WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


นานาสาระเพื่อสุขภาพ
RedMachine067
จาก Red Machine 067
IP:125.25.24.59

พฤหัสบดีที่ , 14/5/2552
เวลา : 16:54

อ่านแล้ว = 11423 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  

คำตอบที่ 61
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , Updated: 10/07/2009ท่าบริหารแขนและไหล่
ผ่อนคลายกล้ามเนื้อเวลาทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ


การทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ คงจะรู้สึกเมื่อยล้าบริเวณไหล่และแขนอยู่บ่อย ๆ อาจเป็นเพราะการนั่งทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ค่อยเปลี่ยนอิริยาบถ นอกเสียจากการนั่งงอแขน และหอไหล่

สำหรับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเมื่อยล้า ใช้เวลาไม่มาก ทำง่าย ๆ ดังนี้

ท่าที่ 1

เหยียดแขนไปด้านหลัง ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน หันฝ่ามือออกนอกลำตัว
ยืดหดบริเวณข้อศอกช้า ๆ และพยายามให้แขนทั้งสองข้างเหยียดตรง (ฝ่ามือยังคงประสานกันอยู่)
นั่งให้ลำตัวตรง บริเวณหน้าอกตั้ง ค้างไว้ราว 10 วินาที


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พฤหัสบดี, 3/12/2552 เวลา : 09:44  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85679

คำตอบที่ 62
      

fiogf49gjkf0d

ท่าที่ 2

ใช้มือขวายกแขนซ้ายที่บริเวณข้อศอก
ดันข้อศอกด้านซ้ายจนชิดลำตัว ท่อนแขนเหยียดตรง พร้อมกับหันลำคอ ศีรษะไปทางด้านซ้าย
ค้างไว้ราว 10-15 วินาที และเปลี่ยนข้างทำในลักษณะเดียวกัน



หยุดพักทำงานเพียงไม่กี่นาที แล้วลองทำตามท่าบริหารแขนและไหล่ทั้งสองท่าดู แล้วคุณจะรู้สึกผ่อนคลาย.




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พฤหัสบดี, 3/12/2552 เวลา : 09:45  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85680

คำตอบที่ 63
      

fiogf49gjkf0d
ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 29/09/2009ออกกำลังกายเช้าหรือเย็นดีกว่ากัน?
กลายเป็นข้อถกเถียงและสงสัยของคนทั่วโลก เนื่องจากมีการอ้างความเห็นจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญกันมากมาย



คำถามที่ว่า การออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็น ช่วงเวลาไหนดีต่อร่างกายมากกว่ากัน? หรือแม้แต่การบอกต่อๆ กันก็ทำให้คนฟังสับสนได้เหมือนกัน

ทั้งนี้ไม่ว่าจะออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นต่างเป็นกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน เรียกว่า ใครใคร่ออกกำลังกายช่วงไหนก็เลือกตามสะดวก ซึ่งข้อสำคัญที่คุณควรคำนึงถึงคือ ความเหมาะสม คุณภาพและความถี่ของการออกกำลังกาย โดยการแบ่งเวลาและปฏิบัติตามจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เสมือนว่าเป็นนัดสำคัญที่ยกเลิกไม่ได้

ทั้งนี้การออกกำลังกายไม่ถูกจำกัดด้วยประเภทของกีฬาหรือสถานที่ แม้การขยับเคลื่อนไหวร่างกายขณะใช้ชีวิตประจำวันก็เป็นการออกกำลังกายได้ ยกตัวอย่างเช่น การจอดรถให้ไกลกว่าจุดหมายเพื่อให้ได้เดินออกกำลังกายมากขึ้น การเดินหรือวิ่งขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ หรือมุ่งออกกำลังกายดังต่อไปนี้ให้ต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที คุณก็สามารถเผาผลาญพลังงานได้พอควร

เดินเร็ว 3.5 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 140 กิโลแคลอรี
การวิ่งจ็อกกิ้ง ความเร็ว 5 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 295 กิโลแคลอรี
การขี่จักรยาน ความเร็วต่ำกว่า 10 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 145 กิโลแคลอรี
การขี่จักรยาน ความเร็ว 10 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 195 กิโลแคลอรี
การยกน้ำหนักฟรีเวท เผาผลาญได้ 110 กิโลแคลอรี
ว่ายน้ำฟรีสไตล์เร็วปานกลาง เผาผลาญได้ 255 กิโลแคลอรี
แอโรบิก เผาผลาญได้ 240 กิโลแคลอรี
บาสเก็ตบอล เผาผลาญได้ 220 กิโลแคลอรี
เต้นรำ เผาผลาญได้ 165 กิโลแคลอรี
นอกจากนี้สำหรับคนที่เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ เรามีข้อแนะนำดังต่อไปนี้

สำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการออกกำลังกาย เพื่อไม่กระทบต่ออาการจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย


เริ่มกำหนดเป้าหมายการออกกำลังกาย ตั้งแต่ 10 นาที และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น 30-60 นาที หรือแบ่งการออกกำลังกายออกเป็นช่วงสั้นๆ แต่รวมกันให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น ตื่นนอนตอนเช้าออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว 20 นาที หลังเลิกงานไปเดินเร็วอีก 20 นาที ก่อนนอนบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องอีก 10 นาที เป็นต้น


พึ่งพาวิดีโอ วิซีดีหรือดิวีดี บริหารร่างกายได้เองที่บ้าน ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ ใครขี้เกียจเดินทางก็เช่าหรือซื้อท่าทางการบริหารร่างกายมาทำตามที่บ้านก็สะดวกเหมือนกัน ทั้งนี้ควรพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้ฝึกสอนที่น่าเชื่อถือ และมีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกาย

ล่าสุด ดร.เซดริก ไบร์อัน นักสรีรวิทยา ที่ปรึกษาการออกกำลังกายแห่งสมาคมเพื่อการออกกำลังกายแห่งสหรัฐอเมริกา อ้างว่าจากการวิจัยผู้หญิงน้ำหนักเกินอายุ 50-75 ปี ที่ให้ออกกำลังกายช่วงเช้าโดยเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์พบว่า การนอนหลับของกลุ่มตัวอย่างเป็นไปได้ดีขึ้นและจากออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า 13 กิโลกรัมทีเดียว

โดย ดร.เซดริก ให้ความเห็นถึงเบื้องหลังความสำเร็จของการออกกำลังกายคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการออกกำลังกาย อันเนื่องมาจากการออกกำลังกายตอนเช้าเปิดโอกาสให้คนหันมาออกกำลังกายจนติดเป็นนิสัยได้มากกว่าการเลือกออกกำลังกายในช่วงเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ทำให้มีเหตุต้องเลื่อนการออกกำลังกาย



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พฤหัสบดี, 3/12/2552 เวลา : 09:48  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85681

คำตอบที่ 64
      

fiogf49gjkf0d
อดตาหลับ ขับตานอน
หากวันไหนที่เราจำเป็นต้องอดนอน จะทำอย่างไรจึงจะสดใส ไม่หมดแรงเอาดื้อ ๆ


โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของเราถูกจัดระบบให้นอนหลับเวลากลางคืน และตื่นกลางวัน แต่ วันนี้สามัญประจำบ้านมีมาบอก

จากการวิจัยพบว่า การนอนหลับประมาณ 8 ชม.เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนอนที่ดี และเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำกิจกรรม ส่วนกลางคืนซีโรโตนินจะลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน รวมทั้งต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโตนิน ออกมาเพื่อให้ร่างกายง่วงนอน จนกระทั่งใกล้เช้า ก็จะลดลงทำให้เราตื่นมาพอดี หากว่าเราอดนอนถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เจ็บป่วยได้

เวลาเราอดนอน จะสังเกตได้ว่าบางครั้งจะมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดและเวียนศีรษะ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ความดันสูง ซึมเศร้า ท้อแท้ และถ้าหากอดนอนสะสมมาก ๆ อาจร้ายแรงถึงขั้นระบบประสาททำงานผิดปกติ จนเกิดอาการประสาทหลอนได้

ดังนั้น หากแหงนมองนาฬิกาเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ยังไม่ได้นอน ไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ และไม่ควรดื่มนมวัว เพราะมีไขมันสูง ใช้เวลาในการย่อย 3-4 ชั่วโมง จะเป็นการรบกวนกระเพาะอาหาร ควรรับประทานอาหารอุ่น ๆ ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวเหนียว หรือกล้วยนำไปอุ่นให้ร้อน

ขณะเดียวกัน หากตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียจากการนอนดึก แนะนำให้อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นจัด ๆ ประมาณ 3 นาทีและอาบน้ำเย็นอีก 2 นาทีสลับไปมา 3 รอบ จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าการดื่มกาแฟหรือชาร้อนในตอนเช้าเสียอีก นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย อาทิ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้สด ๆ



เพียงแค่นี้ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการนอนดึกได้แล้ว แต่ทางที่ดีแนะนำว่าอย่านอนดึกจนติดเป็นนิสัยจะดีกว่า เพราะร่างกายของเราไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนบ่อย ๆ เหมือนเครื่องจักรนะจ้ะ

takecareDD@gmail.com





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:15  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85808

คำตอบที่ 65
      

fiogf49gjkf0d
นวดศีรษะคลายเครียด
ขั้นตอนการนวดหนังศีรษะที่จะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง

ยังอยู่ในสัปดาห์เกี่ยวกับหนังศีรษะและเส้นผม ยืดเส้นยืดสาย มี โล่งสบาย ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

1.มือซ้ายรองต้นคอ และใช้อุ้งมือขวาวางพาดช่วงหน้าผาก กางนิ้วโป้งและนิ้วชี้ กดลงบริเวณคิ้ว จากนั้นให้เลื่อนระดับขึ้นไปอย่างช้า ๆ จนผ่านแนวเส้นผมลึกเข้าไป 1 นิ้ว ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

2.วางอุ้งมือทั้งสองข้างแนบข้างศีรษะเหนือใบหู และใช้อุ้งมือยกหนังศีรษะขึ้น พร้อมกับการเลื่อนอุ้งมือวนเป็นวง ให้อุ้งมือข้างหนึ่งเลื่อนไปทางด้านหน้า อีกข้างเลื่อนไปที่กลางกระหม่อม แล้วเลื่อนไปทางศีรษะด้านหลังที่บริเวณท้ายทอย และนวดจนทั่วศีรษะ

3.ใช้ปลายนิ้วนวด โดยเริ่มจากหนังศีรษะด้านข้างทั้งสองด้านพร้อมกัน และค่อย ๆ กดไล่ไปทางด้านหน้า ทำซ้ำลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

4.นวดรอบไรผม โดยเริ่มจากจุดกึ่งกลางของแนวผม คือ บริเวณหน้าผาก ใช้ปลายนิ้วนวดเป็นวงลงไปจนถึงแนวผมข้างขมับ ต่อไปจนถึงบริเวณท้ายทอย ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 5 ครั้ง

5.วางปลายนิ้วตรงกลางกระหม่อม ก่อนนวดวนเป็นวงจากจุดดังกล่าวไปถึงขมับ และจากข้างขมับสู่กลางกระหม่อมเช่นเดิม

6.ก้มหน้าลง ใช้อุ้งมือซ้ายรองรับหน้าผากไว้ ใช้ปลายนิ้วมือหรืออุ้งมือขวานวดในลักษณะวนเป็นวง จากหลังใบหูผ่านท้ายทอย กระทั่งไปจรดที่หลังใบหูอีกด้านหนึ่ง ทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 2-3 ครั้ง

7.ใช้ปลายนิ้วนวดจากกลางกระหม่อมลงสู่ท้ายทอย จากท้ายทอยขึ้นไปที่กระหม่อม และจากต้นคอด้านซ้ายไปถึงบริเวณต้นคอด้านขวา

8.กำเส้นผมด้วยมือ ดึงเบา ๆ อย่างช้า ๆ นับจังหวะ 1-3 แล้วจึงปล่อย ทำซ้ำในลักษณะเดียวกันให้ทั่วศีรษะ (สำหรับผู้ที่รากผมอ่อนแอ หลุดร่วงง่าย ไม่ควรปฏิบัติในขั้นตอนนี้)

หากคุณผู้อ่านนวดศีรษะตามขั้นตอนข้างต้นอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การทำงานของปลายเส้นประสาทและเส้นเลือดที่มีอยู่เป็นจำนวนมากใต้หนังศีรษะ แถมยังช่วยแก้ไขปัญหาเส้นผมได้มากมาย อาทิ ผมไร้น้ำหนัก ขาดชีวิตชีวา ผมร่วง เป็นต้น.





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:17  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85809

คำตอบที่ 66
      

fiogf49gjkf0d
ไข่ขาวรักษาแผลน้ำร้อนลวก
ใครที่ไม่อยากมีแผลเป็นจากการลูกน้ำร้อนลวกฟังทางนี้ เรามีวิธีรักษามาบอก


เริ่มแรกนำไข่ไก่มา 1 ฟอง ตอกใส่ในถ้วย แล้วแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว จากนั้นนำไข่ขาวมาทาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพัก จนกว่าจะแห้ง เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด รอยแผลแดง หรือ พุพองก็จะหายไป

ข้อแนะนำ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้แผลโดนน้ำเย็น หรือแคะแกะ เกา แผลเด็ดขาด เพราะจะทำให้หนังถลอก

รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ไม่อยากเป็นแผลเป็น ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้.




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:18  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85810

คำตอบที่ 67
      

fiogf49gjkf0d
17 วิธี Refresh สุขภาพแบบฮอต ฮอต
17 ข้อที่เราอยากให้คุณอ่าน เพราะมันมีประโยชน์มากกว่าที่คิด


อุณหภูมิ และสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่เราเคยคาดคิด และนี่คือความจริงรวมทั้งวิธีรักษาสุขภาพ

อัพเดทสุขภาพกับ 17 ความรู้ HOT HOT

1. ป้องกันอาการขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือแบบปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ สมุนไพร เยอะๆ เพราะหน้าร้อนร่างกายภายในจะมีอุณหภูมิสูง และขับเหงื่อออกมามาก จนอาจทำให้คุณช็อกหมดสติ





2. หลีกเลี่ยงน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด เพราะอาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงเร็วจนไม่สบาย





3. ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้





4. อย่างดอาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการอาหารเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง ของทอด ของมัน




5. หญิงตั้งครรภ์ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป



6. คนสูงอายุมักมีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป จะเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย ทำให้ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน



7. เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรองรังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier



8. หากผิวแสบร้อนจากการโดนแดด บรรเทาได้ด้วยการกินยาแอสไพริน แล้วแช่ตัวในอ่างน้ำอุณหภูมิห้อง ผสม Bath Oil จากนั้นบำรุงผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ และหลีกเลี่ยงแดดในวันถัดไป



9. ทำสเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียมอย่างง่ายๆ ด้วย น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่เอสเซนเชียลออยล์กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มินต์ 2 หยด และสเปียร์มินต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ในขวดสเปรย์ พกติดตัวและฉีดพรมเมื่อมีอาการ



10. เลือกเครื่องสำอางแบบครีม ที่มีเนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามันปัดทับด้วยบรอนเซอร์หรือแป้งฝุ่น



11. ควรเลือกใส่เสื้อผ้าเนื้อเบาสบาย ระบายอากาศได้ดีอย่างผ้าฝ้ายธรรมชาติ ที่หลวม ไม่กระชับตัว



12. หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้น้ำตาลสูง อย่างอาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต และผลไม้รสหวานจัด เพื่อควบคุมระดับพลังงานที่มากเกินไปจนส่งผลต่ออุณหภูมิสูงจากภายในของร่างกาย



13. ป้องกันแมลงกัดต่อยซึ่งมีชุกชุมในฤดูร้อน ด้วยการเลือกทาผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากพืชสมุนไพรธรรมชาติ



14. เลือกแว่นกันแดดขนาดใหญ่ที่ให้การปกปิดมิดชิด กระชับใบหน้า เพื่อป้องกันรังสียูวีบีจากการเกิดต้อกระจกในดวงตา และผิวไหม้เกรียม ริ้วรอยรอบดวงตา



15. อย่าเข้าใจผิดว่ายิ่งเข้มยิ่งดี สีของเลนส์ในแว่นกันแดดไม่ได้ช่วยในการปกป้องรังสี เพราะประสิทธิภาพสำคัญเกิดจากสารเคมีที่เคลือบเพื่อสะท้อนรังสี



16. คอนแทคเลนส์ไม่ช่วยอะไร โดยเฉพาะรุ่นที่เคลมว่าสามารถดูดซับรังสีได้ เพราะอย่างไรก็ด้อยประสิทธิภาพกว่าแว่นกันแดด ดังนั้นจึงไม่อาจใช้แทนกันได้



17. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่น่าเลือกมากที่สุดในปัจจุบัน ควรมีคุณสมบัติบางเบา ซึมซาบไว ติดทนนาน และมีส่วนผสมของสารประกอบจากไทเทเนียม หรือซิงค์ออกไซด์



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Women Plus









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:20  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85811

คำตอบที่ 68
      

fiogf49gjkf0d
7 สายรุ้งแห่งจักระสุขภาพ
จักระตลอดร่างกายของเราประกอบไปด้วย 7 จุด และแต่ละจักระนั้นมีความไวต่อ 7 สีสัน


คุณอาจได้ยินได้ฟังมานานว่าสีสันนั้นส่งผลต่ออารมณ์ แต่น้อยคนนักจะรู้ในเบื้องลึกว่ามันยังส่งผลสำคัญต่อระบบร่างกายในเชิงกายภาพ ด้วยการให้ผลกระทบต่อจักระอีกด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า สีบางสีสามารถปรับสมดุลระบบน้ำเหลือง ลดปัญหาในช่องท้อง หรือกระดูกสันหลัง และนี่คือความลับที่เรานำมาบอก


7 จักระและ 7 สีสันทรงอิทธิพล
ในเชิงจิตวิญญาณเชื่อกันว่าสีต่างๆ จะไปเสริมออร่าของร่างกาย ส่วนในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สีสันซึ่งมีความยาวคลื่นเฉพาะตัวนั้นส่งผลกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ใครอยากรู้ว่าตัวเองจะนุ่งผ้าสีอะไรถึงจะดีต่อสุขภาพ หรือทาสีห้องนอน ด้วยเฉดโทนใด นี่คือความลับของสายรุ้ง





สีแดง มีอิทธิพลต่อจักระพื้นฐานอันได้แก่ระบบการทำงานของกระดูก-สันหลัง ส่งผลให้ร่างกายเต็มไปด้วยพลังชีวิต ความเข้มแข็งด้านจิตใจ และสมดุลแห่งระบบไหลเวียนโลหิต ในทางกลับกัน การอยู่ในสภาพแวดล้อม หรือสวมใส่สีแดงที่มากเกินไป จะส่งผลเสียให้ร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไปจนเครียด อารมณ์แปรปรวน และจิตใจรุ่มร้อนด้วยโทสะ



สีส้ม มีอิทธิพลในด้านสังคม ทัศนคติเชิงบวก ส่งผลต่อจักระที่ควบคุมการทำงานของระบบไต ระบบปัสสาวะ และระบบสืบพันธุ์ ในทางกลับกัน การอยู่ในสภาพแวดล้อม หรือสวมใส่สีส้มที่มากเกินไป จะส่งผลเสียให้จิตใจหงุดหงิด มองโลกในแง่ร้าย และจิตใจกระวนกระวายสับสน



สีเหลือง มีอิทธิพลต่อจักระที่ควบคุมระบบช่องท้อง สร้างสมดุล ในระบบน้ำย่อย ให้ผลต่อการยกระดับจิตใจ ลดความหวาดระแวง ความสับสน และเพิ่มสมาธิในการตัดสินใจ ในทางกลับกัน การอยู่ ในสภาพแวดล้อม หรือสวมใส่สีเหลืองที่มากเกินไป จะส่งผลเสียให้ขาดสมาธิ และ กระตือรือร้นเกินพอดี



สีเขียว มีอิทธิพลต่อจักระที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ ช่วยเพิ่ม เสถียรภาพทางความคิด ความสงบ กระจ่าง เสริมทัศนะการใช้ชีวิตในแบบสงบสุข ร่มเย็น และมุมมองความรัก การให้อภัย สันติภาพ ไม่มีผลเสียสำหรับการอยู่ในสภาพแวดล้อม หรือสวมใส่สีเขียวที่มากเกินไป



สีน้ำเงิน มีอิทธิพลต่อจักระในระบบช่องคอ ปอด ช่วยในการแสดงออกทางสังคม การสื่อสาร ความมุ่งมั่น สุนทรีย์ในศิลปะ เชื่อว่าสีน้ำเงินยังปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานจาการนอนไม่หลับ ความเครียด อาการระคายเคืองคอ ความดันเลือดสูง และอาการไมเกรนอีกด้วย ไม่มีผลเสียสำหรับการอยู่ในสภาพ-แวดล้อม หรือสวมใส่สีน้ำเงินที่มากเกินไป



สีคราม มีอิทธิพลต่อจักระในดวงตาที่สาม ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหน้าผาก กึ่งกลางระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง ควบคุมการทำงานของอวัยวะในส่วนขมับ หน้าผาก ลงมา ถึงดวงตา ให้ผลในการควบคุมสมดุลการทำงานของระบบน้ำเหลือง ระบบภูมิคุ้มกันโรค การกำจัดของเสีย และเพิ่มสมรรถภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่มีผลเสียสำหรับการอยู่ในสภาพแวดล้อม หรือสวมใส่สีครามที่มากเกินไป



สีม่วง มีอิทธิพลต่อจักระตำแหน่ง มงกุฎ หรือบริเวณกระหม่อม ส่งผล ต่อประสิทธิภาพในการใช้ความคิด สมอง พลังจิต ความมุ่งมั่นและญาณทัศนะ เหมาะสำหรับ ผู้ทำงานบริหาร ในทางกลับกัน การอยู่ในสภาพแวดล้อม หรือสวมใส่สีม่วงที่มากเกินไป จะส่งผลเสียต่อนิสัย ความคิด ทำให้เป็นคนหลงตัวเอง และเย่อหยิ่ง

หลายสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ในแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่หมายความว่ามันไม่มีจริง หรืองมงาย เพราะในทางตรงกันข้าม บางทีอาจต้องโทษพวกนักวิชาการมากกว่า ว่าพวกเขาอาจยังไม่เจริญพอที่จะไขความลับแห่งธรรมชาติ จักระ ก็เช่นกัน มันอาจมีพลานุภาพมากกว่าผลที่ถูกพิสูจน์ในปัจจุบันก็ได้ เรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเท่าการทำเอง รู้เอง





DID YOU KNOW
จักระ คือ ศูนย์รวมของพลังงานของร่างกายของมนุษย์ ทั้งกายเนื้อ และ กายทิพย์ มีลักษณะคล้ายรูปจักรหมุนอยู่ตลอดเวลา โดยแต่ละจักระจะหมุนที่ความถี่ต่างๆ กันไป เพื่อรับ-ส่ง แปลงพลังงาน และใช้ให้เหมาะสมในกิจกรรมต่างๆ ที่จักระแต่ละชนิดรับผิดชอบ




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:21  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85812

คำตอบที่ 69
      

fiogf49gjkf0d
เจ็บ ตาปลา ทำไงดี ?!?
บางคนรักษาหายแล้ว กลับมาเป็นใหม่ได้อีก หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ


ใครเป็น ตาปลา ที่เท้า คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างดี เพราะกว่าจะรักษาหายต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่ปัญหา คือ ใน

รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ตาปลาเป็นก้อนของหนังขี้ไคลซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังเรื้อรัง พบบ่อยบริเวณฝ่าเท้าซึ่งรับน้ำหนักตัวจึงเกิดอาการเจ็บเวลาเดิน

ทั้งนี้ผิวหนังของคนเราประกอบด้วยชั้นผิวหนังกำพร้ากับชั้นหนังแท้ โดยมีสารเชื่อมให้เกาะกัน เมื่อผิวหนังมีการเสียดสีรุนแรง ผิวหนังกำพร้าแยกเป็นตุ่มน้ำพองใส แต่การเสียดสีเป็นแบบเรื้อรังจะกระตุ้นให้ผิวหนังกำพร้าสร้างหนังขี้ไคลหนาเพิ่มขึ้นกลายเป็นรอยด้านแข็ง พบบ่อยบริเวณด้านข้างของฝ่าเท้าซึ่งมีการเสียดสีกับรองเท้า และในบางจุดหนังขี้ไคลหนาแข็งเป็นก้อนเล็กฐานของก้อนแหลมคล้ายลิ่มจึงเจ็บเมื่อกดลง และเมื่อปาดส่วนบนของก้อนออกจะเห็นหนังขี้ไคลกลมใสคล้ายตาปลา

ปัญหาหนังฝ่าเท้าด้านและตาปลาพบบ่อยขึ้น เพราะการสวมใส่รองเท้าแฟชั่นซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของกระดูกเท้า โดยเท้าประกอบด้วยกระดูกขนาดเล็กจำนวนมากเรียงต่อกันเป็นแนว ข้อกระดูกเชื่อมโยงด้วยพังผืดและมีเส้นเอ็นเกาะกระดูกเพื่อบังคับการทรงตัวให้มั่นคง กระดูกเท้ามีหนังฝ่าเท้าห่อหุ้ม ผิวหนังบางส่วนมีการเสียดสีกับวัสดุรองเท้าเรื้อรังจึงหนาด้านขึ้น ถ้ารองเท้าบีบรัดให้การเรียงตัวของกระดูกผิดทิศทางมีการรับน้ำหนักของกระดูกบางชิ้นเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งทำให้การเสียดสีเพิ่มมากขึ้น ก้อนหนังที่หนาแข็งของหนังกำพร้าหรือตาปลาจะกดหนีบเนื้อหนังแท้และชั้นไขมันซึ่งมีใยเส้นประสาทกับกระดูกทำให้เจ็บปวดเวลาเดิน

ลักษณะหนังหนาและตาปลา ยังพบได้บริเวณซอกนิ้วนางและนิ้วก้อย ซึ่งมีการเสียดสีของหนังซึ่งทับกันระหว่างซอกนิ้วกับกระดูกนิ้ว นอกจากนี้ยังพบบริเวณฝ่าเท้าระหว่างโคนหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ และฝ่าเท้าบริเวณโคนนิ้วกลางและนิ้วนาง จากการสวมใส่รองเท้าหัวแหลมบีบนิ้วทั้ง 2 ข้างเข้าหากัน หนังฝ่าเท้าจะห่อเข้าหากันเกิดการเสียดสีเรื้อรังเมื่อเดินเป็นก้อนแข็งยาวตามร่องฝ่าเท้า และอาจมีตาปลาตรงกลางก้อนแข็ง

ด้านบนของหลังเท้าบริเวณนิ้วนางก็พบตาปลาบ่อยเนื่องจากการสวมรองเท้าหัวแบน ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเสียดสีกับรองเท้าซึ่งหุ้มหลังเท้า ส่วนผิวหนังหนาด้านข้างฝ่าเท้าบริเวณหัวแม่เท้าและนิ้วก้อย มักเกิดจากการสวมรองเท้าหลวมเกินไป

ผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยตาปลาได้เอง โดยตาปลาส่วนใหญ่จะเป็นทั้ง 2 เท้า แต่ก้อนเจ็บบริเวณฝ่าเท้าคล้ายตาปลาอาจเป็นโรคหูดจากไวรัส เอชพีวีได้ โดยไวรัสจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเพิ่มขึ้นเป็นก้อนในชั้นหนังกำพร้า แต่มีข้อแตกต่าง คือ หูดมักเป็นเท้าเดียวและเจ็บมากถ้าบีบก้อนทางด้านข้างเข้าหากัน ส่วนตาปลามักเจ็บมากเมื่อกดลง และเมื่อปาดผิวหูดออก เนื้อหูดเป็นเส้นสีขาวอัดแน่น หรือถ้าตัดลงลึกจะมีเลือดออกเพราะหูดเป็นเนื้องอกของหนังกำพร้ามีเซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าหนาขึ้น และมีหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น แต่ตาปลามีเฉพาะผิวหนังขี้ไคลหนาเท่านั้น

ตาปลาจะหายขาดต้องรักษาที่ต้นเหตุ ว่าเป็นจากความผิดปกติของกระดูก หรือการสวมรองเท้าไม่เหมาะสม แต่การผ่าตัดแก้ไขกระดูกยุ่งยากมาก จึงนิยมรักษาตามอาการ เช่น ขูดหรือเฉือนส่วนแข็งออก ใช้ยากัดหูดซึ่งประกอบด้วยกรดซาลิซิลิคหรือกรดแลคติก นอกจากนี้การแก้ไขรองเท้าเพื่อลดการเสียดสี และการใช้อุปกรณ์เสริมวางบนเท้าหรือรองเท้าเพื่อกระจายน้ำหนักหรือลดการเสียดสีจะช่วยทุเลาอาการ เช่น บริเวณพื้นรองเท้าอาจตัดแผ่นรองใต้ฝ่าเท้าให้เป็นหลุมเพื่อลดการกดทับเมื่อเดิน.


นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:22  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85813

คำตอบที่ 70
      

fiogf49gjkf0d

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 15/07/2008วิธีจัดการกับอารมณ์เหนื่อยเพลีย
มีบ้างไหมที่คุณรู้สึกเหนื่อย....เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจเสียเต็มประดา จนไม่อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรทั้งวัน


อยากนอนอยู่กับที่เฉยๆ เผื่อจะหายเหนื่อยขึ้นมาบ้าง เหนื่อยแบบนี้ไม่เหมือนกับความเหนื่อยที่เกิดขึ้นหลังวิ่งหรือออกกำลังกายมาใหม่ๆ นะครับ แต่หมายถึงอารมณ์เพลียละเหี่ยใจพาลไม่มีแรงทำอะไรสักอย่าง พอถึงวันหยุดก็จมอยู่กับที่นอนทั้งวันจนเหมือนคนขี้เกียจ แถมให้คิดอะไรก็คิดไม่ค่อยจะออกเสียด้วย กลายเป็นคนความคิดช้า ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนที่เคยเป็น



เชื่อไหมว่าในโลกนี้มีคนที่กำลังมีอาการแบบนี้อยู่อีกเป็นล้านๆ คน จนแทบเหมือนเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาหรอกนะครับ เพราะลองคิดว่าถ้ามีคนมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียละเหี่ยใจตลอดเวลาแบบนี้เยอะขนาดนั้น แล้วองค์กรหรืองานที่คนเหล่านี้ทำอยู่จะเคลื่อนตัวไปได้ช้าเพียงใด ยิ่งหากมองภาพรวมในระดับประเทศชาติยิ่งแล้วใหญ่ การพัฒนาศักยภาพแขนงต่างๆ อะไรต่อมิอะไรคงเป็นไปได้ช้าพิลึก!



ในทางการแพทย์มองว่าอาการอ่อนเพลียของคนเราที่เกิดขึ้นเสมอๆ นี้ ถือเป็นความผิดปกติของร่างกายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา สาเหตุของความเหนื่อยอ่อนแบบนี้คงจะตอบได้ยากว่าเกิดจากอะไรแน่ เพราะแต่ละคนล้วนมีปัจจัยแวดล้อมแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมักจะมีเหตุมาจากความเจ็บป่วยไม่สบาย การอดนอน ความเครียด คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การทำงานมากเกินไป การรับประทานยาประจำตัว หรือไม่ก็อารมณ์ที่กำลังซึมเศร้าจากแรงกดดันรอบๆ ตัว ยิ่งอยู่ในสภาพสังคมเมืองใหญ่ที่เรามักจะใช้พลังร่างกายกันเกินพิกัด เวลาควรนอนไม่ได้นอน เวลาควรกินไม่ได้กิน เพราะทำงานเกินเวลา หรือเป็นพวกนิยมการปาร์ตี้สังสรรค์ดึกดื่นข้ามวันข้ามคืน พอตื่นเช้าขึ้นมาเลยลุกไม่ไหว เรียกว่าปาร์ตี้กันเพลินเกินเวลาพาให้งานการเสียก็มีอยู่ไม่น้อย พอได้สติขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรเสียแล้ว



อาการเหนื่อยๆ เพลียๆ นี้อาจรักษาได้ด้วยยาบางอย่าง อย่างเช่น ยาระงับประสาท หรือยานอนหลับ กินให้คลายเครียดนอนหลับสนิท ตื่นมาจะได้มีเรี่ยวแรง แต่ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ก็อย่างที่พอรู้ๆ กันอยู่ ถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลเสียต่อสุขภาพจิตประสาทแน่ๆ ทางที่ดีกว่าคือการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเสียใหม่น่าจะให้ผลที่ดีในระยะยาวกับตัวคุณมากกว่า ลองพิจารณา 8 วิธีที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ แล้วนำไปปฏิบัติตามดู คุณอาจจะหยุดความอ่อนเพลียละเหี่ยใจกลับมาเป็นคนใหม่ได้ในเวลาไม่ช้าครับ



1.ไปตรวจสุขภาพ ลองนึกๆ ดูว่าที่คุณรู้สึกเหนื่อยๆ นั้นเป็นเพราะเกิดมาจากอาการไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า เพราะอาการอย่างเช่น เบื่ออาหาร มึนงง หัวหมุนติ้ว ปวดเมื่อยเนื้อตัว งงๆ ลอยๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ หรือซึมเศร้า บางทีอาจมาจากโรคที่ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ หรือบางครั้งยาที่เราจำเป็นต้องกินเข้าไปก็มีผลข้างเคียงทำให้ร่างกายเราอ่อนเพลียได้ เช่นยาประเภทที่มีผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ยาแก้แพ้ หรือยารักษาอาการติดเชื้อบางประเภท ยารักษาโรคเรื้อรังบางอย่าง ยาระงับประสาทบางตัว อาจทำให้คนที่กินง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งคุณควรจะขอคำแนะนำจากคุณหมอเพิ่มเติมในเรื่องนี้ดูว่ามีวิธีไหนที่จะหลีกเลี่ยงได้บ้าง



2. ให้ความสำคัญกับการนอนหลับเพิ่มขึ้น ในวันหนึ่งๆ คุณควรจะนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากคุณนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอเป็นประจำ ลองนึกดูว่าอะไรเป็นอุปสรรคต่อการนอนของคุณบ้าง เช่น ชอบเปิดไฟนอน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือก่อนนอนเป็นนิสัย การทำแบบนี้มักจะเป็นการรบกวนการนอนของคุณโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรยกกิจกรรมเหล่านี้ไปทำที่อื่น แล้วก่อนนอนควรทำอะไรที่จะทำให้จิตใจคุณสงบนิ่ง สบาย เช่น อาบน้ำให้สะอาด หรือทำสมาธิสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นต้น แล้วเมื่อถึงเวลานอนให้ตรงเข้ามาในห้องนอนเพื่อนอนเพียงอย่างเดียว อ้อ...ควรงดการดื่มกาแฟ หรือแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอนด้วยครับ



3. กินอาหารให้เพียงพอกับธรรมชาติของร่างกายต้องการ นอกจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในปริมาณที่สมดุลแล้ว ยังจำเป็นต้องกินอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่เพียงพอด้วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีกำลังวังชา ไม่กินมากไปจนทำให้อ้วนเดินไม่ไหว หรือกินน้อยไปจนกลายเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย เลือกกินให้พอดีๆ ทั้งข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ ก็จะช่วยคุณไม่ให้ไปเสียเงินเพิ่มกับค่าอาหารเสริมต่างๆ ทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นด้วย



4. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้วขึ้นไป หลายๆ คนพอจะรู้อยู่ว่าการดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดี ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น แต่คุณบางคนอาจยังไม่เคยทราบว่าการดื่มน้ำก็ให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน เพราะเวลาที่ร่างกายไม่ได้รับน้ำเพียงพอ โดยธรรมชาติจะพยายามปรับตัวทำงานให้หนักขึ้นเพื่อให้ได้น้ำมาใช้ในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้กลายเป็นพลังงาน คล้ายๆ กับรถที่ขาดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ในเวลาที่คุณต้องออกแรงหรือใช้ความคิดมากๆ จนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง การได้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำผักคั้นสดๆ สัก 1-2 แก้วจะช่วยทำให้คุณรู้สึกแช่มชื่นขึ้นได้อย่างเห็นผล เพราะทั้งน้ำตาลธรรมชาติและวิตามินในน้ำผัก/ผลไม้จะเข้าไปทดแทนส่วนที่ถูกใช้ไปได้เป็นอย่างดี และหากเป็นไปได้ควรพยายามหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนจะดีกว่า



5. กินอาหารแต่ละมื้อให้อิ่มพอดี หรือแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ ปริมาณน้อยแต่เพิ่มจำนวนมื้อ คุณลองสังเกตดูเวลาเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆ จนอิ่มแปล้นั้น มักจะตามมาด้วยอาการง่วงเหงาเงื่องหงอยในอีกไม่กี่นาทีต่อมาเสมอครับ นั่นเพราะร่างกายใช้พลังงานอย่างสูงไปในการย่อยอาหารจนหมด ดังนั้นการกินอาหารมื้อละน้อยๆ จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานแต่พอดีๆ แต่ยังช่วยให้ระบบการย่อยของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย แถมจะช่วยให้การเผาผลาญอาหารทำได้เต็มที่กว่าเดิมด้วย



6. หายใจลึกๆ ใช้สมาธิจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ออก สักติดต่อสักประมาณ 2 นาที จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากอารมณ์เหน็ดเหนื่อย วิตกกังวล เศร้าใจ เสียใจ หรือโกรธ ต่างๆ ได้มาก ซึ่งมีผลให้จิตใจของคุณสงบ สบายขึ้น คุณอาจตั้งสติจดจ่อกับการหายใจแบบนี้ในเวลาที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่คนเดียว เช่น ตอนที่รถติดๆ บนถนน ขณะเดินเล่น หรือแม้กระทั่งเวลาซักผ้า ล้างจาน จะช่วยให้จิตใจของคุณมีสมาธิดีขึ้นได้



7. ออกกำลังกายให้มากขึ้น และทำอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารเอ็นดอร์ฟินขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ ซึ่งสารนี้จะเป็นสารที่ให้ความรู้สึกเป็นสุข ช่วยคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียได้ชะงัด และยังช่วยให้กล้ามเนื้อใช้พลังงานที่ร่างกายเผาผลาญมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ขนาดที่เหมาะคือออกกำลังกายหนักปานกลางวันละ 30 นาทีอย่างน้อยๆ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ หากคุณเป็นคนหนี่งที่นานๆ จะมีโอกาสออกกำลังกายสักที ควรตั้งต้นเสียใหม่ยังไม่สายเกินไปด้วยการเริ่มต้นออกกำลังจากทีละน้อยๆ ช้าๆ ก่อน เช่น การเดินรอบๆ บ้าน แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทาง ความหนักทีละนิดๆ เช่น เปลี่ยนเป็นวิ่งระยะใกล้ๆ แล้วค่อยเพิ่มระยะทางยาวขึ้น เลือกการออกกำลังกายแบบใดก็ได้ที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยจนทนไม่ไหวเสียก่อน เมื่อคุณได้ใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายแล้วจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิท ความรู้สึกนึกคิดก็จะแจ่มใสกว่าเดิม



8.อยู่กับปัจจุบันให้ได้ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า หากแบ่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตเป็น 100 ส่วน ประมาณ 35 ส่วนจะถูกใช้ไปกับการคิดถึงอดีต 35 ส่วนจะใช้กับการคิดถึงอนาคต ที่เหลืออีกเพียง 30 ส่วนจึงจะใช้คิดถึงเรื่องปัจจุบัน ฟังแล้วคงเห็นภาพว่าทำไมเราถึงรู้สึกเหนื่อยกับเรื่องบางเรื่องที่มันผ่านไปแล้วและเราไม่สามารถแก้ไขได้ หรือเหนื่อยกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเสียเหลือเกิน ดังนั้นทางออกก็คือ การอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่คุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นได้ การจดจ่อกับปัจจุบันกาลจะทำให้คุณมีสติรับรู้อันเต็มเปี่ยมทุกขณะจิต มองโลก มองสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ ตามความเป็นจริง และจะช่วยให้คุณตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้อย่างดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นมาก เลือกทำในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง ไม่ลนลาน หรือร้อนรน ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนรอบข้างได้



อ่านจนครบ 8 วิธีแล้ว หวังว่าใครที่มักจะรู้สึกเพลียใจอยู่จนเป็นกิจวัตรน่าจะปรับตัวได้ดีขึ้นนะครับ แถมท้ายอีกหน่อยด้วยวิธีแก้เครียด วิตกกังวล และกลัว ซึ่งมีที่มาเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุณประสบพบเจอ ปัญหาชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ ความคิด ความทรงจำ หรือแม้แต่ความผิดหวังจากที่คาดหวังเอาไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนก่อความเครียดให้คุณได้ไม่มากก็น้อย นำมาซึ่งอาการข้างเคียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปวดหัว ปวดคอ ปวดตึงที่กล้ามเนื้อไหล่ เหงื่อออกมาก ใจเต้นแรง เป็นต้น วิธีทำใจให้คลายเครียดที่เราอยากแนะไว้ตรงนี้ โดยการ



กินอาหารให้ถูกสัดส่วน พร้อมกับหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างที่พูดถึงไปแล้วข้างต้น
อย่าเก็บปัญหาที่คุณกำลังเครียดอัดอั้นไว้กับตัว ลองปลดปล่อยมันออกมาด้วยการเล่าให้เพื่อนสนิทที่คุณไว้ใจได้สักคนฟัง ปรึกษาเพื่อนถึงปัญหาที่คุณเผชิญอยู่ การปลดปล่อยจะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น แล้วสติปัญญาแจ่มใสคิดแก้ไขสถานการณ์ก็จะเกิดตามมาไม่เชื่อลองดู
ผ่อนคลายจิตใจ ด้วยการหัวเราะเสียบ้าง การอยู่ท่ามกลางคนอารมณ์ดีจะช่วยคุณได้มากในเรื่องนี้ จะทำให้คุณคลายความเครียดได้ชะงัด ความคิดจะกลับมาแจ่มใส พร้อมหันหน้าสู้ปัญหาอย่างมีสติ
ให้เวลากับกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำงานบ้าน ฯลฯ จะเป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ทั้งยังให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากปัญหาเดิมๆ เหล่านั้นด้วย เผลอๆ จะช่วยคุณมีทางออกให้กับปัญหาแบบไม่รู้ตัว
ที่สำคัญที่สุดอย่างที่กล่าวไปแล้วคือ การอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด ครับ



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:23  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85814

คำตอบที่ 71
      

fiogf49gjkf0d
เคล็ดลับดูแลร่างกาย... เมื่อเลข 5(0) มาเยือน
มนุษย์เราหลีกหนี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปไม่พ้น เมื่อย่างเข้าสู่วัยเลข 5 เมื่อนั้นความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอันไม่พึงปรารถนาก็ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ



เมื่อกายแก่ จิตก็แก่ขึ้นตามไปด้วย แต่เป็น แก่-กล้า มิใช่ แก่ชรา เหมือนสังขาร บางคนอายุ 70 แต่หัวใจหยุดไว้ที่ 50 ดูกระชุ่มกระชวยรุ่มรวยอารมณ์ขัน สุขภาพจึงแข็งแรงพอที่จะหาความสำราญให้ชีวิตได้อยู่ ตรงกันข้ามบางคนเลขอายุยิ่งมาก ใจยิ่งห่อเหี่ยวขึ้นทุกวัน อย่างนี้เห็นทีจะอยู่ไม่ยึด อันนี้ไม่ได้แช่งแต่อยากแนะนำว่า มาใช้ชีวิตบั้นปลายให้มีความสุขจนหยดสุดท้ายกันดีกว่า



กายภาพเปลี่ยนไปตามวัย

อายุ 40 ความเปลี่ยนแปลงเริ่มมาเยือนเป็นการชิมลาง โดยเฉพาะลายเส้นบนใบหน้าเพิ่มมากขึ้นและดูจะถาวรเพราะเริ่มลึกลบออกยาก ผิวแห้ง ผมเริ่มมีสีเทาแซมและเส้นเล็กลง บางลงด้วย



อายุ 50 ผิวหนังเริ่มลดความยืดหยุ่นดึ๋งดั๋งลง กลายเป็นว่ายืดแล้วไม่ค่อยคืนรูป บางคนจะมีจุดด่างสีน้ำตาลปละปลายบนผิวหนังทั่วไป เป็นสัญลักษณ์ที่หลอกตัวเองยากว่าขณะนี้เรานั้นเข้าสู่วัยตกกระหรือวัยทองอย่างแท้จริง กล้ามเนื้อยืดหยุ่นน้อยลงเช่นกัน กระดูกเริ่มบางลง เรียกได้เต็มปากว่าเข้าสู่วัยเมโนพอส สำหรับผู้หญิง และแอนโดรพอสสำหรับผู้ชาย



อายุ 70 ระบบประสาทสัมผัสการรับรู้ส่วนต่างๆ เริ่มเชื่องช้า ทั้งสายตา การรับฟัง การคิด การเคลื่อนไหว ตลอดจนการรับรสของลิ้นก็ไม่ดีเหมือนเดิม จนอาจทำให้ไม่เจริญอาหาร การย่อยอาหารก็ช้าลง เส้นเลือดแข็งขึ้น คนช่วงวัยนี้ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจก็เริ่มไม่ดีเหมือนเดิมด้วย



อายุ 80 การทำงานของระบบปัสสาวะจะควบคุมได้ลำบากขึ้น ความจำต่างๆ ไม่ดีเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ แต่ไม่ว่าอายุจะผ่านไปเท่าใดคนเราก็ควรจะดูแลตัวเอง หรือญาติผู้ใหญ่อย่างดีเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีสุขที่สุดตามวัย เรามีวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ที่คุณอาจลืมนึกถึง มาฝากกัน...




ทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผิวแห้งชุ่มชื่นขึ้น ปกป้องผิวจากปัญหาต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง เช่น ผิวแห้งอักเสบ ตกสะเก็ด คัน แล้วเผลอเกาเป็นแผล
หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงกลางวัน
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีต่างๆ เช่น ผงซักฟอก ถ้าจำเป็นให้ใส่ถุงมือยางเสมอ

ผม
ใช้แชมพูอ่อนๆ สระผมทุก 3-4 วัน ใช้ครีมนวดผมเท่าที่จำเป็น
ใช้น้ำเย็นหรือน้ำอุ่นสระผมเท่านั้น เพราะน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นเกินไปจะทำให้รากผมหลุดร่วง
ถ้าไม่ชอบผมขาว การย้อมสีผมอาจช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้บ้าง

ตา
เมื่อรู้สึกว่าตามีปัญหาควรรีบไปตรวจเช็คสายตากับจักษุแพทย์ รวมทั้งอย่าลืมตรวจวัดสายตาเป็นระยะ ควรเปลี่ยนแว่นสายตาให้พอดีเสมอ
พบจักษุแพทย์ทุก 2-3 ปี เพื่อตรวจเช็คกระจกตาและความดันโลหิตในตา
จัดแสงในบ้านให้สว่างพอเพียง

หู
หลีกเลี่ยงเสียงดัง
พบแพทย์เมื่อหูหรือการรับฟังมีปัญหา และควรยอมรับการใช้อุปกรณ์ช่วยฟังหากจำเป็น

เซ็กซ์
มนุษย์เราสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดอายุขัยไม่ว่าจะอายุเท่าไรตราบที่ยังมีความปรารถนา แต่ต้องระวังหากมีโรคประจำตัว เช่นโรคหัวใจ โรคติดเชื้อ หอบหืด เป็นต้น
สำหรับฝ่ายหญิงหลังวัยเมโนพอสอาจใช้สารหล่อลื่นช่วยได้

ระบบขับถ่าย
ควรพบแพทย์เมื่อคุณมีปัญหาการขับปัสสาวะ เพราะปัญหาบางอย่างจำเป็นต้องได้รับการรักษา
การใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ อาจมีความจำเป็นในบางรายที่ไม่สามารถควบคุมระบบขับถ่ายได้ ซึ่งน่าจะทำให้สะดวกสบาย ไปไหนมาไหนได้อย่างไม่ต้องกังวล

กล้ามเนื้อและหัวใจ
ปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนออกกำลังกาย ว่ามีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง
เลือกบริหารกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่เหมาะสมกับวัยสูงอายุ เช่น บริหารแขน ขา ด้วยการแกว่งไปมา หรือยกขึ้นลง
เลือกการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป เพื่อให้กล้ามเนื้อได้เคลื่อนไหว ปอด และหัวใจ ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น
การเดิน ว่ายน้ำ รำมวยจีน เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
เมื่อเริ่มต้นออกกำลังกาย ให้เริ่มต้นเบาๆ อย่าหักโหม แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดในวันต่อไป ควรออกกำลังกาย 3-5 วันต่อสัปดาห์ วันละ 15-60 นาที ต่อครั้ง
หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อออกกำลังกาย เช่น หน้ามืด เป็นลม แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ฯลฯ ควรพบแพทย์

ข้อต่อต่างๆ
รักษาข้อต่อต่างๆ ด้วยการบริหารสม่ำเสมอ หมุนคอ ข้อไหล่ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า เอว
- ยืดข้อศอก และเข่า
- บิดหมุนลำตัวไปมา
- ถ้ายัง sit ups ได้ก็ควรทำ
- แกว่งขาหน้า-หลัง
- บริหารนิ้วบ่อยๆ อาจจะด้วย การเล่นดนตรี พิมพ์คอมพิวเตอร์ หรือทำงานอดิเรกอื่นๆ ที่ใช้นิ้วมากๆ
เล่นโยคะ ไทชี่ จะทำให้ข้อต่อต่างๆ มีความยืดหยุ่นดีขึ้น และทำให้การหายใจ และเลือดลมในร่างกายหมุนเวียนดี มีความสมดุลมากขึ้น
รักษามือและเท้าด้วยการใส่ support หรือถุงเท้า ถุงมือในยามนอนตอนกลางคืน เพื่อป้องกันความเย็นทำให้กล้ามเนื้อยึดเกร็งจนเป็นตะคริวได้

กระดูก
ในผู้หญิงมักจะพบปัญหากระดูกบางลงในคนที่อายุ 60 ปีไปแล้ว ดังนั้นควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงและเสริมด้วยผลิตภัณฑ์แคลเซียมอื่นๆ
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัยทองเมื่อเข้าสู่วัยเมโนพอส เพราะอาจจำเป็นต้องได้รับการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน

ฟัน
แปรงฟันให้สะอาดทั้งเช้าและก่อนนอน เลือกยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง
ในผู้สูงอายุมักจะมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน คนที่ฟันเหลือน้อยควรใส่ฟันปลอมเพื่อช่วยในการเคี้ยว และควรพบทันตแพทย์ปรับเปลี่ยนฟันปลอมเมื่อรู้สึกว่ามีปัญหา เช่นไม่แน่นพอดี หรือใส่แล้วเจ็บ เป็นต้น
พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อตรวจสุขภาพเหงือกและฟัน

ข้อปฏิบัติง่ายๆ เหล่านี้ จริงๆ แล้วล้วนเป็นกิจวัตร ของเราๆ ที่พึงใส่ใจอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยผู้ใหญ่สูงอายุ แต่อาจจะลืมนึกถึงไปบ้างด้วยความเคยชิน จากนี้ไปอย่าลืมเติมความใส่ใจตัวเองมากขึ้นอีกนิดนะคะ


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:24  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85815

คำตอบที่ 72
      

fiogf49gjkf0d
สร้างบรรยากาศดีๆ ระหว่างเพื่อนร่วมงานกันดีกว่า
คนเราเกิดมามีนิสัยต่างกัน ได้รับการสั่งสอนและเลี้ยงดูแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อต้องอยู่ร่วมกัน ก็คงเลี่ยงการเกิดปัญหาบ้างไม่ได้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานร่วมกันในที่ทำงาน บางครั้งคุณต้องเจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่สุภาพ ชอบพูดว่ากล่าวเหน็บแนม หรือหนักหน่อยก็คอยแย่งผลงาน ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องแล้ว ส่วนใหญ่มักมองหน้ากันไม่ติด ไม่อยากพูดหรือทำงานด้วยเลยก็มี กลายเป็นว่างานที่ทำอยู่เกิดความล่าช้า ขลุกขลัก ส่งผลเสียต่อการงานตนเองเข้าไปอีก
เพื่อไม่ให้คุณและเพื่อนร่วมงานมีปัญหาต่อกัน เรามีวิธีสร้างบรรยากาศดีระหว่างการทำงานร่วมกันกับผู้อื่นดังนี้



พยายามมองโลกในแง่ดี เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องทำงาน ให้ยิ้ม ทักทายเพื่อนร่วมงานอย่างเป็นกันเอง

ทำความเข้าใจให้ตรงกัน คุณควรทำความเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนร่วมงานพูด หากไม่แน่ใจให้ถามเพื่อความชัดเจน อย่าเก็บไปคิด สรุปเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในทางกลับกัน เพื่อนร่วมงานก็ต้องถามให้แน่ใจเช่นกัน

สร้างความเป็นหมู่คณะ หากมีประชุมควรเตรียมงานให้เรียบร้อยและมาตรงเวลาทุกครั้ง กระจายประเด็นหรือปัญหาให้ทุกคนฟัง ร่วมแสดงความคิดเห็น ไม่พูดอยู่ฝ่ายเดียว และพยายามเอาใจเขาใส่ใจเรา เห็นใจในการทำงานร่วมกัน

ไม่ตั้งกลุ่มซุบซิบนินทา หากการพูดคุยเริ่มสนุกสนานจนกลายเป็นการนินทาหรือปล่อยข่าวลือ ให้หลีกเลี่ยงจากการสนทนาเช่นนั้น โดยอาจเลี่ยงโดยให้เหตุผลว่าต้องขอตัวไปทำธุระอื่น

พยายามไกล่เกลี่ยปัญหา หากรู้สึกว่าคุณกับเพื่อนร่วมงานมีปัญหากัน อาจใช้วิธีขอคุยเป็นการส่วนตัว เปิดอกพูดคุยระหว่างกัน แต่ต้องไม่แสดงอาการก้าวร้าว หรือข่มขู่ จำไว้ว่าเราต้องหาทางออก ไม่ใช่หาเรื่องเพิ่มขึ้นให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอีก

อ่อนน้อมถ่อมตน อย่าโอ้อวดความสามารถตนเอง หรือเอาความดีความชอบจนเกินงาม

อย่าเปิดเผยเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ประวัติการเปลี่ยนงาน เรื่องเจ็บป่วยต่างๆ คุณคงไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานนำไปพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเป็นแน่ ดังนั้นอย่าเปิดเผยความลับหรือเรื่องส่วนตัวให้ใครต่อใครรู้กันทั่ว

ไม่สร้างความลำบากใจแก่เพื่อนร่วมงาน ไม่ควรอย่างยิ่งในการวิจารณ์หรือนึกสนุกล้อเลียนเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องประเพณี เชื้อชาติ และเพศที่ต่างกัน

สร้างมารยาทในที่ทำงาน มีมารยาทและใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยในที่ทำงาน เช่น การเติมกระดาษในถาดเครื่องพิมพ์ รักษาความสะอาดบริเวณที่นั่งของตน เคาะประตูทุกครั้งก่อนเข้าห้องเพื่อนร่วมงาน และเวลาจะออกไปข้างนอกให้บอกเพื่อนร่วมงานให้รับรู้บ้าง



การทำงานทุกที่ย่อมมีปัญหา ไม่ว่าจะอาชีพหรือตำแหน่งอะไร นั่นเพราะเรายังต้องอยู่ในสังคม อยู่ร่วมกับคนอื่นๆ อีก หมั่นคิดเสมอว่าไม่มีใครเกิดมาดีพร้อม ทุกคนมีข้อดี ข้อเสียกันทั้งนั้น หากเกิดปัญหาหมางใจกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน ให้พยายามไกล่เกลี่ยปัญหา พูดคุย ทำความเข้าใจให้ตรงกัน อย่าได้นำเอาทิฐิมาเป็นอุปสรรคในการทำงาน มิฉะนั้นแล้วคุณก็จะทำงานอย่างเป็นทุกข์ตลอดเวลา พูดคุยกันสักนิดแล้วคุณจะรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่เลยค่ะ



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:25  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85816

คำตอบที่ 73
      

fiogf49gjkf0d
6 วิธี เสริมภูมิ...ต้านโรค
ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษและเชื้อโรคต่างๆ เช่นทุกวันนี้ เราขอเสนอแนะ 6 วิธีเพิ่มภูมิต้านทานโรค เพื่อรักษาสุขภาพของคุณค่ะ

วชิราวดี มาลากุล

คุณทราบหรือไม่ว่าการรักษาระบบภูมิต้านทานในร่างกายให้ดีนั้นจำเป็นอย่างยิ่งกับการดำรงชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษและเชื้อโรคต่างๆ เช่นทุกวันนี้ เราจึงเสนอแนะ 6 วิธีเพิ่มภูมิต้านทานโรค เพื่อรักษาสุขภาพของคุณให้แข็งแรงต่อไปนานๆ ค่ะ




1. ลดความเครียด อารมณ์เครียดจะส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลงจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย จึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียด




2. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนไม่พอนั้นมีผลลดการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืนละ 4 ชม. ถึง 50%




3. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว น้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส่วนบน ที่จะช่วยป้องกัน และดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย




4. ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ นอกจากช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรง แล้ว ยังช่วยขับของเสียผ่านทางเหงื่อ และเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดทำให้เซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี และเม็ดเลือดขาว เดินทางไปทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่บริเวณอวัยวะต่างๆ ได้เร็วขึ้น




5. รับประทานอาหารให้ครบถ้วน เพียงพอตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารเสริมภูมิต้านทาน อย่างเช่น ผัก ผลไม้ ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี และแร่ธาตุบางชนิด ได้แก่ ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งมีผลเพิ่มการสร้างเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระอันเป็นตัวการก่อมะเร็งได้อีกด้วย

เบต้าแคโรทีน มีมากในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้มจัด หรือผักใบเขียวจัด เช่น ผักบุ้ง ฟักทอง แครอท มะละกอ มะม่วงสุก มะเขือเทศ
วิตามินซี พบใน ผักใบเขียวต่างๆ และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม
วิตามินอี พบใน น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว
วิตามินบี พบใน ผักใบเขียว นม เนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ ตับ ไข่ และธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ
ซีลีเนียม พบใน อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ และธัญพืช
สังกะสี พบใน เนื้อวัว นม และถั่วต่างๆ
กระเทียม เป็นเครื่องเทศที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทาน โดยสารอัลลิซิน (allicin) และซัลไฟด์ (sulfides) ในกระเทียมจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
กรดโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดขาว และแอนติบอดี พบมากในปลาทะเล เช่น แซลมอน หรือทูน่า และธัญพืชบางชนิด เช่น ถั่ววอลนัท เมล็ดปอ รวมทั้งพืชผักใบเขียว
โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์แลคโตแบคทีเรีย (lactobacteria) เช่น แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส (Lactobacillue acidophilus) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจะยับยั้งการเกิดจุลินทรีย์ตัวร้ายในระบบย่อยอาหาร เช่น แบคทีเรีย รา หรือยีสต์ รวมทั้งยังกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี ให้กำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น




6. หลีกเลี่ยงอาหาร หรือพฤติกรรมที่ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง เช่น เลี่ยงการกินอาหารหวานจัด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 แก้ว และควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไป




ด้วยวิธีง่ายๆ ใกล้ตัวเราเหล่านี้ เราก็จะสามารถคงไว้ซึ่งสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคร้ายต่างๆ และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขไปนานๆ




ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:27  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85817

คำตอบที่ 74
      

fiogf49gjkf0d
ลดการกินน้ำตาลอย่างไรดี ?
การกินน้ำตาลมากๆ หรือคนที่ชอบขนมหวาน มักจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว กลัวอ้วนแต่ยั้งความอยากของปากไม่ได้

แล้วก็มาลดความอ้วนกันทีหลังซึ่งได้ผลน้อยมาก นอกจากนี้ยังทำให้มีปัญหากับสุขภาพของช่องปากด้วย และที่สำคัญที่สุดน้ำตาลเป็นปฏิปักษ์กับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน นักโภชนาการบอกว่าในคนปกติมีความต้องการน้ำตาลเพียง 5-10 % ของพลังงานทั้งหมดต่อวัน ในผู้หญิงอายุมากกว่า 20 ปี ต้องการพลังงานวันละ 1600 กิโลแคลอรี ในผู้ชายอายุมากกว่า 20 ปี ต้องการพลังงานวันละ 2000 กิโลแคลอรี ซึ่งตามหลักโภชนาการแล้ว เกลือ น้ำตาล และน้ำมัน ควรรับประทานแต่น้อยๆ เท่าที่จำเป็น หรือ วันละไม่เกิน 5 ช้อนชาเท่านั้น




ในอาหารและขนมไทยทั่วไปมีทั้งแป้งและน้ำตาลอยู่มาก การที่จะลดการกินน้ำตาลในฉับพลันไม่ใช่เรื่องง่าย มีนักวิชาการและนักโภชนบำบัดหลายคนได้แนะนำวิธีการค่อยๆ ลดน้ำตาลไว้หลายแบบ ดร.แคทลีน เดเมซอง (Kathleen DesMaisons,Ph.D) นักโภชนาการผู้เขียนหนังสือ The Sugar Addicts Total Recovery Program (Ballentine Books 2000) แนะนำว่าก่อนที่จะลดปริมาณการกินน้ำตาล ให้กินอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรตีนมากขึ้น เพราะโปรตีนจะช่วยลดความอยากได้ อาหารที่แนะนำ เช่น ไข่กับขนมปัง ทูน่าสลัด หรืออาหารประเภทถั่ว จากนั้นให้เริ่มลดอาหารที่ทำจากแป้งขาว เพราะมีส่วนเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ลองเปลี่ยนมากินพวก ธัญพืชที่ไม่ได้ขัดขาว เช่น ขนมปังโฮลวีท ข้าวซ้อมมือ แล้วค่อยๆ เริ่มลดปริมาณน้ำตาลลง เช่น ลดการกินขนมจุกจิก คุ้กกี้ ลูกอม ช็อคโกแลต เติมน้ำตาลในเครื่องดื่มให้น้อยลง เป็นต้น จนกระทั่งสามารถลดปริมาณน้ำตาลให้เหลือเพียง 1 ช้อนชา (22 กรัม) หรือน้อยกว่านั้นต่อวัน เพื่อให้ได้ผล จากนี้ต่อไปคุณควรอ่านฉลากอาหารทุกชนิดที่รับประทาน และคำนวณปริมาณน้ำตาลจากฉลากนั้นๆ ด้วย




ส่วนคุณหมอท็อด โรลล์ (Todd Rowe,MD.) แห่ง Canadian College of Naturopathic Medicine ในโตรอนโต แนะนำว่าควรรับประทานผลไม้มากๆ หากรู้สึกอ่อนเพลียจากการเลิกน้ำตาล เนื่องจากผลไม้อุดมด้วยน้ำตาลตามธรรมชาติซึ่งให้พลังงานมาก แต่จะไม่เพิ่มน้ำตาลในเลือดมากเท่ากับน้ำตาลทราย นอกจากนี้ให้เสริมด้วยอาหารที่มีเส้นใย(Fiber) สูง เช่น ผัก ผลไม้ เพราะเส้นใยอาหารจะช่วยในการยับยั้งไม่ให้คาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนเป็นกลูโคส หรือน้ำตาลในเลือดนั่นเอง




ในส่วนทฤษฎีการแพทย์จีนอธิบายว่าความอ่อนเพลียที่เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงบ่อยนั้น เกิดจากการขาดพลังงานในอวัยวะบางส่วน เช่น การขาดพลังงานในกระเพาะอาหาร และม้าม แพทย์แผนจีนแนะนำว่าอาหารที่ช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้ เช่น อัลมอนด์ ขิง มะละกอ ลูกแพร์ มันฝรั่ง และสมุนไพรบางชนิด




ข้อพึงระวังในการเลือกอาหารสำเร็จรูปบางฉลากบนสินค้าจะเขียนว่า sugar-free จะหมายถึงปราศจากน้ำตาลซูโคสเท่านั้น ซึ่งอาจจะยังมีน้ำตาลฟรุกโตส หรือกลูโคสอยู่ นอกจากนี้อาหารที่เขียนว่า low-fat อาจจะชดเชยรสชาติอาหารที่ขาดหายไปจากการลดไขมันด้วยการเพิ่มน้ำตาลเข้าไปก็เป็นได้



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:28  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85818

คำตอบที่ 75
      

fiogf49gjkf0d
ชั่งใจสักนิดก่อนเข้าสปา
คุณผู้หญิงทั้งหลายให้ความสนใจไปใช้บริการสปาเป็นจำนวนมาก สปาจึงจัดเป็นที่สาธารณะ และอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อต่างๆ ได้


ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีชื่อเสียงการให้บริการสปา นักท่องเที่ยว รวมถึงคนไทยต่างให้ความสนใจไปใช้บริการจนเป็นที่นิยมไปทั่ว ซึ่งหากมองย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว สปาที่เปิดบริการแบบมาตรฐานสากลในบ้านเรามีเพียงไม่กี่แห่ง ประกอบกับอัตราค่าบริการค่อนข้างสูง ทำให้ได้รับความนิยมเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะในเมืองใหญ่ๆ หรือเมืองท่องเที่ยว เราสามารถพบเห็นสปาได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นย่านธุรกิจการค้า หรือแม้กระทั่งริมถนน ตรอก ซอกต่างๆ



สปาที่เปิดให้บริการมีหลากหลายแบบ อาจเป็นสปาที่ให้บริการครบวงจร ผนวกด้วยบริการเพื่อสุขภาพและความงามด้านอื่นๆ เช่น ฟิตเนส ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ห้องนวด ห้องเสริมสวย ฯลฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการว่าจะเน้นบริการลูกค้าอย่างไร และเนื่องจากสปามีให้เลือกมากมาย เพื่อความเป็นระเบียบ ได้มาตรฐาน และความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดมาตรฐานสถานที่เพื่อสุขภาพ หรือเพื่อเสริมสวยตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้





สถานที่ รวมถึงที่ตั้ง ระดับแสงสว่าง ความปลอดภัย และสุขอนามัยภายในสปา
ผู้ดำเนินการ มีมาตรฐานในการควบคุม ดูแลและความรับผิดชอบต่อธุรกิจ
ผู้ให้บริการ นักบำบัด หรือผู้นวด ต้องผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตร มีคุณสมบัติครบถ้วน
ความปลอดภัย มีมาตรฐานการทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ในสปา รวมถึงการเตรียมพร้อมในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
การบริการ มีการแจ้งอัตราค่าบริการอย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้ารับทราบก่อนใช้บริการ



เนื่องจากผู้รักสุขภาพ โดยเฉพาะ ดังนั้นนอกเหนือจากจะเลือกสปาที่ชื่อเสียงในการบริการ มีความเชี่ยวชาญ ยังต้องเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยของสุขอนามัยอีกด้วย โดยรายละเอียดที่คุณไม่ควรมองข้ามก่อนตัดสินใจเข้าสปา ได้แก่



สถานที่ แม้ว่าจะไม่มีข้อบังคับระบุว่า สปาควรตั้งอยู่ที่ใดเป็นพิเศษ แต่ก็ควรตั้งอยู่ในบริเวณที่ไม่มีเสียงอึกทึกรบกวน สามารถสังเกตเห็นทางเข้า-ออก ได้อย่างชัดเจน ภายในสปามีการติดตั้งใบอนุญาตประกอบสถานบริการถูกต้องตามกฎหมาย ห้องต่างๆ ต้องมีแสงสว่างพอเพียง แม้ว่าสปาส่วนใหญ่จะปรับแสงให้นวลตา เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายก็ตาม แต่อย่างน้อยในห้องที่ใช้สำหรับนวด เช่น ห้องนวดหน้า ห้องเสริมสวย จำเป็นต้องมีแสงสว่างมากกว่าห้องอื่นๆ และที่สำคัญประตูห้องนวดทุกห้องต้องไม่มีกุญแจล็อก ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้า นอกจากนี้ภายในห้องนวดต้องไม่มีกลิ่นเหม็นอับ ต้องติดตั้งระบบถ่ายเทอากาศ รวมถึงอุณหภูมิในห้องนวดต้องไม่ร้อน หรือเย็นจนเกินไป



สุขอนามัยของผู้ให้บริการ นักบำบัด หรือผู้นวด ต้องได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตรมาตรฐาน และมีประกาศนียบัตรรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ก่อนเริ่มต้นนวด ผู้นวด หรือนักบำบัด จำเป็นต้องทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดก่อนให้บริการทุกครั้ง เล็บมือควรตัดสั้น ขัดให้สะอาด ผมต้องมัดเก็บให้เรียบร้อย ไม่ใส่น้ำหอม รวมถึงไม่ใส่เครื่องประดับใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวน หรือขีดข่วนขณะสัมผัส หรือนวด นอกจากนี้ผู้นวดหรือผู้บำบัดทุกคนต้องติดป้ายชื่อบนเสื้อ เมื่อมีการสอบถามถึงประกาศนียบัตรรับรองอาชีพ ต้องสามารถแสดงได้ หรือคุณอาจสังเกตจากใบรับรองบริเวณแผนกต้อนรับ เพื่อความมั่นใจในบริการ



การรักษาความสะอาด การรักษาความสะอาดภายในสปานับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากมีคนแวะเวียนเข้าสปาจำนวนมาก และมักข้องเกี่ยวกับการสัมผัส การนวด การใช้น้ำมัน และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ซึ่งหากทำความสะอาดไม่ดี ก็จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค สามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ง่าย ดังนั้นการพิถีพิถันเอาใจใส่ทำความสะอาดอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ภายในสปาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนทุกครั้งที่เริ่มให้บริการแก่ลูกค้ารายใหม่ เช่น



ผ้าขนหนู เสื้อคลุมอาบน้ำ ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ควรผ่านการซัก อบ ผ่านการฆ่าเชื้อ ไม่มีกลิ่นอับชื้น ในทางตรงกันข้ามไม่ควรมีกลิ่นน้ำหอมแรงเกินไป เนื้อผ้าควรเป็นแบบผ้าฝ้าย 100% เพราะระบายความชื้นได้ดี และไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง และควรเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งหลังใช้ ทั้งนี้ควรมีบริการอุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง เช่น หมวกคลุมผม รองเท้าสลิปเปอร์ กางเกงในกระดาษ เพราะนอกจากอำนวยความสะดวก ยังป้องกันการติดเชื้อได้อย่างดี


หวี แปรง ควรเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อราและรังแค


อุปกรณ์ทำความสะอาดผิว ฟองน้ำ ใยบวบ แปรงขัดตัว แปรงขัดหน้า อุปกรณ์เหล่านี้ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งเมื่อลูกค้ารายใหม่ใช้บริการ หรืออย่างน้อยต้องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อเช่นกัน เพื่อป้องกันเชื้อราที่อาจสะสมอยู่


ห้องอาบน้ำ ห้องซาวน่า เนื่องจากเวลาเข้าสปา คุณมักจะต้องสัมผัสกับน้ำมันอโรมาเธอราพี เมื่อทำการชำระล้างร่างกาย คราบน้ำมันเหล่านี้มักติดตามพื้น ผนังห้องน้ำ หากไม่รีบทำความสะอาดทันที จะทำให้เกิดคราบสกปรก ดังนั้นหลังการใช้ห้องอาบน้ำ ห้องซาวน่า ควรมีการทำความสะอาด เช็ดถูทันที และที่สำคัญต้องไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมี ส่งกลิ่นฉุน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับสปาโดยเฉพาะ


ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในร้าน ควรเลือกสปาที่ใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มีราคาเหมาะสม เลือกสินค้าที่ได้รับการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยา สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรเลือกสปาที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพิสูจน์ว่าไม่แพ้ หรือพยายามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากที่สุด ไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป และไม่มีกลิ่นน้ำหอมฉุน ซึ่งรวมไปถึงดอกไม้ตกแต่ง และเทียนหอมที่จุดในสปา ทั้งสองสิ่งจำเป็นสำหรับสร้างกลิ่นสดชื่นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ต้องได้สมดุลกัน ไม่ส่งกลิ่นตีกันจนทำลายบรรยากาศอื่นๆ เสียหมด ที่สำคัญดอกไม้ที่นำมาโรยอ่างน้ำ ต้องปราศจากยาฆ่าแมลง และสุดท้ายห้องที่จุดเทียนหอม หรือน้ำมันอโรมาเธอราปี ต้องติดตั้งระบบระบายอากาศที่ดี



การเลือกใช้บริการสปาสักแห่ง จึงไม่เพียงต้องพิจารณาจากการบริการ ราคา หรือชื่อเสียงเท่านั้น แต่ต้องเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เพราะจุดมุ่งหมายของการเข้าสปา คือ ทั้งร่างกายและจิตใจ ได้รับการผ่อนคลายมากที่สุด คงไม่มีใครอยากจ่ายเงินแพงๆ แต่ได้รับการบริการแบบไม่เต็มร้อยแน่นอน ดังนั้นครั้งต่อไปที่จะเลือกเข้าสปา ขอให้พนักงานพาเดินสำรวจสักรอบ เพื่อเป็นตัวเสริมในการตัดสินใจย่อมไม่เสียหายค่ะ
TIPS ควรรู้ก่อนไปสปา



หากคุณตั้งครรภ์ หรือเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้บริการ สปาทุกครั้ง แต่ไม่แนะนำให้เข้าห้องซาวน่า หรือห้องสตรีม เนื่องจากมีอุณหภูมิสูง ทำให้หลอดเลือดขยาย หัวใจจะสูบฉีดเร็วขึ้น จะทำให้ปวดหัว มีอาการมึน ตาพร่า


หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนัก หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนเข้าสปา แต่ก็ไม่ควรปล่อยท้องว่างเช่นกัน


ควรไปถึงเวลานัดล่วงหน้า 15 นาที เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้ารับบริการ เช่น การพักดื่มน้ำ หรือชาสมุนไพร


หลีกเลี่ยงการแว็กซ์ หรือโกนขน 1 วันก่อนเข้ารับบริการขัดผิวด้วยเกลือ มิฉะนั้นผิวอาจเกิดการระคายเคืองได้


ควรหลีกเลี่ยงการตากแดด หรืออยู่กลางแดดจัด ก่อนการเข้ารับบริการนวดใดๆ


หากใส่เครื่องประดับ ให้ถอดออกก่อนเข้ารับบริการ อาจฝากไว้ในตู้นิรภัยที่ทางสปาเตรียมไว้ให้ แต่ถ้าถอดเก็บไว้ที่บ้านจะปลอดภัยที่สุด


ในระหว่างการรับบริการสปา ควรหลับตาและสูดหายใจเข้า-ออก ลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายยิ่งขึ้น


ควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด เพื่อคุณจะได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง


ตลอดเวลาที่ได้รับบริการ หากรู้สึกไม่สบาย หรือไม่พอใจ ควรแจ้งกับผู้นวด หรือนักบำบัดให้ให้ทราบทันที




ข้อมูลจาก: Mr. Andrew Jacka, Horwath Spa Consulting / Mr.Richard Williams, Manager of Chiva-Som International Health Resort และภาพจาก Mandara Spa ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 พุธ, 9/12/2552 เวลา : 10:30  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 85819

คำตอบที่ 76
      

fiogf49gjkf0d
กลอกกลิ้งลูกตาบริหารกล้ามเนื้อ
เทคนิคการบริหารกล้ามเนื้อดวงตา ลดความเมื้อยล้า แถมยังสามารถผ่อนคลายความตึงเครียดได้อย่างน่าพอใจ

นอกจากข้อแนะนำที่ฝากให้ปฏิบัติไว้ก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการกระพริบตาถี่ ๆ หลับตา หรือละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะ วันนี้ ยืดเส้นยืดสาย เพิ่ม

เพียงตั้งศีรษะตรงโดยไม่ต้องหันตามทิศทางที่ลูกตากลอกมองไป จากนั้นให้กลอกลูกตาไปทางซ้ายให้มากที่สุด สลับกับการกลอกลูกตาไปทางขวาให้มากที่สุด 10 รอบ

ต่อไปให้เหลือบลูกตามองขึ้นไปบนเพดาน สลับกับเหลือบมองพื้นให้มากที่สุด ทำซ้ำ 10 รอบ แล้วจึงเหลือบตามองที่ตำแหน่งปลายคิ้วด้านซ้าย ก่อนลากสายตาให้เหลือบมองแก้มด้านขวา ทำให้ได้ 10 รอบ แล้วเปลี่ยนไปเหลือบมองที่ตำแหน่งปลายคิ้วขวา แล้วเหลือบมองแก้มด้านซ้าย 10 รอบเช่นกัน

ถัดมาให้หมุนลูกตาในลักษณะเป็นวงกลม วนทั้งทางขวาและซ้าย ด้านละ 10 รอบ ส่วนการผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตาทำได้ง่ายๆ ด้วยการหลับตา จากนั้นวางนิ้วชี้ลงบริเวณเหนือคิ้วแต่ละข้าง แล้วกดนวดทั้งบริเวณคิ้วและรอบดวงตา เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว บางรายวิธีการนวดรอบดวงตาสามารถช่วยลดความรู้สึกปวดเบ้าตาและศีรษะได้.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 ศุกร์, 18/12/2552 เวลา : 10:47  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86280

คำตอบที่ 77
      

fiogf49gjkf0d
เสียเหงื่อไม่เสียน้ำ
การดื่มน้ำที่ได้สมดุลต่อสุขภาพร่างกาย มีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรามีคำแนะนำง่ายๆ ค่ะ

การออกกำลังกายที่ต้องออกแรงให้รู้สึกเหนื่อยหอบปานกลาง ทำให้หัวใจเต้นสูบฉีดต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสมและอย่างสม่ำเสมอ ช่วยทำให้ปอดและหัวใจแข็งแรง สุขภาพโดยรวมแข็งแรง ห่างไกลโรคร้ายอย่างโรคอ้วนหรือเบาหวานได้อย่างสบายๆ

การออกกำลังกายเรียกเหงื่อจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กะเปร่า ซึ่งเมื่อเสียเหงื่อก็ต้องดื่มน้ำเปล่าเข้าไปชดเชยน้ำที่สูญเสียไปจากร่างกายในรูปของเหงื่อ โดยการดื่มน้ำที่ได้สมดุลต่อสุขภาพร่างกายของคุณตั้งแต่ทั้งก่อน ระหว่างและหลังออกกำลังกายต้องมีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรามีคำแนะนำง่ายๆ ค่ะ


ก่อนออกกำลังกาย
ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 400-600 มล. (1-1 ½ ขวดกลาง) ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดล่วงหน้าสัก 1-2 ชั่วโมง และอีก 200-400 มล. (1/2 -1 ขวดกลาง) ก่อนออกกำลังกายประมาณ 15 นาที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการจุกเสียดท้อง

ระหว่างการออกกำลังกาย
ขณะออกกำลังกายอย่างสนุกสนาน ร่างกายจะขับเหงื่อเพื่อปรับและรักษาอุณหภูมิไว้ให้สมดุล ดังนั้นเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ในกรณีที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 60 นาที คุณควรพักดื่มน้ำทุกๆ 15-20 นาที ครั้งละ 200 มล. (1/2 ขวดกลาง) ทั้งนี้ในกรณีที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังขาดน้ำ เช่น คอแห้ง น้ำลายเหนียว ก็ควรพักดื่มน้ำสักหน่อยก่อนกลับไปออกกำลังกายต่อ สัก 2-3 อึกก็ยังดี หรือถ้าออกกำลังกายที่มีความหนักและสูญเสียเหงื่อมาก อาจดื่มน้ำเกลือแร่เสริมได้ เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด ป้องกันไม่ให้เหนื่อยอ่อนแรงและช็อค ซึ่งจะให้ดีเครื่องดื่มนั้นควรมีอุณหภูมิประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส เพื่อเพิ่มการดูดซึม

หลังการออกกำลังกาย
การดื่มน้ำชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความหนัก เปรียบเทียบง่ายๆ ด้วยการชั่งน้ำหนักก่อนและหลังการออกกำลังกาย (ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าหลังออกกำลังกายหรือซาวนาแล้วจะผอมทันที เพราะจริงๆ แล้ว น้ำในร่างกายสูญเสียไปต่างหาก) หรือปริมาณปัสสาวะที่ขับออกมาก็ได้ ถ้าปัสสาวะมีสีเข้มแสดงว่าดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และพยายามหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


ดังนั้นระหว่างการออกกำลังกาย อย่ามัวแต่สนุกสนานกับการเผาผลาญพลังงานจนลืมดื่มน้ำนะคะ มิฉะนั้นอาจจะหมดเรี่ยวแรง และอาจเกิดอาการขาดน้ำจนถึงช็อคได้ ส่วนน้ำที่ดีที่สุดเมื่อออกกำลังกายก็คือ น้ำเปล่า...ทั้งนี้รวมถึงคนที่ทำกิจกรรมทั่วไปก็ต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว นะคะ...วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง?


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 ศุกร์, 18/12/2552 เวลา : 10:49  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86281

คำตอบที่ 78
      

fiogf49gjkf0d
เจ็บ ตาปลา ทำไงดี ?!?
บางคนรักษาหายแล้ว กลับมาเป็นใหม่ได้อีก หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ

ใครเป็น ตาปลา ที่เท้า คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างดี เพราะกว่าจะรักษาหายต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่ปัญหา คือ ใน

รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ตาปลาเป็นก้อนของหนังขี้ไคลซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังเรื้อรัง พบบ่อยบริเวณฝ่าเท้าซึ่งรับน้ำหนักตัวจึงเกิดอาการเจ็บเวลาเดิน

ทั้งนี้ผิวหนังของคนเราประกอบด้วยชั้นผิวหนังกำพร้ากับชั้นหนังแท้ โดยมีสารเชื่อมให้เกาะกัน เมื่อผิวหนังมีการเสียดสีรุนแรง ผิวหนังกำพร้าแยกเป็นตุ่มน้ำพองใส แต่การเสียดสีเป็นแบบเรื้อรังจะกระตุ้นให้ผิวหนังกำพร้าสร้างหนังขี้ไคลหนาเพิ่มขึ้นกลายเป็นรอยด้านแข็ง พบบ่อยบริเวณด้านข้างของฝ่าเท้าซึ่งมีการเสียดสีกับรองเท้า และในบางจุดหนังขี้ไคลหนาแข็งเป็นก้อนเล็กฐานของก้อนแหลมคล้ายลิ่มจึงเจ็บเมื่อกดลง และเมื่อปาดส่วนบนของก้อนออกจะเห็นหนังขี้ไคลกลมใสคล้ายตาปลา

ปัญหาหนังฝ่าเท้าด้านและตาปลาพบบ่อยขึ้น เพราะการสวมใส่รองเท้าแฟชั่นซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของกระดูกเท้า โดยเท้าประกอบด้วยกระดูกขนาดเล็กจำนวนมากเรียงต่อกันเป็นแนว ข้อกระดูกเชื่อมโยงด้วยพังผืดและมีเส้นเอ็นเกาะกระดูกเพื่อบังคับการทรงตัวให้มั่นคง กระดูกเท้ามีหนังฝ่าเท้าห่อหุ้ม ผิวหนังบางส่วนมีการเสียดสีกับวัสดุรองเท้าเรื้อรังจึงหนาด้านขึ้น ถ้ารองเท้าบีบรัดให้การเรียงตัวของกระดูกผิดทิศทางมีการรับน้ำหนักของกระดูกบางชิ้นเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งทำให้การเสียดสีเพิ่มมากขึ้น ก้อนหนังที่หนาแข็งของหนังกำพร้าหรือตาปลาจะกดหนีบเนื้อหนังแท้และชั้นไขมันซึ่งมีใยเส้นประสาทกับกระดูกทำให้เจ็บปวดเวลาเดิน

ลักษณะหนังหนาและตาปลา ยังพบได้บริเวณซอกนิ้วนางและนิ้วก้อย ซึ่งมีการเสียดสีของหนังซึ่งทับกันระหว่างซอกนิ้วกับกระดูกนิ้ว นอกจากนี้ยังพบบริเวณฝ่าเท้าระหว่างโคนหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ และฝ่าเท้าบริเวณโคนนิ้วกลางและนิ้วนาง จากการสวมใส่รองเท้าหัวแหลมบีบนิ้วทั้ง 2 ข้างเข้าหากัน หนังฝ่าเท้าจะห่อเข้าหากันเกิดการเสียดสีเรื้อรังเมื่อเดินเป็นก้อนแข็งยาวตามร่องฝ่าเท้า และอาจมีตาปลาตรงกลางก้อนแข็ง

ด้านบนของหลังเท้าบริเวณนิ้วนางก็พบตาปลาบ่อยเนื่องจากการสวมรองเท้าหัวแบน ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเสียดสีกับรองเท้าซึ่งหุ้มหลังเท้า ส่วนผิวหนังหนาด้านข้างฝ่าเท้าบริเวณหัวแม่เท้าและนิ้วก้อย มักเกิดจากการสวมรองเท้าหลวมเกินไป

ผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยตาปลาได้เอง โดยตาปลาส่วนใหญ่จะเป็นทั้ง 2 เท้า แต่ก้อนเจ็บบริเวณฝ่าเท้าคล้ายตาปลาอาจเป็นโรคหูดจากไวรัส เอชพีวีได้ โดยไวรัสจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเพิ่มขึ้นเป็นก้อนในชั้นหนังกำพร้า แต่มีข้อแตกต่าง คือ หูดมักเป็นเท้าเดียวและเจ็บมากถ้าบีบก้อนทางด้านข้างเข้าหากัน ส่วนตาปลามักเจ็บมากเมื่อกดลง และเมื่อปาดผิวหูดออก เนื้อหูดเป็นเส้นสีขาวอัดแน่น หรือถ้าตัดลงลึกจะมีเลือดออกเพราะหูดเป็นเนื้องอกของหนังกำพร้ามีเซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าหนาขึ้น และมีหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น แต่ตาปลามีเฉพาะผิวหนังขี้ไคลหนาเท่านั้น

ตาปลาจะหายขาดต้องรักษาที่ต้นเหตุ ว่าเป็นจากความผิดปกติของกระดูก หรือการสวมรองเท้าไม่เหมาะสม แต่การผ่าตัดแก้ไขกระดูกยุ่งยากมาก จึงนิยมรักษาตามอาการ เช่น ขูดหรือเฉือนส่วนแข็งออก ใช้ยากัดหูดซึ่งประกอบด้วยกรดซาลิซิลิคหรือกรดแลคติก นอกจากนี้การแก้ไขรองเท้าเพื่อลดการเสียดสี และการใช้อุปกรณ์เสริมวางบนเท้าหรือรองเท้าเพื่อกระจายน้ำหนักหรือลดการเสียดสีจะช่วยทุเลาอาการ เช่น บริเวณพื้นรองเท้าอาจตัดแผ่นรองใต้ฝ่าเท้าให้เป็นหลุมเพื่อลดการกดทับเมื่อเดิน.


นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 ศุกร์, 18/12/2552 เวลา : 10:50  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86282

คำตอบที่ 79
      

fiogf49gjkf0d

ข้อมูลโดย : นิตยสาร Health Today, Updated: 15/07/2008ใช้ไม้จิ้มฟัน… โปรดระวัง !
เวลาเศษอาหารติดตามซอกฟัน สิ่งที่คิดถึงก่อนอื่นเห็นจะเป็นไม้จิ้มฟัน ไม้จิ้มฟันเป็นอุปกรณ์ที่มีใช้มาตั้งแต่โบร่ำโบราณ




พ.ต.ท.ทพ.พจนารถ พุ่มประกอบศรี




เวลาเศษอาหารติดตามซอกฟัน คุณทำอย่างไร?



สิ่งที่คิดถึงก่อนอื่นเห็นจะเป็นไม้จิ้มฟัน ...ไม้จิ้มฟันเป็นอุปกรณ์ที่มีใช้มาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ทำจากไม้ โลหะ เขาสัตว์ ปัจจุบันทำมาจากพลาสติกก็มีมาก ลักษณะของไม้จิ้มฟันส่วนมากจะเป็นแท่งกลมเรียวแหลมเล็ก หน้าที่หลักของไม้จิ้มฟัน คือเพื่อใช้เขี่ยเศษอาหารชิ้นโตๆ ที่ติดตามซอกฟัน แต่ไม้จิ้มฟันไม่สามารถทำความสะอาดในระดับที่เอาคราบอาหารหรือที่เรียกว่าคราบพลัค (plaque) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันฟุและเหงือกอักเสบได้
การทำความสะอาดซอกฟันหรือด้านข้างของฟัน ทันตแพทย์จะมีอุปกรณ์หลายๆ อย่างที่จะแนะนำให้ใช้ เช่น ไหมขัดซอกฟัน (Dental floss) แปรงซอกฟัน (interproximal brush) หรือ water pick



ไหมขัดซอกฟันเป็นใยไนล่อนที่ใช้ทำความสะอาดซอกฟันและสามารถขจัดคราบอาหารหรือเศษอาหารชิ้นโตๆ ได้อย่างดี และไม่เป็นอันตรายต่อเหงือก เพียงแค่มีข้อจำกัดที่ต้องฝึกฝนในการใช้และจะใช้เวลาบ้างเล็กน้อยที่จะทำความสะอาดให้ครบทุกซี่



ทีนี้ถ้าเรามาเทียบไม้จิ้มฟันกับไหมขัดฟันแล้วอะไรจะมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดได้ดีกว่ากัน...



ตัวไม้จิ้มฟันที่ใช้กันอยู่ มักจะใช้แบบผิดวิธี คือ เราจะใช้จิ้มเอาเศษอาหารออกโดยการผลักไม้จิ้มฟันให้ผ่านซอกเหงือก เพราะความเรียวเล็กที่ปลายและใหญ่ที่โคน เมื่อผลักเลยเข้าไปในซอกฟันมากๆ เข้าขนาดของไม้จิ้มฟันก็ไปเบียดให้ยอดเหงือกถูกกดต่ำลง เมื่อใช้กันทุกวี่ทุกวันหลังอาหาร ยอดเหงือกที่เคยแหลมๆ ปิดซอกฟันจะถูกเบียดให้ต่ำลง และทำให้มีช่องว่างใหญ่ขึ้น ช่องว่างใหญ่มีผลทำให้เศษอาหารติดง่ายยิ่งขึ้น (ยิ่งใช้ไม้จิ้มฟันเศษอาหารก็ยิ่งติด) เมื่อเกิดช่องว่างระหว่างฟันทำให้ขาดความสวยงามโดยเฉพาะฟันหน้า



วิธีใช้ไม้จิ้มฟันอย่างถูกต้อง ก็คือ ใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยเศษอาหารมากกว่าการจิ้มเข้าไป เวลาเขี่ยเศษอาหารเราเขี่ยจากเหงื่อไปตามซี่ฟันไม่ควรทิ่มจากด้านหน้าฟันทะลุไปถึงหลังฟัน ถ้าทำอย่างนี้ได้ไม้จิ้มฟันจะไม่กดเหงือกให้ลดต่ำลง โอกาสเกิดช่องว่างก็น้อยลง เมื่อเกิดช่องว่างแล้วโอกาสแก้ไขให้ยอดเหงือกกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมเป็นเรื่องยากมาก

ความสะอาดของไม้จิ้มฟันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากไม้จิ้มฟันที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วๆ ไปไม่มีการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง การใช้ไม้จิ้มฟันไม่ระมัดระวังอาจมีการติดเชื้อได้โดยเฉพาะคนที่มีโรคเหงือกอักเสบอยู่แล้ว หรือมีการหักของไม้จิ้มฟันคาอยู่ที่เหงือก
จะเห็นได้ว่าไม้จิ้มฟันเองมีประโยชน์ในการเขี่ยเอาเศษอาหารออกก็จริง แต่อีกด้านหนึ่งก็มีผลต่อโครงสร้างของเหงือกด้วยเช่นกัน




ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

G-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 ศุกร์, 18/12/2552 เวลา : 10:51  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86283

คำตอบที่ 80
      

fiogf49gjkf0d
ดื่มล้างพิษ เพิ่มพลัง ตับ แข็งแรง
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีส่วนผสมของ กะหล่ำปลี สาหร่ายสไปรูลินา และวีตกราส ช่วยล้างพิษในตับ เสริมสร้างตับให้แข็งแรง


นับว่ามนุษย์เรายังโชคดีที่ธรรมชาติรังสรรค์พืชผักที่ช่วยบำรุงรักษา ตับ กินดีวันนี้เลือก

สำหรับ กะหล่ำปลี อุดมไปด้วยสารอินโดลฟลาโวนอยด์ สารคาร์บินอล สารซัลฟาราเฟน กลูโคซิโนเลต ต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยชะล้างพิษ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยทำความสะอาดลำไส้ บรรเทาอาการอักเสบเนื่องจากแผลในลำไส้ แก้ท้องผูก แก้เจ็บคอ บำรุงไต ดีต่อผิวพรรณ ทำให้ผิวสะอาดเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล แก้จุกเสียดแน่นท้อง ขับปัสสาวะ บรรเทาอาการแน่นหน้าอก และยังมีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก กะหล่ำปลียังเพิ่มการสร้างกลูตาไทโอนซึ่งจำเป็นต่อตับในการล้างพิษจากควันไอเสีย และยา นอกจากนี้ควรรู้ไว้ว่า กะหล่ำปลีขาวจะมีรสชาติหวาน และง่ายต่อการดื่มมากกว่ากะหล่ำปลีเขียว

ต่อกันที่ สาหร่ายสไปรูลินา อุดมไปด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อการล้างพิษ การฟื้นฟู และการปรับสมดุลของตับ สมอง และระบบประสาท และเป็นแหล่งวิตามินบี 12 ไม่ก่อให้เกิดกรดหรือของเสียขึ้นภายในร่างกาย คลอโรฟีลล์ที่พบในสาหร่ายสไปรูลินา ยังเร่งกระบวนการชะล้างพิษและของเสียในตับ กระแสเลือด เนื้อเยื่อ และลำไส้ให้เร็วขึ้น ส่งผลให้เฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนแข็งแรง

สุดท้ายที่ วีตกราส หรือต้นอ่อนข้าวสาลี อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม เหล็ก และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร กรดอะมิโนที่สำคัญ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์ร่างกายใหม่ ๆ และคลอโรฟีลล์ช่วยทำความสะอาดเลือด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมารวมกันก็เพื่อช่วยฟอกโลหิต เซลล์เม็ดเลือดแข็งแรง ร่างกายสะอาด และเพิ่มกำลังวังชา

เปี่ยมคุณค่าให้พลังตับขนาดนี้ ก่อนปรุงดื่มควรเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ดังต่อไปนี้


กะหล่ำปลี 1 ถ้วย
วีตกราส 2 ถ้วย
สาหร่ายสไปรูลินา พอประมาณ

ขั้นตอนการปรุง เริ่มจากทำความสะอาดกะหล่ำปลีและวีตกราส หั่นส่วนผสมทั้งสองชนิดให้มีขนาดเล็กพอประมาณ นำไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เทใส่แก้ว เติมสาหร่ายสไปรูลินาลงไปแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็ดื่มได้ทันที

takecaredd@gmail.com

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ 80 สูตรน้ำผัก-ผลไม้ เพื่อการล้างพิษและฟื้นฟูสุขภาพ


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 5/1/2553 เวลา : 10:06  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86520

คำตอบที่ 81
      

fiogf49gjkf0d
หวานอมเปรี้ยว ล้างพิษ ต้านมะเร็ง
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่แก้วนี้มีทีเด็ดช่วยล้างพิษ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวการก่อมะเร็ง




มีส่วนผสมจากผักและผลไม้ที่ต้องเตรียมเพียง 3 ชนิด ประกอบด้วย ลูกแพร์ กีวี และมะนาว

เห็นเครื่องดื่มแก้วนี้มีส่วนผสมแค่น้อยนิด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยสารอาหารมหัศจรรย์ให้ประโยชน์กับร่างกาย เริ่มจาก 'ลูกแพร์' เต็มไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก ไนอาซิน แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม พร้อมแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ลดคอเลสเตอรอล ชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในไต ทำความสะอาดไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะที่ส่วนของผลลูกแพร์ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากใยอาหาร กรดไฮดรอกซีซินนามิก และเส้นใยเพ็กตินช่วยขับโลหะหนักออกจากร่างกาย

ต่อด้วย 'กีวี' มาพร้อมวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ก็ยังมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์และเนื้อเยื่อไม่ให้เสื่อมโทรมและเกิดโรคภัย

สุดท้ายกับ 'มะนาว' ผลกลมรสเปรี้ยว ให้วิตามินบี1 บี2 บี4 วิตามินซี คาร์โบรไฮเดรท โปรตีน และแร่ธาตุ ช่วยขับของเสียอย่างเสมหะ และพยาธิออกจากร่างกาย แล้วยังช่วยแก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม แก้วิงเวียนศีรษะ

เห็นแจ้งกับสรรพคุณช่วยต้านมะเร็งอย่างดีเยี่ยมกันแล้ว ก็ต้องเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ต่อไปนี้...

ลูกแพร์สุกเต็มที่ 2 ถ้วย
กีวี 1 ถ้วย
มะนาว 1 ถ้วย

ลงมือปรุง โดยเริ่มจากปอกเปลือกกีวีทั้งผล จากนั้นให้ฝานเนื้อกีวีออกเป็นแว่น ๆ ส่วนลูกแพร์ หั่นเป็นชิ้นพอหยาบ แล้วนำกีวีกับลูกแพร์ไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ อย่าลืมคั้นน้ำมะนาวเพื่อใช้น้ำ ได้ส่วนผสมที่ต้องการแล้วจึงนำมาผสมคนให้เข้ากัน ดื่มได้ทันที หรือถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความสดชื่นก็ยังได้

ปรุงดื่มเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ดีนักแล.

takecareDD@gmail.com

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ 80 สูตรน้ำผัก-ผลไม้ เพื่อการล้างพิษและฟื้นฟูสุขภาพ


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 5/1/2553 เวลา : 10:07  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86521

คำตอบที่ 82
      

fiogf49gjkf0d
ดื่มลบเลือนริ้วรอย
สรรพคุณช่วยบำรุงผิวพรรณ และลบเลือนริ้วรอยมาฝากให้ผู้อ่านสาววัยทองลองปรุงดื่มกัน

เพราะวัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง อาจเป็นการก้าวเข้าสู่ช่วงแห่งความร่วงโรยของผิวหนัง ที่เริ่มเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น หมองคล้ำ ไม่ชุ่มชื้นอย่างที่เคย ซึ่งปัญหาที่กล่าวมานั้นดูจะสร้างความกังวลให้กับผู้หญิงวัยทองไม่ใช่น้อย ดังนั้น กินดี วันนี้ นำสูตรเครื่องดื่มจาก แอพริคอต แอปเปิ้ล และพีช ที่มี

รู้กันก่อนว่าผลไม้ที่รวมอยู่ในเครื่องดื่มนั้นให้คุณประโยชน์อย่างไรบ้าง เริ่มจาก แอปเปิ้ล ที่นำมาใช้ในเครื่องดื่มแก้วก่อน ๆ เป็นประจำ เพราะมากด้วยโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยลดความตึงเครียด ล้างพิษในตับและไต พร้อมสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิกและแทนนิก ดีต่อระบบย่อยอาหาร เส้นใยแพ็กตินในแกนผล ยังช่วยทำความสะอาดลำไส้เล็กได้อย่างดีเยี่ยม

สำหรับ แอพริคอต นั้น เป็นผลไม้ที่ชื่อและหน้าตาไม่ค่อยคุ้นเคย มีสีเหลืองทอง เปี่ยมไปด้วยกรดมาลิก ทำความสะอาดลำไส้เล็ก แต่ที่โดดเด่นนั้นคือสารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยต้านความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยของเซลล์และเนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เบต้าแคโรทีนจะมีปริมาณมากในผลที่มีสีเข้ม

ส่วน พีช หรือลูกท้อ มีวิตามินซี กรดโฟลิก เบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโพแทสเซียม ที่จะเข้าไปทำความสะอาดลำไส้เล็กและใหญ่

ส่วนผสมที่ควรเตรียมให้ได้สัดส่วนนั้นประกอบด้วย

แอพริคอต 2 ถ้วย
แอปเปิ้ล 1 ถ้วย
พีช 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการปรุงเพียงหั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ส่วนแอพริคอตและพีช หลังจากล้างน้ำจนสะอาด ให้ผ่าครึ่งแล้วเอาเมล็ดออกและหั่นพอหยาบ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันโดยใช้เครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ ก่อนดื่มเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่นให้กับเครื่องดื่มแก้วนี้ได้.

takecaredd@gmail.com

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ 80 สูตรน้ำผัก-ผลไม้ เพื่อการล้างพิษและฟื้นฟูสุขภาพ


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 5/1/2553 เวลา : 10:08  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86522

คำตอบที่ 83
      

fiogf49gjkf0d
ดื่ม บร็อกโคลี-องุ่นเขียว 100 กำลังพังมะเร็ง
วันนี้มีสูตรเครื่องดื่มระดับขุนพลแก้วเด็ด ที่ช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง ต้านพิษ แถมยังบำรุงผิวพรรณ...ความสามารถทั้งหมดนี้มาจาก บร็อกโคลี และ องุ่นเขียว


วันนี้มีสูตรเครื่องดื่มระดับขุนพลแก้วเด็ด ที่ช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง ต้านพิษ แถมยังบำรุงผิวพรรณ...ความสามารถทั้งหมดนี้มาจาก บร็อกโคลี และ องุ่นเขียว

สำหรับ บร็อกโคลี ผักสีเขียว ๆ นี้อุดมไปด้วย ซัลโฟราเฟน กลูโคซิโนเลต สารต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และยังช่วยเพิ่มระดับกลูตาไทโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญที่ช่วยเหลือตับให้ขับสารพิษ ด้วยเป็นผักที่มีเส้นใยสูงนี้ ยังพบเบตาแคโรทีน วิตามินซี กรดโฟลิก มาเสริมพลังต้านอนุมูลอิสระ ส่วนทีเด็ดของ บร็อกโคลี คือ ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ชนิดที่ใช้ล้างพิษ และช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง ทั้งยังมีความมหัศจรรย์เฉพาะตัว เพราะเมล็ดบร็อกโคลีที่กำลังแตกหน่อจะมีสารประกอบต้านมะเร็งมากกว่าเมล็ดพืชชนิดอื่น ๆ ถึง 50-100 เท่า

ส่วน องุ่นเขียว ผลไม้ขวัญใจการล้างพิษ เต็มไปด้วยฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี 1 และบี 2 วิตามินซี กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก และกรดทาร์ทาริก ช่วยเพิ่มความเร็วให้แก่กระบวนการเผาผลาญอาหาร เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ดีต่อเลือดลม ช่วยขับปัสสาวะ

หันมาเตรียมส่วนผสมก่อนปรุงเครื่องดื่มเปี่ยมล้นกำลัง เพียงมี....

-บร็อกโคลี 1 ถ้วย
-องุ่นเขียว 2 ถ้วย
-น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

เริ่มที่บร็อกโคลีหั่นให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ส่วนองุ่นเขียวให้ผ่าครึ่งโดยไม่ต้องเอาเมล็ดออก นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เติมน้ำแข็งป่น เพิ่มความเย็นสดชื่น แถมยังได้ส่งสารอาหารตัวเด็ดเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งร้าย.



takecareDD@gmail.com

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ 80 สูตรน้ำผัก-ผลไม้ เพื่อการล้างพิษและฟื้นฟูสุขภาพ


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 5/1/2553 เวลา : 10:08  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86523

คำตอบที่ 84
      

fiogf49gjkf0d
สกัดน้ำผลไม้ดื่มล้างพิษลำไส้
การันตีว่าดื่มแก้วนี้แล้วจะได้ล้างพิษในลำไส้ แถมยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่


เมนูเครื่องดื่มที่ กินดี นำมาฝากวันนี้ เป็นเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้ 3 ชนิด อันได้แก่ สตรอว์เบอร์รี่ ลูกพีชหรือลูกท้อ และแอปเปิ้ลแดง แถมยังมีน้ำแร่รวมอยู่ในส่วนผสม

สำหรับ สตรอว์เบอร์รี่ ผลไม้ขวัญใจสาว ๆ อุดมไปด้วยแคลเซียม คลอรีน โซเดียม กำมะถัน แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดโฟลิก และไบโอติก เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ล้างพิษให้ร่างกายสะอาด ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการจุกเสียด แน่นท้อง บำรุงเลือดและผิวพรรณ แถมยังบรรเทาอาการไอ ขับปัสสาวะได้ดี

มาที่ ลูกพีช เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก เบตาแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโพแทสเซียม มักรวมอยู่ที่บริเวณเปลือก ดังนั้น การนำลูกพีชมาทำเป็นเครื่องดื่ม หลังจากล้างจนสะอาดแล้วให้คว้านเพียงเมล็ดออก รับประทานลูกพีชหรือดื่มน้ำจากลูกพีชจะช่วยทำความสะอาดลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่

ส่วน แอปเปิ้ล มีเบตาแคโรทีน วิตามินซี และไฟโตเคมิคอล เควอเซติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก รวมทั้งเส้นใยเพ็กตินที่มีอยู่มากบริเวณแกนผลแอปเปิ้ล ทำหน้าที่ชะล้างลำไส้เล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและสำไส้ พิษที่ถูกสารอาหารในแอปเปิ้ลชะล้างจะถูกขับออกมาทางกระแสเลือดแล้วจึงปล่อยออกสู่อวัยวะที่มีหน้าที่ขับถ่าย นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยลดความเครียด ล้างพิษในไตและตับ

และ น้ำแร่ จะมีแร่ธาตุตามธรรมชาติผสมอยู่หลายชนิดแตกต่างกันตามแหล่งน้ำ โดยเกลือซัลเฟตของโซเดียม หรือแมนีเซียม ที่มีอยู่น้ำแร่เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย เป็นยาระบาย

หากต้องการดื่มให้ร่างกายได้ประโยชน์ ควรเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วนดังต่อไปนี้

สตรอว์เบอร์รี่ 1 ถ้วย
ลูกพีช 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลแดง 1 ถว้ย
น้ำแร่ 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

วิธีปรุง เริ่มด้วยการทำความสะอาดผลไม้ทั้ง 3 ชนิด จากนั้นให้หั่นสตรอว์เบอร์รี่และลูกพีชเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยแอปเปิ้ลหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนำผลไม้ทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ไผลไม้ เติมน้ำแร่ลงไปในน้ำที่สกัดได้ คนให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งป่นเล็กน้อยดื่มได้ทันที

ปรุงดื่มสม่ำเสมอ รับรองลำไส้ของคุณจะไม่ใช่ที่โปรดปรานของมะเร็งร้าย


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 5/1/2553 เวลา : 10:09  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86524

คำตอบที่ 85
      

fiogf49gjkf0d
เมื่อไรจึงจะเรียกว่าอ้วน
เมื่อไรจึงจะเรียกว่าอ้วน ต้องมีน้ำหนักตัวเท่าไร ต้องมีไขมันแค่ไหน พุงต้องโตแค่ไหน ถ้าเริ่มจากศูนย์ วิธีที่ดีที่สุดคือ ดูพุงตัวเอง! ถ้ามีพุงก็ถือได้แล้วว่าอ้วน!


เรื่อง: รศ.นพ.พินิจ กุลละวณิชย์



ยกตัวอย่างเช่นผม ผมหนัก 80 กิโลกรัม (แต่ในเดือนนี้ต้องเดินทางบ่อย ไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อังกฤษ ฟินแลนด์ แคนาดา กินไม่หยุด ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย น้ำหนักเลยปาเข้าไป 83 กิโลกรัม! ที่กินไม่หยุดเพราะไม่แน่ใจว่ามื้อต่อไปจะมีให้กิน หรือกินได้หรือไม่!) ผมอ้วนแล้วหรือยัง เราคงไม่ได้ดูน้ำหนักตัวอย่างเดียว โดยสากลนิยมเราต้องดูส่วนสูงของเราด้วย ผมสูง 178 เซนติเมตร ผู้เชี่ยวชาญของโลกคิดวิธีคำนวณว่าอ้วนหรือไม่ด้วยการหาดัชนีมวลกายหรือ body mass index หรือ BMI คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง BMI ของผมคือ 80 หาร 1.782 ซึ่งออกมาเป็น 25.25 องค์การอนามัยโลกให้ค่าปกติอยู่ระหว่าง 18.5-24.9 แต่เนื่องจากคนเอเชียมีโครงสร้างผอมบาง เล็ก องค์การอนามัยโลกจึงให้ชาวเอเชียมี BMI ไม่เกิน 23 จากนี้จะเห็นได้ว่า BMI ของผมสูงไปไม่ว่าจะคิดสำหรับชาวเอเชีย หรือชาวฝรั่ง!





แต่ดู BMI อย่างเดียวไม่ได้เสมอไป บางคนมี BMI สูง แต่เป็นกล้ามเนื้อทั้งนั้น ไขมันไม่มีเลย ฉะนั้นการดู BMI จึงเป็นการดูแบบคร่าวๆ ต้องดูส่วนประกอบอื่นด้วย เช่น ดูพุงตัวเอง ปกติแล้วคนเราต้องมีพุงที่เล็กกว่าสะโพก ใครมีพุงใหญ่กว่าสะโพกก็ถือว่าอ้วนมากแล้ว โดยทั่วไปไม่น่าที่จะมีพุงใหญ่กว่า 36 นิ้ว



โดยสรุปถ้าไม่มีที่ชั่งน้ำหนัก ไม่มีที่วัดส่วนสูง ดูพุงตัวเองก็พอแล้ว ถ้าพุงใหญ่เกินไปก็ถือว่าอ้วนมากแล้ว! ถึงแม้ว่าที่แขน ขา สะโพกอาจไม่อ้วน ทั้งนี้ความอ้วนหรือไขมันที่พุงจะมีความหมายเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าไขมันที่อื่น เช่น ถ้าอ้วนที่พุงจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน และโรคเบาหวาน (ชนิดที่ 2)



แต่ประเด็นคือ ต้องยอมรับตัวเองว่าพุงใหญ่หรือไม่?
ถ้าอ้วนหรือมี BMI สูงเกินไป จะมีความหมายอย่างไร? ปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับแล้วว่าถ้าอ้วนเกินไปจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคกระดูกเสื่อม โรคกรนและหยุดหายใจซึ่งจะมีภาวะแทรกซ้อนมากมายตามมา แม้แต่โรคมะเร็งโดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ และยังมีโรคอื่นๆ อีกมากมาย



ทำไมจึงอ้วน? คำตอบที่ง่ายคือ ผู้ที่อ้วนรับประทานอาหารมากกว่าที่จำเป็น มากกว่าที่ร่างกายจะใช้ อาจจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน อันนี้หมายความว่า ในขณะนี้รับประทานไม่มากกว่าที่ร่างกายใช้ แต่ยังอ้วนอยู่เพราะในอดีตรับประทานมากไป



ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ต้องการพลังงานเพื่อความอยู่รอด ถึงแม้เราจะนอนหลับหรือนั่งเฉยๆ ร่างกายก็ต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิตอยู่ หรือที่เรียกว่า basic metabolism เพื่อการหายใจ เพื่อให้หัวใจเต้น การใช้พลังงานประการที่ 2 คือการเคลื่อนไหวประจำวัน ฯลฯ และประการที่ 3 คือการออกกำลังกาย โดยสรุปพอพูดได้ว่าผู้ที่อ้วน คือผู้ที่ได้รับพลังงานเข้าไปในร่างกายมากกว่าที่ร่างกายจะใช้ อาหารที่ให้พลังงานมาจาก 3 แหล่งคือ ไขมัน แป้ง และโปรตีน เท่านั้นคือ 9, 4 และ 4 กิโลแคลอรีต่อหนึ่งกรัมตามลำดับ ส่วนวิตามิน เกลือแร่ และน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีแคลอรีหรือให้พลังงานเลย



ถ้าจะลดน้ำหนักจะต้องคุมอาหารและออกกำลังกาย จะต้องรับประทานน้อยกว่าที่ใช้ การคุมอาหารอย่างเดียวหรือออกกำลังกายอย่างเดียวจะได้ผลยาก โดยเฉพาะถ้าออกกำลังกายอย่างเดียวถึงแม้จะออกกำลังกายมาก แต่ถ้ารับประทานมากกว่าที่ใช้ก็จะยังลดน้ำหนักไม่ได้อยู่ดี ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไม่รับประทานอาหารเลย เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียไขมันและกล้ามเนื้อ แต่ถ้าคุมอาหารอย่างเดียวโดยไม่ออกกำลังกายจะลดน้ำหนักได้ช้าและน้ำหนักที่ลดอาจเป็นกล้ามเนื้อ หลักการของการลดน้ำหนักคือต้องลดไขมันไม่ใช่กล้ามเนื้อ!



ในปัจจุบันโรคอ้วนเป็นโรคที่พบได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นจึงเกิดธุรกิจขึ้นมากมายสำหรับการลดน้ำหนัก ผมเองมีความเห็นว่าถ้าใครที่อยากลดน้ำหนัก หากมีความรู้และมีวินัย ใจเย็นๆ ค่อยๆ ลดไป ก็จะประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเข้าคอร์สลดน้ำหนักที่ไหน บางแห่งคิดเงินแพงมากเพื่อให้ไปอดอาหารเท่านั้น



วิธีคุมอาหารเพื่อการลดน้ำหนักที่ดี คือ



การรับประทานหนักไปทางพืชผักผลไม้ที่เขียวและแข็ง ปลา (ยกเว้นไข่ปลา) ไก่ที่ไม่มีหนัง และรับประทานข้าวได้บ้าง ถ้าหิวให้รับประทานผักมากๆ ข้าวให้น้อยที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงมันสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง กะทิ น้ำตาล น้ำหวาน ของหวาน


ควรมีเทคนิคในการรับประทาน เช่น ควรทราบว่ากว่าร่างกายจะรู้ว่าอิ่มจะต้องใช้เวลา 20 นาที ฉะนั้นค่อยๆ รับประทาน อาจเริ่มด้วยการรับประทานซุปผัก ตามด้วยสลัด ปลา และข้าวบ้าง ถ้าหิวให้รับประทานผักมากๆ ค่อยๆ เคี้ยว พูดไปคุยไปด้วยจะได้รับประทานได้ไม่มากใน 20 นาที


นอกจากนั้นควรแบ่งอาหารที่รับประทานทั้งวันออกเป็น 3 มื้อ แทนที่จะรับประทาน 1-2 มื้อต่อวัน เพราะในการรับประทานอาหารแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังงาน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าปริมาณพลังงานที่รับประทานต่อวันต้องเท่ากัน แต่แบ่งออกเป็น 3-4 มื้อแทนที่จะรับประทาน 1-2 ครั้งต่อวันเท่านั้น


สำหรับการออกกำลังกาย
ควรเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ซึ่งก็คือการใช้กล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ เช่น แขน หรือขา อย่างต่อเนื่องและนานพอ คืออย่างน้อย 20 นาที หนักพอ คือ ต้องออกกำลังกายให้หัวใจเต้นประมาณ 70% ของความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ หรือ maximal heart rate, MRI คือ 220 - อายุ (ปี) แต่ในทางปฏิบัติไม่ต้องไปวัดชีพจรเพราะวัดได้ยาก แต่ควรออกกำลังกายให้เหนื่อยหอบเล็กน้อย แต่ยังพอพูดได้ และควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้าดูจากหลักการของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ว่านานพอ หนักพอ ก็คงคิดเองได้ว่าชนิดของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ คือ การเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือเต้นแอโรบิค แต่จริงๆ แล้วเป็นการออกกำลังกายอะไรก็ได้ที่ทำได้นานพอ หนักพอ บ่อยครั้งพอ!



การออกกำลังกายที่สะดวกที่สุด ง่ายที่สุด ใครจะทำก็ได้ คือการเดิน ผู้ที่อ้วน สูงอายุ หรือเข่า ข้อเท้าไม่ดี วิธีออกกำลังกายอันดับแรกก็คือว่ายน้ำ สองคือการถีบจักรยาน เมื่อน้ำหนักลดลงพอแล้วจึงอาจวิ่งได้



ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเปลี่ยนวิธีการออกกำลังกายไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ เช่น ว่ายน้ำ1 วัน วิ่ง 1 วัน จักรยาน 1 วัน แต่การว่ายน้ำและถีบจักรยานไม่ช่วยให้ร่างกายสร้างกระดูก ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ควรเดินหรือวิ่งบ้าง โดยเฉพาะสุภาพสตรี เนื่องจากสุภาพสตรีจะมีมวลกระดูกน้อยกว่าผู้ชาย ถ้ากระดูกมีน้อยไปจะทำให้เป็นโรคกระดูกบาง พรุน และอาจทำให้หักได้ง่าย



สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองควรลดน้ำหนัก อย่าลืมว่าการลดน้ำหนักควรลดเพียงครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์เท่านั้น วิธีดีที่สุดคือ ดูแลตนเองไม่ให้อ้วน ดีกว่าอ้วนแล้วจึงพยายามลดน้ำหนักครับ!



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 5/1/2553 เวลา : 10:19  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86525

คำตอบที่ 86
      

fiogf49gjkf0d
ลดไขมันวิธีไหนดีที่สุด!!
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนรอบข้างหรือเพื่อนร่วมงานเริ่มทักบ่อยๆ ว่าหมู่นี้ดูตัวใหญ่ขึ้น และตัวเราเองก็แน่ใจว่าเราไม่ได้ไปออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่ไหน ประกอบกับเสื้อผ้าที่ใสเริ่มจะคับขึ้น ก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าสิ่งที่มันทำให้เราดูอวบๆ ขึ้นมาคือไขมันส่วนเกินเป็นแน่แท้


นพ. สมพล สงวนรังศิริกุล



ในขณะที่เรามีการก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะเป็นการได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือมีกิจการรุ่งเรืองก้าวหน้า สิ่งที่ตามมาก็มักจะเป็นลักษณะของงานที่ต้องใช้เวลาในการนั่งคิดและวางแผน การประชุมปรึกษาหารือ มากกว่าลักษณะงานที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย จึงไม่แปลกเลยที่เห็นท่านผู้มีความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน มักจะมีรูปร่างที่ดูอ้วนท้วนสมบรูณ์ขึ้น และสาเหตุที่มีรูปร่างแบบหุ่นอาเสี่ยนี้ ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการเกิดจากการสะสมของไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นจากการที่มีการกินอาหารเกินความต้องการของร่างกายนั่นเอง





เมื่อไหร่ก็ตามที่คนรอบข้างหรือเพื่อนร่วมงานเริ่มทักบ่อยๆ ว่าหมู่นี้ดูตัวใหญ่ขึ้น และตัวเราเองก็แน่ใจว่าเราไม่ได้ไปออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่ไหน ประกอบกับเสื้อผ้าที่ใส่(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกง) เริ่มจะคับขึ้น ก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าสิ่งที่มันทำให้เราดูอวบๆ ขึ้นมาคือไขมันส่วนเกินเป็นแน่แท้ หรือถ้าอยากให้แน่ใจก็ต้องไปชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง แล้วมาคำนวณหา ค่าดัชนีมวลกายกันดูก่อนว่า ตัวเรานี่อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกินหรืออ้วนกันแน่ ดัชนีมวลกายนั้นคำนวณได้จากน้ำหนักตัว(กิโลกรัม) หารด้วยค่าของส่วนสูง(เมตร)ยกกำลังสอง ถ้าค่าที่คำนวณได้น้อยกว่า 25 ถือว่าปกติ ค่าระหว่าง 25 -30 ถือว่าน้ำหนักเกิน และถ้ามากกว่า 30 ก็เรียกได้ว่าอ้วนแน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าคำนวณแล้วพบว่าเพิ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกินนิดหน่อยแล้วปลอบใจตัวเองว่า ยังอีกนานกว่าจะอ้วนจริงๆ จงพึงระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่ทำให้ดัชนีมวลกายเพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากร่างกายมีปริมาณไขมันเพิ่มขึ้นทั้งนั้น เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่น้ำหนักอาจจะขึ้นอีกหลายกิโลก็ได้ และการลดน้ำหนักนั้นถ้ารีบลดในช่วงน้ำหนักเกิน จะได้ผลดีกว่าช่วงที่อยู่ในเกณฑ์อ้วน หรือท่านผู้ใดอยากรู้มากกว่านั้นว่าร่างกายมีไขมันกี่เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คงต้องอาศัยเครื่องมือที่วัดปริมาณโดยเฉพาะซึ่งก็มักจะมีในสถานพยาบาลที่เกี่ยวกับการดูแลเรื่องโรคอ้วน โดยปริมาณไขมันในร่างกายมากเกินไปก็คือปริมาณที่มากกว่า 20% ในผู้ชาย และ 30% ในผู้หญิง



เมื่อในร่างกายเรามีไขมันสะสมมากเกินไปจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น โรคของระบบ ข้อ กระดูก และกล้ามเนื้อจากการที่มีน้ำหนักตัวมากขึ้น โรคของระะบบหัวใจและหลอดเลือด รวมไปทั้งโรคเบาหวาน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องพยายามให้ไขมันในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยมีหลักการง่ายๆ (แต่ปฏิบัติได้ยาก)อยู่ 2 ประการคือ การควบคุมไม่ให้มีการสะสมเพิ่มขึ้น และการลดไขมันส่วนเกินลงให้อยู่ในระดับปกติ



การควบคุมไม่ให้มีการสะสมเพิ่มขึ้น ได้แก่ การควบคุมการกิน ทั้งชนิดของอาหาร และพฤติกรรมการกิน การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการกินนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เพราะบางครั้งรสชาติเย้ายวนของอาหาร และความเคยชินมันทำให้เรากินมากเกินความต้องการของร่างกายโดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่น อาหารว่างจำพวก ชา กาแฟ และขนมเบเกอรี่ และอาจจะมีผลไม้ร่วมด้วยในระหว่างการประชุมต่างๆ จะสังเกตเห็นว่ามากกว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมประชุม จะรับประทานทุกอย่างที่มีการจัดหามาให้จนหมด ทั้งๆ ที่ อีกไม่เกิน 1-2 ชั่วโมงก็จะมีการรับประทานอาหารมื้อหลักกันแล้ว แบบนี้ไม่นานก็คงได้มีการเปลี่ยนขนาดรอบเอวของกางเกงเป็นแน่ หลักโดยทั่วไปก็คือให้ค่อยๆ ลดการกินอาหารกลุ่มที่มีรสหวาน และกลุ่มอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันในสัดส่วนที่สูงลงไปเรื่อยๆทีละน้อยในแต่ละวัน เพราะอาหารเหล่านี้แต่ละอย่างนี่อร่อยทั้งนั้นขืนลดลงแบบหักดิบไม่เคยเห็นใครสำเร็จซักราย



สำหรับการลดไขมันในส่วนที่เกิน ถ้าไม่นับการดูดไขมันโดยวิธีทางศัลยกรรมแล้ว การที่ทำให้กล้ามเนื้อมีการทำงานในระดับเบาๆ และเป็นเวลานานประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นไป ถือเป็นการทำให้ร่างกายนำเอาสารไขมันไปใช้ประโยชน์ในการเป็นแหล่งพลังงานในกล้ามเนื้อมากที่สุด เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงเหตุผลข้างต้น ผมขอเล่าถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้พลังงานของกล้ามเนื้อ แบบย่อพอให้เข้าใจ



คือ ตามปกติกล้ามเนื้อจะได้สารพลังงานเพื่อใช้ในการหด-คลายตัวของกล้ามเนื้อจากสารต่างๆ ดังนี้



สาร ATP และ creatine phosphate สารทั้งสองตัวนี้เป็นสารที่เกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมีในกล้ามเนื้อแล้วสลายให้พลังงานเพื่อใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อได้รวดเร็วมาก แต่สารนี้ถูกเก็บสะสมในกล้ามเนื้อในปริมาณที่น้อย ว่ากันว่าถ้ากล้ามเนื้อใช้เฉพาะสารทั้งสองชนิดนี้เป็นสารให้พลังงาน กล้ามเนื้อจะสามารถหดและคลายตัวได้ประมาณ 100 ครั้ง(หรือในเวลาประมาณ 20 วินาที )ก็ใช้หมดแล้ว


สารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น glycogen ที่สะสมในใยกล้ามเนื้อและในตับ ถือว่าเป็นสารพลังงานที่สำคัญที่สุดในการทำงานของกล้ามเนื้อ เพราะถ้ากล้ามเนื้อมีความต้องการใช้สารพลังงานในปริมาณที่มากและมีอัตราการความต้องการสารพลังงานต่อหน่วยเวลาที่สูง เช่น การวิ่งแข่งระยะสั้น เซลล์กล้ามเนื้อก็จะมีการสลาย glycogen ที่เก็บสะสมไว้ในเซลล์ โดยปฏิกิริยาทางชีวเคมีแบบไม่ต้องอาศัยออกซิเจน (glycolysis) ซึ่งจะให้สารพลังงานที่สามารถทำให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มที่ประมาณ 2 นาทีแล้วจะเกิดการเหมื่อยล้าตามมา จากสาเหตุที่ ปฏิกิริยาทางชีวเคมีแบบไม่ต้องอาศัยออกซิเจนทำให้มีกรด lactic สะสมในกล้ามเนื้อ แต่ถ้ากล้ามเนื้อไม่ได้มีความต้องการพลังงานในอัตราที่สูงมากนัก เช่น การวิ่งจอกกิ้ง การเต้นแอโรบิก เซลล์กล้ามเนื้อจะใช้ปฏิกิริยาทางชีวเคมีแบบอาศัยออกซิเจนซึ่งจะให้สารพลังงานได้มากกว่าและไม่มีการสะสมของกรดlactic กล้ามเนื้อจะทำงานได้นานกว่าและเกิดการเหมื่อยล้าน้อยกว่า


สารไขมัน (free fatty acid และ triglyceride) ในกล้ามเนื้อและในเซลล์ไขมัน สารนี้จะให้พลังงานมากกว่าสารกลุ่มคาร์โบไฮเครตถึงกว่า 10 เท่า แต่มีข้อเสียคือปฏิกิริยาทางชีวเคมีดังกล่าวนั้นมีอัตราการสร้างสารพลังงานต่อหน่วยเวลาค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับสารคาร์โบไฮเดรต{mospagebreak}


มีงานวิจัยในคนเกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ พบว่าถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานอย่างเต็มที่กล้ามเนื้อจะใช้สารพลังงานจากสาร ATP creatine phosphate และขบวนการ glycolysis เป็นหลัก โดยไม่มีการสลายไขมันเพื่อการสร้างพลังงานเลย ถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานประมาณ 80% ของความสามารถสูงสุด กล้ามเนื้อจะใช้สารพลังงานจากปฏิกิริยาสลายสารไขมันเพียง 25% ถ้ากล้ามเนื้อทำงานประมาณ 60% ของความสามารถสูงสุด กล้ามเนื้อจะใช้สารพลังงานจากปฏิกิริยาสลายสารไขมันและ คาร์โบไฮเดรตในปริมาณ เท่าๆ กัน และที่น่าสนใจก็คือ ถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานเพียง 25% ของความสามารถสูงสุด และใช้เวลาการทำงานมากกว่า 60 นาที กล้ามเนื้อจะใช้สารพลังงานจากปฏิกิริยาสลายสารไขมันถึง 80 % และเกือบทั้งหมดเป็นการได้พลังงานจากการสลายไขมันที่สะสมอยู่นอกกล้ามเนื้อ





ดังนั้นจะเห็นว่าถ้าต้องการจะลดปริมาณของไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายเป็นหลัก คงต้องหากิจกรรมที่มีการทำงานของกล้ามเนื้อที่ไม่หนักเกินไปอยู่ที่ประมาณ 20-30 % ของความสามารถที่ทำงานเต็มที่ เช่น การเดินเร็วๆ การขยับแขนขาในท่ากายบริหาร หรือแม้แต่การทำงานบ้าน แล้วก็ทำกิจกรรมเหล่านั้นเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไปทุกๆ วัน ไขมันส่วนเกินก็จะถูกใช้ไปเรื่อยๆ รูปร่างที่เคยดูดีก็จะกลับมาดังเดิม แต่คงไม่ได้ใช้เวลาแค่ชั่วข้ามวัน คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนถึงเห็นผลชัดเจน และจะเห็นผลเร็วขึ้นถ้ามีการควบคุมอาหารที่ดี



ขณะที่กิจกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่นิยมกันไม่ว่าจะเป็นการวิ่งจอกกิ้ง การเต้นแอโรบิก รวมไปทั้งชนิดของกีฬาต่างๆ ก็มักจะมีการออกกำลังกายในรูปแบบของการที่กล้ามเนื้อต้องมีการทำงานในความหนักที่เกินกว่า 50% การใช้สารอาหารเพื่อสร้างพลังงานจึงมาจากสารอาหารที่เก็บสะสมไว้ในกล้ามเนื้อมีการใช้ไขมันน้อยกว่ากิจกรรมที่ใช้พลังงานกล้ามเนื้อเพียง 20-30% ซึ่งภายหลังจากการออกกำลังกายร่างกายก็จะมีขบวนการสร้างและเก็บสะสมสารอาหารในกล้ามเนื้อให้กลับมาเหมือนเดิม ผลที่ตามมาของขบวนการเหล่านี้ก็คือจะทำให้มีความรู้สึกอยากกินอาหารมากขึ้นภายหลังจากการออกกำลังกาย



นอกจากนี้การออกกำลังกายที่นิยมกันบางชนิด เช่น การวิ่ง หรือการร่วมกลุ่มเต้นแอโรบิก นั้นคงจะไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินในเกณฑ์อ้วน เพราะนอกกจากจะต้องมีการออกแรงในการวิ่งหรือเต้นมากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติแล้ว ยังจะมีโอกาสทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อระบบข้อโดยเฉพาะข้อเข่า ข้อเท้าได้ง่ายกว่าอีก อาการ เหนื่อย เหมื่อย ร้อน เบื่อ หิว ก็จะเริ่มเข้ามารบกวน แล้วจะหากำลังใจจากไหนมาช่วยเสริมให้สู้ต่อไป สุดท้ายก็เลิก



ถ้าคุณที่เคยไปกินอาหารตามร้านอาหารที่มีคนเข้าเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายข้าวขาหมู ร้านขายข้าวมันไก่ ราดหน้า ก๋วยเตี๋ยว หรือร้านซีฟู้ด สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นก็คือพนักงานที่ทำหน้าที่ในการนำอาหาร เก็บถ้วยชาม จะหาคนที่มีรูปร่างดูอ้วนได้น้อยมาก ถ้าเห็นอ้วนก็มักจะเป็นเจ้าของร้านหรือพ่อครัวซะเป็นส่วนใหญ่ หรือแม้แต่คนรับใช้ในบ้านก็เช่นเดียวกัน กลุ่มคนเหล่านี้กินอาหารเป็นเวลา ซึ่งแต่ละมื้อนั้นกินปริมาณมากพอสมควร แต่ลักษณะงานที่ทำต้องเคลื่อนไหวใช้กำลังกล้ามเนื้อแขน ขา เป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง และทำอยู่เป็นกิจวัตร



โดยความเห็นส่วนตัวแล้วผมถือว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีและเห็นผลจริง น่าเชื่อถือมากกว่าโฆษณาโปรโมชั่นในรูปแบบต่างๆ ที่มีตามสื่อทั้งหลาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่อยากอ้วน ก็ต้องทำตัวเป็นเด็กรับใช้หรอกนะครับ เพียงถ้าคุณมีการนำเอาลักษณะการทำงานของกลุ่มคนเหล่านี้มาปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับวิถีการดำเนินกิจวัตรประจำ วันของคุณเองก็คงจะเป็นการส่งเสริมให้มีร่างกายที่สมส่วนรวมไปถึงการมีสุขภาพที่ดีได้เหมือนกัน



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 5/1/2553 เวลา : 10:22  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86526

คำตอบที่ 87
      

fiogf49gjkf0d
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
ในทุก ๆ 1 ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คนด้วยโรคนี้




ในทุก ๆ 1 ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คนด้วย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และจะมีสถิติเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหัวใจเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดตลอดทั้งชีวิต การปั๊มเลือดที่มีสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญ ทั่วร่างกายต้องอาศัยกล้ามเนื้อ และหลอดเลือดหัวใจที่แข็งแรง เมื่อหลอดเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและทำงานลดลง อาจนำไปสู่ขั้นเสียชีวิตได้

สาเหตุของการเกิดโรคร้ายแรงนี้ นายแพทย์ระพินทร์ กุก เรยา หัวหน้าอายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ให้ความรู้ว่า อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมีสาเหตุมาจากการตีบตัน แคบลงของหลอดเลือดแดง เนื่องจากมีไขมันและคอเลสเตอรอลไปเกาะที่ผนัง ของหลอดเลือด โดยผู้ป่วยจะมีอาการแสดงออกเมื่อมีการตีบตันมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ในลักษณะเจ็บแน่นหน้าอกเวลาออกแรงมาก ๆ เครียด หรือหลังจากทานอาหารมื้อหนัก ส่วนมาก 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยจะเจ็บบริเวณกลางหน้าอก คล้ายมีอะไรบีบรัดหรือกดทับและอาจร้าวไปที่คอ กราม ไหล่ซ้าย หรืออาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก หน้ามืด อาเจียน ซึ่งอาการเจ็บดังกล่าวหากนั่งพักจะหายไปเอง

แต่อาการที่น่ากลัวคือ กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่เคยมีอาการทำให้เสียชีวิตกะทันหัน เช่น เล่นกีฬาแล้วเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยทำงานที่ร่างกายแข็งแรงดีไม่เคยมีโรค จึงต้องเฝ้าระวังเพราะคนที่มีอาการจะทราบและดูแลตัวเองดี แต่คนที่ไม่มีอาการจะไม่ค่อยสังเกตตัวเองจึงเสียชีวิตอย่างกะทันหัน โดย ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคนี้ได้แก่ ผู้ที่มีโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ เครียด ขาดการออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ผู้ชายอายุ 40 ปี ขึ้นไปแต่ปัจจุบัน 35 ปีขึ้นไปก็เริ่มเสี่ยงแล้ว เพราะมีปัจจัยแวดล้อมเสริม เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ อดนอน กินอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันมาก ส่วนผู้หญิงจะมีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้น ไปเนื่องจากดูแลตัวเองดีเลือก กินอาหารเพราะกลัวอ้วนและมีฮอร์โมนเพศหญิงช่วยคุมไขมัน

การสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดเกิดขึ้นตั้งแต่ วัยเด็กเป็นปื้นสีเหลืองและจะมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเรายังคงมีพฤติกรรมรับประทานอาหารที่ มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง จึงสะสมเพิ่มจนกลายเป็นแอ่งไขมันในผนังมีเปลือกหุ้มไว้บาง ๆ เมื่อเปลือกหุ้มไขมันนี้ปริแตกออกทำให้ไขมันข้างใต้ออกมาสัมผัสเม็ดเลือดแดง และจับกันเป็นกลุ่มเกิดการ อุดตันหลอดเลือดทันที ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ดังนั้นหากมีอาการแน่นหน้าอกเวลาออกแรง พักแล้วหาย ออกแรงใหม่ก็เป็นใหม่ เหนื่อยเร็วกว่าปกติควรรีบมาพบแพทย์ทันทีเพื่อรักษา

การรักษาที่ดีที่สุดคือ การใช้ลูกโป่งขยายหลอดเลือด ซึ่งที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพมีห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและมีทีมงานพร้อม แพทย์ผู้ชำนาญจะใช้ ลวดเล็ก ๆ สอดผ่านหลอดเลือดที่ตันและทำการขยายหลอดเลือดด้วยลูกโป่ง วิธีนี้พบว่าสามารถเปิดหลอดเลือดได้สำเร็จ 90 เปอร์เซ็นต์และมีประโยชน์มากกับผู้ป่วยที่หัวใจขาดเลือดจนช็อก ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการไม่ตีบตันมากจะใช้วิธีการรักษาโดยการทานยาซึ่งไม่ สามารถทำให้หายขาดได้ แต่มีอาการตีบตันช้าลง ช่วยให้ไขมันที่เกาะทรงตัวได้ดีไม่ปริแตกรวมทั้งลดขนาดไขมันบางชนิด

นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมี บุคลากรและเครื่องมือในการรักษา และ เชื่อมั่นว่า ทางโรงพยาบาลฯ มีความพร้อมที่จะรักษาผู้ป่วยได้เพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคน ไทยให้ได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง โดยร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ผู้มีสิทธิตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ผู้ป่วยบัตรทอง) สามารถเข้ารับการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึง 30 เมษายน 2553 ที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

วิธีการรักษาจะให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือทำการสวนหัวใจขยายหลอดเลือดที่อุดตัน ด้วยลูกโป่ง และมักจะใส่ขดลวดให้กับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดไปเลี้ยง กล้ามเนื้อหัวใจโดยเฉียบพลัน ซึ่งผู้ป่วยสามารถขอรับการรักษาได้เองและต้องมีบัตรทองที่ระบุโรงพยาบาลต้น สังกัดหรืออาจมาจากการส่งต่อ แต่ต้องมีใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1719

โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเป็นโรคร้ายแรงมีอัตราการเสีย ชีวิตสูง นายแพทย์ระพินทร์ จึงแนะนำว่าวิธีการรักษาต่าง ๆ เป็นแค่การรักษาเบื้องต้นเท่านั้นแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันก่อนที่โรคจะเกิดขึ้นหรือการเป็นซ้ำเพราะเส้นเลือดไม่มีการหยุด นิ่งอยู่กับที่ บางทีรักษาตรงนี้หายแต่อาจจะไปอุดตันที่บริเวณจุดอื่น จึงควรลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะการควบคุมไขมันจากอาหาร เบาหวาน ความดันโลหิต ให้อยู่ในระดับปกติ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเจาะเลือดตรวจไขมันเป็นประจำ รวมทั้งกินผักผลไม้ให้มากขึ้นด้วยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 5/1/2553 เวลา : 10:24  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86527

คำตอบที่ 88
      

fiogf49gjkf0d
ยำหอยแมลงภู่ เติมพลังลีลารัก
เมนูอาหารคราวนี้มีสูตรการปรุงอาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศด้วย ยำหอยแมลงภู่



สำหรับวัตถุดิบเด่นอย่าง หอยแมลงภู่ นั้น อุดมไปด้วยวิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) แคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสีและซีลีเนียม ที่ทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็ว เพิ่มพลังทางเพศช่วยให้มีบุตรง่าย ลดความเสี่ยงอาการต่อมลูกหมากอักเสบ ทั้งยังเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบสมอง ประสาท และกล้ามเนื้อ แก้โรคไขข้ออักเสบ ปวดตามข้อ

ยำหอยแมลงภู่ มีส่วนผสมให้ต้องเตรียมตามนี้ คือ...

หอยแมลงภู่ 2 ถ้วย
พริกขี้หนู 7-8 เม็ด
หอมแดง 2-3 หัว
ตะไคร้ 3 ต้น
ใบมะกรูด 4 ใบ
น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว

ขั้นตอนในการยำนั้น เริ่มจากนำหอยแมลงภู่ล้างให้สะอาดแล้วต้มให้สุก โดยใช้น้ำต้มหอยเพียงปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนการทำน้ำปรุงรส ให้นำน้ำมะนาวผสมกับน้ำปลา ซอยใบมะกรูดและตะไคร้ให้ละเอียด จากนั้นนำหอยแมลงภู่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ซอยพริกและหอมแดงโรยหน้า เสิร์ฟพร้อมผักกาดขาว และถั่วฝักยาวแช่เย็น

แม้หอยแมลงภู่จะมีคุณค่าอาหารตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่การรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียแก่ร่างกาย โดยเฉพาะการสะสมของโลหะหนักในร่างกาย เนื่องจากอาหารของหอยแมลงภู่นั้นคือตะกอนโคลน.

takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 12/1/2553 เวลา : 09:48  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86632

คำตอบที่ 89
      

fiogf49gjkf0d
ดื่มดี บำรุงปอด
เครื่องดื่มบำรุงปอด และเสริมการทำงานของม้าม จากผัก-ผลไม้เพียง 3 ชนิด หาซื้อได้ง่าย บางบ้านก็มีแช่เก็บไว้ในตู้เย็น




มาเริ่มกันที่ แครอท ผลสีส้ม เป็นแหล่งรวมเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง และยังช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากตับ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าเชื้อแบคทีเรียตัวการก่อโรคร้ายในลำไส้ใหญ่ รักษาอาการติดเชื้อราและโรคพยาธิ บำรุงผิวพรรณ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ขับปัสสาวะและสารพิษ ซึ่งให้คุณประโยชน์ต่อสายตา ปอด ตับ และม้าม บรรเทาอาการไอ บำรุงระบบโลหิต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม และแมกนีเซียม เสริมประสิทธิภาพการล้างพิษของร่างกาย ซัลเฟอร์ และคลอรีน ช่วยทำความสะอาดเนื้อเยื่อ ถ้าจะให้ดีควรเลือกใช้แครอทผลใหญ่ แก่จัด และสีส้มเข้ม โดยไม่ต้องปอกเปลือกออก

ส่วน หัวไชเท้า อุดมด้วยไปวิตามินซี และแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส และมีแร่เหล็กอยู่บ้าง มีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูก บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บรรเทาอาการปวดแขน-ขา เมื่อเกิดบาดแผลเลือดจะหยุดไหลได้เร็ว ลดอาการตกขาวในสตรี ช่วยย่อยอาหาร ล้างพิษ แก้ท้องผูก ท้องเสีย

อย่างสุดท้าย แอปเปิล มีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี 1 บี2 และบี6 ลดเครียด ล้างพิษที่สะสมในตับและไต พร้อมทั้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด อาทิเช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟโตเคมิคอล เควอเซติน แถมยังมีกรดมาลิก กรดแทนนิก และเส้นใยเพ็กติน ซึ่งมีมากในส่วนแกนแอปเปิล ช่วยชะล้างกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร การดื่มน้ำสกัดจากแอปเปิล สามารถลดอาการไข้ บรรเทาเนื้อเยื่ออักเสบ

มาถึงขั้นการเตรียมส่วนผสมก่อนปรุงให้ได้ตามสัดส่วนต่อไปนี้.

แครอท 1 ถ้วย
หัวไชเท้า 1/4 ถ้วย
แอปเปิล 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


สู่ขั้นตอนการปรุงเพียงนำแครอทและหัวไชเท้ามาขูดเป็นเส้นเล็กๆ ส่วนแอปเปิลหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เพิ่มความเย็นสดชื่นได้ด้วยการเติมน้ำแข็ง ดื่มได้ทันที.




ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 12/1/2553 เวลา : 09:50  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86633

คำตอบที่ 90
      

fiogf49gjkf0d
ผัก-ผลไม้หลากชนิดปั่นดื่มบำรุงสายตา
แม้จะมีส่วนผสมให้ต้องเตรียมมากถึง 17 ชนิด โปรดอย่าถอดใจ เพราะส่วนผสมทั้งหมดนั้นเมื่อนำมาปั่นผสมกันแล้วเสมือนเป็นการเติมสารอาหารที่มีคุณประโยชน์มากมายสู่ร่างกาย




โดยจะขอยกตัวอย่างสรรพคุณของส่วนผสมบางชนิด อย่าง เมล็ดแฟลกซ์ แหล่งรวมของกรดไขมันที่จำเป็นอย่าง โอเมกา 3 สารอาหารบำรุงสมอง ทั้งยังเสริมสร้างการทำงานของหัวใจ ลดระดับคอเลสเตอรอล เพิ่มความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันร่างกาย

ส่วน แครอต อุดมไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็งร้าย แถมยังช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ และระบบทางเดินหายใจให้มีประสิทธิภาพ และ บีตรูต เปี่ยมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 และบี6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี ช่วยทำความสะอาดตับและลำไส้ส่วนล่าง ขับสารพิษ ฟอกเลือดและไต เพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ได้มากถึง 400% สำหรับคุณผู้หญิงการรับประทานบีตรูตจะช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

เครื่องดื่มแก้วนี้มีส่วนผสมที่จะต้องเตรียมตามสัดส่วนดังต่อไปนี้...

หัวบีตรูตขนาดกลาง 1 หัว
แครอต 2 หัว
ผักปวยเล้ง 1 ต้น
ข้าวโพด 1 ฝัก
มะเขือเทศ 2 ลูก
บลูเบอรี่ 1 ถ้วย
กีวี 2 ผล
องุ่นดำชนิดมีเมล็ด 2 ถ้วยครึ่ง
น้ำกลั่น 2 ถ้วยครึ่ง
เกลือทะเล 1 ช้อนชา
ผงขมิ้น 1 ช้อนชา
เกสรผึ้ง 2 ช้อนชา
เก๋ากี้ 3 ช้อนโต๊ะ
เมล็ดแฟลกซ์ 2 ช้อนชา
งาดำ 4 ช้อนชา
เมล็ดฟักทอง 1 ช้อนชา
เลซิทิน 2 ช้อนชา



ขั้นตอนการปรุงดื่ม เริ่มจากการล้างส่วนผสมทั้งหมดให้สะอาด หั่นแครอตและมะเขือเทศเป็นชิ้น ส่วนข้าวโพดฝานเอาแต่เมล็ด ส่วนกีวีต้องปอกเปลือกก่อนหั่นเป็นชิ้น สำหรับบีตรูตต้องล้างให้หมดดิน กรณีที่ส่วนใดล้างดินไม่หมดให้ใช้มีดฝานออก จากนั้นเทน้ำกลั่นลงไปในโถปั่นใส่ผัก ผลไม้และส่วนผสมทุกชนิดลงปั่นพร้อมกันยกเว้นเลซิทิน ที่ให้เติมลงไปหลังจากส่วนผสมทุกอย่างถูกปั่นเป็นน้ำ เมื่อเติมเลซิทินแล้วให้ปั่นต่อไปอีก 10 วินาที ก็จะได้เครื่องดื่มบำรุงสายตาราว 6-7 แก้ว เฉลี่ยแบ่งให้ได้แก้วละ 250 ซีซี ควรดื่มให้หมดภายในวันเดียว ถ้าจะให้ดีผักและผลไม้ที่จะนำมาปรุงดื่มควรเป็นผักอินทรีย์ปลอดสารเคมี

อย่างไรก็ตาม ดร.อู๋ แนะนำให้เลือกใช้เครื่องปั่นที่มีความแรง 3.5 แรงม้า ขณะดื่มให้เคี้ยวกากน้ำผักและผลไม้ช้า ๆ 10 ครั้งก่อนกลืน ควรดื่มก่อนมื้ออาหาร 1 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ ธรรมชาติช่วยชีวิต 100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ

takecareDD


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

g-na จาก Kid Cowboy 067 202.60.202.1 อังคาร, 12/1/2553 เวลา : 09:52  IP : 202.60.202.1   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 86634

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพุธ,24 เมษายน 2567 (Online 3225 คน)