ศุกร์,29 มีนาคม 2567


โปร่งกระดังงา ลุยน้ำป่า
สค. 2548

“ เอางัยกันดี ” เสียงเเพื่อน ๆ เริ่มบ่นกันกระปอดกระแปดเมื่อรู้ว่าเส้นทางใหม่ที่เราจะเข้าสำรวจวันนี้มีอันเป็นหมัน “ แล้วแต่บูรพานะ พวกผมไปไหนไปกัน ” เสียงพี่เล็ก สามช่า บอกสัมทับผมมาอีกแรงหนึ่ง ซึ่งทริปนี้ถือได้ว่าเป็นทริปแรกของแก หลังจากที่หยุดห่างหายไปจากวงการหลายปี โดยคราวนี้ พี่เล็ก มาพร้อมกับ น้องบอย เนว์รูปหล่อน้ำใจงาม และพี่หนึ่งที่มาพร้อมกับคุณปลาที่เข้าหาปัญหาทุกครั้งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย … “ ผมว่าโป่งกระดังงา ดีกว่ามั๊ย. ” เสียงใครสักคนเอ่อยขึ้นมา ขณะที่พวกเราแวะกินข้าว กลางวันที่บ้านภูเตยในบรรยากาศฝนพรำของวันนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทริปน้ำป่าในครั้งนี้

 

พวกเราใช้เส้นทางทองผาภูมิ เข้าทางหอดูไฟผ่านหน่วยต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่จะเลี้ยวขวาตามป้าย น้ำตกโป่งกระดังงาที่ปักไว้อย่างง่อนแง่น ๆ กลางสายฝนที่ตกโปรยปรายตลอดในช่วงบ่าย บนเส้นทางช่วงแรกเป็นเส้นทางตัดป่าแฝกบวกกับป่าดิบเขาที่ขึ้นอยู่ไม่หนาแน่นเท่าไรนัก แต่ยามหน้าฝนช่วงนี้ถือได้ว่าป่ารอบกายยามนี้ได้เติมแต่งแต้มความสดชื่นให้พวกเรานักเดินทางกันอย่างดี ร่องล้อตอนนี้กลายเป็นร่องน้ำใส ๆ ที่ไหลบ่าอย่างรวดเร็วไปตามเส้นทางที่เรามุ่งลงหุบไปเรื่อย ๆ ช่วงสองสามกิโลเมตรแรก มีเพียงปลักโคลนสองสามปลักในระดับ รถคาริเบี้ยนยาง 30 ผ่านไปได้สบาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ร่องรอยกลุ่มออฟโรดที่พื่งผ่านไปไม่นานได้บอกเราให้รู้ว่า น่าจะมีออฟโรดกลุ่มใหญ่ พร้อมยางบั้งโต ผ่านเข้าไปจำนวนไม่น้อย ถ้าไม่โป่งกระดังงาอันเป็นจุดหมายที่เรามุ่งไป ก็น่าจะเป็นโป่งตะแบก หรือหน่วยเขารวก เป็นแน่แท้ พวกเราวิ่งตามรอยยางที่ทิ้งไว้ชัดเจนเข้าไปเรื่อย ๆ จนไปได้สักกิโลที่ 4 หรือ 5 เห็นจะได้ ก็เป็นร่องเขามึดครึ้มที่มีร่องซ้ายเป็นแนวลึกที่พอจะฝังเจ้าหนูขาวของผมได้ ผมหยุดเจ้าหนูขาวไว้เพียงอึดใจเพื่อประเมินเส้นทางก่อนที่จะกดสวิทช์อาวุธลับเพื่อความมั่นใจในร่องเอียงนี้ ก่อนที่จะพาร่างอันใหญ่โตของเจ้าหนูขาว คล่อย ๆ คลานอุ้ยอ้ายลงร่องเอียงลงไปที่ละคืบ ทีละคืบ และก็เป็นอย่างที่ผมคิดว่า ร่องดินที่อุ้มน้ำจนฉ่ำนั้นได้ทรุดตัวลง พร้อมกับพาร่าง เจ้าหนูขาวให้เอียงกระเทเร่ตามไปด้วย ถึงกับทำให้ล้อหน้าขวา และล้อหลังขวาลอยขึ้นกับพื้นดิน ทิ้งให้สีข้างด้านขวาแปะพิงอยู่กับคันดินด้านซ้าย วินาทีนี้ ผมทำได้เพียงเหยียบคันเร่งวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ เพียงสองล้อทีเหลือเพราะ ไม่มั่นใจว่าถ้าเหยียบเบรคในตอนนั้น จะทำให้หนูขาวของผมโยนตัวและพลิกคว่ำก็เป็นได้ โชคยังเข้าข้างผม เจ้าหนูขาวอีกครั้งที่ไม่ทำให้ผิดหวัง มันพาผมวิ่งลงตะแคงในร่องเอียงที่ลึกขนาดยาง 35 จมหายไปทั้งสองล้อ สู่หุบด้านหน้าด้วยระยะทางประมาณ 30 เมตรเห็นจะได้และมาหยุดนิ่ง บนทางราบอย่างสะบักสะบอม แต่สหายรุ่นน้องที่ตามมาอย่างเจ้าเสือซ่า นั้นไม่โชคดีเหมือนผม ถึงแม้จะมีอาวุธลับหน้า หลังพร้อมประจัญบาญก็ต้องมาติดตะแคงกันที่หล่มนี้ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า เจ้าหนูขาวได้ขุดให้ร่องนั้นลึกมากไปกว่าเดิม เสียแล้ว

 

“ พี่บี ดึงผมขึ้นไปด้วยพี่ ” เสียงนาย แจ๊ก นักบู๊รุ่นน้องขอความช่วยเหลือมาทางวิทยุสื่อสาร ก่อนที่ผมจะเอาสายพานลากเจ้าเสื่อซ่าขึ้นมาได้ แต่อย่างนั้นก็ตามที่เหลือที่ตามมาก็ติดกันที่ร่องเอียงนี้กันเกือบทุกคัน ในขณะที่กำลัง สาละวนช่วยคนอื่นอยุ่นั้น ผมแว่วได้ยินเสียงอะไร ที่มันดัง ซู่ ซู่ มาแต่ไกล … พลันนึกไปว่าน่าจะเป็น เสียงน้ำหรือเสียงลมพายุที่พัดอยู่ไกล ๆ แต่เพียงอึดใจนั้น เสียงนั้น ก็ดัง ใกล้ เข้ามา ใกล้เข้ามาจากทางทิศตะวันตก ดังขึ้น ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ มันดังเหมือนใครเอาพัดลมตัวใหญ่ ๆ เป็นร้อยตัวไปเป่าบนยอดไม้ … ไม้เล็กแถวนั้นเริ่มล้มละเนละนาด พร้อมไม้ใหญ่ที่ไหวลู่เข้ามาอย่างน่ากลัว ทำให้ผมตกใจและวิ่งกลับไปที่รถ ด้วยพลันสำนึกว่าอาจจะเป็นพายุลูกเห็บก็เป็นได้ เพียงชั่ววินาทีไล่กันนั้นเอง เจ้าของเสียงก็ไล่หลัง ผมมาอย่างรวดเร็วคือ พายุฝนขนาดมหึมาที่ตกกระทบตัวอย่างรวดเร็วจนเจ็บไปหมด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอพายุผนอะไรจะมีเม็ดใหญ่เท่านี้ ผมแอบนั่งอยุ่ใต้หนูขาว เพราะกลัวลูกเห็บที่อาจจะตกตามมาก็ได้ จนสักอึดใจใหญ่ ๆ นั่นแหละพายุลูกนี้จึงแปรเปลี่ยนมาเป็นพายุฝนธรรมดา ที่ก็เปรียบเสมือนฝนไล่ช้างอย่างทั่ว ๆ ไป ฝนห่าใหญ่นี้ได้ตกอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงเห็นจะได้ถึงได้ซ่าลงไป แต่พวกเราก็หาได้หยุดเพราะเพียงพายุฝนนั้น ยังคงเคลื่อนขบวนเดินต่อไป โดยหารู้ไม่ว่าเรากำลังจะเจออุปสรรคใหญ่ที่มาทดสอบจิตใจกันในเวลาอันใกล้หลังจากนั้น

 

 

พวกเราผ่านลงหุบไปเรื่อย ๆ จนมาถึงแยกสามประสบที่รู้มาว่า ถ้าเลี้ยวซ้ายก็ไป หน่วยเขารวก หรือ โป่งตะแบก ถ้าเลี้ยวขวาก็ลงโป่งกระดังงา แต่จากร่องรอยล้อบั้งโตที่ผ่านไปก่อนหน้าจำนวนไม่น้อย ทำให้พวกเราหนักใจถึงปริมาณรถที่อาจจะต้องไปเจอะเจอในเส้นทางข้างหน้า ถ้าไปโป่งตะแบกหรือ เขารวก พวกเราจึงตั้งใจเลี้ยวขวาลงหุบาด้านล่างอันมี น้ำตกโป่งกระดังงาเป็นที่หมาย แต่ที่ทำให้ขบวนเราไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ในเวลานี้ก็คือ บนเส้นทางแยกสามประสบนี้ ตอนนี้ได้กลายเป็นจุดรวมของสายน้ำที่ไหลมาจากทุกทิศทางจนท่วมพื้นผิวข้างหน้าจนหมดสิ้น ความรุนแรงของสายนั้านั้นเชี่ยวจนเกิด แก่งเล็ก แก่งน้อย หรือแก่งใหญ่ที่พอจะคาดคะเนว่าน่าจะเป็นหลุมลึกที่ปกคลุมไว้ด้วยสายน้ำยามนี้ ถ้าจะไปต่อ ก็ต้องวิ่งไปบนสายน้ำโดยไม่สามารถรู้ได้เลยว่าล้อทั้งสี่จะได้เหยียบพื้นหรือไม่ หรือลึกเท่าไร พวกเราปรึกษาหารือกันอีกครั้งว่าจะเอายังงัยดี จะไปโป่งตะแบก หรือ โป่งกระดังงา หรือ หันหัวกลับ “ ไปต่อไป เดี๋ยวพี่เอาไม้วัดร่องลึกให้ ” เสียงพี่แดงบอกผมด้วยสีหน้าของนักสู้ที่ผมคุ้นเคยมานาน “ เอาหนูขาว ลงไปนำร่องนี่แหละ เดี๋ยวก็รู้ว่าไปได้หรือไม่ได้ ” เสียงพี่รงค์บอกสัมทับมาอีกคน ทำให้ผม จำเป็นต้องควบเจ้าหนูขาวลงแก่งน้ำเชี่ยวข้างหน้า โดยเลือกเอาบริเวณผิวน้ำที่มีแก่งคลื่นเล์กที่สุด ด้วยความเชื่อที่ว่าน่าจะเป็นจุดที่ตื้นที่สุด โดยที่พี่แดงและ คุณปลาเดินนำหน้ากรุยทางให้ หลังจากนั้นโดยทุกคันก็รีบผ่านแก่งนี้มากันได้หมดหลังจากที่ทดสอบโดยเจ้าหนูขาวแล้วว่าลึกเพียงเมตรกว่า ๆ เท่านั้น มาถึงตอนนี้พวกเราวิ่งตามกันติด ๆ แบบไม่เว้นช่วงเพราะข้างทางตอนนี้เป็นหุบลึกที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกัดเซาะขอบทางอย่างน่าหวาดเสียว ไม่รู้ว่าตลิ่งหรือไหล่ทางจะทรุดลงเมื่อไร ด้วยน้ำหนักตัวของรถแต่ละคันที่วิ่งผ่าน ถ้ามีคันหนึ่งคันใดตกลงไม่ต้องพูดถึง เอาคน ขึ้นมาได้ก็ถือว่าดีแล้ว มาถึงตอนนี้ฝนเริ่มตกกระหน่ำ ขึ้นมาเรื่อย ๆ ฝ้าที่กระจกหน้านั้นทำปัญหาให้ผมพอสมควร จนต้องชะโงกหน้าออกมาดูทางข้างหน้าบ่อยครั้ง สองข้างทางตอนนี้เป็นทางแคบ ๆ ทีมีไหล่ทางทรุดเป็นช่วง ๆ ให้เห็นความลึกของหลุมด้านข้างไม่ต่ำกว่า 4 – 5 เมตรเป็นระยะ ๆ ป่าช่วงนี้เป็นป่าทึบพอสมควร ด้วยเถาวัลย์และหญ้าแฝก ที่ขึ้นหนาแน่นในช่วงฤดูฝนแบบนี้ เสียงเตือนเพื่อนสมาชิกถึงไหล่ทางทรุด เริ่มถึ่ขึ้นตามระยะทางที่พวกเราคืบหน้าเข้าไป จนมาได้อีกเพียงกิโลเมตรกว่า ๆ เท่านั้น พวกเราก็ต้องหยุดขบวนกันอีกครั้ง ด้วยว่าข้างหน้าเจ้าหนูขาวอันเป็นคันแรกนั้น … ถูกขวางด้วยลำธารอันเชี่ยวกราก ด้วยปริมาณน้ำป่าที่เกิดจากพายุฝนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าร่องทางหรือความลึกเท่าไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ลำธารข้างหน้านี้กว้างพอสมควร น่าจะประมาณ 30 – 40 เมตรเห็นจะได้ มาถึงตอนนี้ พวกเราเลิกนึกถึงคำว่าหันหลังกลับกันแล้ว อย่างเช่นเคย พี่เล็ก พี่รงค์ และ พี่แดง สามคนจับมือกันเป็นหน้ากระดาน เพราะไม่รุ้ว่าความแรงของสายน้ำป่าตอนนี้จะพัดใครไปหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ สามคนที่จับมือกันเป็นหน้ากระดานตอนนี้ พากันลงไปในกระแสน้ำเชี่ยว เพื่อหาร่องทางที่สามารถพาพวกเราข้ามไปได้ ความลึกที่วัดได้ก็ประมาณ เมตรกว่า ๆ หรือระดับไฟหน้าเจ้าหนูขาวที่ พอจะข้ามไหว โดยเจ้าหนูขาว ไม่ทำให้ผมผิดหวังอีกครั้ง มันพาผมข้ามลำน้ำเชี่ยวขนาดไฟหน้าโดยไม่ติดขัดอะไร จะมีเพียงก้อนหินก้อนโต ๆ ใต้ผืวน้ำเท่านั้นที่ทำให้รถกระเด้งกระดอนพอสมควร แต่ก็เป็นผลดีให้คันหลัง ๆ ได้มีโอกาศเป็นร่องทางที่พอจะหักหลบได้ โดยคราวนี้ พวกเราต่างเปียกปอนกันไปหมดทุก ๆ คนทั้งจากพายุฝนและ กระแสน้ำป่าในลำห้วย ถึงตอนนี้พวกเรามุ่งหน้าต่อไปยังโป่งกระดังงาได้อย่างไม่มีอุปสรรคใด ๆ อีกแล้ว แต่เมื่อพวกเราไปถึง น่าเสียดายที่ว่า โป่งกระดังงา ตอนนี้กลับกลายเป็นแก่งน้ำเชี่ยวกรากสีแดงจากน้ำป่าที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับลงแต่อย่างใด ประเมิณจากสถานการณ์ของสีน้ำที่ไม่เหมาะแก่การพักผ่อน และระดับน้ำที่น่ากลัวถ้าเราขืนแวะพักแรมกันในคืนนี้ พวกเราจึงตัดสินใจเคลื่อนขบวนออกมากันเย็นนั้นเลย ก่อนที่จะมืด โดยมุ่งหน้าไปพักข้างนอก ที่น่าจะมีน้ำท่าที่สะดวกสะบาย กว่าที่จะพักข้างใน แต่ต่างกันเที่ยวขาออกในคราวนี้สบายกว่าขาเข้ามา เพราะระดับน้ำได้ลดลงในบางจุด ได้มีโอกาศที่ได้มองเห็นพื้นหรือร่องล้อได้เต็มตา ไม่เหมือนขาเข้ามาที่มองไม่เห็นอะไรเลย จะมีลำบากก็เพียงร่องเอียงในช่องเขาที่พวกเรา ติดกันตอนแรก เพียงแต่ว่าคราวนี้ เจ้าตัวเงิน พระเอกของทริปนี้ต้องสังเวย เพลาข้าง และวินช์ 8274 ในเที่ยวขากลับ ทำให้ที่เหลือต่างพากันใช้เส้นทางเลี่ยงกันเป็นแถว โดยขาออกพวกเราใช้เส้นทางหน่วยเขารวก ออกทางลิ่นถิ่น และมาพักรักษาตัวกันที่ น้ำพุร้อนหินดาด เหมือนทุกครั้งที่สะบักสะบอกออกมา เป็นอันสิ้นสุดสำหรับทริปที่เหมือนกับไม่ตั้งใจทั้งสถานที่และเพื่อนสมาชิก แต่ก็เป็นทริป สนุก ๆ อีกทริปหนึ่งในรอบปี ได้แต่หวังว่าสำหรับทริปนี้พวกเราคงครบทีมสำหรับทริปสนุก ๆ แบบนี้

 

สำหรับทริปนี้สวัสดีครับ
หนูขาว
27 สค 48

 

 

 

 


Home | Bicycle | Offroad | Fishing | Radio Control | GPS Corner | Second hand | Member area
Copyright © 2000, www.WeekendHobby.com, All right reserved.

Contact Webmaster