ทริปเยือนดินแดนจำปาศักดิ์ ครั้งนี้จัดเป็นทริปบูรพาอีกทริปหนึ่งที่ได้ร่วมเดินทางกับเพื่อนพ้อง
อีกหลาย ๆ กลุ่มไม่ว่าจะเป็น
ศรีราชาออฟโรด คุณ ก๊อก RBJ และ พี่หนุ่ย จากชมรมยอดดอย โดยครั้งนี่ผู้นำทริปของเราคือ
พี่ อานนท์ จากอุบลออฟโรด เจ้าถิ่นนั่นเอง โดยสมาชิกบูรพาที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้นำโดย
จิงโจ้ป่า ม้ากระโดด กระทิงโทน และ ตัวผู้เขียนเอง โดยพวกเราใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข
24 เป็นหลักนับจาก แยกปักธงชัย ไปจนถึง อุบลราชธานีและเลยต่อไปยัง อำเภอ
พิบูลมังสาหารที่ซึ่งเรามีนัดกับ คุณอานนท์ ที่นั่น ก่อนจะเคลื่อนย้ายขบวนไป
พบกับพี่หนุ่ยที่ โขงเจียมก่อนที่จะขึ้นไปยัง ผาแต้มอันเป็น ที่พักแรมคืนแรก
ของเรา หลังจากขับรถกันมาเกือบ 800 กิโลเมตรในวันนี้

สายลมกรรโชกที่พัดพาเอาเศษใบใม้ให้ร่วงหล่นไปทั่วบ้านพักหลังน้อยในเขต
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ทำให้ พวกเราต้องตระเตรียม เก็บของกันจ้าละหวั่น
ถ้าเกิดมีฝนหลงฤดูในค่ำคืนนี้ แต่เพียงชั่วเวลาไม่นาน ผืนฟ้าผาแต้มก็เปิดรับ
พวกเราด้วยดวงดาวเต็มฟ้าเหนือผืนป่ากลางพงไพร พวกเราหลาย ๆ
คนดื่มกันกันจนดึกในบรรยากาศแห่งมิตรภาพที่ หล่อหลอมพวกเรา
บนลานหินผาแต้มแห่งนี้ พร้อมกับนัดหมายกันในวันรุ่งว่า พวกเราจะไปดูพระอาทิตย์
ขึ้นก่อนใครใน ดินแดนสยาม เหนือฝั่งโขง อันไม่ห่างไปเท่าไรนัก
เช้าวันนี้เป็นวันที่พิเศษสำหรับผมอีกวันหนึ่งที่ได้เห็น
ดวงตะวันที่โพ้นขอบฟ้าเหนือสายน้ำโขงที่คดเคี้ยวไปมา อยู่เบื้องล่าง
จากมุมมองจาก หน้าผาที่สูงชันที่พวกเรายืนรอต้อนรับดวงตะวันกันอยู่
คนไม่มากเท่าไรนัก สำหรับวันนี้ ทำให้พวกเราได้เลือกเก็บความทรงจำ หลากหลายมุมมองกันได้อย่างสบาย
ก่อนที่จะลงไปดูร่องรอยอารยธรรม ของคนสมัยก่อนที่ฝากไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดูโดยภาพวาด
วิถีชีวิตของพวกเขาที่แต่งแต้ม ผ่านแผ่นผาจนเป็นที่มาของ
สถานที่อันสำคัญแห่งนี้ หลังจากกลับมาที่บ้านพักพวกเราก็พร้อมเดินทางต่อไปยัง
ช่องเม็กอันไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรนัก เพื่อที่ จะทำเรื่องขอนำพาหนะผ่านแดนไปยัง
ดินแดนจำปาศักดิ์ ที่รอเราอยู่ไม่ไกล
ด่านช่องเม็ก ยามนี้ถือว่าครึกครื้นยิ่งนัก
นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาต่างพากันยื่นเอกสารขอนำรถผ่านแดน
พวกเราใช้เวลากันพอสมควรเนื่องจากความไม่พร้อมของเอกสารที่เตรียมการแต่
เมื่อผ่านพ้นเข้าสู่อีกฟากหนึ่งหรือที่ ชาวลาวเรียกว่า ด่านวังเต่า
กระบวนการทางเอกสารต่าง ๆ ก็ถือเป็นอันเรียบร้อย โดยขบวนคาราวานของเราที่นำโดย
คุณอานนท์ได้วิ่งเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ในช่องเลนขวาอันเป็นกฎจราจรของบ้านลาวที่
ต้องวิ่งเลนขวาซึ่งตรงกันข้าม กับบ้านเรา ผ่านทุ่งข้าวอันแห้งแล้งแตกระแหงสุดลูกหูลูกตา
ท่ามกลางแสงแดดระยิบระยับบนพื้นถนนราดยางที่ยัง คงสภาพดี วิ่งสวนกับ
รถหรูราคาแพงบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น BMW X5 เล็กซัส หรือแม้แต่
เจ้าแลนด์ครุยเซอร์คันโต ก็มี ให้เห็นมากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เจ้าโตโยต้าตระกูลคานแข็งทั้งหลายที่วิ่งกันไปมา อย่างนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
ผ่านข้าม ไปยังสะพานมิตรภาพ ลาว-ญี่ปุ่น ที่ทอดข้ามแม่น้ำโขงสู่เมืองปากเซ
อันเป็นเมืองหน้าด่าน ในแขวงจำปาศักดิ์ ที่ใหญ่เป็น อันดับสามของ ประเทศลาว
โดยห่างจากดินแดนไทยเพียงแค่ 50 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ก่อนที่จะข้ามไปยังเมืองปากเซนั้น
จะต้องเสียค่าผ่านทางเสีย ก่อนตรงบริเวณเชิงสะพานนั่นเอง
ที่หมายแรก ในดินแดนลาวใต้ของเรานี้คือน้ำตก ตาดเยือง ที่มีสายน้ำทิ้งตัวลงมาจากหน้าผากว้างและสูงชัน
ประ มาณ 80 เมตรลงสู่แอ่งนั้นเบื้องล่างโดยมีละอองน้ำกระเซ็นขึ้นมาตามสายลมกรรโชกที่พัดพาขึ้นมา
อีกทั้งโดย
เส้นสายรุ้งใน
บรรยากาศแสงแดดแรงจ้าที่ทำให้ เป็นน้ำตกใหญ่ ที่สวยสดใสมากเลยทีเดียว
ทั้งๆ ที่ เป็นเดือน แล้งแบบนี้ แต่ก็ยังคงมีความสดชื่นอยู่ทั่วไปทั้งบริเวณ
ที่โอบล้อมด้วยผืนป่าใหญ่และไร่กาแฟ ในอาณาบริเวณใกล้เคียง โดยพวกเรามีเป้าหมายต่อไปคือน้ำตก
(ตาดฟาน อันอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก โดยย้อนกลับมาทางตะวันตกเพียง 3 กิโลเมตรก่อน
ลัดเลาะไปตามไร่กาแฟ จนมาถึง ตาดฟาน รีสอร์ท อัน เป็นรีสอร์ทแสนสวยด้วยการตกแต่งอย่างมีรสนิยม
ใช้วัสดุที่ เรียบง่าย ในบรรยากาศบ้านไม้ ที่ถูกเคล้าคลอด้วยม่านหมอกที่ล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ทั่วบริเวณ
โดยมี สายน้ำตก ตาดฟานที่ เห็นเป็นสายน้ำตกยาวเหยียด สองสายพวยพุ่งลงไปยังผืนป่าด้านล่างที่ไม่สามารถ
มองเห็นก้นแอ่งได้จาก หน้าผาอันสูงชันอัน เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทแสนสวยแห่งนี้
จากมุมมองที่ห่างถึง 2 หรือ 3 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย ท่ามกลางป่าดิบลึก
ที่อยู่ตรงหน้าและท่ามกลางม่านหมอกหนาที่ปกคลุมอยู่นั้น จนใจจริง ๆ
สำหรับผมที่จะบอกได้ว่า น้ำตกตาดฟานแห่งนี้สูงเท่าไร กันแน่แท้ พวกเราหลาย
ๆ คนนั่งดื่มด่ำบรรยากาศสวย ๆ
แบบนี้บนเรือนไม้สองชั้น ด้วยกาแฟสด หอมกรุ่น
ที่มารู้ที่หลังว่า กาแฟแถบ ที่ราบสูงบริเวณ นี้ส่งออกไปยังประเทศฝรั่งเศษเลยทีเดียว
แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับการได้มองเห็นสายน้ำตกตาดฟาน ที่มองเห็นได้ถึงแม้อยู่ไกลในป่าลึก
และอีกบ้านไม้สวย ๆ ในป่าตั้งเรียงรายกันภายใต้ร่มไม้ครึ้ม ที่มีดอกไม้ป่าสีสวยแต่งแต้มไว้ในกระบะไม้
ไว้ให้ชมชื่นกัน ตามมุมเล็กมุมน้อยนั้นทำให้ รีสอร์ทแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
หลังจากนั้น ขบวนพวกเราได้แวะเข้าไปชิมชา อร่อย ๆ ในบรรยากาศชาวบ้าน
จากลุงชาวเวียดนามใจดี ที่ต้อนรับพวกเราด้วย ชาหอมกรุ่น และกลมกล่อมในรสชาตินัก
โดยพวกเราต่างพากันเลือก ซื้อผลิตภัณฑ์ กาแฟสดคั่ว และใบชาแห้ง กันอย่างสนุกสนานเป็นที่ระลึกสำหรับแดนไกล
โดยขบวนคาราวานในเวลา ไม่นานนักก็มาสิ้นสุดแสงตะวันที่ บรรยากาศหมู่บ้านหลายชนเผ่าอันเป็นส่วนหนึ่งของ
อาณาบริเวณ ฝาซ่วม ที่ซึ่งเป็นที่ ตั้งเต้นท์พักแรมสำหรับเราในคืนนี้
ค่ำคืนนี้พวกเรามีอาหารเย็นกันที่รืมน้ำตกฝาซ่วม บนเรือนไม้โบราณหลังใหญ่ที่ถูกสร้างด้วยแผ่นไม้ขนาด
5 6
คนโอบเป็นอย่างน้อย บ่งบอกได้ว่าชาวลาวนั้นมีทรัพยากรป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์จริง
ๆ จนน่าเป็นห่วงว่า สักวันหนึ่งถ้า พวกเขายังใช้ทรัพยากรป่าไม้ กันในลักษณะนี้ก็อาจะทำให้ป่าหมดไปเหมือนเมืองไทยที่พวกเรารู้ถึงปัญหากันดีอยู่
หลังอาหารเย็น พวกเราต่างพากันมานั่งล้อมวงพูดคุยกันหน้า บ้านไม้หลังโบราณของชนเผ่าลาวเทิ่ง
ที่มีพี่ หรอยออกมา ให้การต้อนรับพร้อมทั้งพูดคุยถึงประวัติความเป็นมาของชนเผ่าและอารยธรรมระหว่างชนเผ่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เจือไมตรี ในวาระดิถีปีใหม่ อย่างค่ำคืนนี้ สายลมเย็น ๆ กับดาวเต็มฟ้า
โดยมีเสียงบอกเล่าเบา ๆ ถึงตำนานทีมา ของน้ำตก ฝาซ่วม ที่ความหมายของชาวลาว
คือ ห้องหอ อัน เป็นตำนานความรักของ ท้าวบาเจียงกับ นางมะโรงที่หล่อหลอม
กันเพื่อร่วมหอลงโรงโดย เลือกเอาที่นี่เป็นห้องหอ และอีกทั้งการเปลี่ยนแปลงวิถีชุมชนที่ผ่านมาหลายยุคสมัย
จากคำบอกเล่าของชายท้องถิ่นวัยกลางคน โดยมีเสียงซึงแผ่วเบา ผ่านศิลปินชาวลาวผู้สูงอายุที่มีความน่าสนใจอยู่รอบ
ตัวแกเองเต็มไปหมด หลาย ๆ คนถึงกับขอซื้อเป็นของแปลกเป็นที่ระลึกจากแดนดิน
ฝาซ่วมแห่งนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น ขบวนคาราวานเราย้อนกลับมาที่ ปากเซอีกครั้งเพื่อเตรียมน้ำมัน
น้ำแข็งสำหรับการเดินทางไกลใน วันนี้
เพื่อไปเลียบลำโขงไปทางใต้ประมาณ
140 กิโลเมตรไปยังน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หรือที่ใครหลาย ๆ คนเรียกว่า น้ำตกไนท์แองกาลา แห่งเอชีย พวกเราใช้เส้นทางหลวงหมายเลข
13 ของลาวที่เป็นทาง ลาดยางมะตอยขนาดสองเลนที่วิ่งสวนกันได้อย่างสบาย
โดยใช้เวลาเพียง ไม่นานเท่าไรนักถนนเส้นนี้ก็พาพวกเรามาสิ้น สุดที่ลานจอดรถดินลูกรังที่ถูกถากถางอย่างง่าย
ๆ ตามสองข้างถนน และเดินเท้าเข้าไปเพียงชัวอึดใจ ก็พาให้ผมได้
ยิน เสียงอึกทรึก ครึกโครมก่อนที่สายตาของผมจะได้เห็น สายน้ำโขงอันกว้างใหญ่ที่ไหลตกลดหลั่นลงมาตามชั้นโตรกหิน
สูงประมาณ 10 เมตร แต่กความกว้างใหญ่ของโขดหินที่ถูกกัดเซาะเป็นระยะเวลานาน
ที่ตั้งขวางความยิ่งใหญ่ของ สายน้ำโขงเอาไว้ นับเป็นความกว้างประมาณ
300 400 เมตร ที่มีสายน้ำพุ่งพัดผ่านโตรกหินด้วยความรุนแรงและไหล
เชียวกรากของสายน้ำนั้นแน่นอนที่คงไม่มีใคร สามารถลงไปเล่นน้ำได้แน่นอน
จากมุมมองของผมน้ำตก คอนพะเพ็ง หรือน้ำตกแก่งพระจันทร์เพ็ญ นี้
เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแถบนี้
ผู้คนบนศาลา
ชมวิวต่างพากันแยกย้ายหามุมเก็บ ภาพความยิ่งใหญ่และ ความประทับใจของน้ำตก
ขนาดใหญ่นี้กันแทบทุกคน นี่ถ้ามีการจัดการเรื่องความสะอาดของสถาน
ที่ให้สะอาดกว่านี้ น้ำตกนี้คงจะสวยขึ้นมากกว่านี้อย่างแน่นอน
พวกเราจากน้ำตกคอนพะเพ็งด้วยดวงใจที่อิ่มโตในความ สวยงามของน้ำตกแห่งนี้
โดยมุ่งหน้าต่อไปยังน้ำตก หลี่ผี อันเป็นน้ำตกที่อยู่ใจกลางเกาะกลางน้ำโขง
ซึ่งแน่นอนถ้าจะไป ดูน้ำตกนั้น ต้องนั่งเรือหางยาว ข้ามลำน้ำโขงไป
แต่ก่อนลงเรือหางยางนั้น พวกเราแวะทานปลาน้ำโขงกันที่บริเวณท่าน้ำ
ก่อนที่จะข้ามไป โดยเรือหางยาวที่มารับเรานั้นนั่งได้ประมาณ
5 6 คน ต่อหนึ่งลำเรือวิ่งผ่านร่องน้ำโขงไปตามคลอง เล็กคลองน้อย
เพียงแค่ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เรือหางยาวลำน้อยก็พาพวกเรามาจนถึงเกาะแห่งกลางน้ำโขง
ที่มีเกสท์เฮาส์ ตั้งเรียงรายอยู่รืมฝั่งเป็นทิวแถว
พวกเรานั่งรถสามล้อท้องถิ่นต่อเข้าไปในน้ำตกอีก
5 กิโลเมตร โดยช่วงนี้พวกเราหลาย คนต่างพากันนั่งความตื่นเต้น
ในพาหนะที่พวกเรานั่งโดยสารกันอยู่ เพราะนั่งมาได้สักพักถึงได้รู้ว่า
คันที่พวกเรานั่งมากัน มันไม่มีเบรค เวลาเจอรถอะไรก็ตามทีวิ่งสวนมา
หรือออกมาขวางหน้า ต้องต่างพากันร้องตะโกนให้เค้าหลบไปให้พ้น
ทางเพราะจนใจว่า จะเบรคได้ไม่ทันการนั่นเอง เพียงชั่วอึดใจบนความสนุกสนานระคนตื่นเต้น
ก็พาเรามาถึง น้ำตกหลี่ผี อันเลื่องชื่อ ที่ยามนี้
น่าเสียดายระดับน้ำได้ลดลงเหลือเพียงสายน้ำเพียงไม่กี่สายที่ลัดเลาะ
ไปมาตามโตรกหินก่อนที่จะ ไหลลงไปในช่องเขาแคบที่มีลักษณะคล้าย
ๆ กับน้ำตกฝาซ่วมที่พวกเราพักกันมาเมื่อคืนนี้ แสงแดดร้อนแผดกล้า
ริมน้ำโขง นั้นทำให้หลาย ๆ คนนั้น พากันครั่นเนื้อครั่นตัวกันไปเป็นแถว
ๆ ก่อนที่จะพากันนั่งเรือหางยาว ข้ามลำน้ำกลับ ไปฝั่งแผ่นดินใหญ่อีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าสู่
ดอนโขงหรือ ศูนย์กลางแห่งสี่พันดอนนี้ อันเป็นที่พักคืนที่สองของเราใน
ดินแดนจำปาศักดิ์นี้ โดยคาราวานเราต้องนำรถลงแพขนานยนต์ด้วยอัตราค่าจ้าง
25000 กีบ หรือประมาณ 80 บาทไทย ก็ทำให้เราสามารถ นำยวดยานพาหนะขึ้นไป
วิ่งบนเกาะที่ใหญ่ ที่สุดของสี่พันดอน แห่งลุ่มน้ำโขงโดยที่พักของเราคืนนี้
เป็นโรงแรมขนาด 2 ดาว ริมน้ำโขงที่สามารถ ชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมฝั่งโขงได้อย่างใกล้ชิด
ช่วงที่พวกเราไปพักกันนั้น มีพีธีลงพระใหม่และ เทศกาลงานสงกรานต์ของชาวลาวที่วัดข้างเคียงพอดี
ทำให้เราสามารถเห็นชาวบ้าน พากันถือดอกไม้ ธูปเทียนและ น้ำบูชาพากันไปที่วัดกันเป็นทิวแถว
ส่วนแม่หญิงลาวนั้น ทุกคนพากันนุ่งผ้าซิ่นกันทุก คนเพื่อแสดงออกถึงความยืนหยัดในวัฒนธรรมที่หาได้ยากนักในสังคมบ้านเรา
ค่ำคืนนี้พวกเราดื่มกินกันดึกใน บรรยากาศริมฝั่งโขง ที่มองเห็นระลอกคลื่น
สายน้ำพริ้ว ระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์ ที่แวดล้อมด้วยมวลหมู่ดาวเต็มฟ้า
เสมือนเป็นรอยจรัส เจิดจ้าของมิตรภาพไทย ลาวสองฝั่งน้ำนที
เช้าวันอันสดใสกลางตลาดดอนโขง ที่ผมเดินย่ำเท้า บรรยากาศอันครึกครื้นของชาวลาวที่มาจับจ่ายสินค้า
ที่ตลาดกันอย่างคึกคัก ปลาสด ๆ
ริมน้ำโขงวางขายกันเต็มสองข้างทาง
เป็ด ไก่ถูกมัดรวมกันไว้เป็นฝูง ๆ เพื่อรอคน มาซื้อไปทำอาหารประทังชีวิต
ซึ่งแน่นอนขั้นตอนการเชือดนั้นเป็นของผู้ซื้อสำหรับชาวบ้านแถบนี้
หลังอาหารเช้าอย่าง ง่าย ๆ ที่มีทั้งอาหาร เวียดนาม และกาแฟ ผสมปนเปกันไป
คุณอานนท์ได้พาคาราวาน ขับรถย้อนขึ้นไป ทางทิศเหนือเพื่อชม ชีวิตธรรมชาติของชาวบ้าน
ดอนโขงก่อนที่จะลงแพขนานยนต์
เพื่อกลับไป แผ่นดินใหญ่อีกครั้ง โดยครั้งนี้ พวกเราใช้เส้นทางหลวงหมายเลข
13 เหมือนเช่นเคย เพื่อย้อนกลับไปที่ กมที่ 30 เพื่อข้ามแพขนานยนต์อีกครั้ง
โดยครั้งนี้ เรามีจุดมุ่งหมายที่ เมืองเก่าจำปาศักดิ์ และวัดภู
ที่เป็นอารยธรรมโบราณ เริ่มสร้างครั้งสมัย ศัตวรรษที่ 11
หรือก่อนที่ นครวัดที่โด่งดังในกัมพูชาจะก่อกำเนิดเสียอีก
ความอลังกาของวิหารโบราณที่สร้างถวายทวยเทพลัทธิ พราหมณ์ ฮินดูนั้น
ดูช่างน่ามหัศจรรย์นัก ถ้านึกถึงการแกะสลัก และลำเลียงหินที่หนักเป็นตัน
ๆ นั้น ทำได้อย่างไรในเทคโนโลยี่ของคนใน ยุคนั้น ผมเดินขึ้นบันไดหินทรายที่สูงชันในแต่ละขั้น
แต่ละขั้นเพื่อขี้นไปสักการะในความยิ่งใหญ่ของทวยเทยที่สิงสถิต
อยู่ริมหน้าผาสูงชันที่สามารถ มองได้เห็นไปทั้งดินแดน จำปาศักดิ์อันเคยรุ่งโรจน์
เกรียงไกร ปัจจุบันนั้นคงเหลือให้เห็น เพียงแต่สถาปัตยกรรมโคโรเนียล
ของชาวฝรั่งเศษ ที่ทิ่งร่องรอยเอาไว้เป็นบ้านตึกหลัง โต ๆ ที่มีให้เห็นตามสองข้างทาง
เมืองเก่านี้

หลังจากข้ามฝั่งกลับจากเมืองเก่าจำปาศักดิ์แล้วขบวนของเราก็ต้องเดินทางกันอย่างเร่งรีบ
เพื่อให้ทันเวลาที่ ด่านจะปิด ก่อน โดยแวะทาอาหารชั้นเยี่ยมในรสชาติ
จีน ยูนานที่เมืองปากเซ โดยเฉพาะขาหมูยูนานนั้น บางคนถึงกับ
สั่งเพิ่มเลยหละ พวกเราย้อน กลับมาถึงจังหวัดอุบลเมื่อตอนย่ำค่ำ
โดยมีพี่อานนท์รับอาสาเป็นผู้นำทางไปสู่ เทศกาลอาหารอินโดจีนที่
จัดขึ้นที่ทุ่งศรีเมือง ก่อนที่จากลากันด้วยบรรยากาศมิตรภาพพร้อมด้วยคำสัญญาว่าจะมาพบ
กันใหม่ โดยประสบการณ์ในสปป ลาวใต้ในครั้งนี้จัดเป็นทริป ประทับใจอีกทริปหนึ่ง
กับความงามในธรรมชาติ สถาปัตยกรรม และความงามของขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยังคงรักษาเอาไว้อย่างน่าประทับใจใน
ชนชาวริมฝั่งโขงที่เทียบได้กับความงามดั่งว่า
. โอ้ดวงจำปา
เวลาชมดอก คิดถึงบ้านช่อง
มองเห็นหัวใจ ระลึกขึ้นได้ใน กลิ่นเจ้าหอม
..
