WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


BURAPA OFFROAD's weekly Tricks

จาก จิงโจ้ป่า
IP:203.151.139.74

พุธที่ , 17/10/2544
เวลา : 11:55

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       กระทู้นี้ขอใช้เป็นกระทู้ที่นำเสนอข้อมูล ความรู้ ความปลอดภัย หรือส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ สำหรับการเดินทาง ท่องเที่ยวในแบบรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อจากแหล่งต่างๆทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการแบ่งปัน บอกต่อเรื่องราวดีๆที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนบูรพา อนึ่งข้อมูลที่นำมาจากแหล่งใดจะระบุที่มาไว้ด้วยเพื่อการอ้างอิงหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ถ้าต้องการ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  

คำตอบที่ 1
       ไฮลักซ์ ไทเกอร์ D4D

โตโยต้า ประกาศออกมาอย่างจริงจังว่า พร้อมที่จะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำรถปิกอัพ 1 ตัน จากอีซูซุ ให้ได้ในปี 2545 ที่กำลังจะก้าวมาถึงในอีกไม่นาน ความมั่นใจของโตโยต้าเกิดขึ้นหลังจากการเปิดตัว ไฮลักซ์ ไทเกอร์ D-4D (Diesel 4 Stroke Direct Injection) ที่วางเครื่องยนต์รหัส 2KD-FTV และทำให้เมื่อรวมกับเครื่องยนต์เดิมอีก 2 รหัส คือ 2L(2400 cc.) และ 1KZ (3000 cc.)แล้ว จะทำให้รถในตระกูลไทเกอร์ทุกแบบ ทั้ง สแตนดาร์ด แค็บ, เอ็กซ์ตร้า แค็บ ,สปอร์ต ครุยเซอร์ (4 ประตู) หรือพีพีวี อย่างสปอร์ต ไรเดอร์ มีถึง 25 รุ่นด้วยกัน ซึ่งความหมายของตัวเลขนี้อย่างน้อย ก็ทำให้เห็นว่าเป็นการวางสินค้าให้ครอบคลุมตลาดแทบทั้งหมด

สิ่งที่โตโยต้าเชื่อมั่นว่า ไฮลักซ์ ไทเกอร์ D-4D จะช่วยให้เป้าหมายสูงสุดของโตโยต้าเป็นจริง ประเด็นหลักก็คือ เครื่องยนต์ 2KD-FTV นั่นเอง เครื่องยนต์ไดเร็ค อินเจคชั่น 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบ คอมมอนเรล หากจะนับกันว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของปิกอัพเมืองไทยก็คงจะไม่ผิดนัก แม้ว่าก่อนหน้าไทเกอร์ ใหม่ ไม่นาน นิสสัน จะชิงเปิดตัวปิกอัพ ฟรอนเทียร์ เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร ไดเร็ค อินเจคชั่น ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว เป็นรายแรกในประเทศไทย

สำหรับเครื่องยนต์ ดีเซล ในรถปิกอัพของบ้านเราล้วนแต่ เป็นแบบ 4 สูบ 8 วาล์ว เป็นหลัก จะมีก็เพียงเครื่องยนต์ WL 2.5 ลิตร เทอร์โบของมาสด้า กับฟอร์ด เท่านั้นที่เริ่มต้นนำเครื่องยนต์ 3 วาล์ว/สูบ เข้ามาใช้ นั่นคือ 4 สูบ 12 วาล์ว และได้รับการยอมรับพอสมควร

อย่างไรก็ตาม เมื่อโตโยต้าเปิดตัว ไทเกอร์ ใหม่ สิ่งที่ D-4D แตกต่างไปจากคู่แข่งก็คือ การนำระบบคอมมอน เรลมาใช้เป็นค่ายแรก ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้ เพิ่งพัฒนาแล้วเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ และปัจจุบันก็มีการติดตั้งในรถโตโยต้า 3 รุ่นคือ รถตู้ไฮเอช กับรถบรรทุกเล็ก ไดน่า ที่จำหน่ายในยุโรป ส่วนเครื่องที่วางอยู่ในปิกอัพ เปิดตลาดที่ไทยเป็นแห่งแรก

โตโยต้าจัดให้มีการทดสอบรถรุ่นนี้ที่ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว มีบรรดาสื่อมวลชนเกือบร้อยชีวิตรวมถึงผมด้วยที่ เป็นหนึ่งในการทดลองขับ ครั้งนี้

ผมเหมือนอีกหลายคนอยากรู้ว่า "ทำไมโตโยต้า ถึงได้มั่นใจนักว่าจะสามารถครองเจ้าตลาดปิกอัพได้ ทั้งที่ในตลาด โดยเฉพาะในปี 2544 นี้ คู่แข่งสำคัญ (เข้าใจร่วมกันได้ว่าเป็นอีซูซุ) ยืดระยะห่างออกไปมากทุกทีๆ"

ผู้บริหารโตโยต้า ตอบเบาๆ เข้ากับเสียงฝนที่พรำ บนหลังคาเต็นท์ผ้าใบข้างสนามทดสอบ ของ โตโยต้า เพิร์ล ตัวแทนจำหน่ายที่ภูเก็ตว่า 2KD จะมาอุดรอยรั่วของโตโยต้าที่เป็นต้นเหตุให้เพลี่ยงพล้ำก่อนหน้านี้

โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ ก็คือเรื่องของการประหยัดน้ำมันที่จากการสำรวจพบว่าระยะหลังๆ ตั้งแต่เศรษฐกิจบ้านเราไม่แน่ไม่นอนนี้ ความต้องการของลูกค้าที่มีต่อรถก็คือ "ความประหยัด" ซึ่งคำๆ นี้ ปรากฏว่า อีซูซุ นำไปใช้จนแทบจะเปรียบเป็นเหมือนเครื่องหมายการค้ามาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับคำว่า ไดเร็ค อินเจคชั่น (DI) ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า อีซูซุ หวงแหนคำนี้มาก แม้ว่าเมื่อนิสสัน หรือ โตโยต้า เปิดตัวเครื่องยนต์เทคโนโลยี ดีไอ บ้าง เราก็ยังได้ยินโฆษณา เชิงตีกันของอีซูซุ ประมาณว่า เป็นผู้นำหรือว่าผู้บุกเบิกในการใช้ไดเร็ค อินเจคชั่นมาถึง 16 ปี

ผมก็หยิบคำโฆษณานี้ไปถามโตโยต้าว่า ทำไมแต่ไหนแต่ไรมา โตโยต้าไม่ทำดีไอ ออกมาบ้าง ซึ่งคำตอบก็คือว่าก่อนหน้านี้เมื่อกระแสความนิยมของคนพุ่งไปที่ดีไอมากขึ้น โตโยต้าก็สนใจที่จะทำตลาดเช่นกัน แต่ว่ายังมีโจทย์ที่ต้องการแก้ไขให้ได้ก่อน อย่างน้อยก็ 2 ข้อ นั่นคือ "เสียง" และ "มลพิษ" ซึ่งในแง่มลพิษนั้น เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ลูกค้าบางคนกลับคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่เรื่องเสียงนั่นละ คือเรื่องใกล้ตัวที่คิดว่าใกล้ตัวจริงๆ เช่นเดียวกับเรื่องของการประหยัดน้ำมัน

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ โตโยต้า สรุปออกมาให้ฟังว่า เครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ทั้งความประหยัดที่เหนือกว่า คู่แข่งสำคัญประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเรื่องเสียงก็ได้ระบบคอมมอนเรล ช่วยให้เงียบ ขณะเดียวกัน เรื่องของมลภาวะ ก็ผ่านมาตรฐานยูโร 3 เป็นค่ายแรก และค่ายเดียวในขณะนี้

ขณะเดียวกันเรื่องของสมรรถนะ ผมกำลังลองขับ ซึ่งโตโยต้าได้แบ่งการขับ ออกเป็น 2 ช่วง 2 รูปแบบคือ ทางเรียบ และเส้นทางออฟโรด

ในเส้นทางตรง ผมได้ขับ ทั้งสิ้น 6 คัน 2 เครื่องยนต์ เป็น 1KZ 2,892 ซีซี. 1 คัน ในรุ่น สปอร์ต ครุยเซอร์ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4x4) ที่เหลือเป็นเครื่องยนต์ 2KD 2,494 ซีซี. ประกอบด้วย สแตนดาร์ด แค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ (4x2) เอ็กซ์ตร้า แค็บ 4x2 เอ็กซ์ตร้า แค็บ 4x4 สปอร์ต ครุยเซอร์ 4x4 และ สปอร์ต ไรเดอร์ 4x4 ทุกคันติดตั้งเกียร์ธรรมดา และขับคันละประมาณ 7-8 กม.บนถนนหลวงที่สุราษฎร์ธานี

1KZ ให้กำลังสูงสุด 85 กิโลวัตต์ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 315 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที 2KD ในรุ่น 4x2 ให้กำลังสูงสุด 75 กิโลวัตต์ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิด 200 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-3,200 รอบ/นาที

ส่วน 2KD ในรถ 4x4 ให้กำลังสูงสุด 75 กิโลวัตต์ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที

คันแรกที่ผมขับคือ เครื่องยนต์ 1KZ ซึ่งเป็นตัวท็อปสุดของเครื่องยนต์ปิกอัพโตโยต้า จุดเด่นหลังออกตัวไปก็คือ อัตราเร่งของเครื่องยนต์ที่ทำได้ดีมาก การเร่งรอบเครื่องยนต์ทำได้เร็วทันใจ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว บาลานซ์ ชาฟท์ ช่วยให้ 1KZ เงียบ ในระดับความเร็ว 120-155 ความเงียบในห้องโดยสารน่าพอใจมากสำหรับรถปิกอัพ เมื่อบวกกับช่วงล่างที่ทำมาได้ค่อนข้างนุ่มนวล การบังคับควบคุมรถที่ทำได้ดี พวงมาลัยกระชับ แม่นยำ ลูกค้าที่ต้องการปิกอัพสำหรับใช้งานแบบรถยนต์นั่งน่าจะพึงพอใจ สำหรับความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 157 กม./ชม.

ส่วน 2KDให้ความรู้สึกเหมือนกันในทุกตัวถัง นั่นคือ เรื่องของอัตราเร่งที่ทำได้ดี การเพิ่มความเร็วตั้งแต่ 0-130 กม./ชม.ทำได้ต่อเนื่อง รวมถึงการเร่งแซงในความเร็วช่วงกลาง ซึ่งตรงนี้เองที่เป็นจุดที่โตโยต้าเองก็ต้องการจะให้ลูกค้าได้เห็นว่า 2KD นั้น เป็นรถยนต์ 2.5 ลิตร แต่ทำอะไรได้เทียบเท่ากับ 3.0 ลิตร แถมยังประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่า

จุดเด่นของ 2KD อีกประการหนึ่งคือ หากยกคันเร่ง ผ่อนความเร็วลงมาอยู่ในระดับ 50-60 กม.แม้จะอยู่ที่เกียร์ 5 เมื่อต้องการเร่งก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องลดเกียร์แต่อย่างใด

เรื่องของการเสียงรบกวนก็จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้ที่ความเร็วสูงจะมีเสียงลมที่ปะทะกระจกมองข้างและเสียงเครื่องยนต์เข้ามาให้ได้ยิน แต่หากใครจะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุฟัง ก็ช่วยกลบเสียงนั้นได้ไม่ยากนัก วิทยุมีค่าขึ้นแยะเวลารถเคลื่อนที่

สำหรับความเร็วสูงสุดที่ทำได้ ในเอ็กซ์ตร้า แค็บ 4x2 ความเร็วประมาณ 154 กม./ชม.เอ็กซ์ตร้า แค็บ 4x4 ประมาณ 150 กม./ชม. สปอร์ต ครุยเซอร์ 4x4 ประมาณ 148 กม./ชม. สปอร์ต ไรเดอร์ 4x4 อยู่ราวๆ 145 กม./ชม.และ สแตนดาร์ด แค็บ ซึ่งมีน้ำหนักตัวต่ำสุด ทำความเร็วได้สูงสุด 160 กม./ชม.โดยเมื่อขับที่ความเร็วสูงสุด รอบเครื่องอยู่ที่ประมาณ 4,000 รอบ

ซึ่งหากจับตัว สปอร์ต ครุยเซอร์ 2 เครื่องยนต์มาว่ากัน จะเห็นว่า 2 KD ทำความเร็วสูงสุดได้ใกล้เคียงกันมาก จะต่ำกว่าก็เล็กน้อยเท่านั้น แทบจะไม่เห็นความแตกต่าง

สำหรับการทดสอบการใช้งานแบบออฟโรด ผมเลือกที่จะขับ 2 คัน 2 เครื่องยนต์ คือ 1KZ และ 2 KD ผ่านไปตามสถานีต่างๆ 15 สถานี ซึ่งสภาพสนามก็คล้ายๆ กับสนามขับออฟโรดทั่วไป ที่มีทางหิน บ่อน้ำ ท่อนซุงขวาง สะพานซุง ทางเอียงซ้าย/ขวา เนินชันประมาณ 42 องศา หลุมเล็ก หลุมใหญ่ ที่ทดสอบการทำงานของลิมิเต็ด สลิป เพื่อช่วยให้รถสามารถเดินทางต่อไปได้ แม้ว่าจะมีล้อที่สัมผัสกับพื้นผิว 2 ล้อ หรือ 1 ล้อ ก็ตาม เพราะระบบจะตัดการส่งกำลังไปยังล้อที่ลื่นไถลหรือไม่สัมผัสพื้น และถ่ายเทกำลังนั้นไปยังล้อที่สัมผัสกับพื้นผิวแทน

ซึ่งทุกสถานีทั้ง 2 คัน ก็ผ่านไปได้ไม่ยากนัก แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนว่า 2KD เหนือกว่าคือเรื่องของแรงบิดที่อยู่ในช่วงกว้าง ซึ่งมีผลทำให้การขับขี่ทำได้นุ่มนวลกว่า และที่เห็นชัดเจนก็คือช่วงการไต่เนินเมื่อเลือกระบบขับเคลื่อน ที่เกียร์4L และใช้เกียร์ 1 เครื่อง 1KZ จะใช้รอบประมาณ 1,300-1,500 รอบ แต่ 2KD จะใช้รอบประมาณ 1,000 รอบ และสามารถที่จะปล่อยให้รถไต่ขึ้นเนินด้วยตัวเอง โดยคนขับทำหน้าที่แค่บังคับพวงมาลัย โดยไม่ต้องยุ่งกับคันเร่งแต่อย่างใดทั้งสิ้น

โดยรวมของไทเกอร์ ใหม่แล้วผมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี เห็นความแตกต่างทั้งเรื่องของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง การทรงตัว การยึดเกาะถนน ระหว่างของใหม่และของเก่า อย่างเด่นชัดทีเดียว





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

McdangMcdang จาก หมึกแดง Mcdang 203.148.176.195 พุธ, 17/10/2544 เวลา : 12:19  IP : 203.148.176.195   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1102

คำตอบที่ 2
       -ข้อควรระวังในการใช้ไฮ-ลิฟท์ แจค
เมื่อรถของคุณเกิดยางแบน หรือยางหลุดออกมานอกกระทะล้อ จำเป็นต้องทำการ เปลี่ยนเอาล้อมาใส่แทน การใช้ไฮ-ลิฟท์ แจค เพื่อทำการเปลี่ยนล้อต้องทำด้วย ความระมัดระวัง ไม่ควรทำด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ควรมีผู้ช่วยและให้ยืนห่างพอ ที่จะไม่เกิดอันตราย เมื่อต้องใช้ไฮ-ลิฟท์ แจค ยก ให้ยกที่บริเวณกันชนให้สูงพอ จนล้อลอยพ้นขึ้นจากพื้น แล้วหาขอนไม้หรือก้อนหินมาหมุนที่ปลายเพลาหรือ แหนบก่อนทำการถอดเปลี่ยนยาง เสร็จแล้วค่อยให้ไฮ-ลิฟท์ แจค ยกลงมา ห้ามทำ การยกค้ำลอยไว้ในขณะเปลี่ยนยางเป็นอันขาด
http://www.siamcar.com/siam4x4/tech/t5.html





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

McdangMcdang จาก หมึกแดง Mcdang 203.148.176.195 พุธ, 17/10/2544 เวลา : 12:24  IP : 203.148.176.195   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1103

คำตอบที่ 3
       นี่คือวิธีที่ท่านจะใช้ระบบขับเคลื่อน4ล้อแบบ Part time ของท่านให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด

* ในเวลาปกติหรือส่วนใหญ่ให้ขับรถด้วยระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ( นี่คือที่มาของคำว่า “บางเวลา Part time”- เพราะคุณใช้มันเป็นบางครั้งเท่านั้น)
* สลับเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเมื่อคุณจำเป็นต้องเผชิญหิมะ,น้ำแข็ง หรือ ทางลื่นจากฝน ( ถ้าคุณใช้ระบบ (Manual hub) ก็ควรล็อคตลอดเวลาที่สภาพอากาศไม่ดี )
* สลับเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อก่อนที่ท่านจะติดกับอุปสรรคดีกว่าติดแล้วค่อยเปลี่ยนเป็น 4 ล้อ
* สลับกลับไปที่ ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อทันทีที่ไม่ต้องการในขณะที่รถยังเคลื่อนที่อยู่( โดยทั่วไปรถส่วนใหญ่มีระบบ สลับโดยไม่ต้องหยุดรถแล้ว)
* มั่นใจว่าน้ำหนักที่คุณบรรทุกในกระบะหลังมีน้ำหนักใกล้เคียงกับด้านหน้า (โดยเฉพาะเมื่อขับเคลื่อน 2 ล้อ) เช่นถ้าหน้าทิ่ม แรงฉุดการขับเคลื่อนของรถมาจากเพลาหลัง และจะทำให้แรงฉุดลดน้อยลงทั้ง 2 เพลา (จากสาเหตุกระบะไม่ได้บรรทุกอะไร เนื่องจะไม่มีน้ำหนักกดลง)

ข้อเสียของการขับรถขับเคลื่อน 4 ล้อบนถนนดำด้วยความเร็วสูง
- ถ้าขณะเลี้ยวคุณใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ คุณจะรู้สึกว่าการเลี้ยวจะไม่ค่อยคล่องตัวเหมือนขับ 2 ล้อ (อาการขืนของล้อจะเกิดขึ้น – การเลี้ยวจะมีวงกว้างขึ้นมากกว่าปกติ)ทำไม ? เพราะขณะที่ขับเคลื่อน 4 ล้อ แกนเพลา ระบบเฟืองได้ถูกเชื่อมต่อ – เพลาทั้งสองได้รับกำลังพอๆกัน และ ความเร็วรอบเดียวกัน (นี้จึงเป็นสาเหตุการขืนขณะเลี้ยว)
- ขณะที่คุณเหยียบเบรค, เพลาหน้าจะรับแรง 80% และส่วนที่เหลือจะส่งผ่านเพลากลางไปยังเพลาหลังทำให้เกิดความ ไม่สมดุลของเบรคและเกิดอาการล็อคล้อ นี่เป็นสาเหตุทำให้รถส่ายและหมุน คว่ำได้
- ขณะที่คุณขับเคลื่อน 4 ล้อ ,ระบบ ABS ของท่านจะทำงานไม่สมบูรณ์ ดังนั้นควรขับ 2 ล้อในเวลาปกติเพื่อความปลอด ภัยดีกว่า
offroad tips and technicals / Suzuki 4WD club of Tasmania



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า ไพลิน 203.151.139.74 พุธ, 17/10/2544 เวลา : 12:25  IP : 203.151.139.74   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1104

คำตอบที่ 4
      





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า ไพลิน 203.151.139.74 พุธ, 17/10/2544 เวลา : 15:22  IP : 203.151.139.74   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1105

คำตอบที่ 5
       จาก Arizona State Association of Four Wheel Drive Club, Inc.





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า ไพลิน 203.151.139.74 เสาร์, 20/10/2544 เวลา : 12:46  IP : 203.151.139.74   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1118

คำตอบที่ 6
       เทคนิคการขับรถผ่านทางโคลน

ก่อนออกเดินทางไปที่ใดก็ตาม เราควรจะศึกษาและประเมิณถึงสภาพเส้นทาง ลักษณะโดยทั่วไปของพื้นดิน ลำธาร น้ำ หิน โดยเฉพาะโคลน เพื่อเลือกใช้ยางให้ถูกต้องกับสภาพนั้นหรือเตรียมการรับสภาพข้อเสียที่รถเรามีอยู่ และใช้เทคนิคอื่นๆหรือเตรียมเครื่องมือในการผ่านอุปสรรคนั้นๆไปได้ การขับรถในทางโคลนที่มีความนิ่ม ความแข็ง การให้ตัว แต่ละแบบนั้น มีเทคนิคการขับที่แตกต่างกันออกไป ทีนี้เรามาดูกันว่าโคลนแต่ละแบบ ยางแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร ดังจะกล่าวถึงสภาพหลักๆที่พบบ่อยมีดังนี้

ทางโคลนเล่ะๆ ที่มีพื้นข้างใต้ที่แข็งเช่น เส้นทางผาสวรรค์บน-ล่าง
ยางหน้าแคบจะทำงานได้ดีที่สุดโดยการกดแทรกหน้ายางลงไปในโคลนเหลวจนถึงพื้นชั้นดินที่แข็งด้านใต้ก่อให้เกิดแรงกดพารถเคลื่อนตัวไปได้ ตรงกันข้ามกับยางหน้ากว้างที่หน้ายางจะลอยปั่นอยู่ในชั้นโคลนเหลวโดยไม่ลงลึกลงไปถึงระดับดินแข็ง
โคลนหนา เนื้อแน่น เหนียวหนึบ เช่น เส้นทางถ้ำผานกนางแอ่น
ยางหน้ากว้างจะทำงานได้ดีในสภาพแบบนี้เนื่องจากมีการลอยตัวและจับโคลนได้เป็นอย่างดี พร้อมกับการปล่อยลมยางช่วยให้เหลือประมาณ 20 -25 ปอนด์ต่อ ตร.นิ้ว จะทำให้ผ่านอุปสรรคไปได้สบายเลยทีเดียว

แต่ถ้าไม่มองถึงเรื่องชนิดของโคลนหรือยางเลย เราพอจะมีหลักวิธีทั่วๆปในการผ่านอุปสรรคโคลนไปได้ก็คือ อย่างแรกยางเราจำเป็นต้องเป็นแบบดอกใหญ่ หรือที่เรารู้จักกันในรูปของยางMud ที่สามารถสะบัดโคลนและทำความสะอาดตัวเองได้ดี ถ้าดอกถี่ๆหรือเล็ก โคลนจะเข้าไปอุดจนมันลื่น จะไม่สามารถจับพื้นให้รถเคลื่อนตัวไปได้ แต่ไอ้เจ้ายางMud ที่ว่านี้ข้อดีของเค้าคือว่าดอกใหญ่มีที่ว่างระหว่างดอกกว้าง เพื่อจะให้โคลนดินที่ติดอยู่หลุดและดอกยางจะสะอาดอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ยางพวกนี้จะมีข้อเสียขณะวิ่งบนทางดำหรือยางมะตอยจะลื่นหรือไม่ดีเอามากๆเพราะว่ามันมีดอกยางที่สัมผัสผิวถนนน้อย แล้วก็ในทรายก็ทำท่าจะขุดให้ลึกอย่างเดียวไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้าเท่าไหร่ สุดท้ายคือเสียงดังมากครับเวลาวิ่งบนถนนหลวง

เทคนิคการขับในทางโคลน
เทคนิคการขับรถในทางโคลนค่อนข้างแตกต่างกับลักษณะพื้นแบบอื่นๆ และแตกต่างกันตามชนิดของพื้นโคลนนั้นๆ การปล่อยลมยางจะช่วยได้มากในสภาพโคลนหนาๆลึกๆพร้อมกับที่จะทำให้ก่อให้เกิดปัญหาได้เช่นกันเมื่อไปเจอของแข็งที่ไม่คาดคิดใต้โคลนนั้น โดยปกติพื้นโคลนจะมีพวกรากไม้หรือกิ่งไม้คอยรอที่จะบาดแก้มยางของคุณได้ตลอดเวลา ดังนั้นทางที่ดีที่สุดพยายามหลีกเลี่ยงวิธีการปล่อยลมยางออกเป็นวิธีสุดท้ายก็แล้วกัน ถ้าจำเป็นจริงๆ
การขับรถบนเส้นทางที่มีร่องลึก ร่องลายล้อจะมีสภาพที่แน่นและค่อนข้างแข็งเนื่องจากน้ำได้เซาะร่องล้อนั้น แม้ว่าบางครั้งร่องล้อเก่าจะดูลึกกว่า น่ากลัวว่าบริเวณที่ไม่มีร่องล้อแต่มันสามารถจะมั่นใจได้ว่าสภาพดินนั้นแข็งและสามารถไปได้ อย่าเปิดลายหรือเส้นทางใหม่โดยไม่จำเป็น นอกจากเป็นการทำลายเส้นทางธรรมชาติแล้ว ยังอาจจะสร้างปัญหาจากสภาพพื้นดินที่เราไม่รู้เพิ่มขึ้นอีก
เทคนิคอีกอย่างคือการสายพวงมาลัยไปมาประมาณ 90 องศาจากตรงกลางเพื่อช่วยในการเซาะของหน้ายางเข้าไปในโคลนอันจะก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวได้ แต่อย่าหมุนล้อแบบเร็วหรือมากเกินไปจนทำให้ระบบบังคับเลี้ยวพังจะทำให้ปัญหาบานปลายไปใหญ่
จากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้า การขับรถผ่านทางโคลนนั้นไม่สามารถคาดเดาลักษณะของปัญหาได้ทั้งหมด เราจำเป็นต้องมีทักษะการขับรถอื่นๆควบคู่ไปด้วยและเลือกใช้วิธิต่างๆให้ถูกต้องกับเวลาและสถานการณ์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดและไม่มีทางเปลี่ยนก็คือคุณจำเป็นต้องมียางMud ที่ดี ดอกใหญ่ พร้อมกับอุปกรณ์กู้ภัย เช่นวินซ์ หรือ Hilift Jack อื่นๆติดไปด้วยทุกครั้ง.
การบำรุงรักษารถหลังจากผ่านโคลน
โคลนนั้นโดยเฉพาะดินเหนียวที่หน้าจะติดแน่นมาก มันจะสะสมข้างในวงล้อ และส่วนที่มีผลกระทบมากคือผ้าเบรค ลักษณะแบบนี้จำเป็นต้องทำความสะอาดโดยทันทีที่พบ แต่การสะสมแบบอื่นที่จะสังเกตูไม่ค่อยเห็นโดยชัดเจนแตจำเป็นต้องเอาออกคือบริเวณวงกระทะล้อ ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่มันอาจจะทำให้ล้อหมุนไม่สมดุล ก่อให้เกิดอาการสั่นขณะวิ่งได้
นอกเหนือจากสภาพที่สังเกตุได้ เราจำเป็นต้องตราจเข็คช่วงล่างส่วนอื่นเช่น diff หรือ ท่อระบายของgearbox เพราะอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอื่นตามมาอีกมากมาย.
From
www.offroader.com






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.74 พุธ, 24/10/2544 เวลา : 16:53  IP : 203.151.139.74   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1133

คำตอบที่ 7
       ใส่ยางใหญ่ขึ้น ดีขึ้นตรงไหน? แล้วแย่ลงยังไง?
คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่อยู่ในใจใครหลายคนที่ขับรถขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่และคิดจะเปลี่ยนยางหรือแต่งให้รถดูดีขึ้น ส่วนใหญ่อาจจะทราบจากคำบอกเล่าหรือตามหนังสือนิตยสารต่างๆ และ นี่ก็ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลอีกแห่งหนึ่งซึ่งผู้ที่วิเคราะห์และระบุข้อดี ข้อเสียโดย Bf Goodrich ผู้ผลิตยางออฟโรดรายใหญ่ ยอดนิยมไปทั่วโลก ทางเราจึงนำมานำเสนอเพื่อแบ่งปันข้อมูลกันในการพิจารณา ที่จะเปลี่ยนยางครั้งต่อไปน่ะครับ

ข้อดีสำหรับการใส่ยางใหญ่ๆให้กับรถของคุณ
1. แน่ล่ะ อย่างแรกคือ มันจะทำให้รถของคุณดูแน่น ดูดุ สวยงาม เพิ่มระยะสูงจากพื้นถนนถึงเพลา
2. ยางใหญ่ มีหน้ายางกว้าง จะไม่ค่อยมีอาการจมตัวลงขณะที่คุณวิ่งบนพื้นนิ่มๆ เช่น โคลนเล่ะ พื้นทราย
3. ยางใหญ่ๆ มีอากาศ หรือลมบรรจุอยู่ภายในมาก นั่นก็คือมันจะไม่แบนง่ายๆหรือใช้เวลานานกว่าจะรั่วจนหมดถึงแบนแต๋นแต๋
4. ยางใหญ่ๆ จะมีพื้นที่หรือหน้ายางที่สัมผัสพื้นถนนมากขึ้น ก่อให้เกิด การฉุดลากที่ดี
5. แก้มยางที่หนาๆจะก่อให้เกิดความนุ่มนวล ซับแรงกดในขณะที่ขับหรือไต่ พื้นหินหยาบได้ดี
6. แก้มยางที่หนาขึ้นทำให้การขับรถบนถนนเรียบหรือดินลูกรังได้รับความนุ่มนวล สบายยิ่งขึ้น

ข้อเสีย สำหรับยางที่สูงขึ้น ใหญ่ขึ้นกว่าปกติ
1. ทุกๆนิ้วความสูงของยางที่เพิ่มขึ้น รถคุณจะสูญเสียกำลังเครื่องยนต์ 3.5 %
2. ยางที่ใหญ่ขึ้นจะมีผลกระทบทำให้ระบบห้ามล้อต้องทำงานหนักขึ้น ระยะหยุดเพิ่มขึ้น
3. การใส่ยางที่ใหญ่ขึ้นอาจก่อความลำบากและกำลังตกลงในการปีนไต่เนินชัน เพราะน้ำหนักที่มาก และ แหนบต้องทำงานหนักขึ้น
4. หน้ายางที่กว้างจะมีผลเสียทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนหรือผลกระทบกับชิ้นส่วนต่างๆของระบบบังคับเลี้ยว
5. ยางหน้ากว้าง ใหญ่ขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น แน่นอนก็ต้องตามมาด้วยอัตราการกินน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วย
6. มีราคาใหญ่มากขึ้น ราคาก็สูงเพิ่มขึ้นตามตัว

ทีนี้ก็คงจะมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นในการพิจารณาว่าเราจะใส่ยางใหญ่ขนาดไหน กำลังดีให้เหมาะกับรถของเรา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการใช้ หรือท่องเที่ยว โอกาสในการใช้ ผลเสียหรือผลกระทบที่จะมีต่อเครื่อง ระบบช่วงล่าง มีมั้ย ต้องดัดแปลงปรับปรุงอะไรเพิ่มหรือเปล่า ถ้าคุ้มมีกำลังทรัพย์ละก็OK สุดท้ายคงจะไม่มีใครสามารถบอกได้แทนท่านละครับว่าขนาดไหนดี ขึ้นอยู่กับท่านคนเดียวว่าอยากได้แบบไหน ข้อเสียยอบรับได้หรือไม่ ถ้าได้ไม่มีปัญหาก็ใส่มันเต็มที่ไปเลย






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 พฤหัสบดี, 1/11/2544 เวลา : 17:00  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1191

คำตอบที่ 8
       การกระทำที่อาจจะก่อให้เกิดความยุ่งยากในการเดินทาง
การออกเดินทางท่องเที่ยวแต่ละครั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่เรากลัวกันมากคือ รถเสียระหว่างเดินทางไม่ว่าจะเป็นขาไปหรือขากลับ มันช่างเป็นอะไรที่บรรยายไม่ถูกสำหรับผู้ที่ต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าสถานที่ ธรรมชาติจะสวยขนาดไหน ยากที่จะทิ้งความกังวลเรื่องนี้ออกไปได้ และที่สำคัญถ้าเกิดในเส้นทางที่เลวร้าย ในป่าเขาห่างไกลชุมชนยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งมันจะทำให้ท่านไม่สนุก มีความกลัวและระแวงการเดินทางแบบนี้ไปอีกนาน
สิ่งเหล่านี้เราสามารถป้องกันหรือลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ให้น้อยที่สุดได้ ถ้าเรารู้จักความระมัดระวัง ใส่ใจกับสิ่งเล็กๆน้อย มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาที่น่าจะรู้หรือปฏิบัติเป็นประจำรู้แล้ว แต่ถ้าท่านละเลยมัน หรือพลาดในการกระทำบางอย่าง อาจเป็นเหตุให้เกิดปัญหาบานปลายใหญ่โตได้
มีการกระทำที่พบเป็นประจำอยู่ 10 อย่างที่ในหมู่นักท่องเที่ยว ขับรถทั้งหมาย ละเลย และไม่ให้ความสำคัญกับมันในขณะหรือก่อนเดินทาง ทำให้สามารถก่อให้รถของท่านมีปัญหาระหว่างเดินทางได้ มีอะไรบ้างครับเรามาดูกัน

1. ความไม่ใส่ใจ ขาดการดูแลสภาพของยางรถของคุณ ดอกยาง การฉีกขาดของแก้มยาง รวมทั้งกะทะล้อ ผมว่ามีไม่กี่คนหรอกครับที่ก้มดูยางรถตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนออก เดินทาง ดูซักนิดเถอะครับ เส้นละ 1 นาที รวม 4 นาทีเอง
2. การใช้ความเร็วหรือรอบเครื่องยนต์สูงๆ เพื่อเอาชนะอุปสรรค หลายครั้งที่พิสูจน์มาแล้วครับว่า ในเส้นทางออฟโรด การใช้รอบสูงๆ ใส่เต็มๆ ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ใช้ความพอดีดุจพินิจในสภาพเส้นทางโดยเฉลี่ยซัก 2000 -3000 รอบก็พอ อุปสรรคต่างๆ โคลน น้ำ โขดหิน หรือ ลาดชัน ไม่จำเป็นต้องชนะด้วยความเร็ว ตรงกันข้ามันอาจจะนำมาซึ่งความเสียหายของรถมากว่าความสำเร็จในที่สุด
3. รถสมัยนี้ทุกคัน ระบบบังคับเลี้ยวพวงมาลัยจะเป็นแบบพาวเวอร์ มันทำให้ท่านเบาแรง หมุนพวงมาลัยซ้าย-ขวาได้อย่างรวดเร็ว นี่แหล่ะจะเป็นสาเหตุตัวทำลายช่างล่างและระบบบังคับเลี้ยวของท่านอย่างดี ถ้าท่านกระทำมันขณะรถนิ่งอยู่กับที่บ่อยๆ โดยเฉพาะในเส้นทางที่หยาบ เป็นโขดหิน เพราะมันจะเกิดอาการขัดตัว ฝืนตัวระหว่างล้อกับพื้นดินอย่างเร็วและแรง ขณะที่ท่านส่ายมันไปมาอยู่กับที่ พอนึกภาพออกน่ะครับ ต้องระวังดีๆ
4. การเหยียบครัชหรือเลี้ยงครัชขณะลงเนินหรือขึ้นเนินชัน อันนี้คงไม่ต้องบอกน่ะครับว่าถ้าทำแล้วอาการของรถจะเป็นอย่างไร อย่าเผลอทำนะครับ เพราะมันจะจบลงด้วยความรุนแรงและรวดเร็วเสมอ
5. การขับรถท่องเที่ยวป่าแน่นอนต้องไปเป็นกลุ่มหลายคนหลายคัน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ที่สำคัญความคิดเห็นที่กล้า บ้าบิ่นของใครบางคนอาจจะอันตรายสำหรับการเดินทาง อย่าเห็นพ้อง หรือ เออออ ห่อหมกกันไปหมดในเวลาที่ต้องใช้ความระมัดระวังหรืออันตรายมากกับอารมณ์สนุกหรือท้าทายจากเพื่อนเรา การแสดงความคิดเห็นหรือขัดแย้งอาจจำเป็นในบางกรณี
6. "การขับรถคร่อมสิ่งกีดขวาง" ได้! แต่ต้องดูให้ดี รถคุณสูงเท่าไหร่? ไอ้ที่จะคร่อมสูงเท่าไหร่? ไม่น่าอายถ้าเกิดความไม่แน่ใจ แล้วจอดลงมาดู พิจารณา หรือเบี่ยงออกไป
7. ถ้าท่านเป็นคันแรก อย่ารีบเร่งที่จะขับผ่านลำน้ำถึงแม้ท่านจะเคยผ่าน ( เมื่อนานมาแล้ว) พื้นท้องน้ำ ความลึกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เป็นความผิดมหันหรือประมาทอย่างยิ่ง ถ้าท่านไม่ลงไปสำรวจมันก่อน
8. การสอดนิ้วไว้ในช่องพวงมาลัยรถตลอดเวลาขณะขับบนทางวิบาก บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทำไมต้องใส่โช็คกันสะบัด พวงมาลัยรถน่ากลัวนักหรือ? มันจะตีแรงขนาดไหน? ระวังไว้เถอะครับ อาการดีดหรือตีกลับขณะที่ล้อไปชนสิ่งกีดขวางทำให้ล้อหันแล้วส่งอาการมาที่พวงมาลัยมันแรงและเร็วไม่ใช่เล่น ไม่เชื่ออย่าลบหลู่น่ะ
9. " ทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้าน" อย่าอมยิ้มหรือนึกว่าไม่สำคัญน่ะครับ บางครั้งการมีหรือไม่มีโทรศัพท์ ณ สถานการณ์หนึ่งๆ มันมีผลลัพท์ออกมาคนละเรื่องเลยน่ะ
10. " เริ่มคิดจะเปลี่ยนเกียรเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเมื่อรถคุณติดในอุปสรรคแล้ว " บางครั้งการปรับเปลี่ยนตอนนี้อาจจะสายไปซะแล้วสำหรับการเปลี่ยนใจ ใส่สี่ล้อก่อนเถอะครับเมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่าจะมีอุปสรรคข้างหน้าแล้ว

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรานักขับรถออฟโรดสมัครเล่นทั้งหลาย เพื่อลดการสูญเสียหรือหลีกเลี่ยงความเสียหายอันอาจจะเกิดกับรถท่านได้ อ้อ ! อีกนิดหนึ่ง " ออกรถอย่าลืมปลดเบรคมือน่ะครับ ( สำหรับ Jeep ทั้งหลาย)"
ที่มา : www.abc4x4.com



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 พฤหัสบดี, 8/11/2544 เวลา : 11:51  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1235

คำตอบที่ 9
       ขออนุญาตินำความรู้ต่างๆเหล่านี้ไปไว้ในหน้าออฟโรดเทคนิคนะครับ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนใหม่ๆที่เข้ามาเยี่ยมเยียนเวปของพวกเรา



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

worm จาก 203.146.115.196 เสาร์, 10/11/2544 เวลา : 10:54  IP : 203.146.115.196   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1249

คำตอบที่ 10
       ได้ครับผม!!



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 จันทร์, 12/11/2544 เวลา : 08:56  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1260

คำตอบที่ 11
       Body Lifts ( การยกสูงด้วยวิธียกตัวถัง)
รถออฟโรดมันต้องยางMud ถ้าได้ยางใหญ่ๆ ก็ดีใต้ท้องจะได้สูงขึ้น ลุยได้เต็มที่ เพราะฉะนั้นการยกสูงสำหรับรถออฟโรดนั้นเป็นของคู่กัน ใครไม่ได้ทำดูจะหน่อมแน้มไปหน่อย การยกสูงที่นิยมกันในบ้านเรานั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือแบบยกช่วงล่าง (Suspension Lift) กับ แบบยกตัวถัง ( Body Lift) บางคันก็เลือกแบบใดแบบหนึ่ง บางคันก็ทำทั้ง 2 แบบ ขึ้นอยู่กันยี่ห้อรถ ช่วงล่าง และที่สำคัญคือ กำลังทรัพย์ ถ้าเบี้ยน้อยหอยน้อย ส่วนใหญ่ก็มามองที่การยกตัวถัง ที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่ายกช่วงล่างหลายเท่าตัว แต่ก็ยังกังวลเรื่องผลเสียโดยรวมที่มีมากกว่ายกช่วงล่าง เราก็เลยค้นคว้าหาข้อมูลข้อดีข้อเสียของการยกตัวถังมาให้อ่านกัน จะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจของท่านในกรณีที่ต้องการ

ข้อดีของการยกตัวถัง
1. ถูก ไม่แพง
2. จุดศูนย์ถ่วงของน้ำหนักรถอยู่ต่ำกว่าการยกช่างล่าง
3. เพิ่มพื้นที่เพื่อที่จะใส่ยางใหญ่อย่างเห็นได้ชัด พร้อมทั้งจะทำให้เพลาอยู่คนละระดับกับแนวกันชน

ข้อเสียของการยกตัวถัง
1. ไม่ได้เพิ่มระยะความสูงของช่วงล่างจากพื้นดิน
2. การยกตัวถังที่มากกว่า 2 นิ้ว จำเป็นต้องใส่ก้อนเหล็กรองตัวถังเพื่อรับน้ำหนักโดยรอบซึ่งในระยะยาวอาจก่อให้เกิดการล้าหรือเคลื่อนได้
3. และที่พบมากที่สุดคือ เมื่อยกตัวถังไม่ว่าจะแค่ 1 นิ้วหรือสูงกว่าจะทำให้หม้อน้ำ/พัดลมหม้อน้ำอยู่คนละระดับกัน ถ้ายกสูงมากๆ อาจจะต้องดัดแปลงชุดเพลาจากห้องเกียร์ สายไฟ และ กรองน้ำมันเชื้อเพลิง อื่นๆอีกมากมาย

ใช่ครับ ของถูก ดีๆ ไม่มีในโลก ถ้าใครจะยกตัวถังก็ควรจะต้องคิดดีๆ หาร้านที่มีช่างมีฝีมือ ไว้ใจได้ มีประสบการณ์ น่าจะทำให้ปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นมีน้อยที่สุด



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 อังคาร, 13/11/2544 เวลา : 17:02  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1288

คำตอบที่ 12
       หิน...สุดๆ
หลังจากที่กลับมาจากทริปกีบสมุทร แก่งหินเพิง จากสภาพเส้นทางที่ได้พบมา เห็นสภาพความเสียหายของช่วงล่างที่เกิดขึ้นกับรถเพื่อนๆ มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับสภาพรถบวกฝีมือแล้วก็โชคช่วยนิดหน่อย ก็เลยเป็นที่มาของการนำเสนอเรื่องเทคนิคการขับรถในสภาพถนนที่เต็มไปด้วยหินเพื่อให้เพื่อนได้ไว้เป็นข้อมูลในการเดินทางที่จะเส้นทางแบบนี้ อาจจะพอช่วยลดความเสียหายไปได้บ้างไม่มากก็น้อย
การขับรถบนทางหินนั้นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือสภาพและชนิดของรถ ความสูงของรถกับระบบช่วงล่าง สองอย่างนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่เราต้องพิจารณาว่ารถเรานั้นเหมาะสมที่จะเดินทางผ่านไปได้หรือไม่ ความสูงของรถที่พอเพียงจะสามารถทำให้เราผ่านอุปสรรคหินขนาดใหญ่ใต้ท้องรถไปได้โดยไม่มีการกระแทกกับชิ้นส่วนใดๆของช่วงล่าง พร้อมกับระบบช่วงล่าง (โช็คอับ แหนบ เพลา) ที่ดีจะทำให้ล้อรถนั้นสามารถไต่เคลื่อนไปบนพื้นหินได้ตลอด
ระบบช่วงล่างอิสระ เช่นปีกนก หรือคอยสปริงนั้น ปกติจะขับไปได้อย่างราบเรียบ มีการให้ตัวที่ดี บนสภาพทางหินเช่นนี้ แต่จากการออกแบบระบบช่วงล่างแบบนี้จะมีข้อจำกัดเรื่องขนาดของล้อและความสูงของช่วงล่าง อีกอย่างสิ่งที่แน่นอนและตายตัวสำหรับการขับรถบนทางหินคือเราจำเป็นต้องใช้ความเร็วต่ำหรือช้ามากๆขณะที่ขับผ่านอุปสรรคเพื่อหลีกเลี่ยงการกระแทกกับพื้นให้มากที่สุด
เนื่องจากระบบช่วงล่างอิสระที่อยู่ด้านหน้าโดยปกติจะทำให้การขับนั้นราบเรียบจากการยุบตัวของช่วงล่าง สิ่งนี้มันได้ทำให้ระบบนี้มีการเปลี่ยนแปลงความสูงของช่างล่างหรือการยุบตัวด้านหน้าขณะเดินทางอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ล้อหน้ากระทบกับอุปสรรคหรือหิน ล้อจะถูกยกขึ้นเพื่อซับแรงกระแทก พร้อมกับแกนเพลาหรือดุมเพลาที่อยู่ใต้ท้องที่อยู่ในตำแหน่งแนวเดียวกันจะมีอาการยุบตัวลงทำให้กระปุกเพลาเกิดการกระแทกหินได้ ถึงแม้ว่าขนาดของหินที่เราค่อมผ่านนั้นจะต่ำกว่าความสูงของช่วงล่างเรากว่าครึ่งก็ตาม
ช่างล่างด้านหน้าที่เป็นระบบคานแข็งนั้นในสภาพการขับทั่วไปจะไม่สบายราบเรียบเหมือนระบบช่วงล่างอิสระ แต่ระบบคานแข็งจะมีข้อดีคือขณะที่ขับบนทางออฟโรดนั้นเมื่อเวลาล้อหน้ากระทบอุปสรรค แกนเพลาทั้งแกนจะถูกยกลอยตามเพื่อรับแรงกระแทก สิ่งนี้จะทำให้ความสูงของช่วงล่างไม่มีการยุบตัวและสามารถรักษาความสูงของช่วงล่างไว้ได้โดยไม่มีการกระแทก
ถ้าเราจำเป็นต้องผ่านอุปสรรคที่เป็นหินหน้าตัดขนาดใหญ่หรือสูง เราจำเป็นต้องเข้าแบบทำมุมเฉียงเพื่อให้ล้อแตะอุปสรรคที่ละล้อ จำไว้เสมอว่าการเอียงเข้าหาอุปสรรคแบบนี้ต้องคำนึงถึงระดับความเอียงของรถช่วงขณะที่จะทิ้งตัวลงจากหินว่าจะต้องไม่มากเกินไปที่จะทำให้รถคว่ำได้

สรุปแล้วการขับรถบนถนนที่มีหินใหญ่ น้อยมากมาย ก่อนอื่นเราต้องดูสภาพรถเราเอง ความสูงและระบบช่วงล่างว่าพอไปได้มั้ย ข้อดีข้อเสียของรถเราอยู่ที่ไหน ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นกว่าปกติหรือไม่ ถ้าเราไม่ประมาท รอบคอบ เราก็จะผ่านอุปสรรคหินๆต่างเหล่านี้ไปได้อย่างสบายโดยที่ท้องไม่มีบาดแผลใดๆให้ช้ำใจ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 เสาร์, 24/11/2544 เวลา : 11:52  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1366

คำตอบที่ 13
       อ้อ! ที่มาเรื่องหินๆ คือ www.offroader.com ครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลินไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 เสาร์, 24/11/2544 เวลา : 12:05  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1367

คำตอบที่ 14
       การเตรียมตัวก่อนออกเดินทางไกล

คาดว่าปีใหม่นี้หรือในเดือนธันวาคมที่มีวันหยุดยาวหลายวัน ส่วนใหญ่จะให้รางวัลกับชีวิตกับตัวเองโดยการเดินทางไปพักผ่อนในสถานที่ไกลๆ ที่ใช้เวลานาน ที่ในช่วงกลางปีไม่สามารถทำได้ ความพร้อมของยานพนะที่จะพาเราและครอบครัวไปเป็นเรื่องสำคัญรวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่ถ้าหากขาดไปอาจจะทำการพักผ่อนหมดสนุกไปเลยก็ได้ ผมได้คัดลอกคู่มือการเตรียมการเดินทางไกลโดยรถยนต์จากผู้มีความรู้และชำนาญเรื่องการท่องเที่ยวป่าทางรถยนต์มาเสนอ ซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือแนวทางสำหรับท่านก่อนการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวที่สนุกโดยปราศจากปัญหามากวนใจ

1. ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปที่แห่งใดควรศึกษาสภาพแวดล้อม อากาศ ลักษณะพื้นที่เพื่อการเตรียมตัวเรื่องเสื้อผ้า รองเท้า ให้เหมาะสมกับที่นั่น ท่านควรจะโทรแจ้งเพื่อนหรือญาติที่ใกล้ชิดบอกสถานที่ที่จะไป ไปเมื่อไหร่กลับเมื่อไหร่ หมายเลขทะเบียนรถ เบอร์มือถือ จำนวนคนและใครในคณะที่ไปกับท่านด้วย อย่าประมาทหรือถือว่าเป็นการแช่งตัวเอง แต่รอบคอบไว้ดีกว่าครับ
2. โทรศัพท์มือถือ ไฟฉาย วิทยุVR ถ่านสำรองต้องนำไปด้วยครับ
3. อุปกรณ์และยาชุดปฐมพยาบาล ตรวจเช็คว่ามีทุกอย่างครบถ้วน ไม่หมดอายุ ถ้าสถานที่ที่ไปมียุงเยอะก็ต้องนำยาทากันยุงติดไปด้วย
4. อุปกรณ์กู้รถฉุกเฉินเช่น พลั่ว โซ่หรือสายพานลากรถ สเกล ยูโบว ในการเดินทานเราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างทางเช่น รถตกข้างทาง ตกหลุมใหญ่ หรือรถเสีย ของพวกนี่จำเป็นครับ อ้อ ถ้ารถท่านมีเครื่องมือดับเพลิงยิ่งดีใหญ่ครับสามารถใช้ได้ทั้งในรถและในป่าถ้าเกิดท่านบังเอิญก่อกองไฟที่ใหญ่เกินกว่าที่จะดับได้โดยกระทันหัน
5. ปั๊มลมสำหรับเติมลมยางรถยนต์
6. สายพ่วงแบตเตอรี่
7. ชุดเครื่องมือประจำรถ แม่แรง ที่ขันล้อ น้ำมันเอนกประสงค์ ไฟส่องสำหรับซ่อมรถเวลากลางคืน
8. น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร น้ำมันเบรค จารบี อย่าง 1 -2 ลิตร
9. ฟิวส์ที่ใช้ในรถ ทุกชนิดและทุกขนาด
10. ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ทุกชิ้นส่วน
- ระดับน้ำมันเครื่อง , น้ำมันเกียร , น้ำมันเบรค , น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ,
- ระดับน้ำสำรองหม้อน้ำ , น้ำฉีดกระจก, น้ำกลั่นในแบตเตอรี่
- สภาพของสายพานเครื่องยนต์ ไดชาด , ท่อยางหม้อน้ำ , ขั้วแบตเตอรี่
- รังผึ้งหม้อน้ำมีโคลน ดินไปจับหรือไม่ ใบพัดลมหม้อน้ำเป็นอย่างไร , เป่ากรองอากาศ
11. วินซ์มือ จำเป็นสำหรับรถที่ไม่มีวินซ์

สิ่งของต่างๆที่ได้นำเสนอมา อย่าไปหวังเผื่อว่าจะไปหาเอาข้างหน้าหรือเพื่อนร่วมเดินทางท่านคงจะมี เตรียมไปเองดีกว่าครับเพราะถ้าเพื่อนเราคิดเหมือนกันอาจจะทำให้ในกลุ่มเราไม่มีของบางอย่างเลยก็ได้ ขอให้ท่านขับรถท่องเที่ยวอย่างมีความสุขน่ะครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 เสาร์, 8/12/2544 เวลา : 14:50  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1421

คำตอบที่ 15
       ถ้ายังลังเลอยู่ว่าจะใส่ยางแบบไหนดีระหว่าง Mud กับ All ก็ลองทำแบบทดสอบดู จะได้เพิ่มความมั่นใจในการเลือกยิ่งขึ้นครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 จันทร์, 7/1/2545 เวลา : 16:37  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1566

คำตอบที่ 16
       การกำหนดระดับความยากง่ายสำหรับเส้นทาง Offroad

ระดับ 1 - 2 เส้นทางเรียบๆ ไม่จำเป็นต้องรถขับเคลื่อน 4 ล้อก็เดินทางได้ เช่น ทางลูกรังอัดแน่น หรือ พวกแนวกันไฟป่า
ระดับ 3 - 4 เส้นทางระดับปานกลาง, จำเป็นต้องเป็นรถแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ - อาจจะมีติดบ้างแต่ไม่มาก เช่น เส้นทางเกวียน เป็นร่องลึก ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขามีทางขึ้นลง,ข้ามลำธารที่ไม่ลึกมาก, บ่อโคลน หรือ ทราย ระหว่างทางธรรมดา
ระดับ 5 - 6 ระดับท้าทาย, จำเป็นต้องใช้เกียร์ Low ตลอด, รถอาจจะต้องมีเสียหายบ้างเช่น เส้นทางที่เป็นหิน ไต่เนินหิน , เส้นทางที่เอียงมากๆ , บ่อหลุมโคลนลึกยาว ,การข้ามแม่น้ำหรือลำห้วยที่มีระดับน้ำลึกพอสมควร
ระดับ 7 - 8 ระดับเส้นทางที่ยาก, รถที่ไปจะต้องมีช่วงล่างและอุปกรณ์ที่พร้อม สมบูรณ์สำหรับเส้นทางหนักๆ เช่น คานแข็ง วินซ์ ยางใหญ่ สนอกเกิล Air Locker , รถอาจจะมีความเสียหายหนักเกิดขึ้นได้ เช่น ปีนป่ายเขาหิน ทางที่ชันลื่นมากๆ , ปลักโคลนลึกๆยาว , ข้ามลำน้ำหรือห้วยที่ลึกมากๆ
ระดับ 9 - 10 ระดับยากสุดๆ , รถที่ไปต้องมีช่วงล่าง ชิ้นส่วนต่างๆรวมทั้งอุปกรณ์ เป็นแบบ Heavy Duty เท่านั้น ( เช่น ตลอดเส้นทางเป็นก้อนหินใหญ่ ชันๆ เอียงมากๆ มีโอกาสที่รถพลิกคว่ำหรือพังได้ง่ายๆ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 พฤหัสบดี, 24/1/2545 เวลา : 12:20  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1630

คำตอบที่ 17
       How about 11-12 ?...4H or 4L.?



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Dang_Terrano จาก Dang 147.182.5.50 พฤหัสบดี, 24/1/2545 เวลา : 12:27  IP : 147.182.5.50   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1631

คำตอบที่ 18
       11-12 เป็นระดับยากสุดๆ รถที่ใช้จะเป็นแบบไหนก็ได้ แต่คนที่ขับต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เพราะหากพลาดไม่ใช่รถจะพังอย่างเดียว คนขับจะกลับบ้านเก่าโดยอัตโนมัติด้วย เพราะฉนั้นอย่าลองเด็ดขาด ทำได้ครั้งเดียวเท่านั้น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

webmaster จาก Ting 203.148.176.209 ศุกร์, 25/1/2545 เวลา : 08:49  IP : 203.148.176.209   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1638

คำตอบที่ 19
       WINCHING SAFETY ( การใช้วินซ์อย่างปลอดภัย)

ก่อนที่ท่านจะใช้สายพานลาก/ดึงรถหรือดึงสายสลิงออกมาวินซ์ , ขอให้นึกถึงข้อควรระวังในเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญเพราะว่า " อุบัติเหตุจากสายสลิงหรือสายลากนั้นอาจจะสามารถก่อให้เกิดบาดเจ็บหรือถึงแก่เสียชีวิตได้!!!! "
1. ก่อนทำการลากหรือดึง ต้องมั่นใจว่าจุดยึดที่รถทั้งสองคันได้จับอย่างถูกจุดชิ้นส่วนและแน่นหนา
2. จุดที่ลากที่จะคล้องตะขอนั้นต้องถูกเชื่อมต่อไว้กับแชสซีของรถเท่านั้น พยายามอย่าใช้ตะขอที่เคลือบอลูมีเนียมเพราะว่าเนื้อโลหะอาจอ่อนหรือหย่อนคุณภาพแล้วตั้งแต่ตอนเคลือบอลูมีเนียม ตะขออลูมีเนียมพวกนี้ที่ใส่น็อตยึดหรือเชื่อมติดไว้กับกันชน ส่วนใหญ่มีไว้เพียงเพื่อความสวยงามเท่านั้น
3. ห่วงร้อยที่ติดมากับรถ กันชนหน้าหลัง ไม่ใช่จุดจับหรือดึง
4. ต้องมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในระยะกวาดของสายพานหรือสลิงหากมีการขาดหรือหลุดเกิดขึ้น
5. ต้องแน่ใจว่าสายสลิงหรือสายพานได้คล้อง/ยึดกับจุดจับอย่างแน่นหนาไม่มีทางหลุดได้
6. ทำการตรวจสภาพว่าสายสลิงหรือสายพานต้องอยู่ในสภาพดี ไม่แตกเป็นขุยหรือฉีกขาด
7. ห้ามทำการงอหรือพับสายสลิงของวินซ์อ้อมที่จุดลากแล้วดึงกลับมาที่ตัวเอง วิธีนี้จะทำให้สายสลิงงอและแตกที่จุดนั้นและทำสายสลิงเสียในที่สุด ถ้าจำเป็นต้องใช้ Snatch box ในการคล้องเพื่อเปลี่ยนทิศทางสลิงดีที่สุด

จากข้อควรระวังและปฏิบัติข้างบนดูเหมือนเป็นอะไรที่เป็นหลักการที่ควรจะเป็นใช่มั้ย? แต่หลายครั้งได้พบว่านักเดินทางที่คิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ มีความชำนาญ ได้ลืมที่จะกระทำตามข้อปลอดภัยดังกล่าว การสะบัดของสายสลิงจากการขาดขณะดึงนั้นสามารถทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ การที่คุณยึดจุดที่จะลากหรือดึงที่ไม่ดีก็เช่นกันเมื่อมันหลุดจากรถที่คุณดึง สภาพที่ตะขอหรือห่วงที่จะดีดกลับมาก็จะไม่แตกต่างอะไรกับสลิงขาดเหมือนกัน

ขณะที่กำลังดึงอยู่นั้นต้องนำกระสอบหรือผ้าห่ม ที่ค่อนข้างมีน้ำหนักมาวางไว้บนสายสลิงตรงกลางระหว่างจุดดึง เพื่อที่ป้องการการสบัดของสายสลิงได้ในระดับหนึ่ง ไม่ได้ป้องกันการขาดของสลิงแต่สามารถลดหรือหยุดการแกว่งหรือผ่อนแรงของการดีดกลับได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านจำเป็นต้องตรวจสอบและทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจุดดึง จุดยึด สภาพสายสลิง การยืนของผู้คนให้ปลอดภัยจากระยะการดีด และต้องมีอุปกรณ์ในการผ่อนการสะบัดดังกล่าว ถ้าได้ด้านของการประเมิณความเสี่ยงของอุบัติเหตุของการใช้วินซ์ อาจจะสรุปได้ว่า โอกาสความเสี่ยง - ปานกลาง และ ความรุนแรงของอุบัติเหตุ - สูงสุด คือถึงกับเสียชีวิต เพราะฉะนั้นอย่าประมาทและละเลยสิ่งนี้เป็นอันขาดขณะใช้วินซ์ทุกครั้ง

แถมเกร็ดความรู้อีกซักหน่อย ถ้าท่านจำเป็นต้องลากรถขึ้นจากหล่มหรืออุปสรรคใดๆก็ตาม ต้องใช้ลักษณะการลากจากข้างหลัง หรือ ท่านต้องเดินหน้าเท่านั้น เพราะรถท่านไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการดึงจากด้านหน้าแล้วท่านใช้การถอยหลังของรถ เพราะถ้าทำอย่างนี้อาจจะทำให้ระบบเกียร์ Hub ของท่านพังได้
ที่มา www.4wheeldrives.about.com
ในภาพจะเห็นกระจกหน้าและเบาะด้านข้างคนขับแตก ทะลุที่เกิดจากแรงสะบัดของสายพานที่ขาดหรือหลุดออกมา





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.151.139.78 พฤหัสบดี, 31/1/2545 เวลา : 17:31  IP : 203.151.139.78   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1684

คำตอบที่ 20
       บางครั้งขณะที่เราเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปออกทริป เคยมีความคิดอยู่ในใจบ้างมั้ยว่า เอ้?? เราลืมอะไรหรือเปล่า , ยังขาดอะไรอีกมั้ย, เอาของมาครบแล้วหรือไม่ แบบฟอร์ม Offroad travelling Check List สามารถที่จะช่วยท่านได้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจโดยเฉพาะมือใหม่หรือท่านที่ไม่ได้เที่ยวประจำ ไม่ได้มีกล่องเก็บของถาวร จะไปทีก็มานั่งนึงที โอกาสลืมอะไรบางอย่างย่อมเกิดขึ้นได้
ใช้ Check List ซิครับ !!!





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ไพลิน จาก จิงโจ้ป่า 203.150.14.100 พุธ, 20/2/2545 เวลา : 12:24  IP : 203.150.14.100   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 1860

คำตอบที่ 21
       มีประโยชน์มากครับ มีข้อมูลใหม่ๆอีกบ้างมั้ยครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก มือใหม่ 203.148.176.195 อังคาร, 8/10/2545 เวลา : 13:22  IP : 203.148.176.195   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 3852

คำตอบที่ 22
       ขอบคุณมากครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก ไม่แหลม 203.152.41.16 อังคาร, 22/10/2545 เวลา : 13:17  IP : 203.152.41.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 3917

คำตอบที่ 23
       ขอบคุณครับได้ความรู้มากเลย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

wisanant จาก เขาสามยอด 203.107.144.220 จันทร์, 27/1/2546 เวลา : 12:17  IP : 203.107.144.220   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 4650

คำตอบที่ 24
       เฟืองท้าย "ลิมิเต็ดสลิป" (Limited Slip Differrential)
หน้าที่ของเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป
ปกติถ้าขับรถไปในทางที่ลื่นมากๆเช่นโคลนหรือติดหล่ม จะสังเกตุได้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ไม่สามารถขับเคลื่อนรถต่อไปได้คือการหมุนฟรีของล้อข้างหนึ่งที่ลอยอยู่ในอากาศหรือในหล่ม ขณะที่ล้อที่อยู่บนพื้นกลับไม่มีกำลังที่จะพาตัวรถขับเคลื่อนไปได้ เพราะการทำงานของรถที่มีเฟืองท้ายธรรมดาจะมีการแบ่งถ่ายกำลังด้วยชุดเฟืองดอกจอกระหว่างเพลาขับด้านซ้ายและขวากับตัวเรือนเฟืองบายศรี เพื่อทดรอบการหมุนของล้อทั้ง 2 ข้าง สำหรับการเลี้ยวซึ่งล้อจะหมุนไม่เท่ากัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับยางและชุดเพลาขับ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดอาการดังกล่างกับรถประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อโดยเฉพาะออฟโรดที่ต้องปีนป่ายทางที่มีผิวลื่นเป็นประจำจึงมีการออกแบบเฟืองท้ายแบบ "ลิมิตเต็ดสลิป" โดยใช้เทคนิคในการจำกัดไม่ให้เกิดการสูญเสียกำลังขับของล้อเมื่อเกิดการลื่นหรือล้อหมุนฟรี ด้วยการใช้ความฝืดของแผ่นครัทซ์ หรือแรงกดจากการกดของสปริงและแรงหน่วงจกาการทดเฟืองแล้วแต่ว่าจะออกแบบมาแบบไหนมาเป็นตัวช่วยป้องกันการสูญเสียการขับเคลื่อน

หลักการทำงานของลิมิตเต็ดสลิป
เมื่อล้อข้างใดข้างหนึ่งหมุนฟรีกำลังขับเคลื่อนจะถูกส่งจากล้อที่หมุนเร็วกว่าไปยังล้อที่หมุนช้ากว่า ทำให้ล้อที่หมุนฟรีอยู่มีลดกำลังขับเคลื่อนลง ขณะที่ล้ออีกข้างหนึ่งจะมีกำลังขับเคลื่อนมากกว่า ทำให้สามารถพารถเคลื่อนตัวต่อไปได้ โดยเทคนิคการออกแบบกลไกนี้จะมีการออกแบบมาหลายลักษณะ แต่โดยรวมจะให้มีการส่งกำลังขับมายังล้อที่อยู่ตรงข้ามกับล้อที่หมุนฟรี วิธีที่ใช้และใช้มากกว่าวิธีอื่นคือใช้ความฝืดของแผ่นครัทซ์เปียกซ้อนกันหลายแผ่นเป็นตัวควบคุมกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อทั้งคู่โดยออกแบบกลไกภายในชุดตัวเรือนเฟืองดอกจอกให้มีชุดครัทซ์เป็นตัวส่งกำลังร่วมอยู่ที่ด้านหลังเฟืองดอกจอกตัวใหญ่หรือเฟืองหัวเพลาขับทั้ง2ข้างแทนที่จะส่งกันโดยตรงเพียงอย่างเดียวในเฟืองท้ายปกติทั่วไป และมีกลไกที่ทำให้ครัทซ์จับตัวเช่น ใช้สปริงกดเมื่อมีการลื่นไถลของล้อข้างใดข้างหนึ่งทำให้เกิดการส่งกำลังขับเคลื่อนไปที่ล้อทั้งคู่ บางรุ่นก็ใช้แรงบิดจากระบบส่งกำลังมาทำให้ครัทซ์จำตัว หรือ แบบสปริงกดกระทำกับเฟืองแบบจานประกบกันและสวมกับหัวเพลาขับ เมื่อมีการเลี้ยวหรือล้อทั้ง2ข้างหมุนไม่เท่ากัน เฟืองที่ประกบกันอยู่จะแยกออกจากกัน ซึ่งจะทำให้เกิดเสียงดังจากการที่ร่องฟันเฟืองหมุนเสียดสีกัน ซึ่งแบบนี้มีใช้มานานแล้วในรถบางประเภทเท่านั้น

หลายท่านอาจจะยังงงอยู่กับระบบการทำงาน พอให้รู้จักกับเฟืองท้ายชนิดนี้ก็พอว่ามันทำงานอย่างไร มีประโยชน์ขนาดไหนโดยเฉพาะกับรถออฟโรดที่ต้องเจอกับสภาพเส้นทางลื่นๆ เป็นหลุมบ่อลึกๆ สำหรับท่านที่มีเฟืองท้ายแบบนี้การบำรุงรักษาควรใช้น้ำมันเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิปเท่านั้นซึ่งจะมีเขียนอยู่ข้างกระป๋องทุกยี่ห้อว่า For Limited slip Differrential
ข้อมูลบางส่วนคัดลอกมาจากหนังสือนักเลงรถกระบะ
(ภาพที่แนบเป็น Demo การทำงานของ AirLocker ที่ใช้แรงดันลมเป็นตัวกดสปริงให้ล้อทั้ง 2 ข้างทำงานตลอดเวลาตามที่เราต้องการ)






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก จิงโจ้ป่า 203.113.80.11 อังคาร, 28/1/2546 เวลา : 00:15  IP : 203.113.80.11   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 4661

คำตอบที่ 25
       ขออนุญาตนำไปลงบอร์ดอีซูซุด้วยนะครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

โก้ จาก โก้-IZU013 203.170.141.214 พฤหัสบดี, 4/12/2546 เวลา : 14:29  IP : 203.170.141.214   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 5681

คำตอบที่ 26
       ขอบพระคุณมากๆครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

wat จาก Wat/TOC-033 169.210.21.166 เสาร์, 6/12/2546 เวลา : 12:25  IP : 169.210.21.166   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 5682

คำตอบที่ 27
       ขอข้อมูลถ้าจะใช้อีซี่ล็อคเกอร์ในเพลาหน้า มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร ถ้าล้อหน้าข้างหนึ่งข้างใดลอยขึ้นมาจากพื้น แล้วล้อข้างที่ลอยจะหมุนปั่นฟรีในอากาศไหม เพราะกลัวเพลาข้างที่ลอยจะเสียหาย เนื่องจากอีกล้อจมอยู่กับอุปสรรค เพราะเคยเห็นรถของเพื่อนที่ใช้เพลาหน้าเดิมๆเจอปัญหานี้แล้วเลยอยากรู้ว่าเจ้าอีซี่นี่ช่วยได้ไหมครับ ขอรบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายทีครับ ..ขอบคุณ...อ้อราคาประมาณเท่าไร กลัวโดนฟัน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

addkeans จาก คนขี้สงสัย 210.203.175.244 อังคาร, 16/12/2546 เวลา : 11:04  IP : 210.203.175.244   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 5770

คำตอบที่ 28
       ขออนุญาต Copy ให้เพื่อน ๆ JUC ได้อ่านเพิ่มพูนความรู้บ้างครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก นาย MOP JUC (Original) 202.133.132.27 อาทิตย์, 21/12/2546 เวลา : 17:59  IP : 202.133.132.27   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 5781

คำตอบที่ 29
       ยินดีมากครับ ตอนนี้มีแผนกำลังจัดทำรูปแบบการนำเสนอให้อ่านง่ายกว่านี้และสะดวกรวดเร็วกว่าปัจจุบัน ขอบคุณครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก จิงโจ้ป่า 203.113.80.139 จันทร์, 22/12/2546 เวลา : 10:15  IP : 203.113.80.139   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 5784

คำตอบที่ 30
       ..ยอดเยี่ยมครับ ท่านจิงโจ้ป่า..





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก นาย ถั่วเขียว 203.209.118.101 จันทร์, 22/12/2546 เวลา : 19:43  IP : 203.209.118.101   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 5785

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพุธ,17 เมษายน 2567 (Online 2721 คน)