ๆ พากันหันหน้ามามองเป็นแถว คนที่อยู่ใกล้ที่สุดยื่นถ้วยกาแฟที่พร่องไปเกือบครึ่งถ้วยส่งมาให้พร้อมกับกระซิบเบา ๆ

" เหลืออีก 45 นาทีจะเที่ยงคืน ถ้าลื้อทนง่วงนอนไม่ไหวก็ล่อกาแฟนี่ก่อน อย่าเสือกสวาปามเข้าไปหมดเสียล่ะ ไอ้เกลอ ยังไง ๆ เหลือติดก้นถ้วยไว้ให้อั๊วบ้าง "

" ขอบใจ...จอห์น อั๊วเพลียรากไส้เลยว่ะ สงสัยจะ "แฮ้ง โอเวอร์" ไปหน่อย "

ในขณะที่พูด พนักงานวิทยุที่ทางสลึมสลือก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม เพียงอึกแรกเขาก็ตาเหลือก ละล่ำละลักออกมาด้วยความตกใจ

" -เฮี้ย กาแฟอะไรของลื้อวะ...จอห์น บาดคอยิ่งกว่าโวคก้าเสียอีกแน่ะโว้ย "

จอห์นหัวเราะก๊าก เอื้อมมือไปรับถ้วยกาแฟพร้อมกับพูด

"เป๊ปซี่ผสมกัญชาน้ำ ตบตูดด้วยกาแฟผสมเหล้ายีน...อั๊วรับรอง...แดน..คืนนี้ลื้อจะคึกยิ่งกว่าม้าโด๊ปยา "

" แดน " ทำคอย่น พร้อมกับเอื้อมมือออกไปหยิบ " ปากพูด - หูฟัง " ขึ้นมากดสวิทช์ กรอกคำพูดออกไปค่อนข้างดัง

" ยู.2 จากรามสูร สัญญาของคุณจางลงกว่าปกติมีอะไรว่ามาเลย "

เงียบไปชั่วอึดใจ ก็มีเสียงตอบกลับมา และคราวนี้คลื่นสัญญายิ่งเบาลงไปอีก

" -รามสูร...ไต้ฝุ่น " ลูซี่ " กำลังเคลื่อนที่เข้ามาแนวแม่น้ำโขง..." เกาะคา " แจ้งให้ผมทราบแล้วว่า อีกครึ่งชั่วโมงฝนจะตกหนัก ผมจะบินหนีฝนขึ้นเหนือชั้นบินปกติ...เลิกกัน "

" -บลูเชี้ยด ฝนถล่มเมืองอุดรแน่คืนนี้ "

แดนอุทานออกมาอย่างหัวเสียพร้อมกับยกโทรศัพท์แจ้งข่าววิทยุไปยังศูนย์บังคับการซื่งอยู่ห่างออกไปคนละตึกด้วยท่าทางรีบร้อน แล้วหันกลับมา " แสตนบาย " เครื่องวิทยุต่อไปอีกด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดินจนสังเกตเห็นได้ชัด

ท้องฟ้าเมืองอุดร ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆอย่างกะทันหัน ลมเริ่มพัดแรงจัดขึ้นทุกที ชั่วอึดใจทั้งพายุและฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย เสาไฟตามถนนหนทางล้มระเนระนาดไฟฟ้าเกิดช็อตดับไปทั่วทั้งเมือง

มืด !... มันช่างมืดเป็นบ้าเป็นหลังอะไรเช่นนี้ ท้องฟ้าที่ฉ่ำไปด้วยพายุฝน กลืนสีดำเข้าไปจนไม่มีแม้แต่แสงดาวบรรยากาศมัวซัวและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก

ภายใน " ค่ายรามสูร " กลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสวมเสื้อฝน " ปันโจ " พร้อมอาวุธเดินตรวจตราไปรอบ ๆ อาณาบริเวณด้วยอาการระแวดระวัง

บนชั้นที่ 3 ของตึกศูนย์บังคับการที่สว่างไสวไปด้วยแสงฟลูออร์ริเซ่นนั้น ถูกแบ่งออกเป็นห้องทำงานเรียงรายเป็นพืดไปหมด ทางเดินซึ่งเป็นเฉลียงยาวถูกปูพรมสีเทาอ่อน มองดูราบเรียบกลมกลืนกับสีสันของผนังตึกหมายเลขประจำห้องที่ทำด้วยพลาสติคที่ขาวบางแห่งปรากฏแสงสีแดงสว่างโพลนพร้อมด้วยป้าย " อีเมอร์เจ็นซี่ " ( ฉุกเฉิน ) กระพริบเป็นจังหวะมองเห็นสะดุดตา

ชายร่างสูง แต่งชุดปฏิบัติการสีเทาอ่อนแบบติดกันเอวจั้มแขนสั้น ที่บริเวณเหนือกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายมือมีแผ่นป้ายชื่อที่ปักด้วยด้ายสีขาวไว้ว่า " นอร์แมน " เดินทอดน่องช้า ๆ ไปตามเฉลียง ศีรษะซึ่งล้านเกือบค่อนท้ายทอยสะท้อนแสงไฟเป็นมันแผล็บ เขาชำเลืองตามองดูหมายเลยประจำห้อง แล้วหยุดลงที่หน้าประตูห้องหมายเลข " 014 " เอื้อมมื้อไปจับลูกบิดประตูเหมือนกับจะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มหมุนลูกบิดไปทางขวาตามเฟืองตัวเลขจนกระทั่งเข็มลูกศรไปชี้อยู่ที่หมายเลข 9 ต่อจากนั่นเขาก็หมุนลูกบิดย้อนกลับมาทางซ้ายมืออีกครั้ง

มีเสียงดัง " กริ๊ก " เมื่อเข็มลูกศรชี้ทับช่องหมายเลข " 7 " บานประตูเริ่มเลื่อนช้า ๆ เข้าไปในกรอบซื่งออกแบบสร้างเป็นรางเอาไว้อย่างแนบเนียน เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ซึ่งหร้อม ๆ กับบานประตูได้เลื่อนกลับเข้ามาปิดแน่นสนิทเหมือนอย่างเดิม

เจ้าหน้าที่ในห้องทำความเคารพกันพึ่บพั่บ ชายศีรษะล้านเจ้าของชื่อ " นอร์แมน " เดินยิ้มเข้าไปหาเจ้าหน้าที่สูงอายุที่ยืนอยู่หน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ พร้อมกับยื่นมือให้สัมผัส

" หัวหน้าเพิ่งมาถึงหรือครับ...ตั้งแต่ได้รับคำสั่งจาก " เพนตากอน " ว่าหัวหน้าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ พวกผมทุกคนก็รอ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขอถือโอกาสเลี้ยงฉลองต้อนรับหัวหน้าเสียเดี๋ยวนี้เลย "

" นอร์แมน " ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรออกมา เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานอยู่ในห้องก็พากันมาห้อมล้อม "หัวหน้า" คนใหม่กันสลอน ทุกคนมีแก้วเหล้าถืออยู่ในมือพร้อมเสร็จนอร์แมนหันกลับไปมองหน้าเจ้าหน้าที่ สูงอายุ และก็ดูเหมือนทายใจกันออก เขารีบยื่นแก้วเหล้าที่ตระเตรียมเอาไว้แล้วส่งให้กับเจ้านายใหม่ของเขาทันที

" -คุณทำให้ผมแปลกใจอยู่เสมอ "ร็อกกี้" สุขภาพของคุณเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สงครามเวียดนามและลาวที่เพิ่งสงบลงไป คงจะทำให้คุณได้พักผ่อนเต็มที่ขึ้นละกระมัง ?...โอเค...ขอบคุณมาก ขอบคุณทุก ๆ คนที่ต้อนรับผม"

นอร์แมนกล่าวตัดบทขึ้นมา หลังจากดื่มกันเป็นพิธีได้เสร็จสิ้นลง เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าประจำโต๊ะโทรทัศน์วงจรปิดเรียบร้อยแล้ว นอร์แมนก็หันไปมองที่จอโทรทัศน์ พร้อมกับพูดต่อไปอย่างเอาการเอางาน

" ผมเพิ่งบินมาถึงอุดรก่อนฝนตกเพียงห้านาที อยากจะเห็นข่ายงานก็เลยมาที่นี่ก่อน...ผมมีงานลับสุดยอดจาก " เพนตากอน " หลายชิ้น...ร็อคกี้-ค่ายของเรามีหมาสงครามกี่ตัว ? "

ร็อคกี้มองไปที่จอโทรทัศน์ ซึ่งขณะนี้ปรากฏภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจูงสุนัขสงครามตัวขนาดลูกม้าเดินฝ่าสายฝนอยู่ตามบริเวณรั้วลวดหนามด้วยอาการระแวดระวัง แสงไฟตามเสามุมรั้วถูกสายฝนบดบังจนมองดูเลือนลางเหมือนกับไฟที่พรางยามสงครามไม่มีผิด

" 240 ตัว ครับหัวหน้า จัดออกเป็น 6 ผลัด "

ในขณะที่พูด ร็อคกี้ก็ปรับสวิทช์ให้กล้องส่งโทรทัศน์แบบ " อินฟาเรด " ส่งกราดเข้าไปตามรั้วลวดหนามที่กั้นล้อมรอบเสาอากาศแบบกรงช้างของค่ายรามสูรเอาไว้โดยรอบ

ภาพของการเคลื่อนไหวในสิ่งที่มีชีวิตในอาณาบริเวณรอบ ๆ ค่ายรามสูรจะถูก " รีเรย์" ขึ้นไปบนจอรับภาพโทรทัศน์ขนาดใหญ่ในห้องคอนโทรลของศูนย์บังคับการ แม้กระทั่งในความมืดสนิทที่สายตาธรรมดาไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ " แสงอินฟาเรด " ซึ่งติดตั้งอยู่กับกล้องโทรทัศน์ก็สามารถที่จะ "จับภาพ" ของผู้แปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด กริ่งอันตรายของห้องคอนโทรลจะดังกังวานไปยังสวิทช์บอร์ดที่กองรักษาการณ์ พร้อมกับแจ้งตำแหน่งของผู้บุกรุกทันที

แม้กระทั่งบริเวณรอบ ๆ ค่ายรามสูรด้านนอก ไม่ว่าจะด้านที่ติดกับถนนหรือว่าด้านหลัง จะมีหน่วยลาดตระเวนติดอาวุธพร้อมออกเคลียร์พื้นที่อยู่ตอลดเวลาในรัศมีไม่น้อยกว่าหนึ่งกิโลเมตรจากตัวค่าย

เฮลิคอปเตอร์ (ชอร์เปอร์) ติดอาวุธปืน "มินิกัน" ที่ยิงแบบอัตโนมัตินาทีละเกือบ ๖,000 นัด หรืออีกนัยหนึ่งที่ทหารจากสมรภูมิเวียดนามเรียกมันว่า "กันชิป" บินลัดเลาะพร้อมกับทิ้งพลุส่องแสงสว่างไสวไปทั่วอาณาบริเวณ

มันเป็นมาตรการการป้องกัน "ค่ายรามสูร" ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่อเมริกันได้กระทำกันมาในสถานที่ราชการที่ปฏิบัติงานลับสุดยอดหลายต่อแห่งที่อยู่ในเครือของ ซี.ไอ.เอ. ในปัจจุบัน

เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ผ่านค่ายชั้นนอก จะต้องแสดงบัตรและถูกตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเมื่อจะผ่านเข้าไปตามตัวตึกจะต้องตรวจสอบลายมือจากเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้งหนึ่ง และรหัสลับจากลูกบิดประตู คือ กำแพงด่านสุดท้ายที่จะพิสูจน์ว่าบุคคลดังกล่าว คือเจ้าหน้าที่อันแท้จริงหรือไม่ ? ถ้าหมุนรหัสผิด ลูกบิดประตูจะเกิดลัดวงจรกลายเป็นระเบิดเวลาทำลายร่างกายของผู้เปิดเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเลยที่เดี่ยว

ต่อให้มีมาตราการในการระมัดระวังเพียงไรก็ตามแต่ก็มีจารชนผืนแผ่นดินใหญ่ วางแผนเข้าไปถล่มเครื่องมืออีเล็คโทรนิคของค่ายรามสูรจน "ดับ" ไปเกือบอาทิตย์เต็ม ๆ

02.00 น. ของคืนวันเดี่ยวกัน ความบ้าคลั่งของ "ไต้ฝุ่นลูซี่" เพิ่งจะเคลื่อนผ่านอุดรไปอย่างหมาด ๆ ดวงดาวเริ่มปรากฏตัวออกมาทอแสงระยิบระยับพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เมฆฝนซึ่งหนาทึบสลายตัวจนมองดูโล่งไปหมดทั้งจักรวาล

เสียง " ออด " ดังกังวานตรงผนังด้านซ้ายมือของจอโทรทัศน์ที่เรียงรายอยู่บนแผงเบื้องหน้าทุกคนที่นั่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่างก็หันไปมองหยั่งกับนัดเอาไว้

ช่องเล็ก ๆ ตรงผนังตึกด้านนั่นเปิดผัวะออกมาเต็มแรงพร้อม ๆ กับมีแผ่นเทปคาสเซทกลิ้งหลุดลงมาวางบนชั้น ซึ่งวางรับเอาไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ชั่วพริบตาผนังตึกซึ่งกลายเป็นช่องส่งของก็ปิดตัวเองราบสนิทกับผนังจนมองไม่เห็นรอยพิรุธใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนเอาไว้ว่า " ราดิโอ " เท่านั่น

นอร์แมนลุกขึ้นไปหยิบเทปคาสเซทแล้วเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ จัดแจงประกอบตลับเทปเข้าไปในเครื่องวิทยุกระเป๋าหิ้ว เปิดวอลลุ่มเร่งความดังสัญญาเกือบสุด ชั่วอึดใจ ภาษาอังกฤษก็แว่วกังวานออกมาจากลำโพงซึ่งต่อพ่วงออกมาจากวิทยุเครื่องนั่น

" ความถี่ 49.75 รับข่าวนี้ได้ในเวลา 01.33 น. จากชั้นความสูง 40,000 ฟิต เหนือนครเวียงจันทน์ "

ภาษาอังกฤษจากเทปเงียบหายไปชั่วขณะอึดใจ ต่อมาก็ปรากฏภาษาเวียดนามอ่านเป็นตัวเลขล้วน ๆ กรุ๊ปละห้าตัว ดังติดต่อกันเกือบห้านาทีเต็ม ๆ จึงหยุด เจ้าหน้าที่รหัสซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ จัดแจงถอดรหัสอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นพูดกับนอร์แมนด้วยน้ำเสียงที่แสดงอาการเสียใจ

" ผมถอดรหัสไม่ออกครับ มันเป็นรหัสสองชั้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย "

นอร์แมนล้วงมือลงไปในกระเป๋าชุดเครื่องแบบหยิบวัตถุเคลือบสีเขียวทึบ ๆ ออกมาวางบนฝ่ามือ ลักษณะของมันเหมือนกับเครื่องคำนวนเลขขนาดเล็กไม่มีผิด มีแป้นตัวเลขและแป้นตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงรายเป็นพืดเขาพลิกวัตถุประหลาดนั้น คว่ำหน้าลง จัดแจงกดปุ่มให้ฝาด้านหนึ่งเด้งออกมา แล้วบรรจุตลับเทปเข้าไป พลิกด้านหน้าขึ้นเปิดสวิทช์ให้เครื่องทำงานทันที

ในขณะที่เครื่องเริ่มทำงาน นอร์แมนก็ดึง "หูฟัง" ขนาดจิ๋วจากตัวเครื่องขึ้นมาเสียบช่องหู พร้อมกับกดแป้นตัวเลขตามรหัสวิทยุที่ดังออกมาจากตลับเทป ท่ามกลางความแปลกใจของพนักงานถอดรหัสที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ข้างๆ

นอร์แมน " รีวาย " เทปกลับที่เดิม ปลดหูฟังออกต่อจากนั้นก็กดสวิทช์ที่ติดอยู่ข้าง ๆ วอลลุ่มประกายไฟสีเขียวสุกใสพร่างพรายขึ้นมาบนแผงหน้าปัด...อักษรภาษาอังกฤษเรืองแสงวิ่งไล่ตามกันเหมือนกับจำลองแผ่น "สกอร์บอร์ด" ขนาดใหญ่เอามาไว้ในเครื่องอีเลคโทรนิคฉบับกระเป๋าไม่มีผิด

" ถึงหน่วยงานที่ 13 โปรดรอรับ "ฮอง" ที่ศิริโฮเต็ล ในวันที่ 17 นี้ สั่งจองห้องหมายเลข 111 เอาไว้ด้วยใช้พาสปอร์ดของฝรั่งเศษ " นายปีแอร์ " รหัสบอกพวก " ลอนดอน- ปารีส แผนงานอยู่ที่-ฮอง "

มันเป็นข่าวที่พร่างพรายขึ้นมาบนแผงหน้าปัด พนักงานดักข่าวที่ยืนดูอยู่ใกล้ ๆ อุทานออกมาค่อนข้างดัง

" เครื่องถอดรหัสไฟฟ้า...โอ...หัวหน้า ผมนึกไม่ถึงจริง ๆ ถ้าไม่เห็นด้วยตา ผมเป็นไม่เชื่อเด็ดขาดเทวดาเท่านั้นที่สร้างเครื่องชนิดนี้ได้ "

" ไม่ใช่เทวดา นี่คือผลผลิตของ " ซี.ไอ.เอ." นักวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานนี้ เพิ่งจะสร้างขึ้นสำเร็จอย่างสด ๆ ร้อน ๆ เพียงห้าเครื่อง สามเครื่องแรกอยู่ที่เกาหลี , ญี่ปุ่น , รัสเซีย สองเครื่องสุดท้ายอยู่ในจีนแดงและอุดร ตามลำดับมันยังได้ผลไม่ครบถ้วนตามเป้าหมายของเรา...รหัสอาจผิดพลาด วันนี้วันที่ 15 อีกสองวันเราจะได้พิสูทย์กันเสียทีว่า ไอ้เครื่องมือเทวดาอันนี้สมองกลของมันจะทำงานถูกต้องหรือผิดพลาดเพียงไร ? "

พอพูดจบ นอร์แมนก็หยิบ " มินิ-คอมพิวเตอร์ " ใส่กระเป๋าเดินออกไปจากห้อง โทรทัศน์วงจรปิดด้วยท่าทางรีบร้อน จุดหมายปลายทางของเขาก็คือห้องทำงานส่วนตัวซึ่งอยู่บริเวณท้ายสุดของตัวตึกชั้นที่สองของตึก " อินฟาเรด-ทีวี " นั่นเอง

05.30 น. ห่างจากเวลาที่ดักข่าวได้ 4 ชั่วโมงเต็ม ๆ " นอร์แมน " หรือชื่อจริงในทะเบียนประวัติของ ซี.ไอ.เอ. ว่า "เอ็ดการ์จ เบิร์ด " อดีต " เสนาธิการ ซี.ไอ.เอ." ในสมรภูมิลาว นั่งรถจี๊ปเล็กเลี้ยวควับเข้าไปจอดที่หน้าตึกสีขาวซีดข้างสถานีวิทยุ วปถ. จังหวัดอุดร อันเป็นแหล่งบัญชาการที่มีเรียกตามรหัสว่า บก. 333 หลังจากถูกเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารตรวจบัตรผ่านเรียบร้อยแล้ว เขาก็ติดต่อโทรศัพท์ของพบผู้บัญชาการ บก.333 ทันที

05.45 น. นอร์แมน ก็ถูกนำตัวเข้าไปประชุมในห้องเก็บเสียง เพียงก้าวแรกที่พาตัวเองเข้าไปในส่วนประกอบของห้อง เข้าก็ต้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ

"คุณ ธน" คุณเองหรอกหรือที่เป็น ผบ.อยู่ที่นี่...คราวแรกผมนึกว่าจะเป็นหัวหน้า " เทพ " เสียอีก...ยินดีครับที่พบกับหัวหน้าอีกครั้ง...ผมนึกไม่ถึงเลยจริง ๆ

ในขณะที่ยื่นมือออกไปสัมผัส นอร์แมน ก็กล่าวทักทายกับหัวหน้า " ธน " ผบ.บก. 333 ด้วยความคุ้นเคยกันเป็นพิเศษ...

" ธน " คือชื่อรหัส ยศทางทหารที่แท้จริงเป็นนายพลตรีแห่งกองทัพบกไทย จากอดีตหัวหน้าบริหารชั้นสูงของกองพันทหารรับจ้างในสมรภูมิลาว ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากราชการให้มาปฏิบัติหน้าที่-ที่ บก.333แทน " เทพ " (พลโท วิฑูร ยะสวัสดิ์) ซึ่งถูกเรียกตัวเข้ามาเป็นมันสมองในกลาโหมอย่างกะทันหัน

การรบอย่างละเลงเลือดในเมืองลาวทำให้ " ธน " กับ " นอร์แมน " สนิทสนมกันพอสมควร พอสมครามลาวสงบ นอร์แมนก็ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์อพยพชาวญวนและลาวในสหรัฐ ส่วน "ธน" ข้ามกลับมาอยู่ที่อุดร เพื่อกระทำหน้าที่ประสานงานกับสหรัฐที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศไทยต่อไป

ความสนิทสนมและความผูกพันในอดีต ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินได้อย่างราบรื่น แผนการ " หักคอ " จารชนเวียดนามเหนือเจ้าของสมญานาม " ฮอง " ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างรัดกุม เจ้าหน้าที่ "ตอบโต้จารกรรม" ชั้นเซียนจากกรมประมวลและ ศรพ. ถูกเรียกตัวเข้ามาร่วมสมบทด่วน...เพียงชั่งโมง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบรร้อย นอร์แมนเร้นกลายเข้าไปในตลาดเมืองอุดรอย่างเงียบ ๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็กลายเป็นหมอสอนศาสนาผมเผ้ารุงรัง ขี่จักรยาน ตะเวนเผยแพร่ศาสนานิกายใหม่เอี่ยมอ่อง ไปตามแหล่งสลัม ด้วยมาดของผู้เคร่งครัดต่อพระเจ้าที่พูดภาษาไทยหยั่งกับน้ำไหลไฟดับจนบางคนคิดเลยเถิดไปว่า ไอ้หมอนี่อาจจะเป็น "ข้าวนอกนา" ที่ไอ้กันไข่ทิ้งไว้ก่อนหนีกลับสหรัฐก็ได้

ไม่มีใครสักคนที่จะล่วงรู้ความลับว่า "ไอ้หมอเพชฌฆาต" คนนี้เคยวางแผนถล่มชีวิตทหารเวียดนามเหนือราบเรียบเป็นหน้ากลองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20,000 คนขึ้นไป "นักบุญคนบาป" ที่มือซ้ายถือคัมภีร์ ส่วนมือขวามักจะทิ้งอยู่แนบกายรอเวลาที่จะกระตุก "ทูตมฤตยู" ที่ซุกซ่อนอยู่ในชุดหมอศาสนาขึ้นมาคายพิษให้แก่มนุษย์ทุกผู้ที่เป็นอันตรายต่อขบวนการ ซี.ไอ.เอ.

06.30 น. ของเช้าวันที่ 17 เดือนธันวาคม บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดหนองคาย เงียบเชียบผิดปกติสถานการณ์ที่ตึงเครียดระหว่างลาวกับไทย ณ พรมแดน ทำให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายที่เคยไปมาหาสู่กันโดยไม่ต้องใช้ " บอร์เดอร์ - พาส " ต้องยุติลงอย่างกะทันหัน และเมื่อประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยลาวออกคำสั่งห้ามประชาชนไทยและลาวที่ไม่มีพาสปอร์ตข้ามฝั่งอย่างเด็ดขาด ก็เลยทำให้ความชุลมุนวุ่นวายที่เคยมีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันลดหายไปจนมองดูเหมือนกับท่าข้ามเมืองหนองคายกลายเป็นท่าร้างไปอย่างถนัดใจ

สามล้อสองสามคนจับกลุ่มเล่นหมากฮอส พร้อมกับส่งสียงเชียร์กันอย่างเอ็ดอึง ห่างออกไปทางด้านขวามือบริเวณทางขึ้นประตูด่านตรวจ ขอทานแต่งตัวรุงรังสะพายวัตถุทุกชนิดเท่าที่เก็บได้ตามท้องถนนอีรุงตุงนังไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกาน้ำ , กระป๋องนม , ขันพลาสติกแตก ๆ แถมสะพายมีดดาบพลาสติคอย่างทะมัดทะแมง นั่งพิงลูกกรงยิ้มกับท้องฟ้าอันสดใสด้วยมาดของจินตกวีที่ดื่มด่ำในความสุนทรีของธรรมชาติในยามเช้าและไม่ลืมที่จะวางขันอลูมิเนียมขนาดเล็กลงตรงเบื้องหน้า ป้ายภาษาไทยและอังกฤษที่แขวนเอาไว้ที่หน้าอกสะดุดสายตานักทัศนาจรทุกคนจนต้องหยุดมองและให้ทานด้วยความเต็มใจ

" โปรดทำทานแก่เหยื่อสงครามอินโดจีน...ชายคนนี้วิปลาสเนื่องจากการสู้รบในสงครามบัดซบนั้น "

เงินในขันอลูมิเนียมยังว่างเปล่า ชายขอทานขยับไฟฉาบขนาดแปดท่อนสนิมเขรอะบุบบู้บี้ที่ถืออยู่ในมืออย่างทะนุถนอม บางครั้งก็ยกปลายข้างหนึ่งแบบใบหูแล้วพูดกรอกลงไปในกระบอกไฟฉายค่อนข้างดัง

" ผู้พันครับ...ทุ่งไหหินแตกแล้วครับ...เห็นทีจะอยู่ไม่ได้ มันระดมยิงหนักเหลือเกิน "

เขาจะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำซากจนประชาชนในตลาดเมืองหนองคายเห็นเป็นของธรรมดา บางที่เด็ก ๆ ก็จะเข้ามารุมล้อมหยอกล้อชายขอทานดังกล่าวด้วยความคึกคะนอง เขาก็จะกระตุกมีดดาบพลาสติคออกมากวัดแกว่งแล้วร้องลิเกด้วยน้ำเสียงที่หวานวิเวกจนลิเกอาชีพบางคนถึงกับอายไปเลยก็มี

ไม่มีใครรู้ว่าหัวนอนปลายตีนของชายขอทานผู้นี้มาจากไหน จู่ ๆ พอสงครามลาวสงบก็มาปรากฏตัวที่เมืองหนองคายแล้วเดินตระเวนไปตลอดทั้งวันอย่างไม่มีจุดหมายเก็บวัสดุทุกชนิดเท่าที่จะหาได้ ผูกสะพายติดเป้สนามเก่าคร่ำคร่า ริมฝีปากเหยียดยิ้มกับท้องฟ้าด้วยท่าทางวิกลจริตเต็มตัว

ที่พักประจำของขอทานก็คือด่านตรวจคนเข้าเมืองเขาจะมานั่งรอการบริจาคจากนักทัศนาจารที่ข้ามไปมาระหว่างประเทศทั้งสองด้วยรายได้ที่น่าอิจฉา สำหรับคนว่างงานบางคน

เจ้าหน้าที่เริ่มทยอยขึ้นมาทำงานและในเวลาเดียวกันนั้น นักทัศนาจรจากทุกชาติทุกภาษาถือพาสปอร์ดสากลต่างหิ้วสิ่งของมาให้ศุลกากรตรวจสินค้าต้องห้ามกันเป็นจ้าละหวั่นไปหมด เสียงแตรลมของเรือข้ามฟากจากฝั่งลาวที่วิ่งเข้ามาใกล้ทุกขณะ ทำให้ความชุลมุนวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นอย่างช่วยเหลือไม่ได้ ท่าข้ามที่เซ็งและเงียบเหงามาตลอดเวลาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยสรรพสำเนียงนานาชาติที่เซ็งแซ่จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

เรือข้ามฟากติดธงชาติลาว วิ่งแหวกสายน้ำที่ขุ่นคลักเข้ามาใกล้ฝั่งไทยทุกขณะ เสียงสามล้อรับจ้างที่ร้องตะโกนโหวกเหวก ทำให้ขอทานที่นั่งหลับไหลอยู่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางเซื่องซืม เขาขยับตัวลุกขึ้นแล้วเคลื่อนที่ออกไปยืนยังจุดที่มองเห็นตัวเรือได้ถนัด พร้อมกับยกท่อนไฟฉายขึ้นส่องดูตัวเรือปากก็ตะโกนออกมาดัง ๆ

" เรือข้าศึกอยู่กลางแม่น้ำโขง มีทหารประจำอยู่สามคน ฝรั่งหนึ่ง ลาวสอง...ประจำสถานีรบ "

ประชาชนและสามล่อที่ยืนอยู่ในละแวกดังกล่าวต่างก็พากันหัวเราะครืนในความไม่เต็มเต็งของขอทานผู้น่าสงสารนั้น...แต่พอเรือข้ามฟากเทียบท่าทุกคนก็เพ่งความสนใจไปยังพื้นตลิ่งเบื้องล่างจนหมดสิ้น ละความสนใจจากชายวิกลจริตที่ออกลิงออกค่างอยู่หน้าด่านตรวจชั่วขณะ

ชายฉกรรจ์สามคนหิ้วกระเป๋าเดินไต่บันไดที่สูงลิบขึ้นมาบนด่านตรวจ สิ่งที่น่าสังเกตคนโดยสารสำหรับเรือข้ามฟากเที่ยวเช้านี้มีเพียงสามคนเหมือนกับคำพูดของขอทานไม่มีผิดคนที่เดินนำหน้าสูงกว่าหกฟุตขึ้นไป ผิวขาวหน้ากระเดียดไปทางลูกผสมระหว่างฝรั่งเศสกับลาวหรือว่าเวียดนาม ส่วนสองคนที่เดินกระย่องกระแย่งขึ้นมามองดูจากหน้าตาและท่าทางบอกยี่ห้อลาวร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

XXXXXXXXXXXX จบบทที่1 ครับ XXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 20:32  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19351

คำตอบที่ 70
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 2


ชายฉกรรจ์หน้าตาเหมือนชาวยุโรป ผมสีบรอนซ์เป็นมันระยับเหมือนกับที่เพิ่งจะถูก "ย้อม" มาอย่างสด ๆ ร้อน ๆ คราบของยาย้อมผมที่เปรอะอยู่ตามตีนผม ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหน้าใหม่ ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาทำงานได้สองวัน ถึงกับชำเลืองมองด้วยสายตาที่พินิจพิจรณา

กระเป๋าเจมส์บอนด์ ถูกเปิดออกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อพาสปอร์ตถูกประทับตราตามกรรมวิธีผ่านเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานคนที่ตรวจพาสปรอ์ตก็เอื้อมมือลงไปที่ขอบโต๊ะเบื้องล่าง ควานหาสวิทช์ เมื่อพบก็กดเป็นจังหวะสามครั้งซ้อน ๆ ซึ่งพร้อม ๆ กันนั้น ชาวยุโรปดังกล่าวก็หิ้วกระเป๋าเดินออกจากบริเวณด่านตรวจพอดิบพอดี

มันจำเพาะเจาะจงผ่านช่องทางเข้าออกที่ขอทานวิกลจริตยืนขวางอยู่พอดิบพอดี เขาปราดเข้าขวางมือซ้ายขยับป้ายที่แขวนอยู่ที่หน้าอกให้มันสะดุดตา เมื่อชาวยุโรปผู้นั้นไม่สนใจ เขาก็ใช้มือขวาสัมผัสที่ขอบกางเกงแล้วรูดตัวเองลงไปนอนซบไหว้อยู่ที่รองเท้า ปากก็ร่ำไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา

ชาวยุโรปพยายามขยับเท้าทั้งสองให้พ้นจากมือของขอทาน ด้วยท่าทางขยะแขยง เมื่อไม่สำเร็จเขาก็หยิบธนบัตรดอลล่าร์หนึ่งฉบับวางแปะลงไปที่พื้นเบื้องหน้า แล้วชักเท้าก้าวข้ามร่างที่กำลังหยิบเงินดอลล่าร์ขึ้นมาดูด้วยท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ พาตัวเองเดินข้ามถนนมุ่งหน้าไปที่แนวจอดรถสามล้อด้วยท่าทางที่เหมือนว่า จะชำนาญภูมิประเทศของเมืองหนองคายไม่น้อยเลยที่เดียว

ขอทานขว้างเงินดอลล่าร์ลงบนพื้น ปากก็ตะโกนออกมาคับถนน

" ฝรั่งให้เงินปลอมกูด้าย...ไอ้หอก ไม่รู้จักกูซะแล้ว "

ในขณะที่กลุ่มสามล้อพรั่งพรูเข้าไปแย่งธนบัตรดอลล่าร์กันวุ่นวายอยู่นั้น ขอทานวิกลจริตก็เดินผละออกจากด่านตรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อมกับยกท่อนหัวกระบอกไฟฉายขึ้นมากรอกด้วยน้ำเสียงที่ผิดไปจากเมื่อกี้เป็นคนละคน

" เช็คพ้อยจากวณิพก...นกออกจากรัง...ไข่ไม่มี เลิกกัน "

พอพูดเสร็จขอทานวิกลจริตก็หัวเราะก๊ากออกมาสุดเสียงแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปตามถนน ท่ามกลางความสมเพชของประชาชนที่มองดูอยู่ข้าง ๆ ทาง

รถแท๊กซี่ป้ายดำ ยี่ห้อมาสด้า 929 สีเขียวมะกอกจอดแช่อยู่ที่คิวรถตั้งแต่เช้าไม่ยอมรับผู้โดยสาร โชเฟอร์หน้าอ่อนเหมือนกับผู้หญิงประเภทสองนั่งคุยจุ๋งจิ๋งกับหนุ่มหุ่นสำอางหน้าตาหล่อเหลาหยั่งกับนักร้องลูกทุ่งยอดนิยม วิทยุบนชั้นคอนโซล ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ แต่ทว่าไม่มีเสียงดนตรีหรือเสียงโฆษณาใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่เสียงโครกครากของคลื่นสัญญาดังแว่วอยู่ไม่ขาดระยะ

" เช็คพ้อยจากวณิพก นกออกจากรัง ไข่ไม่มี เลิกกัน "

รหัสวิทยุดังแว่วออกมาจากลำโพงด้วยความดังของสัญญาที่ค่อนข้างจะเบาผิดปกติ กระเทยหนุ่มกับบุรุษหุ่นนักร้องไหวตัวเยือก

" อีจิ๋ว ผู้กองส่งข่าวมาแล้วโว้ย ไอ้ปีแอร์ออกจากด้านตรวจมาแล้ว ผู้กองตรวจค้นอย่างคร่าว ๆ ไม่พบอาวุธ เอ็งเตรียมตัวประเดี๋ยวสนุกแน่ ไม่เอ็งก็ข้าด้องเจอะกับมันเข้าซักคนหนึ่ง โชคดีโว้ย "

พอพูดจบ บุรุษหุ่นนักร้องก็กระโจนเผ่นลงไปจากรถ วิ่งเหยาะ ๆ ไปยัง " ดัทสัน 1300 " สีแดงจอดอยู่ขอบถนนติดเครื่องพารถขึ้นมาจอดอยู่หลังคิวของ " มาสด้า 929 " ทันที

ไม่ถึงห้านาที รถสามล้อก็พาชาวยุโรปเจ้าของนาม " ปีแอร์ " เข้ามาที่คิวรถแท็กซี่ป้ายดำ ทั้งไอ้จิ๋วและบุรุษหุ่นสำอาง ต่างก็ลงไปยื้อยุดฉุดมืออยู่ชั่วครู่ ความสำเร็จก็เป็นของไอ้จิ๋ว " ปีแอร์ " พาตัวเองขึ้นมานั่งด้านหน้าพร้อมกับพยักหน้าให้ไอ้จิ๋ว กระเทยตัวแสบหันไปยักคิ้วกับเพื่อนคู่หู พร้อมกับหรี่ตาเหมือนกับจะส่งอาณัติสัญญาณอะไรซักอย่างหนึ่ง แล้วติดเครื่องพารถออกจากท่าจอดหยั่งกับติดปีกบิน

" คุณคงจะเพิ่งมาเมืองไทย "

ไอ้จิ๋ว เปิดฉากสนทนาพร้อมกับชำเลืองดูเหตุการณ์ทางกระจกหลัง

" ผมไม่เข้าใจภาษาของคุณดีนัก...กรุณาพูดอังกฤษหรือฝรั่งเศสได้ไหมครับ ? "

ปีแอร์ ทำสีหน้าเหรอหรา แล้วพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ไอ้จิ๋ว ไม่ตอบ มันค่อย ๆ ลดมือไปกุมคันเกียร์ พอหัวนิ้วโป้งไปสัมผัสกับปุ่มกึ่งกลางของคันเกียร์มันก็ค่อย ๆ ออกแรงกดทันที

ด้วยเครื่องอีเลคโทรนิคที่ออกแบบเป็นพิเศษมันสามารถดันเข็มฉีดยาบรรจุยาสลบอย่างแรงซึ่งซ่อนอยู่ในพนักพิงพุ่งออกมาสัมผัสสะโพกด้านหลังปีแอร์ พร้อมกับเดินยาสลบเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ

ปีแอร์สะดุ้งขึ้นมานิดนึง ชั่วอึดใจศีรษะของเขาก็หงายเริด ขึ้นมองดูหลังคารถ ดวงตาหลับพริ้มหมดสติสัมปชัญญะไปในบัดดล

ไอ้จิ๋ว เอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่แผงวิทยุ ดึงปากพูดที่ซ่อนอยู่ในตู้คอนโซนออกมากรอกคำพูดลงไปห้วน ๆ

" เฮดควอเตอร์จากเช็คพ้อย เรียบร้อยอีก 2 นาทีจะไปถึงที่หมาย "

พูดวิทยุยังไม่ทันจะขาดคำ ทางแยกลูกรังก็มองเห็นอยู่เบิ้องหน้า ไอ้จิ๋ว หักรถเลี้ยววูบเข้าไป โดยลดความเร็วลงนิดนึง พอเลยเข้าไปสุดทางก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดอยู่ในโรงเก็บรถที่มิดชิดของบ้านทรงโบราณอันกว้างใหญ่ไพศาลแต่ทว่าสงบเงียบวังเวง จนนึกไม่ถึงว่าจะมีมนุษย์อาศัยอยู่

รถตู้ทึบขนาดใหญ่เหมือนกับรถบรรทุกเครื่องมือซ่อมรถวิทยุของราชการทหาร จอดซุ่มอยู่ก่อนแล้ว พอรถของไอ้จิ๋วเข้าไปจอดเทียบ ประตูด้านท้ายก็เปิดผางออกทันที

ฝรั่งผิวขาวไม่ปรากฏสัญชาติที่แน่นอนสามคนกระโดดตุ๊บลงมาจากรถ ทั้งหมดสวมชุดเสื้อกาวน์แบบนายแพทย์ตามโรงพยาบาล มีผ้าก๊อซปิดคาดจมูกเอาไว้ทุกคน

ไม่ถึงสองนาที ปีแอร์ก็ถูกอุ้มขึ้นไปนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงผ่าตัด โคมไฟขนาดใหญ่ที่สว่างจ้าอยู่บนเพดาน ถูกดึงลงมาที่บริเวณหน้าท้อง

เสื้อผ้าและกระเป๋าเจมส์บอนด์ ถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยความรอบคอบ สำหรับกระเป๋าถูกสเก๊ตช์ตำแหน่งที่วางสิ่งของทุกชิ้นเอาไว้ก่อนอย่างแนบเนียน

ไม่มี " เอกสาร " ลับสุดยอดอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายและในกระเป๋าเจมส์บอนด์นั้น !

รองเท้าถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ซ่นที่หนาเตอะถูกงัดออกมาตรวจสอบทุกแง่ทุกมุม

" ไม่มีอะไรเลยครับ...หัวหน้า "

ฝรั่งคนหนึ่งพึมพำออกมา พร้อมกับค่อย ๆ จัดสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะไปบรรจุอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนส์ตามภาพสเก๊ตช์ด้วยความระมัดระวัง

ฝรั่งรูปร่างผอมสูง ลักษณะท่าทางเป็นหัวหน้าไม่พูดอะไรออกมาซักคำ เขาจ้องสำรวจร่างกายที่เปล่าเปลือยของปีแอร์ด้วยท่างทางพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกแรงพลิกร่างของจารชนจากเวียดนามเหนือให้นอนคว่ำลง

รอยแผลเป็นที่ถูกเย็บอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยเอ็นแมวปรากฏหราอยู่ที่โคนขาบริเวณก้นกบด้านซ้าย หัวหน้าคณะใช้มือกดบาดแผลอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับชั่งใจแล้วหันไปออกคำสั่งห้วน ๆ

" ผ่าตัดแผลนี่ออก...ระวังเลือกเอ็นที่จะเย็บให้คล้ายคลึงกับของเก่าด้วย...ผมคิดว่าจะต้องพบ " ของ " อยู่ข้างในนี่อย่างเด็ดขาด "

ฝรั่งคนขวามือหยิบกรรไกรตัดเอ็นออกอย่างระมัดระวัง พอบาดแผลเปิดออก แค็ปซูลเล็ก ๆ ขนาดยา " คอร์แลม " ก็ทะลักตามเลือดออกมาทันที

" ไมโครฟิล์ม "

หัวหน้าคณะ อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความดีใจ พร้อมกับหยิบแค็ปซูลขึ้นมาวางบนจานอลูมิเนียมด้วยความระมัดระวัง ปากก็ออกคำสั่งต่อไปอีกอย่างห้วน ๆ

" เตรียมเครื่องขยายฟิล์ม "

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม หัวหน้าคณะก็บรรจงถอดรอยต่อแค็ปซูลออกอย่างระมัดระวัง แผ่นฟิล์มขนาดจิ๋วที่ได้รับการย่อส่วนแล้ว ถูกซุกซ่อนอยู่ในแค็ปซูลอย่างแนบเนียนก็ถูกคีบออกมาวางบนแป้นขยายฟิล์ม ชั่วอึดใจแผ่น ไมโครฟิล์มแผ่นนั่นก็ได้รับการขยายจากเครื่องอีเลคโทรนิคอย่างเรียบร้อย

หัวหน้าคณะคีบแผ่นไมโครฟิลม์ที่โตขนาดแผ่นแสตมป์ม้วนลงไปในแค็ปซูล แล้วปิดเอาไว้อย่างเดิม ทำความสะอาดยัดลงไปในแผล จัดแจงเย็บด้วยเอ็นแมวที่เลือกสรรเอาไว้แล้วด้วยความระมัดระวัง ตรวจตราบาดแผลอยู่ครู่หนึ่ง ก็จัดแจงแต่งกายให้จารชนเวียดนามเหนือทันที

" สิบนาทีกับสามสิบวินาที...คุณช่วยหมุนเข็มนาฬิการของมันถอยหลังกลับมาห้านาที...คราวนี้ต่อให้มันชาญฉลาดแค่ไหน มันก็ไม่สามาถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีอะไรบังเกิดขึ้นกับมันในขณะเดินทางเมื่อมันฟื้นขึ้นมา สภาพจิตใจของมันก็จะคิดว่าเผลอตัวหลับในขณะเดินทางเท่านั้น โอ.เค. อุ้มมันลงไปวางบนรถข้างล่างได้แล้ว ขอบใจทุก ๆ คน "

หัวหน้าคณะผ่าตัดฉุกเฉิน ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกพร้อมกับกล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมงานด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แสดงออกถึงความภาคภูมิใจ ที่งานลับสุดยอดของ ซี.ไอ.ไอ. ได้ผ่านพ้นไปอย่างสะดวกโยธิน

ไอ้จิ๋วพาปีแอร์ขึ้นมาบนถนนใหญ่ "ดัทสัน-1300" ที่เพื่อนคู่หูจอดแช่อยู่ที่คิวรถเพิ่งจะพาผู้โดยสารกลุ่มใหญ่แซงผ่านหน้าไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ไอ้จิ๋วส่งสัญญาณไฟหน้ารถ กระพริบเป็นรหัสมอส แจ้งผลการปฏิบัติงานอย่างสั้น ๆ เพื่อนคู่หูตอบรับด้วยการเปิดไฟเลี้ยวทั้งขวาและซ้ายพร้อม ๆ กัน แล้วเร่งเครื่องตีจากหายไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนถึงอุดร ฯ สิบกิโลเมตร ปีแอร์ก็รู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา ดูท่าทางเขางงงันต่อสภาพร่างกายของเขามาก เขาสะบัดศีรษะพร้อมกับปิดปากหาวด้วยท่าทางเซื่องซึม แต่ไม่วายที่จะเอื้อมมือออกควานหากระเป๋าเจมส์บอนด์ ซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ ด้วยความระแวดระวัง อันเป็นนิสัยเคยชินของจารชนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างจำเจ

ไอ้จิ๋วชำเลืองดูด้วยหางตา แล้วเหยียดยิ้มด้วยความสมเพช คันเร่งถูกเหยียบจนมิด มาสด้า 929 แล่นทะยานเหมือนธนูออกจากแหล่งจุดหมายปลายทางก็คือ " ศิริโฮเต็ล " อันเป็นที่พักซึ่งได้รับการนัดหมายเอาไว้แล้วจากหน่วยงานจารกรรมนอกประเทศของเวียดนามเหนือ

เสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้อง " ศูนย์ปฏิบัติการจารกรรมนอกประเทศ " ของค่ายรามสูรครางกระหึ่มความเงียบและบรรยากาศที่ตึงเครียดของแต่ละคนที่กำลังจ้องสายตาเขม็งไปยังผนังตึกด้านหนึ่งที่ใช้เป็นจอภาพยนตร์ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องเก็บเสียงแห่งนั้น เงียบสงัดเหมือนปราศจากผู้คนโดยสิ้นเชิง

เครื่องฉายสไลด์และเครื่องฉายภาพยนตร์ตั้งอยู่บนโต๊ะเดียวกัน ณ บริเวณด้านหลังแถวเก้าอี้ พนักงานฉายทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาอยู่กับเครื่อง ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่เรียงรายบนโต๊ะ แสงไฟที่สว่างนวลอยู่บนเพดานดับพรึ่บลงทันที

เครื่องฉายสไลค์เริ่มทำงาน ลำแสงส่องทะลุผ่านแผ่น " ไมโครฟิล์ม " ไปทาบอยู่ที่ผนังตึก ตัวอักษรเวียดนามที่ได้รับการขยายซ้ำเป็นครั้งที่สองเรียงรายเป็นพืดอยู่บนจอนั้น เสียงเลาว์ดสปีคเกอร์ซึ่งติดตั้งอยู่บนผนังด้านหนึ่ง แว่วกังวานออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยท่วงทำนองช้า ๆ และข้อความเหล่านั้นก็ถอดออกมาจากตัวอักษรเวียดนามบนผนังตึกนั่นเอง

ถึงหน่วยงานที่ 13

1. ขอชมเชยผลงานครั้งที่แล้ว

2. ต้องการ " ข่าวกรอง " ด่วนในเรื่องต่อไปนี้

2-1. จำนวนอเมริกันทั้งทหารและพลเรือนที่เกี่ยวข้องกับ " รามสูร "

2-2. "ข่าวกรอง" เรื่องเครื่องบิน "บ-2" และ "เอส.อาร์. 71"

2-3. ปฏิบัติการทุกชนิดที่จะได้มาถึง " ข่าวกรอง " ที่ว่า ห้องใต้ดินของรามสูรเป็น "ศูนย์ควบคุมขีปนาวุธ" ที่ตั้งเป้าหมายการยิงครอบคลุมถึง ฮานอย และ นครปักกิ่ง งบประมาณและกำลังพลไม่อั้น...

2-4. พยายาม ถ่ายรูปหรือสะเก็ตช์ภาพเครื่องจักร "ภายใน" โรงงานผลิตอาวุธของกองทัพบกที่สรรพาวุธให้ได้

2-5. ให้ "เหงียน - วัน - เรย์" ดำเนินการปลุกระดมในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองเป็นผู้อำนวยการอยู่ให้หนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยใช้แผน "ด่าตัวเอง" กล่าวโจมตีเวียดนามเหนือ และคอมมิวนิสต์ เพื่อปกปิดสัญชาติอันแท้จริงของตัวเองและขอเพิ่มยอดเงินช่วยเหลือจาก "เหงียน - วัน - เรย์" เป็นเดือนละ 200,000 บาท

3. พลตรี " โว - วัน ทัน " จะมาส่งอาวุธด้วยตนเองที่ " ทุ่งหมาหอน " ในวันที่ 30 ธันวาคม เวลา 01.30 น. ตำบลเครื่องลงที่พิกัด 463427 "ช็อปเปอร์แพ็ค" (ที่จอดเฮลิคอปเตอร์) รหัส " กางเขนเพลิง "

4. เงินเรี่ยไรจากญวนอพยพทั้งหมดที่จะส่งไปช่วยเหลือเวียดนามเหนือ ประจำเดือนธันวาคม ให้ส่งมอบกับ พลตรี "โว - วัน - ทัน"

5. สัญญาณบอกพวก... "ดงซวน - ฮานอย"

ลงชื่อ วู-ดินห์-แฮห์

เลาว์ดสปีดเกอร์ อ่านทวนอีกครั้ง แล้วภาพไมโครฟิล์มบนผนังตึกก็หายแวบไปจากสายตา ก่อนที่เครื่องฉายภาพยนตร์จะทำงาน "นอร์แมน" ซึ่งนั่งอยู่ใกล้เครื่องฉายก็หันหน้ามาออกคำสั่งเบา ๆ

"อย่าเพิ่งฉาย...เปิดไฟก่อน...ทุกคนโปรดไปรอผมที่ห้องทะเบียนประวัติ ผู้พันแสตนเล่ห์อยู่กับผมก่อน"

คำสั่งของนอร์แมน คล้ายกับจะไล่เจ้าหน้าที่ ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปจากห้องอยู่ในที และทุกคนต่างก็รู้หน้าที่ของตัวดีว่าอะไรเป็นอะไร ชั่วอึดใจห้องฉายภาพยนตร์ก็เหลือเสนาธิการชั้นหัวกระทิอยู่เพียงสองคน

" - แสตนเล่ห์ ข่าวกรองข้อ 2, ข้อ 2-1, ข้อ 2-2, ข้อ 2-3 คือข่าวกรองที่เกี่ยวข้องกับค่ายรามสูรโดยตรง...สำหรับข่าวชิ้นนี้เราจะไม่แจ้งให้ทางรัฐบาลไทย (บก.333) ทราบ เราจะจัดจารกรรมตอบโต้พวกมันเอง ส่วนข้อ 2-4, ข้อ 3, ข้อ 4 เป็นหน้าที่ ที่ บก. 333 จะต้องปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด ด้วยกำลังพลของเค้าเอง โดยมีเราสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง...สำหรับคุณมีแผนอะไรที่นอกเหนือกว่านี้ ลองเสนอผมดู"

พ.ท. แสตนเล่ห์ อดีตกรีนเบเร่ต์จากสงครามเวียดนามใช้ดินสอแดงที่ถืออยู่ในมือเคาะกับที่ท้าวแขนเหมือนกับจะใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขยับตัวลุกขึ้นยืนโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

" สำหรับข้อ 3. ผมอยากจะให้พวกเราร่วมมือกับ บก. 333 ด้วย...ผมเชื่อว่า ชอร์ปเปอร์ที่จะมาส่งอาวุธจะต้องเป็นช็อร์ปเปอร์ที่สวมท่อเก็บเสียงรุ่นใหม่ของโซเวียตอย่างเด็ดขาด...มันเป็นโอกาสทองของพวกเราแล้ว ไม่ใช่หรือครับหัวหน้า...น้อยครั้งนักที่นายทหารชั้นนายพลของเวียดมินห์ จะเดินทางข้ามพรมแดนเข้ามาถึงในประเทศไทย...สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจก็คือทำไมเรด้าร์ของเราถึงจับทิศทางมันไม่ค่อยได้ "

ประโยคสุดท้าย ผู้พันแสตนเล่ห์ บ่นพึมพไหมือนกับจะพูดกับตัวเอง

" - แผนของคุณทำให้ผมนึกถึงคำสั่งจาก " เพนตากอน " (กลาโหมสหรัฐ) ขึ้นมาได้...โอ เค...หน่วยงานของเรากำลังต้องการแบบ " พิมพ์เขียว " ของชอร์ปเปอร์รุ่นใหม่จากรัสเซียอยู่พอดี...ไม่ได้แบบพิมพ์ก็เล่นเอาเครื่องจริง ๆ ของมันไปเลย...แต่อย่าลืม พวกเราจะไปเข้าร่วมปฏิบัติงานโดยออกหน้าออกตากับทหารไทยโดยเปิดเผยไม่ได้อย่างเด็ดขาด คุณก็รู้อยู่แล้ว่า สื่อมวลชนซ้ายจัดบางฉบับกำลังจ้องเล่นงานพวกเราอยู่ทุกขณะ...เราจะต้องใช้หน่วย "เพชฌฆาตรับจ้าง" ที่เป็นคนไทยล้วน ๆ เข้าปฏิบัติงานแทน"

"หน่วยเพชฌฆาตรับจ้าง"

พ.ท. สแตนเล่ห์ พึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วทำสีหน้าเคลือบแคลงใจ

ครับ...หน่วยเพชฌฆาตรับจ้างที่ขึ้นตรงต่อองค์การ ซี.ไอ.เอ. โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของหน่วยนี้เคยผ่านงานวินาศกรรมและจารกรรมในสงครามลาวมาแล้วอย่างโชกโชน พอสงครามสงบ เขาเหล่านี้ก็กลับมาประกอบอาชีพตามถนัดในประเทศไทย บางคนก็อยู่ในคุก บางคนก็ตั้งแก๊งยาเสพติด แต่ทุกคนจะหนีกรงเล็บของ ซี.ไอ.เอ. ไปไม่พ้นผู้พันแสตนเล่ห์ ผมจะปลุกวิญญาณพวกเพชฌฆาตรับจ้างเหล่านี้ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก คอยดูก่อนถึงหมายกำหนดการ ผมจะลากไอ้พวกมืองสังหารเหล่านี้ให้มารวมกันอยู่ที่นี่ให้หมดพวกมันจะต้องตกเป็นทาสของดอลล่าร์อย่างโงหัวไม่ขึ้น พวกมันจะต้องตายแทนอเมริกันด้วยความเต็มใจ ไปที่ห้องทะเบียนประวัติเถอะครับ ป่านนี้พวกนั้นคงจะรอเราอยู่แล้ว

พอดูจบ " นอร์แมน " หัวหน้าข่าวกรองรามสูรก็พาตัวเองเดินออกมาจากห้องศูนย์จารกรรมนอกประเทศด้วยท่าทางรีบร้อน

โคมไฟชนิดปรับระยะ ได้ถูกดึงลงมาส่องสว่างอยู่เหนือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่การปรับระยะที่แนบเนียนทำให้ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะเป็นเงาสลัวเหมือนกับซ่อนอยู่ในฉากที่มืดทึบ แป้นโทรศัพท์สีแดงและขาวที่ตั้งอยู่คู่กันสะท้อนแสงวูบวาบ จนกระทั่งผู้ที่นั่งซ่อนอยู่ในเงามืดถึงกับหยีตาลงชั่วขณะ

มืออันหยาบกระด้างและแข็งแรงเอื้อมมาหยิบแฟ้มสีดำที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าออกมาวางเรียงรายตามลำดับหมายเลขที่กำกับอยู่บนแฟ้มนั้น "ตรา-ทอป-ซี-เครท" (ลับสุดยอด) สีแดงที่ประทับอยู่เหนือตัวเลขอารบิคเด่นอยู่ท่ามกลางแสงไฟ เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็บรรจงเปิดแฟ้มหมายเลข 1 ออกช้า ๆ พร้อมกับระบายยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อมองเห็นรูปถ่ายของเขาเองปรากฏหราอยู่บนนกระดาษอาร์ตสีขาวปึกหนานั้น

มันเป็นรูปถ่ายตรงหน้าขนาดโปสการ์ดของพันโทแห่งกองทัพบกสหรัฐ หน้าอกด้านซ้ายติดแถบและเหรียญกล้าหาญแพรวพราวไปหมด ริมฝีปากที่บางเฉียบและศีรษะที่ค่อนข้างจะอัตคัดผมของบุคคลในภาพถ่ายทำให้บุรุษที่นั่งยิ้มอยู่คนเดียวในเงามืดยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปลูบกระบาลที่ใสเหน่งของตัวเองด้วยความเผลอตัว ชั่วอึดใจเขาก็ลดมือลงผลักแฟ้มดังกล่าวออกไปที่มุมโต๊ะด้านซ้ายมือ ด้วยท่าทางที่บังเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

"ออกมา...ไอ้พวกเพชฌฆาตอาชีพ...พวกเอ็งจะต้องตกเป็นทาสของ ซี.ไอ.เอ. ไปจนตาย ถึงพวกเอ็งจะอยู่ในขุมนรกชั้นไหน...ข้าก็จะลากพวกเอ็งขึ้นมาเพื่องานครั้งนี้ให้จงได้ "

เขาพึมพำออกมาเหมือนกับจะพูดกับตัวเอง แล้วค่อย ๆ เปิดแฟ้มหมายเลข 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ออกมาวางเรียงราย แสงสว่างเหนือโต๊ะสาดให้เห็นภาพถ่ายบุคคลต่างอาชีพกันโผล่หน้าสลอนอยู่ในแฟ้มลับสุดยอดนั้น

เขาใช้ดินสอแดงขีดเส้นใต้ลงภายใต้ภาพของบุรุษผิวดำหน้าบาก ศีรษะโล้นซึ่งชื่อบ่งเอาไว้ว้า " โมฮาหมัด อับดุลราห์มาร์ " พร้อม ๆ กับพึมพำออกมาอีกครั้ง

" - มิสเตอร์ โล้น...ผลงานในสมรภูมิลาวของคุณเป็นที่กล่าวขวัญกันในหน่วยงาน...คุณไม่น่าพลาดให้ตำรวจไทยจับเข้าไปขังอยู่ในลหุโทษเลย...ไม่มีสิ่งไหนภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ ซี.ไอ.เอ. จะทำไม่ได้...ผมจะเอาคุณออกมาเอง...มิสเตอร์โล้น "

ประโยคสุดท้าย " นอร์แมน " คำรามออกมาด้วยเสียงลึก ๆ พร้อมกับใช้มือขวากระแทกอุ้งมือซ้ายเต็มแรง

XXXXXXXXXXXXXXXX จบ บทที่2 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX[/size]



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 21:02  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19352

คำตอบที่ 71
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 3

รถตู้ทึบขนาดใหญ่ มีตราขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยติดหราอยู่ข้าง ๆ รถ วิ่งช้า ๆ ข้ามสะพานข้างโรงสี แล้วเลี้ยวผ่านกระทรวงกลาโหมด้านหลังมุ่งตรงไปตามถนนที่ตัดออกไปยังบริเวณท้องสนามหลวงด้านหลังศาลอาญา

06.50 น. พอดิบพอดี เนื่องจากเป็นเวลาเช้าพอสมควร การจราจรในถนนสายนั้นก็เลยเบาบางจนแลดูโล่งไปหมดทั้งถนน

เครื่องยนต์สำลักติด ๆ กันแล้วก็หยุดเอาดื้อ ๆ พนักงานขับรถพยายามสตาร์ทอยู่สองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าเครื่องยนต์ไม่ติดแน่ก็เปิดประตูกระโดดลงมาทำหน้ายู่ยี่บ่นเป็นหมีกินผึ่ง พร้อมกับเปิดฝากระโปรงหน้ารถตรวจดูเครื่องยนต์อย่างอารมณ์เสีย

" ช่วยสตาร์ทให้ด้วยโว้ย...จิตต์ ไอ้ห่าเมื่อกี้นี้ก็ ยังดี ๆ อยู่นี่หว่า "

พนักงานขับรถร้องตะโกนบอกเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อจิตต์ที่นั่งอยู่หน้ารถ

เกือบสิบนาที ที่ทั้งสองช่วยกันแก้เครื่องยนต์ จนแล้วจนรอด ก็ไม่สามารถที่จะแก้ความพยศของเจ้าของรถตู้ทึบคันนี้ได้

ชายฉกรรจ์ในชุดสีกากี อันเป็นเครื่องแบบของกรมราชทัณฑ์สองคน สะพายปืนยิงเร็ว " แบเรตต้า" เดินออกจากช่องประตูเข้าออกของศาลอาญา เข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หัวรถตู้ทึบ ซึ่งขณะนี้ส่วนหัวของมันจอดขวางทางเข้าออกอยู่พอดิบพอดี

"- คุณ...คุณครับ...ประเดี๋ยวรถบรรทุกนักโทษจะผ่านเข้าออกทางประตูด้านนี้ กรุณาถอยรถให้พ้นประตูด้วยครับ "

คนหนึ่งที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยกล่าวขึ้นมาอย่างสุภาพพนักงานขับรถกระแทกฝาปิดหน้าหม้อรถโครมใหญ่ แล้วหันกลับมาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ

"สตาร์ทไม่ติดครับ ผมหมดปัญญาแล้ว ถ้ากรุณาช่วยผมเข็นพอให้พ้นช่องทางนี่ ก็เห็นจะแก้ปัญหาได้ละกระมังครับ"

เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้คุมนักโทษหันไปมองหน้ากันอยู่ชั่วครู่ คนที่โย่งกว่าเพื่อนพยักหน้าเป็นเชิงเห็นใจ แล้วขยับออกเดินไปท้ายรถ

จิตต์ขึ้นไปถือพวงมาลัย ผู้คุมทั้งสองกับพนักงานขับรถออกแรงเข็นจนตัวโก่ง เจ้ารถตู้ทึบจึงค่อย ๆ ขยับอย่างเชื่องช้า กว่าจะดันส่วนท้ายของมันให้พ้นช่องทางเข้าออกไปได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกทั้งสามคน

"-บรรทุกอะไรครับหนักเหลือเกิน...นี่ดีว่าพื้นถนนมันลาดลงไปข้างหน้า...ถ้าเป็นพื้นเรียบ ๆ สามคนเห็นจะไม่มีทาง"

ผู้คุมคนเตี้ยที่สุดพูดพรางหอบพลาง พร้อมกับห่อปากพ่นลมออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเอาการ

" - เครื่องมือแก้โทรศัพท์ทั้งนั่นแหละครับ วันนี้ทั้งวันผมต้องออกเช็คย่านสนามหลวงทั้งหมด น่ากลัวเห็นจะเสียงานเสียแล้ววันนี้...ขอบคุณมากครับ "

พนักงานขับรถพูดรักษาน้ำใจผู้คุมออกไปพร้อมกับผละเดินขึ้นไปนั่งแทนที่จิตต์ ซึ่งขณะนี้เลื่อนตัวเองออกไปยังอีกด้านหนึ่งของรถ แล้วสอดสายตามองไปรอบ ๆ ด้านอย่างพินิจพิจารณา

" - เจ้านายติดต่อมาหรือยังวะจิตต์ " พนักงานขับรถหันไปถามเพื่อนร่วมเดินทางอย่างห้วน ๆ

" - ยัง...พี่ชาติ...ไอ้สองคนเมื่อตะกี้นี้มันสงสัยอะไรบ้างหรือเปล่า - พี่ ? "

ประโยคสุดท้าย จิตต์เอ่ยปาก ถามออกไปพร้อมกับใช้สายตามองที่กระจกตรงบังโคลนรถเบื้องหน้าสำรวจดูผู้คุมที่กำลังยืนคุยกันอยู่หน้าช่องทางประตูเข้าออกของศาลอาญาอย่างหวาดระแวง

" มันจะไปรู้อะไรวะ...อย่าไปสนมันเลย นั่นเจ้านายเรียกมาแล้ว " ไฟแดงจากแผงหน้าปัดกะพริบถี่ ๆ ติด ๆ กัน จิตต์เอื้อมมือหยิบปากพูดหูฟังซึ่งสียบอยู่ข้าง ๆ พวงมาลัยขึ้นมาแนบที่หู

" - กระทิงแดงจากเสือดำ...นกออกจากรังแล้ว "

คำสั่งที่เป็นรหัสลับ...ห้วน...และสั้น แว่วออกมาจากหูฟังขนาดเล็ก ซึ่งความดังของมันพอที่จะได้ยินเพียงในระยะใกล้ ๆ เท่านั้น

" เสือดำจากกระทิงแดง...แผนหนึ่งเรียบร้อย...เลิกกัน "

จิตต์ตอบวิทยุกลับไปอย่างห้วน ๆ ชาติเอื้อมมือไปที่แผงหน้าปัดทางซ้ายมือสุด กดปุมที่ซ่อนอยู่ข้าง ๆ แผ่นไฟร์เบอร์ที่ปิดพรางเอาไว้ เลื่อนออกช้า ๆ พร้อม ๆ กับโทรทัศน์ขนาดหกนิ้วปรากฏโฉมอยู่อย่างแนบเนียน

สวิทช์เปิดปิดถูกเลื่อนไปในตำแหน่ง " เปิด " ชั่วอึดใจภาพอันชัดเจนของถนนสายหน้าเรือนจำคลองเปรมก็ปรากฏขึ้นมาในจอโทรทัศน์

ด้วยประสิทธิภาพของกล้องส่งโทรทัศน์ขนาดเล็กที่ซุกซ่อนอยู่บนรถโฟล์คตู้ทึบคันที่กำลังแล่นเอื่อย ๆ ติดตามรถบรรทุกนักโทษจากลหุโทษมุ่งหน้ามาทางโรงภาพยนตร์เฉลิมไทย...ทำให้รถตู้ทึบคันดังกล่าวมองเห็นการเคลื่อนไหวของรถบรรทุกอยู่ตลอดเวลา

รถบรรทุกนักโทษ เลี้ยวซ้ายผ่านเฉลิมไทยเนื่องจากการจราจรย่านถนนราชดำเนินกำลังแออัดยัดเยียด ก่อนรถจะถึงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจึงต้องเสียเวลาอยู่นานพอสมควร

" กระทิงแดง...ไอ้แสบ นั่งอยู่ด้านในสุดติดกับห้องคนขับ...ไอ้โล้นท้ายรถ...เตรียมแผนที่สอง "

คำสั่งจากวิทยุได้แว่วขึ้นอีกครั้งและคราวนี้เนื่องจากรถโฟล์คได้เลื่อนมาจอดอยู่ใกล้กับท้ายรถบรรทุกนักโทษภาพที่ออกมาในจอจึงสามารถมองเห็นร่างของบุรุษที่ถูกกล่าวนามทั้งสองคนนั่งตัวลีบปะปนอยู่กับนักโทษอย่างถนัดชัดเจน

" พี่ชาติ ดูโน่น พี่แสบ, พี่โล้น นั่งหน้าม่อยอยู่หลังลูกรงเหล็กโน่น...ทนเอาหน่อยนะลูกพี่ ประเดี๋ยวไอ้จิตต์จะเอาลูกพี่ออกมาชมกรุงเอง "

" อย่าเสือกทำเป็นเล่นอยู่น่า ติดเครื่องรถได้แล้ว...เร็วเข้า ไอ้หอก รถนักโทษถึงหน้ากรมประชา ฯ แล้วโว้ย "

ชาติพูดพลางเอื้อมมือลงไปที่พื้นรถหยิบซองผ้าใบแบน ๆ ขึ้นมา แก้ห่อออกอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบปืนรูปร่างแปลกประหลาดขึ้นมาวางไว้บนตัก

มันเป็นปืนกลมือรุ่นล่าสุดในตระกูลของ " เอช-เค " ซึ่งเพิ่งจะผ่านการทดสอบไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ และยังไม่ได้รับเข้าประจำการตามหน่วยราชการในประเทศไทยแต่อย่างใด

จากลักษณะที่พิกล ๆ ผิดปืนธรรมดาก็อีตรงลำกล้องที่อวบใหญ่เกือบเท่าปากกระบอกของปืน " เอ็ม-79 " แถมยาวตลอดจนจรดศูนย์หลัง

ชาติดึงพานท้านที่หดอยู่ออกกางเต็มที่ ทำให้ส่วนยาวของมันเพิ่มจากเดิมถึง 6 นิ้วฟุตเต็ม ๆ

แม็กกาซีนบรรจุเต็มอัตรา 30 นัด สองแม็กกาซีนถูกแผ่นสก๊อซเทปเชื่อมติดต่อกันในลักษณะหันก้นแม็กกาซีนชนกันแล้วยัดผลัวะเข้าไปในช่องหน้าเครื่องลั่นไกเสียงดัง " เช้ะ "

จากลักษณะดังกล่าว ทำให้เป็นที่สังเกตุได้ว่าผู้ที่ใช้ปืนจะต้องผ่านหลักสูตร " คอมมานโด " หรือหลักสูตรฆ่าคนมาแล้วอย่างโชกโชน

มือปืนสมัครเล่นทั้งหลายถ้าเห็นการใส่แม็กกาซีนแบบนี้ขอให้พึงระลึกเถิดว่า ได้พบกับมือปืนอาชีพที่ผ่านการฆ่าคนมาแล้วอย่างวินาศสันตะโร

ปืนกลทุกชนิดช่วงที่เสียเปรียบก็คือ ตอนกระสุนหมดแม็ก ฯ จังหวะที่กำลังเปลี่ยนแม็กกาซีนก็คือจังหวะที่เจ้าของปืนต้องพบกับความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแม็ก ฯ ก็คือช่วงที่โสภาที่สุดในการเซฟชีวิต ใครเร็วกว่าคือผู้ชนะ

จากระบบแม็กกาซีนพ่วงท้าย เมื่อกระสุนหมดผู้ยิงเพียงแค่คลายล็อค แล้วดึงแม็ก ฯ ออกกลับทางเอาส่วนล่างสุดแม็ก ฯ ยัดเข้าไปแทนที่เดิมเท่านั้น ผู้ที่ชำนาญและฝึกฝนมาอย่างดีจะใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้นเอง หนึ่งวินาทีที่สามารถยิงติดต่อกันได้ถึง หกสิบนัด...แล้วปืนกลชนิดอื่น ๆ จะไปหยุดยั้งมันได้อย่างไร

เครื่องยนต์ที่เสียมาตลอดเวลาเกือบยี่สิบนาทีถูกสตาร์ทครางกระหึ่ม จิตต์ถือกระเป๋าผ้าในขนาดใหญ่ด้วยมือข้างขวา ส่วนมือซ้ายหิ้วเครื่องโทรศัพท์กระโดดลงจากรถเดินผ่านผู้คุมทั้งสองที่มองดูด้วยความสงสัย

" เครื่องติดแล้วหรือครับ...คุณคงจะเข้าไปข้างในใช่ไหมครับ "

จิตต์ยิ้มให้ผู้คุมอย่างใจเย็น พูดพลางเดินพลางผ่านเข้าไปด้วยอาการปกติ

" ครับ จานจ่ายสกปรกนิดหน่อย...ผมจะต้องเข้าไปเช็คสายข้างใน สายพันกันอยู่ตลอดเวลาพูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง "

คงจะเป็นด้วยเครื่องแบบพนักงานโทรศัพท์ที่จิตต์สวมอยู่นั่นเอง ที่ทำให้ผู้คุมทั้งสองมิได้ติดใจสงสัยอะไรต่อไป

จิตต์ผ่านช่องประตูเข้าออก เดินทะลุเข้าไปในห้องโถงของตึกศาลอาญา ซึ่งขณะนี้บรรดาเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่บางส่วนกำลังนั่งทำงานกันตามโต๊ะแน่นขนัดไปหมด

จิตต์เดินเข้าไปที่โต๊ะโทรศัพท์ หลังจากอธิบายให้เจ้าหน้าที่เข้าใจในวิธีการบางสิ่งบางอย่างแล้วก็จัดแจงเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์เครื่องเก่าออก ต่อจากนั้นก็เอาเครื่องที่ถือติดมือเข้าไปด้วยต่อกับสายเมนใหญ่ พร้อมกับหันด้านแป้นหมุนซึ่งใหญ่โตผิดปกติเข้าไปทางกลุ่มคน

" อย่าพึ่งใช้โทรศัพท์นะครับ ผมจะออกไปเอาเครื่องมือที่รถข้างนอก...ประเดี๋ยวก็เสร็จครับ "

จิตต์เอ่ยอย่างสุภาพกับเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มแทนคำตอบเป็นทำนองเข้าใจ เขาก็เลยทิ้งโทรศัพท์เครื่องเก่าเอาไว้บนโต๊ะ หิ้วกระเป๋าถือที่หนักอึ้งติดมือออกไปด้วย

โผล่ออกไปนอกห้องก็พอดีรถบรรทุกนักโทษกำลังเลี้ยวข้ามสะพานเข้ามาพอดิบพอดี

ในขณะที่รถบรรทุกนักโทษกำลังถอยหลังเอาส่วนท้ายแหย่เข้าไปในช่องเข้าออกอยู่นั้น รถโฟล์ตู้ทึบซึ่งวิ่งตามมาอยู่ตลอดเวลาก็วิ่งเลยไปทางด้านกระทรวงกลาโหมพอถึงแยกไปศาลเจ้าพ่อหลักเมืองก็กลับรถจอดซุ่มคุมเชิงอยู่ข้างทางนั่นเอง

จิตต์ค่อย ๆ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าผ้าใบ หยิบวัตถุแบน ๆ คล้าย ๆ กับมาตรวัดไฟขึ้นมาถือไว้ในมือแล้ววางกระเป๋าลงข้าง ๆ ตัว สายตามองไปที่ท้ายรถบรรทุกนักโทษคล้ายกับค้นหาบุรุษที่ปรากฏอยู่ในจอโทรทัศน์เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

ผู้คุมทั้งสองคนขยับปืน "แบเรตต้า " ที่สะพายอยู่บนบ่าลงมากระชับอยู่ในซอกแขน แล้วก้าวเท้าออกไปยืนขนาบอยู่คนละด้านของท้ายรถ

ส่วนผู้คุมซึ่งนั่งอยู่ท้ายรถก็จัดแจงไขประตูแล้วดึงบานประตูที่กรุด้วยเหล็กเปิดออกตะโกนปรามนักโทษที่กำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันให้แซดไปหมด

" เฮ้ย ค่อย ๆ หน่อยโว้ย...รู้จักเคารพสถานที่บ้างซีวะ ไอ้ห่า...พวกมึงนี่ฟังภาษาคนไม่ค่อยจะรู้เรื่อวเลยนี่หว่า "

มีเสียงหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้นลั่นรถ ติดตามด้วยเสียงแหบ ๆ จากคนหนึ่งของกลุ่มนักโทษที่อยู่ข้างในสุดร้องตอบออกมา

" ภาษาคนหูของผมไม่ถึงหรอกครับเจ้านาย ถ้าพูดภาษาคุกละก็พอจะฟังออกบ้าง...เฮ้ยหยุดเห่าหอนได้แล้วโว้ย รถทัศนาจรถึงพัทยาแล้ว "

เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวเงียบลงชั่วขณะ จิตต์ใช้มือข้างที่ว่างเลื่อนปุ่มสวิทช์ปุ่มที่อยู่ทางขวามือสุดไปทางซ้ายจนมีเสียงดัง "คริ๊ก" เบา ๆ

แสงไฟสีเขียวพร่างพรายขึ้นมาที่ช่องหน้าปัดพร้อมกับมีเสียงซู่ซ่าของคลื่นวิทยุแทรกเข้ามาเบา ๆ จิตต์ขบกรามแน่น ค่อย ๆ ใช้มือกดปุ่มสีแดงข้าง ๆ หน้าปัดอย่างใจเย็น

"...บึ้ม"

มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นภายในห้องโถงแรงผลักดันของดินระเบิดทำให้อากาศวูบวาบ ควันสีเหลืองเข้มพวยพุ่งออกมาจากจุดระเบิดเหมือนกับท่อแก๊สรั่ว เจ้าควันดังกล่าวเริ่มสาดออกไปรอบทิศ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในรัศมีของมันเมื่อสูดควันดังกล่าวออกไป ก็มีอาการล้มร่วงผล็อยลงกับพื้นเป็นแถว

มันคือควันสลบอย่างแรงที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

เจ้าควันมฤตยูดังกล่าวถูกอัดแน่นอยู่ในตัวเครื่องโทรศัพท์ซึ่งทำหน้าที่เป็นระเบิดเวลาที่อาศัยเครื่องส่งวิทยุจุดชนวนให้ระเบิดตามเวลาที่ต้องการ

จากเครื่องส่งวิทยุแบตเตอรี่แห้ง จิตต์สามารถระเบิดเครื่องโทรศัพท์ได้สำเร็จตามแผนการอย่างสะดวกโยธิน และในขณะเดียวกันควันสีเหืองที่คละคลุ้งอยู่เต็มห้องก็เริ่มลามเลียออกมานอกห้องบ้างแล้ว

จิตต์รีบล้วงมือลงไปในกระเป๋าผ้าใบหยิบหน้ากากไอพิษขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กันนั้นชาติซึ่งกระโดดลงจากตู้ทึบอย่างได้จังหวะจะโคน ก็วิ่งปราดเข้าไปที่ช่องประตูหน้ารถบรรทุกนักโทษ แหย่เจ้าปืนกลกระบอกโตพรวดเข้าไปลั่นไกอย่างใจเย็น

"เปาะ...เปาะ...เปาะ...เปาะ"

นอกจากจะรูปร่างพิกลแล้ว เสียงระเบิดของมันยังพิกลตามออกไปด้วย...ด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาเหมือนกับเสียงหักกิ่งไม้แห้ง ก็เลยไม่ทำให้กลุ่มผู้คุมและนักโทษที่กำลังตกตะลึงกับเสียงระเบิดรู้สึกตัวแต่ประการใด

พลขับรถตาเหลือกโพลง ร่างแอ่นตะกายขึ้นสุดตัวจนศีรษะเกือบถึงหลังคารถแล้วคว่ำหน้าลงซบกับพวงมาลับเลือดทะลักออกมาเป็นสายน้ำ

ชาติใส่หน้ากากป้องกันไอพิษควบจี๋เข้ามาในช่องประตู พร้อมกับกราดปืนเข้าใส่ผู้คุมทั้งสองซึ่งยังยืนเหม่อต่อเหตุการณ์ที่กำลังบังเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนนั้น

"เปาะ...เปาะ...เปาะ...เปาะ"

เสียงดังเหมือนหักกิ่งไม้แห้งกังวานขึ้นอีกครั้งอำนวจของกระสุนปืนขนาด 9 มม. ของปืนกลเก็บเสียงแบบ " เอ็มพี 5 เอ-3 เอสดี." หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ในวงการปืนจารกรรมทั่วโลกว่าเจ้า " เอ-3 " ส่งร่างของสองผู้คุมหมุนคว้างศีรษะหงายเริดขึ้นเบื้องบน ปืนหลุดกระเด็นลงที่พื้น แอ่นตะกายอยู่ชั่วครู่ก็ล้มฮวบกับพื้นซีเมต์ในท่านอนตะแคง เลือดทะลักออกมาแดงฉาน

จิตต์กระชากเจ้า "เอ-3" ออกมาจากกระเป๋าผ้าใบดึงพานท้ายกางออกดังเชะแล้ววิ่งตรงเข้าไปที่ผู้คุมอีกสองคนที่ติดรถมาจากเรือนจำคลองเปรม ซึ่งกำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ท้ายรถ

ความตกใจทำให้ผู้คุมชะตาขาดทั้งสองหันหลังกลับเผ่นขึ้นไปบนรถอีกครั้ง

มันเป็นช่วงจังหวะที่นักโทษเพิ่งจะหายจากการตกตะลึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้นักโทษทั้งหมดเดาเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สัญชาตญาณหนีเอาตัวรอดได้บังเกิดขึ้นในบัดดล นักโทษทั้งหมดก็เลยเฮโลกันทะลักออกมาจากประตูลูกกรงกันเป็นเจ้าละหวั่น

ผู้คุมชะตาขาดทั้งสองก็เลยวิ่งขึ้นไปปะทะกับกลุ่มนักโทษที่พรั่งพรูอย่างช่วยเหลือไม่ได้

นักโทษรูปร่างเหมือนกับยักษ์ปักหลั่น ตัวดำสนิทศีรษะโล้นเลื่อนเป็นมันแผล็บกระโดดล็อคคอผู้คุมคนทางขวามือพร้อม ๆ กันแหกปากตะโกนออกมาสุดเสียง

" ไอ้แสบ ของมึงคนซ้ายมือนี่ล่อมันให้จังหนับไปเลยโว้ย "

ไอ้โล้นตะโกนพลางผลักร่างของผู้คุมลงกับพื้นตรวนซึ่งติดอยู่ที่ขาถูกรูดออกมาข้างหนึ่ง เหมือนกับปาฏิหาริย์โดยไม่มีการรั้งรออะไรทั้งสิ้น ไอ้โล้นใช้ตรวนรัดฉับเข้าไปที่คอหอย ออกแรงดึงจนผู้คุมผู้เคาระห์ร้ายลิ้นจุกปากสิ้นใจอย่างน่าอนาถบนพื้นรถนั่นเอง

ไอ้แสบก้มลงใช้มือสองบิดรอยต่อของโซ่ตรงบริเวณที่ติดกับห่วงกลมซึ่งได้ตะไบเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ที่สุด (จากสินบนที่ให้แก่ผู้คุมในเรือนจำ) ชั่วพริบตาโซ่ตรวนก็หลุดออกจากห่วงอย่างง่ายดาย

ไอ้แสบหยิบปลายโซ่ที่หลุดออกดึงขึ้นมารัดเอาไว้กับเข็มขัดข้างเอว ถีบซ้ายป่ายขวาแหกกลุ่มนักโทษที่กำลังรุมสกรัมผู้คุมอีกคนลงมาจากรถอย่างชนิดลืมตาย

จิตต์ขยับหน้ากากป้องกันไอพิษให้ริมฝีปากพ้นจากท่อกรองอากาศร้องตะโกนสุดเสียง

"เร็ว...พี่โล้น...พี่แสบ...รถอยู่ข้างนอก"

และในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง เจ้าควันมฤตยูก็ลามเลียออกมาจากห้องโถง กลุ่มนักโทษที่กำลังชุลมุนอยู่ท้ายรถสูดควันสีเหลืองเข้าไปเต็มเปา...ทุกคนมีอาการสะดุ้งเฮือกน้ำตาไหลพราก มือทั้งสองยกขึ้นกุมลำคอแล้วแถกไถลร่างกายลงกับพื้นซีเมนต์ด้วยความทรมานอย่างแสนสาหัส

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 3 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 21:29  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19353

คำตอบที่ 72
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 4

ไอ้แสบกับไอ้โล้นยกชายเสื้อขึ้นปิดจมูกเหมือนกับนัดกันเอาไว้ แล้ววิ่งเกาะกลุ่มวกกลับหนีควันมฤตยูออกไปกับนักโทษส่วนหนึ่ง ที่กำลังห้อตะบึงออกจากช่องทางเข้าออกสู่บริเวณภายนอกศาลอาญา ด้วยสัญชาติญาณของการหนีเอาตัวรอด

อิสรภาพคือสิ่งที่ทุกคนปราถนา นักโทษหลายต่อหลายคนที่กำลังแยกย้ายกันหลบหนีอยู่นั้นบางคนมีคดี ติดตัวหลายสิบคดี และแต่ละคดีที่ต้องโทษก็ไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไป บางคนก็เป็นนักโทษที่ต้องคดีปล้นฆ่าเจ้าทุกข์ โทษเท่าที่มองเห็นก็คือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต

ดังนั้นเมื่อสถานการณ์และโอกาสเกิดฟลุคขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน พวกนักโทษก็เลยถือโอกาสสหลบหนีกันเป็นจ้าละหวั่น...หนี...หนี พาตัวเองห้อตะบึงวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต คิดอยู่อย่างเดียวขอให้ห่างจากที่เกิดเหตุให้ห่างเท่าที่จะห่างได้ ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของประชาชนที่กำลังสัญจรอยู่ตามท้องถนน

ชาติและจิตต์ วิ่งตามเพื่อนคู่หูมาติด ๆ มีเสียงรัวเป็นประทัดแตกดังลั่นออกมาจากบริเวณมุมตึกด้านซ้ายสุดของศาลอาญา แนวกระสุนของแบเรตต้าลอดแนวรั้วปะทะเข้ากับร่างนักโทษสองคนที่กำลังวิ่งอยู่ข้างหน้าเข้าอย่างจัง

ร่างของนักโทษหมุนเป็นลูกข่าง แล้วถลาแว็บลงไปกองอยู่กับล้อหลังของรถตู้ทึบ ส่วนอีกคนกระเด็นหวือเข้าไปนอนฟุบอยู่ใต้ท้องรถอย่างพอเหมาะพอเจาะ

ชาติเอียงตัวในลักษณะ " กึ่งซ้ายหัน " ลดฝีเท้าลงนิดนึ่ง ปืน " เอ-3 "กระชับแน่นกับซอกแขน เขาบังคับให้ตัวปืนขนานกับพื้น เหนี่ยวไกพร้อมกับส่ายปืนออกไปเป็นมุมกว้าง ในลักษณะการยิงแบบจู่โจมของหน่วย " คอมแมนโด-กรีน เบเร่ต์ "

กระสุน 9 มม. อันทรงอานุภาพของเจ้า "เอ.-3 " พ่นออกจากลำกล้องเกือบครึ่งแม็ค ฯ ชาติเหนี่ยวไกสาดเม็ดสาคูเหล็กออกไปอีกชุด...พร้อม ๆ กับวิ่งเข้าหารถตู้ทึบอยู่ตลอดเวลา

ร่างของผู้คุมสองคนที่โผล่แว็บออกมาจากมุมตึกของศาลอาญาด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่อับและปลอดภัยจากควันมฤตยูกระเด็นไปคนละทิศละทาง เสียงปืนเงียบเป็นปลิดทิ้ง ประชาชนที่มาเยี่ยมผู้ต้องขังซึ่งติดตามผู้คุมทั้งสองมาดูเหตุการณ์จากบริเวณด้านหน้าของศาลอาญาก็หันหลังกลับวิ่งกันป่าราบปากก็ตะโกนแทบไม่เป็นภาษาคน

" ยิงกันใหญ่แล้วโว้ย...นักโทษหนีหมดแล้วโว้ย "

เล่นเอาทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานศาลและบรรดาญาติมิตรของผู้ต้องขังที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของศาลอาญา พากันวิ่งพล่านไปหมด

ส่วนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวภายในห้องโถงใต้ถุนศาล อีกกลุ่มหนึ่งพรูกันวิ่งออกไปดูเหตุการณ์ยังทิศทางที่ผู้คุมทั้งสองวิ่งออกไปจุดจบนอนเลือดท่วมอยู่ ณ บริเวณมุมตึกเบื้องหน้า

ไอ้แสบกับไอ้โล้น กระโจนพรวดขึ้นไปนั่งหอบแฮก ๆ อยู่ในที่นั่งหน้ารถ น้ำตาไหลพรากด้วยอำนาจของควันมฤตยูในเวลาติด ๆ กัน ชาติและจิตต์ก็ตาลีตาเหลือกวิ่งขึ้นมานั่งแออัดยัดเยียดอยู่กันบนที่นั่งหน้ารถนั่นเอง

"ฉิบหายแล้วลูกพี่...เสียงปืนกลดังลั่นเป็นประทัดแบบนั้น แผนแตกแน่ "

จิตต์พูดพลางเปลี่ยนแม็กกาซีนชนิดพ่วงด้วยความชำนิชำนาญ

ชาติกระแทกเท้าลงที่คลัช มือตบเกียร์เหยียบคันเร่งพารถบรรทุกพุ่งออกจากที่จอด ล้อหลังบดขยี้ร่างของนักโทษที่นอนอยู่ใต้ท้องรถเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นถนน

รถตู้มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ทะลุออกไปยังบริเวณท้องสนามหลวงด้วยความเร็วสูง

" กระทิงแดง...ขับไปตามแผนเดิม...ข้างหลังว่าง "

เสียงวิทยุดังแว่ว ๆ ออกมาจาก " ปากพูดหูฟัง "ชาติถอดหน้ากากป้องกันไอพิษออกจากจมูก แล้วโยนโครมลงไปที่พื้นรถ ขบกรามแน่น คำรามออกมาเสียงลึก ๆ อยู่ในลำคอ

" สวย...สวยแน่ ไอ้โล้น ลงอั้วมีกองระวังหลังแบบนี้ ไอ้หลามขืนตามมาเป็นได้ฟัดกันสนุกมือแน่ เฮ้ย จิตต์ เอาคีมที่อยู่ในซอกประตูนั่น งัดตรวนให้ไอ้สองคนนั่นก่อนโว้ย "

ไอ้โล้นกับไอ้แสบยกขาที่ติดตรวนขึ้นมาชันเข่าจิตต์ใช้คีมงัดอยู่ชั่วครู่ ตรวนก็หลุดออกจากห่วงอย่างง่ายดาย ทั้งสองโยนตรวนไปที่พื้นรถ รูดขากางเกงขายาวที่ถลกขึ้นมาเหนือเข่าลงไปปิดห่วงเหล็กที่ยังคาข้อเท้าอยู่ทั้งสองข้าง ไอ้แสบร้องห้ามออกมาเบา ๆ เมื่อมองเห็นจิตต์ขยับคีมที่ถืออยู่ในมือ

" ขอบใจจิตต์ ห่วงเหล็กปล่อยมันเอาไว้ก่อน...ไฟแดง ลูกพี่ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้แสบหันไปบอกชาติด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ในจังหวะเดียวกันนั่นเอง เสียงไซเรนของฉลามบกก็ดังกังวานขึ้นอย่างโหยหวน เสียงอันเยือกเย็นของมันบาดจิตบาดใจเข้าไปในสมอง

" กระทิงแดง ระวัง ฉลามบกสองคันเปลี่ยนแผนใช้แผนห้า โชคดี "
วิทยุจากรถโฟล์คออกคำสั่งมาอีกครั้ง ชาติมองไปที่กระจกหลังภาพของฉลามบกปรากฏแวบเข้าทางเบื้องหลังในระยะห่างไม่เกิน 500 เมตร

และที่ทางแยกเบื้องหน้า ระหว่างกรมประชาสัมพันธ์กับท้องสนามหลวง การจราจรที่แออัดยัดเยียดก็กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องกัน มิหนำซ้ำไฟแดงก็ยังปรากฏหรามองเห็นถนัดตา

ชาติหัวเราะฮึ ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปที่แผงหน้าปัดผลักสวิทช์ที่อยู่อันล่างสุดไปทางซ้ายมือ

ทันใดนั้นเองเสียงไซเรนที่โหยหวน เหมือนกับรถฉลามก็ดังกังวานขึ้นจากลำโพงที่ซ่อนอยู่บนหลังคาตู้ทึบไฟสีแดงที่กระพริบอยู่บนหลังคาเริ่มหมุนส่งประกายสีแดงที่แสบตาออกไปรอบทิศ

จิตต์หัวเราะก๊าก ผลักสวิทช์เครื่องรับส่งวิทยุไปที่ตำแหน่งเครื่องขยายเสียง ยกปากพูดขึ้นมาถืออยู่ในมือแล้วตะโกนกรอกลงไปเต็มเสียง

" รถทุกคันโปรดทราบ รถทุกคันโปรดทราบ ระตู้ทึบคันนี้มีวัตถุระเบิดแรงสูงที่อาจระเบิดขึ้นมาทุกขณะ เพื่อความปลอดภัยโปรดหยุดรถของท่านเอาไว้ก่อน ขอย้ำอีกครั้ง โปรดหยุดรถของท่านเอาไว้ก่อน "

เสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ สร้างความตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวงให้กับบรรดาประชาชนที่กำลังขับรถอยู่ในเส้นทางดังกล่าว ยิ่งได้ยินเสียงไซเรน และมองเห็นไฟกระพริบเข้าอีกด้วยก็เลยพากันเบรคจนตัวโก่ง เกิดอุบัติเหตุชนกันชุลมมุนวุ่นวายไปหมด

ไอ้โล้นซึ่งนั่งเงียบอยู่ตลอดเวลา แหกปากหัวเราะขึ้นมาสุดเสียง แล้วกระตุกไมโครโฟนจากมือจิตต์ขึ้นไปประกาศเป็นภาษามาเลย์ด้วยสำเนียงเร็วปรื๋อ แถมสวดขอพรพระเจ้าดังลั่นไปตลอดทาง

ชาติอมยิ้มเหยียบคันเร่งเกือบมิด พารถตู้ทึบ เลี้ยวซ้ายห้อแน่บขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้าด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 100 กม. ต่อชั่วโมง

" กระทิงแดง สละรถใหญ่ตามแผนฉลามตามขึ้นไปแล้ว "

จิตต์กระชากคันเหล็กที่ยื่นออกมาจากใต้เบาะรถทันใดนั้นเอง ผนังที่กั้นระหว่างห้องโดยสารด้านหน้ากับตู้ทึบก็เปิดช่องทะลุเข้าถึงกัน

ภาพของรถสปอร์ตสีแดงเพลิง ที่จอดซุกซ่อนอยู่ข้างในตู้ทึบทำความตื่นตาตื่นใจให้กับไอ้โล้นจนถึงกับอ้าปากหวอ

เพียงแว่บเดียวที่มองเห็นลักษณะรูปร่างของมัน ไอ้โล้นก็บอกตัวเองได้ทันทีว่า เจ้ารถสีแสบลูกนัยน์ตาคันนั้นก็คือเจ้าวิหคสายฟ้า " มาเซราตี้ " รถแข่งชั้นเยี่ยมของโลกนั่นเอง

ประตูด้านท้ายของ "มาเซราตี้ " ซึ่งอยู่ติดกับเก้าอี้เบาะด้านหน้าของรถตู้ทึบถูกเปิดอ้าออกในลักษณะที่บานประตูถูกพับเลื่อนเก็บขึ้นไปซ่อนเอาไว้บนหลังคาแบบสปอร์ตที่หนาเตอะนั้น

จิตต์พาไอ้โล้นและไอ้แสบคลานเข้าไปในรถสปอร์ตแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ทันที

เครื่องยนต์ " มาเซราตี้ " ครางกระหึ่ม เสียงของชาติดังแว่ว ๆ อยู่ที่ลำโพงข้างหน้าปัด

" จิตต์ อั๊วจะสละรถเมื่อถึงกลางสะพาน ขณะนี้ไอ้หลามเกือบจะถึงตีนสะพานข้างล่างแล้ว พออั๊วคลานเข้าไปให้ลื้อออกรถทันที โชคดีโว้ย "

พอพูดจบชาติก็กดปุ่มไฮโดรลิคที่แผงหน้าปัดและมันเป็นจังหวะเดียวกับที่รถตู้ทึบเริ่มลงจากส่วนที่สูงที่สุดของสะพานพระปิ่นเกล้าพอดี จากลักษณะดังกล่าวรถฉลามบกที่วิ่งตามมาจะไม่มีวันเห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นรถตู้ทึบเลยแม้แต่นิดเดียว

แท่งเหล็กที่เปรียบเสมือนคานรับน้ำหนักค่อย ๆ โผล่ยื่นออกไปจากตัวรถด้านท้ายและในจังหวะที่สัมพันธ์กันแผงกั้นตู้ทึบด้านหลังที่ปิดช่องทางขึ้นลงของรถ "มาเซราตี้ " อยู่ตลอดเวลาก็ค่อย ๆ เลื่อนตัวเองลงไปประกบกับแท่งเหล็กที่ยื่นค้ำอยู่ในลักษณะเป็นมุม 45 องศาจากพื้นสะพาน

แผงกั้นหน้ารถเปิดออกเรียบร้อยแล้ว " มาเซราตี้ " ก็อยู่ในสภาพที่จะเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลา ชาตินั่งกุมพวงมาลัยแน่น สายตาชำเลืองกระจกหลังอย่างกระวกกระวายใจ

ชาติตั้งชนวนระเบิดเวลาที่เครื่องวิทยุ พร้อมกับขยับพวงมาลัยให้ขืนมาทางขวาเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเบาะเก้าอี้ในขณะที่ก้มตัวลงเตรียมที่จะมุดเข้าไปในประตูด้านท้ายของเจ้า "มาเซราตี้ " ก็ยังอุตส่าห์เอื้อมมือไปปรับพวงมาลัยรถอีกครั้ง

ปล่อยมือจากพวงมาลัยของรถตู้ทึบ ชาติก็พุ่งตัวเองเข้าไปในช่องประตูท้ายของรถสปอร์ตพร้อม ๆ กับร้องตะโกนให้สัญญาลูกน้องคู่ใจ

"ไปเล้ย...จิตต์"

" มาเซราตี้ " พุ่งพรวดออกจากที่จอดรถ ส่วนหน้าของมันหล่นวูบลงไปตามทางลาดเบื้องหน้าจิตต์เหยียบคันเร่งลงไปอีก เจ้าวิหคสายฟ้าหลุดจากพื้นสะพานไฮโดรลิค ล้อทั้งสี่สัมผัสกับพื้นซีเมนต์ของสะพานพระปิ่นเกล้าในลักษณะที่เสียอาการทรงตัวเล็กน้อย

จิตต์ปราดรถหลบเข้าไปในช่องจราจรเลนซ้ายมือแล้วเหยียบคันเร่งพาเจ้ามาเซราตี้วิ่งย้อนกลับเข้าฝั่งนคครหลวงและสวนกลับรถฉลามบกทั้งสองคันที่วิ่งตามมาบนกึ่งกลางสะพานนั่นเอง

รถตู้ทึบที่ปราศจากพลขับวิ่งส่ายออกไปทางขวามือรถราที่วิ่งสวนเข้ามาต่างพากันหักหลบกันอย่างตาลีตาเหลือกพร้อมกันตะโกนด่าพ่อล่อแม่กันให้เอ็ดอึงไปหมด

ไม่มีอะไรหยุดยั้งมันได้อีกแล้ว เจ้ารถตู้ทึบพุ่งเข้าชนราวสะพานหักระเนนระนาด ความแรงของมันส่งตัวรถที่หนักอึ้งลอยละลิ่วลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางความตื่นตะลึงของประชาชนที่มองเห็นเหตุการณ์

รถตู้จมหายลงไปในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ร่องรอยที่พอจะเห็นก็คือแผ่กระจายของคลื่นและพรายน้ำที่ผุดขึ้นมาเป็นระลอก

ฉลามบกวิ่งเข้ามาจอดในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ การจราจรบนสะพานพระปิ่นเกล้าถูกปิดโดยฉับพลัน อึดใจต่อมา รถฉลามบกจากจุดต่าง ๆ ก็เปิดไซเรนวิ่งอ้าวเข้ามาจอดสมทบอีกหลายคัน

ในขณะที่กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจดูสภาพของราวสะพานที่หักระเนนระนาดอยู่นั้น

เสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนกับลูกระเบิดทำลายใต้น้ำ ก็ได้ดังกระหึ่มขึ้นมาจากพื้นน้ำเบื้องล่าง

กระแสน้ำถูกแรงอัดของระเบิดทำลายแรงสูงรวมตัวกันพุ่งขึ้นมาเป็นลำเหมือนพายุหมุนคลื่นขนาดยักษ์หนุนเนื่องแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง อำนาจของมันทำให้ขบวนเรือโยงที่แล่นตามกันเป็นงูกินหางพลิกคว่ำลงกับพื้นแม่น้ำเหมือนกับถูกมือยักษ์จับกระชาก

กว่าเหตุการณ์จะคืนเข้าสู่ภาวะปกติก็เล่นเอาทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่อกสั่นขวัญแขวนไปตาม ๆ กัน

เป้าสำหรับซ้อมยิงขนาดมาตราฐานห้าเป้า ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าในลักษณะหันส่วนข้างเข้าหาผู้ยิง

ห่างจากเป้าออกมาประมาณ 25 เมตร ได้ถูกจัดเอาไว้เป็นสถานที่ยิง ด้วยการจัดออกเป็นสัดส่วนอย่างเป็นระบียบเรียบร้อยเป็นล็อค ๆ แต่ละล็อคมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกซ้อมยิงปืนอย่างครบครัน

แสงไฟที่สว่างไสวอยู่บนนเพดานได้รับการออกแบบให้อยู่ในที่ที่ไม่เป็นปัญหากับสายตาในขณะยิงปืน

มันเป็นห้องใต้ดินขนาดใหญ่ที่ได้ลงทุนสร้างด้วยจำนวนเงินอย่างมหาศาล เพื่อฝึกมือปืนขององค์การ ซี.ไอ.เอ. โดยเฉพาะ

ไอ้โล้น ไอ้แสบ อดีต "เพชฌฆาตรับจ้าง" สมรภูมิลาวซึ่งได้รับการช่วยเหลือออกมาจากลหุโทษ เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมายืนตรวจดูความเรียบร้อยของปืนพกยี่ห้อ " แฮมเมอร์รี่ " ซึ่งเป็นปืนที่ใช้ยิงแข่งขัน "เป้าพลิก" อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถูกกระสุนปืนที่ไม่แน่ใจถูกคัตออกไปจากกล่องหลายต่อหลายนัด ห่างออกไปเล็กน้อย พ.ต. แจ็คสัน นายทหารสรรพาวุธของ ซี.ไอ.เอ. ยืนกอดอกควบคุมการยิงอย่างใกล้ชิด

"มิสเตอร์แสบ หนึ่งเดือนที่คุณโดนคุมขังอยู่ในเรือนจำ จากรายงานของแพทย์แสดงให้เห็นว่าสุขภาพของคุณอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เหมือนเดิมอาชีพมือปืนรับจ้างที่เพชรบุรีคงจะไม่ทำให้ฝีมือปืนของคุณตกลงไปมากนัก ผมมีหน้าที่ฝึกให้คุณยิงปืนถึงแม้คุณจะไม่เคยยิงเป้าชนิดนี้มาก่อนผมก็สามารถที่จะฝึกให้คุณมีความชำนาญได้ ในเวลาอันรวดเร็ว เป้านิ่งที่คุณยิงคะแนนเต็มเมื่อสักครู่นี้แสดงให้เห็นว่าคุณมีพรสวรรค์ในทางนี้เป็นพิเศษถ้าพร้อมยิงได้เลย..."

ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันจาก พ.ต. แจ็คสัน ครูปืน ทำให้ไอ้แสบหันกลับมายิ้มให้ แล้วกล่าวตอบออกไปด้วยภาษาอังกฤษอย่างกระท่อนกระแท่น

" หนึ่งเดือนสนิมไม่จับมือหรอกครับ อาจารย์ "

" เฮ้ย ไอ้แสบมึงไปหัดสปิคมาจากไหนวะ อีตอนอยู่เมืองลาวกูเห็นมิงใช้ภาษาใบ้ยัน ไม่เลว มึงนี่ชักจะก้าวหน้าใหญ่นะมึงนะ "

ไอ้โล้น ซึ่งยืนคัดลูกกระสุนอยู่ใกล้ ๆ " เย้า " ออกมาด้วยความเป็นกันเอง ไอ้แสบหันมาค้อนไม่ตอบว่าอะไรหันกลับไปหยิบที่ครอบหูขึ้นมาสวมศีรษะ บรรจุลูกกระสุนลูกกรดเข้าไปในแม็คกาซีนเพียงห้านัดแล้ว ยัดเข้าไปในตัวปืนที่ปากลำกล้องยาวไม่น้อยกว่าหกนิ้วฟุต ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ทาบนิ้วมือทั้งห้าลงบนร่องของด้ามปืนที่ออกแบบเป็นพิเศษ

ขยับตัวออกไปยืนในช่องที่มีแสงวงกลมล้อมรอบกะสายตาไปที่เป้าอยู่ชั่วครู่ จัดตำแหน่งของเท้าทั้งสองให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด แล้วทิ้งมือที่ถือปืนลงข้าง ๆ ตัว พยักหน้าให้กับพนักงานควบคุมเป้าที่นั่งคุมสวิทช์อัตโนมัติอยู่ทางซ้ายมือ

" พรึ่บ "

สวิทย์ไฟฟ้าดีดเป้ารูปขวดทั้งห้าตัวที่ตั้งขวางอยู่พลิกกลับมาอยู่ในลักษณะเต็มตัวอย่างรวดเร็ว

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 4 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 22:32  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19354

คำตอบที่ 73
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 5

ไอ้แสบขยับปืนขึ้นมาเสมอแนวไหล่ เหมือนกับเป็นอัตโนมัติ ช่วงแขนถูก " ล็อค " ตามวิธีการยิง " เป้าพลิก " กระสุนนัดแรกบรรจงปล่อยไปที่เป้าตัวแรกอย่างนิ่มนวล และในช่วงเวลาติด ๆ กัน ไอ้แสบก็ขยับมือเลื่อนออกไปยิงเป้าตัวที่สอง, สาม, สี่ และห้าตามลำดับพร้อม ๆ กับเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปเป็นจังหวะ พอยิงเป้าตัวสุดท้ายเสร็จ ไอ้แสบก็ลดปืนลงแนบกับลำตัวยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก็มีเสียงดัง " พรึบ " เป้าทั้งห้าตัวพลิกกลับไปอยู่ในลักษณะขวางตามเดิม

พนักงานตรวจเป้าเริ่มขานคะแนนการยิงของไอ้แสบทางเครื่องขยายเสียงด้วยภาษาอังกฤษที่ช้าและชัดถ้อยชัดคำ

" ปืนยิงเร็ว 5 นัด เวลา 8 วินาที คะแนนเต็ม 50 ยิงได้ 50 เวลาที่ยิงจริง 4 วินาทีครึ่ง "

" ฝีมือของคุณยังคงเส้นคงวาเหมือนเดิม มิสเตอร์แสบ เริ่มยิงชุดที่สองในระบบ 6 วินาที "

พ.ท. แจ็คสัน อาจารย์ปืนของ ซี.ไอ.เอ. เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้แสบสูดลมหายใจเข้าปอด คลายปุ่มล็อคดึงแม็กกาซีนเปล่าออกมาบรรจุลูกกระสุนชุดใหม่เข้าไปด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว

การยิงครั้งที่สองผ่านไปอีก ผลการยิงก็ออกมาในรูปแบบเดิมคือ 50 คะแนนเต็ม แต่ทว่าเวลาในการยิงลดลงเหลือเพียง 4 วินาทีถ้วน ๆ

" ยอดเยี่ยม...มิสเตอร์แสบ ครั้งต่อไปเป็นครั้งสุดท้ายในระบบ 4 วินาที ถ้าเป็นไปได้ขอให้คุณยิงให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณจะยิงได้โดยไม่คำนึงถึงการ "มิส" (กระสุนออกนอกตัวเป้า) แล้วผมจะหมายเหตุเอาไว้ใน "สกอร์" ของคุณ "

ในที่สุดช่วงการยิงปืนที่นักยิงปืนเป้าพลิกกลัวนักกลัวหนาก็ได้มาถึง สี่วินาทีที่ต้องอาศัยความรวดเร็วเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนให้เข้าเป้าก่อนที่เป้าจะพลิกกลับ นักเลงปืนมีหวังยิงพลาดเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ไม่มีอะไรที่จะเป็นของยากสำหรับมือปืนอาชีพที่เคยผลาญลูกปืนเป็นตัน ๆ อย่าง "น้อย...นกไน" หรืออีกชื่อหนึ่งที่ชาวเพชรบุรีคุ้นหูว่า "ไอ้แสบ" อีกต่อไป เขาใช้เวลาเพียง 1 1/2 วินาที ก็สามารถทะลวงจุดศูนย์กลางของเป้าคอขวดทั้งห้าเป้าพรุนไปหมดด้วยคะแนนเต็ม 50 คะแนน

" มิสเตอร์แสบ 50 คะแนนในระบบ 4 วินาที ไม่ใช่ของแปลกประหลาดอะไรนักสำหรับมือปืนที่ฝึกอย่างจำเจ แต่สถิติการยิงเร็ว "หนึ่งวินาทีครึ่ง" ของคุณนี่ซิ เป็นปัญหา...มิสเตอร์แสบ คุณทำลายสถิติการยิงเร็วขององค์การ ซี.ไอ.เอ. ลงได้อย่างงดงามที่สุด ผมขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจในความสำเร็จของคุณ

ในขณะที่พูด พ.ท. แจ็คสัน ก็ยื่นมือออกไปสัมผัสมือลูกศิษย์ที่เพิ่งจะเสร็จการยิงทำลายสถิติการยิงเร็วขององค์การ ซี.ไอ.เอ. ลงอย่างสด ๆ ร้อน ๆ

" ขอบคุณมากครับ อาจารย์ เท่าที่ผมยิงได้คะแนนขนาดนี้ก็คงจะเป็นด้วยผมสมมุติให้เป้าเหล่านั้นเป็นคน คนหนึ่งละกระมัง...เพราะตามปกติ ฝีมือยิงเป้าของผมก็มักจะ "ด้อย" กว่าคนอื่น ๆ ในทีมงานของเราไม่ใช่หรือครับ ? "

" น้อย นกไน " หรือ " ไอ้แสบ " เพชฌฆาตรับจ้างของขบวนการ ซี.ไอ.เอ. ย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

"โอ.เค. มิสเตอร์แสบ ฝีมือยิงเป้าของคุณมักจะด้อยกว่าคนอื่น ๆ ในทีมงานของพวกเราจริง แต่ในทางปฏิบัติงานจริง ๆ แล้ว คุณฝีมือในทางฆ่าที่เยี่ยมยอดที่สุดทุกนัดเหมือนกับผีจับยัด รอยกระสุนที่ทะลวงเข้าไปที่บริเวณหน้าผากของแต่ละศพเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ฝีมือในเชิงปืนของคุณ " เหนือ " กว่าทุก ๆ คนที่เคยผ่าน " คอร์ส " การฝึกของผมอย่างสิ้นเชิง...คุณเป็นลูกศิษย์ที่ผมภาคภูมิใจที่สุด "

ไอ้แสบเลิกคิ้ว ทำท่าเหมือนกับจะพูดอะไร ออกมา แต่แล้วก็นิ่ง ทอดสายตาเหม่อมองดูแนวเป้าด้วยท่าทางชินชา อาจารย์ปืนก็เลยพูดต่อไปอีกอย่างช้า ๆ

" คุณก็เป็นมือปืนอาชีพ คลุกคลีกับปืนทุกชนิดโดยถือเป็นอาหารประจำวัน คุณเคยห้ำหั่นชีวิตคนมามาก คนที่คุณฆ่าก็มีทั้งคนดีและคนเลว ผมเสียอีกที่เกิดมาไม่เคยฆ่าใครซักคน ชีวิตของผมเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังจากได้เหรียญทองในการแข่งขันยิงปืนในกีฬาโอลิมปิคที่กรุงแม็กซิโก "

พ.ท. แจ็คสันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ...ไอ้แสบหันกลับมาสบตาอาจารย์ปืนพร้อมกับระบายยิ้มด้วยใบหน้าที่อ่อนวัยเหมือนกับทารก

" เล่าต่อไปเถิดครับอาจารย์ คนที่มีอดีตอันน่าภาคภูมิใจเหมือนกับอาจารย์รู้สึกว่าจะหาได้ยากนักในปัจจุบัน ขอให้ลูกศิษย์ได้ทราบความสามารถในเชิงปืนของแชมป์โอลิมปิค ซึ่งเราทุกคนยอมรับว่าเป็นแชมป์โลกในปัจจุบันผมจะภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ถ้าอาจารย์จะกรุณาเล่าอดีตชีวิตของอาจารย์ต่อไป "

ไอ้แสบหยอด " ยาหอม " ให้อาจารย์ปืนพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นท้าวขอบโต๊ะ สายตาทั้งคู่มีแวววิงวอนจนสังเกตเห็นได้ชัด

" ผมนอนลูบคลำเหรียญทองโอลิมปิคอยู่ในค่ายพักนักกีฬา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีโทรศัพท์จากภายนอกต่อตรงเข้ามาถึงผมด้วยข้อเสนออย่างง่าย ๆ พร้อมด้วยเงินเดือนอย่างมหาศาล ตอนนั้นผมยังตัดสินใจอะไรไม่ถูก...ขอเวลาคิดเดือนหนึ่ง พอตอนเช้ามืดตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้ว่ามือมืดที่ไหนเอาเงินมาวางไว้ที่หน้าหัวนอนของผมถึงสามหมื่นดอลล่าร์พร้อมด้วยจดหมายขู่เอาไว้ด้วยว่า "รีบตัดสินใจทำงานกับ ซี.ไอ.เอ. เสียเดี๋ยวนี้ แล้วชีวิตของคุณจะปลอดภัย ! " นับแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ ผมก็ต้องทำงานอยู่กับหน่วยงานที่นี่โดยตลอดมา การฆ่าคนไม่ใช่ของสนุก ผมดูบุคลิกของคุณแล้วมิสเตอร์แสบ ผมไม่เชื่อเลยจริง ๆ ว่า คุณสามารถเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยค่าจ้างเพียงสองร้อยบาทต่อคน "

ประโยคสุดท้าย พ.ท. แจ็คสัน ยิงคำถามให้กับลูกศิษย์อย่างชนิดไม่ยอมให้ตั้งตัว

แววตาของไอ้แสบกระด้างขึ้นในฉับพลัน กรามทั้งคู่ถูกบดเป็นสันนั้นเหมือนกับจะบังเกิดการกดดันขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน น้ำเสียงที่พรั่งพรูออกมาผิดแปลกไปจากคนเดิมอย่างสิ้นเชิง

" อาจารย์เข้าใจผิด...ซี.ไอ.เอ. อาจจะได้ประวัติของผมไปด้วยข้อมูลที่ผิดพลาดไปจากความจริง...ผมเคยฆ่าคนมามาก แต่ไม่เคยได้รับค่าจ้างในจำนวนสองร้อยบาทต่อคน อย่างต่ำที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นสองร้อยดอลล่าร์ "

ถ้าผมจำไม่ผิดกรณี "นายแสง" หัวหน้านักศึกษาที่ผมยิงตายที่สะพานเหลือง อาจารย์ก็คงทราบดีอยู่แล้วว่า ซี.ไอ.เอ. ต้องจ่ายผมถึงหนึ่งแสนบาท แต่อย่าลืมนะครับผมไม่ใช่เครื่องจักรที่ไม่รู้จักความกลัว งานฆ่าคนที่ผมเคยผ่านมาแต่ละครั้ง ผมเคยกลัวจนเหงื่อท่วมตัว ช่วงวินาทีที่เหนี่ยวไกเหมือนกับช่วงเวลาที่ตกนรก แต่ผมจำเป็นต้องทำ ทำเพื่อความอยู่รอดของชีวิตผมเอง อาจารย์ก็รู้ซึ้งแล้วไม่ใช่หรือครับว่า อำนาจดอลล่าร์มันมีอิทธิพลเพียงไร ? แม้แต่อาจารย์เองก็ยังกลายเป็น " ส่วนหนึ่ง " ของหน่วยงานนี้ไปด้วยความเต็มใจไม่ใช่หรือครับ ?

ประโยคสุดท้าย ไอ้แสบย้อนถาม พ.ท. แจ็คสัน ด้วยคำถามที่เหมือนกับจะ " ด่า " อาจารย์ปืนของ ซี.ไอ.เอ. อยู่ในที

" ทุกคนที่มาฝึกกับผมล้วนแล้วแต่ยิงปืนได้ขนาดชั้น " เอ๊กซเปอร์ท " แต่ทุกวันนี้ทะเบียนประวัติของมือปืนเหล่านั้นถูกประทับตราด้วยอักษรสีแดงว่า " สูญหาย " ผมเป็นห่วงคุณ มิสเตอร์แสบ คุณเป็นนักเลงปืนที่มีแววจะโด่งดังในอนาคต "

" ขอบคุณครับ อาจารย์ มือปืนของ ซี.ไอ.เอ. เท่าที่ " สูญหาย " ไปในระหว่างปฏิบัติงานในภูมิภาคเอเชียอาคเน่ย์ ส่วนมากจะเป็น " มือปืนกระดาษ " ขอประทานโทษที่ผมพูดพาดพิงถึงมือปืนยิงเป้าว่าเป็นมือปืนกระดาษเพราะตามเหตุที่เป็นจริงแล้ว มือปืนกระดาษส่วนมากมักชอบคุยฟุ้งว่ายิงแม่นอย่างโน้น อย่างนี้ แถมแสดงภูมิรู้ในกลไกอาวุธปืนทุกชนนิดอย่างเชี่ยวชาญจนกรมสรรพาวุธแทบจะจ้างเอาไว้เป็นวิศวกรปืน เมื่อซี.ไอ.เอ. ตกหลุมพรางจ้างเข้ามาเป็นมือปืน อาจารย์ครับ...ไอ้มือปืนซังกะบ๊วยใจปลาซิวเหล่านี้ใจไม่ถึงหรอกครับ จะฆ่าคนแต่ละครั้งก็มีบทบาทเหมือนกับพระเอกหนังไทย เวลาพกปืนก็ต้องโชว์ให้ชาวบ้านเขารู้ว่าตูมีปืนก็เลยโดนเก็บไปตามระเบียบ ขอให้อาจารย์รับทราบไว้ด้วยว่า ในบางครั้งผมอาจจะปฏิบัติการทุก ๆ อย่างเพื่อเงินสำหรับครั้งนี้ ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่รู้แผนการของหน่วยเหนือดีนัก แต่เท่าที่ประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันของประเทศแล้วรู้สึกว่าผมจะต้องมีงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อีกแน่ ๆ เพื่อราชบัลลังก์และความอยู่รอดของประเทศชาติ ไอ้มือปืนรับจ้างเดนตายหยั่งผมพร้อมแล้วที่จะตายเหมือนหมาข้างถนนตายเยี่ยงวีรบุรุษนิรนามที่ไม่คำนึงถึงลาภยศใด ๆ ทั้งสิ้น "

สองสามประโยคสุดท้าย ไอ้แสบคำรามออกมาสุดเสียงด้วยความลืมตัว และพร้อม ๆ กันนั้น ไอ้โล้นซึ่งยืนเอียงคอฟังอยู่ใกล้ ๆ ก็แหกปากร้องเพลง " หนักแผ่นดิน " ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เล่นเอาอาจารย์ปืนของ ซี.ไอ.เอ.ถึงกับอ้าปากหวอด้วยความสนเท่ห์ใจ

" เพลงอะไร...มิสเตอร์โล้น "

ไอ้โล้นหยุดร้องเพลงหันกลับมาตอบเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ

" หนักแผ่นดิน - อาจารย์ ขณะนี้กำลังฮิตขนาดหนักขนาดผมกับไอ้แสบอยู่ในคุกก็ยังต้องร้องกันสามเวลาก่อนอาหาร ใคร " ขวา " จัด ถ้าไม่รู้จักเพลง " หนักแผ่นดิน " ละก็เชยตายห่า...ถ้า ซี.ไอ.เอ. สนใจจะแปลเป็นภาษาอังกฤษละก็บอกผมนะครับ-อาจารย์ "

พอพูดจบทั้งไอ้โล้นและไอ้แสบต่างแหกปากร้องเพลง " หนักแผ่นดิน " ดังสนั่นคับห้องใต้ดิน เล่นเอาพนักงานตรวจเป้าซึ่งยืนอยู่ในซอกทางเดินข้าง ๆ ถึงกับหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่

" พอ...พอแล้วครับ ผมมีเวลาน้อยเต็มทีสำหรับพวกคุณ มิสเตอร์โล้น โปรดเข้าประจำที่ล็อคยิงถัดไป "

พ.ท. แจ็คสัน ตัดบทขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้ " อับดุล รามาน " หรือไอ้โล้นเข้าประจำที่ในล็อคยิงถัดไป

ไอ้โล้นหันหลังก้าวสวบ ๆ เข้าไปที่โต๊ะบนล็อคที่สองแล้วเอื้อมมือหยิบปืนเก็บเสียง "เอ-3" ขึ้นมากระชับเอาไว้ในซอกแขนมือข้างซ้ายเอื้อมลงไปจับแม็คกาซีนแบบพ่วงติดต่อกันขยับดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือขึ้นมาจับท่อเก็บเสียงที่ครอบอยู่บน " ครอบรางปืน " ด้วยท่าทางและลักษณะการยิงแบบ " คอมแบท " สายตาทั้งคู่จ้องแน๋วไปยังเป้าทั้งสิบที่ตั้งขวางอยู่ลิบ ๆ เบื้องหน้า

" พอเริ่มสัญญาณยิง ให้คุณยิงเป้าทั้งสิบด้วยระบบ " เซมิ-ออโต" (กึ่งอัตโนมัติ) ใช้กระสุน 30 นัด กำหนดให้โดนเป้าละ 3 นัด โดยเคลื่อนที่เข้าหาเป้าอยู่ตลอดเวลา พอถึงกำหนด 30 วินาที เป้าจะพลิกกลับ คราวนี้คุณจะมีเวลาเปลี่ยนแม็กกาซีน 2 วินาที ก่อนที่เป้าจะพลิกกลับมาอีกครั้งหนึ่ง การยิงครั้งสุดท้ายในการฝึกวันนี้ก็คือ คุณวิ่งผ่านเป้าทั้งสิบแล้วยิงด้วยระบบ "ฟลู-ออโต" (อัตโนมัติเต็มตัว) เข้าใส่เป้าทั้งหมด 30 นัด ผลการยิงอย่าพยายามให้หลุดจาก "จุดตาย" ซึ่งได้ทำเครื่องหมายเอาไว้แล้วบนเป้านั้น พร้อมแล้วให้สัญญาณได้ "

พ.ท. แจ็คสัน อธิบายการใช้ปืนกลมือเก็บเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไอ้โล้นจ้องเขม็งไปยังแนวเป้าซึ่งอยู่ห่างออก
ไปประมาณ 60 เมตร แล้วยกมือซ้ายชูขึ้นเหนือศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดพร้อมกับลดมือลงในอาณัติสัญญาณพนักงานตรวจเป้าทันที

"พรึ่บ"

เสียงดังเหมือนกับร่มชูชีพกินลมดังลั่นอยู่เบื้องหน้าเป้าสิบตัวสีดำสนิทพลิกวูบมาตั้งหราอยู่เบื้องหน้า มองเห็นขอบเส้นสีขาวที่ล้อมรอบ "จุดตาย" บนตัวเป้าอย่างถนัดชัดเจน

ไอ้โล้นก้าวเท้าสืบไปข้างหน้า แล้วเหนี่ยวไกปืนเป็นจังหวะสามนัดซ้อน ๆ เข้าหาเป้าตัวที่หนึ่งพร้อม ๆ กับเคลื่อนที่เข้าหาตัวเป้าตลอดเวลา จากเป้าตัวที่สอง, สาม, จนกระทั่งถึงเป้าตัวที่สิบ ไอ้โล้นใช้เวลาในการยิง30 วินาที พอดิบพอดี เท่ากับเวลาที่ พ.ท. แจ็คสันกำหนดเอาไว้

"พรึ่บ"

เป้าทั้งสิบพลิกกลับไปตั้งขวางอยู่ในตำแหน่งเดิมไอ้โล้นคลายปุ่มแม็กกาซีนเปล่าออก พลิกข้อมือเอาก้นแม็กกาซีนซึ่งพ่วงต่อเอาไว้ด้วยสก๊อตช์เทปยัดผลั้วะเข้าไปในช่องเดิมอย่างรวดเร็ว ซึ่งพร้อม ๆ กันนั้น เป้าทั้งสิบตัวก็พลิกกลับมาในลักษณะหน้าตรงพอดิบพอดี

ไอ้โล้นใช้หัวแม่มือเลี่อนปุ่มบังคับการยิงไปที่ตำแหน่ง "ฟลู-ออโต" แล้วกึ่งซ้ายหันออกวิ่งเหยาะ ๆ ผ่านเป้าทั้งสิบในลักษณะเอียงข้าง เริ่มสาดกระสุนทั้ง 30 นัก เข้าหาเป้าอย่างเป็นจังหวะจะโคน

เสียงปืนเก็บเสียงครางระงมเหมือนกับเสียงตีกลองแทร็ค ชั่วอึดใจทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบเงียบ ไอ้โล้นถอดแม็กกาซีนเปล่าออกแล้วถือด้วยมือข้างซ้าย ส่วนมือขวาละจากช่องลั่นไก เลื่อนขึ้นมาจับคอปืนทิ่มปากลำกล้องลงพื้นดินแล้วก้าวเท้าเดินช้า ๆ เข้ามาที่บริเวณ "ล็อคปืน" ด้วยมาดของนักเลงปืนชั้นมหากาฬ

"ถุย...ไอ้โล้น ยังไม่ทันจะตรวจเป้าเสือกเดินแอ๊คยิงห่าเหวแบบนี้กูเห็นจะไม่รับประทานกับมึงแน่ ๆ ไอ้หอกขนาดยืนยิง กูแทบจะตายชักอยู่แล้ว ยังขืนเสือกให้วิ่งยิงอีก...มันอะไรของมันวะ"

"เฉย ๆ ไอ้แสบ ไอ้ลักษณะ "เคลื่อนที่ยิง" และ "วิ่งยิง" แบบนี้อั๊วถนัดนัก แล้วก็เคยคว้าเหรียญทองที่มาเลเซียมาแล้วด้วย มือปืนทีมชาติไทยที่ว่าแน่ ๆ มาเจอเกมส์พิเรน ๆ แบบนี้เข้าร้องจ๊ากมาหลายคนแล้วไม่เชื่อลื้อลองถามผู้กอง "ชวลิต กมุทธชาติ" ดูก็แล้วกัน มาเลเซียจัดเกมส์พิเรน ๆ แบบนี้ขึ้นมาก็เพื่อ "แย่ง" เหรียญทองจากนักยิงปืนไทยโดยเฉพาะ ไม่เชื่อประเดี๋ยวลื้อคอยดูคะแนนของอั๊วถึงไม่เต็มก็เฉียด ๆ เต็มนั่นแหละโว้ย"

ไอ้โล้นคุยโขมงโฉงเฉงพร้อมกับหันไปทำอาณัติสัญญาณให้พนักงานตรวจเป้าเริ่มขานคะแนน

ธงสีแดงถูกลดลงขวางเบื้องหน้าล็อคยิง พนักงานตรวจเป้าเคลื่อนที่ออกจากซอกทางเดินตรงเข้าไปหาเป้าทั้ง10อย่างรีบเร่ง หลังจากเสียเวลาเช็ครอยกระสุนที่ตัวเป้าอยู่ชั่วครู่ก็ใช้ไมโครโฟนแบบเครื่องส่งวิทยุที่เสียบอยู่ในกระเป๋ารายงานคะแนนการยิงทันที

" ระยะทาง 60 เมตร ยิงระบบ " เซมิออร์โต " เวลา 30 วินาที กระสุน 30 นัด เวลาที่ยิงจริง 30 วินาที เข้าเป้าทั้ง 10 เป้า เข้าจุดตายเก้าเป้า เข้าจุดพิการหนึ่งเป้า ส่วนระยะทาง 25 เมตร ยิงระบบ " ฟลูออร์โต " เวลา 5 วินาที เวลายิงจริง 4 วินาที กระสุน 30 นัด เข้าเป้า 28 นัด เป้าที่สองและเป้าที่แปดกระสุนหายไปอย่างละนัด...ผลการยิงเข้าจุดตายทั้งหมด "

พนักงานตรวจเป้าขานคะแนนการยิงของไอ้โล้นทางเครื่องขยายเสียงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไอ้แสบอ้าปากหวอด้วยความอัศจรรย์ใจ ส่วน พ.ท. แจ็คสันถึงกับอุทานออกมาด้วยความพึงพอใจอย่างใหญ่หลวง

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 5 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.6.106.138 พฤหัสบดี, 20/6/2556 เวลา : 22:49  IP : 171.6.106.138   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19355

คำตอบที่ 74
       ภูมิ เอา เรื่องสงคราม มาลงอีก พี่ชอบ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ปิยะ คนบ้านนอก จาก ปิยะ คนบ้านนอก 118.172.251.33 ศุกร์, 28/6/2556 เวลา : 10:08  IP : 118.172.251.33   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19411

คำตอบที่ 75
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 6

เกือบจะเป็นกิจวัตรของวันอาทิตย์ตอนใกล้เที่ยง บริเวณเวียนน้ำพุราชเทวี เลี้ยวซ้ายตลอดเส้นทางกิ่งเพชรไปจนถึงหน้าโรงภาพยนตร์โคลีเซียมรถจะติดกันเป็นพืดไปหมด ยิ่งมาหยุดรอรถไฟที่หน้ารั้วแผงกั้นตรงสี่แยกยมราชเข้าไปด้วยอีกแล้วก็ดูเหมือนว่าขบวนรถที่แออัดยัดเยียดจะจอดนิ่งเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ

สะพานลอยซึ่งเพิ่งจะสร้างเสร็จช่วยทำให้การจราจรที่คั่บคั่งบริเวณถนนสายหน้าสนามม้านางเลิ้งค่อยเบาบางลง แต่เนื่องจากขอบถนนทั้งสองข้างถูกจับจองเป็นที่จอดรถถของบรรดาแฟนอาชา แน่นขนัดไปหมดก็เลยทำให้ ช่วงถนนซึ่งคับแคบอยู่แล้วทวีความแออัดยัดเยียดชุลมุนวุ่นวายขึ้นทุกที...

วันนี้จะมีการแข่งขันม้าลูกผสมชิงถ้วยพระราชทานระยะทาง ๔๕ เส้นพร้อมด้วยรางวัลเงินสดอีก ๗๕,๐๐๐ บาท

ประชาชนที่หวังร่ำรวยโดยฝากความหวังและโชคชะตาเอาไว้กับม้าตัวที่แทง ต่างก็ทยอยกันเข้าสู่สนามเป็นทิวแถว และเริ่มเบียดเสียดเยียดยัดชุลมุนวุ่นวายที่หน้าประตู เมื่อใกล้เวลาเที่ยวแรกของการแข่งม้าในวันนั้นจะเริ่มขึ้น

ทางสนามม้ามีรายได้จากการเก็บเงินค่าประตูมิใช่น้อย อัฒจันทร์ใหญ่แบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกเก็บเงินค่าผ่านประตู 5.00 บาท สำหรับตอนที่สองซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเส้นชัยก็คิดราคาพิเศษมากขึ้นไปอีกเท่าตัว

นอกจากนั้นบริเวณอัฒจันทร์ ตอนที่ 2 ก็ยังรวมที่นั่งของบรรดาสมาชิกและเจ้าของคอกม้าที่ทางสนามได้จัดเอาไว้เป็นสัดส่วนด้วยห้องกระจกระบบแอร์คอนดิชั่นตลอดจนมีพนักงานคอยบริการพร้อมเสร็จ

ต่อจากอัฒจันทร์ที่ใหญ่โตมโหฬารออกไปเพียงเล็กน้อย เป็นตัวตึกสีเหลืองซีด ๆ เก่าคร่ำคร่า อันเป็นที่ตั้งหอบังคับการหรือหอตัดสินว่าม้าตัวไหนเป็นตัวชนะ โดยอาศัยรูปถ่ายจากกล้องถ่ายรูปแบบการแข่งขันกรีฑาซึ่งเรียกว่า " โฟโต้ - พีนิท " กล้องนี้จะตัดสินได้อย่างชัดเจน และแน่นอนด้วยระบบการถ่ายรูปแบบอัตโนมัติ

หลังจากประกาศผลการตัดสินออกไปแล้วคณะกรรมการสนามก็จะนำฟิล์มที่ล้างและอัดขยายเรียบร้อยแล้วออกให้ประชาชนชม โดยติดภาพดังกล่าวนั้นเอาไว้ตามชั้นต่าง ๆ ของอัฒจันทร์

ชั้นล่างของหอบังคับการก็ยังเป็นที่สังสรรค์ของเหล่าสมาชิกของสนามม้าโดยครบครันพร้อมเพรียงด้วยอาหารและบริการอย่างดีเยี่ยม

ภายในบ๊อกซ์ที่นั่งของบรรดาเจ้าของคอกม้า ซึ่งจัดเอาไว้ในห้องกระจก ณ บริเวณชั้นที่ 3 ของอัฒจันทร์ 10 บาท

เสี่ยวิชัย พรกิจนรากุล เจ้าของคอกม้าหลายคอกกำลังหัวเราะส่งเสียงดังคุยฟุ้งดังลั่นไปหมด เขาใช้กล้องส่องทางไกลดูลักษณะม้าที่เดินวนเวียนอยู่หน้าซองสตาร์ทด้วยความพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ แล้วหันมากระซิบกับชาติและจิตต์ ลูกน้องคู่ใจเบา ๆ

" เจ้าของม้า " สิบทิศ " สั่งสู้เต็มที่ เมื่อกี้นี้อั๊วเห็น " ไอ้กวง " เจ้าของคอกแทงวินตั้งหมื่นบาทม้ามันฟิตฉิบหายเลยว่ะ คนจูงแทบจะยึดมันไม่อยู่ โน่นเต้นอยู่หน้าซองโน่น "

" จะเอาอะไรมาวิ่งกับมันครับเสี่ย เมื่อเทิตย์ก่อนวิ่ง 25 เส้น 1 นาทีกับจุดสี่เศษ ๆ มันยังไม่ขยับอะไรเลย วันนี้ขึ้นไปอีก 3 ชั้น แถมได้ลดอีก 5 ปอนด์ มันก็เท่ากับวิ่งหลังเปล่าเท่านั้น ถ้าเสี่ยกวงไม่ " เปิด " วันนี้ก็โง่เต็มทีเจ้านาย"

ชาติ จอมทรชน ซึ่งวันนี้แต่งกายอย่างโก้หรูด้วยเสื้อผ้าชั้นดีแถมเดาะผูกไทสีแดงแจ๊ดนั่งยิ้มระรื่นขนาบข้างลูกพี่พร้อมกับสาธยายด้วยความชำนิชำนาญระดับเซียนม้า

" ไอ้โห้...ผลประเมินลดลงเหลือ 13 บาทแล้วครับเสี่ย"

จิตต์ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ อุทานขึ้นมาพร้อมกับสะกิดให้ลูกพี่ของมันดูป้ายประเมินผลกลางสนามม้าอัฒจันทร์

ภายในสนามหญ้าจะเห็นป้ายสกอร์บอร์ดเป็นรูปแท่งสี่เหลี่ยนผืนผ้ายาวประมาณ 30 เมตร มีช่องแบ่งออกเป็น 21 ช่อง และแต่ละช่องก็มีตัวเลขไฟฟ้าหมุนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยระบบคอมพิวเตอร์

ตัวเลขเหล่านี้จะบอกจำนวนเงินที่ผู้แทงม้าจะได้รับเมื่อม้าตัวที่เราแทงเข้า " วิน "

บางช่องตัวเลขอยู่ที่หมายเลข "1999" ซึ่งหมายความว่า ม้าเบอร์นั้นไม่มีใครแทงเลย (หรือแทงเป็นจำนวนน้อยไม่ถึง 20 ตั๋ว) ถ้าม้าเบอร์ดังกล่าวนั้นเข้าจะจ่ายประมาณหนึ่งพันหรือสองพันต่อเงินแทง 10 บาท ซึ่งปรากฏการณ์หยั่งว่านี้นาน ๆ จึงจะมีสักครั้ง ประชาชนทั่ว ๆ ไปมักจะเรียกว่า "ม้าฟลุค"

บางช่องหมายเลขลดวูบถึง 11 บาท ก็หมายความว่าม้าเบอร์นั้นมีคนรุมแทงอย่างมหาศาลเป็นจำนวนแสน ๆ บาทขึ้นไป และถ้าม้าเข้าวินก็จะจ่ายเพียง 11 บาท ต่อเงินแทง 10 บาทเท่านั้น

สนามม้าเปรียบเสมือนหนึ่ง " เสือนอนกิน " สนามม้าจะมีรายได้เที่ยวหนึ่ง ๆ หลายหมื่นบาท ทั้งนี้ โดยการหักเปอร์เซ็นต์จากจำนวนตั๋วทั้งหมดที่ประชาชนซี้อในเที่ยวหนึ่ง ๆ โดยคิดหักร้อยละ 22.5

สมมุติกันอย่างง่าย ๆ ยอดตั๋วรวมทั้งหมดในเที่ยวนั้นมี 30,000 ตั๋ว (ตั๋วละ 10 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 300,000 บาท) ทางสนามก็เอา 300,000 บาท ตั้งลบด้วย 67,500 บาท(22.5%) แล้วยกเอายอดที่เหลือมาจ่ายให้กับม้าที่ชนะโดยเอายอดที่เหลือตั้งแล้วหารด้วยจำนวนตั๋วในเที่ยวนั้น ๆ ที่กระดานดำก่อนม้าจะออกสตาร์ท) ผลที่ออกมาก็คือส่วนแบ่งที่ผู้แทงจะได้รับเงินรางวัลต่อตั๋ว 10 บาท (สำหรับสนามนางเลิ้ง เครื่องคอมพิวเตอร์จะ " โกง " เอ้ยขอโทษ " คำนวณ " ออกมาเลยทีเดียว)

รายจ่ายของสนามม้าก็คือ รางวัลของม้าชนะที่ 1,2,3,4 ซึ่งรวมกันเข้าแต่ละเที่ยวก็มักจะไม่เกิน 20,000 บาท นอกนั้นก็เป็นเบี้ยเลี้ยงพนักงานขายตั๋ว ค่าไฟฟ้า, เหลือเบาะ ๆ เที่ยวหนึ่ง ๆ เกือบ 3-4 หมื่นบาท วันหนึ่ง ๆ มี14 เที่ยว ลองคิดดูเป็นการบ้านว่าพวกเราชาวอาชาเอาเงินไปซื้อหญ้าให้ม้ากินมากมายเพียงไร

สำหรับจ๊อกกี้จะมีรายได้ 10% จากรางวัลที่ชนะม้าชั้น 1 รางวัลเป็นหมื่น จ๊อกกี้ก็จะได้ส่วนแบ่งถึง 1,000 บาทอาทิตย์หนึ่งซัดเสีย 4 วิน เงินเดือนข้าราชการชั้นเอกก็เห็นทีจะสู้คุณเธอเหล่านั้นไม่ได้

ขณะนี้ประชาชนกำลังรุมแทงม้า "สิบทิศ" กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ตัวเลขในป้ายสกอร์บอร์ดลดลงไปถึง 13 บาทและไม่มีที่ท่าจะขยับสูงขึ้นไปอีกกว่านั้น

เหลืออีก 3 นาที ม้าเริ่มแข่งขัน เสี่ยวิชัยหันไปกระซิบกับชาติและจิตต์เบา ๆ

"รับกิน "สิบทิศ" ไม่อั้น แทงเท่าไรรับให้หมด"

ชาติกับจิตต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกไปจากห้องกระจก สะกิดลูกน้องอีก 2-3 คนที่ยืนเตร่อยู่ข้างนอก พาตัวเองกลืนหายไปกับประชาชนที่กำลังซื้อตั๋วกันอย่างคับคั่งอย่างรวดเร็ว

อา ! งานของโต๊ดเถื่อนได้เริ่มขึ้นแล้ว มันเป็นงานที่บ่อนทำลายวงการแข่งม้าอย่างบัดซบที่สุด รายได้อันชอบธรรมของสนามม้าโดนแบ่งไปเป็นจำนวนมหาศาลโดยบุคคลกลุ่มนี้

เจ้าหน้าที่ (บางคน) พยายามที่จะปราบ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่อำนาจเงินของบรรดาโต๊ดเถื่อนไปอย่างราบคาบจากการจ้องที่จะปราบกลายเป็นเข้าแถวเวียนเทียนคอยรับเงินจากโต๊ดเถื่อนดังกล่าวนั้นอย่างหน้าด้าน ๆ ท่ามกลางความสมเพชของประชาชนซึ่งมองเห็นเหตุการณ์อยู่ตำหูตำตา

แม้กระทั่งบนอัฒจันทร์ชั้น 5 บาท บริเวณชั้นบนสุดโต๊ดเถื่อนระดับ "กระจอก" ก็ยังระบาดไปทั่ว รับแทงกันอย่างโจ่งครึ่ม พนักงานขายตั๋วบางคนกระทำหน้าที่เป็นโต๊ดเถื่อนเสียเองก็มี และประชาชนส่วนมากก็นิยมเสียด้วยเนื่องจากโต๊ดดถื่อนมีวิธีการล่อใจแก่นักเลงม้าด้วยการเพิ่มเงินรางวัลม้าชนะที่ประเมินไว้ในสกอร์บอร์ดให้แก่แทงอีก 100 บาท (สมมุติว่าทางสนามจ่าย 20 บาท โต๊ดเถื่อนจะจ่ายเพิ่มเป็น 21 บาท) และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนักเล่นแทงผิดเจ้ามือโต๊ดเถื่อนก็ยังมีน้ำใจคืนทุนให้ร้อยละ 10 บาทอีกด้วย

เสี่ยวิชัย พรกิจนรากุล ได้วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ด้วยอำนวจเงิน 10,000 บาทที่เขาฟาดหัวจ๊อกกี้ผู้ขี้ม้า " สิบทิศ " ในเที่ยวนั้น ด้วยข้อตกลง " สิบทิศ " จะต้องไม่ชนะและมีตำแหน่งอย่างเด็ดขาด จ๊อกกี้ให้คำมั่นสัญญาพร้อมกับรับมัดจำไปก่อน 5,000 บาท

บรรดา "ขาประจำ" ที่เคยแทงโต๊ดเถื่อนกับเสี่ยวิชัยก็พากันมาแทง "สิบทิศ" กันอย่างคับคั่ง เสี่ยวิชัยก็รับอย่างไม่อั้นเหมือนกัน จนกระทั่งธงสัญญาณปล่อยม้าได้ยกขึ้น ชาติและจิตต์จึงนำเงินจากขาประจำนอกห้องกระจกมาส่ง

"ได้เท่าไรวะชาติ"

เสี่ยวิชัยหันมาถามเมื่อลูกน้องคนสนิทเอากระเป๋าซิปรูดกะทัดรัดวางลงบนโต๊ะ

" 65,000 บาท ครับเสี่ย กำลังเก็บอยู่เพลิน ๆ ผู้พัน " เจริญ " ผ่านมา ผมต้องหลบแทบแย่เกือบโดนซิว "

ชาติพูดพรางรูดซิปให้เจ้านายดูเงินในกระเป๋า เสี่ยวิชัยเหลือบตามองอย่างคร่าว ๆ แล้วพูดขึ้นเบา ๆ

" อั๊วรับทั้งหมด 4 แสน เช็คครึ่งหนึ่ง ถ้าพลาดเที่ยวนี้อั๊วพังแน่ "

เสี่ยวิชัยพูดพลางยกกล้องสองตาส่องไปยังซองสตาร์ท ซึ่งขณะนี้ม้าทุกตัวอยู่ในความควบคุมของกรรมการปล่อยม้าเรียบร้อยแล้ว

ธงสีขาวจากมือ "สตาร์ทเตอร์" ถูกลดลงพร้อม ๆ กับที่ซองม้าเปิดผางออกโดยพร้อมเพรียงกัน เสียง "ออด" ยาวดังลั่นสนาม ระบบคอมพิวเตอร์ตัดสวิทช์ระหว่างห้องขายตั๋วกับแผงสกอร์บอร์ดโดยฉับพลัน ทำให้ห้องขายตั๋วระบบอัตโนมัติต้องยุติการขายตั๋วโดยสิ้นเชิง

"ม้าออกแล้ว"

เสียงโฆษกประจำสนาม ประกาศผ่านลำโพงออกมาได้ยินอย่างถนัดชัดเจน

นาทีแห่งความตื่นเต้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเสียงโห่ร้องเสียงเรียกชื่อม้าแต่ละตัวที่นักเสี่ยงโชคพากันแทงดังกระหึ่มขึ้นมาก้องอัฒจันทร์ แทบทุกคนพากันตะโกนเรียกชื่อม้า "สิบทิศ" กันอย่างบ้างคลั่ง

เหมือนกับสวรรค์สาป...ม้าสิบทิศซึ่ง "เต็งหาม" ชูขาหน้าอยู่ในซองสตาร์ทอยู่ชั่วอึดใจ แล้วกระโจนผึงตามม้าทั้งกลุ่มซึ่งขณะนั้นออกสตาร์ทไปแล้วเกือบครึ่งเส้น

เสี่ยวิชัยระบายยิ้มอยู่บนใบหน้าพร้อมอุทานด้วยความลำพอง

"ต้องอย่างนี้ซิวะ...อ้ายน้องแก้ว"

จ๊อกกี้พยายามขี่ม้า "สิบทิศ" อย่างเต็มที่เพื่อตบตาสจ๊วต (เจ้าหน้าที่ควบคุมการขี่ม้า) ทั้งโยกทั้งไส ทั้งตีจนกระทั่งสิบทิศพรวดพราดขึ้นมาทันกลุ่มหน้า แล้วเริ่มผ่านม้าเหล่านั้นขึ้นไปทีละตัวจนกระทั่งขึ้นไปทาบม้า 2-3 ตัว ที่กำลังอยู่กลุ่มหน้าทันที

เสียงโห่ร้องกระหึ่มขึ้นอีกวาระหนึ่ง ประชาชนซึ่งเงียบเสียงลงไปชั่วขณะเนื่องจากม้า "สิบทิศ" ออก "ซองสตาร์ท" ไม่ดีเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง นักเสี่ยงโชคเกือบค่อนสนามส่งเสียงเชียร์กันอย่างบ้าคลั่ง สายตานับหมื่นคู่จ้องเขม็งไปยังกลุ่มม้าที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในสนามหญ้าเบื้องล่าง ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่สุมอยู่ภายในสมองไปโดยสิ้นเชิงบางคนชูตั๋วม้าที่ถืออยู่ในมือด้วยท่าทางลิงโลด อากัปกิริยาที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหวังในชัยชนะของม้าสิบทิศร้อยเปอร์เซ็นต์ เต็ม

อนิจจา...จ๊อกกี้ ซึ่งได้สวาปามเงินสินบนของเสี่ยวิชัยเข้าไปเต็มคราบเริ่มแสดงลวดลายด้วยการขี่ซุกเข้าไปทางในแทนที่จะขี่ออกทางนอก จะแซงโค้งก็แซงไม่ได้เพราะมีม้าที่นำอยู่ขวางหน้าเอาไว้ มิหนำซ้ำยังโดน " ชน " ซึ่งภาษาม้าเรียกว่า " โดนปั๊ม " รูดกลับลงไปรวมอยู่กับม้ากลุ่มหลังเหมือนอย่างเดิม

พอถึงโค้งออกทางตรง ม้า "สิบทิศ" พยายามจะขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ม้าสิบทิศได้ที่ 6 ในจำนวนม้า 12 ตัว กินแม้กระทั่ง "เพรส" เล่นเอาประชาชนที่มองเห็นเหตุการณ์พากันโห่ร้องสาปแช่ง บางคนที่ใจร้อนหน่อยก็ระดมขว้างปาจ๊อกกี้ผู้ขี่ม้าสิบทิศด้วยเปลือกแตงโมและถุงน้ำแข็ง สารวัตรทหารต้องออกมาคุ้มกันจ๊อกกี้เป็นพัลวัน เล่นเอาชุลมุนวุ่นวายกันไปพักหนึ่ง

เสี่ยวิชัยมีรายได้ในเที่ยวนั้นเกือบ 600,000 บาท เขารีบจัดแบ่งเงินจำนวนหนึ่งออกเป็นเบี้ยเลี้ยงสำหรับ "พระภูมิเจ้าที่" ที่เมียงมองอยู่หน้าห้องกระจกแล้วส่งให้กับลูกน้องทั้งสอง ซึ่งก็รีบผละออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนหนึ่งจะรู้ใจกัน

การแข่งขันม้าในวันนั้น มีการพลิกล็อคกันอย่างวินาศสันตะโร ม้าเต็งหนึ่งซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะชนะหลุดจากตำแหน่งเป็นแถว ๆ และแน่นอนเหลือเกินทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใน "แผน" ของเสี่ยวิชัยทั้งสิ้น เงินจำนวนนับเป็นล้าน ๆ บาทอัดแน่นอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนด์ทั้ง 3 ใบ เสียงหัวเราะของเสี่ยวิชัยดังลั่นไม่ขาดระยะ

การแข่งขันได้ผ่านไปจนกระทั่งถึงเที่ยวสำคัญคือเที่ยวชิงถ้วยพระราชทานระยะ 45 เส้น

ภายในสนามเดินวน ซึ่งตั้งอยู่หลังอัฒจันทร์ คับคั่งไปด้วยจ๊อกกี้และผู้ที่เกี่ยวข้อง สุภาพสตรีแต่ชุดเดินทางสีน้ำเงินเข้ม ซ่อนดวงตาเอาไว้ด้วยแว่นตาขนาดใหญ่ยืนพิงขอบรั้วอยู่ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย มือข้างหนึ่งซึ่งยกขึ้นท้าวขอบรั้วมีพัดกระดาษติดตราเครื่องวหมายการบินบริษัทหนึ่งถือติดมือเอาไว้ด้วย นาน ๆ ครั้ง เธอก็จะใช้พัดกระดาษขึ้นมากระพือไล่ความร้อนบนใบหน้าซึ่งขณะนี้เหงื่อเริ่มซึมออกมาเป็นเม็ด ๆ มองเห็นถนัดตา

ผิวที่ขาวจนซีดทำให้เครื่องแต่งกายชุดน้ำเงินเข้มอันมันระยับผุดผาดสะดุดตาจนสุภาพสตรี ๓-๔ คนซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเตร่เข้ามาดูด้วยท่าทางสนใจ

ชาติและจิตต์ ยืนรวมกลุ่มอยู่บนอัฒจันทร์ด้านหลังของชั้นที่สอง แทนที่ทรชนทั้งสองจะเฝ้าดูม้าแข่งซึ่งกำลังถูกจูงเข้ามาในสนามเดินวน กลับใช้สายตาสอดส่ายไปยังกลุ่มเจ้าของคอกม้าซึ่งยืนออกันแน่นอยู่รอบ ๆ สนามเดินวนแห่งนั้นด้วยความพินิจพิจารณาเป็นพิเศษ ชั่วครู่หนึ่งสายตาของจิตต์ก็มองเห็นสุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินเข้มเข้าอย่างถนัดถนี่

"เจอะแล้วลูกพี่ โน่นแต่งชุดสีน้ำเงินถือพัดกระพืออยู่โน่น"

ในขณะที่กระซิบกระซาบ จิตต์ก็ยกมือข้างที่ถือกล้องสองตาขึ้นมาวางพาดบนขอบอัฒจันทร์ มือข้างที่ว่างหมุนที่ปรับระยะไปทางซ้ายมือดัง "กริ๊ก" เบาๆ แล้วหันหน้าไปสำรวจรอบ ๆ ข้างด้วยอาการระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังเพ่งจุดสนใจลงไปในสนามเดินวนเบื้องล่างก็ยกกล้องขึ้นมากรอกคำพูดลงไปในช่องกระจกด้านขวาเบา ๆ

" นางเลิ้ง จากบางซื่อ เจอะแล้ว กำลังจะลงไปประกบตัวข้างล่าง มีอะไรจะรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ เลิกกัน"

ด้วยประสิทธิภาพของเครื่องส่งวิทยุขนาดจิ๋วที่ซุกซ่อนอยู่ภายในกล้องสองตาทำให้จารชนทั้งสองสามารถส่งข่าวการเคลื่อนไหวของสุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินไปยังบุคคลระดับ "คีย์แมน" ซึ่งนั่งบัญชาการอยู่ในห้องกระจกแอร์คอนดิชั่นได้อย่างสบาย

และโดยไม่ต้องรอคำตอบ ชาติกระตุกแขนจิตต์กระโจนผลุงลงจากอัฒจันทร์ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ชั่วอึดใจทั้งสองก็สามารถผ่านประตูเข้าไปปะปนกับเจ้าของม้าที่ยื่นออกันอยู่รอบ ๆนอกสนามเดินวนอย่างง่ายดาย

ทรชนทั้งสองใช้ความพยายามอยู่ครู่หนึ่งก็สามารถเบียดผู้คนเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ สุภาพสตรีผู้นั้นในลักษณะประกบเอาไว้ทั้งสองข้าง

จากอัฒจันทร์ชั้นบนสุดเหนือบริเวณสนามเดินวนชายฉกรรจ์สองคนสวมเสื้อฮาวายปล่อยชายสีสะดุดตายืนคุยกันอยู่เงียบ ๆ แต่ทว่าสายตาจ้องเขม็งจับอยู่ที่สุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินอยู่ตลอดเวลา กล้องถ่ายรูปติด "ซูม" ที่ใช้ถ่ายภาพในระยะไกลถูกวางพาดเอาไว้บนขอบผนังอัฒจันทร์ สายสะพายตัวกล้องโยงขึ้นไปคล้องเอาไว้ที่บริเวณลำคออย่างรัดกุม โปรแกรมม้าปกแดงถูกม้วนเป็นแท่งยาว ๆ แล้วเสียบกระเป๋าหลังเอาไว้อย่างรวก ๆ

ชายฉกรรจ์ทั้งสองจ้องเขม็งดูเหตุการณ์เบื้องล่างอยู่ครู่หนึ่งก็หันมาสบตากัน คนหนึ่งกระซิบออกมาเบา ๆ

" ใช่แน่...ลูกพี่ ลักษณะท่าทางเหมือนกับที่ " สาย " ของเราแจ้งมาไม่มีผิด...ผมชักเป็นห่วง "นาย" ของเราเสียแล้ว จะทำยังไงดีครับ "

ชายฉกรรจ์คนที่สะพายกล้องนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่พอ ๆ กัน

" ส่งวิทยุไปให้ "นาย" เรารู้ตัวเสียก่อน ถ้าไม่มีทางเลี่ยงก็เป่ามันด้วยปืนเก็บเสียงข้างบนนี่เลย "

ชายฉกรรจ์คนที่เป็นลูกน้องยกมือขึ้นไปหยิบปากกาลูกลื่นที่เสียบอยู่บนกระเป๋าฮาวายพร้อม ๆ กับหันหน้าไปสำรวจเหตุการณ์รอบ ๆ ข้างด้วยอาการระแวดระวังเมื่อไม่มีใครสนใจเขาก็บิดหัวปากกาไปทางซ้ายมือแล้วยกปากกาขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากกรอกคำพูดลงไปเบา ๆ

" ระวัง...นายกำลังโดนประกบจากฝ่ายตรงข้าม โปรดระวังชายทั้งสองที่ผูกเน็คไท จะให้ปฏิบัติอะไรตอบขึ้นมาด่วน "

เครื่องส่งวิทยุขนาดจิ๋วซึ่งซุกซ่อนอยู่ในแท่งปากกาบิ๊คส่งสัญญาณลงไปในเครื่องรับ-ส่งวิทยุขนาดเดียวกันซึ่งซุกซ่อนอยู่ในแว่นตาขนาดใหญ่ของสุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินนั้น

ด้วยการออกแบบที่แนบเนียน "หูฟัง" ขนาดเล็กซึ่งติดตั้งอยู่กับก้านแว่นตาที่โค้งรัดอยู่กับใบหูทั้งสองข้างของผู้สวมทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ไม่สามารถที่จะได้ยินสัญญาณวิทยุแต่อย่างใด

ใบหน้าอันผุดผาดที่กระเดียดไปทางลูกผสมระหว่างชาวยุโรปกับเผ่าพันธุ์ในแหลมอินโดจีนหันมาชำเลืองดูชาติซึ่งอยู่ทางขวามือแล้วตวัดสายตากลับไปมองจิตต์ด้วยอาการปกติ ต่อจากนั้นก็หันกลับไปจ้องดูม้าแข่งซึ่งขณะนี้กำลังถูกจูงเข้ามาในสนามเดินวนบ้างแล้ว

หลังจากสนใจม้าอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ใช้มือซ้ายยกขึ้นไปถอดแว่นตาออกมาบรรจงเช็คด้วยผ้าเช็คหน้าอย่างแผ่วเบา พร้อม ๆ กับใช้นิ้วชี้กดปุ่มที่สลักก้านแว่นตาด้วยความระมัดระวังแล้วยกแว่นขึ้นสวมเอาไว้อย่างเดิม แต่คราวนี้เธอขยับแว่นให้ต่ำลงมาทาบอยู่บนจมูกที่โด่งเป็นสันนั้นพร้อม ๆ กับพึมพำออกมาเป็นภาษาที่ออกสำเนียงคล้าย ๆ กับภาษาที่ใช้กันอยู่ในประเทศหลังม่านเหล็กในปัจจุบัน

" ลูกพี่ นายส่งรหัสมาให้เราถ่ายรูปไอ้สองคนนั่นไว้นายบอกว่าจะพยายามหลอกให้มันหันหน้ามาทางเราให้ได้พยายามเก็บภาพของพวกมันทุกอิริยาบถ อย่าจับตายปล่อยพวกมันไป ข้อสุดท้ายสั่งให้ "สาย" ของสถานีที 2 แกะรอยรับช่วงจากพวกเราต่อไป "

ชายฉกรรจ์คนที่ถือปากกาลูกลื่นกระซิบกระซาบกับลูกพี่ซึ่งขณะนี้กำลังยกกล้องถ่ายรูปติด " ซูม " ขึ้นมาปรับระยะพร้อมกับลั่นชัทเตอร์เก็บภาพด้านหลังของชาติและจิตต์อย่างถี่ยิบ

จากช่องทางเข้าออก ม้าแข่งที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการแข่งขันในเที่ยวที่ 10 อันเป็นเที่ยวก่อนจะถึงการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานถูกจูงทยอยเข้ามาเป็นแถว แต่ละตัวเหงื่อโทรมกาย เสียงร้องเสียงหายใจฟืดฟาดของม้าแต่ละตัวทำให้ประชาชนที่ยืนออกันอยู่รอบ ๆ สนามเดินวนต่างพากันไปมองด็วยความตื่นตาตื่นใจ

ม้าตัวที่ชนะถูกพาไปเข้ากักกันเพื่อรอตรวจปัสสาวะค้นหายาโด๊ป ส่วนม้าที่ไม่มีตำแหน่งถูกปลดอานออก จ๊อกกี้คนที่จะขี่ม้าเที่ยวถ้วยพระราชทานรีบเปลี่ยนเสื้อตามสีประจำคอกแล้วเดินเข้ามาในสนามเดินวนอย่างรวดเร็ว

จ๊อกกี้รูปร่างแกรนสวมเสื้อสีแดงแขนขาวเดินก้มหน้างุด ๆ ออกมาจากที่พักและเส้นทางที่จะผ่านเข้าสนามเดินวนก็จำเพาะเจาะจงต้องผ่านบริเวณที่สุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินยืนอยู่เสียด้วย พอจ๊อกกี้เดินผ่านด้านหลังสุภาพสตรีผู้ถูกทรชนทั้งสองประกบตัว ก็หันหลังเดินพรวดออกมาปะทะกับร่างจ๊อกกี้เต็มแรง มือข้างหนึ่งของเธอตะปบลงไปที่อุ้งมือของจ๊อกกี้ซึ่งยกขึ้นกั้นเอาไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะวัตถุชนิหนึ่งซึ่งมีรูปร่างเหมือนกับ "แคปซูล" เล็ก ๆ ถูกเปลี่ยนมือจากสุภาพสตรีอย่างแนบเนียน

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 6 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 12:18  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19413

คำตอบที่ 76
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 7

" ซีเลสเต้ " สีหมากสุกรุ่นล่าสุดแล่นเอื่อย ๆ ผ่านหน้ากองบังคับการตำรวจทางหลวง ช่วงการจราจรที่คับคั่งทำให้รถจอดนิ่งอยู่กับที่หลายครั้ง เสียงกระดิ่งสัญญาณที่ดังกังวานอยู่ตรงบริเวณสี่แยกทำให้บุรุษหน้าเหี้ยมสองคนที่นั่งคู่กันอยู่ตอนหน้ารถมีท่าทีอึดอัดคนที่หน้าอ่อนวัยกว่าถึงกับสบถออกมาดัง ๆ

" รถไฟมา...ไอ้โล้น...แซงแม่มันขึ้นไปเลยเจ้านายสั่งมาแล้ว...เหลือเวลาอีกสิบกว่านาที...ถ้าพลาดงานนี้มึงกับกูเห็นทีจะต้องกลับเข้าคุกเหมือนอย่างเดิมแน่ ๆ...แซงเลย..."

ไอ้โล้นเหลือบตามองผ่านฟิล์มกรองแสงขึ้นไปดูแผงรั้วกั้นที่กำลังลดตัวลงมาอย่างช้า ๆ ด้วยความใจเย็น แล้วกระแทกครัชเปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่งพร้อม ๆ กับหักพวงมาลัยเฉออกทางซ้ายมือ โดยปราศจากการให้สัญญาณจราจรใด ๆ ทั้งสิ้น

เสียงเครื่องยนต์ 1600 ซีซี. คำรามดังสนั่นหวั่นไหวท่อไอเสียที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษด้วยการเจาะทะลวงตลอดท่อแล้วใส่ใบมีดโกนเอาไว้ที่ปลายท่อเหมือนกับใบพัดก็เลยทำให้เสียงโหยหวนบาดจิตบาดใจเข้าไปถึงสมอง

รถวิ่งอยู่ในช่องจราจรซ้ายมือเบรคกันตัวโก่ง...บางคนชะโงกหน้าออกมาตะโกนด่าด้วยความโมโห ไอ้โล้นหัวเราะก๊าก เหยียบคันเร่งน้ำมันจนมิดพารถกระโจนพรวดข้ามทางรถไฟชนิดที่เฉียดกับแผงเหล็กรั้วกั้นไม่ถึงฝ่ามือ

" ซีเลสเต้ " วิ่งแอบชิดซ้ายแล้วจอดสงบนิ่งอยู่ตรงมุมสนามม้าด้านสวนจิตรลดา กระจกด้านซ้ายมือถูกไขลดลงมาครึ่งหนึ่ง สายตาของจอมทรชนทั้งสองจ้องเขม็งไปยังกลุ่มม้าแข่งที่มองเห็นลิย ๆ อยู่หน้าอัฒจันทร์ วิทยุบนชั้นคอนโซล " แสตนบาย " เอาไว้มีเสียงคลื่นวิทยุดังซู่ซ่าอยู่ตลอดเวลา

" - จ๊อกกี้หมายเลข 6 ใส่เสื้อสีแดงแขนขาว ทวนข่าวอีกครั้ง หมายเลข 6 - - - เสื้อสีแดงแขนขาว " ขณะนี้มองเห็นรถของลื้อแล้ว...เริ่มปฏิบัติการได้ "

เสียงของ เสี่ย " วิชัย พรกิจนรากุล " ดังแว่ว ๆ อยู่ในลำโพงข้าง ๆ ชั้นคอนโซล ไอ้แสบเบ้ปากหันมามองไอ้โล้นพร้อมกับพูดออกมาเสียงอ่อย ๆ

" - ระยะขนาดนี้ กูยิงไม่ถูกแน่...ไอ้ห่า ระยะเกือบกิโลครึ่งแบบนี้ต่อให้อาจารย์ของเราก็เห็นจะไม่มีทางมึงจะเอายังไง...ไอ้โล้น "

ประโยคสุดท้าย ไอ้แสบย้อนถามเพื่อนคู่หูเหมือนกับจะปรึกษาอยู่ในที

"- เฉย ๆ น่า...เมื่อมึงไม่มีฝีมือก็หุบปากเซี้ยะโน่นหยิบถุงกอล์ฟข้างหลังโน่นให้กูที "

ไอ้โล้นพูดพลาง บุ้ยปากไปยังเบาะด้านหลังในขณะที่เพื่อนคู่หูเอื้อวตัวไปหยิบถุงกอล์ฟ เขาก็ละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยลงไปหยิบปากพูดหูฟังขึ้นมากดสวิทช์กรอกคำพูดลงไปห้วน ๆ

" นางเลิ้งจากราชวิถี ทวนคำสั่งจ๊อกกี้หมาบเลข 6 เสื้อสีแดงแขนขาว...นอกนั้นตามแผนเดิม...เลิกกัน "

ไอ้โล้น แขวนปากพูดหูฟังเอาไว้ที่เดิม ต่อจากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบถุงกอล์ฟขึ้นมาวางบนตัก ปากก็พูดต่อไปไม่ขาดระยะ

"- ประเดี๋ยวกูจะแสดงสีมือให้มึงดูเอง...เฮ่ย...เปลี่ยนมาขับรถแทนกูได้แล้ว "

ไอ้โล้นพูดยังไม่ทันจะจบประโยค ไอ้แสบก็ปรับทีนั่งเอนลงไปกับพื้นแล้วขยับตัวลงไปนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังซึ่งพร้อม ๆกับที่ไอ้โล้นเลื่อนตัวเองเข้าไปแทนที่ทางด้านซ้ายมืออย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ไอ้แสบเข้าประจำที่คนขับ ไอ้โล้นก็ล้วงมือลงไปในถุงกอล์ฟพร้อมกับดึงชิ้นส่วนของปืน " เอ็ม 16 " ขึ้นมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว กล้องขยายแรงสูงซึ่งติดตั้งอยู่บนตัวปืนถูกเช็คซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความพิถีพิถัน ท่อเก็บเสียงขนาดใหญ่ถูกดึงขึ้นมาจากก้นถุงแล้วประกอบเข้าไปที่ปลายลำกล้องอย่างแนบเนียนท่ามกลางความสนเท่ห์ใจของสหายร่วมทีม

" อะไรว่ะ...ท่อเก็บเสียงปืนกล " เอ็ม 16 "...กูไม่เคยเห็นซักที...มึงไปเอามาจากไหนวะ ไอ้โล้น "

ไอ้แสบพูดพลางเอื้อมมือมาจับท่อเก็บเสียงด้วยความเคลือบแคลงใจ...

"-เมด-อิน-ไทยแลนด์...ไอ้แสบ เจ้านายเพิ่งได้มาจากโรงงานเถื่อนที่ตรอกจันทร์...หน่วยเหนือทดลองประสิทธิภาพดูแล้ว เพิ่งส่งมาให้กูเมื่อเช้านี่เอง ถ้าไอ้กระบอกห่านี่เกิดทรยศเก็บเสียงไม่ได้มึงกับกูก็คงจะหนีโปลิศอกแอ่นกันคราวนี้ละมึง "

ไอ้โล้นพูดพลางชำเลืองดูไปรอบ ๆ ด้วยอาการระแวดระวัง แล้วยกปืนขึ้นประทับปรับศูนย์กล้องตั้งระยะการยิงด้วยความพิถีพิถันเป็นพิเศษกว่าทุก ๆ คราวที่ผ่านมา

ม้าที่จะแข่งขันในเที่ยวชิงถ้วยพระราชทานถูกจูงออกมาหน้าอัฒจันทร์ จ๊อกกี้ผู้ขี่สวมเสื้อสีฉูดฉาดบาดตา ม้าทุกตัวเดินออกมาตามหมายเลขดังต่อไปนี้ หมายเลข 1 ชูพิโรจน์ "เกียงไกร 2 " ผู้ขี่...หมายเลข 2 น้องอู๋ "บุญชู 2" ผู้ขี่ หมายเลข 3 ศิริอนันต์ "ใหญ่" ผู้ขี่ หมายเลข 4 เอื้องหลวง "สมชาย" ผู้ขี่ หมายเลข 5 กิตินารายณ์ "พงษ์สุรีย์" ผู้ขี่ หมายเลข 6 เทพนรินทร์ "ปรีชา 2" ผู้ขี่

ม้าหมายเลข 6 "เทพนรินทร์" ซึ่งเป็นม้าต้นจัดได้รับการวิจารณ์ และคาดหมายจากเซียนม้าทั้งหลายว่าจะต้องชนะและครองถ้วยพระราชทานอย่างแน่นอน ถูกรุมแทงจากแฟน ๆอาชากันอย่างคับคั่ง จนกระทั้งป้ายคอมพิวเตอร์ลดวูบวาบมาอยู่ที่หมายเลขยี่สิบห้าบาทและทรงอยู่ในตำแหน่ง " เต็งหาม " จนกระทั่งได้สัญญาณเริ่มแข่งขัน...

ในขณะที่ม้าทุกตัวกำลังสาละวนเข้าช่องสตาร์ทตามลำดับหมายเลขอยู่นั่น เสี่ย วิชัยและสมุนคู่ใจก็เปิดฉากรับกินม้าเทพรินทร์อย่างไม่อั้น...

"-ขณะนี้ม้าอยู่ในความควบคุมของกรรมการปล่อยม้าเรียบร้อยแล้ว "

เสียงโฆษกเจ้าสนามประกาศผ่านเลาว์ดสปิคเกอร์ก้องกังวานไปทั่วอัฒจันทร์ ซึ่งพร้อม ๆ กันนั้นธงสีขาวก็ถูกชูขึ้นเหนือศีรษะ " สตารท์เตอร์ " ชั่วอึดใจก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

" พรึ่บ "

ซองสตาร์ทเปิดผางออกโดยพร้อมเพรียงกัน ม้าทั้ง 6 ตัวกระโจนพรวดออกมาจากซองเหมือนกับติดปีกบิน ม้าเทพนรินทร์ซึ่งอยู่ซอง 1 พุ่งปร๊าดออกมาเป็นตัวนำด้วยฝีเท้าต้นจัด ติดตามด้วยศิริอนันต์และน้องอู๋ตามลำดับ "-ไอ้แสบ-ไอ้โล้น...เตรียมตัว...ม้าออกแล้วหมายเลข 6 เป็นตัวนำ "

เสี่ยวิชัยกรอกคำพูดลงไปในกล้องส่องทางไกลด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับขยับกล้องติดตามกลุ่มม้าแข่งด้วยความเร้าใจ

ฝนซึ่งตั้งเค้ามาตั้งแต่การแข่งม้าเที่ยวแรกเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นสาย...ชั่วอึดใจมันก็กระหน่ำลงมาเหมือนกับท้องฟ้ารั่ว กลุ่มประชาชนที่แออัดยัดเยียดอยู่ริมสนามซึ่งปราศจากหลังคาเฮโลถอยขึ้นไปอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นที่ 3 กันเป็นแถว แต่ก็มีแฟนอาชาบางคนที่ใจถึงยืนกรำฝนส่งเสียงเชียร์ม้าด้วยความฮึกเหิมจนลืมนึกถึงสภาพร่างกายซึ่งขณะนี้เปียกปอนไปตาม ๆกันอย่างถนัดใจ

ไอ้แสบเอื้อมมือไปเร่ง " วอร์ลุ่ม " ให้เสียงวิทยุดังเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกมา สหายร่วมทีมซึ่งนั่งประทับปืนอยู่ข้าง ๆ ก็ออกคำสั่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

"- เริ่มติดเครื่อง แล้วพารถเคลื่อนที่ออกช้า ๆ ให้สัมพันธ์กับการวิ่งของม้า...พอม้าเลี้ยวโค้งออกทางตรงให้มึงขับรถตีคู่ไปทันที ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของกูเอง...โอเค - ออกรถ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นกำชับเสียงเครียดพร้อมกับลดกระจกด้านข้างจนสุด แล้วแหย่ท่อเก็บเสียงออกนอกรถแนบสายตาลงไปที่กล้องขยายบนตัวปืน ติดตามกลุ่มม้าแข่งที่กำลังห้อเหยียดอยู่ท่ามกลางสายฝนด้วยมาดของมือปืนชั้นมหากาฬ

ภาพม้าแข่งถูกดึงเข้ามาอยู่ภายในโฟกัสของกล้องขยายอย่างถนัดชัดเจน ไอ้โล้นเหยียดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ พร้อมกับเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกไปเช็ดกระจกหน้ากล้องเล็งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากก็พึมพำออกมาไม่ขาดระยะ

"ทุกที...ไอ้ห่าพอจะฆ่าคนที่ไรหัวใจกูสั่นกระตุกแบบนี้ทุกที กูนี่มันเวรเหลือเกิน รักษาเท่าไรก็ไม่หาย "

ไอ้แสบผ่อนคันเร่ง ละสายตาจากม้าที่กำลังเกาะกลุ่มวิ่งเลี้ยวโค้งหันมาดูสหายร่วมทีมซึ่งขณะนี้ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนกับคนเป็นไข้มาเลยเรียไม่มีผิด

" - ไอ้หอก...ตั้งแต่รบด้วยกันมาในลาวกูก็เห็นมึงเป็นอีแบบนี้ทุกที...คราวแรกกูนึกว่ามึงกลัวจนปอดแหกที่ไหนได้ทั้ง ๆ ที่มึงสั่นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้ มึงก็ยังเข่นฆ่าไอ้แกวเสียราพณาสูร กูว่ามึงเป็นฮีสทีเรียแหง ๆ...ไอ้โล้น "

"-ไอ้จัญไร...ก๋งมึงน่ะซีเป็นฮีลทีเรีย...เสือกเอาอาการของกูไปเปรียบกับพวก "โกล์ด-เฟาว์-เวอร์" ด๊ายหมอเค้าบอกกูแล้วโว้ยว่ากูเป็นโรค "วอร์-ดิสซึ่ม" มันก็ไอ้โรคบ้าฆ่าคนหรือโรคบ้าสงครามนั่นแหละ...เฮ้ย...ตีคู่ไปเลย-ไอ้แสบ"

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นกำชับออกมาค่อยข้างดังพร้อมขยับตัว เอี้ยวคอไปดูม้าแข่งที่กำลังห้อตะบึงจากโค้งเข้าสู่ทางตรงด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 50 กม.ต่อชั่วโมง

ไอ้แสบแตะคันเร่งเบา ๆ "ซีเลสเต้" โจนพรวดวิ่งขนานไปกับกลุ่มม้าที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในสนามหญ้า ซึ่งขณะนี้แปรสภาพเป็นโคลนตม เนื่องจากพายุฝนที่ถล่มลงมาหยั่งกับท้องฟ้ารั่ว

จากถนนที่รถของฆาตกรรับจ้างทั้งสองกำลังวิ่งอยู่นั้นมีคลองกั้นไว้ตลอดทั้งสาย ห่างจากคลองออกไปประมาณ 10 เมตร ก็เป็นบริเวณลู่สนามม้า อันเป็นเป้าหมายในการทำงานของเพชฌฆาตทั้งสองพอดิบพอดี

เสื้อสีแดงผ่านแวบเข้ามาในโฟกัส ไอ้โล้นเม้มริมฝีปาก ส่ายกล้องเล็งตามกลุ่ม ม้าที่กำลังวิ่งตีคู่ไปกับรถด้วยความใจเย็น

"-พอถึงครึ่งสนามมึงเร่งเครื่องให้ผ่านม้ากลุ่มนี้เลย กูจะเจี๋ยมมันที่นั่น "

ไอ้โล้นพูดพลางดึง "ขอรั้ง" ถอยหลังออกมาจนสุดแล้วปล่อยมือให้ "ขอรั้งลูกเลื่อน" พากระสุนจากแม๊กกาซีนเข้ารังเพลิงเสียงดัง " แคร้ง " จนไอ้แสบสะดุ้งออกมาสุดตัว

"-ประสาทแดก ไอ้ฉิบหาย กูนึกว่าปืนเก็บเสียงทำไมดังแรงขนาดนี้...เสียเส้นหมด"

ไอ้แสบบ่นพึมพำ พร้อมกับเปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่งพาซีเลสเต้ควบออกนำหน้ากลุ่มม้าทันที

ไอ้โล้นขยับตัวหันหลังให้กระจกหน้ารถเหยียดท่อเก็บเสียงออกนอกช่องกระจก เป้าหมายคือจ๊อกกี้หมายเลข 6 ที่นั่งบนหลังม้า "เทพนรินทร์" ซึ่งขณะนี้กำลังนำหน้าม้ากลุ่มนั้นอยู่ถึง 3 ช่วงตัว

จากระยะห่างประมาณ 50 เมตร ด้วยประสิทธิภาพของกล้องเล็งทำให้ไอ้โล้นสามารถ " คลำ " จุดตายของเป้าหมายได้อย่างถนัดชัดเจน เพชฌฆาตรับจ้างจาก ซี.ไอ.เอ. สูดลมหายใจเข้าปอดเล็งปืนครั้งสุดท้าย แล้วบรรจงเหนี่ยวไกอย่างนิ่มนวล

" ปุ๊ "

เสียงดังเหมือนกับเสียงเป่าถุงกระดาษ ลูกกระสุนขนาด .223 ถูกรีดผ่านท่อเก็บเสียงทะลวงเข้าหาเป้าหมายเหมือนกับผีจับยัด ร่างของจ๊อกกี้ที่หมอบอยู่บนหลังม้าเทพนรินทร์ร่วงผลอยลงจากหลังม้าทันที

"เร็ว...ไอ้แสบ เหยียบให้มิดเลี้ยวซ้ายไปดักรถพยาบาลที่หน้าสนามม้าโน่น" ไอ้โล่นพูดพลางดึงท่อเก็บเสียงเข้ามาในช่องหน้าต่างพร้อมกับหมุนตัวกลับ สอดปืน "เอ็ม-16" เอาไว้ที่เบาะหลัง...ไขกระจกขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไอ้แสบไม่ฟังเสียงอีกแล้ว ช่วงการจราจรที่เบาบางเนื่องจากฝนตกหนักทำให้ไอ้แสบควบซีเลสเต้เลี้ยวซ้ายผ่านวัดเบญจ ฯ ไปได้อย่างสะดวกโยธิน

ในขณะที่รถของไอ้แสบกำลังจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหน้าสนามม้า วิทยุที่ชั้นคอนโซลก็ดังกังวานขึ้นอีกครั้ง

"-ราชวิถีจากนางเลิ้ง...แผนแรกสำเร็จ จ๊อกกี้หมายเลข 6 ขณะนี้อยู่บนรถพยาบาลของกรมตำรวจ คาดว่าอีก 3 นาทีคงถึงประตูเข้าออกสนามม้าด้านสะพานลอย...โปรดแจ้งตำแหน่งที่อยู่ของราชวิถีด่วน "

ไอ้แสบดึงปากพูดขึ้นมากรอกเสียงลงไปค่อนข้างดัง

"-กำลังจะผ่านวิทยาลัยพาณิชย์ ขณะนี้ไฟเขียวตลอด คิดว่าอีก 2 นาทีคงจะถึงช่องทางเข้าออกทางด้านสนามกอล์ฟ มีอะไรสั่งมาเลย"

"ดีมาก...เริ่มแผนสองได้แล้ว หน่วยคุ้มกันอยู่บนรถแลนด์โรเวอร์หลังคาขาว...ขณะนี้รถพยาบาลแล่นออกจากสนามผ่านสโมสรมุ่งหน้าไปทางช่องทางเข้าออกสนามกอล์ฟแล้ว...โปรดระวังมีรถเบ๊นซ์สีฟ้า ขับตามไปอักคัน ตรวจการณ์ข้างในรถไม่เห็นเพราะติดฟิล์มกรองแสง...เริ่มปฏิบัติการ"

เสียงรายงานถ่ายทอดเหตุการณ์จากสนามม้าผ่านเข้ามาในรถ "ซีเลสเต้" เป็นระยะ ๆ ไอ้โล้นหัวเราะฮึ ๆออกมาพร้อมกับเอื้อมมือข้ามไปหยิบกระเป๋าผ้าใบขนาดใหญ่ที่วางอยู่ข้าง ๆ ถุงกอล์ฟขึ้นมาเปิดออกอย่างรวดเร็ว

หน้ากากป้องกันไอพิษ2อันถูกดึงออกมาวางเอาไว้บนตัก เสียงไซเรนของรถพยาบาลที่ดังแว่ว ๆ อยู่ภายในบริเวณสนามม้าทำให้ไอ้โล้นแสยะยิ้มออกมาด้วยท่าทางกระหายเลือด

"-ประเดี๋ยวคงได้จวกกันยับ มึงขับรถดี ๆ ก็แล้วกัน...กูจะซดกับมันด้วยไอ้ปืนโตนี่แหละโว้ย "

ในขณะที่พูดไอ้โล้นก็ดึงปืน " เอ็ม-79 " จากพื้นใต้ท้องรถขึ้นมาวางบนตัก ไอ้แสบอ้าปากหวอทำท่าจะพูด ไอ้โล้นยัดหน้ากากไอพิษทิ่มพรวดเข้าไปที่จมูกพร้อมกับสำทับออกมาด้วยเสียงลึก ๆ

"-อย่าเสือกพูด ใส่หน้ากากนี่ซะ รถของเราอยู่ใต้ลม ประเดี๋ยวได้ตายโหงตายห่ากันบ้างหรอก "

ไอ้แสบรับหน้ากากขึ้นไปสวมด้วยท่าทางงง ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา มันขยับท่อกรองอากาศให้ครอบจมูกและปากพารถเข้าไปจอดชิดซ้ายก่อนถึงช่องทางเข้าออกประมาณ 30 เมตรสงบท่าทีรอจังหวะการทำงานด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ

พอไอ้โล้นสวมหน้ากากป้องกันไอพิษเสร็จก็เอื้อมมือไปเปิดล็อคช่องเก็บของหยิบลูกปืนขนาดใหญ่แต่ทว่าอวบสั้น ขึ้นมาวางเอาไว้บนอุ้มมือลักษณะของกระสุนปืนที่พิลึกพิลั่นนั้น มีขนาดเท่ากับกล้วยน้ำว้าขนาดใหญ่ที่ยังไม่ปอกเปลือก เลยทีเดียว

ไอ้โล้นปลดล็อคหักลำกล้องปืน " เอ็ม-79" ออกแล้วยัดลูกปืนสีเขียวสดเข้าไปในช่องท้ายลำกล้องกระแทกอุ้งมือกดลำกล้องให้เข้าล็อคด้วยท่าทางชำนิชำนาญ ต่อจากนั้นก็เลื่อนท่อกรองอากาศให้พ้นจากจมูกหันไปพูดกับเพื่อนคู่หูเบา ๆ

"-ประเดี๋ยวมึงจี้ติด ไอ้รถเบ๊นซ์สีฟ้านั่นเข้าไปเลย...กูจะจวกมันด้วย "เอ็ม-16-เก็บเสียง" กะระยะให้ดี นะโว้ย เอาให้กึ่งกลางสะพานลอยนั่นแหละกำลังดี...เฮ้ยโน่นรถพยาบาลโผล่หัวออกมาแล้วโว้ย"

ประโยคสุดท้ายไอ้โล้นละล่ำละลักออกมาพร้อมกับเอี้ยวตัวเอื้อมมือไปหยิบ " เอ็ม-16" สวมท่อเก็บเสียงที่ดัดแปลงให้สั้นกว่าเดิมขึ้นมาวางพาดเอาไว้บนตัก

เสียงไซเรนครางโหยหวลอยู่ตรงประตูเข้าออก...ชั่วอึดใจ ส่วนหัวรถพยาบาลก็โผล่พรวดออกมาอย่างรวดเร็ว พลขับแตะเบรคนิดหนึ่งแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายพารถมุ่งหน้าขึ้นสะพานลอยซึ่งมองเห็นทมึนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัยนั้น

ในช่วงเวลาที่ติด ๆ กันนั่นเอง รถเบ๊นซ์สีฟ้า 6 สูบตามคำรายงานจากบริเวณสนามม้าก็โผล่พรวดตามออกมาติด ๆ พวงมาลัยที่หักเลี้ยวอย่างกะทันหันทำให้รถเสียการทรงตัว แฉลบออกไปขวางถนนอย่างน่าหวาดเสียว พลขับคงจะมีความสามารถพอตัว จึงประคองรถห้อแน่บตามรถพยาบาลไปได้อย่างทุลักทุเล

"-เกือบคว่ำ...ไอ้สัตว์ ฝีมือขับรถขนาดนี้ค่อยสูสีกับกูหน่อย จวกแม่มันเลย...ไอ้โล้น "

อดีตมือปืนรับจ้างเพชรคำรามออกมาจากลำคอพร้อมกับพารถกระโจนพรวดจี้ติดหลังหลังเบ๊นซ์สีฟ้าขึ้นไปบนสะพานลอยด้วยท่าทางกระหายเลือด

"-ทิ้งระยะประมาณ 30 เมตร ระวังรถสวนด้วย...พอกูยิงมึงเร่งเครื่องแซงขึ้นไปเลย แล้วปาดหน้ารถพยาบาลกึ่งกลางสะพานโน่นให้ได้ จี้เข้าไปอีกนิด...ระวังรถมันขึ้นสะพานแล้วโว้ย "

ไอ้โล้นกระซิบออกมาตามไรฟัน ร่างกายที่นั่งคุ้มไหล่อยู่บนเก้าอี้สั่นสะท้านเหมือนกับไข้มาเลเรียกำเริบขึ้นมาอย่างกะทันหัน...แววกระหายเหลือดพร่างพรายอยู่บนดวงตาที่โปนจนมองดูเหมือนกับจะทะลุออกมานอกเบ้านั้น...

ไอ้แสบเอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่แผงหน้าปัด ทันใดนั้นเองกระจกหน้าค่อย ๆเลื่อนหดลงไปในตัวรถเหมือนกับปาฏิหาริย์...สายฝนกระหน่ำพรูเข้ามาในรถจนเปียกปอนไปหมดทั้งคัน

ไอ้โล้นยกปืน "เอ็ม-16" ขึ้นวางพาดช่องกระจกหน้ารถ ท่อเก็บเสียงซึ่งยาวเฟื้อยโผล่จังก้าออกไปเบื้องหน้า เป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 30 เมตร พร่างพรายอยู่ท่ามกลางสายฝน ความรุนแรงของดีเปรสชั่นทำให้การจราจรบนสะพานลอยเบาบางจนดูเหมือนกับว่า เส้นทางดังกล่าวนั้นถูกห้ามใช้เป็นการชั่วคราวเลยทีเดียว

ไอ้โล้นเลื่อนคันบังคับการยิงไปที่ตำแหน่ง "ฟลู-ออร์โต" เหนี่ยวไกสาดกระสุนเข้าใส่กระจกหลังของรถเบ๊นซ์เป็นจักรผัน

" ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊ "

กระสุนปืน .223 ทะลวงผ่านท่อเก็บเสียงครางระงมเหมือนกับท่อลมรั่ว กระจกหลังของรถเบ๊นซ์สีฟ้าวิ่งอยู่ข้างหน้าปรากฏรอยร้าวแผ่กระจายแล้วร่วงกราวเหมือนกับข้าวเกียบปิ้ง ร่างของชายฉกรรจ์ที่แออัดยัดเยียดอยู่ในรถทะลึ่งขึ้นสุดตัว แล้วล้มผลุบหายลงไปในเบาะมองเห็นวอมแวมรถซึ่งวิ่งอยู่ดี ๆเริ่มแฉลบเซไปเซมา...ไอ้โล้นโยนปืน "เอ็ม-16" เอาไว้ที่เบาะหลัง ซึ่งพร้อม ๆ กันนั้น ไอ้แสบก็เหยียบคันเร่งพารถแซงขึ้นไปทันที

กระจกหน้ารถ "ซีเลสเต้" ถูกสวิทช์อัตโนมัติเลื่อนขึ้นไปปิดเอาไว้เหมือนอย่างเดิม ไอ้แสบควบรถผ่านเบ๊นซ์สีฟ้าซึ่งหมุนคว้างอยู่บนสะพานได้อย่างหวุดหวิด เพียงแว่บเดียวที่มองเห็นไอ้โล้นก็สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า ขณะนี้ทุกชีวิตที่อยู่บนรถคันนั้น "ตายโหง" ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่กระสุนนัดสุดท้ายได้สิ้นเสียงลง

ซีเลสเต้ไล่รถพยาบาลเข้าไปใกล้ทุกขณะ พอเกือบจะถึงกึ่งกลางสะพาน ไอ้แสบก็หักรถออกทางขวามือแล้วปาดหน้ารถพยาบาลอย่างน่าหวาดเสียว

เสียงเบรคสนั่นหวั่นไหว พลขับรถพยาบาลกระแทกเบรคลงไปเต็มเหยียด ชั่วอึดใจต่อมารถพยาบาลก็ถลาแซ่ด ๆเข้าไปสิ้นฤทธิ์อยู่ที่ราวสะพานโดนมีรถของเพชฌฆาตรับจ้างทั้งสองจอดประกบอยู่ด้านหน้า

ไอ้โล้นกระโจนผลุงลงมาจากรถ ปากกระบอก " เอ็ม-79 " ทิ่มโครมลงไปบนแผ่นกระจกด้านข้างพร้อม ๆ เหนี่ยวไกไอ้ปืนโตทันที

" พร็อก "

เสียงดังเหมือนกับทุบกระบอกไม้ไผ่ ลูกกระสุน " เอ็ม-79 " ที่บรรจุแก๊สสลบพุ่งปร๊าดออกจากลำกล้องกระทบกับพื้นรถดังสนั่นหวั่นไหว แต่ปรากฏว่าไม่มีเสียงระเบิดตามมาแต่อย่างใด นอกจากจะมีควันสีเขียวพวยพุ่งขึ้นมาจากตำแหน่งกระสุนตกคละคลุ้งไปหมดเท่านั้น

ตามปกติแล้ว กระสุนที่ยิงจากปืน "เอ็ม-79 " จะไม่ระเบิดเมื่อลูกกระสุนที่วิ่งออกจากปากลำกล้อง "ควง" ไม่ครบรอบ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ซี.ไอ.เอ. จึงคิดค้นกระสุนบรรจุควันสลบขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ โดยอาศัยแรงกระแทกจากหัวกระสุนในขณะที่กระทบพื้นดันแก๊สที่อัดแน่นอยู่ในตัวให้กระจายออกไปรอบทิศ

นางพยาบาลสองคนและพลขับรถพยาบาลยกมือขึ้นอุดจมูก...แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ทั้ง 3 คนกระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มผล็อยลงกับพื้นทั้ง 3 คน สิ้นสติสัมปชัญญะในบัดดล...ไอ้โล้นล้วงมือเข้าไปในช่องกระจกที่แตกละเอียดปลดล็อคเปิดประตูท้ายของรถพยาบาลออกทันที !

ควันสีเขียวตลบออกมานอกรถ...ไอ้โล้นขยับท่อกรองอากาศเพื่อความรอบคอบอีกครั้งแล้วมุดเข้าไปลากเอาร่างที่เปรอะไปด้วยโคลนตมของจ๊อกกี้หมายเลข 6 ออกมาอย่างทุลักทุเล

ชั่วอึดใจไอ้โล้นก็แบกร่างของจ๊อกกี้หมายเลข 6 เข้าไปวางเอาไว้ที่เบาะหลังของ "ซีเลสเต้" ยังไม่ทันทีไอ้แสบจะออกรถ ประสาทหูของทรชนทั้งสองก็ได้ยินเสียงคำรามของปืนดังฝ่าพายุฝนเข้ามาอย่างถี่ยิบ แนวกระสุนฉีกตัวถังรถพยาบาลแล้วแฉลบเข้ามาปะทะด้านข้างของซีเลสเต้ดังเกรียวกราว เนื้อเหล็กโดนคมกระสุนฉีกเป็นทางมองเห็นถนัดหูถนัดตา...

ไอ้แสบกระชากรถออกจากราวสะพาน สายตาเขม็งมองดูที่กระจกหลังด้วยอาการตื่นเต้น...ภาพของรถเบ๊นซ์สีฟ้าที่วิ่งควบตามขึ้นมาในระยะเกือบ 50 เมตร ทำให้ไอ้แสบต้องรีบถอดหน้ากากออกแล้วอุทานสุดเสียง..."-ฉิบหายละมึง-ไอ้โล้น...โน่นพ่อของมึงไล่ตามขึ้นมาโน่น ไอ้ห่ายิงยังไงวะปล่อยให้มันรอดมาจวกเราอยู่ได้...เอ้า..ล่อแม่มันเลย"

ไอ้แสบพูดพรางเอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่เรียงเป็นตับอยู่ที่แผงหน้าปัด ชั่วอึดใจกระจกด้านท้ายของรถ "ซีเลสเต้" ก็เลื่อนลงไปจนสุด

ไอ้โล้นหัวเราะก๊าก หยิบ "เอ็ม-16" ขึ้นมาวางพาดช่องท้าย แต่ยังไม่ทันจะเหนี่ยวไกก็ต้องฟุบตัวลงแนบกับเบาะ เนื่องจากโดนสลุตด้วยกระสุนอีกชุด

และคราวนี้กระสุนนัดหนึ่งของมันจับพลัดจับผลูหลุดเข้ามาทางช่องท้าย เจาะขอบพนักเบาะพิงด้านหลังกระจุยกระจายไม่มีชิ้นดี...อำนาจกระสุนแรงสูงยังทะลวงผ่านเบาะหน้าฉีกกระจกออกเป็นรูโบ๋ เมล็ดฝนพรั่งพรูเข้ามาในตัวรถเป็นสาย

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 7 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 12:23  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19414

คำตอบที่ 77
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 8

ทูตมฤตยูจากรถเบ๊นซ์ คำรามกราดเกี้ยวแหวกสายฝนพุ่งปร๊าดเข้าหา "ซีเลสเต้" เป็นสายกระสุนส่องแสงสีเขียวสุกใสสว่างเป็นทางมองเห็นถนัดหูถนัดตา ไอ้แสบชำเลืองดูกระจกหลังพร้อม ๆ กับโยกพวงมาลัยพารถวิ่งส่ายเป็นงูเลื่อย ปากก็คำรามออกมาอย่างกระหายเลือด

"-ชัดเจน...กูว่าไอ้แกวมันตามล่ามึงจากเมืองลาวมาถึงที่นี่แหง ๆ ลองกระสุนส่องแสงสีเขียวปี๋แบบนี้ละก็เชื่อขนมแกวกินได้ เม็ด-อิน-จีนแดงพันเปอร์เซ็น...จวกแม่มันเลย...ไอ้โล้น "

"-ไอ้ฉิบหาย ขับรถซ่นตีนแบบนี้ มึงจะให้กูยิงมันยังไงวะ "

ไอ้โล้น สบถออกมาอย่างหัวเสีย พร้อมกับใช้มือยึดพนักเบาะพิงมิให้เซไปปะทะกับประตูรถ ปืน "เอ็ม-79" ที่วางเอาไว้ข้าง ๆศพจ๊อกกี้กลิ้งตกลงไปที่พื้นรถเสียงดังเกียวกราว

ไอ้แสบหัวเราะก๊าก แตะคันเร่งน้ำมันลงไปอีก "ซีเลสเต้" กระโจนพรวดเหมือนกับกระทิงเปลี่ยว ห้อแน่บลงไปบนทางลาดของสะพานลอยเหมือนกับติดปีกบิน

รถเบ๊นซ์สีฟ้าก็ยังจี้ติดแจ เสียงครางระงมของปืนอาร์ก้าที่ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่เบื้องหลังทำให้ไอ้แสบขบกรามแน่นพร้อมกับชำเลืองดูรอยกระสุนที่กระจกหน้ารถ ด้วยอาการฉุนเฉียวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วละมือจากปุ่มเกียร์ขึ้นไปกดสวิทช์เรียงรายอยู่บนแผงหน้าปัดทันที

ชั่วอึดใจก็มีสียงพูดติดต่อวิทยุ " คลื่นพิเศษ " ของกรมตำรวจดังแซดไปหมด

"-ศูนย์ เรียก...นางเลิ้ง...พญาไท...ห้วยขวาง โปรดจัดชุดปฏิบัติการพิเศษออกช่วยเหลือรถประชาชนด่วนขณะนี้มีรถเสียเนื่องจากน้ำท่วมในท้องที่ของท่านหลายคัน...เปลี่ยน"

"-อะไรวะ...เสียงปืนดังเป็นประทัดแตกขนาดนี้โปลิสก็ยังไม่รู้อีกหรือว่านี่...ทางสะดวกแล้วโว้ย...ใส่มันด้วยไอ้ปืนโตเลย ไอ้โล้น "

"-มึงลดความเร็วรถลงหน่อยไอ้แสบ...ฉิบหายเหยียบลงไปได้เกือบมิดเกร์ ประเดี๋ยวกูจะสลุตมันเอง"

ไอ้โล้นพูดพลางหยิบ "เอ็ม-79" ขึ้นมาหักลำกล้องพร้อมกับบรรจุลูกกระสุน ชั่วอึดใจมันก็เหยียดลำกล้องที่อวบหนาขนาดลำไม้ไผ่ออกไปนอกกระจกหลัง แนบสองตากับช่องศูนย์ เล็งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเหนี่ยวไกทันที

" พร๊อก "

ลูกกระสุนบรรจุควันสลบพุ่งปร๊าดออกจากลำกล้องจุดหมายปลายทางก็คือ รถเบ๊นซ์สีฟ้าขณะนี้ จี้ติดเข้ามาในระยะเกือบ 50 หลา

เหมือนกับผีจับยัด ลูกกระสุนปะทะกับกระจกหน้ารถเบ๊นซ์ทะลุเข้าไปข้างในพร้อม ๆ กับมีเสียงระเบิดดังสนั่น

" - บึ้ม - "

รถเบ๊นซ์ถลาแวบออกไปทางเลนขวามือแล้วลื่นไถลกับราวสะพานครูดลงมาตามทางลาดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชั่วอึดใจมันก็หมอบสิ้นฤทธิ์ในลักษณะเอาหน้าทิ่มราวสะพานเกยค้างเติ่งอยู่บนสะพานลอยนั่นเอง

ซีเลสเต้กระโจนพรวดลงมาจากสะพานลอยพายุฝนที่กระหน่ำลงมาหยั่งกับฟ้ารั่วทำให้ถนนว่างไอ้แสบหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายพารถวิ่งหายเข้าไปในความบ้าคลั่งของพายุฝนที่มืดทมึนอยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

เตียงผ่าตัด ที่ครบครันไปด้วยเครื่องอุปกรณ์ชั้นซุปเปอร์เดอร์ลุกซ์ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องปรับอากาศที่เย็นเจี๊ยบ โคมไฟขนาดใหญ่เหนือเตียงผ่าตัดถูกเลื่อนระยะลงมาส่องสว่างเหนือร่างอันเปลือยเปล่าของศพจ๊อกกี้ นายแพทย์รูปร่างสูงเกิน 6 ฟุต คาดจมูกเอาไว้ด้วยผ้าก๊อซกำลังสาละวนผ่าตัดช่องท้องของศพด้วยความคล่องแคล่วว่องไวไม่ถึงยี่สิบนาที วัตถุชิ้นหนึ่งก็ถูกคีบออกมาจากลำไส้

มันเป็น แคปซูม ไมโครฟิล์ม ที่จ๊อกกี้กลืนลงไปเมือสองชั่วโมงที่ผ่านมานั่นเอง นายแพทย์ปลดผ้าก๊อซที่คาดจมูกออก หยิบ " แคปซูล " ขึ้นใส่ตลับโลหะเล็ก ๆ แล้วยัดลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม เอื้อมมือไปกดปุ่มที่อยู่บนผนังห้องแล้วพาตัวเองเดินออกไปจากห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว

ไอ้แสบเดินคู่กับไอ้โล้น ไปตามเฉลียงทางเดินที่ยาวเหยียด...คำสั่งเรียกตัวอย่างกะทันหันทำให้ทั้งคู่เย็บริมฝีปากแน่น ชั่วครู่ทั้งสองก็มาหยุดอยู่หน้าห้องผ่าตัดพลางเคาะเบา ๆ

" เชิญ " มีเสียงร้องอนุญาตจากข้างใน

ทั้งคู่เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบ ๆ...ภายในห้องผ่าตัดกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอย่างขนานใหญ่ นางพยาบาล สองคนตระเตรียมเครื่องมืออย่างเร่งร้อน บนเตียงผ่าตัดนายแพทย์ชาวต่างประเทศซึ่งทำการผ่าตัดศพจ๊อกกี้เมื่อสามชั่วโมงที่ผ่านมากำลังฉีดยาให้กับ " คนไข้ " ซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง เสี่ย " วิชัย พรกิจนรากุล " ยืนขบกรามเป็นสันนูนอยู่ข้าง ๆ

ทางด้านปลายเตียง " ชาติ " สายสืบของ ซี.ไอ.เอ. ซึ่งอยู่ในคราบของทรชนยืนเอามือเท้าปลายเตียงด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเสียใจ

" - ยา " จี-เซเว่น "... ใช้ได้ผลมาแล้วในสงครามอินโดจีน...ต่อให้คนไข้มีอาการ " โคม่า " ขนาดไหนก็สามารถจะมีสติขึ้นมาในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็คงไม่นานนัก "

นายแพทย์ชาวต่างประเทศพูดกับเสี่ยวิชัยเป็นภาษาไทย อย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับเดินยาเข้าเส้นคนไข้อย่างชำนิชำนาญ

ไอ้โล้น ก้าวเข้าไปใกล้เตียงผ่าตัด พอมองเห็นคนไข้ถนัดก็ผวาเข้าไปชิดขอบเตียงละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน...

"ไอ้จิตต์...มึงเป็นอะไร...ใครทำมึง...โธ่...เพื่อนฝูงไม่น่าเลย !"

ร่างของจิตต์ คล้ายกับศพที่โดนถ่วงน้ำท้องอืดพองเหมือนอึ่งอ่าง ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมแดงจนมองดูเหมือนกับมีความร้อนสูงสุมอยู่ภายในร่างกายใบหน้าแตกยับเยินอูมบวมเป่ง คราบโลหิตเกรอะกรัง !!

เสี่ยวิชัย เบื้องหน้าหันมามองทรชนทั้งสองอย่างช้า ๆ แววตาทั้งคู่กระด้างและเย็นชาจนมองดูเหมือนกับไม่มีวิญญาณ

" - โดนมาจากสนามหลวงหลังจากที่จิตต์แกะรอยผู้หญิงลูกครึ่งไปจากสนามม้า...สายของเราเพิ่งเจอะมันเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง...มันถูกทิ้งเอาไว้ที่กลางสนามหลวง"

" โดนอะไรครับ...เจ้านาย "

ไอ้แสบซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กระซิบถามขึ้นมาบ้าง

"กรอกปากด้วยน้ำมันก๊าดร้อน ๆ...ข้อมือโดนหักจนใช้การอะไรไม่ได้ หมอฉีดยาเข้าไปถ้าได้สติเราคงจะได้อะไร ๆ จากจิตต์พอสมควร...ยาจะได้ผลไหมครับหมอ ?"

ประโยคสุดท้ายเสี่ยวิชัยหันไปถามแพทย์อย่างร้อนใจ

เสียงคนเจ็บขยับตัว พร้อมกับถอนใขยาว ดวงตาซึ่งหลับพริ้มอยู่ตลอดเวลา ลืมโพลงขึ้นมาเหมือนกับจะตกใจต่อบางสิ่งบางอย่าง-อย่างปัจจุบันทันด่วน แล้วหลับตาลงไปอีกด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ชาติซึ่งยืนอยู่ปลายเตียงขยับเข้ามาเขย่าที่ไหล่พร้อมกับกระซิบเบา ๆ

" - จิตต์...ลื้อปลอดภัยแล้ว...หมอกำลังจะช่วยลื้อ"

จิตต์ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ริมฝีปากที่บ่วมเจ่อ อ้าออกอย่างลำบากยากเย็น กล้ามเนื้อปากสั่นระริก เหมือนกับจะพยายามพูด แต่ไม่มีเสียงลอดออกมา

ด้วยความสงสัย ชาติเอื้อมมือไปอ้าปากของจิตต์ออกพร้อมกับก้มหน้าลงไปมองดูอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมาส่ายหน้าด้วยอาการสิ้นหวัง

"-ไม่มีทางพูด...จิตต์มันโดนตัดลิ้น...เจ้านาย"

ไอ้โล้นเอื้อมมือไปสะกิตชาติเบา ๆ พร้อมกับขยับเข้าไปที่เตียง มันจ้องสายตาประสานกับจิตต์อยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมาเบา ๆ

" กูรู้ว่ามึงอยากพูด-จิตต์ มึงมันยอดคน ความอดทนของมึงเหมือนไม่ใช่คน ถ้ามึงได้ยินกูพูดและเข้าใจส่งสัญญาณให้กูรู้ด้วย...กระพริบตาสามครั้ง...เอาเลยเพื่อนฝูง"

ใบหน้าที่บวมอลึ่งฉึ่งเหมือนกับจะยิ้มออกมาด้วยความใจดี ดวงตาที่แข็งค้างอยู่ตลอดเวลาเริ่มกระพริบตามคำสั่งของไอ้โล้นอย่างลำบากยากเย็น

"-โอเค...ประเดี๋ยวหมอจะช่วยมึง...ให้ตายห่าเถอะวะ กูอยากรู้จริง ๆ ว่า ในขณะนี้มึงมีอะไรจะบอกกูบ้าง ?"

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นพึมพำออกมาเหมือนกับจะบ่นกับตนเอง

จิตต์หลับตาอีกครั้ง ชั่วอึดใจเขาก็ลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าไอ้โล้นเขม็ง ต่อจากนั้นก็กระพริบตาสลับกันไปอยู่ครู่หนึ่งก็หยุด

" มันส่งสัญญาณอะไรของมัน เห็นจะไม่มีทางรู้เรื่องกันแล้วกระมัง - รามาห์ "

เสี่ยวิชัยเรียกชื่อจริงของไอ้โล้นพร้อมกับขยับตัวอย่างอึดอัด

"-ต้องรู้-เจ้านาย...ไอ้จิตต์ เพื่อนผมพยายามจะส่งรหัสให้ผมทราบ...คุณพยาบาลขอกระดาษกับดินสอให้ผมหน่อยครับ "

ในขณะที่ไอ้โล้นรับกระดาษจากมือพยาบาล มันก็อธิบายต่อไปอีกอย่างยืดยาว

"-จิตต์พยายามส่งรหัส "มอส" ด้วยการกระพริบตาเป็นจังหวะสั้นยาวให้ผมทราบ กระพริบสั้นเป็นสัญญาณ "จุด" กระพริบระยะห่างเป็นสัญญาณ "ขีด" ผมสังเกตเห็นเมื่อกี้นี้ก็ชักเอะใจ...เอาเลยเพื่อนฝูง ส่งรหัสเลขสัญญาณมาได้เลย...แต่อย่าส่งเร็วนักนะโว้ย กูชักจะลืม ๆ เพราะไม่ได้ทำงานมาหลายปีแล้ว เริ่มเลย...พรรคพวก"

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นหันไปพูดกรอกใส่หูจิตต์เบา ๆ

จิตต์เริ่มกระพริบตาอย่างมีจังหวะจะโคน เกือบ 3 นาทีเต็ม ๆ ที่มนุษย์ใจหินพยายามส่งข่าวให้เพื่อนร่วมทีมทราบถึงเหตุการณ์ที่เขาผจญมา แต่แล้วดวงตาของจิตต์ก็ค่อย ๆ หรี่ลงทุกขณะ จนกระทั่งปิดสนิท ร่างกายแน่นิ่งไม่ไหวติง

นายแพทย์เอื้อมมือไปจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ คลี่ผ้าที่อยู่บนหน้าอกขึ้นไปคลุมศีรษะ ต่อจากนั้นก็หันไปพยักหน้ากับพยาบาลทั้งสอง

" สิ้นใจแล้ว เอาศพเข้าไปเก็บไว้ที่ห้องดับจิตหมดหน้าที่ของผมเพียงแค่นี้...ผมเสียใจจริง ๆ ครับ..."

สองสามประโยคสุดท้าย นายแพทย์หันมาพูดกับเสี่ยวิชัยด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเสียใจ แล้วเดินผละออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวิชัยไม่ตอบ เขาหันไปคว้ากระดาษจากมือไอ้โล้น พร้อมกับถามอย่างกระตือรือร้น

"ได้ความว่าไง - รามาห์ " ไอ้โล้นแย่งกระดาษกลับแล้วอ่านข่าวจากการส่งสัญญาณของจิตต์ออกมาดัง ๆ

"ผู้หญิงลูกครึ่งพักอยู่ที่ห้อง 113 โรงแรมรอแยลมีฝรั่งที่คาดว่าจะเป็นสัญชาติรุสเซยพักอยู่ 2 คน เห็นนักศึกษาหัวก้าวหน้าของไทยรวมประชุมที่ห้องหลายคน...ผมโดนจับเข้าไปทารุณในห้อง...บอกพี่ชาติพวกมันมีรูปถ่ายพี่ชาติในสนามม้า ระวังตัว พวกมันเป็นสายของ "เค.จี.บี.""

"-ข่าวยังไม่สมบูรณ์ อั๊วคิดว่า ข่าวฉบับนี้ยังไม่จบมันจะต้องมีอะไรมากกว่านี้ ลื้อรับข่าวชัวร์หรือเปล่าวะ-รามาห์"

เสี่ยวิชัย สวนคำพูดขึ้นมาทันทีเมื่อไอ้โล้นอ่านข่าวจบลง

"-ชัวร์พันเปอร์เซ็นต์ ผมเคยเป็นพนักงานวิทยุที่ค่ายวชิราวุธมาเกือบ 2 ปีเต็ม ๆ พูดแล้วจะหาว่าคุย ผมเคยใช้ตีนเคาะเลขสัญญาณจนเกือบจะโดนขังมาแล้ว เคยทำสถิติในการรับถึง 18 คำต่อนาที จนฝรั่งซูฮกทั้งจูสแม็ค ของกล้วย ๆ ขนาดนี้ถ้ารับผิดก็ไม่ใช่ โมฮาหมัด-อับดุล-รามาห์ ซิครับ"

ยังไม่ทันที่ใครจะกล่าวอะไรออกมา เสียงออดก็ดังกังวานขึ้นลั่นห้อง เลาด์สปิคเกอร์ที่ติดเอาไว้ที่ผนังห้องส่งเสียงกังวาน

"-ทุกคนมาประชุมที่ศูนย์ปฏิบัติการ...ด่วน ทุกคนมาประชุมที่ศูนย์บังคับการ...ด่วน...ช่องทางเข้าออกที่ 3 กำลังถูกบุกรุก"

"-ฉิบหายแล้ว...ทำไมพวกมันรู้เส้นทางเข้าออกของพวกเราวะ...ไปโว้ย"

เสี่ยวิชัย ละล่ำละลักออกมาพร้อม ๆกับกระโจนพรวดออกจากห้องผ่าตัด ตามติด ๆ ด้วยกลุ่มทรชนและนางพยาบาลที่วิ่งพรูตามกันออกมาเหมือนกับงูกินหาง

บนเฉลียงทางเดินที่สว่างไสวไปด้วยแสงฟลูออร์ริสเซ่น ขณะนี้สับสนวุ่นวายไปด้วยเจ้าหน้าที่ประจำห้องใต้ดินของสถานทูตมหาอำนาจชาติหนึ่งในย่านถนนวิทยุ ทุกคนวิ่งมุ่งหน้าเข้าหาห้องศูนย์ปฏิบัติการด้วยความตื่นเต้น เสียงออดไฟฟ้า และเสียงเลาด์สปีคเกอร์ ที่ดังกังวานอยู่ตลอดเวลา สร้างความตื่นตระหนกให้กับเจ้าหน้าที่บางคนมองเห็นได้ชัด

ไม่ถึงสองนาที ทุกชีวิตอยู่ในห้องใต้ดินก็นั่งกันหน้าสลอนอยู่ในห้องศูนย์ปฏิบัติการ สายตาทุกคู่จ้องเขม็งไปยังจอโทรทัศน์ ที่ปรากฏภาพวูบวาบอยู่บนผนังห้องเบื้องหน้าด้วยความเงียบเชียบ

มันเป็นภาพที่ถูกส่งตรงมาจากตึกหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ สถานทูตสิงห์โปร์ แสงนีออนซึ่งสว่างไสวอยู่ภายในห้องตึกหลังนั้น ช่วยให้มองเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้บุกรุกได้อย่างถนัดถนี่ ภาพของชายฉกรรจ์ รูปร่างผอมสูงคนหนึ่งผ่านแวบเข้ามาในจอโทรทัศน์ในระยะใกล้ ๆ ทำให้ไอ้แสบซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ เสี่ยววิชัยถึงกับอุทนานออกมาเบา ๆ

"-ไอ้สีตาแดง มันเคยไปรับจ้างรบเมืองลาวพร้อมผม ไอ้ห่าจิกนี่ซึ่ง ๆ หน้าไม่เอาใครหรอกครับ คนเมืองเชรเขาเรียกมันว่า " ไอ้ตาแดง " เอ๊ะ มันเสือกเข้ามาร่วมกับไอ้พวกนี้ได้ยังไง ผมงงจริง ๆ เจ้านาย "

" - ก็แล้วมึงล่ะ...ไอ้แสบ ทำไมมึงถึงเข้ามาทำงานอยู่ที่นี่ได้...เงินโว้ย...เงินตัวเดียวเท่านั้นมึงอยู่กับ ซี.ไอ.เอ.ได้...ไอ้สีก็มาอยู่กับ เค.จี.บี. ได้ยังจะเสือกมีหน้ามาถามอีก...ไอ้เส็งเคร็ง "

ไอ้โล้นซึ่งนั่งวางมาดอยู่บนเก้าอี้นวมข้าง ๆ ชาติยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาทะลุกลางปล้องด้วยท่าทางกวน ๆ ไอ้แสบหันมาจ้องหน้าเขม็ง แล้วห่อริมฝีปากเป็นรูปวงกลม กระซิบคำพูด " เครื่องเพศชาย " อยู่ในลำคอเบา ๆ

ลักษณะของริมฝีปากทำให้ไอ้โล้นสามารถอ่านความหมายคำพูดของเพื่อนออก มันยิ้มพยักพเยิดพร้อมกับยกหัวนิ้วแม่มือไปยังนางพยาบาลที่นั่งอยู่ข้างหน้าในทำนองขอโอน " ของขวัญ " จากไอ้แสบให้แก่หญิงสาวอยู่ในทีเล่นเอาชาติที่นั่งมองพฤติการณ์ของตัวแสบทั้งสองอยู่ ถึงกับหัวเราะฮึ ๆ ออกมาเบา ๆ

ภาพของชายชราที่โดนผลักกระเด็นลงกับพื้นห้องทำให้การเล่นหัวของมนุษย์เดนตายทั้งสองยุติลงทันที

" - ไอ้แก่ เจ้านายของมึงอยู่ไหนวะ ?" กล้องโทรทัศน์อัตโนมัติ ซึ่งซ่อนอยู่ในห้องดังกล่าวนั้นเริ่มส่งเสียงเข้ามาเป็นครั้งแรก เสี่ยวิชัยขยับเข้าไปหา พ.ท. แจ็คสัน "ครูปืน" ของซี.ไอ.เอ. ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย ยังไม่ทันจะกล่าวถามอะไรออกมา "ครูปืน" ซี.ไอ.เอ. ก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

" อย่าตกใจ มิสเตอร์วิชัย "ลุงชิต" ผ่านการทดสอบมาแล้วหลายครั้ง ไอ้การทรมานแค่นี้ ไม่สามารถที่จะ " เปิดปาก " ลุงชิตของผมได้หรอกครับ ขนาดโดนหั่นนิ้วก้อยออกเป็นสองข้าง ลุงชิตก็ยังไม่ยอมพูด...อย่าตกใจมิสเตอร์วิชัย...ปากทางอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งอยู่บนห้องดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นความลับตลอดไป...ลุงชิตแกเป็นใบ้มาแต่กำเนิด "

ประโยคสุดท้าย พ.ท. แจ็คสัน ลดเสียงลงกระซิบกระซาบกับเสี่ยวิชัยเบา ๆ แต่ทว่าสายตาจ้องดูภาพบนจอโทรทัศน์เขม็ง

ลุงชิตส่งเสียงอึกอักในลำคอ มือทั้งคู่ที่ยกขึ้นมาเหมือนกับอธิบายว่า ไม่มีใครอยู่บนบ้านหลังนี้ นอกจากแกคนเดียว ไอ้สีตาแดงขัดใจขึ้นมาก็ยกเท้ากระทึบโครมลงไปบนท้องน้อยเต็มแรง ปากก็คำรามออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

" - แกล้งทำเป็นใบ้...เหลี่ยมจัดนักมึง ไอ้แก่เอาซิวะมึงทนมือทนตีนพวกกูได้ก็เอา...เฮ้ยจับมันลุกขึ้นยืน "

ไอ้สีหันไปสั่งลูกน้องสามคนที่ยืนรายล้อมอยู่ใกล้ ๆ แล้วถอยออกไปยืนล้วงกระเป๋าค้นหาอะไรอยู่ในกระเป๋ากางเกงอยู่ชั่วอึดใจก็เงยหน้าขึ้นถามลูกน้องคนหนึ่งดัง ๆ

" - เฮ้ยใครมีไม้ขีดไฟบ้างวะ เอามาให้กูทั้งกล่องไอ้เหี้ยนี่แกล้งทำเป็นใบ้ ประเดี๋ยวกูจะทำให้มันพูดคล่องเป็นนกขุนทองเชียวมึง "

ไอ้สีรับกล่องไม้ขีดจากลูกน้อง แล้วเทออกมาทั้งกล่อง หักเอาหัวไม้ขีดไฟมารวมกันกำเอาไว้ในมือขยับตัวเข้าไปหาลุงชิตพร้อมกับตะคอกออกมาดัง ๆ

" - ไอ้แก่กูให้โอกาสมึงครั้งสุดท้าย เจ้านายของมึงที่หามคนเจ็บเข้ามาในบ้านหลังนี้อยู่ไหน...ถ้ามึงไม่ตอบกูจะระเบิดหูของมึงเดี๋ยวนี้ "

ลุงชิตส่งเสียง แบ๊ะ แบ๊ะ สั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธไอ้สีขัดใจขึ้นมาก็เตะตูมเข้าไปที่ท้องน้อย ในขณะที่ลุงชิตงอตัวดิ้นอึกอักอยู่ท่ามกลางการขนาบของกลุ่มมือปืน ไอ้สีก็ออกคำสั่งขึ้นมาอย่างเฉียบขาด

" - มัดมือ มัดแขน แล้วจับมันนอนตะแครงลงกับพื้น กูจะทำให้มันพูดให้ได้ "

ในขณะที่กลุ่มผู้บุกรุกกำลังสาละวนมัดลุงชิตอยู่ ในจอโทรทัศน์อยู่นั้น พ.ท. แจ็คสันครูปืนของ ซี.ไอ.เอ. ก็ออกคำสั่งขึ้นมาอย่างห้วน ๆ

" - ทุกคน นอกจากมิสเตอร์วิชัย, มิสเตอร์โล้น, มิสเตอร์แสบ, มิสเตอร์ชาติ, โปรดออกจากห้องใต้ดินโดยด่วน ใช้เส้นทางอุโมงค์หมายเลข 1 ต่อจากนั้นให้พักอยู่ภายในสถานทูต รอคำสั่งปฏิบัติการต่อไป..."

ยังไม่ทันจะสิ้นคำสั่งของ พ.ท.แจ็คสัน ทุกคนนอกจากผู้ที่ถูกกล่าวนาม ก็วิ่งพรูกันออกจากห้องศูนย์ปฏิบัติการเป็นจ้าละหวั่น ชั่วอึดใจภายในศูนย์ก็เหลือแต่เจ้าหน้าที่และกลุ่ทเพชฌฆาตรับจ้างขององค์การ ซี.ไอ.เอ. ยืนจับกลุ่มกันดูภาพบนจอโทรทัศน์วงจรปิดอย่างเงียบ ๆ

" - ไอ้ห่าพวกมันแกะรอยของเราที่พาไอ้จิตต์เข้ามาที่ปากอุโมงค์ที่ 3 ได้ยังไงกันวะ นี่พวกเราไม่มีทางช่วยลุงชิตเลยหรือครับหัวหน้า "

เสี่ยวิชัยเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่จอโทรทัศน์ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย...

" - ไม่มีทางช่วย...หน่วยงานของเราเป็นหน่วยงานที่ลับสุดยอด "สาย" ของเราทุกคนพร้อมที่จะตายเมื่อเหตุการณ์บังคับ ห้องใต้ดินของเราลงทุนเกือบหนึ่งพันล้านเส้นทางออกฉุกเฉิน ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้ดิน ถูกขุดห่างออกไปเป็นระยะทางเกือยครึ่งกิโลเมตร ถ้าคุณเป็นผู้บังคับบัญชา คุณจะยอมให้ฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้ความลับของห้องใต้ดินแห่งนี้ล่ะหรือ...มิสเตอร์วิชัย ถ้าจำเป็นจริง ๆ ผมอาจจะทำลายตึกหลังดังกล่าวนั้นให้เป็นป่นเป็นผุยผงไปในชั่วพริบตา..."

"แล้วลุงชิตล่ะครับ...อาจารย์"

ไอ้แสบเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเคลือบแคลงใจ

"-ไม่มีทางเลือก มิสเตอร์แสบ ผมจำเป็นต้องแทงบัญชีจำหน่าย "สาย" ของเรา ถ้ามีเหตุการณ์บังคับ ผมชอบพูดความจริงในฐานะที่คุณเป็นลูกศิษย์ ผมอยากจะพูดว่าพวกคุณยังมีโอกาสที่จะปลีกตัวออกจากองค์การนี้ แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องเคลียร์ตัวเองให้พ้นมลทินจากกฏหมายของรัฐบาลไทยเสียก่อน คุณคงจะไม่รู้ลุงชิตไม่ได้เป็นใบ้...เมื่อกี้นี้ ผมจำเป็นต้องโกหกเพื่อให้ขวัญและกำลังใจของพวกเราดีขึ้น แต่เหตุการณ์ที่ลุงชิตกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ทำให้ผมไม่มั่นใจ...ลุงชิตอาจจะต้องพูดเพราะไม่สามารถที่จะทนการทารุณของพวกนั้นได้...ดูโน่น..."

ประโยคสุดท้าย พ.ท.แจ็คสัน ตัดบทพร้อมกับพยักพเยิดให้มองขึ้นไปบนจอโทรทัศน์

ทุกคนเหลือบสายตาขึ้นไปมองเหมือนกับนัดกันเอาไว้...ลุงชิตถูกผลักลงไปนอนตะแครงอยู่ที่พื้น สมุนของไอ้สีตาแดงใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบต้นคอของลุงชิตกดแน่นส่วนมือปืนเมืองเพชรคู่รักคู่แค้นของไอ้แสบคุกเข่าลงข้าง ๆร่างที่ถูกมัดงอก่องอขิงอยู่ที่พื้นนั้นแล้วค่อย ๆ ยัดหัวไม้ขีดไฟลงไปในหูของลุงชิดจนแน่นเอี๊ยด

" - กูถามมึงเป็นครั้งสุดท้าย เจ้านายของมึงหายไปไหน ?...ถ้ามึงไม่พูด กูจะระเบิดหูของมึงเดี๋ยวนี้ "

ลุงชิตส่ายหน้าปฏิเสธ ไอ้สีตาแดงจุดไม้ขีดไฟแล้วแหย่พรวดเข้าไปในหูของลุงชิตทันที

" ฟู่ๆๆ"

หัวไม้ขีดไฟที่อัดแน่นอยู่ในหูของลุงชิตลุกฟู่ขึ้นในบัดดล...ลุงชิตสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว แถกไถลร่างไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ส่งเสียงครวญครางออกมานอกจอโทรทัศน์อย่างโหยหวล คำพูดร้องของชีวิตพรั่งพรูออกมาไม่ขาดระยะ

"- ยอมแล้วครับ...ผมยอมแล้ว...อย่าทำผมเลยเจ้านาย "

ไอ้สีตาแดงหัวเราะก๊ากออกมาสุดเสียง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งกระชากร่างของลุงชิตขึ้นมาครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ ปากก็สำทับต่อไปอีกอย่างเฉียบขาด

" - กูยังเหลือหูของมึงเอาไว้อีกข้าง คราวนี้ถ้ามึงไม่พูดความจริง...กูจะลากลิ้นของมึงออกมาสับเล่น เอาซิวะไอ้แก่...มีหูเหลือข้างหนึ่ง แต่พูดไม่ได้...มึงเลือกเอาก็แล้วกัน...นายของมึงอยู่ที่ไหน ? "

ประโยคสุดท้าย ไอ้สีตาแดงกำชับออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 8 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 12:24  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19415

คำตอบที่ 78
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 9

ลุงชิต ดิ้นกระเสือกกระสนอยู่บนเก้าอี้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แก้วหูข้างที่โดนไม้ขีดไฟระเบิดยับ แกพยายามอ้าปากพูดอย่างลำบากยากเย็น

"นาย...นายผมซ่อนอยู่ในห้องน้ำ...อย่า...อย่าทำอะไรผมเลยครับ - เจ้านาย"

สายตาของกลุ่มทรชนทั้งสี่เหลือบมองไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับไซร์ทบอร์ดเหมือนอย่างนัดกันเอาไว้ ชั่วอึดใจ ไอ้สีตาแดงก็หันกลับมาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

" - ไอ้ปอง - ไอ้นพ มึงสองคนเข้าไปลากมันออกมา กูกับไอ้นวยจะคุ้มกันอยู่ข้างนอก แล้วก็ไอ้แก่นี่อย่าเสือกส่งสัญญาณอะไรให้นายของมึงรู้เป็นอันขาด...นอนเฉย ๆ แล้วดีเอง...เฮ้ย...เข้าไปลากมันออกมา "

ประโยคสุดท้ายไอ้สีตาแดงกำชับให้ลูกน้องทั้งคู่เริ่มปฏิบัติการ

ไอ้ปองกับไอ้นพฉากแว่บเข้าไปคุมเชิงอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ไอ้สีตาแดงเอื้อมมือหยิบ " เอ - อาร์ - 15 " พับฐาน สวมท่อเก็บเสียงที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากระชับอยู่ในซอกแขนทิ้งน้ำหนักตัวลงบนปลายเท้า พร้อมกับย่อตัวลงในลักษณะการยิงแบบ " คอมแบท " มือข้างซ้ายขยับมาเลื่อนคันบังคับการยิงไปที่ตำแหน่ง "ฟลู-ออร์โต" นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนตาเพชฌฆาต จ้องจับที่ประตูห้องน้ำ ปากที่หนาเตอะ แสยะยิ้มออกมาด้วยความลำพอง

ไอ้นพเอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วหันมาพยักหน้ากับเพื่อนคู่หู...มือข้างที่ถือปืน .45 ยี่ห้อ "แอนตี้ - ซามูไร" ยกเหยียดจ้องไปข้างหน้า ด้วยมาดของมือปืนที่ผ่านการฝึกมาอย่างช่ำชอง

บานประตูห้องน้ำถูกเปิดออกมาอย่างง่ายดาย ไอ้นพชะโงกหน้าเข้าไปสำรวจอยู่ชั่วอึดใจ ก็หันมาสบตากับเพื่อนคู่หูแล้วพยักหน้าเป็นอาณัติสัญญาณให้เข้าไปข้างใน

ทั้งคู่ก้าวเท้าผ่านแผ่นสก๊อซเทปซึ่งวางปิดขวางเอาไว้ที่พื้นหน้าประตูห้องน้ำด้วยความระมัดระวัง พอร่างของทรชนทั้งสองผ่านพ้นแผ่นสก๊อซเทปเข้าไปก็ปรากฏเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เหมือนกับเสียงร่มชูชีพกินลมดังลั่นออกมาจากผนังด้านในสุดของห้องน้ำนั้น

" พนึ่บ "

แหลนไม้หัวเหล็กแหลมเปี๊ยบ 3 อัน พุ่งปร๊าดออกมาจากที่ซ่อน เป้าหมายก็คือร่างของเจ้านพและเจ้าปองที่ยืนทมึนขวางอยู่หน้าประตู ด้วยความรวดเร็วจนมองดูแทบไม่ทัน

" ฉึก "

แหลนทั้งสองพุ่งทะลวงเข้าไปที่บริเวณช่องท้องของเจ้านพและเจ้าปองเหมือนกับผีจับยัด ความรุนแรงของมันทำให้หัวแหลนทะลุพรวดออกไปทางด้านหลัง ทรชนทั้งคู่สะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว หน้าหงายเริดขึ้นมองเพดาน อาวุธคู่มือหล่นโครมลงบนพื้น มือทั้งคู่ยกขึ้นตะปบแหลน นัยน์ตาเหลือกลานส่งเสียงร้องอึกอัดอยู่ในลำคอ แล้วล้มกลิ้งลงกับพื้นในบัดดล...

ส่วนแหลนอันที่สามพุ่งผ่านประตูห้องน้ำ เฉียดร่างไอ้สีตาแดงเข้าไปปักอยู่ที่ " เครื่องเพศ " ของภาพศิลปที่ทาบตรึงอยู่ที่ผนังเข้าพอดิบพอดี...

" - เฮ้ย---ไอ้สัตว์...มึงต้มกู "

ไอ้สีตาแดงคำรามขึ้นมาอย่างกระหายเลือด พร้อม ๆ กับเผ่นพรวดเข้าไปหาลุงชิต ซึ่งขณะนี้แสยะยิ้มออกมาอย่างสะใจ

พานท้าย " เอ-อาร์-15" ตบเปรี้ยงเข้าไปที่กระพุ้งแก้ม ร่างของลุงชิตสะบัดพลิกลงไปนอนตะแคงอยู่ที่พื้น ไอ้สีตาแดงวางปืนลงบนโต๊ะ แล้วก้มลงกระชากร่างของลุงชิตขึ้นมานั่ง พร้อมตะคอก

" - มึงฆ่าพวกของกูได้...กูก็ฆ่ามึงได้ ไอ้สัตว์นรก...เล่ห์เหลี่ยมของมึงมากนัก ก่อนตายกูจะยัดเยียดความบันเทิงให้กับมึงอย่างถึงแก่นเลยทีเดียว "

ลุงชิตถุยน้ำลายปนเลือดเข้าใส่ใบหน้าของไอ้สีตาแดง พร้อมกับท้าทายออกมาอย่างชนิดยอมตาย

" - เอาเลย ไอ้ลูกชาย กูตายหนึ่ง พวกมึงตายสอง...เกิดมากูไม่เคยขาดทุน วิธีฆ่าคนของมึงจะพิสดารขนาดไหนกูไม่สน...ถุย...มันก็ไอ้แค่ตายเหมือนกันนั่นแหละว้า "

" - ปากมึงคารมดีนัก...ไอ้แก่...ประเดี๋ยวกูจะแนะนำ " ทันตแพทย์ " มือดีมาให้มึงรู้จัก ลูกน้องของกูคนนี้ เคยถอนฟันมาแยะแล้ว...เฮ้ย...ไอ้นวยจัดการ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้สีตาแดงหันไปออกคำสั่งกับลูกน้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

ไอ้นวยขยับเข้ามายืนค้ำร่างของลุงชิต มือข้างที่ถือปืน 11 มม. ตบเปรี้ยงเข้าไปที่ปากของลุงชิตเต็มแรง ฟันฟางซึ่งแทบไม่มีอยู่แล้วกระเด็นร่วงออกมามองเห็นถนัดตา

คราวนี้ ไม่มีเสียงร้องจากลุงชิต แกฟุบตัวลงไปนอนตะแคง หายใจฟืดฟาดด้วยความทรมานอย่างแสนสาหัสท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครึกคริ้นของยอดทรชนทั้งสอง

" เอี๊ยด "

มีเสียงดังเบา ๆ ตรงมุมห้องบริเวณที่ตั้งตู้ทึบขนาดใหญ่

ทรชนทั้งสองหันขวับไปมองเหมือนกับนัดกันเอาไว้ แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ประตูตู้ทึบหลังนั้นเปิดผลัวะออกมาในฉับพลัน ชายฉกรรจ์สองคนเผ่นพรวดออกมาเหมือนกับปีศาจ คนที่นำหน้าแต่งกายรุงรังเหมือนคนของทานไม่มีผิด ส่วนคนที่ตามติด ๆ เป็นชาวต่างชาติสวมชุดบาทหลวงผมเผ้ารุงรังเหมือนกับฮิปปี้ ทั้งคู่ถือ "เบรานิง - ไฮเพาเวอร์" สวมท่อเก็บเสียง วิ่งแยกออกจากกัน พร้อมกับสาดกระสุนเข้าใส่ทรชนทั้งสองเป็นจักรผัน

"ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊"

ร่างของไอ้สีตาแดงหมุนคว้าง แล้วถลาเข้าไปชนกับไอ้นวย ซึ่งขณะนี้ก็มีอาการไม่แตกต่างกับลูกพี่ของมันเท่าไรนัก...ทั้งคู่กระเด็นกระดอนอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนอยู่ชั่วอึดใจ ก็ลื่นไถลหัวทิ่มเข้าไปซุกอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำสงบนิ่งเลือดทะลักออกมาเป็นสาย

ชายขอทานปราดเข้าไปหาลุงชิต พร้อมกับใช้มีดตัดเชือกที่ผูกข้อเท้าและข้อมือออกด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ในขณะที่บาทหลวงเดินตรวจดูสภาพของห้องด้วยท่าทางระแวดระวังอยู่ชั่วอึดใจก็เดินตรงไปที่ภาพศิลปซึ่งโดนแหลนปักอยู่นั้น

บาทหลวงใช้มือกดลงไปบนยอด " ถัน " ของภาพหญิงสาวที่ปรากฏอยู่บนกรอบรูปขนาดใหญ่นั้น ชั่วอึดใจก็มีสัญญาณไฟสีแดงสว่างจ้ากระพริบอยู่บนนัยน์ตาของหญิงสาวติดต่อกันเป็นระยะ ๆ บาทหลวงกรอกคำพูดออกไปเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ

" - ศูนย์จากนอร์แมน...ส่งคนออกมาเคลียร์พื้นที่ด่วน...ช่องทางหมายเลข 3 ปลอดภัย...ตัดสวิทช์ " กับระเบิด" ให้ผมด้วย ผมจะพาลุงชิตเข้าไปข้างใน "

เสียงบาทหลวง พร้อมภาพดังกังวานอยู่บนจอโทรทัศน์ภายในห้อง ศูนย์ปฏิบัติการ ไอ้แสบ...ไอ้โล้นซึ่งนั่งอ้าปากหวอดูเหตุการณ์นองเลือด ซึ่งผ่านไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ถึงกับอุทานออกมาดัง ๆ

" - กูว่ามันยิ่งกว่าดูหนังบู๊ที่ไอ้ "ชาร์ล บรอนสัน" มันเล่นอีกว่ะ ไอ้สองตัวที่หลุดออกมาจากตู้หลังนั้นเป็นพวกเราแน่นะอาจารย์ เกิดพวกมันสวมรอยเข้ามาล่ะก็ ป่นแน่"

ไอ้โล้นหันไปถาม พ.ท.แจ็คสัน ด้วยความเคลือบแคลงใจ

" - หัวหน้านอร์แมน...คุณและมิสเตอร์แสบเคยร่วมรบกับหัวหน้าในสงครามมาแล้ว ไม่ใช่หรือครับ ?...ผมคิดว่าคุณทั้งสองคงจะจำเสนาธิการสมอง "คอมพิวเตอร์" จากเมืองล่องแจ้งคนนี้ได้ "

อาจารย์ปืน ซี.ไอ.เอ. พูดพลางหันไปหยิบโทรศัพท์สายตรงขึ้นมากรอกคำพูดลงไปช้า ๆ

" - พนักงานทุกคนกลับลงมาปฏิบัติหน้าที่ด่วน...ปลอดภัย เตรียมห้องผ่าตัดฉุกเฉินเป็นอันดับแรก เวรเตรียมพร้อมผลัด 2 เตรียมออกไปเคลียร์สถานีต้นทางหมายเลข 3 เสร็จแล้วรายงานให้ศูนย์ทราบ "

" - มิสเตอร์นอร์แมน คนที่ผมรู้จักไม่ใช่คน ๆ นี้รู้สึกว่ามันจะยังไง ๆแล้วนะครับอาจารย์ มิสเตอร์นอร์แมนเจ้านายเก่าของผมหัวล้าน ไม่มีผมซักเส้นเดียว แต่ไอ้นี่ผมยาวเฟื้อย แล้วก็ไม่เป็นบาทหลวงเหมือนที่ผมเห็นอยู่ในขณะนี้ด้วย เจ้านายของผมเคยฆ่าคน...เอ๊ะ แต่ไอ้ขอทานที่แบกลุงชิตเข้ามานี่ผมชักจะคุ้น ๆ หน้าแฮะ "

ไอ้โล้นพึมพำ สายตาที่จ้องเขม็งไปที่จอโทรทัศน์มีอาการเคลือบแคลงใจ จนสังเกตเห็นได้ชัด...

พ.ท. แจ็คสัน ยิ้มไม่ตอบอะไรออกมา ก็พอดีภาพการเคลื่อนไหวบนจอโทรทัศน์จางหายไปพร้อม ๆ กับผนังด้านหนึ่งของศูนย์บังคับการเคลื่อนออกจากกันเป็นช่องเล็ก ๆ ชั่วอึดใจร่างของบาทหลวงผมฮิปปี้ก็โผล่พรวดออกมาเป็นคนแรก ตามติด ๆ ด้วยชายขอทาน ซึ่งแบกร่างของลุงชิตเข้ามาอย่างทุลักทุเล

ร่างของลุงชิตถูกวางลงบนนแท่นอลูมิเนียมซึ่งตั้งอยู่ติดกับผนังด้านหนึ่งของห้องศูนย์ปฏิบัติการ พ.ท. แจ๊คสันเอื้อมมือลงไปกดปุ่มสีแดง ใต้ขอบแท่น ทันใดนั้นเอง ผนังเหนือแท่นอลูมิเนียมก็เลื่อนออกเป็นช่อง พร้อม ๆ กับแท่นอลูมิเนียมก็ค่อย ๆ เลื่อนหายลับเข้าอย่างช้า ๆ ต่อจากนั้นผนังห้องก็ปิดสนิทลงอย่างแนบเนียน

บาทหลวงยกมือขึ้นไปถอดวิกผมฮิปปี้ออกจากศีรษะเป็นมันแผล็บ ไอ้โล้นอุทานออกมาดัง ๆ

" อุ๊ยตาย...พระอาทิตย์เที่ยงคืน นี่เจ้านายของผมจริง ๆ หรือครับนี่ สองปีแล้วใช่ไหมครับที่เราไม่ได้เจอะกัน"

นอร์แมนหัวเราะร่า หัวหน้าข่าวกรองค่ายรามสูรยกมือให้ไอ้โล้นสัมผัส แล้วหันไปยิ้มให้กับไอ้แสบที่ยืนอ้าปากหวออย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง

" - ไม่ใช่ 2 ปี...มิสเตอร์โล้น... 2 ปี 8 เดือน 26 วันพอดีที่เราไม่ได้พบกัน หลังจากที่คุณห้ำหั่นกับทหารเวียตมินห์ครั้งสุดท้ายที่ทุ่งไหหิน แล้วผมกับคุณก็ต้องแยกทางกันเดินเป็นเส้นขนาน พบกันอีกที่คุณก็มีงานและมีเงิน...เป็นยังไงมิสเตอร์แสบแผลผ่าตัดที่ช่องท้องจากการรบที่สนามบินซำทองของคุณเป็นยังไงบ้าง "

ประโยคสุดท้าย " นอร์แมน " หัวหน้าข่าวกรองของค่ายรามสูรหันไปถามไอ้แสบ พร้อมกับยื่นมือให้สัมผัส

" - ครับหัวหน้า ผีมือผ่าตัดของแพทย์อเมริกันทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้...ผมดีใจมากที่พบกับหัวหน้า คิดไม่ถึงจริง ๆ "

ไอ้แสบพูดภาษาอังกฤษกระท่อนแระแท่น พร้อมกับเหลือบตาชำเลืองไปดูชายขอทานซึ่งยืนหันหลังให้ด้วยท่าทางเคลือบแคลงใจ

นอร์แมนมองสายตาไอ้แสบ แล้วอมยิ้มหันไปถามไอ้โล้นอย่างอารมณ์ดี

" - มิสเตอร์โล้น คุณจะใจดำถึงกับไม่ยอมทักเพื่อนตายของคุณที่ยืนหันหลังอยู่นั่นเชียวหรือ ? "

ไอ้โล้นไหวกายเยือก มันเดินช้า ๆ เข้าไปหยุดอยู่ที่เบื้องหลังขอทาน แล้วเอื้อมมือเขี่ยวัตถุต่าง ๆที่ห้อยอีรุงตุงนัง อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเครื่องแบบชุดเสือพรานที่เก่าคร่ำคร่า และขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดึงกระบอกไฟฉายบุบบู้ที่เสียบอยู่ข้างเอวขึ้นมาพิจารณาดูพร้อมกับเบ้ปาก พูดออกมาดัง ๆ

" - ไอ้หอก ไฟฉายสนิมแดกจนเขียวปรื๋อแบบนี้มึงจะเอาไปทำไมวะ...ทั้งกะลาเอย...หม้อข้าวเอยกระทะเอย ตะหลิวเอย...ห้อยกันให้เปรอะไปหมด ไอ้บ้าหอบฟาง มึงนี่น่ากลัวจะเป็นญาติกับพวกแม้วที่เมืองลาวโน่น ฉิบหาย...อพยพแต่ละทีขนกันพะรุงพะรังเหมือนมึงไม่มีผิด "

" วางไฟฉายลงบนโต๊ะ...ไฟฉายกระบอกนั้นราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท แพงกว่าชีวิตของมึงกับไอ้แสบรวมกัน สิ่งของที่ห้อยพะรุงพะรังอยู่บนตัวกูนี่ บางอย่างสามารถซื้อรถสปร์ตอย่างดี ๆ ได้หลายคัน มึงจำกูไม่ได้จริง ๆ หรือ - อับดุล-ราห์มาน ? "

ประโยคสุดท้าย ชายขอทานเน้นชื่อจริงของไอ้โล้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง

ไอ้โล้นอ้าปากหวอในขณะที่ยืนตะลึงถือไฟฉายอยู่นั้น ชายขอทานก็ดึงปากกาลูกลื่นออกมาจากกระเป๋า แล้วยกขึ้นจ่อริมฝีปาก กระซิบภาษามาเลย์ลงไปแผ่วเบา

ภาษามาเลย์ดังกังวานที่กระบอกไฟฉาย ไอ้โล้นรีบยกขึ้นแนบหู แล้วเบิกตากว้างแหกปากร้องออกมาสุดเสียง

" - ผู้กอง อังคาร..." อังคาร ไพรีพินาศ " วีรบุรุษแห่งทุ่งไหหิน...ดว้ย...ไอ้แสบ...ไอ้เหี้ยแสบมึงดู...นี่เจ้านายเก่าของมึงเสด็จมาอยู่นี่แล้ว...คราวนี้ต่อให้โคตรของ เค.จี.บี. กูก็ไม่กลัว "

ชายขอทานค่อย ๆ หันหลังกลับ สายตาที่กระด้างและเย็นชาเหมือนคนปราศจากวิญญาณปรากฏแววอ่อนโยนคำพูดที่เรียบและอ่อนทุ้มกังวานออกมาเบา ๆ

" - โมฮาหมัด อับดุล - ราห์มาน..."น้อย..นกไน" เพื่อนรัก อั๊วไม่เคยลืมวีรกรรมของลื้อทั้งสอง...ตลอดเวลาที่จากกัน อั๊วติดตามข่าวคราวของลื้ออยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าลื้อกำลังออกนอกลู่นอกทาง อั๊วก็เลยยืมมือกฏหมายดึงพวกลื้อเข้าไปสงบอยู่ในลหุโทษเสียพักหนึ่ง...ลื้อเป็นคนมีฝีมือ และครั้งนี้ประเทศชาติต้องการคนมีฝีมืออย่างพวกลื้อ...ลดความตื่นเต้นลงบ้าง ไอ้โล้น...ประเดี๋ยวให้ไอ้แสบหลอกให้มึงแดกหมูเสียนี่" ประโยคสุดท้าย ผู้กองเย้าไอ้โล้นออกมาอย่างอารมณ์ดี

" - อะอำ...เจ้านาย แขกหยั่งไอ้โล้นถือมากในเรื่องหมู...หมูถูกมือ - มือพอง...หมูถูกปาก - ปากพอง หมูถูกคอ...แฮะ...กลืนเลย...อร่อยตายห่า ไม่ต้องให้ไอ้แสบหรอก ผมก็ยัดทานเป็นประจำอยู่แล้ว...ว่าแตผู้กองเถอะ นึกขลังอะไรขึ้นมาถึงกับแต่งเป็นขอทานแบบนี้ ว้า...เหม็นตายห่า"

" - ยังจะเสือกมาถามอีก....ไอ้โล้น เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมขณะนี้มึงก็น่าจะเดาได้ถูกว่าอะไรเป็นอะไรถ้าผู้กองไม่มี " งาน " จากหน่วยเหนือแกก็คงไม่แต่งพิเรนแบบนี้หรอกน่า "

ไอ้แสบตัดบทขึ้นมาด้วยท่าทางฉุน ๆ ที่มองเห็นเพื่อนคู่หูพูดจาเล่นหัวจนเกินไป

" - หน๋อยทำเป็นอวดฉลาด...เจ้านายเชื่อมั้ย...เมื่อวานไอ้แสบขี้ส้วมชักโครกแล้วหาปุ่มกดน้ำไม่เจอ มันตามหาผมทั้งวัน ไอ้ห่านึกว่าจะธุระอะไร ดันพาผมไปชี้ปุ่มกดน้ำด๊าย โธ่ ไอ้เส็งเคร็ง วาสนาของมึงเคยแต่ขี้ในคุก...ไอ้คางคก"

ไอ้โล้นเปิดฉาก "อำ" เพื่อนคู่หูของมันเข้าให้แล้วแต่ก่อนที่จะมีการต่อล้อต่อเถียงกัน นอร์แมนซึ่งยืนอมยิ้มฟังอยู่ก็ตัดบทขึ้นกลางคัน

" - ทุกคนเข้าไปในห้องปฏิบัติการที่ 4 ได้แล้วครับ...ผมมีแผนงานเร่งด่วนที่จะต้องปฏิบัติ "

พอพูดจบนอร์แมนก็พาตัวเองเดินออกจากห้องศูนย์ปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว

เสียงเครื่องปรับอากาศครางกระหึ่ม ภายในห้องปฏิบัติการใต้ดิน ที่มีระบบป้องกันจารกรรมอย่างยอดเยี่ยม เพชฌฆาตรับจ้างของ ซี.ไอ.เอ. นั่งประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ทุกคนจ้องสายตาไปยังผนังห้องที่มีจอภาพยนตร์ขนาดกระทัดรัดทาบตรึงอยู่ในระดับสายตา

ร.อ. อังคาร ไพรีพินาศ และ "นอร์แมน" เปลี่ยนชุดเครื่องแต่งกยมาเป็นชุดสีน้ำเงินเข้ม...แบบเอวจั๊ม ติดตรานกอินทรีกางปีกสีขาวที่หน้าอกด้านขวา อันเป็นชุดของพนักงานใต้ดินในกองบัญชาการลึกลับแห่งนี้

เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องฉายกำลังหยิบ "รีล" ขึ้นใส่เครื่องด้วยความชำนิชำนาญ ชั่วอึดใจ ฟลูออร์ริเซ่นเหนือเพดานก็ดับลง แสงสว่างจากหลอดฉายพุ่งเป็นลำไปทาบที่จอขาวนวลอยู่ชั่วครู่ก็ปรากฏภาพเต็มหน้าของชาววัยกลางคนผู้หนึ่งอย่างถนัดชัดเจน พร้อม ๆ กับมีเสียงบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาไทยดังลั่นออกมาจากตู้ลำโพงขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่เหนือเพดานห้องนั้น

" - นายประสาท ชูนิยม อายุประมาณ 52 ปี ประวัติในสำมะโนประชากร สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย อาชีพเป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ "ไทยสยาม"

ภาพบนจอแช่นิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก็เริ่มเคลื่อนไหวต่อไปอีก คราวนี้ถ่ายในระยะไกล มองเห็นนายประสาทเปิดประตูรถเก๋ง บี.เอ็ม.ดับบลิว ลงมากับผู้หญิงรูปร่างใหญ่เหมือนกับชาวยุโรป เสียงจากฟิลม์เริ่มบรรยายต่อ

" นายประสาทกับนางมาริสา อดีตนักร้องชื่อดังโปรดสังเกตลักษณะทรงผมที่มักจะหวีแสกกลาง อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของชายผู้นี้"

ภาพบนจอเลือนหายไปชั่วครู่ แล้วปรากฏภาพของทหารเวียดนามแต่งเครื่องแบบยืนรวมกลุ่มอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง...ภาพถูกดึงเข้ามาใกล้จนกระทั่งมองเห็นบุคคลหนึ่งอย่างถนัดชัดเจน

"พ.ท. เหงียน - วัน - -เลย์" นายทหารเสนาธิการด้านยุทธวิธี ของเวียดนามเหนือ สำเร็จจากฝรั่งเศส ถือพาสปอร์ของนักธุระกิจ เวียดนามใต้...เดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างประเทศไทย เวียดนามใต้หลายสิบครั้ง ปัจจุบันลอบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในคราบของ "นายประสาท ชูนิยม" ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ "ไทยสยาม" รับแผนงานจาก "โง เหงียน เกี๋ยบ " มาโดยเฉพาะ ด้วยการปลุกระดมในหน้าหนังสือพิมพ์ โดยอ้าง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องบังหน้า ส่วนเบื้องหลัง จะดำเนินแผนการทุกชนิด เพื่อความแตกแยกของคณะรัฐบาลไทยและพร้อม ๆ กับส่งเงินรายได้ จากหนังสือพิมพ์ส่วนหนึ่งให้กับผู้ก่อการร้ายในภาคอีสานเป็นประจำ...นามปากกาที่ใช้ในวงการหนังสือพิมพ์ "ผีกระสือ"

ภาพตัดกลับมาภายในโรงงานขนาดใหญ่ที่มีกลุ่มคนกำลังเดินชมแท่นเครื่องจักรกันอย่างคับคั่ง มีทั้งทหารในเครื่องแบบและสุภาพสตรี ถือแฟ้มเดินกันสับสน

" - โรงงานผลิตอาวุธปืน - เอช-เค-33 " ที่กรมสรรพวุธสะพานแดง กลุ่มนักข่าวชายหญิงได้รับเชิญให้เข้าชมโรงงานผลิตอาวุธ จะสังเกตได้ชัดว่า ทุกคนไม่มีกล้องถ่ายรูปเนื่องจากเป็นเขตหวงห้าม โปรดระวัง กรุณาสังเกตหญิงสาวในชุดสีทึบที่ยื่นอยู่ทางด้านซ้ายของแท่นให้ดี..."

เสียงบรรยายย้ำ และเน้นอย่างหนักแน่นเป็นพิเศษพร้อม ๆ กับที่ภาพหญิงสาวถูกซูมดึงเข้ามาจนใกล้จอภาพยนตร์

หญิงสวหน้าตากระเดียดไปทางลูกครึ่งจีนแยกแฟ้มขึ้นกอดอกอยู่ ชั่วอึดใจก็ลดแฟ้มลง มือข้างที่ว่างขยับเครื่องประดับที่กลัดติดอยู่ที่หน้าอกสายตาทั้งคู่ชำเลืองไปรอบ ๆ ด้านอย่างระมัดระวัง

"กล้องถ่ายรูป"

ชาตินั่งอยู่ข้าง ๆ สี่ยวิชัยกระซิบกระซาบออกมาเบา ๆ พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่เครื่องประดับที่มีรูปร่างเป็นแมลงมุมขนาดเล็กด้วยควาพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไปอีก

" - ไม่ผิดแน่ ผู้หญิงคนนั้นใช้กล้องพิเศษที่ซ่อนอยู่กับแมลงมุมฝั่งเพชรถ่ายภาพภายในเขตโรงงานเข้าให้แล้วผมเคยเจอะกล้องชนิดเดียวกันนี้ที่เวียงจันทน์"

" นางสาวผกาวรรณ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ "ไทยสยาม" ใช้กล้องพิเศษลอบถ่ายภาพโรงงานซ่อม สร้างอาวุธตามแผนของนายประสาท นางสาวผกาวรรณ เชื้อชาติลาวสัญชาติไทย แต่เท่าที่ข่าวกรองของรามสูรได้มาบิดาของเธอเป็นญวนอพยพ จังหวัดสกลนคร...และหญิงสาวผู้นี้มักจะป้วนเปี้ยนคลุกคลีกับพนักงานของค่ายรามสูรที่จังหวัดอุดร ฯ จนผิดสังเกต อาชีพพิเศษของเธอก็คือ เป็นนักร้องเพลงสากลที่มีแฟนชาวต่างประเทศพึงพอใจเป็นพิเศษ "

ในขณะที่เสียงจากฟิลม์บรรยายอยู่นั้นกล้องถ่ายภาพยนตร์ซึ่งคงซ่อนอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งภายในโรงงานผลิตอาวุธก็ดึงภาพของหญิงสาวเข้ามาใกล้จนสังเกตเห็นได้ชัด แม้กระทั่งขนตาที่งอนเช้งจนเกินงามนั้น

ภาพบนจอหายวับไปพร้อม ๆ กับไฟเหนือเพดานสว่างจ้า ทุกคนเพ่งสายตาไปมอง "นอร์แมน" เหมือนอย่างนัดกันเอาไว้ ไอ้โล้นซึ่งนั่งเงียบเย็บริมฝีปากอยู่ตลอดเวลาโพล่งออกมาอย่างเหลืออด

" - หัวหน้า นี่ผมยังไม่รู้เลยว่า หัวหน้าจะมีงานห่าเหวอะไรให้ผมทำกัน ผมกับไอ้แสบอยู่ในคุกดี ๆ ก็ดันส่งไอ้ห่าจิกนี่เข้าไปเอาผมออกมา แถมออกมาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากฝึกยิงปืนแล้วก็สั่งให้ยิงจ๊อกกี้...บอกกันเสียก่อน ถ้างานกระจอก ๆ ฆ่าคนไม่มีน้ำยาแบบนี้ ผมไม่เล่นด้วยแน่ ๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมขาดรายได้ไปจมหูเลย อยู่ในคุกแค่ขาย "ผงขาว" ผมก็รวยอื้อซ่าแล้ว...มีเงินฝากเกือบหมื่น ไอ้ห่าซิวกูออกมาเลยอดแดก ป่านนี้ผู้คุมอมเงินกูแหง ๆ สวัสดี...ความซวย"

นอร์แมนหยิบซองสีน้ำตาลหนาปึกจากกระเป๋าเอกสารขึ้นมาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ 7 ซอง ต่อจากนั้นก็ใช้นิ้วกลางเคาะซองเอกสารไปยังกลุ่มเพชฌฆาตรับจ้างที่นั่งหน้าสลอนอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ

" - มันเป็นงานที่เสี่ยงกับความตายที่สุดเท่าที่ผมเคยวางแผนมา มิสเตอร์วิชัย, มิสเตอร์ชาติ, ผู้กองอังคาร, มิสเตอร์โล้น, มิสเตอร์แสบ, คำสั่งแผนปฏิบัติอยู่ในซองนั้นแล้ว พร้อมด้วยธนบัตรดอลล่าร์ใบละ 100 ดอลล่าร์ 500ใบ และเงินจำนวนนี้ก็คือเงินค่าจ้างเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น...เมื่อทุกสิ่งอย่างเสร็จสิ้นตามเป้าหมาย เราจะจ่ายให้คุณทันที โดยไม่มีการบิดพริ้วใด ๆ ทั้งสิ้น "

ทุกคนเอื้อมมือออกมาหยิบซองเอกสารด้วยท่าทางตื่นเต้น ผู้กองอังคารใช้มือตะปบลงไปบนซองเอกสารของไอ้โล้น กระซิบออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

"หยิบแต่เอกสารออกไป...ส่วนเงินส่งมานี่ อั๊วจะจัดแจงแบ่งให้ลูก ๆ และเมียอีก 15 คนของลื้อเอง...นิสัยหยั่งลื้อ ไอ้เงินแค่หนึ่งล้านบาทนี่ ไม่ถึงสองเดือนลื้อล้างผลาญหมดแน่ "

ไอ้แสบทำตาละห้อยพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ

" - เมีย 15 คน ลูก 13 คน รวมเป็น 25 แบ่งเฉลี่ยนแล้วก็ได้เพียงคนละ 40,000 บาท แล้วผมล่ะครับผู้กอง "

อังคารกรีดธนบัตรใบละ 100 ดอลล่าร์จากซองของเขาออกมา 50 ใบ แล้วผลักไปให้ลูกน้องคู่ใจพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

" อั๊วให้ลื้อ ราห์มาน "

ไอ้โล้นยกมือไหว้ พร้อมกับหยิบเงินใส่กระเป๋าสายตาทั้งคู่จ้องมองไปที่ซองเอกสาร 2 ซองที่เหลืออยู่บนโต๊ะ แล้วถามออกมาอย่างเคลือบแคลงใจ

" - เหลืออีก 2 ซองนั่นของใครครับ...หัวหน้า "

" เจ้าของเขาไม่อยู่ที่นี่ ซองทางซ้ายมือนั่นเป็นของผู้หญิง...พรุ่งนี้จะเดินทางจากสิงคโปร์พร้อมเที่ยวบิน " สามเณรถนอม กิตติขจร" ส่วนซองขวามือเจ้าของอยู่ในคุก "ซำเข้" ประเทศลาว และหวังว่าคุณคงจะรู้จักเจ้าตัวเขาดีแล้ว"

นอร์แมนพูดพลาง เอื้อมมือหยิบซองเอกสารทั้งสองขึ้นมาถือเอาไว้ เมื่อเห็นทุกคนนิ่ง เขาก็พูดต่อไปอีกอย่างห้วน ๆ

"ร.ท. คำลื้อ สิงหาพงษ์"

" บัก คำลื้อ...เพชฌฆาตหน้าหยก แห่งหน่วยคอมแมนโดลาว ทำไมผมจะไม่รู้จัก...ไอ้ห่าจิกนี่เป็นโรคสงครามขึ้นสมอง...อายุไม่ถึง 20 ปี ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วนหัวหน้านึกยังไงถึงเอาไอ้เสือนี่มาร่วมขบวนการของเราได้"

ไอ้โล้นอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"หมวดคำลื้อ โดนจองจำอยู่ในคุกซำเข้ หน่วยงานของเรา กำลังหาทางเอาตัวเขาออกจากคุกอยู่ แต่ถ้าไม่มีเวลาพอเราก็จะต้องตัดเขาออกไป สำหรับทีมงานของเราอีกคน จะเดินทางมาถึงดอนเมืองพรุ่งนี้ มิสเตอร์โล้น มิสเตอร์แสบ พวกคุณมีหน้าที่ คุ้มกันคนของเราที่ดอนเมือง โอเคพรุ่งนี้เช้าพบกันที่ดอนเมือง"

นอร์แมนตัดบทอย่างห้วน ๆ แล้วเดนผละออกจากห้องด้วยท่าทางรีบร้อน...

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 9 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 12:26  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19416

คำตอบที่ 79
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 10

ไอ้โล้น หยุดชะงักเหมือนกับถูกตรึง แต่ก็เป็นเพียงชั่วอึดใจหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่ร่างของนอร์แมนจะผ่านพ้นประตูห้องออกไป มันก็ผวาเข้าไปยึดแขนเสื้อเอาไว้แน่นปากก็ละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน

" - หัวหน้า...ผมกับไอ้แสบเพิ่งจะแหกคุกออกมาหยก ๆ เล่นให้ผมไปเดินโชว์หุ่นที่สนามบินดอนเมือง มันก็เกมส์เท่านั้นซีครับ...ถ้าจะให้ผมกับไอ้แสบ ทำงานชิ้นนี้ละก็ ผมว่าหัวหน้าส่งตัวพวกผมเข้าไปในคุกเหมือนเดิมดีกว่า...เพราะผลลัพธ์มันก็ไอ้ครือ ๆ กัน นั่นแหละครับ "

นอร์แมนหันหลังกลับ เดินหน้าเครียดเข้ามาที่โต๊ะเขาจ้องหน้าไอ้โล้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็ระเบิดคำพูดออกมาอย่างฉุนเฉียว

" - ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่ "ซี.ไอ.เอ." จะทำไม่สำเร็จ หน่วยเหนือช่วยพวกคุณออกจากคุกได้ โดยที่พวกคุณไม่ได้รับความบาดเจ็บ แม้แต่นิดเดียว แค่นี้มันก็เป็นหลักประกันสำหรับพวกคุณดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ประสิทธิภาพการทำงานของ ซี.ไอ.เอ. ไม่เคยผิดพลาด...แม้กระทั่งข่าวการเคลื่อนไหวของ "จอมพลถนอม" ที่สิงคโปร์ ฝ่ายเราก็ทราบก่อน และเพิ่งจะแจ้งให้คณะรัฐบาลของคุณเมื่อตอนสิบหกนาฬิกานี่เอง...มิสเตอร์โล้น ผมขอย้ำอีกครั้งคุณจะต้องรับงานชิ้นนี้...ทุกสิ่งทุกอย่าง ผมวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว "

" - ฮึ ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่ซี.ไอ.เอ. จะทำไม่ได้...หัวหน้าคงจะลืมเหตุการณ์ในเขมร, เวียดนามใต้และประเทศลาวไปละกระมังครับ...ถ้า ซี.ไอ.เอ. แน่จริงทหารอเมริกันก็คงจะไม่กระเจิงออกจากแหลมอินโดจีนเหมือนกับหมาโดนน้ำร้อนหรอกครับ ถ้าเรามาพลิกประวัติศาสตร์ การทำงานของ ซี.ไอ.เอ. กันดู...เอากันอย่างง่าย ๆ ถ้าแผนของ ซี.ไอ.เอ. วิเศษจริง ๆ ทำไมพลร่มหน่วยกล้าตายของอเมริกันที่กระโดร่มลงบนเกาะคิวบา เพื่อลอบสังหาร " คาสโตร " ถึงโดนฆ่าตายจนหมดเกี้ยง...เพราะอะไร...เพราะอะไรถึงพลาด?...ซี.ไอ.เอ. อาจจะเก่งและมีปาฏิหาริย์ แต่ก็เป็นเพียงเก่งแต่ในบ้านของตัวเองเท่านั้นแผนงานที่สนามบินดอนเมือง ผมคิดว่าเปอร์เซ็นต์พลาดมีอยู่เกือบครึ่ง พวกผมอาจจะเป็น " หนูตะเภา " ให้ ซี.ไอ.เอ. ลองยา เหมือนอย่างที่เคยโดนมาแล้วในสงครามอินโดจีน "

ไอ้โล้นสวนคำพูดออกมาอย่างยืดยาว ด้วยท่าทางฉุนเฉียวพอ ๆกัน...
นอร์แมน ยกมือทุบโต๊ะเต็มแรง หน้าตาแดงก่ำ ชั่วอึดใจเขาก็ระงับโทสะได้อย่างน่าประหลาด เขาชี้นิ้วเป็นทำนองสั่งให้ทุกคนนั่งลง เมื่อทุกคนทำตาม เขาก็หันไปพูดกับไอ้โล้น ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนจากเมื่อกี้นี้เป็นคนละคน

" มิสเตอร์โล้น เรามาเริ่มทำความเข้าใจกันใหม่ในปัญหาสงครามอินโดจีน...ตามความรู้สึกของพวกคุณหรืออาจจะทั้งโลกที่พากันเข้าใจว่า อเมริกันพ่ายแพ้ในสงครามอินโดจีนอย่างไร้ศักดิ์ศรีและอัปยศ "

นอร์แมน หยุดพูด พร้อมกับกวาดสายตาไปยังเหล่าเพชฌฆาตรับจ้างที่นั่งจ้องเขม็งอยู่เบื้องหน้า เป็นทำนองยืนยันคำพูดของตัวเอง

ทุกคนนอกจาก ผู้กองอังคาร พยักหน้าในทำนองตอบรับ

นอร์แมน ยิ้ม แล้วขบกรามระบายคำพูดออกมาอย่างยืดยาว

" - โซเวียต รัสเซีย ช่วยเหลือเวียดนามเหนือ 2,570 ล้านดอลล่าร์ จีนแดง ส่งเข้าไปสมทบอีก1,080 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่งบช่วยเหลือของสหรัฐพุ่งขึ้นไปถึง 107,000 ล้านดอลล่าร์ เรามาลองคิดคำนวณกันดูอย่างง่าย ๆว่า ในขณะที่สหรัฐทุ่มเทความช่วยเหลือลงไปมากกว่าโซเวียต และ จีน รวมกันถึง 29 เท่า แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะรักษา " ดุลย์อำนาจ " ทางการเมืองในภูมิภาคนี้เอาไว้ได้ทำไม ?...ทำไมชาติมหาอำนาจทั้งสาม จึงแข่งขันกันเพื่อหวังยึดครองแหลมอินโดจีนอันกระจ้อยร่อยนี้ ? ผมไม่อยากจะตั้งคำถามโง่ ๆ แก่พวกคุณให้เสียเวลา...ลองเอาแผนที่ของประเทศในแหลมอินโดจีนมาเปิดดูกัน โดยเฉพาะแผนที่ที่แสดงที่ตั้งของประเทศลาว เราก็จะได้คำตอบทันทีว่าทำไมชาติมหาอำนาจทั้งสามประเทศนั้น ถึงได้ตื่นตาตื่นใจในเหยื่อชิ้นโอชะนี้เป็นพิเศษ ประเทศลาวมีพรมแดนติดต่อกับไทย, พม่า, จีน, เขมร, เวียดนามเหนือ, เวียดนามใต้ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาเกือบทั่วประเทศ...และโดยเฉพาะ "ทุ่งไหหิน" ทั้งผู้เชี่ยวชาญของ "ซี.ไอ.เอ." และ"เค.จี.บี." ต่างเล็งเห็นตรงกันว่าเป็นฐานทัพอากาศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในปัจจุบัน...กำลังทางอากาศจากทุ่งไหหินจะสามารถครอบคุลมภาคใต้ของจีนแดงทั้งหมดและยังสามารถจะบินตรงไปยังดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างสบาย...นอกจากนั้นอาวุธอีเล็คโทรนิคและอาวุธจรวดทุกชนิดก็ได้ถูกนำเข้ามาวิจัยและค้นคว้าทดลองในประเทศลาว ไม่เว้นแต่ละวัน สงครามช่วงชิงแหลมอินโดจีนได้ปะทุขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม...และแล้วในที่สุดอเมริกันก็ผละหนีออกไปจากแหลมอินโดจีนในลักษณะที่พ่ายแพ้อย่างหมดประตูสู้ ยอมเจรจาสงบศึกอย่างไร้ศักดิ์ศรีและอัปยศ "

"แพ้แหง๋ ๆ ...หัวหน้า...ยอมเจรจาสงบศึกหรือยอมแพ้มันก็ไอ้ครือ ๆ กันนั่นแหละครับ "

ไอ้โล้น ทะลุกลางปล้องขึ้นมาอีก คราวนี้นอร์แมนระบายยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่อารมณ์ดีขึ้นกว่าเก่า พร้อมกับพูดต่อไปอย่างเนินนาบ

" - คุณเข้าใจผิด - อเมริกันไม่แพ้...อเมริกันต้มคนทั้งโลก ต้มแม้กระทั่งประชาชนของตัวเอง ด้วยแผนหมากรุกการเมืองที่ "ซี.ไอ.เอ." ได้กำหนดเอาไว้อย่างแยบยล ทำให้อเมริกันสามารถตบตาคนทั้งโลกได้อย่างแนบเนียนจนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว จุดประสงค์และแผนการเมืองในการทำสงครามของสหรัฐในแหลมอินโดจีนเป็นแผนไม่ต้องการชัยชนะ อเมริกันเพียงต้องการสร้างสถานการณ์ตึงเครียดและหยั่งเชิง ตลอดจนทดลองอาวุธอีเลคโทรนิคใหม่ ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ของตัวเองผลิตขึ้นเท่านั้น โดยเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ อเมริกาคาดว่า สหภาพโซเวีตซึ่งหนุนหลังเวียดนามเหนือ และขบวนการประเทศลาวอย่างลับ ๆ คงจะส่งอาวุธที่ทรงอานุภาพเข้ามาร่วมทดลองในสงครามที่ไม่มีการประกาศนี้ด้วย...แต่รัซเซียอ่านแผนของเราออก ก็เลยส่งอาวุธประเภท "เหลือใช้สงคราม" ที่หมดประสิทธิภาพมาช่วยเวียตกงรบอย่างขอไปที...อเมริกันผิดหวังแต่จะผละออกจากแหลมอินโดจีนไปก็ใช่ที่เพราะได้ลงทุนไปแล้วอย่างมหาศาล ก็พอดีได้จังหวะสงคราม "ยิว-อาหรับ" ระเบิดตูมขึ้นมา คราวนี้ ทั้งอเมริกันและรัสเซียซึ่งเป็นพ่อค้าสงครามต่างก็ออกโรงหนุนหลังทั้งสองฝ่ายอย่างออกหน้าออกตา...อเมริกันสนับสนุนยิวส่วนโซเวีตรัสเซียหันไปคบกับกลุ่มอาหรับทั้งหมด "ยิว-อาหรับ" ฟัดกันจนทะเลทรายแทบจะลุกเป็นไฟ รัสเซียประเคนอาวุธทันสมัยเข้าช่วยอาหรับ เต็มอัตราศึก และคราวนี้แผนการแหย่เสือหลับของ ซี.ไอ.เอ. ก็สัมฤทธิ์ผล "

นอร์แมนหยุดพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่ม แล้วพูดต่อไปอีกอย่างยืดยาว

" - อาวุธอีเล็คโทรนิคของอเมริกาและรัสเซียตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อน จากผลการรบครั้งแรก " ยิว " จวกอาหรับแตกกระเจิงไม่เป็นขบวน ไม่ว่าจะเป็นรถถังชนิดล่าสุดหรือแม้กระทั่งเครื่องบิน " มิค " ของรัสเซีย โดนอาวุธของสหรัฐถล่มเสียหายพังยับเยิน อันเป็นข้อมูลที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีในช่วงเวลานั้น อาวุธของสหรัฐเหนือชั้นกว่าโซเวียตมากมายนัก พอสงคราม 6 วันสงบลง โซเวียตรัสเซียก็ใช้เวลาที่เหลือพัฒนาและปรับปรุงเครื่องอีเล็คโทรนิคอย่างรีบเร่ง พอสร้างเสร็จก็ดำเนินแผนยุแหย่ให้ยิวกับอาหรับ " จวก " กันอีกเช่นเคย...แผน "เค.จี.บี." ได้ผล...สงคราม ยิว-อาหรับ ประทุขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้เครื่องบินและรถถังของสหรัฐที่เคยเป็นต่ออยู่หลายขุม ถูกอาวุธของโซเวียตทำลายอย่างย่อยยับ ข้อมูลดังกล่าวทำให้ ซี.ไอ.เอ. ต้องวางแผนให้อเมิรกันผละออกจากแหลมอินโดจีน แล้วหันไปค้าสงครามกับยิวและอาหรับเป็นล่ำเป็นสันต่อไป โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะจุดชนวนและสร้างสถานการณ์ทางด้านนั้นให้ลุกโชนและตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา นี่คือต้นเหตุที่แท้จริงที่อเมริกันต้องถอนตัวออกไปจากแหลมอินโดจีนหรือแม้กระทั่งการถอนทหารสหรัฐไปจากประเทศไทยก็ตามใช่ว่าสหรัฐจะถอนทหารออกไปเพราะการบีบคั้นของนิสิตนักศึกษาที่พากันเดินขบวนประท้วงก็หาไม่ "

" - หัวหน้าครับ...เหตุผลอื่น ๆ ที่หัวหน้าชักแม่น้ำทั้ง 5 เล่าให้พวกผมฟัง มันก็มีเหตุผลพอที่จะเข้าทีอยู่บ้าง...เอาละ ! พวกผมยอมเชื่อว่า อเมริกันไม่แพ้...เท่าที่ถอนจากแหลมอินโดจีนก็เพราะเหตุผลทางการเมือง...แต่เท่าที่อเมริกันออกจากประเทศไทยนี้ ผมเชื่อพันเปอร์เซ็นต์ว่า ต้นเหตุเกิดขึ้นจากการเดินขบวนขับไล่ของนิสิตนักศึกษาแหง ๆ "

ไอ้โล้นขัดขึ้นมาอีกด้วยเหตุผลที่น่าฟัง นอร์แมนยิ้มเล็กน้อยพยักหน้าพร้อมพูด

" - ตามความรู้สึกของทุก ๆ คนมันก็น่าจะเป็นไปในรูปนั้น รัฐบาลของคึกฤทธิ์อาจจะคุยได้ว่าเป็นรัฐบาลแรกที่สามารถฉีกสัญญาดึกดำบรรพ์ระหว่างไทยกับสหรัฐลงได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็เป็นการคุยที่ไม่ค่อยสนิทปากเท่าใดนัก เพราะเหตุผลอันแท้จริงแล้ว เท่าที่สหรัฐ " ถอน " ทหารออกไปจากผืนแผ่นดินไทยนั้น มันเป็นความต้องการของสหรัฐเองต่างหาก "

" - เหตุผล...หัวหน้า...ผมชักจะ "มันส์ส์" ในนิยายของหัวหน้าซะแล้วซี ช่วนกรุณาอธิบายให้ผมหายข้องใจหน่อยครับ "

ไอ้โล้นซึ่งกลายเป้นพระเอกในการซักย้อนถามขึ้นมาอย่างเคลือบแคลงใจ

" - มันต้องมีเหตุผลแน่นอน...มิสเตอร์โล้น แต่ก่อนโน้นอเมริกาประสบกับปัญหาขนย้ายทหารจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่แห่งหนึ่งอยู่เสมอ ๆ การขนย้ายทหารจำนวนเป็นหมื่น ๆ คนไปยังส่วนต่าง ๆของโลกรู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร และอึกทึกครึกโครมมิใช่น้อย และจะต้องใช้เวลานับเป็นสิบ ๆ ชั่วโมงขึ้นไป และอุปสรรคดังกล่าวนี้ทำให้ " ดุลย์อำนาจ " ทางทหารของอเมริกาต้องเป็นรองสหภาพโซเวียตอยู่บ่อยครั้ง แต่ขณะนี้ ซี.ไอ.เอ. ได้ค้นพบวิธีที่สามารถสร้าง "ดุลย์อำนาจ" ทางทหารเหนือกว่าโซเวียตรุสเซียได้แล้ว "

นอร์แมนหยุดพูดเหมือนหนึ่งต้องการให้ผู้หนึ่งผู้ใดในห้องซักถาม แต่เมื่อเห็นทุกคนเงียบเขาก็พูดต่อไปอีกยืดยาว

" - ซี.ไอ.เอ. ได้ออกแบบสร้างเครื่องบินขนส่งขนาดยักษ์ขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ เครื่องบินดังกล่าวนี้มีชื่อตามรหัสว่า "ซี - 5 - เอ "หรือ "กาแล็คซี่" ผู้ทรงพลังนั่นเอง...รูปร่างลักษณะของ "ซี - 5 -เอ" เมื่อนำมาจอดเทียบเครื่องบิน 747 แล้วมองดูเหมือนกับว่า เจ้าเครื่องบินโดยสารยักษ์ลำดังกล่าวนั้นจะกลายเป็นเครื่องบินแคระไปทันที เครื่งบิน "ซี - 5 - เอ " สามารถบรรทุกทหารราบได้ถึง 800คน หรือถ้าจะเปลี่ยนเป็นบรรทุกรถยนต์ก็สามารถที่จะบรรทุกรถ "โฟล์คสวาเก้น" ในรคราวเดียวได้ถึง 88 คัน เลยทีเดียว "ซี - 5 - เอ " เป้นเครื่องบินไอพ่นที่ใหญ่ที่สุดและมีกำลังขับเคลื่อนสูงที่สุดในปัจจุบัน ลำตัวภายในแบ่งออกเป็น 3 ชิ้น สามารถรับน้ำหนักรถบารรทุกได้ถึง 265,000 ปอนด์ เมื่อน้ำหนักบรรททุกเต็มที่ "ซี- 5 - เอ " จะสามารถบินได้ไกลถึง 2,875 ไมล์ทะเล โดยไม่ต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อลดน้ำหนักบรรทุกลงเหลือ 100,000 ปอนด์ " ซี - 5 - เอ " ก็สามารถยึดพิสัยการบินออกไปถึง 6,335 ไมค์เลยที่เดียว คราวนี้ถ้าอเมริกันต้องการจะขนทหารซัก 8,000 คน ไปยังจุดใดจุดหนึ่งของโลกเท่าทีอเมริกันต้องการจะไป อเมริกันก็จะใช้เครื่องบิน "ซี - 5 - เอ " 10 เครื่องขนทหารขึ้นไปลอยลำในอากาศอยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าวนี้นับเป็นวลาสิบ ๆ ชั่วโมง พอเกิดเหตุฉุกเฉินก็บินลงทันที่ด้วยเหตุผล และข้อมูลดังกล่าวนี้ทำให้ฐานทัพที่สหรัฐลงทุนสร้างเอาไว้อย่างมหาศาลในประเทศไทย ก็เลยหมดความหมายไปโดยปริยาย...ขอให้รู้เอาไว้เสียด้วยมิสเตอร์โล้น ขณะนี้...เวลานี้เหนือศีรษะของพวกคุณประมาณ 30,000ฟิต หรืออาจจะสูงกว่านั้น เครื่องบิน "ซี - 5 - เอ " บรรทุกทหารราบพร้อมอาวุธได้บินสะแตนบายเอาไว้อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น ยุโรป, อเมริกาใต้, เกาหลี, และอินโดจีน "ซี - 5 - เอ " พร้อมที่จะบินลงในทันทีเมื่อประเทศที่ได้รับการช่วยเหลือจากสหรัฐโดนโจมตี

" - อ๋อให้มันหยั่งนี้ซี้ สหายอเมริกันถอนทหารออกไป แต่ก็ยังสัญญาขอใช้สนามบินตาคลีและอู่ตะเภาเอาไว้...เอา...เอากันให้เหมาะ เท่าทีหัวหน้า " กล่อม " ผมมาตั้งชั่วโมงนี่ ก็ต้องการจะให้ผมรับงานที่สนามบินดอนเมืองใช่ไหมครับ ?...โอเค..." ซี.ไอ.เอ." ซะอย่าง พรุ่งนี้คงจวกกันน่าดูชม หายข้องใจแล้วครับ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นตัดบทเอาดื้อ ๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องปฏิบัติการใต้ดินอย่างรวดเร็ว

05.30 ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ บริเวณห้องผู้โดยสารขาเข้า ประชาชนที่มารับผู้โดยสารจากสายการบินต่าง ๆ พากันยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่เงียบ ๆ แต่ส่วนมากครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ที่เรียงรายอยู่หน้าห้องผู้โดยสารที่สว่างไสวไปด้วยแสงฟลูออร์ริเซ่นนั้น

ตามปกติท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ ในวันอาทิตย์ จะไม่ค่อยกมีประชาชนคึกคักเท่าใดนัก เนื่องจากมีเครื่องบินเข้าออกน้อย...แต่สำหรับในเช้าวันนี้กลับคึกคักเป็นพิเศษจนสังเกตได้ชัด นักข่าวหนังสือพิมพ์พร้อมกล้องถ่ายภาพเริ่มทยอยกันเข้ามาไม่ขาดระยะ ช่างภาพจากสถานีโทรทัศน์เกือบทุกช่องตระเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วยืนกระสับกระส่าย สายตาชำเลืองดูนาฬิกาที่ผนังบ่อยครั้ง

ไอ้โล้นสวมสูทสีน้ำเงินเข้มคาบไป๊ป์สะพายกล้องถ่ายรูปยืนไหล่เอียง ซุบซิบกับไอ้แสบ ซึ่งวันนี้แต่งตัวเท่ห์เป็นพิเศษ ด้วยชุดสากลลายพร้อย ที่บริเวณกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายปรากฏป้ายสีเหลี่ยมขนาดเล็กกลัดแนบติดกับขอบกระเป๋ามองเห็นถนัดตา

มันเป็นป้ายนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ " สเตรท-ไทมส์" ของมาเลย์เซีย ซึ่งองค์การ ซี.ไอ.เอ. ได้จัดแจง "ปลอม" ขึ้นมาอย่าง สด ๆ ร้อน ๆ เพื่อแผนงานนี้โดยเฉพาะ

หมวกแขกทรงเรือแจวที่สวมอยู่บนศีรษะอันโล้นเลียนของไอ้โล้น กอปรกับมาดอันเหลือร้ายของแขกเจ้าเล่ห์หยั่ง " โมฮาหมัด อับดุล รามาห์ " ทำให้ไอ้โล้นและไอ้แสบ สามารถพาตัวเองเข้ามาปะปนกับบรรดานักข่าวทั้งไทยและเทศได้อย่างสะดวกโยธิน

ห่างออกไปทางด้านซ้ายมือ มิสเตอร์ นอร์แมน หัวหน้าข่าวกรองของค่ายรามสูร ซึ่งเพิ่งจะสลัดคราบของหมอสอนศาสนาออกอย่างสด ๆ ร้อน ๆ แล้วสวมชุดกัปตันของสายการบิน "แพน-แอม" ยืนสนทนากับผู้กอง "อังคาร ไพรีพินาศ" ซึ่งอยู่ในชุด "สจ๊วต" (พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน) ของสายการบินเดียวกันอย่างออกรสชาติบางครั้งก็มีหัวเราะประสานกันอย่างครื้นเครง

เสียงหัวเราะของคนทั้งสองทำให้ นักข่าวจอมปลอมจากมาเลย์หันไปมองด้วยท่าทางอึดอัดใจ

" - ไอ้แสบ มึงดูเจ้านายของเราโน่น...ไอ้ห่าเสี่ยงฉิบเผงเลยว่ะ หนอยดันเสีอกแต่งตัวเป็นนักบินพาณิชย์เกิดซวยเจอะกับนักบินตัวจริงขึ้นมาล่ะก็มึงเอ๋ยสนุกแน่"

ไอ้โล้นกระซิบกระซาบพร้อมกับชำเลืองสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความอึดอัดใจ

" - มัวแต่ห่วงคนอื่น...มึงกับกูจะซวยไม่รู้ตัว ไอ้ห่าปลอมตัวเป็นนักข่าวมาเลเซีย แต่เสือกฟังภาษาแขกไม่ออกซักตัว ยังไง ๆ มึงอย่าเสือกพูดกับกูมากนักก็แล้วกัน เฮ้ย...ไอ้โล้น เสี่ยวิชัย กับชาติอยู่ที่ไหนวะ กูมองไม่เห็นเลยตั้งแต่ขึ้นมาข้างบนนี่ "

" - อยู่ข้างนอก...ที่จอดรถ...มีอะไรผิดปกติเขาจะวิทยุมาเอง...เฮ้ยนั่นสารวัตรทหารเสือกแห่กันมาทำไมมากนักวะ "

ประโยคสุดท้ายไอ้โล้นสะกิดให้เพื่อนคู่หูหันไปดูขบวนสารวัตรทหารอากาศ ซึ่งขณะนี้เดินแถวเข้ามาภายในบริเวณหน้าห้องโดยสาร "ขาเข้า" สะพรึ่บไปหมดทุกคนมีอาวุธสะพายอยู่บนไหล่ครบครัน พอเคลื่อนขบวนมาถึงบริเวณหน้าห้องโดยสารขาเข้าก็กระจายกำลังออกรายล้อมบริเวณดังกล่าวหเอาไว้รอบพร้อม ๆ กับเชิญประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นให้ออกไปด้วยความสุภาพแกมบังคับอยู่ในที

ประชาชนที่มารับผู้โดยสารถูกต้อนออกไปยืนอยุ่รอบ ๆ นอก แทบทุกคนมีท่าทีประหลาดใจแต่ชั่วอึดใจต่อมาข่าวคราวของ "จอมพลถนอม กิตติขจร" ที่จะเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ขาดปาก บางคนพยายามเบียดสารวัตรทหารยื่นหน้ายื่นตาชะเง้อมองไปที่ช่องทางประตูเข้าอกด้วยความตื่นเต้น

ด้วยอำนาจของ " บัตร " นักข่าวที่กลัตติดอยู่ที่หน้าอกเสื้อ ทำให้ไอ้โล้นและไอ้แสบสามารถพาตัวเองปะปนอยู่ในกลุ่มของผู้สื่อข่าวทั่ว ๆ ไปได้อย่างสบาย

"เฮ้ย...ไอ้โล้น...นั่นวิทยุเรียกมึงมาแล้วโว้ย"

ไอ้แสบกระซิบกระซาบพร้อมกับสะกิดให้ไอ้โล้นมองดูไฟแดงที่กระพริบอยู่บนกล้องถ่ายรูปนั้น

ไอ้โล้นเอื้อมมือไปกดปุ่มข้าง ๆ ชัตเตอร์ไฟสีแดงแวบหายไป ชั่วอึดใจก็มีไฟสีเขียวกระพริบขึ้นมาแทนที่พร้อม ๆ กับมีสัญญาณคำพูดดังแว่วออกมาเบา ๆ

"ระวัง...ชายอาหรับสองคนที่อยู่ในชุดสากลสีน้ำตาลไหม้กับชุดเทาซึ่งกำลังจะเข้าไปข้างในห้องโดยสารให้ดี เช็คดูแล้วรถที่ใช้ทะเบียนเป็นของสถานทูตโซเวียตไม่ต้องห่วงข้างล่าง "บล๊อค" เอาไว้หมดแล้ว"

" - เออ...ให้พ่อมึงขึ้นมา ประเดี๋ยวกูจะเจี๋ยนคอหอยมันเอง...บอกลักษณะมันอีกครั้ง กูไม่อยากฆ่าผิดตัว "

ไอ้โล้นกระซิบตอบลงไปด้วยน้ำเสียงลึก ๆ ร่างกายซึ่งยืนอยู่ดี ๆ บังเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน...

"เอาอีกแล้วมึง...ไอ้โล้น...พออยากจะฆ่าใครขึ้นมามึงเป็นสั่นทุกที ไอ้โรคจังไรของมึงนี่รำคาญนัยน์ตากูจังเลยว่ะ"

ไอ้แสบบ่นพึมพำพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความอิดหนาระอาใจ

" - ช่วยไม่ได้พอ "เซี่ยน" ขึ้นมาทีไรกูต้องเป็นยังงี้ทุกที...ประเดี๋ยวก็หาย...เพื่อน"

ไอ้โล้นกระซิบตอบพร้อมกับชำเลืองไปที่ช่องทางเข้าออก ซึ่งขณะนี้บังเกิดการเบียดเสียดเยียดยัดชุลมุนวุ่นวายอยู่ชั่วอึดใจ ก็ปรากฏร่างของชายอาหรับสองคนแหวกฝูงชนเข้ามาในบริเวณหน้าห้องพักผู้โดยสารขาเข้าได้อย่างทุลักทุเล ป้ายซึ่งกลัดติดอยู่ที่หน้าอกของชายอาหรับทั้งสอง ถูกชูขึ้นหราเหนือศีรษะ ปากก็ร้องขอทางเป็นภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา

" - สูงทั้งคู่...ไว้หนวด...มีกล้องถ่ายรูปชนิด "กลองบ๊อคซ์" สะพายอยู่คนละกล้อง"

เสียงวิทยุจากเสี่ยวิชัยรายงานรูปร่างลักษณะของชายอาหรับทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง

" - เออ เห็นตัวแล้ว...พวกมันอยู่ข้างล่างอีกกี่คน...ชาติ "

ไอ้โล้นย้อนถามกลับไปเบา ๆ...

" - สองคน...ขณะนี้เดินออกจากรถไปแล้ว เสี่ยวิชัยกำลังลงไปวาง " ของ " ที่รถ...ทางนี้...สบายมากไม่ต้องห่วง ระวังเจ้านายด้วยโว้ยพรรคพวก "

ประโยคสุดท้าย ชาติกำชับให้เพื่อนร่วมทีมคอยระวังคุ้มกัน นอร์แมน กับผู้กอง " อังคาร " อยู่ในที

ไอ้โล้นไม่ตอบมันเอื้อมมือลงไปปิดสวิทช์วิทยุ ที่ข้างชัตเตอร์แล้วพยักหน้าให้เพื่อนคู่หูเดินเฉียดเข้าไปหาชายอาหรับทั้งสองทันที

ชายอาหรับทั้งสองหยุดยืนคุยกับนักข่างหญิงคนหนึ่งด้วยท่าทางสนิทสนม ไอ้แสบชำเลืองดูแว่บหนึ่งก็หันมากระซิบกับไอ้โล้นเบา ๆ

" - อีคนที่ถ่ายรูปในโรงงานผลิตอาวุธของกรมสรรพาวุธแหง ๆ กูจำได้ อีห่าจิกนี่ชื่อผกาวรรณชัดเลย...พวกมันมารอเล่นงาน "สาย" ของเราเป็นทีมอยู่แล้ว...จะทำยังไงดีวะ...ไอ้โล้น "

" - ต้องไปคิดให้ปวดหัวสมองทำไมวะ เจี๋ยนแม่มันเป็นราย ๆ ไปก็สิ้นเรื่อง...ประเดี๋ยวกูจะหาทางให้ไอ้เหี้ยสองตัวนั่นเข้าไปในห้องน้ำให้ได้ แล้วมึงคอยดูสีมือของกูก็แล้วกัน...เฮ้ย...ได้การแล้วโว้ย ไอ้ห่านั่นเดินไปทางห้องน้ำโน่นแล้ว"

ไอ้โล้นกระซิบกระซาบพร้อมกับก้าวเท้าออกเดินตามชายอาหรับคนที่แต่งสูทสีเทาไปติด ๆ โดยมีไอ้แสบตามคุมเชิงไปอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา

ชายอาหรับพาตัวเองตรงเข้าไปที่ประตูห้องน้ำไอ้โล้นหันกลับมามองดูทางเบื้องหลังแว่บหนึ่งแล้วแทรกตัวตามชายอาหรับเข้าไปติด ๆ

ชายอาหรับไหวกายเยือก สะบัดตัวหมุนกลับมาประจัญหน้ากับไอ้โล้น มีดโบวี่ขาวปร๊าบกระชับอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันสังเกต เสือกตรงเข้ามาที่ช่องท้องของไอ้โล้นจนมองดูแทบไม่ทัน

" - ยากส์ส์...ไอ้ลูกแมว"

ไอ้โล้นคำรามออกมาพร้อมกับเบี่ยงตัวหันข้างให้คมมีด มือข้างหนึ่งปัดแขขนชายอาหรับเต็มแรง

คมมีดเฉออกจากช่องท้อง ไอ้โล้นปราดเข้าประชิดตัวแบบสายฟ้าแลบ มือขวาที่เต็มไปด้วยสันกระดูกแบบมือนักคาราเต้กระแทกโครมเข้าไปที่บริเวณคอหอยสุดแรงเกิด พร้อม ๆ กับมืออีกข้างหนึ่งตวัดกำข้อมือของชายอาหรับชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วกระชากพลิกหักลงไปทางเบื้องหลัง พร้อม ๆ กับออกแรงกระชากแขนขึ้นเต็มแรง

" กรึ๊บ "

ไม่มีเสียงร้องจากชายอาหรับผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นเขาสลบเหมือดตั้งแต่วินาทีแรกที่สันมือฟาดเปรี้ยงเข้าไปที่คอหอยแล้ว ในขณะที่ตัวของชายอาหรับเริ่มซวนเซลงมาไอ้โล้นก็ออกแรงผลักร่างของนักข่าวอาหรับกระเด็นเข้าไปนั่งงอก่องอขิงอยู่บนโถส้วมชักโครกพอดิบพอดี

" - ทางสะดวก...ไอ้โล้น...บรรเลงต่อไปตามถนัด"

ไอ้แสบซึ่งยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้องน้ำ ยื่นหน้าเข้าไปพูดเบา ๆแล้วถอยกลับออกมายืนคุมเชิงเหมือนอย่างเดิมโดยปราศจากอาการพิรุธใด ๆ ทั้งสิ้น

ไอ้โล้นก้มลงเก็บมีดที่ตกอยู่ที่พื้น แล้วพาตัวเองเข้าไปดึงประตูส้วมปิด ยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็ใช้ปลายมีดงัดปากของชายอาหรับขึ้นมาดู

" - ฟันทองเต็มปากเชียวมึง...ขอกูเอาไปทำบุญทอดกฐินซักซี่ สองซี่เถอะวะ พรรคพวก"

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 10 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 12:26  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19417

คำตอบที่ 80
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 11

ในขณะที่ไอ้โล้นยืนค้ำกบาลนักข่าวอาหรับผู้เคราะห์ร้ายที่นอนงอก่องอขิงสลบอยู่บนโถส้วมชักโครกอยู่นั้น เขาหาได้เฉลียวใจซักนิดว่าในขณะนี้ งูเห่าร้ายจาก "เค.จี.บี." ได้ฟื้นจากการสลบแล้ว...สภาพของร่างกายซึ่งได้รับการฝึกฝนมาอย่างโชกโชนในระบบการต่อสู้ทุกชนิดทำให้ชายอาหรับผู้มีความอดทนเหนือมนุษย์ผู้นั้นคืนสติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สัญชาตญาณของนักสู้ทำให้เขารอบคอบพอสมควร...เขาปล่อยตัวอยู่ในสภาพเดิมอยู่ชั่วครู่แล้วค่อย ๆลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมาสังเกตดูเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วยความใจเย็น

พอเห็นไอ้โล้นชะล่าใจก็เสือกปลายเท้ายันท้องน้อยของไอ้โล้นกระเด็นไปชนประตูห้องน้ำดังโครมใหญ่ พร้อม ๆ กับเด้งตัวผวา พุ่งเข้าใส่ไอ้โล้นด้วยท่าทางกระหายเลือด

ไอ้โล้นแยกเขี้ยวขาววับ เด้งตัวกลับมือข้างที่ถือมีดเสือกเข้าหาช่องท้องของนักข่าวจอมปลอมเต็มเหยียด

เหมือนกับจะอ่านไต๋ออก ชายอาหรับเบี่ยงตัวเอาร่างกายด้านข้างให้คมมีดแล้วใช้ท่อนแขนปัดมีดที่ฉวัดเฉวียนอยู่เบื้องหน้าด้วยหลักการต่อสู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาจนไอ้โล้นถึงกับอุทานออกมาดัง ๆ

" - สวย...สวยแน่...ไอ้ลูกหมา...ฝีมือยังงี้ค่อยสูสีกับกูหน่อย "

ยังไม่ทันจะขาดคำ ไอ้โล้นก็เตะสวนตูมเข้าไปทีห้องเครื่องของชายอาหรับเต็มแรง

มีเสียงร้องอึกอัก ๆ อยู่ในลำคอ มือทั้งคู่ของชายอาหรับยกขึ้นมาตะครุบ "ห้องเครื่อง" นัยน์ตาที่แสดงแววกระหายเลือดเบิกค้างเหมือนกับได้รับความเจ็บปวดสุดชีวิตหัวเข่าทั้งสองบีบชิดติดกันเหมือนกับเป็นอัตโนมัติแล้วค่อย ๆ คู้ร่างกายทำท่าจะล้มลงไปกับพื้นไอ้โล้นสืบเท้าเข้าไปประชิดตัว มือข้างซ้ายยกขึ้นไปตวัดอ้อมศีรษะ โดยให้ปลายนิ้วมืออุดริมฝีปากแน่น มือขวาข้างที่กำมีดทิ่มพรวดเข้าไปที่ชายโครงเต็มแรงแล้วงัดคมมีดทะแยงขึ้นด้านบนด้วยลักษณะของการชำแหละ ปากก็แสยะยิ้มคำรามออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

" - ไอ้สัตว์ ฝีมือของมึงยังห่วยมาก นอนคอยเพื่อนของมึงอยู่นี่ก่อนนะโว้ย "

ไม่มีเสียงตอบจากนักข่าวอาหรับ...พอไอ้โล้นปล่อยมือ ร่างของเพชฌฆาตจาก "เค.จี.บี." ก็รูดตัวลงไปนอนตะแคงอยู่หน้าโถส้วมโลหิตทะลักออกมาเป็นสาย

ไอ้โล้น จัดแจงทำความสะอาดมืออย่างลวก ๆ แล้วงับประตูส้วมเอาไว้อย่างเดิม เดินตีหน้าตายออกมาด้วยท่าทางปกติ พยักพเยิดยิ้มกับไอ้แสบแล้วพากันเดินเข้าไปภายในบริเวณหน้าห้องผู้โดยสารขาเข้าอย่างใจเย็น

" - เฮ้ย...ผู้กองกับหัวหน้าหายไปไหนวะ มึงทำไรกับไอ้นักข่าวอาหรับนั่น ถ้าถึงตายกูว่าประเดี๋ยวได้ยุ่งกันตายห่าหรอกมึง "

ไอ้แสบชำเลืองมองหน้าผู้กองอังคารกับนอร์แมนพร้อมกับกระซิบกระซาบถามไอ้โล้นเบา ๆ

" - กู เจี๋ยนมันตายโหงไปแล้ว...เกือบจอดมันเหมือนกัน...ไอ้ห่าหลอกทำเป็นสลบ ถ้ากูไม่ระวังตัวป่านนี้เท่งทึงไปแล้ว...โน่น ๆ...เจ้านายของเราไปยืนประกบนักข่าวหญิงจากไทยสยามโน่นแล้ว...มึงส่งวิทยุลงไปบอกไอ้ชาติทีวะ ลองถามเหตุการณ์ดูด้วย กูชักเป็นห่วงพวกเราข้างนอกเสียแล้วละโว้ยพรรคพวก "

ไอ้โล้นกระซิบกระซาบพร้อมกับสั่งให้เพื่อนคู่หูติดต่อวิทยุซึ่งซ่อนยู่ในกล้องถ่ายรูปไปยังพรรคพวก ที่จอดรถซุ่มอยู่ข้างนอกด้วยท่าทางกระสับกระส่าย

ไอ้แสบใช้มือกดปุ่มข้าง ๆ ชัทเตอร์ สายตาที่กระด้างเหมือนกับตาเพชฌฆาร ชำเลืองไปรอบ ๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เมื่อไม่มีใครสนใจก็ยกกล้องขึ้นมากรอกคำพูดลงไปเบา ๆ

" - ชาติ...รายงานสถานการณ์ข้างนอกด่วน "

ชั่วอึดใจก็มีเสียงตอบกลับมาอย่างยืดยาว "ไอ้สามตัวที่มากับรถสถานทูตรุสเซีย เข้าไปที่รถของผู้กองอังคารขณะนี้พวกมัน คนหนึ่งใช้กุญแจผีไขรถเข้าไปค้นของภายในรถแล้ว...กระเป๋าเอกสารของผู้กองถูกเปิดออกและคาดว่าพวกมันอาจจะใช้กล้องถ่ายเอกสารทั้งหมดเอาไว้แล้ว...ไอ้สองคนที่ยืนคุมเชิงอยู่นอกรถกำลังถ่ายรูปของผู้กองทั้งด้านหน้า, ด้านข้าง, และด้านหลัง...โปรดระวังพวกมันขึ้นไปสมทบกับพรรคพวกของมันข้างในอีกสองคนแล้วเหตุการณ์ข้างในเป็นยังไงบ้างวะ..."

ชาติย้อนถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

" - ไอ้เหี้ย โล้น เจี๋ยนมันม่องไปคนนึงแล้ว ศพอยู่ในห้องน้ำ ผู้กองกับหัวหน้ายังไม่รู้เรื่องเลย กูว่ามันจะยุ่งแหง ๆ"

ยังไม่ทันที่ไอ้แสบจะพูดจบก็มีเสียงพูดสวนออกมากลางคัน

" - อั๊วฟังอยู่แล้ว...แสบ...ประเดี๋ยวอั๊วจะจัดการเอง...ปล่อยพวกมัน...ไม่ต้องปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น พวกมันฮุบ "เหยื่อ" ที่อั๊วล่อเอาไว้ในรถแล้ว เรื่องศพอั๊วจัดการเอง...เฮ้ย...ชาติ...สั่งให้วิชัยเอา "ระเบิด" ออกจากรถของพวกมันได้แล้ว...อั๊วต้องการให้มันตามอั๊วไป...ปฏิบัติการได้..."

ผู้กองอังคาร ซึ่งมีวิทยุ ซึ่งมีวิทยุและดักฟังการติดต่อประสานงานระหว่าง ไอ้แสบกับชาติ อยู่ตลอดเวลา สั่งงานออกมาเป็นครั้งแรก แล้วหันไปซุบซิบกับนอร์แมนอยู่ครู่หนึ่ง นอร์แมนก็เดินผละออกไปอย่างรวดเร็ว

ชั่วอึดใจใหญ่ ๆ ก็มีพนักงานทำความสะอาดสองคนใช้รถเข็นบรรทุกถังทรงกลมที่มีลักษณะเหมือนถังขยะมีฝาครอบ มุ่งหน้าเข้าไปในห้องน้ำด้วยท่าทางรีบร้อน แล้วก็เข็นกลับออกมาด้วยลักษณะเหมือนกับจะมีสิ่งของที่มีน้ำหนักพอสมควรบรรจุอยู่ข้างในถังขยะทรงกลมนั้น

" - เรียบร้อย...ไอ้แสบ...เจ้านายของเราเก็บศพไอ้ห่าจิกนั่นออกไปแล้ว...ถ้าจะให้กูเดากูว่าไอ้หอกนั่นอยู่ในถังขยะใบนั้นแหง ๆ...กูนึกไม่ถึงเลยยจริง ๆ ไอ้ห่า อิทธิพลงของ ซี.ไอ.เอ. ทำไมมันถึงเพ่นพ่านเข้ามาถึงในท่าอากาศยานนี้ได้วะ ถ้ากูไม่เห็นกับตากูเป็นไม่เชื่อเด็ดขาด "

" - โปรดทราบ แจแปน-แอร์-ไลน์ เที่ยวบินที่จะถึงท่าอากาศย่านกรุงเทพ ฯ ภายในเวลา 09.30 น. "

เสียงประกาศเป็นภาษาไทย, ฝรั่งเศส และอังกฤษดังกังวานออกมาจากโทรทัศน์วงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของบริเวณห้องผู้โดยสารขาเข้านั้น

กลุ่มนักข่าวทั้งไทยและเทศพรูกันไปที่ห้อง "วี.ไอ.พี." กันเป็นจ้าละหวั่น นักข่าวอาหรับที่ยืนคุยกับนักข่าวสาวของหนังสือพิมพ์ " ไทยสยาม " หันหน้าหันหลังชำเลืองหาเพื่อนร่วมทีมด้วยท่าทางกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่งก็เดินตรงเข้าไปที่ห้องน้ำ ต่อจากนั้นก็เดินกลับออกมาพูดกับพรรคพวกอีกสองคนที่เพิ่งจะขึ้นมาสมทบด้วยท่าทางแปลกใจ แล้วหันกลับมามองดูผู้กองเหมือนกับนัดกันเอาไว้

" - ฉิบหายแล้ว...ไอ้พวกเหี้ยนั่นสงสัยผู้กองของเราเข้าให้แล้ว...ลองเพื่อนของมันหายไปอย่างไม่ได้ร่องได้รอยแบบนี้ละก็ มันฟัดลูกพี่เราแน่"

ไอ้โล้นกระซิบกระซาบออกมาพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปปลดกระดุมเสื้อนอก ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านเหมือนกับคนเป็นไข้มาเลเรียขึ้นมาอย่างกะทันหัน

" - ใจเย็น...ไอ้โล้น...สารวัตรทหาร, ตำรวจเต็มพรืดออกยังงี้ พวกมันไม่กล้าฟัดผู้กองเราหรอกน่า ติดกระดุมเสื้อซะ อย่าเสือกล้วงเอาปืนขึ้นมาเป็นอันขาด ไอ้ห่ามึงนี่บ้าไม่เข้าเรื่อง มันไม่ใช่หนังไทยนะโว้ย ไอ้โล้น นี่มันของจริง จะฆ่าใครก็ดูสถานการณ์รอบ ๆ ด้านซะก่อนผู้กองแก่ก็รู้ตัวแล้ว...ขนาดเสี่ยวิชัยเอาลูกระเบิดเวลาไปวางที่รถของพวกมัน แกยังสั่งให้ถอดออก...แกต้องมีแผนอะไรของแก่แน่ ๆ ใจเย็น ๆ ซิวะพรรคพวก"

"....กูเย็นไม่ไหวแล้ว ไอ้แสบ มึงไม่รู้อะไร...ไอ้พวกเหี้ยนี่สงสัยจะเป็นแก๊งเดียวกับพวกที่ฆ่านักกีฬาอิสราเอลที่มิวนิค...จิตใจของพวกมันเหี้ยมโหดพอที่จะเข่นฆ่าใครก็ได้ที่ขวางทาง "แผนการ" ของมันและสิ่งสุดท้ายที่พวกมันเหนือกว่าพวกเราก็คือ พวกมันทุกคนพร้อมที่จะฆ่าตัวตายเมื่อแผนงานล้มเหลว สารวัตรทหารและตำรวจแค่นี้มันไม่ยี่หระหรอกโว้ย...ไอ้แสบ มึงคอยดู ถ้ามันมีท่าทีจะเล่นผู้กองกูจะล่อแม่มันด้วยปืนเก็ยเสียงกระบอกนี้เอง..."กันยายนทมิฬ" มาเจอะกับ "ไอ้โล้นทมิฬ" ประเดี๋ยวคงได้เสียกันละวะ "

ไอ้แสบยังไม่ทันพูดอะไรออกมาก็พอดี "แจแปน-แอร์ไลน์" ค่อย ๆ ร่อนลงสู่สนามบิน แล้ววิ่งปร๊าดไปจนสุดรันเวย์ก็วกกลับ ต่อจากนั้นก็แท๊กซี่ช้า ๆ มายังบริเวณหน้าท่ออากาศยาน ท่ามกลางความตื่นเต้นของประชาชนซึ่งยืนชะเง้อมองดูกันสลอน

กลุ่มนักข่าวที่วิ่งพรูไปออกันแน่นที่หน้าห้อง "วี.ไอ.พี." พยายามจะแหวกแถวตำรวจและสารวัตรทหารเข้าไปในห้อง แต่ทว่าไม่เป็นผลสำเร็จทุกคนถูกกันอยู่เพียงหน้าประตูแล้วบังเกิดการชุลมุนวุ่นวายเบียดเสียดเยียดยัดส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวจนฟังไม่ได้ศัพท์

ในขณะที่กลุ่มนักข่าวกำลังสาละวนถ่ายรูป " แขกพิเศษ " ของสายการบินแจแปน-แอร์ไลน์อยู่นั้น "ผกาวรรณ" นักข่าวสาวจาก "ไทยสยาม" ก็เดินนำกลุ่มนักข่าวอาหรับที่ขึ้นมาสมทบภายหลัง เดินเข้าไปออแน่นอยู่ตรงบริเวณช่องทางเข้าออกของห้องโดยสารขาเข้า ซึ่งขณะนี้กำลังจากสารวัตร และตำรวจถูกแบ่งไปยังห้อง "วี.ไอ.พี." จนมองดูโหรงเหรง

ผู้โดยสารส่วนหนึ่งเริ่มทยอยเข้ามาในห้องพักผู้โดยสารขาเข้า แล้วดำเนิน "กรรมวิธี" เกี่ยวกับการเข้าเมืองกันอย่างรีบเร่ง แอร์โฮสเตสและกราวด์โฮสเตสของสายการบินแจแปน-แอร์ไลน์ ช่วยบริการผู้โดยสารด้วยหน้าตายิ้มแย้มและคล่องแคล่วว่องไว

หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ซ่อนรูปอยู่ในชุดเดินทางสีฟ้าอ่อนแต่งหน้าเข้ม สะพายกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก มือทั้งสองหิ้วกล่องกระดาษพะรุงพะรัง เดินผ่านประตูจากชานชาลาท่าอากาศยานเข้ามาในห้องผู้โดยสารด้วยท่าทางรีบร้อนตามติด ๆ ด้วยสาววัยกลางคนท้องแก่อุ้ยอ้าย เมื่อทั้งสองปรากฏตัวเข้ามาในห้องโดยสาร กลุ่มนักข่าวอาหรับก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวขึ้นมาทันที

กล้องถ่ายรูปชนิดใช้ " ซูม " ของแต่ละคนถูกยกขึ้นมาปรับระยะ เสียงลั่นชัทเตอร์ดังไม่ขาดระยะ เป้าหมายการถ่ายรูปก็คือ หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งหน้าตสสวยสดที่ซ่อนรูปอยู่ในชุดเดินทางสีฟ้านั่นเอง

สำหรับหญิงวัยกลางคนซึ่งท้องแก่อุ้ยอ้ายเต็มที ถูกแอร์โฮสเตสของแจแปน-แอร์ไลน์ พยุงไปนั่งพักผ่อนที่เก้าอี้และรับพาสปอร์ตไปดำเนินกรรมวิธีให้พร้อมเสร็จ

" - เฮ้ย...ผู้กองอังคารกับนอร์แมนเข้าไปในห้องโดยสารแล้วโว้ย...นั่นเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนสวมชุดสีฟ้านั่นแล้ว...กูว่าประเดี๋ยวได้ฟัดกันแหลกกระจุยหรอกมึง "

ไอ้โล้นกระซิบกระซาบพร้อมกับยกกล้องขึ้นมากดสวิทช์ที่ปุ่มข้าง ๆชัทเตร์ สายตาลอบชำเลืองไปยังกลุ่มของนักข่าวอาหรับด้วยแววตากระหายเลือด

นอร์แมนเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาว ซึ่งขณะนี้กำลังรอศุลกากรเช็คกระเป๋าเดินทางอยู่บนโต๊ะด้านในสุด เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยหัวหน้าข่าวกรองค่ายรามสูรก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาแล้วส่งต่อให้ผู้กองอังคาร

หญิงสาวเหลือบตามองกระเป๋าแล้วแหงนหน้าขึ้นมองผู้กองอังคารกับนอร์แมนด้วยอาการเคลือบแคลงใจ ใบหน้าซึ่งสวยผุดผาดแสดงอาการฉุนเฉียวจนสังเกตเห็นได้ชัดแต่พอมองเห็นหน้านอร์แมนถนัดก็เผยอมยิ้ม พร้อม ๆ กับอุทานเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงมาเลย์ออกมาด้วยความดีใจ

" - คุณ...คุณ...วิลเลี่ยม...โอ ดิฉันดีใจจังเลยค่ะเกือบสองปีเต็ม ๆ ที่ดิฉันไม่ได้พบคุณ สบายดีหรือคะ อ้า...วันนี้คงจะออกบิน ?"

ประโยคสุดท้าย หญิงสาวชำเลืองดูเครื่องแบบกัปตันสายการบิน "แพน-แอม" ของนอร์แมนแล้วตวัดสายตาขึ้นไปจ้องหน้าผู้กองอังคารด้วยแววตาที่คมกริบเหมือนจะแสดงอาการ " ถาม " นอร์แมนอยู่ในที

" - อ้อ...ผมลืมแนะนำไปอย่างสนิทใจ "

" อ้า...คุณซิลเวียครับ นี่คุณอรินทร์ สนิทวงษ์ ณ อยุธยา...เป็ยสจ๊วตสายการบินเดียวกับผม...รู้จักกันเอาไว้ เธอเป็นนักร้องที่ค่าตัวแพงที่สุดในสิงคโปร์ "

ประโยคสุดท้าย นอร์แมนหันมาพูดกับผู้กองอังคารพร้อมกับหรี่ตาข้างหนึ่งให้ ต่อจากนั้นก็หันหน้ากลับไปพูดกับซิลเวียต่อโดยที่เธอไม่มีโอกาสสังเกตเห็นอากัปกริยาของคนทั้งสองแต่อย่างใด

" - ผมมารอคุณตั้งแต่เช้า พอทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ "สเตรท-ไทมส์" ว่าคุณจะบินมาร้องเพลงที่ ไนท์คลับในกรุงเทพ ฯ ผมก็โทร ฯ ทางไกลไปสอบถามที่สายการบินดู จึงได้หมายกำหนดการเดินทางที่แน่นอนของคุณ ถ้าไม่รังเกียจวันนี้ผมขอถือโอกาสเป็นเจ้ามือนะครับ"

ซิลเวียหัวเราะ เธอพยักหน้าพร้อมกับชำเลืองไปที่ช่องทางเข้าออกประตูห้องโดยสารเหมือนกับจะมองหาอะไรบางสิ่งบางอย่างแล้วพึมพำออกมาเบา ๆ

" - คงจะไม่มีใครมารับดิฉันแน่ ๆ เพราะหมายกำหนดการเดินทางของดิฉันมาก่อนกำหนดถึง 10 ชั่วโมงเต็ม ๆ...จะไปกันหรือยังค่ะ ? "

นอร์แมนหันกลับมาจ้องหน้าผู้กองอังคารอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดบทขึ้นสั้น ๆ

"พาคุณซิลเวียไปที่รถข้างนอก...ประเดี๋ยวผมจะตามออกไป"

ผู้กองอังคารไม่ตอบ เขาหิ้วกระเป๋าเดินนำหน้าพา "ซิลเวีย-อึ้ง" นักร้องสาวลูกผสมจากสิงคโปร์ออกจากห้องโดยสารไปอย่างรวดเร็ว

นอร์แมนกวาดสายตามองผู้โดยสารที่กำลังทยอยออกจากห้องผู้โดยสารอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบปากกาลูกลื่นออกจากกระเป๋าเสื้อ หันหลังให้กลุ่มนักข่าวอาหรับที่ยืนอออยู่หน้าช่องประตูแล้วหมุนท่อนหัวของปากกาไปทางขวาดัง "คริก" เบา ๆ ต่อจากนั้นก็ยกแท่งปากกาขึ้นจ่อริมฝีปากกรอกคำพูดลงไปอย่างยืดยาว

" - มิสเตอร์ - โล้น...มิสเตอร์แสบ สั่งถอนคำสั่งทั้งหมดไปคุ้มกันรถของสายการบินที่จะพาผู้โดยสารเข้าไปในกรุงเทพ ฯ ด่วน ขณะนี้ "สาย" ของพวกเรารอดจากการแกะรอยของพวกมันปะปนไปกับผู้โดยสารแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น...คุ้มกันรถให้เดินทางถึงโรงแรมเท่านั้นแล้วถอยกำลังกลับไปที่ " สถานีที่ 10 " โดยเปลี่ยนรถให้ใหม่ทั้งหมด แล้วออกเคลียร์พื้นที่รอบ ๆ สถานี...วางกำลังพลพร้อมด้วยอาวุธหนัก.."แสตนด์บาย" วิทยุคลื่นพิเศษเพื่อรอคำสั่งปฏิบัติการ...ข้อสุดท้ายให้กำลัง "รีเสิร์ฟ" ที่หน้าสถานีรถไฟดอนเมืองคุ้มกันรถของผู้กองอังคารต่อไปเลิกกัน"

คำสั่งเป็นรหัส ซึ่งเพิ่งจะถูกใช้เป็นครั้งแรกในการติดต่อประสานงานครั้งนี้ ถูกสั่งงานออกไปอย่างเฉียบขาดและรัดกุม...ชั่วอึดใจก็มีเสียงรายงานเข้ามาอย่างถี่ยิบ

" - นอร์แมนจาก...โล้น...รับทราบ รับปฏิบัติ"

" - นอร์แมนจากสถานีรถไฟดอนเมือง รับทราบ...รับปฏิบัติ "

นอร์แมนเสียบปากกาเอาไว้ที่กระเป๋าเสื้อแล้วเดินออกจากห้องผู้โดยสารไปอย่างรวดเร็ว

ไอ้โล้นกระตุกมือไอ้แสบพลางกระซิบ

" - สนุกละโว้ย...ไอ้แสบ เจ้านายของเราแหกตาไอ้พวกเหี้ยนั้นเข้าให้แล้ว กูสงสัยจังเลยวะ คนผู้หญิงสวมชุดสีฟ้าที่ผู้กองอังคาร หิ้วออกไปนั่นจะเป็นคนของพวกเราหรือว่าเป็น "เหยื่อ" ล่อกูก็ยังดูไม่ออก แผนห่าเหวอะไรของมันวะ ซับซ้อนยิ่งกว่าหนังเจมส์บอนด์เซียะอีกไปโว้ย พวกมันตามผู้กองอังคารออกไปโน่นแล้ว"

เพชฌฆาตรับจ้างของ ซี.ไอ.เอ. เริ่มเคลื่อนย้ายของจากบริเวณหน้าห้องโดยสารขาเข้าไอ้แสบไอ้โล้นลงไปสมทบกับเสี่ยวิชัยและชาติที่นั่งรออยู่ในรถข้างนอก ต่อจากนั้นก็พารถเคลื่อนที่ออกจากที่จอดติดตามรถโฟค์ตู้ปรับอากาศที่บรรทุกผู้โดยสารเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ ไปอย่างกระชั้นชิด

นอร์แมนพาตัวเองเข้าไปสมทบกับผู้กองอังคารและซิลเวียที่นั่งรออยู่ในรถ พร้อม ๆ กันนั้นนักข่าวอาหรับซึ่งขาดหายไปหนึ่งคนก็ทยอยกันเข้าไปนั่งในรถป้ายทะเบียนสถานทูต ซึ่งจอดอยู่ห่างกันไม่เท่าใดนัก ฟิล์มกรองแสงซึ่งติดกระจกมืดทึบไปทั้งสี่ด้านทำให้ผู้กองอังคารซึ่งทำหน้าที่เป็นพลขับถึงกับสบถออกมาด้วยความฉุนเฉียว

" - ระยำ ผมลืมเอากล้องแรงสูงมา...ไอ้ห่ามืดทึบแบบนั้นใครจะมองเห็นวะ "

นอร์แมนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบกล้องส่องทางไกลแบบ "ตาเดียว" ออกมายัดลงไปในอุ้งมือของผู้กองอังคารโดยไม่พูดอะไรออกมาซักคำต่อจากนั้นก็หันไปยิ้มกับซิลเวียที่นั่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่นั่งตอนหลัง

" - กรุงเทพ ฯ เดี๋ยวนี้เจริญขึ้นกว่าเดิมมาก คราวแรกที่ดิฉันมา รู้สึกว่าท่าอากาศยานจะไม่ใหญ่โตมโหฬารถึงขนาดนี้ และสะพานลอยโน่นก็ยังไม่ได้สร้างขึ้น"

ซิลเวียพูดพลางชำเลืองดูอาคารอันใหญ่โตมโหฬารของท่าอากาศยานกรุงเทพ ฯ และสะพานลอยด้วยความทึ่งใจ

" - ครับ ความเจริญในด้านก่อสร้างได้รุดหน้าไปอย่างน่าตกใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อเมริกาและยุโรปมี กรุงเทพ ฯ ก็ดูเหมือนจะมีให้คุณดูพร้อมเสร็จ"

ผู้กองอังคารพูดพรางขยับดึงกล้องแรงสูง "ตาเดียว" ให้เลื่อนออกเป็นสองท่อนแล้วส่งให้กับซิลเวีย ต่อ จากนั้นก็สตาร์ทรถพาออกจากที่จอดแล่นเอื่อย ๆ เลี้ยวซ้ายออกซุปเปอร์ไฮเวย์ปากก็พูดต่อไปอีก

" กล้องขยาย 10 เท่า ประสิทธิภาพพิเศษที่เหนือกว่ากล้องอื่น ๆ ก็คือ สามารถส่องทะลุแผ่นฟิล์มกรองแสงเข้าไปข้างในคุณลองส่องรถที่ตามมาข้างหลังดูซิครับ รถเชฟโรเลตสีน้ำเงินกระจกทึบคันที่ซ้อนอยู่ต่อจากรถดัทสันสีแดงนั่นแหละ"

ผู้กองอังคารพูดพลางขยับกระจกหลังแล้วชำเลืองดูภาพรถที่ติดตามมา เขายิ้มออกมานิดหนึ่ง เมื่อมองเห็น รถแลนโรเวอร์ ใหม่เอี่ยมคันหนึ่งจี้ประกบเข้ามาทางเบื้องหลังของรถเชฟโรเลตที่ติดป้ายสถานทูตคันนั้น

" - ซิลเวีย - อึ้ง" นักร้องสาวจากสิงคโปร์ซึ่งบังเอิญโคจรเข้ามาในแผนการณ์ของ ซี.ไอ.เอ. อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเอื้อมมือรับกล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวขึ้นมาส่องไปทางกระจกหลังรถอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก

" - คุณอรินทร์ให้ดิฉันส่องดูอะไรก็ไม่รู้ ภายในรถมีแต่ชายหน้าดุ ๆ ตั้ง 4 คน ไม่เห็นมีอะไรเลยน่ค่ะกล้อง "

พูดจบเธอก็ส่งกล้องให้กับนอร์แมน ต่อจากนั้นก็พิงศีรษะลงกับเบาะหลังนอนหลับตาพริ้มเหมือนกับจะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางยู่ในที

" - สถานี 10 ตามแผน เราจะล่อให้มันไปฮุบเหยื่อที่นั่น "

นอร์แมนออกคำสั่งห้วน ๆ ผู้กองอังคารหันมามอง "ซิลเวีย - อึ้ง " นิดหนึ่งแล้วหันกลับกระแทกคันเร่งพารถแซงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

หมู่บ้านจัดสรรในซอยแสนสุขข้างโรงงานโคล่าหัวหมาก ซึ่งบริเวณดังกล่าวส่วนมากเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนชาวอิสลามที่มีฐานะปานกลางตั้งบ้านเรือนกระจัดกระจายกันอยู่เป็นหย่อม ๆ พื้นดินซึ่งในอดีตเป็นท้องนาและที่ลุ่ม ถูกถมจนราบเรียบแล้วจัดสร้างบ้านเป็นล็อค ๆ หลายร้อยหลังเรียงรายไปตามถนนคอนกรีตซึ่งยาวสุดลูกหูลูกตานั้น

ห่างจากปากซอยเข้าไปเกือบสองกิโลเมตรอันเป็นบริเวณที่เงียบ และอยู่ลึกที่สุดของซอยนั้น มีบ้านขนาดกะทัดรัด 2 ชั้นตั้งตระหง่านอยู่ในรั้วรอบขอบชิด อาณาเขตที่กว้างขวางทำให้บรรยากาศของบ้านหลังนั้นเงียบเชียบวังเวงอย่างน่าสะพึงกลัว

ถัดจากบ้านสองชั้นออกไปเล็กน้อยมีบ้านร้าง ซึ่งยังก่อสร้างไม่เสร็จอยู่หลังหนึ่ง เศษอิฐเศษหินเป็นก้อน ๆซึ่งวางเรียงรายอยู่ในตัวตึกทำให้สถานที่แห่งนั้นมองดูเหมือนกับมีป้อมปราการหรือ "บังเกอร์" ป้องกันเอาไว้อย่างแข็งแรง

รถอเมริกันขนาด 8 สูบ จอดนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเก็บรถของบ้านสองชั้น เสียงเพลงบรรเลงจากสเตอริโอดังแว่ว ๆออกมาได้ยินอย่างถนัดหู...มองดูจากภายนอกเห็นเงาของกลุ่มคนไม่ต่ำกว่า 3 คนขึ้นไป วับแวบอยู่ภายในห้องโถงนั้น

สักพักใหญ่ ๆ ก็มีรถปิคอัพกลางเก่ากลางใหม่แล่นเข้ามาตามถนนหน้าหมู่บ้านจัดสรรแห่งนั้น ภายในกระบะบรรทุกชายฉกรรจ์ 6 คน ทุกคนแต่งกายอยู่ในชุดสีน้ำเงินแบบกรรมกร เก่าคร่ำคร่า มีเครื่องมือจำพวกก่อสร้างบรรทุกอยู่เต็มรถ

รถปิคอัพแล่นผ่านบ้านสองชั้นที่มีรถจอดอยู่ พลขับซึ่งมีแผลเป็นที่สันจมูกหันไปชำเลืองดูรถนิดหนึ่งแล้วแสยะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ต่อจากนั้นก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านร้างหลังที่ติด ๆ กัน จอดรถนิ่งทุกคนกระโดดลง คนที่ท่าทางเป็นหัวหน้าออกคำสั่งขึ้นมาดัง ๆ

" - เร่งมือหน่อยโว้ย...เจ้าของบ้านเค้าจะเข้าอยู่อาทิตย์หน้า...ไอ้จันทร์ขนของขึ้นไปข้างบนช่วยกันหน่อยประเดี๋ยวเสร็จงานมึงเบิกเงินได้เลย" กล่องกระดาษยาวประมาณหนึ่งวา สามกล่องถูกยกลงมาจากท้ายรถ แล้วลำเลียงขึ้นไปบนตึกอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นกลุ่มกรรมกรที่เหลือก็แยกย้ายกันสร้างบ้านต่อไปอย่างขะมักเขม้น

"สถาปนิกจากเค.จี.บี มาถึงแล้ว...ผู้กอง...โน่น กำลังสร้างบ้านอยู่ 4 คน โน่นที่เหลืออีก 3 คน หายเข้าไปในห้องทึบทางซ้ายมือถัดพร้อมด้วยกล่องกระดาษซึ่งผมคาดว่าคงจะมีปืน "เอ็ม.72" หรือว่า "เอ็ม.79" ซูกซ่อนอยู่ในนั้นผู้กองกดสวิทช์ดึงเกราะด้านนั้นขึ้นมาได้แล้ว"

นอร์แมนเลิกหน้าต่างมองดูบ้านร้างหลังข้าง ๆ ปากก็พูดออกคำสั่งอย่างยืดยาว

ผู้กองอังคารชำเลืองไปที่ห้องน้ำ ซึ่ง "ซิลเวีย-อึ้ง" เพิ่งจะหายเข้าไปสักอึดใจใหญ่ ๆ แล้วเอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่ซ่อนอยู่ใต้ขอบชั้นด้านหนึ่งของไซค์บอร์ด

ทันใดนั้นเอง เกราะเหล็กหนาไม่น้อยกว่า 10 หนุ ก็ค่อย ๆ เลื่อนโผล่ขึ้นมาปิดผนังด้านตรงข้ามกับบ้านร้างเอาไว้จนหมดสิ้น ต่อจากนั้นนอร์แมนก็เดินตรงเข้าไปที่ตู้เก็บเหล้าเปิดออกมา แล้วกดสวิทช์ที่เรียงรายอยู่เป็นแผงนั้น ชั่วอึดใจภาพของบ้านร้างหลังติดกันซึ่งมีแผ่นเหล็กขวางกั้นอยู่ ก็ปรากฏพร่างพรายขึ้นมาในจอโทรทัศน์ขนาด24 นิ้วนั้น

"กล้องถ่ายอยู่บนหลังคา...ผมเพิ่งติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง...ผู้กองส่งวิทยุเรียกเจ้าโล้นได้แล้ว "

ประโยคสุดท้ายนอร์แมน สั่งให้ผู้กองอังคารเรียกเพชฌฆาตรับจ้าง ซี.ไอ.เอ. เข้ามาปฏิบัติพร้อมกับปรับภาพจากโทรทัศน์วงจรปิดอยู่ไปมา

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 11 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 16:41  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19418

คำตอบที่ 81
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 12

ผู้กองอังคารขยับตัวไปที่ตู้เก็บเหล้า เปิดฝาดึงปากพูดหูฟังออกมากรอกคำพูดลงไปอย่างห้วน ๆ

"จรยุทธ จากสถานีที่ 10...รายงานจุดที่ตั้งด่วน "

เงียบไปชั่วอึดใจก็มีเสียงตอบกลับมาอย่างยืดยาว

" สถานีที่ 10 จากจรยุทธ ขณะนี้อยู่หน้าโรงงานโคล่าเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว มีรถปิคอัพสีเหลืองบรรทุกช่างก่อสร้างขับเข้าไปในซอยดูลักษณะแล้วต้องเป็นพวกมันแน่ ๆ หลังจากนั้นอีกสิบนาที ก็มีรถตรวจการณ์บรรทุกคน 5 คน ขับตามเข้าไป ลักษณะของเสาอากาศที่ติดอยู่ที่ท้ายรถคาดว่า ภายในตัวรถจะต้องมีวิทยุแรงสูงติดตั้งอยู่อย่างแน่นอน ประเดี๋ยวผมจะส่งคนเข้าไปที่หน้าบ้าน...ไม่ต้องห่วง ถนนหน้าหมู่บ้านคนของพวกเรา "บล็อค" เอาไว้หมดแล้ว...ว่าแต่เจ้านายคงจะ "สบึมส์ " ไปแล้วละกระมัง "

ไอ้โล้นซึ่งขณะนี้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดสีน้ำเงินแบบพนักงานขององค์การโทรศัพท์ แถมเดาะใส่วิกผมยาวประบ่า นั่งวางมาดคู่กับไอ้แสบบนรถแลนด์โรเวอร์ที่จอดสงบนิ่งอยู่หน้าโรงงานโคล่า ลดเสียงพูดวิทยุลงแล้วกระเซ้าเจ้านายของเขาด้วยความเคยชิน

" อย่าเสือกทะลึ่งไอ้โล้น...แฟนของนอร์แมนไม่ใช่ของอั้ว...ว่ายังไงวะ เรื่องคุ้มกันรถบรรทุกผู้โดยสารลื้อรายงานเข้า บก. หรือยัง "

ผู้กองอังคารย้อนถามอีกครั้ง

" สบายบรื๋อ...ลูกพี่ ทุกคนพักที่โรแยล-โฮเต็ลขณะนี้ผู้โดยสารโดนพวกเราประกบหมดแล้ว การเคลื่อนไหวของแต่ละคนจะถูกรายงานเข้า บก. ตลอดเวลา พวกมันไปถึง "รัง" ของเราหรือยังครับ "

ประโยคสุดท้ายไอ้โล้นกระซิบถามเบา ๆ

" ถึงแล้ว แฝงมาในคราบช่างก่อสร้างทั้งหมดสงสัยจะมีอาวุธหนักมาด้วย...เริ่มปฏิบัติงานตามแผน...เลิกกัน "

ผู้กองอังคารตัดบทห้วน ๆ แล้วหันกลับไปอมยิ้มกับนอร์แมนที่กำลังเดินตาม " ซิลเวีย - อึ้ง" เข้าไปในห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ทางซ้ายมือสุดหลังแผ่นเกราะเหล็กนั่นเอง

ชั่วอึดใจใหญ่ ๆ นอร์แมนก็เดินกลับออกมา ผู้กองอังคารยกนิ้วชี้ขึ้นปาดคอหอยตัวเอง เหมือนกับจะเป็นคำถามว่า "เชือด" หรือยัง ?"

นอร์แมนหัวเราะก๊าก

" ผมไม่ใช่ประเภท "ล่มปากอ่าว" นะผู้กอง หายเข้าไป ๕ นาทีถ้า " เสร็จกิจ" ก็คงจะมีแต่นกกระจอกเท่านั้น ผมเอายานอนหลับ "สกูรฮีเรี่ยม" ให้เธอกิน ฟุบไปแล้วกว่าจะฟื้นก็เกือบสามชั่วโมงโน่นแหละ นั่นรู้สึกว่าพวกเราจะมากันแล้ว "

ประโยคสุดท้าย นอร์แมนพึมพำออกมา พร้อมกับชำเลืองมองไปทางหน้าต่างด้านถนนหน้าบ้าน

รถโฟล์คตู้ทึบ ติดตราองค์การโทรศัพท์แล่นช้า ๆ เข้ามาที่หน้าตึกร้างแล้ว แอบชิดซ้ายจอดสงบนิ่งอยู่ใต้เสาไฟแรงสูง ชั่วอึดใจประตูก็เลื่อนออก พนักงานโทรศัพท์สองคนลงมายืนแหงนหน้ามองดูสายโทรศัพท์บนเสาอยู่ครู่หนึ่งก็จัดแจงปลดบันไดที่ผูกติดอยู่บนหลังคารถลงมาอย่างรีบเร่ง

บันไดไม้ไผ่ถูกพาดกับเสาไฟพนักงานโทรศัพท์ห้อยเครื่องมือติดกับเข็มขัดนิรภัยพะรุงพะรัง ปีนขึ้นไปบนเสาทั้งสองคนแล้วเริ่มตรวจเช็คสาย ปากก็ร้องตะโกนคุยกับพรรคพวกที่นั่งอยู่บนรถไม่ขาดระยะ

" มึงขยับไปทางด้านซ้ายมือนั่นหน่อยวะ...กูอยู่ทางนี้มองเหตุการณ์ภายในห้องทึบนั่นไม่เห็น เท่าที่กูสังเกตดูฝาอีกด้านหนึ่งของมัน รู้สึกจะยังสร้างไม่เสร็จ คงจะตรวจการณ์พวกมันเห็นแน่ "

พนักงานตรวจสายโทรศัพท์ร่างสูงใหญ่ที่ปฏิบัติงานอยู่บนเสาไฟ กระซิบกระซาบกับเพื่อนคู่หูที่กำลังเกี่ยวเข็มขัดนิรภัยอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับชำเลืองไปยังห้องทึบของบ้านร้างด้วยความระมัดระวัง

" กูว่ามึงดีกว่า...ไอ้น้อย กูชักเสียว ๆ ว่ะ ฉิบหายงานอื่นก็มีตั้งแยะ ทำไมเจ้านายถึงมอบงานระยำ ๆแบบนี้ให้พวกเราวะ เป็นเป้านิ่งอยู่บนเสาไฟแบบนี้ให้กูวิ่งเข้าไปจวกกับพวกมันถึงในบ้านจะดีซะกว่า "

พนักงานโทรศัพท์คนที่มีรูปร่างเล็กแกร็งบ่นพึมพำแต่ก็ขยับตัวเบี่ยงออกไปทางซ้ายมือแต่โดยดี พร้อม ๆ กับตวัดสายตามองขึ้นไปดูภายในห้องของตึกร้างด้วยอากัปกริยาเนือย ๆ เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจ

" ภายในห้องมีทั้งหมด 3 คน พร้อมด้วยอาวุธหนักแบบ "เอ็ม. 79" อุปกรณ์ที่วางอยู่บนโต๊ะกึ่งกลางห้องสงสัยจะเป็นเครื่องรับส่งวิทยุแรงสูง แบบใช้เครื่องปั่นไฟแบบมือหมุน กูไม่กล้ามองดูมากเพราะไอ้เหี้ยนั่นถือปืนยาวสวมที่เก็บเสียงลอบชำเลืองมาทางกูหลายครั้งแล้ว...ติดต่อโทรศัพท์บอกเจ้านายได้แล้ว"

พนักงานโทรศัพท์คนที่อยู่ด้านขวามือหยิบปากพูดหูฟังจากขอเกาะเข็มขัดนิรภัยออกมาถือเอาไว้ ต่อจากนั้นก็ใช้ปลายสายที่ต่อจากปากพูดหูฟังเชื่อมต่อเข้าไปที่สายเมนใหญ่ด้วย "คริ๊ฟ" ชนิดพิเศษที่ติดอยู่ที่ปลายสายของปากพูดหูฟังนั่นเอง

ต่อจากนั้นเขาก็ใช้มือหมุนตัวเลขอัตโนมัติที่ออกแบบติดตั้งเอาไว้ที่ด้านล่างสุดของปากพูดหูฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วกรอกเสียงรายงานเหตุการณ์ในห้องทึบของตึกร้าง ไปยัง "รัง" ของสถานีที่ 10 อย่างรวดเร็ว

มันเป็นเครื่องโทรศัพท์ชนิดพิเศษ ที่มีชื่อตามรหัสว่า "ที-เอ็ส-10" ประสิทธิภาพของเครื่องดังกล่าวสามารถดักฟังหรือว่าสามารถเรียกขานไปยังหมายเลขต่าง ๆ ได้อย่างสบาย โดยอาศัยเคาะพ่วงกับสายเมนใหญ่เท่านั้น

เสียงกริ่งโทรศัพท์ภายในห้องรับแขกของสถานีทีซึ่งอยู่ห่างจากเครื่อง "ที-เอ็ส-10" ไม่ถึง 30 เมตรก็ดังกังวานขึ้น

ผู้กองอังคารรับสายอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันจะวางหูลงบนแป้นก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดในหูฟังอย่างถนัดชัดเจน

"โอ๊ย...ผมโดน..."

เสียงอุทานขาดหายไปพร้อม ๆ กับที่ผู้กองอังคารและนอร์แมนมองเห็นร่างพนักงานโทรศัพท์ คนที่กำลังติดต่อโทรศัพท์ อยู่ผงะผวาจากเสาเหมือนกับนกปีกหักแล้วหล่นตุ๊บลงบนพื้นแน่นิ่งไม่ไหวติง

ยังไม่ทันที่ผู้กองอังคารจะปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปเหตุการณ์เหมือนกับครั้งแรกก็ได้บังเกิดขึ้นอีก

ร่างของพนักงานโทรศัพท์ รูปร่างเล็กแกรนที่กำลังอ้าปากหวอมองดูเพื่อนฝูงที่หล่นตุ๊บลงไปเบื้องล่างสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว แล้วผงะหล่นโครมลงมาบนหลังคารถโฟล์คเสียงดังโครมใหญ่

" - ฉิบหายแล้วผู้กอง...ไอ้พวกนั้น ซัดพวกเราด้วยปืนเก็บเสียงเข้าให้แล้ว ปล่อยมัน...รอให้มืดซะก่อนแล้วค่อยจัดการ...ปัญหาที่เราต้องค้นให้พบเดี๋ยวนี้คือ...ทำไมพวกมันถึงรู้แผนการของพวกเราได้เร็วถึงขนาดนี้ "

นอร์แมนพูดพลางชำเลืองดูเหตุการณ์นอกถนน ซึ่งขณะนี้พนักงานโทรศัพท์ซึ่งนั่งอยู่บนรถได้ลงมาลากร่างของพรรคพวกขึ้นไปบนรถอย่างทุลักทุเล แล้วพารถวิ่งย้อนกลับออกไปจากซอยด้วยความเร็วสูง

" - คนเฝ้าสถานีของเรามีกี่คน ? " ผู้กองอังคารย้อนถามห้วน ๆ

" - สองคน...เพิ่งเข้ามาทำงาน ได้ไม่ถึงเดือน มีอะไรผิดปกติรึผู้กอง "

นอร์แมนย้อนถามพลางเดินเข้าไปเปิดประตูดูร่างของ "ซิลเวีย-อึ้ง" ที่นอนฟุบอยู่บนเตียง แล้วงับประตูเอาไว้อย่างเดิมเดินเข้ามาหาผู้กองอังคารพร้อมกับส่งสัญญาณให้หยิบกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกส่งให้เขา

นอร์แมนรับกระดาษมาเขียนอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งให้ผู้กองอังคารอ่าน

" ระวังภายในห้องอาจจะมีเครื่องส่งวิทยุแบบอัตโนมัติซุกซ่อนอยู่ ผมจะค้นหาเองคุณหาทางลงไปประกบตัวคนเฝ้าสถานีข้างล่างโน่น...พยายามปฏิบัติการต่อไปแบบปกติอย่าให้มีพิรุธใด ๆ ทั้งสิ้น ยุติการส่งข่าวทางวิทยุคลื่นที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้โดยสิ้นเชิง...ให้ใช้วิทยุแบบ "รหัสมอส" โดยคลื่นพิเศษ...ผู้กองเริ่มส่งข่าวเดี๋ยวนี้เลย"

พอผู้กองอังคารอ่านเสร็จก็ขยุ้มกระดาษ เดินเข้าไปในห้องครัว จัดแจงเปิดเตาแก๊สเผาเศษกระดาษ แล้วเดินออกมาที่ตู้เก็บเหล้า เปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดออกดึงเครื่องวิทยุ "เด็งโก้" แบบเบ็ตเตอรี่แห้งออกมาวางที่พื้น พ่วงสายอากาศ "ลองวาย" ที่พรางตัวเองอยู่ในรูปของราวตากผ้าเข้ากับตัวเครื่อง แล้วเริ่มเคาะสัญญาณรหัสมอสไปยังรถตรวจการณ์ของไอ้โล้นทันที

ในขณะที่ผู้กองอังคารกำลังเคาะสัญญาณ นอร์แมนก็เริ่มตรวจตราอุปกรณ์ทุกชิ้นที่อยู่ภายในห้องรับแขก เพื่อค้นหาเครื่องดักฟัง พร้อม ๆ กับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศเป็นการตบตากับผู้กองไม่ขาดปาก

พอเคาะวิทยุเสร็จ ผู้กองอังคาร ไพรีพินาศ ก็กวาดสายตาไปตามช่องบานเกร็ดด้านตรงข้ามกับแผ่นเกราะเหล็กอย่างพินิจพิจารณา

เงียบและวังเวง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงร้องของนกเหมือนครั้งมาถึงบ้านหลังนี้เมื่อตอนแรก ๆ

หนังตาด้านซ้ายเขม่นยุบยิบ และเต้นแรงขึ้นเป็นลำดับ !

ผู้กองอังคารเทวิสกี้ลงในแก้วเจียระไน แล้วกรอกหายเข้าไปในลำคอ ต่อจากนั้นก็ถอดเสื้อชุดสจ๊วตออก ขยับปมเน็คไทออกเล็กน้อย เคลื่อนที่มุ่นตรงไปยังหน้าต่างบานสุดท้ายที่อยู่ทางด้านซ้ายมือสุดของห้องรับแขก ซึ่งมีผ้าม่านผืนใหญ่กั้นขึ้งเอาไว้จนมองไม่เห็นด้านนอก

แสงสว่างของตะวันยามบ่ายสาดกระทบผืนม่านสว่างไสว เขาเอื้อมมือไปจับสายรูดม่าน หนังตาซ้ายที่เขม่นยุบยิบทำให้เขาชะงัก หันไปดูรอบ ๆ กายอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวโหย่ง ๆ ไปหยิบเก้าอี้สามขามาวาง แล้วปีนขึ้นไปแนบสายตากับรอยขาดใต้ขอบหน้าต่างด้านบน โดยที่ม่านทั้งผืนไม่มีอาการพลิ้วไหวเลยแม้แต่นิดเดียว

ซ้ายมือสุดอันเป็นเรือนแถวสำหรับคนใช้ มีชายวัยฉกรรจ์หน้าดุยืนถือกรรไกรตัดต้นไม้ตกแต่งพุ่มเข็มอยู่อย่างขะมักเขม้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าสายตาทั้งคู่ของเขาจ้องเขม็งมาที่หน้าต่างด้านที่เปิดหราอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับจะสังเกตดูการเคลื่อนไหวภายในห้องรับแขกนั้น

คนทำสวนซึ่งทำหน้าที่เฝ้า " สถานีที่ 10 " ของ ซี.ไอ.เอ. ตบแต่งพุ่มเข็มอยู่ครู่หนึ่งก็หันหลังกลับเดินไปที่เรือนคนใช้ เปิดประตูพาตัวเองหายเงียบเข้าไปด้วยท่าทางรีบร้อน

ผู้กองอังคารค่อย ๆ ปีนลงจากเก้าอี้สามขา หันรีหันขวางดูช่องทางออกอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเลิกผ้าม่านกระโจนผลุงลงไปหมอบอยู่ในกอพุทธรักษาแล้วคลานสี่ตีนเข้าไปซุกกายเงียบอยู่ที่หน้าต่างด้านหนึ่งของเรือนคนใช้นั้นชั่วอึดใจต่อมาเขาก็ขยับตัวขึ้นแนบใบหน้ากับรอยต่อของบานพับประตู จ้องสายตามองรอดเข้าไปตามรอยเชื่อมบานพับที่เผยอนั้น

ชายฉกรรจ์สองคนนั่งคุกเข่าหัวชนกันอยู่หน้าตู้กับข้าวที่ฝาปิดด้านหนึ่งห้อยร่องแร่ง วิทยุรับส่งขนาดเล็กวางอยู่ที่พื้น คันเคาะแบบครึ่งเสี้ยวถูกมือขวาของชายทำสวนเคาะเป็นรหัสเลขสัญญาณอย่างถี่ยิบ ห้องที่ค่อนข้างจะมืดพอสมควรทำให้ผู้กองอังคารสามารถมองเห็นหลอดไฟสีแดงบนเครื่องวิทยุกระพริบสั้น ๆ ยาว ๆ ตามรหัสสัญญาได้อย่างถนัดชัดเจน

" ไอ้สัตว์...มึงนี่เองที่แอบส่งข่าวให้พวกมันรู้ "

ผู้กองอังคารคำรามอยู่ในลำคอพร้อมกับยกเท้าถีบหน้าต่างชำรุดบานนั้นเต็มแรง หน้าต่างหักสะบั้น อังคารกระโจนพรวดเข้าไปยืนจังก้าค้ำกบาลอยู่เบื้องหลังของคนทั้งสองที่กำลังสาละวนส่งวิทยุอยู่อย่างขะมักเขม้น

ทั้งสองสะบัดตัวกลับเหมือนกับงูฉก ชายหน้าดุคนที่เคาะวิทยุทำท่าจะล้วงมือเข้าไปที่เอวแทบไม่ทันคิด อังคารเตะสวนเข้าไปที่ท้องน้อยสุดแรงเกิด

" พลั่ก "

เสียงดังเหมือนกลองเพล ชายหน้าดุงอตัวหล่นโครมทับลงไปบนเครื่องวิทยุ ส่วนอีกคนฉากแวบออกไปทางซ้ายแล้วสวนตูมกลับมาด้วยเท้าเข้าที่สีข้างของอังคารอย่างถนัดถนี่

อังคารใช้มือขวาคล้องหมับเข้าไปที่ท่อนขาของคู่ต่อสู้ แล้วหันศอกซ้ายกระแทกตูมเข้าไปบนใบหน้าที่ฉวัดเฉวียนอยู่ใกล้ ๆ สุดแรงเกิด

" เฉียะ "

กระดูกกระแทกกับหัวคิ้ว เสียงดังพิกล โลหิตทะลักออกมาทันตาเห็น แต่ก็ยังหยุดมันไม่ได้ ในขณะที่มันสะบัดศีรษะมึนงงอยู่นั้น มือข้างหนึ่งของมันก็ฉกวูบลงไปในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว

อังคารชำเลืองสายตามองดูชายทำสวนที่นอนบิดอยู่ที่พื้นนิดนึงแล้วกระโจนเข้าประชิด แจกจ่ายอาวุธทุกชนิดประเคนใส่อย่างชนิดแทบไม่หายใจ

เสียงดังเหมือนกับกลองเพล งูร้ายจาก เค.จี.บี. ใช้มือข้างหนึ่งปิดป้องเป็นพัลวัน ส่วนอีกมือหนึ่งพยายามที่จะชักปืนออกจากกระเป๋า มันยิ่งพะวงในการที่จะสลัดอาวุธออกจากกระเป๋ากางเกงเท่าไรก็เท่ากับเปิดโอกาสให้อังคารถลุงมันถนัดมากขึ้นเพียงนั้น

ในช่วงการต่อสู้ที่ติดพันนั้น อังคารสามารถกระตุกมือของมันออกจากกระเป๋าได้เป็นผลสำเร็จ ปืนรีวอลเว่อร์สะแตนเลสขาววับ ถูกดึงติดมือขึ้นมาเหมือนกับปาฏิหาริย์อังคารเก็งข้อมือล็อคแขนข้างที่ถือปืนของมันเอาไว้แน่นแล้วกระทุ้งเข่าที่หนักอึ้งเหมือนเสาหินเข้าไปที่หน้าอกของมันเต็มแรง

" ปึก "

มันสะอึกตัวงอ ปืนหลุดกระเด็นเข้าไปใต้ตู้กับข้าวพร้อม ๆ กับที่ร่างของมันงอก่องอขิง ลงกับพื้น

อังคารเผ่นพรวดเข้าไปหาปืน โดยลืมนึกถึงคนทำสวนที่นอนทับวิทยุไปอย่างถนัดใจ

คนทำสวนยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาขวาง อังคารสะดุดล้มกลิ้งลงกับพื้นอย่างเสียหลัก ยังไม่ทันจะตั้งตัวก็โดนช่วงแขนที่แข็งแรงตวัดคอกระชากจนหน้าหงาย

ด้วยสัญชาติญาณอันเคยชิน อังคารถีบเท้ากระแทกพื้นพร้อม ๆ กับเด้งตัวไปเบื้องหน้าเต็มแรง จากลักษณะดังกล่าวทำให้คู่ต่อสู้ ซึ่งเข้ามาล็อคคอทางเบื้องหลังเสียหลักหงายหลังตึงลงไปนอนหงายอยู่ที่พื้น โดยมีร่างของอังคารถูกล็อคคอนอนทับอยู่เบื้องบนนั่นเอง

หลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ชั่วครู่ อังคารก็สามารถพลิกร่างขึ้นมาคร่อมร่างของเพชฌฆาตจาก เค.จี.บี. ได้เป็นผลสำเร็จ เพียงแวบเดียวที่ประสาทตาของเขาเห็นเงาทะมึนวูบผ่านเข้ามาทางเบื้องหลัง เขาก็กระชากร่างของคนทำสวนขึ้นมา แล้วพลิ้วตัวกลับหมุนร่างของมันเข้าปะทะกับเงาทะมึนที่โฉบแวบเข้ามาเต็มแรง

เพื่อนของคนทำสวนที่โดนเข่ามหากาฬของเขาลงไปนอนคว่ำเค้เก้นั่นเอง มันฟื้นคืนสติขึ้นมาพร้อมด้วยคว้ามีดทำครัวแหลมเปี้ยบติดมือพุ่งเข้าหาด้านหลังหวังจะลอบกัดแบบไร้มนุษยธรรม

มันตาเหลือกที่มองเห็นแผ่นหลังของพรรคพวกขวางทางมีด แต่ไม่ทันการเสียแล้วคมมีดแหลมเปี้ยบเกือบหกฟุต จมหายเข้าไปในแผ่นหลังเสียงดัง

" สวบ "

เพชฌฆาต เค.จี.บี. ที่แฝงมาในรูปของคนทำสวนชะงักเหมือนถูกตรึง ปากที่หายใจฟืดฟาดเผยออกทำท่าจะร้องแต่อังคารไวกว่า เขาปล่อยมือจากร่างของมันแล้วตวัดมือขึ้นอุดปากไว้ได้ทันท่วงที

และพร้อม ๆ กันนั้น เท้าขวาซึ่งสวมรองเท้าหัวเสริมเหล็กก็บรรจงเตะตูมลอดหว่างขาของคนทำสวนผู้เคราะห์ร้ายขึ้นไปเต็มแรง

หัวเหล็กที่หนักอึ้ง จำเพาะเจาะจงกระแทกกับ "ห้องเครื่อง" ของเจ้าคนที่ถือมีดเข้าอย่างถนัดถนี่ มันแหกปากร้องจ๊ากสวนมีดเข้าหาร่างของคนทำสวนด้วยสัญชาตญาณของการป้องกันตัวแล้วค่อย ๆ รูดร่างกายลงไปนอนกระเสือกกระสนอยู่ที่พื้น มีดหลุดกระเด็น มือทั้งสองยกมาตะครุบเป้ากางเกง ส่งเสียงครวญครางเหมือนคนใกล้จะตาย

ผู้กองอังคารก้าวโหย่ง ๆ ไปเก็บมีดขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ นัยน์ตาที่แข็งค้างเหมือนกับตาผีตายโหงจ้องเขม็งไปที่ร่างเพชฌฆารทั้งสอง กรามทั้งคู่บดเป็นสันนูน ชั่วอึดใจเขาก็ก้าวสวบ ๆ ไปที่ร่างของคนโดนแทง ใช้มือข้างหนึ่งกระชากผมขึ้นมาแล้วกระตุกคมมีดปาดหลอดลมขาดสะบั้นลงในชั่วพริบตา

" ไอ้สัตว์นรก พวกมึงเล่นงานพวกกูไปสองคนพวกมึงจะต้องตายโหงตายห่ากันเป็นชั่วโคตร...ไอ้สัตว์ หยุดเห่าหอนได้แล้วโว้ย ! "

ประโยคสุดท้าย อังคารคำรามออกมาเหมือนคนเสียสติ พร้อม ๆ กับใช้เท้าข้างหนึ่งบดขยี้ไปบนใบหน้าของคนที่โดนเตะห้องเครื่องอย่างบ้าคลั่ง ชั่วอึดใจใหญ่ ๆ เขาก็กระชากร่างของคนทำสวน ผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมานั่งงอก่องอขิงอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวที่อยู่ในห้องนั้น

" ใครใช้มึงทำงานไอ้บัดซบนี่...พูด...ไอ้สัตว์พูด...ถ้ามึงไม่พูด มึงต้องตายโหงเหมือนกับไอ้เหี้ยเพื่อนของมึงนั่น...แหกตาดูเพื่อนของมึงซะ"

ผู้กองอังคารคำรามออกมาพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างบรรเลงเพลงตบลงไปบนใบหน้าของงูร้าย จาก "เค.จี.บี." อย่างชนิดไม่เลี้ยง แล้วจิกปอยผมกระชากให้มองดูร่างของคนทำสวนที่นอนเลือดท่วมอยู่ที่พื้น ด้วยท่าทางคุ้มคลั่ง

ชายผู้เคราะห์ร้าย สะบัดหน้าไปตามแรงตบ แล้วค่อย ๆ เบิกตามองดูเพื่อนของมันอย่างไม่เชื่อกับตาของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก็สั่นหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

" พูด...ไอ้สัตว์...พูด...ถ้ามึงเป็นใบ้ กูก็มีวิธีการที่จะให้มึงพูด "

ผู้กองอังคารสบถออกมาอย่างฉุนเฉียว แล้วใช้คมมีดสะกิดกระดุมเสื้อขาดลุ่ยออกทั้งแถบเผยให้เห็นรอยสักรูปเสือเผ่นผงาดอยู่กลางหน้าอกอย่างถนัดชัดเจน

" - เสือเผ่นของมึงนี่หางด้วนนี่หว่า "

ในขณะที่พูดอังคารก็ใช้ปลายมีดกรีดบริเวณหางเสีอค่อนข้างแรงเลือดซึมออกเป็นทาง ปากก็สำทับต่อไปด้วยท่าทางกระหายเลือด

" - ถ้ามึงไม่พูด...กูจะตัดหางเสือของมึงออกทั้งหมด...ไอ้สัตว์ ใครใช้มึงทำงานระยำแบบนี้...เครื่องวิทยุที่ดักฟังอยู่ในบ้านอยู่ที่ไหน กูให้โอกาสมึงอีกครั้ง คราวนี้ถ้าไม่พูด...มึงลงนรกแน่ ๆ "

" - ผม...ผมไม่ทราบ...ผมเพิ่งจะมาเข้าทำงานไม่ถึงเดือน ไอ้จงบังคับให้ผมทำ...ผมไม่รู้เรื่องวิทยุอะไรที่นายพูด...ปล่อย...ๆ ผมไปเถอะครับ...เจ้านาย"

คนทำสวนผู้เคราะห์ร้ายละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน มือทั้งสองที่กุมห้องเครื่องยกขึ้นไปพนมอย่างลนลาน

" - มึงต้องรู้...ลักษณะของมึงไม่ใช่ คนทำสวน...คนทำสวนซ่นตีนอะไรวะ เคาะเลขสัญญาณรหัสมอสก็ได้...กูขอถามมึงเป็นครั้งสุดท้ายเครื่องวิทยุดักฟังอยู่ตรงไหน ? และมึงส่งข่าวการเคลื่อนไหวของพวกกูไปที่ไหน...ตอบ...ไอ้สัตว์ "

มันสั่นหน้าปฏิเสธ และในขณะเดียวกันนั่นเองก็มีเสียง นอร์แมนดังกังวานอยู่ในหูฟังของวิทยุ "เดงโก้" ซึ่งวางกลิ้งอยู่ที่พื้นนั้น

" - เจอะแล้ว...ผู้กองรีบกลับมาหาผมด่วน"

คนทำสวนหันกลับไปฟังเสียงวิทยุด้วยท่าทางตกใจแล้วสะบัดตัวกลับ ท่าทางที่เกรงกลัวอย่างลนลานเปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน ซึ่งพร้อม ๆกัน มันก็สปริงตัวขึ้นจากเก้าอี้ หมายพุ่งชนร่างของผู้กองอังคารที่ยืนค้ำกบาลอยู่ให้คว่ำไปด้วยกัน

ผู้กองอังคารหัวเราะก๊าก กระแทกมีดลงไปบนใบหน้าที่แยกเขี้ยวขาววับอยู่ใกล้ ๆ สุดแรงเกิด

" ฉึก ! "

ปลายมีดกระแทกพรวดเข้าไปในเบ้าตาซ้ายของคนทำสวนอย่างพอเหมาะพอเจาะ

ผู้กองอังคารใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าอกแล้วกระชากมีดออกมาอย่างคุ้มคลั่ง

ภาพของดวงตาที่หลุดทะลักออกมาคลุกเคล้ากับโลหิตแดงฉาน ทำให้ผู้กองเพชฌฆาตแหกปากหัวเราะอย่างมีความสุข

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 12 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 16:43  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19419

คำตอบที่ 82
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 13

" ไอ้นรก โคตรพ่อโคตรแม่ของมึงก้เป็นคนไทย ลักษณะท่าทางของมึงก็เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วทำไมมึงไปหลงไอ้ลัทธิเหี้ย ๆแบบนี้วะ ไอ้พวกชิงหมาเกิด มึงอยากจะเป็นคอมมิวนิสต์ โน่น...ข้ามโข่งไปสุมหัวรวมกับโคตรของมึงโน่น "

ผู้กองอังคารคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วกระแทกปลายมีดลงไปในเบ้าตาขวาของคนทำสวนสุดแรงเกิด

" ฉึก "

ปลายมีดจมหายลงไปเกือบครึ่ง คนทำสวนยกมือทั้งคู่ขึ้นตะปบใบมีดแล้วกำเอาไว้แน่น ปากก็แผดเสียงร้องออกมาอย่างโหยหวน

"ร้อง...ไอ้ห่ะแหกปากร้องดีนัก แดกซ่นตีนกูซะ"

ผู้กองอังคารคำรามพลางยกเท้ากระทึบโครมลงไปบนริมฝีปากที่หนาเตอะคู่นั้นเต็มแรง

"โครม"

เก้าอี้หักสะบั้น ร่างของคนทำสวนหงายหลังตึงลงไปทับเก้าอี้ แต่ทว่ามือทั้งสองยังกำใบมีดที่ปักอยู่ที่เบ้าตาไม่ย่อมปล่อย เสียงร้องที่เอ็ดอึงยุติลงในบัดดล

ผู้กองอังคารใช้เท้าเหยียบหน้าอก แล้วก้มตัวลงกระชากมีด ปากก็สบถออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

"ยังมีคนไทยอีกหลาย ๆ คนที่หลงผิดแบบเดียวกับมึง...ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของมึงจะออกจากร่างกูอยากจะบอกอะไรกับมึงสักอย่าง และอยากจะฝากความจริงและแก่นแท้ของคอมมิวนิสต์ให้มึงสำนึกเอาไว้...ไอ้นรก คอมมิวนิสต์ไม่เคยจริงจังกับใครแม้กระทั่งตัวของมึงเอง มันหลอกใช้แล้วก็หักหลังฆ่าปิดปาก ไอ้ลัทธิจัญไรของพวกมึงไม่มีวันที่จะมอมเมาคนไทยที่รักชาติเยี่ยงกูได้หรอกโว้ย"

ใบมีดหลุดออกจากเบ้าตาแต่ยังถูกมือทั้งคู่ของคนทำสวนกุมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ผู้กองอังคารออกแรงกระชากสุดแรงเกิด ผั้วจากมือของคนทำสวน ความแรงของมันทำให้นิ้วมือที่กุมอยู่ห้อยล่องแล่ง และบางนิ้วขาดกระเด็นร่วงลงไปที่พื้นอย่างน่าสยดสยอง

เสียงร้องที่ยุติลงไปชั่วคราวโหยหวนขึ้นอีกครั้ง ผู้กองอังคารสะบัดคมมีดลงไปที่คอหอยแล้วพลิกข้อมือกระชากหลอดลมขาดสะบั้นลงในชั่วพริบตา

คาวเลือดคลุ้งไปทั่วห้อง ผู้กองอังคารขว้างมีดลงไปปักตรึงที่พื้น แล้วยกมือข้างหนึ่งไปเสยผมอย่างลวก ๆ ต่อจากนั้นก็ปลดเน็คไทรูดออกมาถือเอาไว้ในมือ สายตาชำเลืองไปรอบ ๆ ห้องอย่างพินิจพิจารณา

รูปถ่ายขนาด 12 นิ้ว ของคนทำสวนที่ถูกเขาฆ่าตายอย่างสด ๆ ร้อน ๆ เอียงกระเท่เล่อยู่บนนฝาผนัง ซองเอกสารสีน้ำตาลหนาปึกที่ซ่อนอยู่หลังรูปแลบออกมาครึ่งหนึ่ง...

ยังไม่ทันที่จะขยับตัว ประสาทหนังตาซ้ายของเขาก็เขม่นยิบยับ พร้อม ๆ กับหน้าต่างด้านที่ติดกับอาณาบริเวณของบ้านร้างลั่นเอี๊ยดเบา ๆ

อังคารพุ่งตัวขนานกับพื้นที่หมายก็คือ ข้าวสารค่อนกระสอบที่พิงอยู่กับต้นเสากลางห้อง ซึ่งพร้อม ๆ กับหน้าต่างเปิดผางออกเต็มบาน ท่อเก็บเสียงซึ่งสวมติดเด่อยู่ปลายลำกล้องปืน "ยู.เอส.อาร์มี" ยื่นพรวดเข้ามาเหมือนกับปาฏิหาริย์ ชั่วพริบตาใบหน้าที่ขาวซีดเหมือนคนอมโรคก็โผล่แยกเขี้ยวขาววับ ดวงตาที่แวววาวเหมือนกับหนูผีเบิ่งถลนมองมาที่ร่างของผู้กองอังคาร ด้วยท่าทางกระหายเลือด

"ฟุบ...ฟุบ"

หัวทองแดงขนาด .45 ทะลวงผ่านท่อ "ไซเรนเซ่อร์" (เก็บเสียง) เสียงดังเหมือนกับเป่าถุงกระดาษสองครั้งซ้อน ๆ

นัดแรกเจาะเหลี่ยมเสาด้านหนึ่งแหว่งกระจุยออกไปเป็นทาง ส่วนอีกนัดพุ่งเข้าหาส่วนหน้าของกระสอบข้าวเสียงดังพิกล ๆ

ผู้กองอังคารหันหลังพิงกระสอบข้าวสารพร้อม ๆ กับกระตุกเท้าซ้ายขึ้นมาตั้งฉาก มือข้างหนึ่งตะปบวูบลงไปที่ซอกขาเบื้องล่าง แล้วดึง "เบรานิงค์-ไฮเพาเวอร์" สวมท่อเก็บเสียงที่พกซ่อนอยู่ในซองพิเศษจากซอกขาด้านในขึ้นมากระชับอยู่ในมือ

"ฟุบ...ฟุบ"

อีกสองนัดซ่อน ๆ ที่ไอ้หน้าหนูผีระเบิดกระสุนเข้าใส่กระสอบข้าวสารอย่างเมามัน และคราวนี้ตำแหน่งกระสุนตกเฉียดปากถุงกระสอบขาดออกเป็นทาง

ผู้กองอังคารชำเลืองไปที่กระจกบานใหญ่ซึ่งแขวนอยู่เบื้องหน้าในระยะไม่ห่างเท่าใดนัก แล้วยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

ภาพอันสลัว ๆ ของผู้บุกรุกปรากฏอยู่ในแผ่นกระจกอย่างเลือนลาง แสงตะวันยามบ่ายที่สาดเข้ามาจากหน้าต่างทำให้ห้องของเรือนคนใช้สว่างไสวพอสมควร ผู้กองอังคารค่อย ๆ ยกปืนขึ้นมาวางบนตัก สายตาที่แข็งค้างเหมือนตาเพชฌฆาตชำเลืองไปที่กระจกเหมือนกับจะวัดระยะอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ ยกปืนพาดบ่าในลักษณะให้ปากกระบอกโผล่ออกไปทางด้านหลัง โดยตั้งความหวังที่จะ "ฟลุค" กับการยิงแบบพิสดารนั้น ยังไม่ทันจะเหนี่ยวไก มันก็ยิงสาดเข้ามาอีกสองนัดซ้อน ๆ

"ฟุบ...ฟุบ...เพล้ง"

กระจกเงาบานใหญ่แตกละเอียด ภาพของชายหน้าซีดหายแว่บไปเหมือนกับปีศาจ

อา ! ไอ้งูร้ายแห่ง เค.จี.บี. อ่านไต๋ของผู้กองอังคารออกซะแล้ว...มันจงใจที่จะยิงกระจกเงาที่สะท้อนภาพของมันคล้าย ๆ กับจะบอกให้ผู้กองเพชฌฆาตรู้ตัวว่ามันก็อ่านแผนของผู้กองออกเช่นกัน

ผู้กองอังคารวางปืนลงกับพื้นแล้วค่อย ๆ ถอดเสื้อออกอย่างระมัดระวัง ต่อจากนั้นก็ขยุ้มเสื้อเป็นก้อนกลม ๆ ขว้างไปทางด้านซ้ายมือสุดแรงเกิด

"ฟุบ...ฟุบ"

กระสุน .45 จากไอ้หน้าหนูผีสาดเข้าใส่เสื้อที่กลิ้งอยู่ข้างฝาด้วยสัญชาตญาณอันว่องไวคล้ายงูฉก

ผู้กองอังคารหัวเราะก๊าก พลิกตัวกลับกระโจนผึ๋งขึ้นมายืนจังก้า "เบรานิงค์ - ไฮเพาเวอร์ " สวมท่อเก็บเสียงเหยียดยื่นออกไปเบื้องหน้า เป้าหมายก็คือชายหน้าซีดที่ขมุกขมอมอยู่ในชุดกรรมกรก่อสร้างนั้น

ชายหน้าซีดสะบัดปืนกลับยังไม่ทันที่จะเหนี่ยวไก...ผู้กองอังคารก็สลุตกระสุนรวดเดียว 3 นัดซ้อน ๆ

"ปึด...ปึด...ปึด"

นัดแรกเสยเข้าไปที่เบ้าตาซ้าย...นัดที่สองแนวกระสุนสูงไปนิด แต่ก็เจาะเข้าที่กึ่งกลางหน้าผากแม่นเหมือนกับผีจับยัด ส่วนนัดที่สามกระสุนจับพลัดจับผลูฉีกใบหูขวาปลิวแวบไปเหมือยกับโดนขวานจาม ปืนเก็บเสียงหลุดจากมือ หล่นโครมเข้ามาในห้องใบหน้าแหลมเสี้ยมหายแวบไปจากหน้าต่าง พร้อม ๆ กับปรากฏเสียงวัตถุกระทบพื้นดังปึกใหญ่

ผู้กองอังคารก้าวโหย่ง ๆ เข้าไปหยิบปืนที่พื้น ใบหน้าที่เหี้ยมเกรียมเผยอมยิ้มออกมานิดหนึ่ง ต่อจากนั้นเขาก็ใช้มือข้างเดียวกับที่ถือปืนกดปุ่มล็อคดันครอบรางปืนที่ค้างเติ่งอยู่ให้กลับเข้าที่เดิมอย่างชำนิชำนาญ ปากก็พึมพำออกมาเบา ๆ

" - ต่อให้ฝีมือของมึงแน่ขนาดไหน มึงก็ต้องมีวันพลาดจนได้...ยิงตั้ง 8 นัด จนกระสุนหมดมึงก็ยังไม่รู้ตัวช่วยไม่ได้โว้ยเพื่อนฝูง"

ผู้กองอังคารพูดพรางเคลื่อนที่เข้าไปหยิบซองเอกสารที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภาพขนาด 12 นิ้ว ด้วยความระวัง

เขาหยิบซองเอกสารดังกล่าวขึ้นมาทำท่าจะเปิดดูแต่แล้วก็กลับใจยัดเข้าไปในกระเป๋าหลัง...ต่อจากนั้นก็เดินไปหยิบเสื้อขึ้นมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วเริ่มตรวจค้นเอกสารภายในร่างกายของศพทำสวนทั้งสองอย่างรีบเร่ง

ไม่ถึงสิบนาที ผู้กองอังคารก็เข้ามาสมทบกับนอร์แมน ณ บริเวณห้องรับแขกของตึกสองชั้นอันเป็นรังชั่วคราวขององค์กการสืบราชการลับสหรัฐนั้น

" - ไปฟัดกับใครมาผู้กอง "

นอร์แมน เอ่ยถามขึ้นมา พร้อมกับชำเลืองดูคราบโลหิตที่กระเซ็นอยู่ตามเครื่องแต่งกายของผู้กองอังคาร ด้วยความเคลือบแคลงใจ

" - ก็ลูกน้องทั้งสองคนของหัวหน้านั่นแหละครับ...กว่าจะเรียบร้อยก็เล่นเอาผมสะบัคสะบอมพอดู...หัวหน้าดูต้นทางยังไงไม่ทราบ ปล่อยให้ไอ้พวกเหี้ยนั่นลอบเข้ามาจวกผมถึงในห้อง...แล้วก็...เอ๊ะ...ทำไมหัวหน้าไม่เปิดโทรทัศน์"

ประโยคสุดท้ายผู้กองอังคารอุทานออกมาด้วยความเคลือบแคลงใจ พร้อมกับชำเลืองไปที่จอโทรทัศน์ ซึ่งขณะนี้ว่างเปล่าเห็นแต่คลื่นสัญญาณเป็นเส้น ๆ ขาวเต็มจอไปหมด

" - พวกมันใช้ปืนเก็บเสียงยิงกล้องที่ซ่อนเอาไว้บนหลังคาพังหมดแล้ว ผู้กอง ผมเพิ่งค้นเจอะวิทยุเมื่อสักครู่นี้เอง เพราะไอ้วิทยุเส็งเคร็งเครื่องนี้ทีเดียว ที่พวกมันรู้อะไรต่ออะไรของพวกเราหมด"

นอร์แมนพูดพลางเดินเข้าไปที่ช้างแกะสลัก ซึ่งตั้งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะรับแขก แล้วก้มลงไปเปิดช่องที่ใต้ท้องช้างดึงวิทยุรับส่งขนาดจิ๋วขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ ปากก็พูดต่อไปอีกไม่ขาดระยะ

" - ผมปิดเครื่องเอาไว้แล้ว...มันเป็นเครื่องดักฟังรุ่นล่าสุดของโซเวียต ซึ่งสร้างมาในรูปวิทยุผสมโทรทัศน์เมื่อเครื่องวิทยุได้รับสัญญาณมันจะกระตุ้นให้เครื่องโทรทัศน์ทำงานทันที...จากพื้นใต้ท้องช้างมีสายโทรศัพท์เจาะลงไปใต้เพดาน และจุดหมายปลายทางของมันก็คงจะเป็นห้องของคนทำสวน ที่ผู้กองจัดแจงไปเรียบร้อยแล้ว...เมื่อกี้นี้ผมลองเช็คเครื่องไปหาผู้กอง...รู้สึกเอะใจเหมือนกันที่ผู้กองไม่ตอบ...นี่ก็เกือบจะหกโมงเย็นอยู่แล้วประเดี๋ยวพวกมันคงจะเป็นฝ่ายลงมือก่อนแน่ ๆ...นั่นอะไรผู้กอง"

ประโยคสุดท้ายนอร์แมนลดเสียงลงแล้วกระซิบถามเบา ๆ

ผู้กองอังคารไม่ตอบ เขาล้วงซองเอกสารออกมาวางบนโต๊ะ แล้วแกะด้านที่ปิดกาวออก พร้อมกับดึงรูปภาพขนาดโปสการ์ด ไม่ต่ำกว่า 2 โหล ออกมาเรียงรายบนโต๊ะ...

" - มายก๊อด...ถ้าความจำของผมไม่ผิด นี่เป็นรูปรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของประเทศคุณทั้งนั้นนี่ผู้กอง...คุณเอารูปเหล่านี้มาจากไหนกัน "

นอร์แมน อุทานออกมา พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งพลิกรูปที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางตื่นเต้น

" - ครับ มีทั้งรัฐมนตรี...ผู้ว่าราชการจังหวัด...ตลอดจนข้าราชการคนสำคัญ ๆ ในจังหวัดนครราชสีมา ผมได้ภาพเหล่านี้มาจากห้องคนทำสวน...มันซ่อนอยู่หลังภาพถ่ายที่ประดับอยู่บนฝาห้อง...และนี่คือเอกสารที่แนบติดอยู่กับภาพของผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา..."

" ผู้กองลองอ่านให้ผมฟังซิครับ..."

นอร์แมน สวนคำพูดขึ้นมาแทบจะไม่หายใจ

" - ถึงหน่วยงานที่ 2 อ้างถึงคำสั่งด่วนมากที่ 604 เรื่องถ่ายภาพบุคคลสำคัญในจังหวัดนครราชสีมา ขณะนี้ได้ภาพเกือบครบถ้วนแล้ว ยังขาดอยู่แต่ภาพแม่ทัพภาค และเสนาธิการบางคน ขณะนี้กำลังถูกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นโจมตีอย่างหนัก เรื่องถือสัญชาติญวน จำเป็นต้องยุติการเคลื่อนไหวลงชั่วคราว...ลงชื่อ "เสกสรรค์ ศาสนะทายาท"

" - ชัดเลย...ผู้กอง...ไอ้ช่างภาพบัดซบนี่ ต้องดำเนินแผนการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามลำดับของหน่วยงานมันแน่ ๆ...ปัญหาข้อแรกที่เราต้องแก้ให้ตกก็คือ...ชื่อของผู้ส่งข่าว "เสกสรรค์ ศาสนะทายาท" เป็นชื่อจริงหรือชื่อรหัส ปัญหาข้อที่สอง...พวกมันต้องการภาพบุคคลเหล่านี้ไปทำไมกัน "

" - หัวหน้าคงจะลืมข่าวกรองทางด้านภาคอีสานไปเสียแล้วละกระมังครับ...รูปภาพบุคคลสำคัญ ๆ เหล่านี้จะต้องถูกส่งต่อไปยังฮานอยเพื่อให้จารชนของพวกมันศึกษาลักษณะท่าทางแล้วต่อจากนั้นพวกมันก็จะลอบเข้ามา " สังหาร " บุคคลดังกล่าวในลักษณะ "สังหารเงียบ" เป็นราย ๆ ไป...ถ้าความจำของผมไม่ผิด ผมเคยเห็นไอ้หมอ "เสกสรรค์ ศาสนะทายาท" นี่หลายครั้ง และแทบทุกครั้งเขาจะสะพายกล้องถ่ายรูปเข้าไปแทรกเป็นยาดำในวงการราชการจนน่าผิดสังเกต แม้กระทั่งในการอบรมลูกเสือชาวบ้านไอ้หมอนี่ก็จะเข้าไปมั่วถ่ายรูปเช่นเคย และสิ่งที่ผิดสังเกตเอาอย่างมาก ๆ ก็คือ...เขาชอบถ่ายแต่ระดับข้าราชการสำคัญ ๆ เท่านั้น...และหลักฐานชิ้นนี้มันก็ฟ้องตัวเองอยู่แล้วว่าบุคคลผู้นี้รับแผนงานมาจากใคร รอให้เสร็จธุระงานด้านนี้ก่อน ผมจะขึ้นไปล่ามันให้ถึงถิ่นเลยที่เดียว "

ผู้กองอังคารพูดพลางรวบรวมรูปภาพเหล่านั้นลงซองเอกสาร แล้วยัดลงไปในกระเป๋าหลัง สายตาชำเลืองไปที่นาฬิกา ปากก็พูดต่อไปอีก

" - หกโมงเย็นแล้วครับ...หัวหน้า ผมคิดว่าให้อาณัติสัญญาณพวกเราตะลุยมันเดี๋ยวนี้เลยเป็นไง "

ยังไม่ทันที่นอร์แมนจะตอบว่าประการใด ก็ปรากฏแสงสว่างแวบขึ้นที่บริเวณตึกร้างพร้อม ๆ กับมีแสงเหมือนกับผีพุ่งใต้พุ่งปร๊าดออกมาจากที่แห่งนั้น

" บึ้ม "

สีเขียวปมส้มสว่างแวบขึ้นที่บริเวณผนังตึกด้านที่มีเกราะเหล็กป้องกันอยู่พร้อม ๆ กับปรากฏเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ตึกสองชั้นสั่นสะเทือนเหมือนกับโดนมือยักษ์จับกระชาก เกราะเหล็กที่ป้องกันอยู่โดนอำนาจของปืน " เอ็ม .72 " ทะลุทะลวงไปครึ่งหนึ่งในชั่วพริบตาเดียว

ความหนาของแผ่นเหล็กที่ออกแบบเป็นพิเศษเท่านั้น ที่ทำให้ตึก 2 ชั้น รอดจากการทำลายไปอย่างหวุดหวิดผู้กองอังคารกับนอร์แมนพุ่งตัวลงนอนกับพื้น สงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็คลานเข้าไปที่ห้อง "ซิลเวีย-อึ้ง" พลางกระซิบเบา ๆ

"ผู้กอง เปิดห้องใต้ดินฉุกเฉินเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน...ผมจะเข้าไปพาซิลเวีย...ออกมาเอง "

นอร์แมนบุ้ยใบ้ให้อังคารเปิดห้องใต้ดิน ส่วนตัวเองคลานเร็วจี๋เข้าไปที่หน้าห้อง นักร้องสาวลูกครึ่งพร้อมกับโหย่งตัวลุกขึ้น จับลูกบิดหมุนพาตัวเองเข้าไปในห้องด้วยท่าทางรีบร้อน

" - หยุดอยู่แค่นั้น...มิสเตอร์นอร์แมน " กรุณาล็อคกุญแจ...แล้วก็ยกมือขึ้นเหนือศีรษะด้วย

ภาษาอังกฤษเฉียบขาด ดังกังวานออกจากเตียงขนาด 7 ฟุต ซึ่งขณะนี้ปรากฏร่างของ "ซิลเวีย-อึ้ง" นั่งพิงผนังเตียง มือทั้งคู่กระชับปืนพกเหยียดยื่นมาข้างหน้าในลักษณะท่านั่งยิง ริมฝีปากที่บางเฉียบเหยียดยิ้มพร้อมกับสำทับด้วยคำพูดที่ห้วนและสั้น

" ยกมือขึ้น...มิสเตอร์นอร์แมน "

เพียงแวบเดียวที่นอร์แมนมองเห็นลักษณะของการถือปืน ความรู้สึกก็บอกกับตัวเองได้ทันทีว่า หญิงสาวผู้นี้ได้ผ่านการฝึกปรื้อในด้านการใช้อาวุธมาอย่างโชกโชน เขาชำเลืองดูรอบ ๆ เพื่อหาทางแก้ไขสถานการณ์ แต่หญิงสาวดูเหมือนจะอ่านจิตใจของเขาออก "ซิลเวีย-อึ้ง" ใช้หัวแม่มือง้างนกขึ้นดังกริ๊ก แล้วสำทับออกมาอีกอย่างเหี้ยมเกรียม

" - ปิดประตู...แล้วหันหน้าเข้าข้างฝา...เดี๋ยวนี้ "

ไม่มีทางเลือก นอร์แมนชำเลืองไปนอกประตูนิดหนึ่ง แล้วดึงประตูปิด ต่อจากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปยืนหันหน้าเข้าข้างฝาอย่างช้า ๆ

" - เอามือเท้าฝา...ทิ้งน้ำหนักตัวลงฝ่ามือทั้งสองข้าง...ขยับเท้าออกมาอีกนิด...อย่าหันหน้ากลับมาเป็นอันขาด ถ้าขยับตัวอีกครั้งฉันยิงทันที "

ซิลเวีย-อึ้ง พูดพลางก้าวเท้าลงมาจากเตียงด้วยท่าทางระมัดระวัง เธอเคลื่อนที่เข้ามาที่ประตูแล้วล็อคกุญแจ...ใส่กลอนด้านในอีกชั้น ต่อจากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปยืนเบื้องหลังนอร์แมนอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มกรรมวิธีค้นอาวุธด้วยความชำนิชำนาญ

" ซิลเวีย-อึ้ง " ใช้ปืนที่ถืออยู่ในมือจี้หมับเข้าไปที่บริเวณแผ่นหลังของนอร์แมน...มือข้างที่ว่างดึงกระเป๋าเอกสารขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังของหัวหน้าข่าวกรองค่ายรามสูรอย่างง่ายดาย

" - เปิดหน้ากากของคุณออกมาได้แล้ว มิสเตอร์ นอร์แมน "

ในขณะที่พูด หญิงสาวก็สำรวจอาวุธตามร่างกายของนอร์แมนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ชั่วอึดใจก็ดิ่ง "เบรานิงค์ - ไฮเพาเวอร์" สวมท่อเก็บเสียงจากซองพกพิเศษที่ซอกขาขึ้นมาถือกระชับอยู่ในมือ ปากก็พูดต่อไปอีกอย่างยืดยาว

" - ยานอนหลับของ ซี.ไอ.เอ. ที่พวกคุณอวดอ้างว่ามีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่สามารถที่จะ "หยุด" ฉันได้พวกคุณมี สกูรฮีเลี่ยม" พวกฉันก็มี "สะโครโพลามีน" ขอเวลาซักนิดแล้วจะรู้ว่า " ยา " ของใครจะมีประสิทธิภาพกว่ากัน "

มีเสียงเคาะประตูดังลั่นอยู่เบื้องนอกผสมกับเสียงระเบิดถี่ยิบฟังไม่ได้ศัพท์ นอร์แมนขยับตัว "ซิลเวีย - อึ้ง " กระแทกปืนลงไปบนแผ่นหลังพร้อมกับสำทับออกมาอย่างเฉียบขาด

" - บอกสจ๊วตเจ้าเล่ห์ลูกน้องของคุณเดี๋ยวนี้...ร้องตะโกนออกไปว่าคุณกำลังอยู่ในห้องน้ำอย่าส่งรหัสเป็นอันขาด..."

" คุณซิลเวีย...นี่ผมงงไปหมดแล้วครับ...ผมเดาไม่ออกว่าคุณเป็นใครกันแน่...และก็มิสเตอร์นอร์แมนอะไรของคุณนั่นผมก็ไม่ร้จัก เรามีอะไรก็ตกลงกันได้นี่ครับ...ข้างนอกกำลังยิงกันใหญ่แล้ว เรามาร่วมมือกันดีกว่า..."

"หยุด...มิสเตอร์นอร์แมน ไอ้หน้าฉากกัปตัน "แพน-แอม-แอร์เวย์" ของคุณที่แสดงมาตั้งสองปีนั่นเป็นอันสิ้นสุดกันเสียที...คุณเป็นบุคคลชั้นบริหารขององค์การ ซี.ไอ.เอ. เราไม่มีอะไรที่จะตกลงกันอีกแล้ว...ขอโทษมิสเตอร์นอร์แมน "

ประโยคสุดท้าย "ซิลเวีย-อึ้ง" กระซิบผ่านไรฟันออกมาอย่างเหี้ยมเกีรยมพร้อมกับถอยหลังออกไปนิดหนึ่งแล้วเตะตูมเข้าไปที่หว่างขาของนอร์แมนเต็มแรง

มีเสียงดังพั่บ...รองเท้าแบบเดินทางหัวหนาปึกกระแทก "ห้องเครื่อง" ของนอร์แมนเต็มเหนี่ยว...นอร์แมนสะดุ้งเฮือกสุดตัว มือทั้งสองที่เท้าผนังเลื่อนลงมากุมที่เป้ากางเกงอย่างเป็นอัตโนมัติ ร่างที่ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวรูดลงไปกองอยู่ที่พื้น ส่งเสียงอึกอัก ๆ ตัวงอด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว

"-ซิลเวีย-อึ้ง" เปลี่ยนปืน "เบรานิงค์" ที่ยึดได้จากนอร์แมนมาถือเอาไว้ในมือข้างขวา สายตาชำเลืองไปที่ประตูนิดหนึ่ง และก้าวเท้าเข้าไปยืนค้ำกบาลนอร์แมนด้ามปืนที่ถืออยู่ในมือประเคนเปรี้ยงลงไปบนนทัดดอกไม้สุดแรงเกิด

" พล็อค "

เสียงด้ามปืนสัมผัสกะโหลกศีรษะดังสนั่นหวั่นไหวนอร์แมนกระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่งก็แน่นิ่งหมดสติสัมปะชัญญะไปในบัดดล

"ซิลเวีย-อึ้ง" โยนปืนเก็บเสียงลงไปที่พื้นแล้วเดินกลับมาที่เตียงนอน เปิดกระเป๋าหยิบแท่งลิปสติคขึ้นมาถือเอาไว้ในมือพร้อมกับหมุนส่วนหัวไปทาวขวามือจนสุด ต่อจากนั้นก็ยกแท่งลิปสติคขึ้นมาจ่อริมฝีปากกรอกคำพูดลงไปอย่างเฉียบขาด

"ฮานอย 12...จากฮานอย...แผนงานเรียบร้อยอยากทราบการเคลื่อนไหวของตำรวจหัวหมาก...รายงานด่วน "

ชั่วอึดใจก็มีเสียงตอบกลับมาอย่างยืดยาว

" - ฮานอยจากฮานอย 12 ขณะนี้ตำรวจหัวหมากกำลังเคลื่อนย้าย "กำลังพล" ออกจากสถานี กำลังพลทั้งหมด 15 คน...รถจี๊ปและรถปิคอัพอย่างละคัน...ไม่มีอาวุธหนัก แต่อาจจะมีสมทบจากที่อื่น...ตามปกติรถตำรวจจะมาถึงที่นี่ภายในยี่สิบนาที...พวกเราอาจจะมีเวลาไม่พอ...หัวหน้าจะให้พวกผมปฏิบัติอะไรต่อไปครับ "

" หน่วยตำรวจเอาไว้ที่ปากซอยให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้...เส้นทางถอนกำลังใช้เส้นทางที่เชื่อมออกทางหมู่บ้านเสรี...ประสานการยิงให้หนักที่สุด ตะลุยเข้ามาให้ได้...ไม่ต้องใช้อาวุธหนัก พวกมันมีแผ่นเกราะป้องกัน "

"ซิลเวีย-อึ้ง " หรืออีกนับหนึ่งหัวหน้าขบวนการมหาประลัยจากประเทศหลังม่านเหล็กออกคำสั่งด้วยแผนปฏิบัติที่แนบเนียนและรัดกุม

บัดดลนั้นเอง เสียงปืนจากบ้านร้างก็คำรามขึ้นมาอย่างถี่ยิบตามแผนของซิลเวีย-อึ้ง...ห่าฝนเหล็กสาดเข้าใส่ตึกสองชั้นเป็นจักรผัน ลูกกระสุนปะทะกับแผ่นเกราะเหล็กเสียงดัง หวิดหวิว หลังคากระเบื้องกระเด็นหลุดร่วงเกียวกราว

ผู้กองอังคารเปิดห้องใต้ดินหลังตู้เก็บเหล้าออกอย่างรีบร้อน...แล้วเผ่นลงไปหยิบอาวุธต่าง ๆ ขึ้นมาวางเรียงรายอยู่บนเก้าอี้รับแขกต่อจากนั้นก็เดินกลับมาทีห้อง ซิลเวีย-อึ้ง พลางเคาะประตูเรียกถามด้วยความเคลือบแคลงใจ

" - หัวหน้า...หัวหน้า...มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ"

เงียบ...ไม่มีเสียงตอบจากภายในห้อง ผู้กองอังคารชำเลืองดูลูกบิดประตูอย่างเคลือบแคลงใจอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวเท้าโหย่ง ๆ ไปที่หุ่นโชว์เสื้อชุดกิโมโน แล้วหิ้วติดมือมายืนที่หน้าประตู หันรีหันขวางอยู่ชั่วอึดใจก็ตรงรี่เข้าไปหาวิทยุตะโกนกรอกเสียงลงไปอย่างฉุนเฉียว

" - ไอ้โล้น...ไอ้แสบ...พวกมึงหายหัวกันไปไหนหมดโว้ย...ฉิบหายปล่อยให้พวกมันจวกกูอยู่ได้...ล่อแม่มันให้เละไปเลย..."

"-เจ้านาย...โปลิสมาแล้ว...ยกโขยงกันมาแน่นตรอกเลย...พวกผมเผ่นป่าราบไปหมดแล้ว ประเดี๋ยวจะตะลุยเข้าทางหมู่บ้านเสรี...เป็นยังไงครับเจ้านายใหญ่ของเรา..."

ไอ้โล้นกระซิบกระซาบมาในวิทยุ...ผู้กองอังคารไม่ตอบเขายกปืนขึ้นไปเล็งไปที่ลูกบิดประตู แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันไปมองโซฟา ขนาดใหญ่ที่มีล้อเลื่อนอยู่ข้างล่างอยู่ชั่วอึดใจก็ปราดเข้ามาเข็นโซฟา ขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนประตูเต็มแรง

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 12 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 16:46  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19420

คำตอบที่ 83
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 14

ผู้กองอังคารก้มศีรษะลงบังพนักพิง ซอยเท้าจี๋ทุ๋มกำลังเข็นโซฟาร์ควบเข้าหาประตูห้องสุดแรงเกิด

" โครม "

ส่วนหน้าสุดของโซฟาร์กระแทกกับประตูห้องเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประตูห้องสั่นสะเทือนเหมือนกับโดนซุงกระทุ้ง ผู้กองอังคารทิ้งตัวเองนอนราบกับพื้น ปืนเก็บเสียงที่เหน็บอยู่เบื้องหลังถูกกระตุกขึ้นมากระชับอยู่ในมือ เหมือนเป็นอัตโนมัติ

" เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ "

มีเสียงเนื้อไม้ตรงบริเวณเหนือลูกบิดประตูโดนทะลุทะลวงจากกระสุนปืนเก็บเสียงอย่างถนัดหู

ผู้กองอังคารขบกราม แล้วค่อย ๆ เผยอศีรษะขึ้นไปมองรอยโหว่ของเนื้อไม้ ขยับปืนจะยิง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ค่อย ๆ ลากโซฟาร์ถอยหลังกลับไปตั้งหลักอยู่มุมห้อง...

หันรีหันขวางอยู่ ก็ตรงเข้าไปหยิบหุ่นเสื้อกิโมโนมาผูกติดกับพนักพิงแล้วเข็นพุ่งเข้าหาประตูอีกครั้ง

" โครม...เอี๊ยด "

บานประตูหักสะบั้น...พร้อม ๆ กับที่โซฟาถลาแวบเข้าไปอย่างเสียหลัก

" ปึด...ปึด...ปึด...ปึด "

มีเสียงปืนเก็บเสียงรัวอย่างถี่ยิบอยู่ข้างใน ผู้กองอังคารซึ่งพุ่งตัวเองไปนอนหงายอยู่ที่พื้นตรงขอบฝาผนังด้านนอก ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบวัตถุขนาดลูกมะนาวสีเหลืองออกมากำอยู่ในมือ ต่อจากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง ใช้มือข้างหนึ่งดึงสลักนิรภัยออก ขว้างผลุงเข้าไปในช่องประตูที่หักสะบั้นนั้นทันที

" เพลียะ "

มีเสียงระเบิดดังเบา ๆ เหมือนกับเสียงหักกิ่งไม้แห้งชั่วอึดใจก็มีควันสีเหลือง พวยพุ่งออกมาจากช่องประตูเป็นสาย และเจ้าควันดังกล่าวลามเลียออกมาปกคลุมช่องทางเข้าประตูที่หักสะบั้นนั้นจนมืดทึบไปหมด

ผู้กองอังคารคลานอย่างรวดเร็วจี๋เข้าไปในช่องประตูแล้วฉากแวบเข้าไปนั่งพิงผนังห้องสงบเงียบอยู่อย่างระมัดระวัง

ควันสีเหลืองยังคละคลุ้งเต็มห้องไปหมด สักอึดใจใหญ่ ๆ เจ้าควันดังกล่าวก็ค่อย ๆ ลามเลียออกไปนอกช่องประตูจนหมดสิ้น

" ซิลเวีย-อึ้ง " นอนฟุบหน้าอยู่บนเตียง ผ้าปูที่นอนถูกขยุ้มเป็นก้อนแล้วใช้อุดจมูก...ปืนพกเก็บเสียง " เบรานิ่ง " ของนอร์แมนที่ใช้ยิงประตูตกอยู่ที่พื้น

ผู้กองอังคารชำเลืองดูนอร์แมนที่นอนงอก่องอขิงอยู่ที่พื้นยิ้มออกมานิดนึง ต่อจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนก้าวสวบ ๆเข้าไปนั่งอยู่ปลายเตียง แล้วใช้ปลายท่อเก็บเสียงสะกิดเท้า ซิลเวีย-อึ้งเบา ๆ

" - ลุกขึ้นมาได้แล้วคนสวย ลืมหูลืมตาดูซะมั่ง...กะอีแค่ควันพรางตัวธรรมดา ๆ ก็ปอดแหกไปได้ "

ผู้กองอังคารพูดพลางใช้มืออีกข้างกระตุกปลายผ้าปูเตียงเต็มแรง

ซิลเวีย-อึ้ง ขยับตัว ผู้กองอังคารตะครุบลงไปบนข้อเท้า แล้วลากมาปลายเตียงสุดแรงเกิด

พอร่างของ ซิลเวีย - อึ้ง เลื่อนมาถึงปลายเตียง ผู้กองอังคารก็ขยุ้มปอยผม แล้วกระชากร่างของซิลเวียติดมือขึ้นมา ปากก็สำทับอย่างเฉียบขาด

" - หน้าตาของเธอก็สวยดีหรอก...เสียอยู่อย่างเดียว เสือกเข้ามาวุ่นวายอยู่ในแผ่นดินของกูทำไม "

ซิลเวีย-อึ้งไม่ตอบ เธอดิ้นอึกอัก อึกอัก มือทั้งสองพยายามยกขึ้นมาเป็นพัลวัน

ผู้กองอังคารเหน็บปืนที่ซอกเอวด้านหลัง แล้วใช้มือขวาโอบเอวซิลเวีย - อึ้ง ตวัดเข้ามาแนบอก มือข้างซ้ายกระชากปอยผมจนหน้าของหญิงสาวหงายเชิด

" - ไอ้สัตว์...ทำร้ายผู้หญิง...มึงแน่จริงลองปล่อยกูซิวะ "

ซิลเวีย อึ้ง...พูดพลางถ่มน้ำลายเข้าใส่หน้าของผู้กองอังคาร พร้อมกับออกแรงดิ้นอย่างสุดฤทธิ์

ผู้กองอังคารใช้มือขวาตบเปรี้ยงเข้าไปบนใบหน้าของซิลเวีย - อึ้ง สามทีซ้อน ๆ

" มีฤทธิ์นัก...แดกซ่นมือซะมั่ง...ขนาดมึงเป็นผู้หญิง...มึงยังล่อเจ้านายซะหมอบ "

ซิลเวีย - อึ้ง สะบัดหน้าไปตามแรงตบ...แต่ไม่ร้องซักคำ...เธอถ่มน้ำลายผสมเลือดเข้าใส่หน้าผู้กองอังคารแล้วสบถออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

" - แรงตบแค่นี้หยุดกูไม่ได้หรอกโว้ย วันนี้พวกมึงไม่รอดแน่...ประเดี๋ยวพวกกูก็จะแห่มาสับเนื้อพวกมึงออกเป็นชิ้น ๆ "

ซิลเวีย - อึ้ง พูดยังไม่ทันจบก็มีเสียงวิทยุดังแว่ว ๆ ขึ้นที่บริเวณหัวเตียง

" - ฮานอย จาก ฮานอย 10 ขณะนี้ตำรวจติดอยู่ที่กลางซอยระหว่างสะพานข้ามคลอง...พวกเราเผาสะพานทิ้งแล้วครับ "

ซิลเวีย - อึ้ง ขยับตัว...ผู้กองอังคารผลักร่างของหญิงสาวหงายหลังโครมลงไปบนเตียง แล้วใช้มือซ้ายล็อคแขนของซิลเวียเอาไว้แน่น-กอดก่ายร่างของสายลับ เค.จี.บี. ลงแนบกับที่นอน...มือขวาที่ว่างก็ควานขึ้นไปหาวิทยุที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนอย่างรวดเร็ว

วิทยุขนาดจิ๋วที่ออกแบบสร้างขึ้นมาในลักษณะของแท่งลิปสติคถูกล้วงออกมา...ผู้กองอังคารยกขึ้นมาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรากฏเสียงวิทยุเรียกมาอีก

" ฮานอยจากฮานอย 10...พวกเราโดนโจมตีทางด้านหมู่บ้านเสรี...กำลังหนุนของเรายังเดินทางมาไม่ถึงจะวางแผนอย่างไรตอบด่วน "

ผู้กองอังคารหัวเราะก๊าก หยิบวิทยุทิ่มเข้าไปที่หูของซิลเวีย - อึ้ง แล้วคำรามออกมาด้วยเสียงลึก ๆ อยู่ในลำคอ

" - พวกของมึงโดนล้อมหมดแล้ว...คราวนี้ต่อให้มีปีกบินก็ไปไม่รอด "

ซิลเวีย - อึ้ง ไม่ตอบ เธอออกแรงดิ้นอย่างสุดฤทธิ์ผู้กองอังคารใช้มือกระชากเสื้อสุดแรงเกิด

" คว้าก "

เสื้อชุดเดินทางขาดลุ่ยติดมือออกมาเป็นแถบ...ซิลเวียร้องเสียงหลง แล้วผงกศีรษะก้มลงใช้ปากกัดแขนผู้กองอังคารเต็มแรง

ผู้กองอังคาร กระชากผมซิลเวีย-อึ้ง จนหน้าหงายพร้อม ๆ กับฉกริมฝีปากวูบเข้าหาปากที่เต็มอิ่มนั้น...มือข้างที่ว่างเลื่อนปร๊าดลงไปเบื้องล่าง กระตุกกระโปรงชุดเดินทางลุ่ยออกไปติดอยู่ที่หัวเข่า ต่อจากนั้นก็งอขาขึ้นมา ใช้ปลายเท้าเขี่ยกระโปรงหลุดลงไปกองอยู่ที่พื้นปลายเตียง

" - เอ้า...ดิ้น...ดิ้นเข้า ถ้าเธอขืนดิ้น ฉันจะถอดเธอให้เหลือแต่ชุดวันเกิด ถ้าไม่เชื่อจะลองดูก็เอา "

ผู้กองอังคารถอนริมฝีปากจากกระจับคู่งามที่เต็มอิ่มของซิลเวีย - อึ้ง แล้วเปลี่ยนคำพูดที่กระโชกโฮกฮาก เป็นคำพูดที่ค่อนข้างจะหวานหูขึ้นเป็นครั้งแรก

ซิลเวีย - อึ้ง ยังไม่ทันจะตอบว่าอะไร ผู้กองอังคารก็กระชากยกทรงที่วอมแวมอยู่ที่หน้าอกขาดแควกติดมือออกมา แล้วฉกริมฝีปากแวบลงไปบนจุดสีชมพูที่ผงาดท้าทายแสงฟูออร์เรสเซ่นอยู่นั้น

ซิลเวีย-อึ้ง สะดุ้งเฮือก ขยับตัวดิ้นอย่างสุดฤทธิ์...ปากก็ละล่ำละลักออกมาอย่างตื่นตระหนก

"อย่าค่ะ...อย่าทำอย่างนั้น...โปรดเถิด กรุณาอย่าทำแบบนั้น"

ผู้กองอังคารถอนริมฝีปากขึ้นมาจากเนินอกที่อวบอูมและขาวผ่อง นัยน์ตาส่งประกายวาววับแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม ผิดกับเมื่อกี้เป็นคนละคน

" - ซิลเวีย-อึ้ง...เธอก็พูดเพราะ ๆ เป็นเหมือนกันหรือนี่ ?...ขออย่างอื่นผมจะให้ได้ แต่อย่างนี้เห็นจะไม่มีทาง "

พอพูดจบผู้กองอังคารก็แนบคางลง แล้วใช้เคราที่ค้างโกนไซ้ไปบนเนินพระอุมาอย่างแผ่วเบา

เจอะลูกเล่นอันพิสดารของผู้กองอังคารบทนี้เข้าพยัคฆ์สาวเจ้าเล่ห์จากองค์การ เค.จี.บี. ก็แอ่นผวาขึ้นสุดตัวมือไม้ที่ถูกล็อคอยู่ขยับไปมาศีรษะหงายเริดปากก็พึมพำเป็นภาษามาเลย์ไม่ได้ศัพท์

ผู้กองอังคารขยับตัวปล่อยแขนที่ล็อคออก ซิลเวีย-อึ้ง ตวัดมือขึ้นโอบศีรษะผู้กองแน่น คล้าย ๆ กลับจะมีอารมณ์เผลอไผลกับความพิสวาสที่พุ่งขึ้นมาเหมือนทำนบแตกนั้น แต่พอผู้กองเผลอตัวก็ค่อย ๆ ยื่นมือควานหาวิทยุซึ่งตกอยู่ข้างหลังผู้กองอังคารทันที...

ทันใดนั้นเอง ใบมีดเรียวเล็กที่ใหญ่กว่าเข็มฉีดเล็กน้อย ก็เด้งโผล่ออกมาทางก้นของแท่งลิปสติค...ซิลเวีย-อึ้ง พลิกข้อมือกลับ กำแท่งลิปสติคแน่น หวังจะจ้วงแทงแผ่นหลังของผู้กองในขณะเผลอตัว

นอร์แมน ซึ่งนอนตาแป๋วอยู่ที่พื้นข้างล่างกระโจนผึ๋งขึ้นมาบนเตียงแล้วยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งกระทืบโครมลงไปบนข้อมือที่ถือแท่งลิปสติคเต็มแรง...

ผู้กองอังคารเอี้ยวคอขึ้นไปมองนอร์แมนแล้วหัวเราก๊าก

" - ขึ้นมาของส่วนแบ่งหรือไง...เจ้านาย "

นอร์แมนใช้เท้าข้างที่ว่างเตะเข้าไปที่เอวของอังคารแล้วสบถออกมาด้วยความฉุนเฉียว

" - จะตายห่าอยู่แล้ว ยังไม่รู้สึกตัวอีก ผมนอนดูอยู่ตั้งนาน...โน่น แหกตาดูซะ เกือบป่นแล้วผู้กอง "

ในขณะที่พูด นอร์แมนก็ก้มลงไปหยิบแท่งลิปสติคขึ้นมาให้ดู

ผู้กองอังคารชำเลืองดูแท่งลิปสติค แล้วตบเปรี้ยงเข้าไปที่ซอกแก้มเต็มเหนี่ยว ต่อจากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับกระชากร่างของซิลเวียติดมือขึ้นมาด้วย

ยังไม่ทันจะทำอะไร ต่อไปก็ได้ยินเสียงคำรามของ "เอ็ม.72" ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง ความดังและความรุนแรงของมันกลบเสียงปืนนานาชนิดที่กำลังสลุตกระสุนเข้าใส่กันระหว่างบ้านร้างกับบ้านสองชั้นให้เงียบเสียงลงโดยสิ้นเชิง

" - มัดมันทิ้งเอาไว้ในห้องนี่ก่อน...รู้สึกว่าพวกเราจะโจมตีบ้านร้างเข้าให้แล้ว"

นอร์แมนพูดพลางฉีกผ้าปูที่นอนออกเป็นชิ้น ๆ แล้วเริ่มมัดซิเวีย - อึ้ง อย่างรีบเร่ง...ผู้กองอังคารเดินเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเดินกลับเข้ามาที่ร่างของซิลเวีย ที่นอนงอก่องอขิงอยู่บนที่นอนพร้อมกับพูดออกมาเบา ๆ

" - ถ้าเธอโชคดีหลุดออกไปได้ อย่าลืมใส่เสื้อออกไปด้วย...โน่นในตู้มีเสื้อสตรีอยู่แยะ ขืนหลุดออกไปแบบนี้หมาฟัดตายห่า"

ซิลเวีย-อึ้ง ตะโกนด่าออกมาอย่างไม่นับ นอร์แมนหันมากระตุกแขนเสื้อผู้กองอังคาร แล้วกระโจนผึ๋งออกมาจากห้อง แต่ก็ไม่วายที่จะก้มลงหยิบแท่งลิปสติคมหาภัยอันนั้นติดมือออกมาด้วย...

ผู้กองอังคารปราดไปที่วิทยุ ซึ่งเปิดเครื่องทิ้งเอาไว้ และมีเสียงไอ้โล้นกำลังแหกปากร้องลั่นอยู่พอดี

" - ผู้กอง...ผู้กอง...ผมจรวกรถปิคอัพของมันพังหมดแล้ว...ทำไมไม่ตอบ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ..."

อังคารหยิบปากพูดขึ้นมากรอกเสียงลงไปแทบไม่หายใจ

" - ไอ้โล้น...ระวังหน่วยหนุนของพวกมันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาทางหมู่บ้านเสรีอันเป็นเส้นทางเดียวกับมึง...รีบ ๆ จวกพวกมันเร็ว ๆ เข้า ตำรวจผ่านสะพานเข้ามาแล้วโว้ย "

บัดดลนั้นเอง ห่ากระสุนนับพัน ๆ นัดก็วิ่งพรูเข้าหาบ้านร้าง...ประกายไฟจากลูกกระสุนปืนสอง สอง วิ่งสวนกันไม่ขาดระยะ หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ ซี.ไอ.เอ. รายล้อมบ้านร้างเอาไว้ทั้ง 4 ด้าน แล้วเริ่มสลุตกระสุนเข้าใส่เป็นพายุบุแคม

มีเสียงไซเรนดังลั่นมาทางปากซอย พร้อม ๆ กับเสียงไอ้โล้นแหกปากร้องลั่นมาในวิทยุ

" - เจ้านาย...โปลิสมาแล้ว...ผมเห็นทีจะอยู่ไม่ไหวแน่...มีอะไรสั่งมาเลยครับ"

" - บอกให้พวกเราถอนตัวออกไปตามเส้นทางเดิม...ระวังหน่วยหนุนของพวกมันด้วย..."

นอร์แมน สำทับออกมาอย่างเฉียบขาด แล้วปราดเข้าไปหยิบ "เอ็ม. 72" ที่ผู้กองอังคารเพิ่งจะขนขึ้นมาจากห้องใต้ดิน...กดล็อคกางปืนจรวดแม็คนีโตออกเป็นสองท่อนต่อจากนั้นก็เดินโหย่ง ๆ เข้าไปที่ตู้เก็บเหล้า เปิดสวิทซ์ลดเกราะเหล็กด้านตรงกันข้ามบ้านร้างลงจนสุด

จากช่องหน้าต่างซึ่งเปิดโล่งอยู่นั้น มองเห็นซากรถปิคอัพมีไฟลุกโขมง...แสงสว่างจากกองไฟมองเห็นร่างตะคุ่ม ๆ นอนพาดอยู่บนตึกชั้นบนซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่อย่างถนัดชัดเจน...

นอร์แมน ยก "เอ็ม. 72" ขึ้นพาดหน้าต่าง ตาขวาแนบศูนย์เล็งเหนือลำกล้อง ส่วนผู้กองอังคารฉากแวบออกไปจากเบื้องหลังเพื่อหลบแรงสะท้อนถอยหลังที่จะพุ่งออกมาจาท้ายลำกล้อง

นอร์แมนเล็งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบรรจงเหนี่ยวไกอย่างใจเย็น ประกายไฟเหมือนกับผีพุ่งไต้วิ่งปร๊าดออกจากช่องหน้าต่าง เป้าหมายก็คือส่วนบนของตึกรางที่สว่างโพลนอยู่ท่ามกลางแสงไฟนั้น

" พรึ้ม "

เสียงระเบิดหนักและรุนแรงกระหึ่มขึ้นมาดังสนั่นหวั่นไหว ประกายไฟสีเขียวปนส้มสว่างแวบแล้วกระจายออกไปรอบ ๆ ทิศ...ตัวตึกร้าง ไฟลุกพรึ่บขึ้นทั้งหลังเหมือนถูกอาบด้วยแสงไฟ

ผู้กองอังคารมองดูแล้วอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ

" - เอ็ม.72 แน่รึ...หัวหน้า...ผมไม่เคยเห็นจริง ๆ ไอ้แบบที่ยิงแล้วลุกเป็นไฟแบบนี้ "

" - เอ็ม.72 สเปเชี่ยน...เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อาทิตย์ที่แล้วนี่เอง...มีทั้งอำนาจการทำลายและอำนาจเผาผลาญทุกจุดที่กระสุนแม็กนีโตผ่านเข้าไปจะทำปฏิกริยาลุกไหม้ทันทีไม่ว่าจะเป็นวัสดุจำพวกไม้หรือซีเมนต์เนื้อแข็ง...ฉิบหายแล้วผู้กอง...ตำรวจมาโน่นแล้ว"

ประโยคสุดท้าย นอร์แมนลดเสียงลงกระซิบกระซาบเบา ๆ พร้อมกับโยนกระบอกไฟเบอร์ "เอ็ม.72" ที่ยิงแล้วลงบนพื้น

เสียงไซเรนมาหยุดที่กึ่งกลางระหว่างบ้านร้าง ซึ่งไฟกำลังลุกโชนกับตึกสองชั้น ที่คนทั้งสามซ่อนตัวอยู่ตามติด ๆ ด้วยรถปิคอัพหลังคาสูงอีกหนึ่งคัน

รถจอดยังไม่ทันสนิท กลุ่มตำรวจก็พากันลงมาจากรถ แล้ววิ่งเข้ามารายล้อมด้านหน้าของตัวตึกทั้งสองเอาไว้อย่างรวดเร็ว

" - ปิดห้องใต้ดิน ขนอาวุธหนักลงไปซ่อนให้หมดสถานีย่อยของเราแห่งนี้เป็นเอกเทศ ไม่มีใครเคยรู้ความตื้นลึกหนาบางขององค์การเรา...ขณะนี้เราอยู่ในคราบของโจร...ผู้กองตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย...ประเดี๋ยวผมจะแหกออกไปทางเบื้องหลัง"

นอร์แมนพูดพราง เดินเข้าไปหยิบปืนเบรานิงค์เก็บเสียงที่ลืมอยู่ในห้องของซิลเวีย - อึ้ง แล้วเดินกลับออกมาสมทบกับผู้กองอังคาร ซึ่งกำลังแหวกม่านหน้าต่างดูการเคลื่อนไหวของตำรวจอย่างระมัดระวัง

" - แล้ว ซิลเวีย-อึ้ง ล่ะ...หัวหน้า"

" - ปล่อยเธอเอาไว้ที่นี่...ผมเชื่อเหลือเกินว่าเธอจะต้องเอาตัวรอดจากการสอบสวนได้...เพราะฉากหน้าของเธอเป็นนักร้องที่เดินทางเข้ามาเพื่อประกอบอาชีพส่วนตัว"

นอร์แมนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่สายตาจ้องเขม็งไปที่ถนนสายหน้าบ้านอย่างระแวดระวัง

"โปรดทราบ ทุกคนที่อยู่ในบ้านทั้งสองโปรดออกมาพบกับเจ้าหน้าที่เดี๋ยวนี้...ยกมือขึ้นเหนือศีรษะแล้วเดินออกมาด้วยมือเปล่า เรามีเวลาให้พวกท่านเพียง 3 นาที ถ้าพวกท่านเป็นสุจริตชน...ท่านจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานโดยเคร่งครัด"

เสียงประกาศจากเครื่องกระจายเสียงขนาดกระเป๋าที่ใช้ถ่านไฟฉายดังกังวานอยู่เบื้องนอก...เสียงประกาศซ้ำอยู่ 2 เที่ยวก็หยุด ต่อจากนั้นก็มีสปร์ตไล้ท์ส่องเข้ามาในตึกสองชั้นที่คนทั้งสามซ่อนตัวอยู่ แล้วส่องกราดไปทั่วอาณาบริเวณอยู่ตลอดเวลา

" - พวกเราคงจะถอยไปหมดแล้ว และรู้สึกว่าพวกมันที่ตึกหลังโน้นคงจะสูญเสียทั้งหมด...นี่คือประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของปืน "เอ็ม.72" ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ จากนักประดิษฐ์ของฝ่ายเรา"

นอร์แมนพูดพลางเอื้อมมือหยิบ "เอ็ม - 72" อีกกระบอกที่วางอยู่บนเก้าอี้นวมขึ้นมาถือเอาไว้อยู่ในมือ

ผู้กองอังคารชำเลืองดูแว่บหนึ่ง แล้วเอ่ยปากถามอย่างเคลือบแคลงใจ

" - หัวหน้าจะใช้ "เอ็ม-72" นี่ยิงตำรวจที่อยู่ข้างนอกหรือครับ"

" - ก็เราไม่มีทางเลือกนี่...ผู้กอง ลำพังเราสองคนนี่ถ้าขืนแหวกออกไปก็พังเท่านั้น"

นอร์แมนพูดพลางกดปุ่มล็อคพร้อมกับดึงกระบอกไฟเบอร์ให้กางออกเป็นสองท่อน

ผู้กองอังคารกระชากลูกเลื่อนปืน "เบรานิง-ไฮเพาเวอร์" ดัง "แคร้ง" แล้วจี้หมับเข้าไปที่หัวขมองของนอร์แมน พลางคำรามออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

" - วางปืนลง...หัวหน้า...ผมเป็นคนไทยทั้งเชื้อชาติและสัญชาติ...เท่าที่เข้ามาร่วมแผนการกับหัวหน้าก็เนื่องจากหน่วยเหนือเล็งเห็นความพินาศฉิบหายอันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เนื่องจากลัทธิคอมมิวนิสต์...ผมสามารถที่จะฆ่าอ้ายและอีทุกผู้ที่เป็ยภัยต่อประเทศชาติของผม แต่จะให้ผมเข่นฆ่าหรือดูคนอื่นเข่นฆ่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อหน้าแบบนี้ไม่ได้...ถ้าหัวหน้าไม่เปลี่ยนใจ...ผมจะฆ่าหัวหน้าเดี๋ยวนี้"

นอร์แมนจ้องตาผู้กองอังคารเขม็ง แล้วค่อย ๆ วางปืน "เอ็ม.72" ลงบนเก้าอี้ ผู้กองอังคารยกเท้าถีบเก้าอี้ให้เลื่อนห่างออกจากตัวแล้วลดปืนลง...พูดต่อไปอีกอย่างยืดยาว

" - ผมอาจจะผิดที่กระทำกับหัวหน้าแบบนี้...เรามาสมมุติกันอย่างง่าย ๆ ลองเปลี่ยนให้หัวหน้ามาเป็นผมแล้วบังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หัวหน้าจะทำเช่นไร ?...ผมเป็นคนไทย อาชีพรับจ้างรบคืออาชีพหลักของผม แต่ถ้ามันเลยเถิดจนกระทั่งถึงกับทำร้ายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำตามหน้าที่...ผมยอมไม่ได้...เสร็จจากงานวันนี้ หัวหน้าอาจจะฉีกสัญญาว่าจ้างของผมทิ้ง"

นอร์แมนหัวเราะก๊าก เอื้อมมือมาตบที่แขนของผู้กองอังคารเบา ๆ พร้อมพูด

" - ผู้กอง เป็นคนรักชาติ...ขอให้รักชาติแบบนี้ตลอดไปเถิด...คนเราเกิดมาถ้าไม่มีสรณะ และยิ่งที่ยึดมั่นแบบผู้กองผมเห็นเสียคนมาเยอะแล้ว...คนดี ๆ แบบนี้ ถ้าผมไม่จ้างแล้วผมจะไปสรรหาจากสวรรค์ที่ไหน...โน่น...เครื่องกระจายเสียงซ่อนอยู่ในตู้ยาโน่น...ผู้กองพูดออกไปว่า พวกเรายึดผู้หญิง นักร้องสิงคโปร์เป็นตัวประกัน...ถ้ายิงเข้ามาอาจจะถูกผู้หญิง"

ผู้กองอังคารเผ่นพรวดเข้าไปที่ตู้ยา แล้วเปิดออกยื่นมือเข้าไปสวิทช์ดึงไมโครโฟนขนาดเล็กออกมากรอกเสียงลงไปอย่างเฉียบขาด

" พวกผมยึดตัวนักร้องจากสิงคโปร์เป็นตัวประกัน...อย่ายิงเข้ามาเป็นอันขาด เมื่อครบ 3 นาที ผมจะติดต่ออีกครั้ง "

ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่มีเสียงประกาศสวนกลับเข้ามาอย่างเฉียบขาด

" - เหลือเวลาอีก 2 นาที ถ้าครบกำหนดเวลาแล้วไม่ยอมจำนน เจ้าหน้าที่จะระดมยิงทันที"

" - ยกแผ่นเกราะด้านหน้าขึ้นผู้กอง...ตำรวจยิงพวกเราแน่ ๆ...เสียงปืนบ้านโน้นเงียบเสียงลงแล้ว...คราวนี้ถึงคราวเราบ้างล่ะ"

นอร์แมนพูดพลางถอดแม็กกาซีน ปืนเก็บเสียงออกมาตรวจดู แล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋า ผู้กองอังคารซึ่งยืนมองอยู่รีบล้วงแม็กกาซีนสำรองออกมาจากซองพกพิเศษ ที่ซอกขาด้านซ้ายมือ แล้วส่งให้ทั้งสองอันต่อจากนั้นก็เดินไปที่สวิทช์เลื่อนเกราะเหล็กขึ้นปิดผนังด้านหน้าที่ติดกับถนนสายหน้าบ้านทันที...

"เหลืออีกหนึ่งนาทีครึ่ง"

เสียงประกาศเฉียบขาดดังขึ้นอีก...พร้อม ๆ กับสปอร์ตไลท์ฉายกราดเข้ามาสว่างเป็นทาง

ผู้กองอังคารขบกรามแน่น ตวัดปืนขึ้นเหนือเพดานเหนี่ยวไกอย่างนิ่มนวล

"ปึด"

ช่อไฟกลางเพดานห้องขาดสะบั้นตกลงมาแตกกระจายอยู่กับพื้น

แสงสว่างภายในห้องหายวับไปในบัดดล แต่รอบ ๆ บริเวณกลับสว่างจ้าด้วยแสงสปร์ตไลท์ที่ส่องกราดเข้ามาอย่างชนิดต่อเนื่องกัน

ตำรวจไม่มีเวลาต่อรองให้กับผู้ที่ซุกซ่อนอยู่ในตึกสองชั้นอีกแล้ว การจงใจยิงหลอดไฟเป็นการตัดสินใจของฝ่ายที่ถูกล้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าส่งระดมยิงทันที

สรรพสิ่งภายในตัวตึกนอกเกราะเหล็กพังพินาศ หลังคากระเบื้องฉีกขาดออกทั้งกะบิแล้วร่วงเกรียวกราวไม่ขาดระยะ หัวทองแดงนานชนิดกระทบแผ่นเกราะเสียงดังเฟี้ยวฟ้าว เหมือนกับเสียงเปรตทวงวิญญาณ

นอร์แมนยืนจังงังเหมือนโดนผีหลอกยังไม่ทันขยับตัว ผนังด้านข้างซึ่งยังไม่ได้เอาเกราะลงก็โดนกระสุนทะลวงเข้ามาเป็นห่าฝน...

ผู้กองอังคารกระโจนกระแทกนอร์แมนล้มคว่ำลงไปกับพื้น ลูกปืนทะลุบานหน้าต่างเข้ามาเป็นสาย...ม่าน...ผ้าบังตา ลวดฉลุ ขาดออกเป็นชิ้น ๆ เหมือนกับโดนขวานจาม

"เอาเกราะทั้งหมดลง...ผู้กอง"...

นอร์แมนตะโกนเสียงหลง...ผู้กองอังคารคลานเร็วจี๋ไปที่สวิทช์...พอจะเอื้อมมือขึ้นไปก็ต้องหดหัวลงมาแนบพื้น เนื่องจากตู้เก็บเหล้า โดนกระสุนที่ทะลุทะลวงเข้ามาขาดเหว่ออกเป็นทาง และแนวกระสุนเริ่มต่ำลงทุกนาทีจนผู้กองต้องพลิกตัวไปตามพื้นสามสี่ทอด แล้วนอนคว่ำหน้าสงบนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ

นอร์แมนคลานเข้าไปหาสวิทช์แล้วโหย่งตัวขึ้นกดแต่ปรากฏว่า แผ่นเกราะเหล็กไม่ทำงาน...เขาสบถออกมาอย่างฉุนเฉียว

" - ฉิบหายแล้ว...ผู้กอง...เกิดขัดข้องแผ่นเกราะไม่ทำงาน...ขืนอยู่บนนี้ถูกยิงพรุนแน่ "

ผู้กองอังคาร ไม่ตอบ...เขาคลานเร็วจี๋เข้าไปที่ห้อง ซิลเวีย-อึ้ง แล้วหิ้วหุ่นโชว์เสื้อกิโมโนออกมา...ต่อจากนั้นก็ใช้หมวกของนอร์แมน คลุมลงไปแล้วค่อย ๆ วางหุ่นลงบนพื้นใช้มือผลักให้หุ่นเลื่อนเข้าหาบานหน้าต่าง ๆ ด้านที่ติดกับบ้านร้างซึ่งขณะนี้ไฟกำลังลุกโชน

ชั่วพริบตา - เดียว หน้าต่างเกล็ดกระจกบานนั้นก็ถล่มแตกเกรียวกราว หมวก...หุ่นกิโมโน กระเด็นล้มกลิ้งลงกับพื้น ทั่วทั้งตัวหุ่นฉีกขาดกระจุยกระจายจนจำสภาพเดิมแทบไม่ได้

อา ! เพชฌฆาตรับจ้างและหัวหน้าข่าวกรองค่ายรามสูร ตกอยู่ในห่ากระสุนของเจ้าหน้าที่ตำรวจหัวหมากเสียแล้ว...

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 14 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 16:52  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19421

คำตอบที่ 84
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 15

ผู้กองอังคารนอนนิ่งฟังเสียงปืนอยู่ชั่วอึดใจก็คลานเข้าไปลากหุ่นโชว์เสื้อที่โดนยิงขาดกะรุ่งกะริ่งขึ้นมาตั้ง แล้วใช้เท้าเขี่ยหมวกนอร์แมนที่กระเด็นอยู่ข้าง ๆ โต๊ะขึ้นมาถือเอาไว้อยู่ในมือ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็สวมหมวกครอบลงไปบนหุ่นแล้วค่อย ๆ เลื่อนไปยังหน้าต่างด้านตรงกันข้ามกับที่โดนระดมยิงเมื่อกี้นี้

ลำแสงสปอร์ตไลท์เริ่มสาดเข้ามาเป็นทางชั่วอึดใจรัศมีของมันก็จับเข้าที่ส่วนหัวของตัวหุ่นเข้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ

เสียงกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่นปานประหนึ่งฟ้าจะถล่มก็ได้คำรามขึ้นอีกครั้ง...ม่าน...บานเกล็ด กรอบหน้าต่างกระเด็นฉิว เหมือนกับโดนพายุหมุน หุ่นโชว์ชุดกิโมโนกระเด็นถอยหลังออกมาแล้วกลิ้งอยู่ที่พื้น...ส่วนหน้าอกที่มีลักษณะอวบอูมเหมือนกับทรวงอกผู้หญิงแหว่งออกไปทั้งกระบิ

แนวกระสุนที่ประสานการยิงอย่างหนักหน่วงทะลุทะลวงสรรพสิ่งภายในห้องรับแขกแตกกระจายเสียงดังเปรื่องปร่างไม่ขาดระยะ นอร์แมนซึ่งโหย่งตัวลุกขึ้นรีบกระโจนลงไปซุกหน้าอยู่กับพื้น ปากก็สบถออกมาอย่างฉุนเฉียว

" - ฉิบหายเราโดนล้อมหมดแล้ว ผู้กอง...ยังเหลือด้านหลังบ้านอีกทางเดียว...ถ้าไม่รีบแหกออกไปทั้งผมและผู้กองป่นแน่ ๆ "

ผู้กองอังคารยังไม่ทันจะตอบ ประสาทหูก็ได้ยินเสียงกระหึ่มของอสนีบวาตฟาดเปรี้ยงขึ้นมา ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อม ๆ กับพายุฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างกับท้องฟ้าร่วง ละอองสาดเข้ามาในหน้าต่างมองเห็นเป็นสายอยู่ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ที่ฉายกราดอยู่ไม่ขาดระยะนั้น

" - เทวดาโปรดแล้ว - หัวหน้า หน่วงเวลาเอาไว้อีกนิดแล้วค่อยแหกออกไป "

ผู้กองอังคารพูดพลางคลานเร็วจี๋เข้าไปทางมุมห้องน้ำ ในขณะที่นอร์แมนลากโซฟาร์อีกตัวเข้าไปชิดหน้าต่างแล้วกระหน่ำยิงด้วยปืนเก็บเสียงลงไปยังดวงไฟที่สาดขึ้นมาอยู่นั้น...

" ปึด..ปึด..ปึด...ปึด "

สี่นัดซ้อน ๆ สปอร์ตไลท์สองดวงที่สาดจ้าอยู่ดับมืดลงทันที

นอร์แมนมองดูแสงไฟจากลำกล้องปืนที่วอมแวมอยู่ตามจุดต่าง ๆ แล้วขบกรามด้วยความเดือดดาลใจ ขยับปืนจ้องเขม็ง แต่ยังไม่ทันจะยิงผู้กองอังคารก็ลุกขึ้นยืนสลุตกระสุนลงไปยังแสงไฟวอมแวมอยู่ตามแนวรั้วเสียก่อน...

" - ยิงเลย...หัวหน้า...แต่ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ผมขอร้องหัวหน้าให้ยิงสูง ๆ หน่อยนะครับ "

ผู้กองอังคารพูดพลางพลิกตัวไปตามพื้นสามสี่ทอดแล้วผลุบตัวเข้าไปในห้องน้ำปิดประตู โหย่งตัวขึ้นเปิดหน้าต่างเผยอดูเหตุการณ์ทางเบื้องหลังด้วยอาการระมัดระวัง

ฟ้าแลบแพล็บ ๆ...ความสว่างไสวที่ขอบฟ้าทำให้เขามองเห็นร่างที่วอมแวมอยู่ตามรั้วพู่ระหงเข้าอย่างถนัดถนี่

ลักษณะการแต่งตัว ไม่ใช่ตำรวจอย่างแน่นอนเพราะทั้งสี่คนที่ซุ่มคอยที่อยู่ที่นั้นไม่สวมหมวก อันผิดปกติธรรมดาสามัญของตำรวจที่ออกปฏิบัติหการในเวลากวาดล้างอย่างสิ้นเชิง

แล้วพวกมันทั้งหมดเป็นใคร ? นี่คือปัญหาที่ผู้กองอังคารยังขบคิดไม่ออกอยู่ในขณะนั้น...

รึว่าจะเป็นไอ้โล้นกับไอ้แสบที่พาลูกทีมเข้ามาช่วยเหลือเขากับนอร์แมนทางด้านหลัง

ปัญหาอันหนักอึ้งประดังเข้ามาในคราวเดียวกัน ผู้กองอังคารใช้ความคิดหนัก ในที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาดวินิจฉัยลงไปได้ในทันทีทันใดว่า พวกมันทั้งหมดเป็นคนของ เค.จี.บี. ที่ย้อนรอยเข้ามาซุ่มเล่นงานเขาอย่างแน่นอน

" - หัวหน้า...ไอ้พวกเหี้ยหนักแผ่นดินซุ่มอยู่ที่รั้วพู่ระหงโน่นสี่คน ถ้าเราแหกออกไปไม่ได้ภายในสองสามนาทีนี้...ไม่โดนตำรวจซิวก็โดนไอ้พวกเหี้ยโน่นฆ่าตายหมด "

อังคารพูดพลางคลานออกมาจากห้องน้ำ นอร์แมนคลานเร็วจี๋เข้ามาสมทบ ยังไม่ทันจะพูดอะไร ทั่วทั้งห้องก็สะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนกับแผ่นดินไหว

เก้าอี้รับแขก กรอบรูป...ตู้เก็บเหล้า และเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ภายในห้องรับแขก ฉีกกระจุยกระจายไม่มีชิ้นดีเนื่องจากอำนาจของ "เอ็ม.79" ที่ชิมลางเข้ามาเป็นนัดแรกนั้น

ผู้กองอังคารกับนอร์แมนล้มลุกคลุกคลานมายังอีกด้านหนึ่งของหน้าต่าง แล้วไปหมอบอยู่ข้าง ๆ กัน หายใจหอบฟืดฟาดเหมือนกับคนที่ผ่านการวิ่งระยะไกลมาอย่างสด ๆ ร้อน ๆ

ฟ้าคะนองเบื้องนอกแลบขึ้นวูบหนึ่ง ทำให้มองเห็นใบหน้าอันชุ่มไปด้วยละอองน้ำฝนของกันและกันได้ชั่ววิบตา

และวิบตานั้นเอง นอร์แมนก็มองเห็นผู้กองอังคารกำวัตถุทรงกลมสีทึบอยู่ในอุ้งมือที่เปียกชุ่มนั้น

" เอ็ม. 26 "

นอร์แมนอุทานออกมาเบา ๆ แล้วพูดต่อไปอีก

" - นั่นคุณจะใช้ลูกระเบิดแหกด้านหลังออกไปรึยังไง ถ้าเกิดเป็นตำรวจหรือพวกมิสเตอร์โล้นละก็เรื่องมันจะยุ่งนา...ผู้กอง"

" - ไม่ใช่ตำรวจ...และก็ไม่ใช่ไอ้โล้น ผมรู้สันดานลูกน้องของผมดี...ถ้าเป็นไอ้โล้นป่านนี้มันพาพวกแหกเข้ามาเล่นสงกรานต์เลือดกับผมที่นี่แล้ว...ประเดี๋ยวเถอะ กูจะสมนาคุณไอ้พวกเหี้ยหนักแผ่นดินให้แสบไส้ไปเลย"

ประโยคสุดท้าย ผู้กองอังคารคำรามออกมาในเงามืดเห็นแต่ฟันขาวสว่างโพลงบนดวงหน้าที่ซชุ่มไปด้วยละอองฝนนั้น

" - ผู้กองจะเอายังไง...ขืนทะเร่อทะร่าออกไปทางประตูหลังแบบนี้เสร็จมันแน่ "

ผู้กองอังคารนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก็โพล่งออกมาเหมือนอย่างตัดสินใจเด็ดขาด

" - ผมจะวิ่งชาร์จออกไปทางหน้าต่างด้านหลัง หัวหน้าคอยคุ้มกันในห้องน้ำก็แล้วกัน...ดวงดีก็รอด ดวงจู๋ก็ให้พวกมันฝังผมอยู่ที่ขอบรั้วโน่น...หัวหน้าเข้าไปดูในห้องน้ำก่อนดีกว่าครับ "

อังคารพูดพลางกลิ้งตัวเข้าไปหมอบอยู่ที่หน้าต่างด้านที่เคยปีนออกไปฆ่าคนทำสวน ส่วนนอร์แมนคลานเร็วจี๋เข้าไปที่โต๊ะรับแขกแล้วคว้า "เอ็ม. 72" และปืน "เอ็ม. 16" ที่วางอยู่ติดมือเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

จากหน้าต่างที่เผยออกเล็กน้อย นอร์แมนสามารถตรวจการณ์เห็นเงาวอมแวมของกลุ่มคนทั้ง 4 อย่างถนัดชัดเจน เขาให้สัญญาผู้กองอังคารออกไปเบา ๆ แล้วยก เอ็ม. 16 ขึ้นพาดขอบหน้าต่าง รอจังหวะอยู่ด้วยความใจเย็น

ผู้กองอังคาร ถอดกลอนหน้าต่างด้านหลังออกแล้วชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ถอยหลังกลับมาหยิบหุ่นโชว์เสื้อกิโมโนทุ่มโครมออกไปทางหน้าต่างสุดแรงเกิด

" โครม "

หุ่นโชว์เสื้อลอยละลิ่วหลุดออกไปทางหน้าต่างพร้อมกับที่ประสาทหูของเขาได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะราวกับฟ้าผ่าดังสวนเกียวกราวออกมาจากภายนอกบริเวณรั้วพู่ระหง

ผู้กองอังคารแยกเขี้ยวอยู่ในความมืด แล้วหัวเราะหึ ๆ ออกมาอย่างสะใจ เมื่อได้ยินเสียงปืน "เอ็ม. 16" ของนอร์แมนคำรามกึกก้องอยู่ในห้องน้ำ

เสียงรัวถี่ยิบอยู่ครู่หนึ่งก็เงียบหายเป็นปลิดทิ้งพร้อม ๆ กับนอร์แมนวิ่งหน้าเหรอหราออกมา ปากก็ร้องตะโกนขึ้นมาสุดเสียง

" ผมเป่ามันดับไปหมดแล้วผู้กอง เร็ว...วิ่งชาร์ทออกไปเลย "

แทบไม่ต้องพูดอะไรกันให้เสียเวลา...สถานการณ์ที่กำลังบังเกิดขึ้นบีบบังคับให้เขาต้องตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง...พอสิ้นคำพูดของนอร์แมนสัญชาตญาณอันเคยชินก็บังคับให้เขากระโจนผึ๋งผ่านหน้าต่างออกไป เหมือนกับนักกายกรรมชั้นเยี่ยมของโลก

ผู้กองอังคารหกตัวกลับกลางอากาศแล้วหล่นตุบลงไปนอนจุกแอ็ด ๆ อยู่ในซุ้มพุทธรักษาที่รกรุงรัง ตามติด ๆ ด้วยหัวหน้าข่าวกรองค่ายรามสูรที่กระโจนลงมานอนพังพาบอย่างชนิดดูไม่ออกว่า ออกหัวหรืออกก้อยกันแน่

เสียงคำรามของกระสุนดังเซ็งแซ่อยู่เบื้องหน้าประกายไฟแลบเป็นทางแนวกระสุน ฉีกกอพุทธรักษาที่อยู่ข้าง ๆ บุคคลทั้งสองแหลกยับเป็นทาง...

นอร์แมนคลานฉากแวบออกไปทางขวามือผู้กองอังคารข่มความจุกเสียดคลานตามไปติด ๆ ตลอดเวลาที่พยายามปลีกหนีจากหัตถ์พญามัจจุราชอยู่นั้น เขามืดไปหมดทั้งแปดด้าน มองทั้งแปดด้าน มองเห็นแต่สภาพของตัวเองที่คลานกระเสือกกระสนฝ่าแนวกระสุนและพายุฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนกับจะต้อนรับวิญญาณของเขาไปยังขุมนรก

" - ไอ้ฉิบหาย ผมนึกว่าเก็บพวกมันหมดแล้ว...ที่ไหนได้ ยังเหลืออยู่อีกจมหูเลยผู้กอง...เจ็บหรือเปล่าไหวมั้ย ? "

ประโยคสุดท้าย นอร์แมนถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับหยุดนิ่งคอยผู้กองอังคารอยู่ที่กระถางลายครามขนาดใหญ่ที่แตกครึ่งใบ ใส่ดินจนเต็มแล้วมีต้นมะนาวปลูกอยู่งามสะพรั่ง

ผู้กองอังคารสั่นหน้าในทำนองว่า ไม่เป็นอะไรแล้วกระชากร่างของนอร์แมนลงไปที่ซอกกระถางเมื่อมองเห็นแสงไฟจากปากลำกล้องปืนที่บริเวณรั้วพู่ระหง สว่างแลบขึ้นมาเป็นทางอีก

ต้นมะนาวขาดฉิวเหมือนกับโดนมฟาดด้วยดาบซามูไรกระสุนบางนัดทะลุกระถางลายคราม แต่เนื่องจากอำนาจของดินที่อัดแน่นอยู่ในกระถางทำให้บุคคลทั้งสองรอดพ้นจากอำนาจทะลุทะลวงของกระสุนปืนไปอย่างหวุดหวิดเหมือนกับปาฏิหาริย์

" - นิ่งอยู่กับที่ก่อนหัวหน้า...บางทีมันอาจจะนึกว่าพวกเราโดนกระสุนชุดนี้ก็ได้"

ผู้กองอังคารพูดพรางดึงห่วงสลักนิรภัยของ " เอ็ม. 26 " ออกโยนทิ้ง แล้วกำทูตมฤตยูผิวเกลี้ยงเอาไว้แน่น

ชั่วอึดใจก็มีเสียงพูดกันพึมกำอยู่ไม่ห่างเท่าใดนักพร้อมกับมีแสงไฟฉายสาดเข้ามาที่กระถางลายครามเป็นทาง

ผู้กองอังคารแยกเขี้ยว คลายมือที่กำลูกระเบิดออกแล้วปล่อยให้กระเดื่องตีกลับเสียงดังเพลียะต่อจากนั้นก็นับออกมาเบา ๆ

"หนึ่ง...สอง...สาม"

พอนับถึงสาม ผู้กองอังคารก็โยนลูกระเบิดลอยละลิ่วไปยังแนวพู่ระหงทันที

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในขณะที่กระเดื่องตีกลับ ระเบิดมือจะใช้เวลาทำงานประมาณ 4 วินาทีจึงจะระเบิด...ผู้กองอังคารตัดสินใจเสี่ยงกับความตาย ด้วยการถ่วงเวลาให้เหลือเพียงหนึ่งวินาที จึงโยนลูกระเบิดออกไป

และมันก็ได้ผลเกินคาด แทนที่ลูกระเบิดจะตกแล้วระเบิด กลับระเบิดกลางอากาศ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

" บึ้ม "

สะเก็ดระเบิดสาดลงมาจากเบื้องบนเหมือนกับห่าฝนเหล็ก...เสียงแหกปากร้องดังขึ้นมาฟังไม่ได้ศัพท์...นอร์แมนซึ่งหิ้ว " เอ็ม. 16 " ลงมาด้วยผลุดลุกขึ้นยิงสวนตอบออกไปอย่างชนิดไม่เลี้ยง

ไม่มีเสียงปืนนยิงตอบกลับมาจากเพชฌฆาตของ เค.จี.บี. สังเกตเห็นแต่แสงไฟฉายหล่นวูบจากระดับเดิมลงไปทอดลำแสงอยู่ที่พื้น และเปิดค้างอยู่เช่นนั้นอย่างน่ากังขา

นอร์แมนฟุบตัวลงหมอบนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก็กระตุกแขนผู้กองอังคาร พอทั้งคู่ขยับตัวลุกขึ้นทั่วทั้งอาณาบริเวณก็สว่างไสวไปด้วยแสง " แฟลร์ " ซึ่งถูกยิงโด่งขึ้นมาลอยคว้างอยู่เหนือศีรษะนั้น...

" - อย่าเพิ่ง...หัวหน้า...รอให้ "แฟลร์" ดับเสียก่อน...ค่อยไป"

ผู้กองอังคารกระซิบพลางกดศีรษะที่ใสแจ๋วเหมือนกับกระจกของนอร์แมนให้ซุกต่ำลงกับพื้น

แฟลร์ขนาด 10,000 แรงเทียน เริ่มลอยต่ำลงทุกขณะ พอร่มชูชีพขนาดเล็กที่พยุงลูกแฟร์กระทบพื้นสิ้นแสงลง ทั้งคู่ก็กระโจนผึ๋งขึ้นจากกระถางลายครามวิ่งเข้าหาแนวรั้วพู่งระหงสุดแรงเกิด

ก่อนจะถึงรั้วพู่ระหงเพียงเล็กน้อย ลูกแฟลร์ก็ถูกยิงโด่งขึ้นไปสว่างจ้าอยู่เหนืออาณาบริเวณดังกล่าวอีกครั้งรัศมีที่สว่างไสวของมันสาดให้เห็นร่างทั้งสองที่กำลังตาลีตาเหลือกวิ่งหนีอย่างถนัดชัดเจนเหมือนกับกลางวัน

เสียงระเบิดถี่ยิบจากปืนตำรวจครางระงมขึ้นอีกครั้ง...เป้าหมายก็คือร่างทั้งสองซึ่งกำลังปาฏิหาริย์ลอยละลิ่ว กระโดดข้ามรั้วพู่ระหงไปยังอีกด้านหนึ่งอย่างชนิดลืมตาย

ร่างของผู้กองอังคารหมุนคว้างผ่านพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แล้วร่วงตูมลงไปในคูน้ำที่กำลังเอ่อด้วยน้ำฝนนั้น...

ผู้กองอังคารจมดิ่งลงไปก้นบ่อ เสียงปืนที่ระเบิดเอ็ดอึงเหมือนกับโลกถล่มเงียบหายไปราวกับปลิดทิ้ง พอร่างของเขาสัมผัสกับโคลนก้นบ่อ ก็ขยุ้มมือลงไปในโคลนกดตัวเองแน่นิ่งอยู่ในน้ำ ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดชั่วคราว...ชั่วอึดใจก็มีมือลึกลับควานเข้ามากระทบกับร่างของเค้า แล้วก็ถูกดึงขึ้นมาจากผิวน้ำ ต่อจากนั้นก็โดนลากเข้าไปในกอหญ้าทึบที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม

" - ถูกปืนหรือเปล่า...ผู้กอง "

นอร์แมนกระซิบถามพลางพยุงเข้าปีก พาเขาเดินบุกหญ้าทึบ มุ่งหน้าไปยังความมืดทะมึนที่อยู่เบื้องหน้า

ประสาททุกส่วนเริ่มชาดิก...บริเวณแผ่นหลังเหนือบ่าขวาขึ้นมาเริ่มปวดหนึบ ๆ เหมือนกับผิวหนังจะระเบิดความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า ขณะนี้เขาโดนกระสุนปืนจากตำรวจเข้าให้แล้ว

" - รู้สึกว่าจะโดน...หัวหน้า...ไม่เป็นไรผมพอ...อึบ "

ประโยคสุดท้าย...คำพูดของเขาหายไปดื้อ ๆ เหมือนกับหนังขาด ประสาทที่ตื่นเพริดอยู่ทำท่าจะเป็นอัมพาตไปโดยกะทันหัน

" - ผู้กอง...ผู้กอง...แข็งใจหน่อย...อีกนิดเดียวก็พ้นดงหญ้าแล้ว"

เสียงนอร์แมนดังแว่ว ๆ อยู่ที่ริมหู...ผู้กองอังคารกัดกรามแน่น โซซัดโซเซตามนอร์แมนไปยังหุบร่องน้ำซึ่งรกรุงรังไปด้วยหญ้าและผักตบที่หนาแทบจะเหยียบไม่ถึงพื้น

เสียงปืนที่ครางระงมอยู่เบื้องหลังค่อย ๆ ห่างลงแล้วก็เงียบสงัดลงเป็นปลิดทิ้ง

เงียบ และเงียบจนอังคารได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ความเจ็บทวีขึ้นจนกระทั่งเขาต้องกัดริมฝีปากแน่น ก้าวแต่ละก้าวดูเหมือนจะลำบากยากเย็น จนกระทั่งตัวเขาเองทรุดลงไปในน้ำที่ลึกแค่หัวเข่าหลายต่อหลายครั้ง

มีเสียงสวบสาบดังแว่ว ๆ มาจากดงทึบเบื้องหน้า...นอร์แมนกระตุกร่างของผู้กองอังคาร ลงไปนอนอยู่ในน้ำ...แล้วกระซิบเบา ๆ

" - ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร...ผมได้ยินแต่เสียงผู้กองนอนเฉย ๆ อยู่นี่ก่อน ประเดี๋ยวผมจัดารเอง "

อังคารขบกรามแน่น พยายามจะพูด แต่พูดไม่ออกเขาอึกอัก ๆ อยู่ครู่หนึ่งก็ทิ่มหน้าลงไปใต้น้ำ ดิ้นขลุกขลัก ๆ สำลักน้ำอยู่ใต้แพผักตบนั่นเอง

นอร์แมนหิ้วคอเสื้อผู้กองอังคารขึ้นมาเหนือน้ำแล้วใช้มือข้างหนึ่งดึงร่างของผู้กองเข้ามาพิงที่หน้าอก สายตาจ้องเขม็งไปเบื้องหน้าด้วยความระแวดระวัง

เงาของคน 3 คน สวมเสื้อฝนเดินท่อม ๆ อยู่เบื้องหน้า นอร์แมนขยับตัวยกปืนขึ้นเล็ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจกดศีรษะของผู้กองอังคารลงบังกอหญ้า พยายามทำตัวให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ นิ่งเงียบรอจังหวะอยู่ท่ามกลางสายฝนซึ่งกระหน่ำลงมาเหมือนท้องฟ้ารั่วนั้น

" ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง "

เอ็ม. 16 คำรามแหวกพายุฝนขึ้นมาดังสนั่นหวั่นไหว...จากตำแหน่งไฟแลบ นอร์แมนมองเห็นร่างในชุดเสื้อคลุมผงะล้มกระเด็นไปคนละทิศละทาง แล้วลับหายไปในกอหญ้าที่หนาทึบนั้น

ความเงียบคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง นอร์แมนตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน จนทำอะไรไม่ถูก เขาหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อย ๆ เขย่าร่างของอังคารพลางก้มลงไปกระซิบที่ใบหู

" - หมดแล้ว...ไม่รู้ว่าพวกไหนมันยิง ถ้าเป็นพวกเราประเดี๋ยวคุณก็ปลอดภัย...ทนหน่อยครับ "

อังคารยังไม่ทันจะตอบก็มีเสียงตะโกนดังลั่นอยู่ทางซ้ายมือบริเวณที่มีแสงไฟแลบตอนยิงปืนนั้น...

" - เจ้านาย ลุกขึ้นได้แล้ว นี่ผม ไอ้โล้นพูด"

เหมือนกับสวรรค์โปรด...อังคารซึ่งได้รับความเจ็บปวดแทบหมดสติทะลึ่งพรวดขึ้นมายืนด้วยความดีใจสุดขีด ปากก็ละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน

" กูอยู่นี่...ไอ้โล้น...กู..."

ยังไม่ทันจะจบประโยค ร่างของผู้กองใจเพชรก็ล้มฟาดลงกับพื้นน้ำสิ้นสติไปในบัดดล

ไอ้โล้น...ไอ้แสบ และกลุ่มทีมของ ซี.ไอ.เอ. อีก 2 คน ลุกพรึ่บขึ้นมาจากที่ซ่อนซึ่งอยู่ห่างจากนอร์แมนไปทางซ้ายมือไม่ถึงสิบเมตร ทุกคนปราดเข้ามาหานอร์แมนแล้วอุ้มร่างของผู้กองอังคารขึ้นมาด้วยความตกใจ

"ผู้กอง...ผู้กอง...ผู้กองเป็นอะไร...เจ้านายผู้กองของผมเป็นอะไรครับนี่" ไอ้แสบหันไปถามนอร์แมนพลางเขย่าร่างของลูกพี่อยู่ไปมา

" - รู้สึกว่าจะโดนยิง แต่คงไม่มากนัก พาลูกพี่ของคุณออกไปจากนี่ได้แล้ว "

ลูกน้องของไอ้โล้น 2 คน ปราดเข้ามาประคองปีกผู้กองอังคารแล้วพาเดินแหวกสายฝนตัดทางออกไปยังความทะมึนที่มองเห็นลิบ ๆ อยู่เบื้องหน้า

" - ผมเห็นเจ้านายกับผู้กองตั้งแต่ตอนพยุงกันออกมาจากดงหญ้าโน่นแล้ว...ก็พอดีเห็นไอ้พวกเหี้ย 3 ตัวนั่นก่อน...แล้วผู้หญิงเล่าครับ...เจ้านาย"

ไอ้โล้นกระซิบถามเบา ๆ แต่สายตาจ้องมองไปที่ร่างของผู้กองอังคารซึ่งถูกประคองเดินอยู่เบื้องหน้าด้วยความเป็นห่วง

" - เกือบพัง มิสเตอร์โล้น...ตำรวจระเบิดสถานีของเราป่นปี้ไปหมดแล้ว...รถของเราจอดอยู่ไกลมั้ย"

ประโยคสุดท้าย นอร์แมนตัดบทถามขึ้นมาเหมือนกับจะหันความสนใจในเรื่องผู้หญิงของไอ้โล้นออกไป

" - โน่นครับ...จอดซุ่มอยู่ที่หน้ารั้วของบ้านจัดสรรโน่น...ที่มีแสงไฟกระพริบอยู่นั่นแหละครับ "

ไอ้โล้นพูดพลางดึงไฟฉายออกมาจากกระเป๋าหลงเปิดสวิทช์เป็นสัญญาณสั้นยาวสั้นยาวสองครั้งตอบกลับไปแล้วยัดไฟฉายลงกระเป๋าปากก็สบถออกมาไม่ขาดระยะ

" - สงสัยเทวดาเพิ่งจะหายเป็นนิ่ว ไอ้ห่าตกได้ตกดีทีอีตอนจวกกันที่สถานีละก็ไม่ตก...หัวหน้า อาการลูกพี่ของผมท่าทางจะแย่มั้ยครับ"

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นขยับตัวเข้าไปชิดหัวหน้านอร์แมน แล้วกระซิบถามด้วยท่าทางห่วงใย

" - ผมก็ไม่รู้เหมือวสนกัน ไม่รู้ว่าผู้กองแกโดนกระสุนตำรวจ หรือว่ากระสุนของ เค.จี.บี....ตามสายตาของผม - ผมคิดว่าถ้าถึงรังของเราภายในครึ่งชั่วโมงนี้ ผู้กองปลอดภัยแน่ นั่นพวกเราออกมารับแล้ว "

ประโยคสุดท้าย นอร์แมนพูดพลางพยักพเยิดให้ไอ้โล้นดูกลุ่มคน 3 คน ที่เดินตะคุ่ม ๆ ออกมาจากบริเวณที่จอดรถ

" หัวหน้า "

ไอ้โล้นกระซิบพลางกระตุกแขนเสื้อของนอร์แมนค่อนข้างแรง พร้อมกับจ้องสายตาไปที่ร่างตะคุ่ม ๆ อยู่ในสายฝนด้วยความเคลือบแคลงใจ

" - มีอะไร...มิสเตอร์โล้น "

นอร์แมนกระซิบตอบพลางเอื้อมมือไปหยิบปืนจากซอกเอวขึ้นมากระชับอยู่ในมือ

" - ไม่ใช่...ไอ้คำกับไอ้ส่ง...มันเป็นใครก็ไม่รู้...สงสัยสนุกแน่...เฮ้ย ไอ้แสบมึงสั่งให้ไอ้สองคนนั่นหยุดคอยก่อน...พวกกูจะนำหน้าขึ้นไป สงสัยพวกเราที่รถโดนพวกมันฆ่าถวายหมดแล้ว"

ไอ้โล้นกระซิบเครียดพร้อมกับเผ่นพรวดขึ้นไปอย่างใจร้อน...

บา ! ชะตาชีวิตของเพชฌฆาตรับจ้างเดนตายอย่างผู้กองอังคารทำไมถึงออกรสชาติสะเด็ดสะเด่าแบบนี้หนอ

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 15 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 16:54  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19422

คำตอบที่ 85
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 16

พายุฝนที่กระหน่ำลงมาหยั่งกับท้องฟ้ารั่วเริ่มซาลง แต่ทว่ายังไม่สนิทเลยที่เดียวนัก มันยังคงตกปรอย ๆ อยู่ไม่ขาดระยะฟ้าที่แลบแปร๊บ ๆ อยู่ตามขอบฟ้าทำให้กลุ่มของผู้กองอังคารสามารถมองเห็นความผิดปกติของผู้ที่เดินอยู่เบื้องหน้าได้อย่างบังเอิญ

ไอ้แสบจ้ำพรวด ๆ เดินตามไอ้โล้นไปติด ๆ พอทันกันมันก็กัดกรามกระซิบออกไปอย่างเหี้ยมเกรียม

" - ไอ้โล้น ของมึงคนซ้าย ของกูคนขวา พอพ้นกอหญ้าข้างหน้านั่นล่อแม่มันเลย "

ไอ้โล้นไม่ตอบ มันชะลอฝีเท้าลงนิดนึง แล้วหันกลับมาบอกพรรคพวกทั้งสองที่กำลังหิ้วปีกผู้กองอังคารอยู่ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

" - เฮ้ย พออั๊วกับไอ้แสบเคลื่อนที่ถึงกอหญ้าข้างหน้าโน่น ให้ลื้อพาผู้กองหมอบลงทันที...อย่าเสือกโงหัวขึ้นมานะมึง โดนยิงตายห่าไม่รู้ด้วย...หัวหน้าคุ้มกันข้างหลังด้วยนะครับ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นหันมาพูดกับนอร์แมน แล้วจ้ำพรวด ๆ ตามไอ้แสบขึ้นไปโดยไม่ยอมฟังคำตอบจากนอร์แมนอีก

ฟ้าแลบ แปร๊บ...พร้อม ๆ กับที่ไอ้โล้นกับไอ้แสบเคลื่อนที่ถึงกอหญ้าพอดิบพอดี !

ผู้กองอังคารถูกผลักลงกับพื้นน้ำ... นอร์แมนกระโจนพรวดออกไปซุกกายนิ่งอยู่ที่กอหญ้าทางซ้ายมือ ส่วนไอ้โล้นกับไอ้แสบงัดปากกระบอกปืน เอ็ม. 16 ซึ่งถือเอาปากกระบอกทิ่มลงเบื้องล่างตลอดเวลา เพื่อกันน้ำฝนเข้าขึ้นมาเสมอแนวตะโพก แล้วใช้มือข้างหนึ่งเลื่อนปุ่มบังคับการยิงไปที่ตำแหน่งอัตโนมัติเต็มตัว เหนี่ยวไกสาดกระสุนเข้าใส่ร่างทั้งสองที่เดินมุ่งหน้าเข้ามาด้วยความรวดเร็วจนมองดูแทบไม่ทัน

" -ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง"

ประกายไฟสีเขียวปนส้มแลบออกมาเป็นทางพร้อม ๆ กับเสียงเกรี้ยวกราดของทูตมฤตยูคำรามขึ้นมาเหมือนกับฟ้าพิโรธ ร่างทั้งสองซึ่งเดินย่ามใจอยู่เบื้องหน้าผงะเด้งขึ้นสุดตัวแล้วกระเด็นแวบไปคนละทางาองทางจมหายไปในความหนาทึบขอกอหญ้านั้น...

ไอ้แสบขยับตัว ทำท่าเหมือนกับจะวิ่งชาร์ทออกไปเบื้องหน้า ไอ้โล้นซึ่งยืนจังก้าอยุ่ข้าง ๆ ยกเท้าถีบตะโพกเต็มแรง

ร่างของไอ้แสบเซถลาออกไปอย่างเสียหลัก แล้วล้มคะมำลงกับพื้นน้ำ ซึ่งพร้อม ๆ กับที่ไอ้โล้นทุ่มตัวลงไปนอนอยู่ข้าง ๆ กัดกรามกระซิบออกมาอย่างเหรี้ยมเกรียม

" - ใจเย็น...ไอ้เหี้ยมแสบ...ประเดี๋ยวก็โดนพวกมันที่รถโน่นจวกตายห่าหรอกมึง เร็ว - คลานออกไปทางซ้ายมือ กูจะแยกไปทางขวา ระวังไอ้สองตัวที่เรายิงเมื่อกี้นี้ด้วย" ไอ้โล้นพูดพลางหันกลับมามองทางเบื้องหลัง แล้วผิวปากเป็นอาณัติสัญญาณเบา ๆ

นอร์แมนชะโงกศีรษะขึ้นมาดูนิดนึง...ไอ้โล้นยกฝ่ามือชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วลดมือลงเสมอระดับเอวเป็นสัญญาณให้กลุ่มของนอร์แมนหมอบรออยู่ก่อน ต่อจากนั้นมันก็หันมาพยักหน้ากับไอ้แสบแล้วคลานแยกออกไปทางขวามืออย่างระมัดระวัง

ไอ้แสบล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบปลอกพลาสติกออกมาสวมปากลำกล้องปืนแล้วคลานแหวกกอหญ้ามุ่งหน้าเข้าไปหาบริเวณที่มือสังหารของ เค.จี.บี. ที่เพิ่งจะโดนกระสุนปืนล้มหายลงไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ

เกือบห้านาทีเต็ม ๆ ไอ้แสบก็คลานเข้าไปถึงร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นน้ำบริเวณที่ติดกับขอบถนนของหมู่บ้านจัดสรรพอดิบพอดี

เพียงแว่บเดียวที่มองเห็นลักษณะท่าทางของมือปืน เค.จี.บี. ... มันก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าขณะนี้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายได้ออกจากร่างที่ยับเยินไปด้วยกระสุนนั้นแล้ว

ด้วยความรอบคอบ...ไอ้แสบถอดปลอกพลาสติกที่ปากลำกล้องออกแล้วจี้หมับเข้าไปที่ท้าทอย ต่อจากนั้นก็กระทุ้งลำกล้องลงไปค่อนข้างแรง เมื่อไม่มีปฏิกริยาตอบรับก็ใช้มือขยุ้มลงบนปอยผมที่เป็นกระเซิงดึงขึ้นมาเต็มแรงแล้วพลิกร่างของเพชฌฆาต เค.จี.บี ให้หงายขึ้น ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อไป ก็ได้ยินเสียงดีดมือเบา ๆ อยู่ทางด้านขวามือบริเวณที่เพื่อนคู่หูเพิ่งคลานหายเข้าไปหยก ๆ

ไอ้แสบค้นร่างกายมือปืนผู้เคาระห์ร้ายอย่างลวก ๆ เมื่อไม่พบหลักฐานที่สำคัญก็คลายเร็วจี๋เข้าไปหาไอ้โล้น ซึ่งมองเห็นวอมแวมอยู่ในความสลัวทางขวามือนั้น

" ไอ้แสบมึงดูที่ท้องแขนของไอ้นี่ซิวะ...เสือกมีหมายเลข " 174 " สักอยู่ด้วย...มึงรีบคลานกลับไปดูศพโน่นเร็วเข้า ถ้ามีแบบเดียวกันล่ะก็เป็นข่าวใหญ่ที่เดียวแลยมึง "

ไอ้โล้นพูดพลางบุ้ยใบ้ให้เพื่อนค่หูทำตามคำสั่งของมัน...

ไอ้แสบหันกลับบ่นพึมพำ แล้วคลานลุยน้ำกลับไปที่ศพมือปืน เค.จี.บี. อย่างรวดเร็ว

ชั่วอึดใจใหญ่ ๆ ไอ้แสบก็ตาลีตาเหลือกกลับมาพร้อมละล่ำละลักพูดแทบไม่เป็นภาษาคน

" - ชัดเลย ไอ้โล้น ไอ้ศพเหี้ยโน่นสักตัวเลข " 174 " ที่ท้องแขนด้านซ้ายเหมือนกับไอ้ห่านี่ไม่มีผิด กูว่ามันจะชักจะยังไง ๆ เสียแล้วนาเพื่อน "

ไอ้โล้นไม่ตอบมันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็เอี้ยวตัวชักมีดออกจากซองพกแล้วฟาดฉับลงไปบนแขนของศพ เค.จี.บี. สุดแรงเกิด

" ฉัวะ "

แขนขวาสะบั้นออกจากกันเหมือนโดนขวานจาม...ไอ้โล้นหยิบแขนข้างที่ขาดยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงใต้หัวเข่า ปากก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

" - ไอ้สองตัวนี่เป็นทหารเวียดนามเหนือจากกองพันที่ 174 ที่เคยไล่จวกทหารรับจ้างแหลกลาญมาแล้วในสมรภูมิลาว กูเคยฆ่าพวกมันที่สนามบิน ซำทอง...ทุกคนมีรอยสักหมายเลข " 174 " แบบนี้ กูขี้เกียจรายงานก็เลยตัดแขนที่มีรอยสักไปให้ฝรั่งมันดู...มันจะได้หายโง่เสียที่ว่าขณะนี้พวกเราไม่ได้รบกับคนไทยด้วยกันอีกแล้ว...พวกเรากำลังรบกับทหารเจนศึกที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวียดนามเหนือ ไปโว้ย...เคลื่อนที่เข้าไปที่รถโน่นได้แล้ว กูว่าอย่างน้อยที่สุดจะต้องมีพวกมันเหลืออยู่ไม่น้อยกว่าสองคนขึ้นไป"

" - มึงจะเดินโท่ง ๆ ขึ้นไปแบบนี้...ละรึไอ้โล้น...พอเข้าแสงไฟข้างหน้าโน่น...ถ้าพวกมันมีจริงหยั่งที่มึงคาดการณ์เอาไว้ละก้อ กูกับมึงป่นแน่...ไอ้โล้นมึงมองเห็นร่องน้ำที่ขนานกับขอบถนนนั่นมั้ย...กูว่าทางที่ดีบุกเข้าหามันทางนั้นดีกว่า "

ไอ้แสบแย้งขึ้น พร้อมกับเสนอแนะวิธีที่น่าเลื่อมใส

" - กูว่าขณะนี้พวกมันรู้ตัวแล้ว...เสียงปืนที่สนั่นอยู่เมื่อกี้นี้มันคงจะมองเห็นเหตุการณ์อีตอนที่พรรคพวกของมันโดนยิงได้ชัดเจนพอสมควร...ไอ้ห่า กูก็ร้อนไม่เข้าท่า นี่ถ้ามึงไม่เตือนมันคงล่อกูเละหน้าดูชม...เฮ้ย..ถ่วงเวลาดูท่าทีมันก่อน "

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นตัดบทขึ้นอย่างห้วน ๆ

" - กูสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง...ไอ้โล้น...ไอ้สัตว์สองตัวที่พวกเราฆ่าตายเมื่อกี้นี้...ทำไมไม่ดักเล่นงานเราอยู่ที่รถโน่น...ทำไมมันถึงเดินฝ่าสายฝนเข้ามาในบึงห่าเหวนี่...กูสงสัยจริง ๆ พับผ่าวะ "

ไอ้แสบไม่วายที่จะซักต่อไปอีกด้วยความกังขาใจ

" - ซักจริ๊ง ไอ้กร๊วกนี่...ก็ส่วนล่วงหน้าของมันเคลื่อนที่เข้าไปตอกผู้กองของเราที่สถานีโน่นอยู่ก่อนแล้ว...พวกมันคงจะติดต่อประสานงานกันไม่ได้ ก็เลยตามเข้ามาหวังจะเป็นส่วนหนุน ดีนะมึงนะ ที่เราหยุดซุ่มอยู่กลางทางเสียก่อน...แต่เอ๊ะ ทำไมพวกมันยีดรถเราได้ โดยที่ไม่ได้ยินเสียงปืนแม้แต่นิดเดียว

" - ก็ไหนว่ามึงคาดการณ์ได้ทุกสิ่งทุกอย่างยังไงเล่า...ไอ้โล้น...มึงก็น่าจะรู้ขีดความสามารถของไอ้พวกทหารเวียดนามเหนือกลุ่มนี้ดีกว่าพวกมันถนัดในการ "ฆ่า" เงียบขนนาดไหน...กูคิดว่า...ไอ้คำ กับ ไอ้...ป่านนี้โดนเชือดคอหอยเป็นผีเฝ้ารถไปแล้วทั้งสองคน...ไปโว้ย ขืนถ่วงเวลาแบบนี้ผู้กองอังคารเสร็จแน่ "

ไอ้แสบไม่พูดพล่ามทำเพลง...มันฉากแว่บขึ้นไปบนถนนแล้วคลานข้ามไปหมอบอยู่ในหุบร่องน้ำฝั่งตรงกันข้ามทำให้ไอ้โล้นต้องตาลีตาเหลือกคลานตามไปติด ๆ พร้อมกับบ่นพึมพำไปตลอดทาง

แสงไฟบนนเสาที่สว่างไสวอยู่ท่ามกลางสายฝนสาดให้เห็นรถโฟล์คตู้ทึบที่จอดซุ่มอยู่ในเงามืดของหน้าบ้านหลังหนึ่งอย่างถนัดชัดเจน

ไอ้โล้นกับไอ้แสบใช้เวลาชั่วครู่ใหญ่ ๆ ก็คลานเข้ามาหมอบอยู่ไม่ห่างจากตำแหน่งรถจอดเท่าใดนัก

" - ทำไมมันถึงเงียบยังงี้วะ...กูว่าจวกแม่มันเข้าไปเลยรึยังไง...ไอ้โล้น "

ไอ้แสบกระซิบกระซาบ พลางดึงขอรั้งลูกเลื่อนปืนถอยหลังนิดนึง แล้วกดปากกระบอกให้น้ำที่อาจจะค้างอยู่ในลำกล้องให้หยดลงที่พื้นเป็นการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุปากลำกล้องปืนแตกในขณะยิงปืน

" - อย่าเพิ่ง...โน่น...กูเห็นแล้ว ไอ้ฉิบหายยืนหลบอยู่ที่ขอบรั้วหลังรถนั่นคนนึง...พอฟ้าแลบมึงกระหน่ำมันเลยไอ้แสบ...กูจะชาร์ทเข้าไปที่รถนั่นเอง "

ไอ้โล้นพูดพลางดึงขอรั้งปืนออกมาจนสุดแล้วค่อย ๆ ปล่อยให้ลูกกระสุนเข้ารังเพลิงด้วยความระมัดระวัง

ไอ้แสบยกปืนขึ้นประทับ เล็งศูนย์ไปที่ขอบรั้วซึ่งมองเห็นร่างลับ ๆ ล่อ ๆ ของชายผู้หนึ่งอย่างเลือนลาง

ฟ้าแล็บแพร็บ ๆ ...แสงสว่างจากขอบฟ้าสาดให้เห็นร่างของชายดังกล่าวอย่างถนัดชัดเจน...ไอ้แสบเหนี่ยวไกสาดกระสุนเข้าใส่ด้วยความประณีตกว่าทุก ๆ ครั้ง

" ปัง "

แม่นเหมือนกับจับวาง...ร่างที่ยืนพิงขอบรั้วอยู่ผงะเด้งตะกายเริดขึ้นแล้วล้มคว่ำกับพื้นในบัดดล

แสงไฟสีเขียวปนส้มสว่างแว่บจากท้านรถ แล้ววิ่งปร๊าดเกือบจะเป็นเส้นตรงพุ่งเข้าหาตำแหน่งที่เพชฌฆาตรับจ้าง ซี.ไอ.เอ. นอนหมอบอยู่นั้น พร้อม ๆ กับเสียงครางระงมของปืนอาร์ก้าดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว

"ปรอด...ปรอด...ปรอด...ปรอด"

เสียงดังแหลมเล็กผิดกับเสียงปืน "เอ็ม. 16" จนสังเกตุเห็นได้ชัด กระสุนส่องแสงสีเขียวสุกใสวิ่งไล่ตามกันเป็นหาง...และตำแหน่งกระสุนตกที่พอจะสังเกตได้อยู่ห่างจากไอ้โล้นและไอ้แสบไม่มากนัก

" - กูว่าแล้ว พวกมันมีสองคนจริง ๆ ไอ้แสบมึงยิงแล้วกลิ้งตัวข้ามถนนไปฝั่งโน้น...พอถึงฝั่งโน้นยิงอีกที่แล้วรีบคลานกลับมาอยู่ที่นี่...กูจะซุ่มดูเหตุการณ์เฉย ๆอยู่ก่อนเอาเลยพรรคพวก "

ยังไม่ทันจะขาดคำพูดไอ้โล้น...ไอ้แสบก็ยกปืนขึ้นกราดในระบบกึ่งอัตโนมัติ แล้วคลานขึ้นจากหุบร่องน้ำข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว...

พอถึงฝั่งตรงกันข้าม ไอ้แสบก็ยกปืนขึ้นกราดอย่างหูดับตับไหม้ แล้วคลานเร็วจี๋กลับเข้ามาหมอบหายใจฟืดฟาดอยู่ข้างไอ้โล้น

มีเสียงอาร์ก้ายิงโต้ตอบมาจากท้ายรถโฟล์ค และคราวนี้ตำแหน่งกระสุนตกเปลี่ยนทิศทางไปยังถนนด้านตรงกันข้ามที่ไอ้แสบเพิ่งจะคลานกลับมาอย่างสด ๆ ร้อน ๆ นั่นเอง

" - ได้ผล...คราวนี้มึงค่อย ๆ คลานเข้าไปที่รถ...กูจะล่อให้มันยิงทางฝั่งโน้น...ระวัง"

ไอ้โล้นกำชับ แล้วคลานขึ้นไปบนถนน คงจะเป็นด้วยความซวยของไอ้โล้นก็เหลือเดา ฟ้าเกิดแลบ แพรบขึ้นมา ในจังหวะดังกล่าวพอดิบพอดีแสงสว่างของมันสาดให้เห็นร่างของไอ้โล้นที่กำลังคลานกระดุ๊บ ๆ อยู่บนถนนเข้าอย่างถนัดชัดเจน

กระสุนส่องแสงสีเขียวสุกใส วิ่งปร๊าดเข้าหาไอ้โล้นเป็นสาย...พื้นถนนซึ่งเจิ่งไปด้วยน้ำข้าง ๆ ตัวไอ้โล้นกระจุยกระจายอย่างน่าหวาดเสียว...ไอ้โล้นคลานส่ายเป็นงูเลื้อยกลิ้งตัวลงไปในหุบร่องน้ำฝั่งตรงกันข้ามได้อย่างจวนแจเต็มที

ไอ้แสบเห็นได้จังหวะก็คืบคลานเข้าหารถโฟล์ค...พอเคลื่อนที่ไปได้นิดเดียวก็โดนระดมยิงดักหน้าจนต้องถอยกลับมาซุกร่างอยู่ ณ ที่เดิมอีกครั้ง...

ไอ้โล้น, ไอ้แสบ เอาเถิด เจ้าล่ออยู่เกือบห้านาทีก้ไม่สามารถที่จะฝ่าแนวกระสุนคืบคลานเข้าไปยึดรถโฟล์คดังกล่าวนั้นได้ มิหนำซ้ำยังโดนระดมยิงจนแทบโงศีรษะไม่ขึ้น

"แวด...บึ้ม"

ทั้งสองมีความรู้สึกเหมือสนกับอากาศเหนือศีรษะโดนแรงอัดวิ่งผ่านโดยกะทันหัน...สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้ทั้งคู่ซุกหน้าลงกับพื้นดินเป็นอัตโนมัติ มือทั้งสองละจากปืนคู่มือ ขึ้นมาอุดหูแน่น

ถึงกระนั้นประสาทหูของทั้งสองก็ยังกึกก้องไปด้วยเสียงกระหึ่มของระเบิดแผดสนั่นขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

แสงเพลิงที่สว่างโพลนโชติช่วงขึ้นอยู่เบื้องหน้า ทำให้เพชฌฆาตรับจ้างทั้งสองผงกศีรษะขึ้นมองดูรถโฟล์คตู้ทึบซึ่งขณะนี้ไฟลูกท่วมด้วยความตื่นเต้นสุดขีด

" - เอ็ม. 72...ใคร...ใครยิงเอ็ม. 72ใส่รถโฟล์คของเราวะ "

ไอ้แสบตะกุกตะกักขึ้นมาฟังแทบไม่เป็นภาษาคน

" - โน่น...พ่อของมึงโน่น...ไอ้แสบ...ไอ้ขุนช้าง นอร์แมนเล่นจัญไรเข้าให้แล้ว...ไอ้ห่า ไม่รู้ว่ามันย่องเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรกัน...ฉิบหายวายวอดหมดแล้ว ทั้งพวกมันและพวกเรา"

ไอ้โล้นพูดพลาง ขยับตัวเอี้ยวคอหันไปมองทางเบื้องหลัง

ฝนหยุดตกสนิท...ท้องฟ้าที่มัวซัวเริ่มสว่างไสว...ดวงจันทร์ซึ่งหลบอยู่ในก้อนเมฆเริ่มปรากฏออกมาราง ๆ ชั่วอึดใจใหญ่ ๆ ก็โผล่ออกมาสาดรัศมีสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยแสงดาวระยิบระยับนั้น

ร่างของนอร์แมนที่ยืนจังก้าอยู่ ไม่ห่างจากตำแหน่งที่บุคคงทั้งสามหมอบอยู่เท่าใดนัก ก้าวสวบ ๆ เข้ามาโดยมีร่างของผู้กองอังคารที่ถูกพยุงอย่างทุลักทุเล ตามเข้ามาติด ๆ

" - เป็นอย่างไงบ้างครับ...ผู้กอง "

ทั้งไอ้โล้นและไอ้แสบ ต่างก็ผวาเข้าไปหาร่างของผู้กองอังคาร ละล่ำละลักถามออกมาพร้อม ๆ กัน หยั่งกะนัดกันเอาไว้

ผู้กองอังคาร กัดกรามกรอด แต่ไม่มีเสียงตอบผ่านออกมาจากไรฟัน ไอ้โล้นเข้าไปตรวจดูบาดแผลอยู่ครู่หนึ่งก็กระซิบออกมาด้วยเสียงเครียด ๆ

" - ลูกกระสุนฝั่งอยู่ที่ไหปลาร้า...มีอยู่ทางเดียวต้องผ่าออกเดี๋ยวนี้...เฮ้ย เอาผู้กองนั่งลง...แล้วมึงรีบเข้าไปในบ้านหลังนั้น...เอารถที่จอดอยู่ในโรงนั่นออกมาให้ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น...ขืนช้า...ผู้กองจอดแน่...นั่น...ๆ ห้องนอนเปิดไฟแล้ว...ปีนเข้าไปเลยไอ้แสบ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นกำชับออกมาด้วยเสียงห้วน
ไอ้แสบเงยหน้าขึ้นไปมองดูตัวตึกสองชั้นที่เพิ่งจะมีแสงไฟปรากฏอยู่ที่ห้องนอนชั้นบนอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวสวบ ๆ ไปที่รั้วด้านข้าง แล้วปีนไปหมอบอยู่ชั่วอึดใจก็กระโดดตุ๊บลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

" - ถอดเสื้อผู้กองออก แล้วลื้อทั้งสองคนยึดแขนของผู้กองเอาไว้ให้แน่น..."

ไอ้โล้นสั่งอย่างเฉียบขาด แล้วดึงมีดออกจากซองยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็เดินตรงไปที่ซากรถโฟล์ค ซึ่งกำลังมีไฟลุกโชนอยู่นั้น

ไอ้โล้นอาศัยความพยายามอยู่ครู่หนึ่ง ก็สามารถเผาปลายมีดพกจนเนื้อเหล็กเปลี่ยนเป็นสีหมากสุก ต่อจากนั้นมันถือมีดตรงเข้าไปหาผู้กองอังคาร ด้วยท่าทางรีบร้อน

นอร์แมน ซึ่งพอจะเข้าใจอะไรต่ออะไรได้ราง ๆ ปราดเข้ามาที่ปลายเท้าของผู้กองอังคาร แล้วใช้มือทั้งสองยึดข้อเท้าเอาไว้แน่น

ไอ้โล้นยืนค้ำกบาลผุ้กองอังคารอยู่ชั่วอึดใจ ก็ก้มลงไปดึงเสื้อกล้ามของผู้กองขาดดังแคว้ก ต่อจากนั้นก็ขยุ้มเสื้อกร้ามเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วถืออยู่ในมือข้างซ้าย ปากก็กระซิบบอกเจ้านายของมันเบา ๆ

" อ้าปากเต็มที่ผู้กอง "

ผู้กองอังคารพยายามอ้าปากอย่างลำบากยากเย็นไอ้โล้นไม่ทันใจก็เลยยัดขยุ้มเสื้อกล้ามลงไปในปาก แล้วใช้ชายเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งอ้อมไปผูกเป็นเงื่อนเอาไว้หลังศีนษะอีกทีหนึ่ง

" - ทนเอาหน่อยนะผู้กอง...ผมเคยโดนผู้กองผ่าสด ๆ หนหนึ่งที่เมืองลาว...ผมยังทนได้...เฮ้ย จับมือผู้กองเอาไว้แน่น ๆ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นเลยหน้าขึ้นไปกำชับลูกสมุนสองคนที่ยึดแขนผู้กองอังคารอยู่เบื้องหลัง เพื่อความมั่นใจเป็นครั้งสุดท้าย แล้ววางปลายมีดลงบนปากแผลบ่าขวาของผู้กองอย่างใจเย็น

ผู้กองอังคารสะดุ้งเฮือก ความร้อนจากปลายมีดที่ถูกเผาไฟ สัมผัสกับเนื้อเสียงดัง " แฉ่ " เหมือนกับเนื้อย่างถูกไฟไม่มีผิด

ไอ้โล้นกรีดมีดเป็นรูปกากบาทอย่างรวดเร็ว...ร่างของผู้กองอังคารแอ่นขึ้นมาเหมือนกับเป็นตะคริวโดยกะทันหัน เสียงร้องอึกอัก ๆ ดังอยู่ในลำคอ ดวงหน้าหงายเริดและสั่นเกร็งไปหมดทั่วร่างกาย เหงื่อเริ่มทะลักออกมาตามใบหน้าเหมือนกับสายน้ำ... นอร์แมนและลูกน้องทั้งสองที่ยึดแขนต่างก็เบือนหน้าหนีด้วยความสยดสยองใจ

ชั่วครู่ไอ้โล้นก็ใช้ปลายมีดเขี่ยหัวทองแดงหลุดออกมาจากซอกไหปลาร้าได้เป็นผลสำเร็จ มันรีบดึงก้อนผ้าออกมาจากปากของผู้กองอังคาร แล้วกดปากแผลที่โลหิตทะลักออกมาเหมือนกับสายน้ำเอาไว้แน่น

ไม่มีเสียงครวญครางจากผู้กองใจเพชร นอกจากคางที่สั่นกระทบกันเหมือนกับคนเป็นไข้มาเลเรียขนาดหนักเท่านั้น ไอ้โล้นหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาแล้วยัดบุหรี่พรวดเข้าไปที่ปากของผู้กองอังคาร

นอร์แมนสลัดไลท์เตอร์ออกมาจากกระเป๋าเล็ก ๆ ที่เย็บติดอยู่เหนือแขนซ้าย แล้วกดแก๊สจุดบุหรี่ให้กับผู้กองอังคารด้วยท่าทางรีบร้อนเหมือนหยั่งจะรู้ใจกัน

ผู้กองอังคารสูบควันบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วระบายควันออกมาด้วยท่าทางและอาการที่สดชื่นขึ้นอย่างทันตาเห็น

มีเสียงรถยนต์สตาร์ทดังกระหึ่มขึ้นในบริเวณบ้านพร้อม ๆ กับลำแสงไฟหน้ารถออกมาเป็นทางชั่วอึดใจ " ซีตรอง " รุ่นพระเจ้าเหาก็วิ่งมาจอดที่ประตู...ไอ้แสบลงมาเปิดประตูแล้วกลับเข้าไปขับรถออกมาที่หน้าบ้าน ปากก็ยื่นออกมาตะโกนค่อนข้างดัง

" - เร็ว ๆ หน่อยโว้ย...กูมัดเจ้าของบ้านเอาไว้ในห้องน้ำ... ได้เกิดดิ้นหลุดละก้อ ซวยตายห่า ไอ้โล้น...ไอ้ฉิบหาย เจ้าของบ้านเป็นนายพันตำรวจซะด้วย...หวิดซวยมั้ยล่ะกู..."

ประโยคสุดท้าย ไอ้แสบบ่นพึมพำท่ามกลางเสียงหัวเราะก๊ากใหญ่ของกลุ่มเพชฌฆาตรับจ้างซึ่งกระวีกระวาดเปิดประตูขึ้นไปนั่งแออัดยัดเยียดอยู่ในรถด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง...

รถซีตรองรุ่นพระเจ้าเห่าพุ่งปร๊าดออกจากหมู่บ้านเสรีเหมือนกับติดปีกบิน ชั่วไม่กี่นาทีต่อมาก็ออกถนนใหญ่แล้ววิ่งหายลับเข้าไปในความอึกทึกครึกโครมยามราตรีที่น่าเวียนหัวของกรุงเทพพระมหานคร

เสียงเครื่องปรับอากาศที่ครางหึ่ง ๆ อยู่เหนือศีรษะทำให้ผู้กองอังคารค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจ... ความรู้สึกอันดับแรกที่คืบคลานเข้ามาก็คือ รู้สึกเจ็บแปร๊บที่บริเวณบ่าขวาจนต้องเอี้ยวคอไปมองด้วยความลำบากยากเย็น

ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดพันอยู่หนาเตอะไปหมดทั้งหัวไหล่ เมื่อเขามองผ่านลงไปที่ปลายเท้าก็ปรากฏว่าชุดโชกเลือดที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างชนิดละเลงเลือดได้ถูกลอกคราบไปจนหมดสิ้นแล้ว มีชุดคนป่วยสีฟ้าสะอาดตาสวมเข้ามาแทนอย่างพอเหมาะพอเจาะ

มีเสียงหัวเราะ คิกคัก ๆ ดังอยู่ทางซ้ายมือ เมื่อผู้กองหันไปมองเห็นไอ้โล้น, ไอ้แสบ สวมชุดพยาบาลสีเดียวกันครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงที่ยกพนักพิงขึ้นสูงนั้น...

" - สวัสดีครับ...ผู้กอง...อาการเป็นยังไงบ้างครับ "

ไอ้โล้น เอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเซียวเหมือนกับคนจะใกล้ตาย...ส่วนไอ้แสบหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่เหมือนกับจะขำอะไรขึ้นมาอย่างกะทันหัน

" - ไอ้สัตว์ มึงนั่นแหละตัวดี... ยังจะเสือกมีหน้ามาหัวเราะอีก ไอ้ห่า...ดันเสือกชวนกูไปกินด๊าย "

ไอ้โล้นหันไปแช่งชักหักกระดูกเพื่อนคุ่หูพร้อมกับบ่นพึมพำไม่ขาดระยะ

" - ลื้อทั้งสองเป็นอะไรวะ นี่อั๊วไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ ก็ตอนที่ลื้อผ่าอั๊วเอาลูกปืนออกลื้อทั้งสองคนก็ยังดี ๆ อยู่นี่หว่า แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นมาวะนี่ "

ผู้กองอังคารคิ้วขมวดเอ่ยถามลูกน้องทั้งสองอย่างเคลือบแคลงใจ

" - ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ หลังจากเอาผู้กองมาที่กองบัญชาการนี่แล้ว ผู้กองก็สลบไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ...ผมก็เลยชวนไอ้โล้นไปกินก๋วยเตี๋ยวญวณที่สะพานขาวโน่น...พอกลับมาก็อาเจียนกันยกใหญ่...อาเจียนไม่อาเจียนเปล่า ไอ้จู๋ของพวกผมดันเกิดไม่ยอมทำงานเสียนี่นับชั่วโมงยิ่งหดลงไปเรื่อย ๆ คุณหมอก็เลยจับผมนอนพักผ่อนอยู่ที่นี่ พร้อมกับถ่ายท้องเอาเศษอาหารไปวิจัยแล้วครับ...จุ๊...จุ๊...คุณหมอสวยเป็นบ้าไปเลยผู้กองนั่น ๆ มาแล้ว-ผู้กอง " ประโยคสุดท้ายไอ้แสบลดเสียงลงกระซิบกระซาบเบา ๆ

ประตูห้องเปิดเอี๊ยดออกเบา ๆ พร้อม ๆ กับร่างอันได้สัดส่วนของหญิงสาวในชุดเสื้อคลุมโผล่เข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มระรื่น ริมฝีปากที่บางเจี๊ยบและสายตตาเฉี่ยวอย่างร้ายกาจ พุ่งแน่วมาที่ผู้กองอังคารแล้วตวัดฉับไปมองไอ้โล้นกับไอ้แสบ น้ำเสียงเหมือนกับระฆังเงินกังวานออกมาเบา ๆ

" - คุณโมฮาหมัด กรุณาเข้าไปตรวจเช็คในห้องตรวจโรคอีกครั้ง" (หญิงสาวเรียกชื่อจริงของไอ้โล้น) " - โธ่ คุณหมอครับ...จะรักษาหรือว่าจะให้ยาผมก็กรุณาเถิดครับ...ขืนชักช้าผมตายแน่...โธ่...ยิ่งปล่อยเอาไว้นานเท่าใด ยิ่งหดแบบนี้ให้ผมฆ่าตัวตายดีกว่าครับ "

ไอ้โล้นพูดพลางกระย่องกระแย่งลงไปจากเตียงแล้วเดินตามคุณหมอรูปร่างได้ส่วนสัดไปด้วยท่าทางเหมือนคนจะใกล้ตาย...

ผู้กองอังคารมองดูส่วนหลังของคุณหมอแล้วขมวดคิ้วย่น-เหมือนกับจะคิดอะไรอยู่ในใจ ครู่หนึ่งเขาก็ยิ้มออกมาพร้อม ๆ กับพึมพำเหมือนกับจะพูดกับตัวเอง

" - ถ้าความจำของฉันไม่ผิด เธอก็คือหญิงท้องแก่ที่เดินตามหลัง ซิลเวีย-อึ้ง มาอย่างติด ๆ ที่สนามบินดอนเมืองนั่นเอง...ยอดเยี่ยมจริง ๆ น้องสาว ที่เธอสามารถปลอมแปลงร่างกายจนกระทั่งผ่านสายตาของจารชน เค.จี.บี. มาได้อย่างตลอดรอดฝั่ง "

ประตูห้องเปิดอีกครั้ง...ไอ้โล้นโผล่เข้ามาก่อนตามติด ๆด้วย คุณหมอทรงดีที่อธิบายอะไรต่ออะไรไม่ขาดปาก

" - คุณโมฮาหมัดคงจะลืมนึกถึงขนมโก๋ที่คุณเคยพบเห็นในสมรภูมิลาวมาก่อน...ตามปกติขนมโก๋เป็นอาหารสนามของทหารเวียดนามเหนือ...ขนมโก๋มีตัวยาที่สกัดความรู้สึกทางเพศผสมอยู่เกือบ ๘๐ เปอร์เซ้นต์... คุณคงจะสังเกตเห็นได้ว่าทหารเวียดนามเหนือทุกคนไม่มีความรู้สึกทางเพศทั้งชายและหญิง ตามความเห็นของหมอ ชาวญวณคงจะนำตัวยาดังกล่าวนี้เข้ามาทดลองในประเทศไทย เพื่อค้นหาข้อมูลอะไรบางสิ่งบางอย่าง... และคุณก็เลยตกเป็นเครื่องทดลองเข้าอย่างบังเอิญ...และผลจากการวิจัยเศษอาหาร หน่วยงานของเราค้นพบตัวยาสกัดความรู้สึกทางเพศแบบเดียวกับที่ผสมอยู่ในขนมโก๋ของเวียดนามเหนือไม่มีผิด...ประเดี๋ยวคุณหมอจะฉีดยาให้คุณ"

คุณหมอพูดพลางเดินเข้าไปที่กล่องอลูมิเนียม เปิดออกแล้วหยิบ " สลิงค์ " ขึ้นมาด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว

" - ฉีด... ฉีด...ฉีดแล้วมันจะยึดเหมือนอย่างเดิมหรือเปล่าครับคุณหมอ "

ไอ้โล้นถามตะกุกตะกัก เหมือนกับคนติดอ่าง เล่นเอาไอ้แสบซึ่งนอนตาแป๋วอยู่ข้าง ๆ ถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาสุดเสียง

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 16 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 16:56  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19423

คำตอบที่ 86
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 17

คำพูดที่เหมือนกับคนติดอ่างของไอ้โล้นถึงกับทำให้คุณหมออมยิ้มออกมาด้วยความขบขัน...ขยับปากจะพูด ก็พอดีนอร์แมนเปิดประตูเข้ามาเสียก่อน

"-เป็นยังไงหมอ " อาเกไนซ์ " ที่หน่วยเหนือส่งเข้ามาทดลอง...หมอฉีดให้มิสเตอร์โล้นแล้วหรือยังครับ"

นอร์แมนพูดพลางชำเลืองดูสลิงค์เปล่าที่ถืออยู่ในมือของหญิงสาวด้วยคววามเคลือบแคลงใจ

ไอ้โล้นกระโจนผึ่งลงมาจากเตียง มือทั้งสองข้างดึงกางเกงที่ยาวรุ่มร่ามให้พ้นจากพื้น ปากก็ละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน

"-ไม่ต้องฉีด...ฉีดให้ผมหรอกครับ...หมอ เล่นเอาอาเกไนซ์ มาทดลองกับผมแบบนี้ ผมว่าไม่โสภาแน่ ๆ ...ผมกับไอ้แสบรบอยู่ในลาวมาเกือบสี่ปีเต็ม ๆ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าอาเกไนซ์มันแปลว่าอะไร...นี่เห็นผมเป็นหนูตะเภาหรือยังไง...คุณหมอ ?"

ประโยคสุดท้ายไอ้โล้นหันหน้าไปต่อว่าหญิงสาวซึ่งยืนอมยิ้มอยู่อย่างอารมณ์ดี

" - คุณเข้าใจผิดค่ะ...คุณโมฮาหมัด ยาที่จะฉีดให้คุณขนานนี้ทางหน่วยเหนือสกัดออกมาจาก " อาเกไนซ์ " โดยเฉพาะเรายังไม่ได้ตั้งชื่อ ก็เลยขอยืมชื่อของอาเกไนซ์มาใช้ก่อน "

คุณหมอพูดพลางเดินไปที่ตู้ยาแล้วเปิดออก ต่อจากนั้นก็หยิบขวดยาขนาดขวด "โปรเคน" ออกมา แล้วใช้เข็มปักลงไปที่จุกยางพร้อม ๆ กับดึงสลิงค์ให้ถอยหลังกลับเพื่อดึงน้ำยาสีเขียวอ่อนลงในกระบอกสลิงค์ด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว

ไอ้โล้นหันไปขยิบตากับไอ้แสบ แล้วพยักหน้าบุ้ยปากไปที่ประตู ปากก็พูดออกไปอีกด้วยท่าทางฉุน ๆ

" อาเกไนซ์ คือตัวยาที่สกัดความรู้สึกทางเพศ...ไอ้แกวผสมในขนมโก๋..ผมกับไอ้แสบลองกินดูมาแล้ว ไม่นึกอยากสบึมส์ไปตั้งหลายอาทิตย์ หน่วยเหนือจะมีกรรมวิธียังไง ๆ ผมก็เห็นไม่ขอเสี่ยง...ไปโว้ยไอ้แสบ ปล่อยให้มันจู๋อยู่ยังงี้ดีแล้ว "

ไอ้โล้นพูดไม่ทันขาดคำ...ไอ้แสบซึ่งนอนคอยจังหวะอยู่ก่อนแล้วรีบกระโจนผึ๋งลงจากเตียง แล้ววิ่งโครมครามออกไปจากห้องอย่างขวัญเสีย ตามติด ๆ ไปด้วยเพื่อนคู่หูที่วิ่งชนนอร์แมนเซแซ่ด ๆ ไปติดข้างฝาเหมือนกับจะมีเจตนาและจงใจที่จะแกล้งชนอยู่ก่อนแล้ว

" - มายก๊อด...นี่พวกคุณเล่นเกมพิเรน ๆ อะไรกันนี่ ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ"

นอร์แมนร้องอุทานเสียงหลง...แล้วหันไปพูดกับหญิงสาวที่ยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

" - คุณดาหลา ตามพ่อเจ้าประคุณสองคนนั่นไปก็แล้วกัน...พยายามฉีดอาเกไนซ์ ให้กับคนทั้งสองให้ได้ ผมมีธุระส่วนตัวกับผู้กองอังคาร"

หญิงสาวเจ้าของนาม "ดาหลา" หันมาสบตากับผู้กองอังคาร ใบหน้าที่ยิ้มระรื่นอยู่ตลอดเวลาเปลี่ยนเป็นเฉยเมยและเคร่งขรึม ดวงตาที่คมกริบประสานนิ่งเสมือนหนึ่งจะจ้องทะลุเข้าไปข้างในอยู่ชั่วอึดใจก็ตวัดกลับแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว...

" - ดาหลา..."ดาหลา - สุมาลิน" เพชฌฆาตรับจ้างคนที่หกในขบวนการของพวกเรา...ผู้กองลองนีกให้ดี ๆ ซิครับ...ผู้กองกับดาหลาดูเหมือนว่าจะเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ที่สนามบินดอนเมือง "

นอร์แมนพูดพลางเดินเข้ามานั่งที่ขอบเตียงแล้วใช้มือข้างหนึ่งคลำที่หน้าผากของผู้กองอังคาร เมื่อมองเห็นผู้กองนิ่งไม่พูดอะไร เขาก็เลยกล่าวต่อไปอีก

"รู้สึกว่าไข้จะไม่มี...อาการขนาดนี้ผมคาดว่าไม่เกินสองอาทิตย์ ผู้กองก็คงจะออกปฏิบัติงานได้...เป็นยังไงครับ...ลักษณะท่าทางของเพชฌฆาตคนใหม่ในความรู้สึกของผู้กอง"

ผู้กองอังคารขยับตัวขึ้นมา พิงหมอน สายตามองไปที่กระเป๋าถือสีน้ำตาลของหมอดาหลาที่วางลืมอยู่บนโต๊ะแล้ว พูดออกมาอย่างไม่มีอาการลังเลใจใด ๆ ทั้งสิ้น

" - ตั้งแต่ผมเห็นแกปลอมตัวเป็นผู้หญิงท้องแก่เดินตามหลัง "ซิลเวีย-อึ้ง" ที่ห้องโดยสารขาเข้าที่ดอนเมืองแล้วผมก็เห็นไม่ต้องวิจารณ์ความสามารถอะไรของเธอต่อไปอีก...ผมกลัวอยู่อย่างเดียว...ถ้าข่าวกรองของพวกเราพลาดและหมอดาหลาเกิเป็นคนของ เค.จี.บี. ย้อนรอยเข้ามาในรังของเราละก้อ...ผมกับหัวหน้าก็คงจะเหลือแต่ชื่อกันละอีทีนี้ "

" - ความกลัวของคนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง...ผู้กอง...หมอดาหลา...เคยเป็นคนของ เค.จี.บี. มาก่อน...หมอดาหลา เคยเป็นคอมมิวนิสต์ระดับชั้นบริหาร"

นอร์แมนหยุดพูดชั่วขณะ...ผู้กองอังคารอ้าปากหวอเหมือนกับไม่เชื่อหูของตัวเอง ขยับปากจะพูดแต่นอร์แมน ยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดต่อไปอย่างยืดยาว

" - ผมรู้จักครอบครัวของหมอดาหลาดี...เมื่อหมอดาหลาอายุ 14 ปี เคยขึ้นศาลเยาวชนในคดีฆ่าคนตาย เนื่องจากอายุยังน้อย จึงถูกสั่งเข้าโรงเรียนดัดสันดาน เธอไม่มีญาติพี่น้องใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีสรณะและเครื่องยึดเหนี่ยว นอกจากวิญญาณที่ต้องดิ้นรนและขวนขวายเพื่อความอยู่รอดไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง...หมอดาหลาเกิดปมด้อยชนิดหนึ่งที่ฝั่งลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ และประกอบกับถูกครอบด้วยเพื่อนร่วมโรงเรียนดัดสันดานที่มีหัวเอียงซ้ายเข้าไปอีกด้วยอีกเธอก็เลยถลำตัวถูกเสี้ยมสอนและบ่มเสียจนเซลล์ในร่างกายดูดซึมเอาลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าไปจนอิ่มตัว...หมอดาหลา แหกโรงเรียนดัดสันดานออกมาเมื่อเข้าไปได้เพียง 8 เดือน จากสายใจของเค.จี.บี. เธอได้รับการช่วยเหลือให้ออกนอกประเทศไทยทางพรมแดนลาว แล้วจับเครื่องบินรวดเดียวถึงมอสโคว์...ต่อจากนั้น หมอดาหลาก็ได้รับการอบรมในแขนงจารกรรมอย่างแตกฉานไม่ว่าจะเป็นการก่อวินาศกรรม การลอบสังหารบุคคลสำคัญที่เป็นภัยต่อ เค.จี.บี. การแทรกซึมหาข่าวกรองจากฝ่ายตรงข้าม...และในที่สุด หมอดาหลา ก็ถูกส่งเข้ามาทำงานที่เบอร์ลินตะวันตก...ผลงานชิ้นแรกของหมอดาหลาก็คือลอบขุดอุโมงค์ใต้ดิน จากเบอร์ลินตะวันออกเข้ามาพ่วงชุมสายโทรศัพท์ของหน่วยงาน ซี.ไอ.เอ. จนแผนงานของเราฉิบหายวายวอดไปตั้งหลายครั้งหลายหน...หมอดาหลาชะล่าใจข้ามพรมแดนเข้ามาในเขตยึดครองของพวกเราจึงโดนจับ ผมเป็นคนชี้แนะให้เธอเห็นสภาพที่เป็นจริงของโลกเสรีว่ามีอิสระภาพทางกายและใจผิดกับคอมมิวนิสต์อย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ชี้ให้เห็นความเหี้ยมโหดทารุณของ เค.จี.บี. มีแต่การประหัตประหารกันเองระหว่างชนชั้นปกครองที่ชิงอำนาจทางการเมือง ทรยศหักหลังลอบฆ่าแม้กระทั่งสายลับของตัวเอง สายลับ เค.จี.บี. ทุกคนถูกเสี้ยมสอนให้จับผิดซึ่งกันและกัน ทุกคนตกอยู่ในแดนสนธยาหรืออาณาจักรแห่งความกลัว ไม่มีใครวางใจใครได้อย่างสนิทมีแต่ความหวาดระแวง...ในที่สุด หมอดาหลาก็เริ่มเอนเอียงมาทางฝ่ายเรา คราวแรกเราก็ยังไม่แน่ใจในตัวเธอเท่าใดนัก...หลังจากจับตาดูพฤติการณ์ของเธออยู่เกือบ 6 เดือน ผมก็ลองเสี่ยงส่งเธอย้อนกลับเข้าไปในเขตยึดครองของรัสเซียอีกครั้ง ส่งเข้าไปท่ามกลางความวิพากษ์วิจารณ์ของหน่วยเหนือที่พร้อมจะปลดผมทันทีที่ผลงานของหมอดาหลาล้มเหลวลง... เหมือนกับโชคช่วย...แผนงานของผมสำเร็จ...หมอดาหลาลอบฆ่าบุคคลระดับหริหารของรัสเซียได้ 3 คน แล้วหนีข้ามเขตเบอร์ลินเข้ามายังเขคยึดครองของเราเป็นผมสำเร็จพร้อมด้วยเครื่องถอดรหัสอันเป็นเครื่องที่รัสเซียเพิ่งจะสร้างขึ้นมาอย่างสด ๆ ร้อน ๆ หมอดาหลาถูกยิงได้รับบาดเจ็บ "

" - แล้วหัวหน้าไม่กลัวว่า ทาง เค.จี.บี. จะวางแผนย้อนรอยด้วยการส่งหมอดาหลาเข้ามาทำจารกรรม "สองหน้า" กับพวกเราอีกหรือครับ...เราทำได้ เค.จี.บี. ก็น่าที่จะทำได้เช่นกัน"

ผู้กองอังคารสอดขึ้นมาด้วย เหตุผลที่น่าสนใจ

" - ครับ...ผู้กอง...คราวแรกหน่วยเหนือก็คิดเหมือนอย่างที่ผู้กองคิดไม่มีผิด...แต่หลังจากที่เรามาเช็คเครื่องถอดรหัสที่หมอดาหลาหิ้วติดมือมาจากเบอร์ลินตะวันออก เราก็เลยมีข้อพิสูจน์ว่า หมอดาหลาหนีเข้ามาหาเราด้วยจิตสำนึกของคนที่ตกอยู่ในอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวอย่างแท้จริง ถึงกระนั้นคนของเราก็ยังไม่ค่อยจะสนิทใจในตัวเธอเท่าใดนัก...ยังมีการประกบตัวและแกะรอยเธออยู่ตลอดเวลา...ในที่สุดหมอดาหลาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ เคลียร์ว่าขณะนี้เธอคือหนึ่งในองค์การสืบราชการลับของทบวง ซี.ไอ.เอ. "

" - แล้วหัวหน้าส่งเธอมาประจำอยู่ที่สิงค์โปร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็แกะรอย ซิลเวีย - อึ้ง มาติด ๆ ทำไมเธอจึงไม่รู้ว่านักร้องคนนั้นเป็นคนของ เค.จี.บี. "

ผู้กองอังคารถามขึ้นมาอีก อย่างเคลือบแคลงใจนอร์แมนอมยิ้ม พร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างหน้าตาเฉย

" - ทำไมเธอจะไม่รู้...กรณี " ซิลเวีย - อึ้ง " เป็นแผนที่วางกันเอาไว้อย่างรอบคอบ...เพื่ออ่อยเหยื่อไอ้พวกนักข่าวอาหรับ...แต่พวกมันก็ไม่โง่จนเกินไปนัก กลับส่งมือสังหารระดับมหากาฬไปแทน...หมอดาหลาแกะรอย ซิลเวีย - อึ้ง ตั้งแต่ร้องเพลงอยู่ที่สิงคโปร์ " ซิลเวีย - อึ้ง " เป็นจารสตรีที่มีความสามารถพอฟัดพอเหวี่ยงกับหมอดาหลาทีเดียวและรู้สึกว่าจะผ่านคอร์ดจารกรรมที่มอสโคว์รู่นเดียวกันซะด้วย...อ้อ...ผมจะขอบอกข่าวดีให้ผู้กองรู้ไว้เป็นเครื่องประดับความรู้ทางอามณ์ขณะนี้ " ซิลเวีย - อึ้ง" ถูกปล่อยออกจากโรงพักหัวหมากแล้ว ถ้ายังติดใจ ไปหาเธอได้ที่ " สีดาคลับ " ใต้ถุน " โรแยล...โฮเต็ล " โชคดี...ผู้กอง"

พอพูดจบ นอร์แมนก็พาตัวเองออกจากห้องพักฟื้นไปอย่างรวดเร็ว...

ผู้กองอังคาร ขยับตัวลงไปนอนพร้อมกับหลับตาลง...ชั่วอึดใจใหญ่ ๆ ประสาทหูก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกเบา ๆ กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ โชยเข้ามาก่อนแล้วก็ปรากฏเสียงรองเท้า เดินย่ำพื้นไปที่โต๊ะ ซึ่งวางเครื่องอุปกรณ์การแพทย์นั้น

ผู้กองอังคารค่อย ๆ หรี่มองด้านหลังหมอดาหลาซึ่งกำลังหยิบสลิงค์ดูดยาจากขวดยาชนิดหนึ่งที่สายตาของเขามองไม่ค่อยจะถนัดเท่าใดนัก

พอดูดยาเข้าสลิงค์เสร็จเธอก็หันกลับแล้วเดินตรงเข้ามาที่เตียง...ผู้กองอังคารลืมตาแป๋วคล้ายกับจะถาม หมอดาหลาเก๊กสีหน้าเครียด แต่ทว่าดวงตามีแววยิ้มจนสังเกตเห็นได้ชัด

" - ไม่ใช่อาเกไนซ์หรอกค่ะ...ยานอนหลับอย่างอ่อน ๆ ...ดิฉันจะฉีดให้กับคนช่างซักคนช่างถาม เป็นไงค่ะประวัติของดิฉันจากปากของหัวหน้านอร์แมน...หายสงสัยรึยังค่ะ...ผู้กอง ? ! ! "

ประโยคสุดท้ายหมอดาหลาย้อนถามผู้กองอังคารเสมือนหนึ่งจะล่วงรู้ข้อความที่เขากับนอร์แมนได้พูดคุยกันไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ

ผู้กองอังคารจ้องหน้าหมอดาหลาเขม็ง แล้วชำเลืองไปที่กระเป๋าสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะ ต่อจากนั้นก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง แล้วมาหยุดอยู่ที่ร่างอันได้สัดส่วนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เตียงด้วยความพินิจพิจารณาอยู่ชั่วอึดใจ ก็จ้องนิ่งอยู่ที่กระเป๋าเสื้อคลุมที่มองเห็นปากกาเสียบอยู่

" - เชิญเลยครับ...หมอ"

ผู้กองอังคาร...ยิ้ม พลางขยับแขนให้หมอดาหลาทำกริยาเหมือนกับจะให้หมอฉีดยาอยู่ในที

หมอดาหลายิ้ม...พร้อมกับกดสลิงค์ให้ตัวยาพุ่งออกนิดหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ใช้สำลีทาท้องแขนอยู่ไปมาด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว

ในจังหวะเดียวกันนั่นเอง ผู้กองอังคารก็พลิกแขนนซ้ายขึ้นโอบสะเอวของหมอดาหลา แล้วออกแรงกระชากร่างลงมาบนหน้าอกเต็มแรง จนหญิงสาวเซถลาคว่ำหน้าลงมาอย่างไม่เป็นท่า

เข็มฉีดยาหลุดกระเด็นลงไปที่พื้น พร้อม ๆ กับที่ปลายมือของผู้กองอังคารคว้าปากกาที่เสียบอยู่ที่กระเป๋าเสื้อคลุมของหมอดาหลาติดมือมาได้อย่างพอดิบพอดี

หมอดาหลาดิ้นอึกอัก...อึกอัก พอผู้กองอังคารปล่อยมือ เธอก็ตบเปรี้ยงลงไปบนแก้มเต็มเหนี่ยว

" - เพียะ "

ผู้กองอังคาร...สะบัดหน้าไปตามแรงตบแล้วยิ้มต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ชูปากกาให้เธอดู ปากก็พูดต่อไปด้วยเสียงเรียบ ๆ คล้าย ๆ กับไม่ยินดียินร้ายในความฉุนเฉียวของหมอดาหลาที่กำลังยืนตัวสั่นด้วยความโมโหสุดขีดอยู่นั้น

" - ผมสงสัยหมอตั้งแต่ลืมกระเป๋าไว้ที่โต๊ะนั่นแล้ว...ทำไมต้องใช้วิทยุดักฟังกันด้วย ผมไม่ชอบวิธีดังกล่าวนี้...หัวหน้านอร์แมนเล่าประวัติความเป็นมาของคุณให้ผมฟัง...มันเป็นความจำเป็นเพราะคุณกับผมจะต้องร่วมงานกันตลอดไป...ผมไม่อยากจะเสี่ยงเอาคอเข้าไปติดแร้วของใครง่าย ๆ...คุณหมอดาหลา ถ้าไม่มีเครื่องวิทยุ รับ-ส่ง แบบปากกาเหมือนกับที่ผมถืออยู่นี่ ในกระเป๋าใบนั้นของคุณ...ผมยอมรับผิด...คุณจะทำอะไรผมก็ได้ยิ่งกว่าการตบหน้าผมเมื่อกี้นี้..เชิญครับ...นี่วิทยุของคุณ "

ผู้กองอังคารจบคำพูดอันยืดยาว พร้อม ๆ กับวางวิทยุปากกาลงบนเตียงข้าง ๆ ตัว หมอดาหลาเม้มปากนิ่งแล้วหันไปมองกระเป๋าที่วางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมามองผู้กองอังคาร...ใบหน้าที่เครียดเผยออมยิ้มออกมาเหมือนกับเด็ก ๆ ที่ทำผิดแล้วโดนจับได้...

" - ค่ะ...ผู้กอง...ถูกต้องตามที่ผู้กองพูดทุกอย่าง...ดิฉันเป็นคนใหม่ที่นี่...ดิฉันก็ต้องรอบคอบและระมัดระวังพอสมควร...ผู้กองเป็นคนรอบคอบและละเอียดที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยร่วมงานด้วยกันมา ขอโทษด้วยนะคะที่ดิฉันรุนแรงกับผู้กองเมื่อกี้นี้...ฉีดยาก่อนนะคะ "

หมอดาหลาพูดพลางเอื้อมมือมาหยิบปากกาวิทยุไปเหน็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อคลุม...ต่อจากนั้นก็ก้มลงไปหยิบสลิงค์ขึ้นมาเปลี่ยนเข็มฉีด แล้วจัดแจงฉีดยาให้กับผู้กองอังคารด้วยความชำนิชำนาญ

พอถอนเข็มออก ผู้กองอังคารก็โอบร่างอันได้สัดส่วนลงแนบอก...คราวนี้หมอดาหลาไม่ขัดขืนแต่อย่างใดเธอปล่อยสลิงค์ลงกับพื้น แล้วค่อยวางแขนลงบนหน้าอกของผู้กองอังรคาร ต่อจากนั้นก็ใช้คางวางทับลงบนแขน ดวงตาที่คมกริบจ้องประสานอยู่เอื้อมเสมือนหนึ่งจะท้าทายอยู่ในที...

" - ไม่น่าเชื่อ...ผมฟังประวัติของหมอจากหัวหน้าแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงหน้าตาสวย ๆ แบบนี้จะมีจิตใจเข้มแข็งถึงขนาดนั้น...นี่รึมือที่เคยห้ำหั่นชีวิตมนุษย์มาแล้วอย่างเหลือคณานับ...ไม่น่าเชื่อจริง ๆ "

ผู้กองอังคารพูดพลางเอื้อมมือหยิบนิ้วมือที่อ่อนนุ่มขึ้นมากำเอาไว้ด้วยท่าทางเผลอไผล

หมอดาหลาหลบตาผู้กองอังคารแล้วซุกหน้าลงกับหน้าอกด้วยความอุทธัจ...ผู้กองอังคารคลายมือที่กำมือหมอดาหลาออกแล้วยกขึ้นมาจับคางพลิกหน้าหมอดาหลาขึ้น พอขยับหน้าลงไปจะจูบ สติสัมปชัญญะก็หลุดลอยออกจากร่างเนื่องจากอำนาจของยานอนหลับ นอนคอพับอยู่ในลักษณะโอบกอดนั่นเอง

หมอดาหลาขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วจัดหมอนให้ผู้กองอังคารหนุน สายตที่มองดวงหน้าของผู้กองใจเพชรแวววาวเหมือนกับต้องมนต์สะกด เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ก้มลงจุมพิตริมฝีปากที่มีคราบโลหิตเนื่องจากแรงตบของน้ำมือตัวเอง แล้วพึมพำออกมาเหมือนกับจะให้ร่างที่นอนสลบไสลอยู่นั้นรับรู้ด้วย

" - ฉัยทำร้ายเธอด้วยมือของฉัน...คราบโลหิตที่ทะลักออกมาเป็นสาย เหมือนกับวิญญาณของฉันโดนฉุดกระชากลงขุมนรก อังคารที่รัก...ฉันรักเธอตั้งแต่เห็นรูปของเธอที่สิงคโปร์ ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงสารเลวที่เปิดหัวใจให้ผู้ชายรู้...ฉันช็ดคราบโลหิตให้เธอแล้ว...อังคาร...เช็ดด้วยรอยจุมพิตจากหญิงที่เพิ่งจะพบกับความรักเป็นครั้งแรก "

หมอดาหลาก้มลงจุมพิตผู้กองอังคารอีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าสีน้ำตาล ต่อจากนั้นก็พาตัวเองออกไปจากห้องพักฟื้นอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องตรวจสอบแผนกศพอาบยาขององค์การ ซี.ไอ.เอ...ซึ่งตั้งอยู่ทางปีกขวาของห้องใต้ดินบริเวณสถานทูตชาติมหาอำนาจแห่งหนึ่งในย่านถนนวิทยุ

ท่อนแขนซ้ายซึ่งโดนของมีคมตัดขาด แค่ข้อศอกวางอยู่บนแผ่นพลาสติคซึ่งปูทับผ้าปูโต๊ะที่ขาวสะอาดอยู่ท่ามกลางแสงฟลูออนริเซ่นอันสว่างไสวอยู่เหนือโต๊ะดังกล่าวนั้น

ท่อนแขนซ้ายดังกล่าวถูกแช่เย็นจนดูขาวซีดเหมือนกับขาหมูไม่มีผิด...รอบ ๆ โต๊ะมีนายแพทย์ชาวต่างประเทศที่ไม่ทราบสัญชาติที่แน่นอนสองคนยืนจ้องมองหมายเลข "174" ซึ่งสักอยู่บนท้องแขนที่ขาดแค่ข้อศอกด้วยท่าทางสนใจ

" - หัวหน้านอร์แมนสั่งให้ผ่าตัดรอยสัก "174" เพื่อค้นหา "ของที่อาจจะซ่อนอยู่ข้างในเราจะเริ่มด้านไหนก่อนดี...เบอร์นาด "

ชาวต่างประเทศที่รูปร่างสูงใหญ่ กล่าวขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ...

" - ก็แซะมันลงไปบริเวณใต้รอยสักนั่นเลย ผมคิดว่าบริเวณอื่นคงไม่มีแน่...ว่าแต่ว่า...แขนนี่เป็นของใครกันช่วงสั้นแบบนี้ผมคิดว่าเป็นคนทางเอเชียแน่ ๆ รึคุณว่ายังไงเบอรูตี้ "

ชาวต่างประเทศรูปร่างล่ำปึ๊กกล่าวออกมาพร้อมกับใช้ถุงยางซึ่งสวมอยู่ในมือ พลิกท่อนแขนสำรวจไปมาด้วยความสนใจ

" - เป็นแขนทหารเวียดนามเหนือ...หน่วยงานของเราตัดเอามาจากการต่อสู้ที่หัวหมากลงมือกันเลย...พรรคพวก "

นายแพทย์เบอร์นาด..ใช้มีดชำแหละรอยสักหมายเลข "174" อย่างระมัดระวังอยู่ ชั่วอึดใจก็คีบแผ่นโลหะบาง ๆ ออกมาวางบนจานอลูมิเนียมที่วางอยู่บนโต๊ะ

" - เจอะแล้ว ไมโครฟิล์ม บรรจุในกล่องแบนเรียบขนาดแสตป์...คุณเอา "ของ" ไปให้หัวหน้าก็แล้วกันแล้วก็ขอคำสั่งเรื่องท่อนแขนนี้ด้วย จะให้ทำลายหรือว่าแชร์เย็นเอาไว้อย่างเดิม"

นายแพทย์เบอร์รูดี้ ไม่พูดว่าอะไร เขาถือแผ่นไมรโครฟิล์ม เดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางรีบร้อน

" - ผมตรวจดูแผ่นไมโครฟิล์มแผ่นนี้แล้วชอบกลผู้กอง...ไม่มีข่าวอะไรเหมือนกับแผ่นที่แล้ว ๆ มา นอกจากข่าวสอบถามถึงจำนวนข้าวสารที่อยู่ในโกดัง "ย่งเส็ง" ถนนเดชอุดม หนองไผ่ล้อมจังหวัดนครราชสีมา เท่านั้นมันชักจะยังไง ๆ อยู่นาผู้กอง "

นอร์แมนพูดพลางยื่นข่าวที่ขยายจากแผ่นไมโครฟิล์มให้ผู้กองอังคาร ซึ่งครึ่งนั่งครึ่งนอน อยู่บนโซฟาร์ภายในห้องพักผ่อนขององค์การ ซี.ไอ.เอ.

" - หนองไผ่ล้อม...โคราช...บ้านเกิดของดิฉันเอง "

หมอดาหลา ซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้าม ทำตาโต พึมพำออกมาด้วยท่าทางดีใจ สายตาที่มองกระดาษเขียนข่าวมีท่าทีตื่นเต้นจนสังเกตเห็นได้ชัด

ผู้กองอังคารยื่นกระดาษเขียนข่าวส่งต่อให้ดาหลาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

" - คุณดาหลาอยู่โคราช คงจะสันทัดภูมิประเทศแถบนั้นดี...เอาเลยครับ "

"...นานเหลือเกิน...ผู้กอง...ดิฉันเกิดที่นั่นก็จริง แต่ทว่ามันตั้งสิบกว่าปีแล้วที่ดิฉันไม่ได้กลับบ้าน แต่ชื่อโกดังย่งเส็งนี่รู้สึกว่าจะคุ้นหูเหลือเกิน...ถ้าจำไม่ผิดมันตั้งอยู่ในซอยทองหล่อข้าง ๆ สนามบินพาณิชย์แน่ ๆ...บางที่...บางที่นะคะ พวกเราอาจจะได้อะไรจากที่นั่นไม่มากก็น้อย"

ดาหลาพูดพลางเหม่อมองไปทางเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด

" - แล้วรูปถ่ายที่ผู้กองยึดได้จากเรือนคนใช้ที่สถานีที่ 10 ในซอยข้างโรงงานโคล่า...ว่าไง"

นอร์แมนย้อนถามขึ้นอีกอย่างเอาการเอางาน

" - เปียกปอนหมดอีตอนผมโดนยิงตกลงไปในน้ำ...มันเป็นรูปข้าราชการสำคัญ ๆ ในจังหวัดนครราชสีมาที่ถูกแอบถ่ายในระยะไกล ๆ ด้วยกล้องติดซูม คนถ่ายเป็นชาวญวนอพยพชื่อ "ถิ่น-ฟง-วัน" ดีครับ...ไปโคราชคราวนี้ผมจะได้คิดบัญชีกับมันเสียเลย...จากข่าวกรองของเราครั้งล่าสุดรู้สึกว่าขบวนการ "แซปเปอร์" ของเวียดนามเหนือลักลอบเข้ามาชุมนุมอยู่ที่โคราชมิใช่น้อย โดยได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากพ่อค้าชาวญวนหลายสิบคนในจังหวัดนครราชสีมา...สายของเราคนนึงเพึ่งจะโดนเก็บที่สถานีจีระ "เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว" เนื่องจากแกะรอยไอ้ช่างภาพเจ้าเล่ห์ดังกล่าวนี้ไป โอเคครับ ตามล่ามันให้ถึงถิ่นเลยที่เดียว...ถ้ารีดข่าวจากช่างภาพญวนคนนั้นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะใกล้เป้าหมายเข้าไปทุกขณะ นี่ก็เหลืออีกไม่กี่วันก็จะครบกำหนดที่เวียดนามเหนือจะมาส่งอาวุธที่ทุ่งหมาหอนแล้ว...ผมว่าทิ้งงานทางกรุงเทพ ฯ นี่เอาไว้ก่อนดีกว่าครับ...หัวหน้า"

ผู้กองอังคารเสนอแนะขึ้นมาด้วยเหตุผลที่น่าเลื่อมใส...และเมื่อได้พิจารณากันอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนก็วางเป้าหมายพุ่งเข้าหาโกดัง "ย่งเส็ง" และช่างภาพชาวญวน เพื่อหาข่าวกรองมุ่งเข้าใจกลางสายใยขององค์การ เค.จี.บี. ต่อไป

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 17 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 16:59  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19424

คำตอบที่ 87
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 18

" - เชิญครับ ท่านพ่อแม่พี่น้องชาวโคราชที่เคารพรักทั้งหลาย เชิญเร่เข้ามาดูการแสดงที่น่าระทึกใจที่สุดในรอบปี...นานทีปีหนที่คณะของผมจะแวะผ่านเมืองโคราช เชิญครับ...สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา การแสดงจะเริ่มขึ้นแล้ว ณ บัดนี้ "

เสียงเครื่องขยายดังลั่น พร้อม ๆ กับมีเสียงฉาบและกลองตีสลับกันอย่างหูดับตับไหม้ ทำให้ประชาชนที่สัญจรอยู่ตามถนนหยุดมองดูด้วยความสนใจแล้วค่อย ๆ เกร่เข้ามาล้อมคณะแสดงอนาถา ซึ่งมีผู้ร่วมแสดงอยู่เพียง 3 คนเท่านั้นเอง...

สามล้อซึ่งจอดเป็นตับอยู่ใต้ร่มไม้หน้าศาลากลางจังหวัดพยักพะเยิดให้กันด้วยท่าทางยิ้มหัว แล้วทยอยเข้าไปล้อมวง ทำให้จำนวนคนดูมองดูหนาตาขึ้นอย่างทันตาเห็น...

ชายรูปร่างเตี้นสวมกางเกงขาสั้นบลูยีนส์กระดำกระด่าง ใส่รองเท้าแตะฟองน้ำ ใบหูข้างซ้ายห้อยตุ้มหูรูปร่างพิสดารเป็นห่วงวงกลมขนาดใหญ่ แถมที่ปลายห่วงล่างสุดก็ยังมีระฆังเล็ก ๆ ห้อยติดอยู่อีกหนึ่งอัน เวลาเดินเสียงระฆังดังกุ๊งกิ๊ง ๆ ตลอดเวลา

เครื่องขยายถูกเร่งเสียจนสุด ชายร่างเตี้ยถือไมค์ ฯ ลากสายลำโพงไปยืนตะเบ็งเสียงอยู่กลางวงด้วยคำพูดที่ออกสำเนียงแปร่ง ๆ คล้ายคนอินเดียเพิ่งจะหัดพูดไทย

" - งูดินกินงูเห่า...ไข่เต่ากินมันดี อีกสิบนาที...พวกพ่อแม่พี่น้องจะได้ดูงูเห่าสู้กับพังพอน...ตื่นเต้นระทึกใจ...เฮ้ย ไอ้ยูซุป เอ็งลากกล่องใส่งูมากลางวงเดี๋ยวนี้ "

ประโยคสุดท้าย ชายร่างเตี้ยหันไปกำชับพรรคพวกร่วมทีม ซึ่งกำลังสาละวนจัดอุปกรณ์การเล่นกลง่วนอยู่ใกล้ ๆ เครื่องขยายเสียง ด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

" - งูเห่ายังนอนไม่ตื่น...พี่หมุด เมื่อคืนมันหนีไปเที่ยวอาบอบนวดดึกไปหน่อย...รออีกซักเดี๋ยวเป็นยังไงพี่ ! "

ลูกเล่นของยูซุปเล่นเอาประชาชนที่ล้อมวงดูอยู่พากันฮาออกมาครืนใหญ่ด้วยความขบขัน

" - ขออภัยครับ...ขออภัย ไอ้งูเห่าชีกอของผมยังนอนไม่ตื่น ขอเวลาซักสี่ห้านาทีแล้วท่านพ่อแม่พี่น้องจะได้ชมการต่อสู้ระดับโลกที่เหนือกว่า โมฮำหมัด อาลี กับ โจ ฟราเซียเลยที่เดียว...ในช่วงเวลาที่ว่าง กระผมใคร่จะขอประชาสัมพันธ์ถึงความมหัศจรรย์ของยาตำรับพิเศษจากประเทศอินเดียให้พ่อแม่พี่น้องฟัง "

บังหมุดหยุดพูดชั่วขณะ แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องขยายเสียงซึ่งมีขวดโหลขนาดใหญ่บรรจุน้ำอยู่เกือบเต็มวางอยู่...เขาหยิบกล่องเล็ก ๆ ขึ้นมาจากถุงทะเลที่อยู่ใต้ใต๊แล้วเปิดออกหยิบวัตถุสีแดงคล้ำก้อนกลม ๆ ขนาดเท่ากับเม็ดสมอออกชูขึ้นเหนือศีรษะ มือข้างที่ถือไมโครโฟนก็พูดออกมาอย่างน้ำไหลไฟดับ

" - พ่อแม่พี่น้องที่เคารพ โดยเฉพาะท่านชายที่ผมห่วงเป็นพิเศษ...ขณะนี้ผมมีข่าวร้ายที่จะแจ้งให้พวกท่านทราบไม่ใช่เรื่องโกหกพกลมที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหวังผลประโยชน์บางสิ่งบางอย่าง...มันเป็นเรื่องจริง...เรื่องจริงที่ก่อความหวาดผวาไปหมดทั้งโลก...ผมไม่อยากจะนำมากล่าวในที่นี้เลยจริง ๆ...มันน่ากลัวและน่าวิตก "

" บังหมุด " หยุดพูด แล้วเดินไปหยิบแก้วน้ำที่โต๊ะยกขึ้นดื่มช้า ๆ เหมือนกับจะเจตนายั่วยุให้ประชาชนที่ล้อมวงฟังอยู่รอบ ๆ เกิดความกระหายอยากจะรู้เรื่องต่อไปอยู่ในที

" - ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าต้องพูด...ขณะนี้โรค จู๋ ได้เดินทางมาถึงเมืองโคราชเรียบร้อยแล้ว ! "

ประโยคสุดท้าย " บังหมุด " ย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แล้วชำเลืองไปรอบ ๆ ด้านอย่างพินิจพิจารณา

บังหมุดยิ้มกับตัวเอง เมื่อมองเห็นประชาชนทุกคนนนิ่งตะลึงไปด้วยความตื่นเต้นต่อข่าวใหม่เอี่ยมอ่องที่เพิ่งจะได้รับฟังอย่างสด ๆ ร้อน ๆ จากนักต้มระดับชาติเช่นเขา...

" - ขณะนี้ โรค จู๋ ได้ระบาดไปเกือบจะทุกภูมิภาคของประเทศไทศ เช่น หนองคาย,...อุดร,..สกลนคร,...นครพนม,...ขอนแก่น,...และแหล่งสุดท้ายอันเป็นประตูหน้าด่านก่อนเข้าสู้ภาคกลางก็คือ จังหวัดนครราชสีมาอันเป็นเมืองใหญ่โตที่สุดในภาคอีสานนี้ ประชาชนทุกคนโดนยาที่ฉีดหรือโรยลงไปในอาหารทุกชนิดแล้ว จะบังเกิดอาการปวดแถวช่องท้องและที่อวัยวะเพศ...ต่อจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงอวัยวะเพศจะหดลง หดลงขนาดที่สามารถจะเอาวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่งวางทับบนเครื่องเพศโดยที่บริเวณปลายสุดของเครื่องเพศไม่ได้สัมผัสกับวัตถุนั้นแต่อย่างใดหรือจะพูดให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ก็คือ ตัวอวัยวะเครื่งเพศถูงดึงผลุบหายเข้าไปในช่องท้องนั่นเอง...ขณะนี้ยังไม่มีหมอหลวงคนใดรักษาโรคจู๋นี้ได้...ผมขอย้ำอีกครั้งขณะนี้ยังไม่มีหมอหลวงคนใดรักษาโรคจู๋ แม้กระทั่งในวงการแพทย์ทั่วโลกก็ได้วิพากษ์วิจารณ์โรคจู๋ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกันอย่างอึกทึกครึกโครม ผมขอบอกกับท่านพ่อแม่พี่น้องอีกครั้ง...โรคจู๋นี้มีมานานนมแล้ว...ครั้งแรกเกิดในประเทศเวียดนามใต้ พวกญวนแดงได้ตัวยามาจากรัสเซีย แล้วเริ่มนำออกมาทดลองอย่างลับ ๆ...ผลการทดลองประสบความสำเร็จ ข้าราชการในเมืองไซง่อนจู๋กันเป็นแถว...ทุกคนต่างเรียกโรคชนิดนี้ว่าโรค "ดอกไม้หลับ" หรือ "บุปผาหุบ" แต่จากแฟ้มสืบราชการลับของอเมริกาแจ้งว่า แท้ที่จริงโรคจู๋นี้เกิดจากสารเคมีชนิดหนึ่งที่รัสเซียหวังจะใช้เป็นอาวุธลับในสงครามเวียดนาม มันเป็นเชื้อโรคประเภทไวรัส...รัสเซียวางแผนจะโปรยเชื้อไวรัสนี้ในสงครามเวียดนาม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะพวกญวนเหนือกลัวจะโดนเชื้อไวรัสสูญพันธ์หมดทั้งประเทศ ก็เลยแอบขโมยเชื้อดังกล่าวนี้ซุกซ่อนเอาไว้เสียก่อน...พอสงครามสงบ ญวนเหนือก็ลอบส่งคนเข้ามาทดลองใช้ยาดังกล่าวนี้ในประเทศไทย ดังที่พวกเราได้สดับรับฟังอยู่ในขณะนี้...พ่อแม่พี่น้องที่เคารพ ผมเป็นห่วงจริง ๆ...เป็นห่วงว่าพวกท่านบางคนอาจจะเผอเรอรับเชื้อไวรัสเข้าไปอย่างไม่รู้สึกตัว...แต่...พวกท่านไม่ต้องวิตกขณะนี้ท่านฤษี " โกฑัญญะ " แห่งประเทศอินเดีย ได้คิดค้นยาทำลายไวรัสได้เป็นผลสำเร็จแล้ว ท่านฤษี " โกฑัญญะ " ใช้สูตรพิเศษจากเลือดและสมุนไพรบางชนิดนำมาผสมกัน...และนี่คือตัวยาที่แสนจะมหัศจรรย์นั้น..."

บังหมุด หยุดพูด แล้วหยิบวัตถุสีแดงคล้ำที่มีขนาดเท่ากับเม็ดสมอหย่อนลงไปในขวดโหล พร้อมกับพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงห้าวลึกเหมือนกับเสียงพ่อมด

" - ของจริงจะมีสายเลือดพุ่งออกมาจากก้อนยาเป็นสาย...ดู...ทุกคนดู....เห็นหรือยัง...นี่คือ เลือด....เลือด ที่ไหลออกจากยาอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านฤษีโกฑัญญะ"

" บังหมุด " พูดยังไม่ทันจบ " ยูซุป " ก็ตีฉาบขัดจังหวะขึ้นมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เล่นเอาลูกพี่ซึ่งกำลังฝอยเป็นต่อยหอยอยู่นั่นสะดุ้งเฮือกหันไปด่าออกมาดัง ๆ

" - ไอ้หอก...โครสั่งให้มึงตีวะประเดี๋ยว โดนถีบหรอกมึง "

ยูซุปตีหน้าแหย รีบวางฉาบลงกับพื้นแล้วแกล้งเดินไปพยักพะเยิดให้ลูกน้องอีกคนช่วยลากกรงพังพอนซึ่งวางอยู่อีกด้านหนึ่งให้เข้ามากลางวง

บังหมุดหันไปชี้ให้ประชาชนทุกคนมองดูก้อนยาซึ่งลอยอยู่เหนือน้ำ ซึ่งขณะนี้บังเกิดสายเลือดพุ่งออกมาแล้วผ่านสายน้ำลงไปก้นโหล มองเห็นเป็นสายอย่างถนัดชัดเจน

" - นี่คือยามหัศจรรย์ที่แก้โรคจู๋ได้ผลที่สุดในปัจจุบัน...ทางสถานทูตได้ให้ผมมาเผยแพร่กับพี่น้องชาวโคราชในราคาต้นทุน...ตามปกติเราจะขายก้อนละ 10 บาท แต่ครั้งนี้เป็นการเผยแพร่กิตติคุณของท่านฤษี " โกฑัญญะ " พวกผมคิดเพียงก้อนละห้าบาทเท่านั้น ผมจะไม่พูดอะไรมากเพราะเวลามีน้อย...เชิญครับ...ของเรามีจำกัด ใครซื้อก่อนก็ได้ก่อน...เห็นไหมครับ...แม้กระทั่งหมอสอนศาสนาชาวต่างประเทศก็ยังสนใจในยามหัศจรรย์อันศักดิ์สิทธิ์ของผม "

ประโยคสุดท้าย บังหมุดพูดพลางมองไปที่ชาวต่างประเทศรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งเข้ามายืนอยู่กลางกลุ่มประชาชนตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่ทันสังเกตเห็น

หมอสอนศาสนาดังกล่าวก็คือ "นอร์แมน" หัวหน้าข่าวกรองของค่ายรามสูรนั่นเอง...ศีรษะที่ล้านครึ่งกบาลถูกวิกสวมคลุมทับลงไปจนมองดูเหมือนกับฮิปปี้ไม่มีผิด

นอร์แมนล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วหยิบธนบัตรใบละห้าดอลลาร์ขึ้นมา ต่อจากนั้นก็แหวกฝูงชนซึ่งเบียดเสียดเยียดยัดแย่งกันซื้อยาจาก " ยูซุป " เข้ามาหาบังหมุดพร้อมเอ่ยขึ้นเบา ๆ

" - ขอยาผม 2 ก้อน...นี่เงิน...แล้วห่อให้ผมด้วย"

บังหมุดสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว สายตาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของนอร์แมนแล้วชำเลืองไปที่ศีรษะ ต่อจากนั้นก็เหลือบดูชุดสอนศาสนาเหมือนกับไม่เชื่อสายตาของตัวเองริมฝีปากที่เผยอขยับจะพูด แต่ก็ถูกสายตาที่มีแววบังคับของนอร์แมนตรึงเอาไว้เสียก่อน

" - นี่เงิน...ไม่ต้องทอน...ขอบใจมาก"

นอร์แมนส่งเงินให้ พร้อมกับกำชับไม่ให้ทอนเงินต่อจากนั้นก็รับห่อยาพาตัวเองเดินออกไปจากสนามหญ้าหน้าศาลากลางเมืองโคราชอย่างรวดเร็ว

บังหมุดกำเงินดอลลาร์แน่น ริมฝีปากที่ถูกเย็บแน่นสนิทพึมพำออกมาเหมือนกับจะพูดกับตัวเองเบา ๆ

" - หนีไม่พ้นซักทีซีน่า...ไอ้ห่า กูอุตสาห์มาหาแดกทางหลอกต้มถึงเมืองโคราชนี่ เจ้าพ่อ ซี.ไอ.เอ. ก็ยังตามมารังควานกูอีกจนได้...พอ...พอ...ไอ้ยูซุป...พอแล้ว...ไม่เขยไม่ขายมันหรอกโว้ย...มึงกับไอ้เด๊ดแบ่งเงินกันแล้วก็กลับโก-ลคคืนนี้เลย...กูมีงาน"

ประโยคสุดท้าย บังหมุดหันไปสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว แล้วเดินแหวกฝูงชนออกไปอย่างรวดเร็ว...

ห้านาทีต่อมา บังหมุดก็นั่งสามล้อมาถึงโรงแรมโพธิทอง ซึ่งตั้งอยู่สี่แยกหน้าอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ตรงมุมสวนรักพอดิบพดี เขาจ้ำพรวด ๆ ขึ้นไปบนโรงแรมโดนไม่สนใจต่อเสียงทักทายของบ๋อยโรงแรม ซึ่งคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเนื่องจากคณะเล่นกลของเขามาพักเป็นประจำ

พอแหย่ลูกกุญแจเข้าที่ลูกบิดประตู บังหมุดก็หยุดชะงัก สายตาที่มองดูกุญแจลูกบิดมีอาการเคลือบแคลงใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อย ๆ ล้วงมมือไปในกระเป๋ากางเกงขาสั้นหยิบ "คิงส์คอบร่า" แบบสองนัด (ปืนไฟแช็ก) ขึ้นมาง้างไก ต่อจากนั้นก็บรรจงถอดตุ้มหูออกมาถือเอาไว้ในมืออย่างระมัดระวัง แล้วไขกุญแจเปิดประตูผลัวะออก พร้อม ๆ กับโยนตุ้มหูซึ่งมีระฆังขนาดเล็กห้อยอยู่เข้าไปข้างในเต็มแรงห่วงตุ้มหูกระทบพื้นเสียงระฆังกระทบดังกุ๊งกิ๊ง ๆ พร้อม ๆ กับมีเสียงหัวเราะก๊ากใหญ่ดังลั่นอยู่ในห้อง

" - เข้ามา...ไอ้หมุด...ประสาทกินรึไงเพื่อนกู...ไอ้ห่ เสือกโยนไอ้ห่วงบ้า ๆ นี่เข้ามาได้...คราวแรกกูนึกว่าอาวุธลับของหวังหยู่ซะอีก มึงนี่น่ากลัวจะดูหนังจีนเอามาก ๆ ...เฮ้ย เข้ามาซิวะ นี่กูไอ้โล้นกับไอ้แสบ รอมึงเกือบชั่วโมงแล้วโว้ย "

บังหมุดอ้าปากหวอ ทำกริยาเหมือนไม่เชื่อหูตัวเองแล้วถลันพรวดเข้ามาในห้องปากก็ละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน

" - มึง...ไอ้เห้...โล้น...ไอ้เหี้...แสบ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเค้าลงข่าวว่ามึงแหกคุกแล้วตกลงไปตายในแม่น้ำเจ้าพระยา...พวกมึงรอดมาได้ยังไงกันวะนี่...ฉิบหายเมื่อกี้นี้ถ้ามึงไม่ให้สัญญาณก่อนกูซดมึงแน่"

" - ทำไมมึงรู้ว่ากูอยู่ในห้อง "

ไอ้แสบซึ่งนอนแทะแอปเปิ้ลอยู่บนเตียงเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างเคลือบแคลงใจ

" - ก็กูเอายาหม่องอุดรูกุญแจไว้ก่อนนิ่หว่า...พอจะไขกุญแจเห็นรูกุญแจโบ๋ออกแบบนั้นกูก็รู้ได้ทันทีว่าห้องของกูโดนไขกุญแจก่อนแล้ว...เฮ้ย เมื่อกี้นี้หัวหน้านอร์แมนเจอะกูที่หน้าศาลากลางโน่น "

บังหมุดเปลี่ยนเรื่องพูด แล้วลดเสียงลงกระซิบกระซาบเบา ๆ ...

" - ตามสบายไอ้หมุดห้องข้าง ๆ ห้องมึงกูเคลียร์หมดแล้ว พวกกูแกะรอยมึงตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่มีโอกาสไอ้กร๊วกนี่ ตั้งแต่กลับจากเมืองลาวมึงก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม...ยังหลอกต้มชาวบ้านเขาแดกอยู่เรื่อยนะมึงนะ"

ไอ้โล้นพูดพลางเดินออกไปเปิดหน้าต่างด้านที่ติดกับถนนแล้วมองลงไปในบริเวณสวนรัก ปากก็พูดต่อไปอีกอย่างเอาการเอางาน

" - เงินดี...งานเสี่ยง...ก่อนอื่น ไอ้หมุดกูขอแบะหัวใจถามมึงอีกนิด...สมมติว่าขณะนี้มีอเมริกันกับรัสเซียและไทยจ้างให้มึงทำงานชิ้นหนึ่ง"

"ค่าจ้างเท่าไรวะไอ้โล้น ? "

บังหมุดเอ่ยขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

" - อเมริกัน หนึ่งล้านบาท...รุสเซียสองล้านบาทไทยห้าแสนบาท มึงจะทำงานให้ใคร ? "

ไอ้โล้นพูดพลางเดินกลับมานั่งบนขอบเตียง

บังหมุดสบตาไอ้โล้นแว่บหนึ่ง แล้วหันไปมองดูไอ้แสบ ต่อจากนั้นก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า จัดแต่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดเล่นกลออก ปากก็พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

" - กูรู้...ไอ้โล้น...ว่ามึงจะพูดอะไรกับกู กูเดาทุกสิ่งทุกอย่างทะลุปรุโปร่งเมื่อเจอะกับหัวหน้านอร์แมนเมื่อกี้นี้แล้ว...แบ็คกราวนด์ของกูมันจะเลวชาติขนาดไหน ? แต่สิ่งหนึ่งที่กูไม่เคยประพฤติและไม่คิดที่จะกระทำก็คือการขายชาติ...กูเป็นไทยอิสลาม...กูรักผืนแผ่นดินไทยที่ให้ความอบอุ่นแก่ครอบครัวของกู ขอให้มึงนอนใจได้ไอ้โล้น ไหน ๆ มึงจะแบะหัวใจออกมาก็พูดออกมาตรง ๆ อย่าอ้อมค้อมมึงมีงาน...ถ้าเงินดี...กูสน...แต่ถ้างานของมึงเกี่ยวพันกับความมั่นคงของชาติไทย และงานนั้นบ่อนทำลายชาติไทยหัวเด็ดตีนขาดกูไม่เอา...แล้วพร้อมกับขอเชิญพวกมึงเสด็จออกไปจากห้องของกูด้วย"

ไอ้โล้นหันไปยิ้มกับไอ้แสบแล้วหันกลับมาพูดกับบังหมุดต่อไปอีก

" - งานของ ซี.ไอ.เอ. และเกี่ยวกับความปลอดภัยของชาติไทย...ขณะนี้จารชนของญวนเหนือเต็มเมืองโคราชไปหมดแล้ว ไอ้หมุด กูรู้ว่ามึงชำนาญ และทะลุปรุโปร่งในภูมิภาคแถบนี้ หน่วยเหนือต้องการคนมีฝีมือหยั่งมึง "

" - ก็ไอ้งานฆ่าคนเหมือนอย่างเดิมนั่นแหละว้า...กูหนีไม่พ้นซักที นิสัยคนไทยลืมง่ายจะตายไป ไอ้โล้นเมื่อตอนญี่ปุ่นบุกไทยมึงจำได้มั้ย ก่อนญี่ปุ่นบุก พวกทหารญี่ปุ่นทยอยเข้ามาในประเทศไทยแล้วสวมรอยอยู่ในคราบของพ่อค้าหน้าซื่อ ๆ วันหนึ่ง ๆ ก็ตระเวนไปตามเขตหวงห้ามของทางราชการเพื่อแสวงหาข่าวกรองและถ่ายรูปสถานที่สำคัญส่งไปให้หน่วยข่าวกรองของประเทศญี่ปุ่น พอถึงกำหนดเข้าตีประเทศไทย...พวกพ่อค้าญี่ปุ่นเหล่านั้นก็สลัดคราบพ่อค้าออก แต่งทหารกันพรึ่บพรั่บ เอาอาบซามูไรเชือดคอหอยพวกเราเป็นศพไปมิใช่น้อย...คราวนี้ก็อีกเช่นกัน...คนไทยลืมง่าย...มึงคอยดู ไอ้โล้น พอญวนเหนือเหิมเกริมบุกประเทศไทยเมื่อไหร่...ไอ้พวกพ่อค้าชาวญวนที่อยู่ในประเทศไทยมันจะต้องแต่งเครื่องแบบทหารกระซวกพวกเราป่นไปเท่านั้น...นี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่เวียดนามเหนือหน่วงเหนี่ยวการส่งตัวพวกญวนอพยพกลับถิ่นเดิมของมัน มันจะถ่วงเอาไว้เป็นไส้ศึก กูว่าอีกไม่นานเกินรอ พวกมันข้ามโขงบุกเข้ามาแน่ ๆ เอากันอย่างง่าย ๆ... ไอ้พวกศูนย์จัญไรที่หนีเข้ามาฝั่งโน้นขณะนี้ถูก " วางแผน " ให้หนีข้ามกลับเข้ามาฝั่งไทยในลักษณะเห็นผิดเป็นชอบ...คนไทยให้อภัยเสมอ...โอ๋กันใหญ่...ยังไม่เข็ด...ถ้าเป็นกู...กูจะหั่นคอไอ้พวกเดรัจฉานเหล่านี้ให้เกลี้ยงแผ่นดิน...ถ้ามึงพอที่จะมีอำนาจพูดกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลขอให้มึงช่วยแนะนำด้วยว่า พวกศูนย์จัญไรที่หนีกลับมายังไทยคือ " ดาบสองคม " ...จารชนสองหน้าหรือหมาสองร่าง...ใครใหญ่-ใครชนนะ กูเอาด้วย...ใครล้ม ใครแพ้...กูเหยียบซ้ำ...กูอาจจะเพ้อเจ้อไปหน่อยโว้ยเพื่อนฝูง แต่มันช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องจริง "

บังหมุดจบคำพูดอันยืดยาวลงดัวยท่าทางเหมือนกับจะมีความกดดันบางสิ่งบางอย่างอยู่ในจิตใจ...ไอ้โล้นซึ่งนั่งขรึมฟังสหายร่วมสงครามพูดถึงกับอ้าปากหวอด้วยความตื่นเต้นสุดขีด

" - ไอ้หมุด...มึงรู้มากเกินไปซะแล้ว...มึงได้ข่าวบ้า ๆ แบบนี้มาจากไหนกันวะ ขนาดกูใกล้ชิดกับหัวหน้าข่าวกรองของค่ายรามสูรอันเป็นค่ายที่ดักฟังข่าวกรองของประเทศต่าง ๆ ในแหลมอินโดจีนทั้งหมด กูก็ยังไม่รู้ดีเท่ากับมึง "

ไอ้โล้นตีหน้าตายหยั่งเชิงเหมือนกับจะ "ล้วง" ข่าวกรองตามวิธีของ "การหาข่าว" ต่อไปอีก

" - มึงมันพวกอึ่งในกระลาครอบ มีแต่เครื่องอีเล็คโทรนิค นั่งกระดิกหัวแม่ตีนแอบฟังวิทยุเค้า...กูเล่นของจริงโว้ย...ไอ้โล้น...กูข้ามไปเล่นกลถึงเวียงจันทร์โน่น คนสองสัญชาติหยั่งกูไปไหนก็สบายไปแปดอย่าง...ขอบอกให้มึงรู้สำนึกเอาไว้...ในขณะที่ลาวออกข่าวว่าขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง...ในตอนกลางวันก็เปิดเผยให้เห็นภาพการเข้าคิวยาวเหยียดเพื่อรับปั่นส่วนน้ำมันตามปั้มนั้น...มึงอย่าไปเชื่อ นั่นคือกลลวง...กูเห็นด้วยตามาแล้ว พอตกตอนกลางคืนรถบรรทุกน้ำมันจากจีนแดงวิ่งผ่านเส้นทางโฮจิมินห์เข้าหาเมืองเวียงจันทร์นับเป็นพัน ๆ คัน...ขณะนี้ ลาว, เวียดนาม, สะสมน้ำมันและอาวุธขนานใหญ่ ปืนใหญ่ขนาด 130 มม. ซึ่งยิงไกลกว่าปืนใหญ่ของไทยเท่าตัวตั้งเรียงรายอยู่ตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำโขง..."เรด้าร์" สร้างเสร็จอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ไปแล้วแล้วสามสถานี ของไทยมีแต่จะถอน...รบกับลาวมันไม่เท่าไหร่หรอกเพื่อน...แต่รบกับเวียดนามเหนือที่มีจีนแดงและรัสเซียสนับสนุนอยู่นี่ซิมันปวดกระดองใจ เลือดไทยน่ะเข้มข้นทุกคน...สู้จนใจขาด แต่ไม่มีอาวุธชั้นดีจะไปรบกับเขา รัฐบาลชุดก่อนเสนอขอซื้ออาวุธเพิ่ม แต่ก็ถูก สส. หัวเอียงซ้ายรวมหัวกันคัดค้านตกไปอย่างน่าสมเพช กูบ่นมามากแล้ว มึงจะให้กูทำงานห่าเหวอะไรสั่งมาเลยกูเอาทั้งนั้น "

ประโยคสุดท้าย บังหมุดอดีตเสือพรานเดนตายรุ่นเดียวกับไอ้โล้นและไอ้แสบตัดบทขึ้นมาอย่างห้วน ๆ

" - ฆ่าคน...ไอ้หมุด..."เหงี่ยน-วัน-บาย" พ่อค้าญวนอพยพ สายลับ เค.จี.บี. โดนจับอยู่ที่ "กองเมืองหนึ่ง" หัวหน้านอร์แมนสั่งให้มึงเข้าไปฆ่าในห้องขังให้ได้ในคืนนี้ฆ่าแบบให้ตำรวจเอาผิดกับมึงไม่ได้ แล้วก็ตรวจดูแขนซ้ายของมันด้วยว่า มีรอยสักเป็นหมายเลขอะไรหรือเปล่า ? "

ไอ้แสบซึ่งนั่งเงียบอยู่ตลอดเวลาสอดขึ้นมาด้วยท่าทางเอาการเอางาน

" - ถุย กูนึกแล้ว - ไอ้งานเส็งเคร็งฆ่าคนแบบนี้มึงสองคนก็ทำได้นี่หว่า ทำไมหัวหน้านอร์แมนต้องจำเพาะเจาะจงมาที่กูด้วยวะไอ้โล้น "

บังหมุดไม่วายที่จะสอบถามด้วยความเคลือบแคลงใจต่อไปอีก

" - ถ้ากูสองคนขืนหลวมตัวหลุดเข้าไปในห้องขังเพื่อฆ่า ไอ้ เหงี่ยน-วัน-บาย ตำรวจก็หัวเราะก๊ากไปเท่านั้น...กูกับไอ้แสบแหกคุกถึงแม้จะมีข่าวตาย แต่รูปถ่ายของกูก็ติดหราอยู่ตามโรงพักทั่วพระราชอาณาจักรหมดแล้วโว้ย...นี่ขนาดกูใส่วิกยังเดินเสียว ๆ หนังหัวอยู่เลย "

ไอ้โล้นพูดพลางเอื้อมมือขึ้นไปลูบวิกผมฮิปปี้ด้วยความเผลอตัว

" - เอ้า แล้วกูล่ะ...ทำยังไงถึงจะเข้าไปในห้องขังกองเมืองหนึ่งได้ มึงนึกว่ามันง่าย ๆ รึยังไง...พรรคพวก "

บังหมุดพูดพลางก้มลงใต้เตียง แล้วลากลังไม้ฉำฉาออกมากลางห้อง...

" - อะไรของมึงวะ - ไอ้หมุด "

ไอ้แสบผงกศีรษะพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียง

ไอ้หมุดไม่ตอบ มันก้มลงเปิดสลักที่ฝาลังแล้วดีดมือผิวปากออกมาเบา ๆ ชั่วอึดใจงูเห่าก็ค่อย ๆ โผล่หัวออกมา แผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่ดังฟ่อ ๆ เล่นเอาไอ้โล้นกับไอ้แสบเผ่นขึ้นไปยืนบนเตียงแทบไม่ทัน

" - มึงยังไม่ตอบกู...ไอ้โล้น ทำยังไงกูถึงจะเข้าไปในห้องขังได้ โดยที่กูไม่ต้องออกแรงไปตีกะบาลใครให้เอิกเกริกเหมือนเมื่อกูกับมึงยังอยู่ในอาณาจักรอันธพาลที่ปักษ์ใต้โน่น "

" -- มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไอ้หมุด ขณะนี้หัวหน้านอร์แมนจัดการให้มึงเรียบร้อยแล้ว เวลานี้หัวหน้าคงจะแจ้งตำรวจให้มาจับมึงในข้อหาหลอกลวงเอาสลอดผสมยาแดงให้ชาวบ้านกิน มึงดังแน่ ๆ นักข่าวคงจะถ่ายรูปมึงกันยกใหญ่ ไอ้หอกหัก กะล่อนเหลือกินเลยมึงนี่"

" - ช่วยไม่ได้นี้หว่า ตื่นโรคจู๋มันก็ต้องโดนหลอกแบบนี้แหละ...เสือกโง่เองทำไม...ของกล้วย ๆ ก็ "รางจืด" กับต้นทองพันชั่ง ยากลางบ้านของไทย ๆ นี่แหละ เจอะสองอย่างนี้ขี้คร้านจะยืดออกเหมือนเดิม ! "

บังหมุดพูดพลางใช้เท้าเขี่ยให้งูเห่าลงไปในลังแล้วปิดสลัก ต่อจากนั้นก็ผลักลังไม้ฉำฉาเข้าไปใต้เตียงเหมือนเดิม...

" - โอเค. ประเดี๋ยวกูจะเดินออกไปให้ตำรวจซิว...กูจะฆ่าไอ้ เหงี่ยน-วัน-บาย ด้วยกรรมวิธีที่แปลกที่สุดในโลกไม่เชื่อมึงคอยฟังข่าวก็แล้วกัน...มึงสองคนไปได้แล้ว"

บังหมุดเอ่ยปากไล่สหายร่วมสงคราอินโดจีนอย่างห้วน ๆ ในขณะที่ทั้งสองพาตัวเองออกไปจากห้อง บังหมุดก็ลากลังไม้ฉำฉาออกมาจากใต้เตียงอีกครั้ง เปิดสลักผิวปากชั่วอึดใจงูเห่าชูคอแผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ ส่ายหัวไปมาอย่างน่าสะพึงกลัว

" - ไอ้ลูกแก้ว คืนนี้พ่อมีงานให้เอ็งทำอีกแล้ว...นอนหลับซะอีก 6-7 ชั่วโมงค่อยตื่นขึ้นมา"

บังหมุดพึมพำเหมือนกับคนเสียสติ เขาเดินไปเปิดกระเป๋าส่วนตัว หยิบ "สลิงค์" ขึ้นมาดูดยาจากขวดยาที่ปราศจากสลากปิคแล้วดีดนิ้วเรียกงูให้ขึ้นจากลัง จัดแจงฉีดยาสลบให้งู ชั่วอึดใจ เจ้างูเห่าสีดำสนิทก็แน่นิ่งไปกับพื้น

อา ! งานฆ่าคนที่วิตถารที่สุดในโลกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 18 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 17:02  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19425

คำตอบที่ 88
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 19

บังหมุดหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก็เดินตรงไปทีตู้เสื้อผ้า - เปิดฝาตู้ออกแล้วหยิบหมวกทรงประหลาดหิ้วติดมือมานั่งที่ขอบเตียง จ้องสายตามองดูงูเห่าซึ่งนอนสลบเนื่องจากอำนาจยาฉีดอยู่ที่พื้นแล้วพึมพำออกมาเหมือนกับคนไม่เต็มเต็ง

" - นอนหลับให้สบาย - ลูกพ่อ ประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาทำงานของเอ็งแล้ว...รึว่าอยากเที่ยว ไอ้ลูกแก้ว...มา...ไปกับพ่อ...พ่อจะพาเอ็งทัศนาจรตลาดเมืองโคราชในยามราตรี"

บังหมุดพูดพลางค่อย ๆ วางหมวกทรงประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนกับฝาชีกรวยแหลมลงบนที่นอนแล้วพลิกด้านล่างของหมวกขึ้นมาพร้อม ๆ กับล้วงมือเข้าไปกดบริเวณขอบด้านในของหมวกค่อนข้างแรง

ทันใดนั้นเองฝาปิดชั้นในของหมวกทรงประหาดก็เปิดผลัวะออกมาเป็นช่องตลอดถึงปลายสุดด้านใน

บังหมุดก้มตัวลงไปช้อนงูเห่าขึ้นมาขดเป็นรูปวงกลมแล้วค่อย ๆ ยัดลงไปในช่องบนสุดของหมวก ต่อจากนั้นก็ปิดช่องลับ ยกหมวกขึ้นครอบศีรษะขยับให้เข้ารูปทรงอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นไปเก็บอุปกรณ์และกระเป๋าเดินทางที่ระเกะระกะอยู่ที่พื้นโยนเข้าไป ซุกอยู่ใต้เตียงแล้วเปิดประตูห้องล็อคกุญแตพาตัวเองเดินออกไปจากห้องพักอย่างรวดเร็ว

18.45 น. พอดิบพอดี...ท้องฟ้าที่สว่างไสว เริ่มสลัวลงอย่างรวดเร็ว...ในไม่ช้า ทั่วทั้งเมืองโคราชก็ถูกม่านสีเทารูดลงมาปกคลุมมืดมิดไปหมดทั้งอาณาบริเวณ

"ฟลูออเรสเซ่น" ตามเสาไฟสว่างพรึ่บเป็นแนวยาวเหมือนกับนัดกันเอาไว้ ความอึกทึกครึกโครมซึ่งเงียบสงัดมาตั้งแต่ตอนกลางวันเริ่มแซ่ดขึ้นมาอีกครั้ง

เครื่องขยายเสียงจากรถแห่โฆษณาภาพยนตร์และรถโฆษณาการแข่งขันชกมวย ส่งเสียงโหวกเหวกประชันขันแข่งจนฟังไม่ได้ศัพท์ รถยนต์เริ่มติดกันเป็นแถว การจราจรคับคั่งเหมือนกับกรุงเทพ ฯ ไม่มีผิด

บังหมุดโฉบแว่บไปยืนอยู่หน้าโรงแรมชั่วอึดใจก็ข้ามถนนเข้าไปเตร่อยู่ในบริเวณสวนรัก ซึ่งขณะนี้กำลังคึกคักไปด้วยกะหรี่รุ่นดึกดำบรรพ์ที่แต่งหน้าเสียจนมองดูเหมือนกับแรดที่ถูกย้อนสี

"เที่ยวมั้ย...บัง"

กะหรี่รุ่นสงครามโลกครั้งที่สองคนนึงโฉบแวบเข้ามาเกาะแขนบังหมุดชักชวนไปทำธุระกิจเอาอย่างดื้อ ๆ

" - วันนี้ขอตัว...ป้า...บังไม่มีเงินขายยาไม่ออกอย่าไปล้วงเลยในกระเป๋านั่นไม่มีเงินหรอก...ป้า"

บังหมุดพูดพลางยกมือขึ้นไปจับมือข้างหนึ่งของกะหรี่รุ่นเดอะ ซึ่งกำลังคีบกระเป๋าธนบัตรออกมาจากกระเป๋าหลังของบังหมุดอยู่พอดี...

"วุ้ย...บังก็...ไม่มีเงินก็เซ็นได้นี่ยะ แหมทำเป็นไม่เคยมีอะไร ๆ กับหนูยังงั้นแหละ หนูไม่ยอมมาเรียกเค้าว่าคุณป้า"

โสเภณีค้างปีพยายามตื้อ บังหมุดอย่างเต็มความสามารถ...แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังลั่นจากคิวรถป้ายดำที่จอดอยู่หน้าอนุสาวรีย์

" เฮ้ย ตำรวจโว้ย"

ยังไม่ทันสิ้นเสียงตะโกน กะหรี่ ทุกรุ่นทุก พ.ศ. ที่ชุมนุมกันอยู่ในสวนรักต่างก็สวมวิญญาณนักกีฬาโอลิมปิคยืมฝีเท้า ผู้กองอาณัติ รัตนพล วิ่งกระเจิงกันออกมาจากแหล่งธุรกิจอย่างชนิดตัวโครตัวมัน...ชั่วพริบตาก็หายลับไปเหมือนกับปีศาจ

จ่านายสิบตำรวจ 2 คน กับพลตำรวจ 3 คน แปรขบวนเข้ามาในสวนรัก...ตามติด ๆ ด้วยฝรั่งในชุดหมอสอนศาสนาผมฮิปปี้ยาวประบ่า

หมอสอนศาสนาชี้มือให้จ่านายสิบตำรวจ แล้วพูดอะไรกันครู่หนึ่ง ต่อจากนั้นกลุ่มตำรวจก็เดินตรงเข้ามาหาบังหมุดอย่างรวดเร็ว...

" อย่าหนี ไอ้บัง...มีคนเค้าไปแจ้งว่า มึงเอาสลอดผสมยาแดงไปหลอกขายชาวบ้านจนท้องร่วงกันเป็นแถว...เข้าไปเล่นกลในคุกเถอะมึง"

จ่าสีเหลือบพูดพลางปราดเข้าประชิดตัวบังหมุดกุญแจมือขาววับสับเฉาะเข้าไปที่ข้อมือด้วยความรวดเร็วจนมองดูแทบไม่ทัน

" เอ๊ะ...เอ๊ะ...นี่จับผมเรื่องอะไรกันจ่า...ผมทำผิดอะไรหรือครับนี่...อนิจจา ผืนแผ่นดินไทยนี่โหดร้ายแม้กระทั่งนักเล่นกลผู้ยากไร้อย่างผมเชียวหรือนี่ ? "

บังหมุดยืนตีหน้าเซ่อ แต่สายตามองดู "นอร์แมน" ซึ่งอยู่ในคราบของหมอสอนศาสนาเหมือนกับจะส่งอาณัติสัญญาณอะไรบางสิ่งบางอย่าง

"มึงไม่ต้องตีฝีปากไอ้บัง...ชาวย้านเขาร้องเรียนมาหลายครั้งแล้ว คราวก่อนมึงก็หลอกเอาน้ำประปาผสมสีขายเค้าหนนึงแล้ว...ไอ้หอกมึงนี่จับไม่มั่นคั้นไม่ตายเล่นงานมึงไม่ได้ซักที...คนนี้แน่ใช่ไหมครับ"

ประโยคสุดท้ายจ่าสีเหลือบหันไปถามนอร์แมนเป็นภาษาไทยด้วยนน้ำเสียงนอบน้อม

"ถูกต้อง คุณตำรวจ ชายผู้นี้หลอกเอาเงินผมไปห้าดอลล่าร์"

นอร์แมนตอบเป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

" โกหก...ไอ้ฝรั่ง...กูไม่รู้จักมึง ไอ้ห่าขอเตะปากฝรั่งซักที่เถอะวะ "

บังหมุดสบถออกมาอย่างฉุนเฉียว แล้วกระโจนพรวดเข้าหานอร์แมนทั้ง ๆ ที่ข้อมือทั้งสองโดนสวมกุญแจมือติดกัน

นอร์แมนยกมือทั้งสองขึ้นตะปบข้อมือของบังหมุดเอาไว้แน่นแล้วผลักร่างของบังหมุดเซถลาออกไป พร้อมกับหยิบเศษกระดาษในอุ้งมือของบังหมุดติดมือมาอย่างรวดเร็ว จนไม่มีใครในกลุ่มสังเกตเห็น

" ปล่อยผม...จ่า...ขอผมกระแทกหน้าไอ้ฝรั่งโกหกคนนี้ซักที่เถอะน่า "

บังหมุดพยายามจะเข้าไปทำร้ายนอร์แมน อีกครั้งแต่ก็ถูกกลุ่มตำรวจหิ้วพาเดินออกไปจากสวนรักเสียก่อน

อีกสิบนาทีต่อมา บังหมุดก็ถูกนำตัวมาถึง " กองเมืองหนึ่ง " หลังจากโดนสอบปากคำอยู่ ชั่วครู่อาบังเจ้าเล่ห์ก็ถูกต้อนเข้าไปในห้องขังทันที...

อาศัยความกะล่อนระดับชาติ...บังหมุดไม่ยอมถอดหมวกท่าเดียว...อ้างโน่นอ้างนี่จนกระทั่งตำรวจเวียนหัวยอมให้บังหมุดสวมหมวกทรงประหลาดเข้าไปในห้องขังด้วยท่าทางรำคาญ

พอก้าวแรกที่บังหมุดพาตัวเองพ้นลูกกรงห้องขังเข้าไปก็เจอะกับพระภูมิเจ้าที่ ยืนขวางอยู่หน้าห้องพอดิบพอดี

" โทษอะไรวะ...ไอ้บัง "

ชายฉกรรจ์ตัดผมเกรียน รูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวซีดเหมือนกับชาวจีนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างห้วน ๆ ด้วยท่าทางนักเลงเต็มตัว

" แฮ่ะ...แฮ่ะ...เค้าหาว่าผมหลอกลวงขายยาลูกพี่...ขอโทษครับ...ขอผมเข้าไปข้างใน"

บังหมุดพูดพลางทำท่าจะมุดลอดแขน ชายร่างยักษ์ที่ยืนท้าวประตูลูกกรงอยู่นั้น

" จ่ายมาก่อน สิบบาท...ไอ้บัง...ถ้าไม่จ่ายก็ต้องทำพิธีต้อนรับน้องใหม่ด้วยการกระทืบ"

บังหมุดสะดุ้งเฮือกตีหน้าแหยแล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าหยิบธนบัตรใบละยี่สิบบาทออกมายื่นให้กับพระภูมิเจ้าที่ด้วยท่าทางลนลาน แต่ทว่าสายตาอันคมกริบของมันเหลือบมองไปที่แขนซ้ายของชายร่างยักษ์ อย่างพินิจพิจารณา

บังหมุดยิ้มกับตัวเองด้วยความลิงโลดที่มองเห็นท้องแขนซ้ายของอันธพาลในห้องขังมีพลาสเตอร์ขนาดเล็กปิดทับผิวหนังบริเวณหนึ่งเอาไว้

" ประเดี๋ยวก็รู้...ไอ้...ขอเวลากูอีกซักนิด แล้วกูจะพิสูจน์ให้มึงดูว่า ระหว่างญวนกับแขกใครจะมีพิษสงกว่ากัน"

บังหมุดพึมพำอยู่ในใจพร้อมกับมุดเข้าไปในห้องขังด้วยท่าทางจ๋อง ๆ

" ไอ้แห้ง...ลุกขึ้นมา...ให้ไอ้บังนี่นอนตรงนั้น...มันจ่ายแล้ว มึงยังไม่จ่าย โน่นไปนอนมุมสุดโน่น "

อันธพาลในห้องขังแสดงอิทธิพลด้วยการ สั่งผู้ต้องหารูปร่างผอมกะหร่องคนหนึ่งให้สละที่ให้กับบังหมุดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

" ครับ...พี่เหงียน-วัน-บาย ผมจะลุกเดี๋ยวนี้ "

ไอ้แห้งกระย่องกระแย่งขึ้นมาด้วยท่าทางเหมือนกับคนใกล้จะลงแดงตาย

" ไอ้...กูชื่อวันชัย...กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วไอ้แห้งให้เรียกกูว่า วันชัย...ปากเสียแดกซ่นตีนเถอะมึง "

" เหงียน-วัน-บาย" ตวัดเท้าซ้ายขึ้นเบา ๆ ร่างของไอ้แห้งก็กระเด็นปลิวหวือไปซุกแน่นิ่งอยู่ที่มุมห้องทำท่าจะตายเอาในบัดดล...

" อย่าไปยุ่งกับมัน ไอ้เห้ นี่เป็นญวณอพยพ เป็นนักเลงอยู่ที่หนองไผ่ล้อม...นั่นหมวกอะไรของลื้อวะบัง "

ผู้ต้องขังคนหนึ่งซึ่งครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ บังหมุดกระซิบ แล้วชำเลืองดูหมวกทรงประหาด ซึ่งสวมอยู่บนศีรษะของแขกเจ้าเล่ห์ด้วยความเคลือบแคลงใจ

" หมวกของ "ตวนรายา" ให้อั๊วเมื่อครามเล่นกลที่อีโปร์-มาเลเซีย อั๊วถือว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตไปไหนต้องเอาไปด้วย....ไอ้เหี้ยนี่มันกินรังแตนมาจากไหนกันวะ ดุฉิบหายเลย "

ประโยคสุดท้าย บังหมุดลดเสียงกระซิบกับเพื่อนผู้ต้องหาเบา ๆ พร้อมกับถอดหมวกลงวางบนหัวนอน ด้วยความระมัดระวัง...แล้วเอนกายลงนอน หันหลังให้กับเพื่อนผู้ต้องหาเหมือนกับจะตัดบทสนทนาอยู่ในที

" เฮ้ย...ไอ้แห้ง แดกตีนเข้าไปหน่อยทำเป็นสำออยลุกขึ้นมานวดให้กูหน่อยโว้ย...เมื่อยฉิบผายเลยว่ะ "

"เหงียน-วัน-บาย" ญวนอพยพนักเลงหนองไผ่ล้อม ซึ่งนอนอยู่คนเดียวทางด้านซ้ายมือสุดของห้องขังร้องเรียกไอ้แห้งที่นอนเงียบอยู่ให้ลุกขึ้นไปนวด เล่นเอาไอ้แห้งต้องซังกะตายคลานกระย่องกระแย่งขึ้นมาด้วยความเกรงกลัว

ระฆังเพิ่งจะตีบอกเวลาเที่ยงคืนไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ บังหมุดซึ่งนอนกรนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ แล้วลอบชำเลือง ดูเหตุการณ์ภายในห้องขังด้วยความระมัดระวัง เสียงกรนซึ่งดังเป็นจังหวะจะโคนก็ยังคงดังต่อไปอย่างไม่เป็นที่ผิดสังเกต

ทุกชีวิตในห้องขังกำลังนอนหลับอย่างสุขารมณ์บังหมุดถ่วงเวลาอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นมานั่งพิงผนังลูกกรง สายตาลอบชำเลืองไปนอกห้องขังเพื่อความรอบคอบอีกครั้งแล้วยกหมวกพลิกขึ้น เปิดช่องลับดึงงูเห่าซึ่งนอนสลบไสลออกมาวางข้าง ๆ ตัวด้วยความระมัดระวัง

ชั่วอึดใจร่างของงูเห่าก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วค่อย ๆ ชูหัวเล่นแสงไฟส่ายไปส่ายมาอย่างน่าสะพึงกลัว

บังหมุดผิวปากแล้วดีดมือเบา ๆ พร้อมกระซิบด้วยน้ำเสียงลึก ๆ

" ลูกพ่อ...กัดมัน...กัดไอ้คนที่นอนอยู่โน่น...มันเป็นศัตรูของพ่อ...กัดแล้วหนีออกไป เข้ากรงที่ซ่อนอยู่หน้าโรงพัก...กัดมัน...ลูกพ่อ"

บังหมุดกระซิบ กระซาบพูดกับงูเห่าเหมือนกับคนวิกลจริต และก็เหมือนกับปาฏิหาริย์ เจ้างูเห่าเลื้อยปราด ๆ เข้าไปหาร่างของ "เหงียน-วัน-บาย" แล้วฉกลงไปบนน่องอย่างรวดเร็วจนมองดูแทบไม่ทัน

"เหงียน-วัน-บาย" สะดุ้งขึ้นมานิดหนึ่งพร้อมกับกระตุกขาแล้วก็พลิกตัวนอนหลับต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"หนีเร็ว...ลูกพ่อ...ออกไปหน้าโรงพักโน่น...หนีเร็ว ! "

บังหมุดกระซิบอย่างร้อนรน เจ้างูเห่าแสนรู้เลื้อยปราดออกจากห้องขังแล้วหายลับออกไปทางโต๊ะสิบเวรหน้าโรงพักอย่างรวดเร็ว...

ไม่ถึงสองนาทีร่างของเหงียน-วัน-บาย ก็แอ่นตะกายขึ้นสุดตัว...บังหมุดเผ่นพรวดเดียวเข้าไปประชิดมือข้างหนึ่งดึงพลาสเตอร์ที่ติดอยู่บริเวณท้องแขนซ้ายของเหงียน-วัน-บาย ออกด้วยท่าทางรีบร้อน

พระเจ้าช่วยหมายเลข "174" สักด้วยอักษรสีดำอยู่ใต้พลาสเตอร์ตามคำบอกกล่าวของนอร์แมนไม่มีผิด

"เหงียน-วัน-บาย" เริ่มร้องครวญครางแอ่นร่างกายไปมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสาหัส...ลักษณะที่มองเห็นเหมือนกับคนติดยาเสพติดไม่มีผิด เสียงอึกทึกครึกโครมทำให้ผู้ต้องขังตกใจตื่นขึ้นมามุงดูเหตุการณ์แน่นขนัดไปหมด

"...-ไอ้เหงียน...ลงแดง...อีกรึยังไง ไอ้ห่าหนวกหู ประเดี๋ยวร้อยเวรเล่นงานตายห่าหรอกมึง...เฮ้ยช่วยจับมันมัดกับลูกกรงหน่อยวะ..."

สิบเวรสูงอายุเข้ามายืนเกาะลูกกรงพร้อมกับขอแรงให้ผู้ต้องขังช่วยกันจับ "เหงียน-วัน-บาย" มัดกับลูกกรงเนื่องจากเข้าใจผิดว่านักเลงหนองไผ่ล้อม "เซียน" ยากำลังจะลงแดงตาย

เรื่องมันก็เลยเข้าล็อค...บังหมุดใช้ผ้าขาวม้ามัดร่างของ เหงียน-วัน-บาย ติดกับลูกกรงจนไม่สามารถที่จะดิ้นหลุดได้...ต่อจากนั้นก็พากันนอนหลับต่อไปอย่างสุขารมณ์

พอรุ่งเช้า...ไอ้แห้งก็ร้องโวยวายออกมาสุดเสียงเมื่อมองเห็นลูกพี่ของมันนอนตาย น้ำลายฟูมปากอยู่ข้าง ๆ เล่นเอาวุ่นวายไปหมดทั้งโรงพัก กว่าจะลงเอยกันได้ก็ต้องสอบสวนผู้ต้องหากันเป็นโกลาหล...

"เหงียน-วัน-บาย"...สิ้นชีวิตในห้องขังอย่างน่าเคลือบแคลงใจ !

บังหมุด ถูกประกันตัวออกมาในเช้าของวันรุ่งขึ้นด้วยฝีมือของบุรุษลึกลับผู้หนึ่ง ต่อจากนั้นก็ถูกส่งตัวขึ้นรถทัวร์มุ่งหน้าขึ้นกรุงเทพ ฯ อย่างปัจจุบันทันด่วนภานในครึ่งชั่วโมงที่หลุดออกมาจากห้องขังนั่นเอง

ลังงูเห่าของบังหมุด ถูกวางอยู่บนโต๊ะขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่ภายในห้องที่มิดชิดพอสมควรของบ้านเช่าขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งทุกคนในละแวกหนองไผ่ล้อมต่างก็รู้เป็นเลา ๆ ว่าบ้านหลังนั้นเป็นที่พักอาศัยของหมอศาสนาชาวอเมริกันผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนบ้านพอสมควร

นอร์แมน หัวหน้าข่าวกรองค่ายรามสูร ซึ่งอยู่ในคราบของหมอสอนศาสนาใช้ไม้เขี่ยงูเห่า ซึ่งขณะนี้นอนนิ่งเหมือนกับใกล้จะตายด้วยความเคลือบแคลงใจ

"-ทำไมงูของไอ้หมุดมันถึงซึม ๆ เหมือนกับจะตายแบบนี้เล่าครับ...หัวหน้า...ผมดูท่าทางของมันแล้วรู้สึกว่าไม่รอดแน่ ๆ"

ไอ้แสบซึ่งยืนกินผลไม้อยู่หน้าตู้เย็นเอ่ยถามออกมาเบา ๆ

"-ผมก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน...เห็นมันซึม ๆ ตั้งแต่บังหมุดไปกรุงเทพ ฯ แล้ว...ชอบกลเหมือนกัน...ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ "

นอร์แมนตอบพลางใช้ไม้เขี่งูเห่าต่อไปอีกด้วยความแปลกใจ

" - ไอ้หมุดส่งกระดาษอะไรให้หัวหน้าตอนอยู่ในสวนรัก "

ไอ้โล้นซึ่งยืนมือไขว้หลังมองดูงูเห่าอยู่เงียบ ๆ เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

" - บังหมุดส่งข่าวให้ผมนำลังงูจากห้องพักที่โรงแรมไปซุ่มอยู่หน้าโรงพักตอนเที่ยงคืน...สั่งให้เปิดลังเอาไว้...พองูเลื้อยลงจากโรงพักเข้าลังให้รีบพาลังหนีทันที"

นอร์แมนหยุดพูด หันไปเขี่ยงูเห่าอีก ส่วนไอ้โล้นเดินหายเข้าไปในห้องส่วนตัวชั่วอึดใจก็หยิบห่อกระดาษเล็ก ๆ ถือติดมือออกมาด้วย ต่อจากนั้นก็แก้ห่อกระดาษหยิบวัตถุสีดำ ๆ เหมือนกับยางมะตอยโยงเข้าไปในลังงูเห่าทันที...

งูเห่างับวัตถุสีดำเหมือนยางมะตอย แล้วกลืนเข้าไปอย่างช้า ๆ...เหมือนกับปาฏิหาริย์ ชั่วอึดใจมันก็ดิ้นทุรนทุรายแล้วมีอาการคึกคักขึ้นมาอย่างทันตาเห็น

" - ยาอะไร...มิสเตอร์โล้น "

นอร์แมนถามขึ้นมาด้วยท่าทางแปลกใจ

" - ฝิ่น ครับ หัวหน้า...ผมสงสัยไอ้หมุดต้องเลี้ยงงูเห่าตัวนี้ด้วยฝิ่นแน่ ๆ ก็เลยลองดู "

" - มายก๊อด...ผมนึกแล้วเชียว...มิสเตอร์หมุดเอาฝิ่นใส่ไว้ในลังงูที่ผมซ่อนเอาไว้หน้าโรงพัก...พองูเห่ากัด เหงียน-วัน-บย เสร็จก็เลื้อยออกมาหาลังของมันทันทีเพราะถึงเวลากินฝิ่น..."มายก๊อด" มิสเตอร์หมุด เป็นนักเลี้ยงงูที่น่าพิศวงที่สุดในโลก...ผมเพิ่งได้ไมโครฟิล์มจากแขนของ "เหงียน-วัน-บาย" เมื่อเย็นนี้เอง เราได้รับความร่วมมือจากผู้ใหญ่ของทางตำรวจ เอ๊ะ นี่ ผู้กองอังคารกับหมอดาหลาไปไหนครับนี่ ? "

ประโยคสุดท้าย นอร์แมนหันไปถามไอ้แสบด้วยท่าทางกังวล

" - ออกไปส่ง ไอ้หมุดกับหมอดาหลาที่ "ดาราทัวร์" ยังไม่กลับเข้ามาเลยครับ ผมลองติดต่อวิทยุไป ผู้กองส่งสัญญาณตอบกลับมาว่า สงสัยคลื่นวิทยุที่เรากำลังใช้อยู่อาจจะถูกดังฟัง...บอกให้เลิกติดต่อโดยสิ้นเชิง ต่อจากนั้นผู้กองก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย "

ไอ้แสบตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางกังวลพอ ๆ กัน

นอร์แมนเม้มริมฝีปากแน่น เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

" - ย้านสถานี...ถ้าคลื่นวิทยุถูกดักฟัง สถานีชั่วคราวของเราที่นี่ไม่ปลอดภัยแน่...มิสเตอร์โล้นตั้งระเบิดเวลาแบบ " กระทบ-ระเบิด " เอาไว้ทุกจุด แล้วเปลี่ยนป้ายหมายเลขหน้าบ้านตามรหัสที่ได้ตกลงกันเอาไว้แล้ว...เมื่อผู้กองอังคารกลับมาจะได้รู้ว่าข้างในบ้านมีระเบิดเวลา...เคลื่อนย้ายเดี๋ยวนี้เลย "

ในขณะที่นอร์แมน กับไอ้แสบ ตาลีตาเหลือกขนอุปกรณ์เครื่องใช้ขึ้นรถ...ไอ้โล้นก็วางระเบิดเวลาเอาไว้รอบ ๆ บ้าน...ต่อจากนั้นก็เปลี่ยนหมายเลขบ้านจากหมายเลข 183 เป็นหมายเลข 193 อันเป็นหมายเลขมรณะที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว่า หมายเลขดังกล่าวก็คือ รหัสการย้ายสถานีอย่างเร่งด่วน เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามจับทิศทางการเคลื่อนไหวของฝ่ายเราได้อย่างถูกต้องนั่นเอง

ทั้งสามคนก็เคลื่อนย้ายออกจาก " รัง " ชั่วคราวไปได้อย่างปลอดภัย

คล้อยหลังไม่ถึงสิบนาทีก็มีรถจี๊ปสีทึบ ๆ เปิดประทุนบรรทุกชายฉกรรจ์แน่นเอี๊ยดวิ่งเข้ามาจอกอยู่หน้าบ้านแล้วเปิดฉากซัลโวด้วยปืนนานาชนิดอย่างหูดับตับไหม้

พอสิ้นเสียงปืน...สองคนบนรถก็กระชับปืนวิ่งชาร์ทบุกตะลุยเข้าไปในบ้าน ก็เลยถูก "กับระเบิด" จากฝีมือของไอ้โล้นเละเทะอยู่หน้าประตูบ้านนั่นเอง...

ในขณะที่เสียงระเบิดและเสียงปืนกำลังเซ็งแซ่อยู่ ณ บริเวณสถานีชั่วคราวขององค์การ "ซี.ไอ.เอ." นั้น ผู้กองอังคารกับหมอดาหลากำลังห้อรถเหยียดอยู่บนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สายโชคชัย-โคราชด้วยความเร็วสูง...

จากคลื่นวิทยุที่ "แจมมิ่ง" เข้ามาในวิทยุรับส่งของ ซี.ไอ.เอ. อย่างบังเอิญทำให้ผู้กองอังคารจับความผิดปกติได้...สัญชาตญาณและประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผู้กองอังคารเบนรถที่กำลังจะมุ่งหน้าเข้าหาสถานีชั่วคราวมุ่งออกถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ที่เปลี่ยวที่สุดเพื่อเป็นการ "ลวง" หน่วยแกะรอยของ เค.จี.บี. ที่อยู่ในคราบของรถบรรทุกน้ำมัน ซึ่งติดตามมาห่าง ๆ อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา

พอรถของผู้กองอังคารเลี้ยวโค้ง ซึ่งถนนสองฟากเป็นท้องนาที่เจิ่งไปด้วยน้ำก็มองเห็นตะเกียงรั้วสว่างโร่อยู่ถึงกลางถนน

" ด่านตรวจ...ค่ะ...อังคาร"

หมอดาหลาเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับซุก .357 ไพร่อนลงไปในซอกเบาะข้าง ๆ ตัว

ผู้กองอังคารลดความเร็วรถลงแล้วชะลอจอดที่หน้าแผงรั้ว กลุ่มตำรวจไม่น้อยกว่า 3 คนยืนถือไฟฉายส่องกราดเข้ามาทางกระจกหน้าเป็นสัญญาณให้รถหยุด

ตำรวจ 2 คน เคลื่อนที่เข้ามาประกบหน้าต่างรถทั้งสองด้านแล้วใช้ไฟฉายส่องจ้าเข้ามาอย่างผิดมรรยาทของตำรวจด่านตรวจทั่ว ๆ ไป

" - จะไปไหนไม่ทราบ "

สำเนียงแปร่งหูเริ่มถามขึ้นเป็นประโยคแรก สัญชาตญาณบอกให้ผู้กองอังคารรู้ว่าสำเนียงและกริยาดังกล่าวนั้นผิดแผกไปจากระเบียบวินัยของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างสิ้นเชิง และยิ่งแสงไฟฉายสาดกระทบดาวโลหะสีเงินบ่งบอกความเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตรของผู้พูดด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับผู้กองอังคารเป็นทวีคูณ

ผู้กองอังคารลอบชำเลืองเครื่องแต่งกายของนายตำรวจที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านข้างรถอย่างลวก ๆ ก็พบกับความผิดปกติขึ้นมาทันที...

เข็มขัดที่คาดอยู่เป็นเข็มขัดของพลเรือน !

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 19 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 17:03  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19426

คำตอบที่ 89
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 20

แสงไฟฉายทั้งสามดวงที่ส่องกราดเข้ามาอย่างไร้มารยาท ทำให้ผู้กองอังคารต้องหยีตาลงชั่วขณะแล้วค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบ "ดันฮิลล์" จากตู้คอนโซลขึ้นมาจุดสูบด้วยความใจเย็น พร้อมกับย้อนถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

" - ที่กรุงเทพ ฯ ก็ยังให้เวลาถึงหกทุ่มนี่ก็เพิ่งสี่ทุ่มกว่า ๆ ผมว่าผู้หมวดตั้งด่านตรวจผิดที่กระมังครับ..."

ในขณะที่พูด ผู้กองอังคารก็ชำเลืองดูหมอดาหลา เขาใจหายวาบที่เห็นแม่เสือสาวขยับตัวเสมือนหนึ่งจะเอื้อมมือลงไปในซอกข้างประตูรถ สมองแทบจะไม่ต้องสั่งการ ผู้กองใช้ข้อศอกซ้ายกระทุ้งชายโครงเตือนสติเธอเบา ๆ

หมอดาหลาชะงักแล้วค่อย ๆ ใช้มือขวาขยับกระเป๋าแฮนแบ็คผ้ายีนส์ที่วางอยู่บนตักให้หันข้างให้ โดยที่ไม่มีใครในกลุ่มนั้นสนใจ นอกจากผู้กองอังคารผู้กำลังใจเต้นระทึกอยู่ข้าง ๆเท่านั้น

" - คุณไม่ต้องตีฝีปากกับผม...ผมเป็นเจ้าหน้าที่...ผมมีสิทธิสอบถามประชาชนที่ต้องสงสัยได้ทุกเวลา"

นายตำรวจคนที่คาดเข็มขัดพลเรือนตอบด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวพร้อม ๆ กับขยับตัวจากหน้ารถเข้ามาทางด้านขวามือตรงบริเวณที่ผู้กองอังคารนั่งอยู่พอดิบพอดี

" - ครับ...ผมเป็นประชาชนย่อมเคารพกฎหมายแต่นี่พวกคุณเล่นเอาปืนมาจี้ มองดูเหมือนกับผู้ร้ายไม่มีผิด"

" - ในนามของกฎหมาย...ลงมาจากรถเดี๋ยวนี้...ผมต้องการค้นอาวุธภายในรถคุณ "

นายตำรวจตัดบทขึ้นมาด้วยเสียงเฉียบขาดพร้อมกับขยับไฟฉายในมือเป็นสัญญาณให้ผู้กองอังคารลงจากรถ

ผู้กองอังคารหันไปสบตากับหมอดาหลานิดหนึ่งแล้วค่อย ๆ เปิดประตูลงไปยืนข้าง ๆ รถ

พลตำรวจอีกคนซึ่งยืนขนาบข้างอยู่ด้านซ้ายมือสุดก้มลงมองดูสาวทางช่องหน้าต่างที่ลดบานกระจกลงจนสุดอยู่ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือเข้ามาจับแก้มเอาดื้อ ๆ แถมสำรอกออกมาด้วยน้ำเสียงกักขฬะ

" - ลงมาด้วยอีกหนู "

หมอดาหลาไม่ตอบ เธอใช้มือข้างหนึ่งกดลงไปบนปุ่มสีแดงที่อยู่บนแผงคอนโซลเต็มแรง

ด้วยระบบอัตโนมัติ กระจกด้านข้างซึ่งซ่อนตัวอยู่ในร่องประตูพุ่งปล๊าดขึ้นหาหลังคารถ จนมองดูแทบไม่ทันและจำเพาะเจาะจงกระทบกับข้อมือของพลตำรวจชีกอที่ยื่นมือเข้ามาในรถ แล้วกระแทกติดกับขอบหลังคาด้านบนเต็มแรง

" - โอย...พี่สุข...ผม...ผม"

พลตำรวจชีกอ แหกปากร้องออกมาสุดเสียง...ปืนที่ถือยู่ในมือข้างหนึ่งร่วงลงไปที่พื้นแล้วงอตัวด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

สิบตำรวจเอกที่ยืนอยู่ทางขวามือกระโจนพรวดเข้ามาพร้อมกับกระชากบานประตูรถเปิดอ่ออกทำให้ข้อมือของพลตำรวจหลุดออกจากขอบหลังคาด้านบนทันที ความเจ็บปวดทำให้พลตำรวจผู้เคาระห์ร้ายยืนตัวงอ ปากก็ครวญครางออกมาไม่ขาดระยะ

หมอดาหลา ยังไม่ทันจะขยับตัวก็โดนฝ่ามือของสิบตำรวจเอกซัดเปรี้ยงเข้าไปที่ใบหน้า แล้วถูกกระชากออกจากรถอีกด้านหนึ่ง กระเป๋าแฮนแบ๊คซึ่งวางอยู่บนตักถูกหญิงสาวฉวยติดมือออกไปได้ทันท่วงที

หมอดาหลาถูกสิบตำรวจเอกจับต้นแขนเอาไว้แน่นแล้วหล่อนก็ยืนนิ่งเฉยไม่ขัดขืนเสมือนหนึ่งหมดพิษสงโดยสิ้นเชิง

ผู้กองอังคาร ยืนประจัญหน้าอยู่กับนายตำรวจที่ถือปืนจ่อห่างอกเขาแระมาณศอกเศษ ๆ แล้วปรายหางตาไปทางหมอดาหลาซึ่งขณะนี้ยืนหน้าบึ้งด้วยท่าทางฉุนจัด

" - คุณ...นี่พวกคุณเล่นพิเรนอะไรกันนี่...หลอกชั้นออกมาจากไนท์คลับ แล้ววางแผนระยำกันแบบนี้เองรึ..."

หญิงสาวร้องถามออกไปอย่างฉุนเฉียว

ผู้กองอังคารแอบยิ้มในใจ ที่หมอดาหลาฉลาดและทันต่อเหตุการณ์เกินกว่าที่เขาจะคาดถึง

" - ขอโทษ...คุณนูล...ผมไม่มีเจตนาที่จะหลอกคุณจริง ๆ ...บังเอิญมาเจอะพรรคพวกเข้าเสียก่อน...เอ้า ! มึงจะเอายังไงก็เอากัน...ไอ้ตำรวจปลอมทั้งหลาย"

ประโยคสุดท้ายผู้กองอังคารหันไปตัดบทกับกลุ่มตำรวจที่ยืนขนาบอยู่ข้าง ๆ

คนที่แต่งเป็นตำรวจแสยะยิ้ม

" - ลื้อตาถึงนี่หว่า...จะเอายังไง หะเดี๋ยวมึงก็รู้...เฮ้ย...ไอ้สุข มึงส่งสัญญาณไฟให้รถน้ำมันที่จอดอยู่ข้างหลังโน่น ให้เคลื่อนที่เข้ามาได้แล้ว"

ประโยคสุดท้าย นายตำรวจหันไปออกคำสั่งกับสิบตำรวจเอกที่ยืนจับต้นแขนหมอดาหลาอยู่อีกด้านหนึ่งของตัวรถ

สิบตำรวจเอกปล่อยมือออกจากต้นแขนของหญิงสาว แล้วใช้ไฟฉายส่องเป็นจังหวะสั้นยาวสั้นยาวสามครั้งไปยังมุมถนนซึ่งอยู่ห่างออกไปจากด่านตรวจประมาณ 50 เมตร

ชั่วอึดใจ ก็มีแสงไฟคู่กระพริบตอบ แล้วเริ่มเคลื่นที่มองเห็นไฟสูงสาดเข้ามาบนถนนสว่างจ้าเป็นทาง

" - จะเล่นระยำ ๆ แบบนี้ก็น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก...ไอ้สามสี่คนแค่นี้ชั้นไม่ยี่หระหรอก ฝรั่งหนองไผ่ล้อมเป็นกองร้อย ๆ ก็เคยผ่านมาแล้ว...ไอ้บรรลัยจักรชิงสุนัขเกิดตายห่าเสียเถอะมึง "

ยังไม่ทันสิ้นประโยคสุดท้ายของหมอดาหลา...ผู้กองอังคารก็ทิ้งตัวฮวบลงไปนอนกับพื้นด้วยอาการรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และพร้อม ๆ กันนั้นเอง เสียงกัมปนาทของชิฟสเปเชียล จากแฮนด์แบ๊ค ผ้ายีนส์ที่ถืออยู่ในมือของหมอดาหลา ก็แผดสนั่นขึ้นสามนัดซ้อน ๆ

"ปัง...ปัง...ปัง"

ประกายไฟสีเขียวปนส้มสว่างแวบออกมาจากรอยขาดของแฮนด์แบ๊ค มองเห็นถนัดหูถนัดตา

แม่นเหมือนกับผีจับยัด ชายคนที่แต่งเป็นนายตำรวจที่ยืนถือปืนจ้องอยู่เบื้องหน้า แหกปากร้องออกมาสุดเสียงแล้วกระดอนถอยหล้งลงมาทับแผ่นหลังของผู้กองอังคาร ซึ่งขณะนนี้ กระตุก .44 แมคนั่ม ซึ่งมาจากซองพหที่หน้าแข้งเรียบร้อยแล้ว

ผู้กองอังคารผลักร่างนายตำรวจปลอมลงไปนอนตัวงอกุมหน้าท้องอยู่บนพื้นข้าง ๆ รถ แยกเขี้ยวจ่อปลายกระบอก .44 แมคนั่ม ลงไปที่กกหูด้านหนึ่งของนายตำรวจที่นอนอยู่ข้าง ๆ แล้วเหนี่ยวไกอย่างใจเย็น

" ปัง "

กระสุนเจาะเกราะจากปืนพกที่มีอานุภาพมากที่สุดในโลกปัจจุบัน ทะลุกกหู แล้วฉีกกระโหลกศีรษะด้านตรงข้ามออกเป็นรูโหว่ชนนิดกำมือรอดได้มองเห็นอย่างถนัดหูถนัดตา

ตำรวจปลอดสองคนที่เหลือ กระโจนพรวดเข้าไปหาขอบถนนด้วยสัญชาตญาณเร้นภัย

ผู้กองอังคารวาดปืนตาม แล้วเหนี่ยวไกอย่างใจเย็น

" ปัง...ปัง "

กระสุนเจาะเกราะพุ่งเข้าหาร่างของตำรวจปลอมทั้งสองเหมือนกับผีจับยัด พลตำรวจซึ่งแยกวิ่งออกไปทางซ้ายมือโดนกระสุนที่บริเวณกลางหลังกระเด็นไปนอนค้างอยู่บนขอนไม้ที่กลิ้งอยู่บริเวณขอบถนนพอดิบพอดี...

ส่วนสิบตำรวจเอก ซึ่งวิ่งแหกออกไปทางขวามือร้องจ๊ากออกมาสุดเสียงแล้ว กระดอนออกไปนอนแผ่หราอยู่กลางถนนห่างจากจุดที่โดนกระสุนเจาะเกราะเกือบ 15 เมตร

" ปัง...ปัง...ปัง...ปั ง "

เสียวปืนคำรามแหวกความมืดมาจากเบื้องหลัง 4 นัด ซ้อน ๆ พร้อม ๆ กับแสงไฟและเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหว

ผู้กองอังคารขยับตัวลุกขึ้น แล้ววิ่งชาร์ทเข้าหาหมอดาหลา มือข้างหนึ่งคว้าเอวกระชากลัมกลิ้งลงไปในคูข้างถนน ซึ่งเจิ่งไปด้วยน้ำเกือบครึ่งตัว

พริบตานั้นเอง รถบรรทุกน้ำมัน ซึ่งตามรถผู้กองอังคาร มาอยู่ตลอดเวลาก็กระโจนพรวดพุ่งเข้าชนท้ายรถเก๋งสปร์ต อันเป็นตำแหน่งที่เขาและหมอดาหลายืนอยู่เมื่อพริบตาที่แล้วอย่างชนนิดที่พลขับจงใจจะพุ่งเข้าชนให้แหลกยับทั้งสองคน

" โครม "

รถสปร์ตกระเด็นยวบไปเบื้องหน้าแล้วพุ่งเข้าชนรั้วด่านตรวจปลิวออกไปเค้เก้อยู่ที่ขอบถนน ตะเกียงรั้วแตกกระจายยับไม่มีชิ้นดี

รถบรรทุกน้ำมันเสียจังหวะนิดนึงก็ทรงตัวได้ พลขับเหยียบคันเร่งจนมิด พารถวิ่งราวกับธนูออกจากตำแหล่งที่หมายก็คือ อำเภอโชคชัย ที่อยู่ห่างออกไปเกือบยี่สิบกิโลเมตร

ผู้กองอังคารกระโจนแผล็วขึ้นมานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นถนนในลักษณะท่านั่งยิง มือทั้งสองกระชับปืน เหยียดยื่นออกไปเบื้องหน้า เหนี่ยวไกปล่อยไกหล่อยกระสุนนัดที่ 4 ออกไปด้วยความประณีตกว่าทุกครั้ง

" ตูม " คราวนี้เสียงกระสุนหนักแน่นยิ่งกว่าทุก ๆ ครั้ง ด้วยอำนาจของกระสุนเจาะเกราะที่ทะลวงผ่านถังน้ำมันเข้าไปทำให้บังเกิดปฏกริยาจากน้ำมันที่เหลืออยู่ระเบิดขึ้นมาทันที

ประกายไฟสีเขียวสุกใสสว่างแวบขึ้นมาพร้อม ๆ กับบังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ช่วงท้ายของรถบรรทุกน้ำมันก็แปรสภาพเป็นรถอาบไฟขึ้นในบัดดล

" บึ๊ม "

เสียงระเบิดกระหึ่มขึ้นมาเป็นคำรบที่สอง คราวนี้รถบรรทุกน้ำมันชะงักเหมือนกับถูกตรึง ชิ้นส่วนของรถกระจุยกระจายออกไปรอบ ๆ ทิศ มองดูเหมือนกับดอกไม้ไฟที่จุดในงานเฉลิมฉลองไม่มีผิด

คนขับซึ่งเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในรถกระโจนผลุงออกมาในสภาพที่หน้าหวาดเสียว คือมีไฟลุกเสื้อผ้าโชน์ไปทั้งตัว

หมอดาหลาซึ่งขึ้นมานั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ผู้กองอังคารเมื่อไร ไม่ทันสังเกตเห็น เหยียดแขนเล็งปืนไปข้างหน้าอยู่ชั่วอึดใจก็บรรจงเหนี่ยวไกอย่างช้า ๆ ปากก็พึมพำออกมาเบา ๆ

"คนใจร้าย...ปล่อยให้ไฟคลอกทรมานเค้าอยู่ได้"

ยังไม่ทันจะสิ้นคำพูดของหมอดาหลา ลูกกระสุนขนาด 158 เกรนจาก "ชิฟสเปเชียล-แอร์เวท" ก็แผดเสียงขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว เป้าหมายก็คือร่างแบไฟของพลขับรถน้ำมัน ซึ่งวิ่งกระเซอะกระเซิงสว่างจ้าอยู่เบื้องหน้านั้น

"ปัง"

พลขับผู้เคาระห์ร้ายเซถลาลงกับพื้นมองเห็นไฟลุกท่วมเสื้อผ้าสว่างจ้า ถนัดหูถนัดตา

ไม่ถึง 10 นาที สี่ชีวิตก็กลายเป็นผีเฝ้าถนนซูเปอร์ไฮเวย์ไปอย่างน่าสยดสยอง

"คุณคุ้มกันผมให้ด้วย...ผมจะไปดูรถบางทีอาจจะขับได้"

ผู้กองอังคารพูดพลางวิ่งซิกแซ็กเข้าไปหารถสปอร์ดเมื่อตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ติดเครื่องยนต์กระหึ่มพร้อมกับยื่นหน้าออกไปผิวปากเรียกหมอดาหลาเบา ๆ

ชั่วอึดใจต่อมาทั้งสองก็พารถวิ่งย้อนเข้าเมืองโคราชทิ้งเหตุการณ์อันน่าสยดสยองเอาไว้เบื้องหลังอย่างไม่ไยดี

กว่าผู้กองอังคารและหมอดาหลาจะหาทางเข้าสถานีที่สองของ "นอร์แมน" ได้ก็ต้องขี่รถวนเวียนอยู่ในตลาดเมืองโคราชหลายตลบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีรถติดตามทั้งคู่ก็จอดรถทิ้งเอาไว้ที่ "ฮอลลิเดย์คอฟฟี่ช็อพ" แล้วนั่งสามล้อมุ่งหน้าไป "จอมสุรางค์โฮเต็ล" อันเป็น "รัง" ชั่วคราวที่นอร์แมนเช่าล่วงหน้าเอาไว้ในนามของหมอสอนศาสนาตั้ง 3 เดือนมาแล้ว

" ผู้กอง รถดาราทัวร์โดนจี้...ไอ้หมุดโดนซิวไปแล้ว"

ไอ้โล้นละล่ำละลัก รายงานแทบหายใจไม่ทัน เมื่อทุกคนพากันพร้อมหน้าในห้องชุดของโฮเต็ลชั้นหนึ่งในภาคอีสาน

ผู้กองอังคารก้มลงดึง .44 แมคนั่มที่ซองพกหน้าแข้ง ออกมาปลดล๊อคลูกโม่เทปลอกกระสุนร่วงพื้นดังกราวแล้วหยิบกระเป๋ากระสุนจากกระเป๋าหลังขึ้นมาเปิด หยิบกระสุนชุดใหม่บรรจุเข้าไปในลูกโม่อย่างคล่องแคล่วว่องไว

" - ผู้กองกับคุณหมอไปฟัดกับใครมาครับนี่...เสื้อผ้ามอมแมมหยั่งกับลูกแมวตกน้ำแบบนี้ ผมว่าผู้กองคงจะหวดไปหลายศพแน่ ๆ ...ที่ไหนครับผู้กอง ? "

ไอ้แสบซึ่งยืนพิจารณาดูเสื้อผ้าของลูกพี่อย่างเงียบ ๆ เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างเคลือบแคลงใจ

" - ของอั๊วสอง...ของหมอ...สอง ที่ถนนสายโชคชัยโน่น...ไอ้...มีรถบรรทุกน้ำมันตามอั๊วตั้งแต่หัวทะเลแล้ว-เกือบไป...เดี๋ยวเล่าเรื่องไอ้หมุดก่อน "

ผู้กองอังคารตัดบทขึ้นมาอย่างห้วน ๆ ด้วยความใจร้อน...แล้วชำเลืองดูรอบ ๆ ห้องเหมือนหนึ่งจะมองหานอร์แมน

" หัวหน้าไปหาเอเย่นต์ของเราที่โคราชโฮเต็ล "

ไอ้โล้นสอดขึ้นมาเหมือนกับจะทายใจของผู้กองอังคารออก เมื่อเห็นผู้กองนิ่งมันก็เลยพูดต่อ

" - พอรถดาราทัวร์ วิ่งออกไปถึงบริเวณตาลคู่ก็โดนรถตำรวจวิ่งแซงหน้าส่งสัญญาณให้รถหยุด ต่อจากนั้นไอ้หมุดก็ถูกตำรวจซิวขึ้นรถจี๊ปขับย้อนกลับเข้ามาในโคราช..."

" - ไอ้หมุด โดนตำรวจจับข้อหาอะไรวะไอ้โล้น "

ผู้กองอังคารสอดขึ้นมาด้วยความเคลือบแคลงใจ

" - ไม่มีข้อหา...ตำรวจปลอดทั้งนั้น สอบถามดูทุกโรงพัก ทุกอำเภอไม่มีใครรู้เรื่องสายของเราวิ่งกันพล่านเมืองโคราช ขณะนี้ยังจับทิศทางของมันไม่ได้...ไม่มีใครรู้ว่า ไอ้หมุดโดนซิวอยู่ที่ไหน ? "

ไอ้โล้นพูดพลางเดินไปที่ม่านหน้าต่างพร้อมกับค่อย ๆ แหวกชายข้างหนึ่งมองทะลุลงไปที่ถนนหน้าโฮเต็ลด้วยความระมัดระวัง

ผู้กองอังคารลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินกลับไปมาอยู่หลายเที่ยว งานด้านอื่นกำลังติดพัน แต่ขณะนี้เหตุร้ายก็แทรกซ้อนเข้ามาอย่างกะทันหัน " บังหมุด " สายคนสำคัญของ ซี.ไอ.เอ. ซึ่งในอดีตเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของเขาคนนึงโดนคร่าตัวหายไปอย่างไม่ได้ร่องรอย มันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่หนักพอดู ที่แก้ไม่ตกอยู่ในขณะนี้

" - ไอ้แสบมึงไปตาม "ไอ้เต๋า-โบว์ลิ่ง" ที่สินประเสริฐ-โบว์ล มาเดี๋ยวนี้ หลอกมันว่าหมอนวดเบอร์ 007 โอซาก้า สั่งให้ไปหา...ไอ้หอกนี่บ้าผู้หญิง...มึงเอาตัวมาให้ได้บางที่เราอาจจะรู้ทิศทางของไอ้หมุดจากไอ้หมอนี่"

ไม่ต้องสั่งเป็นครั้งที่สอง ทั้งไอ้แสบและไอ้โล้นก็ฉากแวบออกไปจากโฮเต็ล...ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็หิ้วปีก "ไอ้เต๋า-โบว์ลิ่ง" จิ๊กโก๋ระดับชาติของเมืองโคราชขึ้นมานั่งหน้าบูดอยู่บนโซฟาภายในห้องชุดที่รโหฐานนั้น...

" - โบว์ลิ่ง กำลังมัน ผมกำลังจะเชือดหมูจากกรุงเทพ ฯ อยู่พอดี...เอาผมมาทำไมกันครับนี่"

ไอ้เต๋าพูดพลางชำเลืองไปที่ขวด "จอห์นนี่วอคเกอร์" ที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางกระหาย ผู้กองอังคารหันไปพยักหน้ากับไอ้โล้นลูกน้องตัวดี ก็ดูเหมือนว่าจะรู้ใจ รีบเดินไปรินใส่แก้วทรงสูงมาเกือบครึ่งเดินมายังไม่ทันจะถึงตัวไอ้เต๋าก็รีบเอื้อมมือออกไปแย่งมาดื่มด้วยความกระหายจัด

" - เหล้าปลอม...รสนิยมต่ำ ๆ ...นี่พวกคุณกินเหล้าปลอมกันหรือครับนี่...เหล้าขวดนี้ทำในโคราช...เมดอินหัวทะเลแหง ๆ"

ไอ้เต๋า พูดพลางใช้มือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดริมฝีปากแล้ววางแก้วทรงสูงลงบนโต๊ะ สายตาที่มองขวดเหล้ามีแววเหยียดหยามอยู่ในที

" - เต๋า อั๊วมีงานให้ลื้อทำ เงินดี...อั๊วเห็นลื้อกว้างขวางในหมู่นักเลงเมืองโคราช งานง่าย ๆ ...ถ้าลื้อตกลง อั๊วจะจ่ายให้ลื้อเดี๋ยวนี้หนึ่งพันบาท"

ผู้กองอังคารแย็ปออกไปเหมือนกับจะหยั่งเชิง

" - วันนี้เป็นวันศุกร์ จะจ้างให้ผู้ไปต่อยมวยกับ "แคส เซียสเคลย์" ซักสองยกก็ยังไหว...แต่มีข้อแม้ว่าต้องจ่ายเงินก่อนเที่ยงวันเสาร์นะครับ จุ๊...จุ๊...หรุ่งนี้ อย่าบอกใคร...ที่เด็ด "คุณอนันต์" ม้าเบอร์ 7 ของ "เสี่ยเคียว" นอนมาอย่างชนิดแบเบอร์ งานอะไรผมเอาทั้งนั้น...ต้องจ่ายก่อนเที่ยงวันเสาร์นะครับ"

สองสามประโยคสุดท้าย ไอ้เต๋าลดเสียงลงกระซิบกระซาบกับผู้กองอังคารให้ไปแทงที่เด็ดการแข่งขันม้า ซึ่งมันชอบอย่างเข้ากระดูกดำ

ผู้กองอังคารไม่ตอบ ล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบรูปบังหมุดออกมาวางที่โต๊ะ ยังไม่ทันจะถาม ไอ้เต๋าก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

" - ไอ้แขกเจ้าเล่ห์...นักต้มระดับชาติเล่นกลอยู่หน้าศาลากลาง...คุณให้ผมดูรูปทำไมครับ"

" เดี๋ยวนี้มันอยู่ที่ไหน...ถ้าลื้อรู้เบาะแสของไอ้แขกนี่...อั๊วจ่ายลื้อเดี๋ยวนี้พันบาท"

ผู้กองอังคารพูดพลางกรัดธนบัตรใบละ 500 บาทสองใบล่อตาโก๋ระดับชาติอยู่ไปมา...

" - ผมไม่รู้...แต่ผมสามารถที่จะชี้ช่องทางให้คุณรู้ได้...เพื่อนผมคนนึงรู้ทิศทางของไอ้คนนี้ดี...เพราะมันเคยกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวเกือบทุกวัน...จ่ายมาก่อนแล้วผมจะพาพวกคุณไป "

ไอ้เต๋า-โบว์ลิ่ง เอื้อมมือรับธนบัตรใบละ 500 บาทขึ้นส่องกับแสงไฟบรรจงพับใส่กระเป๋าปากก็พูดต่อไปอีก

" - ขออย่างเดียว พวกคุณอย่าไปรวนกับเพื่อนของผมคนนี้เป็นอันขาด ไอ้ "อ้วน-ราม่า" มันไม่ใช่นักเลงแต่มันสามารถด่าแม่นักเลงโคราชทุกคนได้โดยไม่มีใครหือ...ไปเลยครับ...ธุรกิจไม่เคยรอใคร "

ไอ้เต๋า พูดพร้อมกับพาตัวเองเดินออกจากห้องชุดของ "จอมสุรางค์-โฮเต็ล" ด้วยมาดของดาคารภาพยนตร์ในอนาคต

01.00 น. ณ บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์เฉลิมวัฒนาราม่า กำลังสับสนไปด้วยกลุ่มของนักเที่ยวทั้งชายและหญิงที่ทะลักออกมาจากสถานบริการต่าง ๆ ซึ่งตั้งแออัดยัดเยียดอยู่ทั้งสองฟากถนนแห่งนั้น...ไนท์คลับ 3 แห่ง...สถานอาบอบนวดสองแห่ง ห้องอาหาร 2 แห่ง ก็เลยทำให้บริเวณดังกล่าวนั้น เป็นที่รวมของคนกลางคืนเมืองโคราชไปโดยปริยาย

ชายลูกครึ่งจีน...รูปร่างอ้วนขนาดน้อง ๆ "ดาวน้อย-ดวงใหญ่" ใส่กางเกงขาสั้นยืนอยู่หลังรถขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัว ซึ่งตั้งเป็นแผงอยู่ท่ามกลางร้านรวงที่เป็นตึกใหญ่โตมโหฬารนั้น

โต๊ะเก้าอี้ 6-7 โต๊ะ กำลังแน่นขนัด ไปด้วยขาประจำซึ่งส่วนมากเป็นจิ๋กโก๋, นักเลงกลางคืนอันธพาล, นักปล้น...พาร์ทเนอร์และหมอนวด

" - อ้วน...ใส่เครื่องในแยะหน่อยนะ"

" - อ้วน...ใส่ถั่วงอกดิบหน่อยนะ"

" - อ้วน ขอหนูใส่เนื้อเปื่อยมาก ๆ หน่อยนะ"

เสียงหมอนวด พาร์ทเนอร์ตะโกนสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัววฟังไม่ได้ศีพท์ เล่นเอา "อ้วน-ราม่า" ซึ่งยืนอยู่หน้าหม้อก๋วยเตี๋ยวสะบัดหน้าหันมาตวาดด้วยเสียงเหมือนกับฟ้าร้อง

" - แล้วก็ซ่นตีนไม่ใส่ด้วยรึยังไง..."

เล่นเอาเรียกเสียงฮาครืนใหญ่จากจิ๊กโก๋ระดับชาติ 3-4 คน ที่นั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ

" - พวกมึงก็เหมือนกัน...ไอ้ลองสุมหัวกันจะไปปล้นที่ไหน ก็เสือกมาวางแผนกันที่นี่ โน่น..."ผู้กองมหัคพันธุ์" เดินมาโน่น ประเดี๋ยวถูกซิวหรอกมึง"

ไอ้อ้วนหันไปตะโกนด่ากลุ่มนักเลงที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ ด้วยความฉุนเฉียว...และคำพูดของมันก็ได้ผล...กลุ่มนักเลงแตกฮือหลบหน้าผู้กองมือปราบโคราช ไปคนละทิศละทาง...

" - เห็นไหมครับ...น่คือ...ไอ้อ้วน - ราม่า พ่อของนักเลงทุกรุ่น...ประเดี๋ยวมีอะไร พวกคุณสอบถามมันได้เลยครับ "

ไอ้เต๋าโบว์ลิ่งซึ่งยืนอยู่ในกลุ่มของไอ้โล้นกระซิบกระซาบถึงสรรพคุณของพรรคพวกด้วยความภาคภูมิใจ

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 20 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 17:04  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19427

คำตอบที่ 90
       เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 21

ภาพยนตร์ไทยรอบดึก ซึ่งมีรายการพิเศษเพิ่งจะเลิก จำนวนคนดูเกือบสองพันคนที่ทะลักออกมาจากโรงทำให้บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์เฉลิมวัฒนาราม่า แออัดยัดเยียดรถติดกันเป็นแพ มองดูสับสนวุ่นวายไปหมด

ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของ ไอ้ "อ้วน-รามา"ซึ่งตามปกติก็ขายดีอยู่แล้ว จากขาประจำ กลับขายดียิ่งกว่าเทน้ำเทท่าเสียอีก เพราะขาจรที่ซึ่งเพิ่งเสร็จจากการชมภาพยนตร์พากันเข้ามาอุดหนุนจนไอ้อ้วนลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวแทบไม่ทัน

"-เต๋า-กี่ทุ่มวะ ไอ้อ้วนมันถึงจะเลิกขายก๋วยเตี๋ยว"

ไอ้โล้น ซึ่งคืนนี้ใส่วิกผมยาวเหมือนกับฮิปปี้เอื้อมมือสะกิดสีข้าง "เต๋า-โบว์ลิ่ง" แล้วกระซิบถามเบา ๆ

"ไม่แน่ กว่าจะเลิกบางทีอาจถึงตีสองโน่น...ถ้าวันไหนมันเกิดยัวะขึ้นมามันก็หยุดขายเอาดื้อ ๆ...รอให้คนซาลงอีกนิด ผมจะเข้าไปถามมันเอง"

ไอ้เต๋าพูดพลางใช้สายตาชำเลืองมองขึ้นไปบนระเบียงชั้นบนของโรงหนังเหมือนกับจะมองหาใครซักคนนึง

"พี่ ผมว่าท่ามันจะยังไง ๆ แล้วนะครับ...พี่ลองสังเกตดูไอ้หนุ่มคนที่ยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองนั่นซิครับ...คนที่สะพายกล้องถ่ายรูปใส่เสื้อยืดสีดำนั่นแหละ รู้สึกว่ามันจะแอบถ่ายรูปพวกพี่ตั้งสองครั้งแล้ว"

ไอ้เต๋า-โบว์ลิ่ง หันกลับมาจับแขนเสื้อไอ้แสบแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงเบา ๆ

ไอ้แสบเอื้อมมือสะกิดแขนไอ้โล้นแล้วหลิ่วตาให้เป็สนอาณัติสัญญาณ เพื่อนคู่หูก็ดูเหมือนจะอ่านใจพรรคพวกกันออก มันคว้าแขนไอ้เต๋าเดินเลี้ยวขวาขึ้นไปยืนมองดูแผ่นรูป "สปอร์ตโฆษณา" ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณชั้นล่างของโรงภาพยนตร์ด้วยท่าทางปกติ

ส่วนไอ้แสบยึนดูภาพโฆษณาอยู่ครู่หนึ่งก็ฉากแวบออกไปทางเบื้องหลังแล้วชำเลืองมองขึ้นไปบนระเบียงชั้นที่สองอย่างระแวดระวัง

จริงอย่างที่ไอ้เต๋าพูดไม่มีผิด...เด็กหนุ่มหน้าตาเข้าที ใส่เสื้อยืดสปอร์ตแขนยาวสีดำมีกล้องถ่ายรูปห้อยอยู่ที่หน้าอก กำลังสอดส่ายสายตามองไอ้โล้นกับไอ้เต๋าอยู่พอดี เมื่อเห็นว่าทั้งคู่เผลอเขาก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายฉับ ๆ แล้วค่อย ๆ เดินปะปนลงมากับประชาชน ที่เพิ่งจะเลิกจากการชมภาพยนตร์รอบดึกด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน

ไอ้แสบถลาวูบออกมาจากหลังแผ่น "สปอร์ตโฆษณา" ไอ้เต๋าจิ๊กโก๋ระดับชาติของเมืองโคราช ตะครุบข้อมือเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกระซิบถาม

"จะไปไหน...ลูกพี่"

" - ไอ้ห่าจิก นั่นแอบถ่ายรูปพวกอั๊วตั้งหลายรูปแล้ว...มันเป็นใครไอ้เต๋า"

ประโยคสุดท้าย ไอ้แสบสบถออกมาอย่างฉุนเฉียวแล้วมองตามร่างของเด็กหนุ่ม ซึ่งกำลังจะก้าวข้ามถนนไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวของไอ้อ้วน-ราม่า ด้วยท่าทางกระหายเลือด

ไอ้เต๋ามองตามอยู่ครู่หนึ่งก็ผละออกจากลุ่มเพชฌฆาตรับจ้าง เดินลิ่วไปที่ร้านไอ้อ้วน...ซุบซิบอะไรกันครู่หนึ่งก็ล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยบาทส่งให้ ต่อจากนั้นก็เดินหน้าบึ้งข้ามถนนมาหาไอ้โล้นกับไอ้แสบ ซึ่งขณะนี้ผละจากบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ลงมายืนเตร่ที่ขอบถนน

"ซวยฉิบหาย ผมไปถามว่ามันรู้จักไอ้เด็กหนุ่มคนนั้นหรือเปล่า...มันบอกว่ารู้ แต่ต้องจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวที่ผมค้างอยู่หกเดือนเซียะก่อน หมดไปห้าร้อยบาท พรุ่งนี้อดแทงม้าแน่ ๆ กู"

ประโยคสุดท้าย ไอ้เต๋าพึมพำออกมาด้วยท่าทางฉุนเฉียว

" - ประเดี๋ยวกูจะเบิกให้มึง...ไอ้เต๋า กูอยากรู้ว่าไอ้ห่าจิกที่แอบถ่ายรูปนั่นเป็นใคร...ทำงานอะไร"

ไอ้โล้นคำรามขึ้นมาด้วยท่าทางร้อนใจ

" เป็นลูกญวนเกิดในเมืองไทยชื่อ " ตรัน วันฮัน " อาชีพของมันก็คือรับจ้างถ่ายรูปนอกสถานที่ ลูกพี่ไม่ต้องตกใจ ผมสั่งให้ไอ้อ้วนจัดการแล้ว...ดูโน่น "

พอพูดจบไอ้เต๋าก็บุ้ยใบ้ให้เพชฌฆาตรับจ้างทั้งสองมองดูที่ร้านไอ้อ้วนพร้อมพูดต่อไปอีก

" ไอ้อ้วนสั่งให้เซียนเทพ กับเซียนโด่ง จัดการแล้วประเดี๋ยวคงสนุกน่าดูชม"

ในขณะที่ ตรัน - วัน - ฮัน เด็กหนุ่มชาวญวนกำลังเดินเข้าไปหารถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ที่หน้า " สินประเสริฐโบว์ล " ก็ถูกพระภูมิเจ้าที่ ซึ่งนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านของ " อ้วน - ราม่า " สองคนเดินเข้าไปประกบทันที

" เฮ้ย...ถ่ายรูปให้อั๊วหน่อยวะ" เซียนเทพเอื้อมมือไปจับกล้องพร้อมกับยักคิ้วแสยะยิ้มด้วยมาดของนักเลงประจำถิ่น

" ฟิล์ม...ฟิล์ม หมดม้วนแล้วครับ...พี่ "

" ตรัน - วัน - ฮัน " ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับกล้องปากก็พูดออกมาอย่างนอบน้อม

" อะไรวะหมด...ไหนขออั๊วดูซิวะ " เซียนโด่งซึ่งยืนประกบอยู่ด้านหน้ารถ เอื้อมมือปลดสายสะพายกล้องจากคอดื้อ ๆ

" อย่าครับ...ลูกพี่ ถ้าจะถ่ายจริง ๆ ประเดี๋ยวผมจะเปลี่ยนฟิล์มให้ "

" ตรัน - วัน - ฮัน " ละล่ำละลักพูดพร้อมกับยื้อแย่งกล้องเป็นพัลวัน

กล้องถ่ายรูปหลุดจากมือของตรัน แล้วหล่นลงไปที่พื้น เซียนเทพทำท่าจะก้มลงเก็บ

" ปุ๊ "

มีเสียงเบา ๆ ดังแหวกอากาศมาทางรถเก๋งติดฟิล์มกรองแสงซึ่งจอดซุ่มอยู่ ที่ขอบถนนหน้าสินประเสริฐโบว์ล เซียนเทพ ยกมือขวาขึ้นตะปบไหล่ แยกเขี้ยวแล้วเซถลาไปชนรถเก๋งซึ่งจอดอยู่ข้าง ๆ

เซียนโด่งซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ เดาเหตุการณ์ออกกระโจนพรวดเข้าไปหมอบอยู่หน้าหม้อรถ ปล่อยให้กระสุนนัดที่สองจากมือปืนไม่ปรากฏนาม ทะลุทะลวงร่างของ "มนูญ" คนเฝ้ารถสินประเสริฐโบว์ล ที่บังเอิญวิ่งออกมาดูเหตุการณ์จากช่องทางเข้าออกอย่างพอดิบพอดี

" เฮ้ย...เซียนเทพ...กับไอ้นูนโดนยิงโว้ย "...เซียนโด่ง ซึ่งหมอบอยู่หน้าหม้อรถแหกปากร้องตะโกนขึ้นมาสุดเสียง

จิ๊กโก๋ระดับชาติสิบกว่าคนที่ยืนเตร่อยู่บริเวณดังกล่าว พรั่งพรูออกมาเหมือนกับผึ้งแตกรัง

ห้าคนแรกวิ่งเริดออกมาจาก "ฮอลิเดย์-คอฟ-ฟี่ช็อพ" คนที่นำหน้าถือสปาต้าขาววับ คนที่ตามมาติด ๆ ถือไม้ทุบน้ำแข็งอันเบ้อเร่อ

อีกสามคนซึ่งวิ่งมาจากไหนไม่ปรากฏ พรวดพราดเข้าไปหาไอ้อ้วน - ราม่า แล้วแย่งมีดปังตอควงจี๋เข้าไปที่รถเก๋งลึกลับด้วยท่าทางกระหายเลือด

" ปุ๊ "

กระสุนลึกลับจากปืนสวมท่อเก็บเสียงพุ่งปร๊าดออกมาจากช่องกระจกของรถเก๋ง เป้าหมายก็คือร่างที่ถือมีดปังตอวิ่งหน้าเริดอยู่นั้น...

จิ๊กโก๋ระดับชาติ สะดุ้งเฮือกขึ้นมาสุดตัว มีดปังตอหล่นโครมลงบนพื้น ศีรษะหงายเริดแล้วเอียงคว่ำหน้าอยู่บนลานจอดรถนั่นเอง...

" - ฉิบหายแล้ว ลูกพี่...เพื่อน ๆ ของผมคว่ำไปแล้วสองคน แสดงฝีมือให้ผมดูหน่อยเป็นไง "

ไอ้เต๋าละล่ำละลักพูดด้วยท่าทางตื่นตระหนก ไอ้แสบขบกรามเป็นสันนูน แล้วหันมาพยักหน้ากับเพื่อนคู่หู ไอ้โล้นแสยะยิ้มพร้อมกับคู้ตัวลงไปนั่งบนพื้นในลักษณะท่านั่งยิง มือขวาเลื่อนปรู๊ดลงไปกระตุก .357 ไพธ่อน กระบอกหกนิ้วจากซองพกพิเศษที่ท่อนขาด้านล่างขึ้นมา แล้วเหยียดปืนเล็งไปยังรถเก๋งที่จอดอยู่เบื้องหน้า เหนี่ยวไกยิงอย่างใจเย็น 3 นัดซ้อน ๆ

"ปัง...ปัง...ปัง"

กระสุนเจาะเกราะจากปืนชั้นเยี่ยมของโลกทะลวงด้านท้ายรถเก๋งแล้วเฉียนเบาะคว้านแผ่นหลังของชายลึกลับซึ่งนั่งอยู่ตอนท้ายรถออกทั้งกระบิ...ความรุนแรงของกระสุนไม่หยุดยั้งอยู่เพียงแค่นั้น มันยังทะลุทะลวงผ่านเบาะด้านหน้าเข้าไปกระทบกับร่างที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเข้าอย่างจัง

" ปุ๊ "

เสียงปืนเก็บเสียงที่ดังอยู่ทางด้านข้าง ทำให้ไอ้โล้นหันขวับกลับไปดูด้วยความแปลกใจ

ไอ้แสบชูปืสนให้ไอ้โล้นดู พร้อมกับทำหน้าเหลอหลา

ไอ้โล้นวาดปืนเข้าหาร่างของ ตรัน - วัน - ฮัน แต่ปรากฏว่า ตรัน - วัน - ฮัน โดนกระสุนเก็บเสียงจากมือลึกลับเมื่อกี้นี้เรียบร้อยไปแล้ว

มีเสียงเร่งเครื่องยนนต์ดังกระหึ่มมาจากหน้าร้านขายแว่นที่อยู่ข้าง ๆ โรงภาพยนต์ ชั่วอึดใจรถลึกลับอีกคันก็วิ่งพรวดเข้ามาจอดที่หน้าโรงภาพยนต์...ศีรษะล้านเป็นมันแผล็บของ "นอร์แมน" โผล่ออกมาพร้อมกับผิวปากลั่น

แทบไม่ต้องนัดกันเอาไว้ ไอ้โล้นกับไอ้แสบวิ่งจี๋เข้าไปเปิดประตูพาตัวเองหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกจากโรงภาพยนตร์ ไอ้โล้นก็ยื่นหน้าออกมาตะโกนลั่น

" - ไอ้เต๋า ถอดฟิล์มออก พรุ่งนี้กูจ่ายให้มึงสองพัน"

รถลึกลับเผ่นกระโจนออกจากหน้าโรงภาพยนตร์เหมือนใส่ปีกบิน...รถราที่วิ่งสวนมาหักหลบกันเป็นแถวกลุ่มประชาชนที่แตกฮือเมื่อตอนแรก ต่างก็เฮโลกันเข้าไปดูรถที่จอดอยู่ข้าง ๆ ถนนกันแน่นขนัดไปหมด

ไอ้เต๋าพาตัวเองเข้าไปที่ศพของ " ตรัน - วัน - ฮัน " แล้วใช้ความรวดเร็วถอดฟิล์มออกทั้งม้วน ต่อจากนั้นก็เดินเข้าไปที่รถเก๋งลึกลับ คันที่ระดมยิงพรรคพวกของมันตายไปหนึ่งคนด้วยท่าทางโกรธจัด...

ประตูรถเก๋งถูกเปิดออก...ภาพที่ปรากฏอยู่ภายในรถ ทำให้ประชาชนที่ยื่นออกันอยู่ อุทานออกมาด้วยความตกใจ

ชายฉกรรจ์ 2 คน นอนงอก่องอขิงอยู่ภายในรถ...ทุกคนโดนอำนาจกระสุนเจาะเกราะทะลุทะลวงจนหน้าอกพังเป็นแถบ ๆ...กลิ่นเลือดเหม็นคลุ้งอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณ...

ไม่ถึงสิบนาทีเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึง เซียนเทพผู้บาดเจ็บฉากหายแวบไปเหมือนกับปีศาจ ปล่อยให้ " ตรัน - วัน - ฮัน " แล้วไอ้ลอง อันธพาลสิบทิศ นอนหมดลมหายใจอยู่ที่ลานจอดรถนั่นเอง

เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องประสบกับการเวียนหัวเป็นคำรบที่สอง...ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้นแม้กระทั่ง " มนูญ " คนเฝ้ารถ สินประเสริฐ ซึ่งได้รับบาดเจ็บก็ปฏิเสธไม่ยอมให้การใด ๆ ทั้งสิ้น...บอกแต่เพียงว่าโดนยิงโดยไม่รู้เรื่องเท่านั้น

นายตำรวจคนหนึ่งเดินเข้าไปหาไอ้อ้วน...ยังไม่ทันจะสอบถามอะไรก็โดนลูกเล่นของ "อ้วน - ราม่า " เสียก่อน

" หมวด...ผมขอแจ้งความ...ไอ้ลองขโมยมีดของผมไป...ฉิบหายจะฆ่ากันทีไร ของ - ของผมโดนขโมยทุกที "

นายตำรวจซึ่งเคยเป็นขาประจำก๋วยเตี๋ยวอมยิ้มแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง

"ลื้ออยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์น่าจะรู้อะไรนี่หว่า...เรื่องมันเป็นยังไงกันวะ อ้วน "

" - อย่าให้ผมเข้าไปยุ่งเลย หมวด...ขนาดขายก๋วยเตี๋ยวนี่ก็แทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว...เจอะข่าวยาหดเข้าไปสองอาทิตย์ขาประจำหายหมด...อย่าให้ผมยุ่งเลยหมวด "

ไอ้อ้วนตัดบทดื้อ ๆ แล้วเก็บอุปกรณ์การขายใส่รถเข็น พร้อมกับบ่นโขมงโฉงเฉงอยู่ตลอดเวลา

หญิงสาวหน้าตากระเดียดไปทางลูกครึ่งที่ยืนพิงประตู " ฮอลิเดย์ - ค็อฟฟี่ช็อพ " อยู่ตลอดเวลาที่เกิดยิงกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกยิ้มให้ไอ้เต๋าอย่างเป็นกันเอง พร้อมกับเอ่ยถามเป็นภาษาไทยค่อนข้างแปร่งเล็กน้อย

" คนตายกี่คนคะ "

ไอ้เต๋าหยุดชะงัก สายตาทีเหมือนเหยี่ยวกวาดชำเลืองดูเฟอร์นิเจอร์ตามตัวของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว...มันยิ้มอย่างกว้างขวางที่มองเห็นแหวนเพชรเม็ดเบ้อเร่อบนนิ้วของหญิงสาวที่สวยบาดใจนั้น

" - บนรถสองคน...ข้างล่างสองคน จะให้ผมรับใช้อะไรบ้างครับ "

" - ดิฉันเพิ่งมาจากกรุงเทพ ฯ...พอเลี้ยวรถเข้ามาจอดก็เกิดยิงกันวุ่นวายไปหมด ที่นี่มีโรงแรมที่สะอาด ๆ และปลอดภัยสำหรับผู้หญิงบ้างไหมคะ "

หญิงสาวพูดพลางชี้ไปที่รถซึ่งจอดอยู่ข้าง ๆ แล้วยกมือขึ้นไปปิดปากหาว ทำกริยาเสมือนหนึ่งจะง่วงนอนเต็มทน

ไอ้เต๋าแอบยิ้มกับตนเอง...แล้วพูดขึ้นอย่างนอบน้อม

" - ถ้าคุณ...อยากจะพักอย่างสงบเงียบจริง ๆ ก็ต้องจอมสุรางค์...แต่ถ้าอยากจะสนุกสนานกับเสียงเพลงก็ต้องศรีพัฒนา "

" - ดิฉันเพิ่งจะมาโคราชเป็นครั้งแรก พอเข้าเมืองก็แทบจะหลงตาย ต้องอาศัยเกาะหลังรถทัวร์ถึงได้มาจอดอยู่ที่นี่...ดิฉันอยากจะให้คุณช่วยวนำทาง...ไปศรีพัฒนานะคะ "

ไอ้เต๋าแทบจะบ้าตาย มันเดินยืดอกตามหลังหญิงสาวไปติด ๆ ท่ามกลางเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของพรรคพวกที่จับกลุ่มอยู่หน้าสินประเสริฐโบว์ล

" - โว้ย ดูที่เด็ดลูกผู้ว่านครสวรรค์ซีโว้ย...ไอ้ห่าไอ้เต๋ามันไปคว้าที่ไหนมาวะ...ลูกครึ่งซะด้วย "

คำพูดเย้าของจิ๋กโก๋คนหนึ่งเรียกเสียงฮาจากพรรคพวกครืนใหญ่...เพราะแบ๊คกราวนด์ของไอ้เต๋าเท่าทีรู้ ๆ กันเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่...แต่ทุกคนก็อุปโลกน์ไอ้เต๋าเป็นลูกผู้ว่านครสวรรค์ และมักจะอำกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อไอ้เต๋าเดินกับผู้หญิง

ไอ้เต๋าไม่ตอบ มันหันมายกส้นตีนให้พรรคพวกอย่างสวยหรู หนึ่งครั้งแล้วผลุบเข้าไปนั่งคู่กับหญิงสาวพร้อมกับบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ

" - เพื่อน ๆ ของผมปากมันไม่ดี...ปกติท่านพ่อของผมห้ามไม่ให้คบกับไอ้พวกนี้...แต่ผมมันเป็นคนรักเพื่อน...เมื่อหัวค่ำผมขอเงินท่านพ่อมาห้าพันบาท ไม่ถึงสองชั่วโมงผมเลี้ยงเพื่อน ๆ หมดกระเป๋าเลย...ขอเวลาผมนิดหนึ่งได้ไหมครับ...กรุณาไปส่งผมที่บ้าน ผมจะขอเงินท่านพ่อมาเลี้ยงฉลองในการที่ได้รู้จักกับคุณ"

ไอ้เต๋าเริ่มวางแผนหลอกหญิงสาวไปยัง " โรงฆ่าสัตว์ " ที่พวกมันได้ออกเงินเช่าเอาไว้สำหรับ "เชือด" ไก่หลงโดยเฉพาะ

"ไม่ต้องหรอกคะ ดิฉันมีเงินติดตัวมาแยะ โดยเฉพาะที่กระเป๋าบนชั้นคอนโซลนั่นก็เกือบสองหมื่นบาทเข้าไปแล้ว"

ในขณะที่พูดหญิงสาวก็ชำเลืองสายตามองไปที่กระเป๋าซึ่งวางอยู่บนชั้นคอนโซล ไอ้เต๋ามองดามหัวใจของมันพองโต แทบระเบิดออกมานอกทรวงอกที่มองเห็นธนบัตรใบละ 100 บาทแลบออกมาจากช่องกระเป๋า ซึ่งถูกลืมรูดซิปเอาไว้อย่างจงใจนั้น

" เลี้ยวขวาออกไปถนนใหญ่นั่นเลยครับ "

ไอ้เต๋าตัดบทด้วยเสียงที่เกือบจะจำเสียงตัวเองไม่ได้

หญิงสาวพารถเลี้ยวขวาออกถนนใหญ่ พอรถผ่านสี่แยกหนองบัวลอง ไอ้เต๋าก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาสุดตัว เมื่อปรากฏว่ามีวัตถุเย็นเยียบเหมือนกับเหล็กโดนน้ำแข็งจี้หมับที่บริเวณซอกหูด้านหลัง

"นั่งนิ่ง ๆ...กระดุกกระดิกพ่อยิงตายห่า" เสียงห้าวลึกดังลั่นอยู่ที่เบาะด้านหลัง ทำให้ไอ้เต๋าถึงกับคอพับคออ่อนละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน

"จับ...จับ...ผมมาทำไมกันครับนี่"

หญิงสาวหันมายิ้ม แล้วพูดน้ำเสียงเรียบ ๆ "ก็คุณเต๋าเป็นลูกผู้ว่า ฯ พ่อของคุณเป็นคนมีเงิน เราก็เลยจับคุณมาเรียกค่าไถ่นะซีคะ"

"โธ่...ใครว่าผมเป็นลูกผู้ว่า ฯ เพื่อน ๆ ผมมันอำเล่นหรอกครับ ขนาดจะกินไปวัน ๆ หนึ่ง ผมก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ผมว่าพวกคุณเข้าใจผิดแน่ ๆ"

มีเสียงหัวเราะก๊ากใหญ่จากที่นั่งเบื้องหลัง บัดดลนั้นเอง ประสาทและสติสัมปชัญญะของไอ้เต๋าก็ดับวูบลงเหมือนฟิวขาด เนื่องจากโดนแพ่นกบาลด้วยด้ามปืนพกบริเวณท้ายทอยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

" - ค้นมันดูซิ...จัน - บางทีม้วนฟิล์มที่ฉันแอบขโมยมา อาจจะอยู่ในตัวมันก็ได้ "

ผู้หญิงลูกครึ่งหันมาสั่งชายที่นั่งอยู่เบื้องหลังด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ

"จัน"...ขยับตัวลุกขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือลงไปค้นตัวไอ้เต๋าอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดออกมาอย่างนอบน้อม

" - ไม่มีครับ...ผู้รู้สึกว่าก่อนหน้าที่มันจะเดินเข้ามาหาคุณนาย...มันเดินเข้าไปในโบว์ลิ่งก่อน...จะทำยังไงดีครับ...ทิ้งมันลงที่นี่หรือว่าจะพามันไปรีดที่รังของเรา"

หญิงสาวเม้มปากหันมาดูไอ้เต๋านิดนึง แล้วหันกลับไปมองกระจกหลังพูดออกมาเบา ๆ

" - จันเอ็งลงที่ทางข้ามรถไฟ แล้วคอยยิงไอ้รถคันที่ตามมาโน่น...ฉันจะพาไอ้จิ๊กโก๋นี่ไปรังของเราแล้วพบกันที่โน่น "

หญิงสาวพูดพลางพารถเลี้ยวซ้ายข้ามทางรถไฟในขณะที่รถชะลอความเร็วลง...จัน...ก็เปิดประตู กระโจนแผล็วลงไปที่พื้น แล้ววิ่งเหยาะ ๆ หายเข้าไปในความมืดทะมึ่นของกองสวะที่อยู่ข้าง ๆ นั้น

พอรถของหญิงสาวผ่านพ้นทางรถไฟไปชั่วอึดใจแผงไม้กั้นซึ่งทอดตัวเองอยู่เหนืองทางรถไฟก็ค่อย ๆ ลดตัวลงมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับมีเสียงออดสัญญาณดังเป็นจังหวะไม่ขาดระยะ

พอแผงไม้กั้นลดลงปิดถนนก็มองเห็นแสงไฟจากหัวรถจักรสว่างจ้ามาทางสถานีรถไฟซึ่งอยู่ห่างออกไปทางขวามือเกือบหนึ่งร้อยเมตร และแสงไฟดังกล่าวเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาเป็นลำดับเสียงหวูด...เสียงล้อรถบดลงไปบนรางดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ

รถแท็กซี่กลางเก่ากลางใหม่ขับมาจอดที่หน้าแผงกั้นภายในที่นั่งตอนหน้ารถผู้กองอังคารกับหมอดาหลานั่งมองดูขบวนรถไฟด้วยท่าทางกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่งก็กลับรถแล่นเข้าตัวเมืองโคราชอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวลูกผสมพารถเลี้ยวขวาผ่านสนามบินพาณิชย์เข้าย่านหนองไผ่ล้อม แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปในซอยทองหล่อซึ่งเป็นซอยที่ทะลุออกไปถึงสถานีรถไฟได้อย่างสบาย !

รถเข้าไปจอดอยู่ที่หน้าโกดังเก็บของซึ่งสร้างอย่างมั่งคงแข็งแรง...รั้วทั้งสี่ด้านมีลวดหนามขึงอยู่บนสุดของสังกะสีมองเห็นทะมึนอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่เรียงรายเป็นระยะ ๆ นั้น

หญิงสาวเปิดประตูรถ แล้วเดินเข้าไปกดกริ่งที่ใต้อักษร "ย่งเส็ง" ชั่วอึดใจช่องประตูเล็ก ๆ ก็เปิดผลัวะออกมาพร้อม ๆ กับมีใบหน้าซีดขาวของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งโผล่ออกมาดูอย่างระแวดระวัง

พอเห็นหน้าหญิงสาวถนัด ชายหน้าซีดผู้นั้นก็หายแว่บเข้าไป แล้วบานประตูซึ่งถูกสร้างอย่างแข็งแรงก็เปิดออกช้า ๆ ปล่อยให้รถของหญิงสาวผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย...

" เอา...ผู้ชายคนนี้เข้าไปขังรวมกับไอ้บังหมุด "

หญิงสาวออกคำสั่งห้วน ๆ กับชายฉกรรจ์ 3 คนที่เดินออกมาจากด้านข้างของโรงเก็บรถ

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX จบตอนที่ 21 แล้วครับ XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
พิมพ์ผิดประการใดขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ ตอนต่อไปเป็นตอนจบของเล่มที่ 1แล้วนะครับ อิอิอิ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

phumjai จาก PhumJai 171.4.202.235 เสาร์, 29/6/2556 เวลา : 18:22  IP : 171.4.202.235   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 19428

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,26 เมษายน 2567 (Online 7049 คน)