WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


ขยายความเรือนสามน้ำสีสุภาษิตสอนหญิงของเจ้าป้า
baron
จาก von Richthofen
IP:125.24.26.38

พุธที่ , 24/9/2551
เวลา : 13:53

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       จากกระทู้แม่บ้านของพวกเราได้มีการขอให้ขยายความเรื่องเรือนสามน้ำสี่ที่เป็นสุภาษิตสอนหญิงมาแต่โบราณ ผมก็ไปค้นหนังสือเก่าๆมาอ่านฟื้นความจำสมัยยังเรียนวิชาศิลธรรมพอได้เรื่องมาบ้างเลยเอามาขยายความเล่าสู่กันฟังเพื่อไม่ให้สูญหายไปกับกาลเวลา

สุภาษิตสอนหญิง
เรือนสามน้ำสี่มีคนบอก ไม่ต้องลอกท่องจำนำไปใช้
โบราณสอนพรประเสริฐเลิศจากใจ หากสาวไหนทำได้ครบพบสุขจริง....







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  

คำตอบที่ 31
       2. สัจจาภินิเวส คือรักษาสัจจะด้วยอุปาทาน ยึดถือด้วยอุปาทานรักษาสัจจะอย่างงมงาย เคยถือกันมาอย่างไร ก็ถือกันไปอย่างนั้น โดยไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ เหตุผลความเป็นจริงที่เป็นปัจจุบัน นั่นเรียกว่า สัจจาภินิเวส สัจจะแบบนั้นมันไม่ได้ทดสอบไม่ได้พิสูจน์ความจริง

อย่างเช่นย้ำคิดย้ำทำตลอดเวลาว่าเมียของตัวเองเป็นของตายจะบีบก็ตายจะคลายก็รอดเพราะอายุมากแล้วมีลูกมีเต้าแล้ว ไปไหนไม่รอดจะทำอย่างไรโหดร้ายต่อจิตใจลูกเมียอย่างไรก็ได้มันเป็นสัจจาภินิเวส คือความจริงที่เป็นอุปทานเป็นความจริงที่ไม่จริง สักวันลูกเมียทนไม่ได้ก็ต้องหนีไป การที่ต้องมีชีวิตในวัยชราต้องแก่คนเดียวเน่าอยู่กับบ้านแล้วนั่งมองเห็นครอบครัวเพื่อนมีความสุขครบหน้าลูกเมียยามชราแล้วจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราคิดและทำในวัยหนุ่มมันไม่เป็นสัจจะ

มันเป็นสัจจาภินิเวส คือไปยึดถือความคิดในสิ่งที่ไม่จริง ลูกเมียไม่ใช่ของตาย ผัวเลวพ่อเลวไม่มีใครอยากอยู่ด้วยหรอกครับอันนี้เป็นสัจจะ แต่ความคิดลูกเมียเป็นของตายคือสัจจาภินิเวส คือไปยึดมั่นในสิ่งไม่จริง






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.45.49 จันทร์, 29/9/2551 เวลา : 07:36  IP : 125.25.45.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32549

คำตอบที่ 32
       การทำตัวเคร่งครัดต่อสิ่งที่ไร้เหตุผลมารองรับถือเป็น สัจจาภินิเวส คือทำและยึดถือสิ่งที่ไม่จริง


เช่นคิดว่าเมียไม่ซื่อต่อตัวเองโดยไม่ฉุกคิดว่าตัวเองมีดีอะไรมากมาย การที่ผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่กับเราด้วยถือว่าผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเราดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว แต่เรายังไปคิดว่าเขาไม่ซื่ออีกไปหวาดระแวงกับภริยาจนเกินเหตุจนบ้านแตกแบบนี้ถือว่าเป็นสัจจาภินิเวส คือยึดถือและคงความคิดที่ไม่เป็นสัจจะ คงคิดและคงทำในสิ่งที่ไม่เป็นจริง


แต่ถ้ามีหลักฐานว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไว้เป็นจริงแล้วยังคงไม่จัดการสิ่งใดเลยให้ปัญหาหมดไปก็ถือว่าเป็นสัจจาภินิเวสเหมือนกัน เช่นคิดว่าลูกเมียไปคบเพื่อนชั่วและพบว่าสิ่งที่เราคิดเป็นจริงแต่ไม่จัดการอะไรเลยเพราะคิดว่าครอบครัวของเพื่อนเป็นคนดีคงไม่มีปัญหา หรือคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ยังคงทำเหมือนที่ทำคือปล่อยให้ทำไปถือว่าเป็นสัจจาภินิเวส คือทำในสิ่งที่คุ้นเคยเชื่อในสิ่งที่คุ้นเคยว่าครอบครัวนั้นดีโดยไม่มีความจริงมารองรับในความคิดนั้นๆ


รับปากกับลูกว่าจะซื้อรถให้ใช้ไปเรียนหนังสือเพราะลูกต้องเรียนหนังสือกลับบ้านค่ำๆทุกวัน แบบนี้เรียกว่าสัจจะที่ต้องรักษา แต่ถ้าพบภายหลังว่าไอ้ที่กลับค่ำๆทุกวันนี่มันไปสุมหัวกับเพื่อนแบบนี้ถ้ายังซื้อรถให้อีกเรียกว่าสัจจาภินิเวส คือไปยึดถือสัจจะที่ไม่เป็นจริงอย่างที่คิดว่าจะทำรองรับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.45.49 จันทร์, 29/9/2551 เวลา : 07:39  IP : 125.25.45.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32550

คำตอบที่ 33
       สัจจาภินิเวส นั้นต้องได้เห็นเหตุผล เป็นความจริงที่มีเหตุผลทดสอบได้


การที่จะรักษาสัจจะ ต้องเป็นสัจจะตามพระวังคีสะ พุทธสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่ได้กล่าวไว้ต่อหน้าพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา สัตบุรุษทั้งหลายดำรงมั่นอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา เป็นประโยชน์ธรรมะ นั่นคือเป็นธรรม ดำรงอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์ และเป็นธรรมคือยุติธรรม


การยึดถือสัจจะว่าจะต้องทำหรือไม่ทำโดยไม่มีเหตุที่ดีมารองรับถือว่าเป็นสัจจาภินิเวสทั้งสิ้น การบอกว่าจะทำหรือไม่ทำในสิ่งที่มีเหตุผลว่ามันไม่ดีอีกต่อไปแล้วไม่ถือว่าเสียสัจจะครับ


พุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุและผล ไม่ตายตัว เป็นกฎของธรรมชาติ การพิจรณาอย่างถ่องแท้ในเหตุของ สัจจะและสัจจาภินิเวส จะทำให้ครับครัวเป็นสุขครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.45.49 จันทร์, 29/9/2551 เวลา : 07:40  IP : 125.25.45.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32551

คำตอบที่ 34
       วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ

เห็นหรือเปล่าที่ผมบอกว่า สี่ข้อเรียนได้เป็นพรรษา นี่ยังแค่ย่อๆนะครับ ถ้าเอาตัวเต็มมันลึกกว่านี้เยอะเพราะต้องเข้าถึงสภาวะจิตของการกระทำด้วยว่าอะไรคือ สัจจะ อะไรคือ สัจจาภินิเวส เพราะว่าการกระทำประกอบไปด้วยสามขั้นตอน

วันนี้เป็นวันบุญเดือนสิบ มีชิงเปตรด้วย ผมคงต้องไปวัดทำบุญ และมีประชุมอีกสองรายการ แถมยังมีนัดกับหมออีก วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.45.49 จันทร์, 29/9/2551 เวลา : 07:45  IP : 125.25.45.49   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32552

คำตอบที่ 35
       ตาเริ่มสว่างมานิด ๆ แล้วครับ

รักษาสัจจะ แต่ต้องไม่รักษาแบบงมงาย ยึดถือด้วยอุปาทาน
ว่าสิ่งนั้นเป็นจริง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก นกท โนล็อคอิน 202.91.18.204 จันทร์, 29/9/2551 เวลา : 07:58  IP : 202.91.18.204   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32553

คำตอบที่ 36
       สุดยอดประเทศไทย..ขอบคุณครับอาจารย์



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก ชาย 203.149.16.43 จันทร์, 29/9/2551 เวลา : 08:56  IP : 203.149.16.43   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32555

คำตอบที่ 37
      
ขอบพระคุณครับอาจารย์

เพียงธรรมะตัวแรกของ ฆราวาสธรรม คือสัจจะ
ก็เป็นดังที่คุณ นกท สรุปไว้ในคำตอบที่ 35 แล

จงมีสัจจานุรักษ์ แบบมีสติ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก nithi 203.113.0.206 จันทร์, 29/9/2551 เวลา : 10:44  IP : 203.113.0.206   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32556

คำตอบที่ 38
       ข้อที่ 2 ทมะ

ทมะนี้แปลว่า การข่มใจ แต่ความหมายที่แท้จริงของทมะ ก็คือการฝึกตน
ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ มนุษย์ที่ฝึกตนแล้วเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด


ความหมายของคำว่าทมะไม่ใช่การข่มใจอย่างเดียวอย่างที่บางสำนักเน้นสอนกัน ทมะระดับชาวบ้านหรือฆราวาสธรรมมันคือการ ฝึกตน ฝึกจิต สำหรับผู้ครองเรือนแล้วการฝึก อินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะการฝึกจิตมันไปอีกขั้นหนึ่งแล้วเอาไว้ฝึกขั้นสูงไปอีกขั้นถึงจะเล่นกับจิต เอาแบบเบื้องต้นฝึกอินทรีย์ก็พอแล้วสำหรับชาวบ้านธรรมดา






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:10  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32579

คำตอบที่ 39
       ฆราวาสธรรมที่พอสมควรแก่รูปไม่ใช่การไปนั่งหลับตาที่วัด มันอยู่ที่การสำรวมอินทรีย์ทั้งหกในบ้านนั่นเอง ต้องฝึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สามารถที่จะควบคุมมันได้ เหมือเลี้ยงหมาเฝ้าบ้านแต่มันไม่ได้ฝึกมาให้เฝ้าบ้านมันก็เลี้ยงเสียข้าวสุก


การฝึกอินทรีย์ทั้งหกให้มันอยู่ในการควบคุมคือการทำให้สัตว์ร้ายกลายเป็นสัตว์เชื่อง จากสัตว์เชื่องกลายเป็นสัตว์ใช้งานได้ ผมยกตัวอย่างการทำให้อินทรีย์มันเชื่องลง อยู่ในระดับของการสร้างความสุขให้กับตัวเองและครอบครัว






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:12  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32580

คำตอบที่ 40
       เอาเรื่องปากก่อน

บางคนปากเป็นนายตัวเองไม่ใช่ตัวเองเป็นนายปาก ยกตัวอย่างปากอดีตนายกจะเห็นได้ชัดเจน ถ้าคนมีปากเป็นนายตัวเองแล้วเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วลูกเมียจะสุขได้อย่างไร จะบอกว่าปากไวกว่าสมองก็ได้คือด่าก่อนคิด บางคนพูดแล้วเสียใจทีหลังเพราะคิดได้อีกทีก็พูดจาให้คนในบ้านสะเทือนใจไปแล้ว แต่บางคนเป็นเอาหนักคือพูดเรียกน้ำตาลูกเมียไปแล้วไม่เคยสำนึกเสียใจ ต่อให้แก่ขนาดไหนก็ไม่เคยสำนึกถึงปากที่เหมือนสัตว์ร้ายที่ทำให้ลูกเมียเสียใจ


ปากร้ายในบ้านก็ยังไม่พอยังร้ายนอกบ้านอีกเพื่อนก็ไม่คบ จากคนมีเพื่อนกลายเป็นเพื่อนน้อยลงไปทุกวัน การว่าร้ายเพื่อนลับหลังก็ถือว่าปากเป็นนายสมองอีกเหมือนกันเพราะการว่าร้ายคือการเอาเรื่องไม่จริง หรือกึ่งจริง หรือเรื่องจริงไม่หมด มาพูดลับหลังเพื่อนซึ่งต่างกับการบอกเล่าเรื่องจริง






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:13  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32581

คำตอบที่ 41
       ยกตัวอย่างง่ายๆ การพูดเรื่องจริงกับนินทาว่าร้ายต่างกันสี่ประการคือ


เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
พูดหรือไม่พูดแล้วผู้พูดหรือผู้ฟังได้ประโยชน์หรือไม่
ถ้าไม่พูดหรือพูดแล้วมีใครเสียประโยชน์หรือไม่
ถ้าพูดหรือไม่พูดแล้วนำภัยให้แก่ผู้พูดและผู้ฟังหรือไม่


ดังนั้นการไม่พูดใช่ว่าจะดีนะครับ บางครั้งการไม่พูดคือสิ่งที่ไม่ดี การไม่พูดมันเลวไม่แพ้กับการพูดเหมือนกัน การไม่เตือนเพื่อนในสิ่งที่ตัวเองรู้ มันเลวไม่แพ้นินทาเพื่อนครับ



แต่ทั้งสองสิ่งมันห่างกันแค่ความบางของเส้นผม ดังนั้นสิ่งที่ตัดสินว่าควรพูดสิ่งใดและไม่พูดสิ่งใดก็ใช้เครื่องมือที่ผมให้ไว้สี่ข้อข้างบนได้เลยครับ


การคุมปากได้ทำให้ครอบครัวสุขสงบ การเป็นนายของปากทำให้ลูกเมียรักเรา การใช้คำพูดที่เหมาะสมทำให้เป็นที่รักของเพื่อน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:14  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32582

คำตอบที่ 42
       เรื่องลิ้นเป็นนายตัวเอง บางคนต่อให้ไกลแค่ไหนก็ขับรถไปถ้ามีร้านอร่อย การตามใจลิ้นแบบนี้เกินไปสำหรับความสุขในครอบครับ แต่ถ้าขับรถผ่านแล้วพาลูกพาเมียไปกินแบบนี้ถือว่าสำรวมในลิ้นตามอัตตภาพของบุคคลทั่วไปไม่ใช่ตามใจลิ้น


บางคนทำลายสุขภาพตัวเองด้วยการตามใจลิ้น แทนที่จะมีชีวิตอยู่ส่งเสียลูกจนเรียนจบก็ตายเสียก่อนเพราะตามใจลิ้นจนตายเร็วกว่าปกติ หรือเป็นเบาหวานแต่ยังกินไม่สำรวม แบบนี้ถือว่าตามใจลิ้นจนครอบครัวล่มสลาย (ผมสูบบุหรี่ครับ ก็เข้าข่ายอันนี้ด้วยแบบเต็มๆ)



บางบ้านมีงบประมาณการตามใจลิ้นสูงจนลูกเมียขาดสิ่งจำเป็นบางอย่างไปเช่น

ลูกขอเรียนพิเศษ ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ หรือไปเที่ยวกับเพื่อนตามสมควร ก็ไม่มีงบประมาณให้ลูก เพราะกลายเป็นอาหารส่วนเกินร้านอร่อยนอกบ้านของพ่อไปแล้ว แบบนี้ถือว่าไม่สำรวมในลิ้นจนครอบครัวไม่อยู่ในสภาพสุขสมบูรณ์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:17  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32583

คำตอบที่ 43
       ส่วนเรื่องอื่นที่ผมไม่ได้พูดถึงก็ลองไปเติมคำในชองว่างดูเองนะครับ ว่า ตา หู จมูก กาย ใจ เราจะฝึกมันให้สมถะได้อย่างไร

เช่นเที่ยวกลางคืนน้อยลงแล้วลูกเมียได้เสื้อผ้าใหม่อีกเดือนละชุดแบบนี้ก็น่าจะทำ
ลดการเดินทางตามใจทำให้การเติมน้ำมันลง ลูกได้เรียนดนตรีหรือเรียนศิลปะเพิ่มแบบนี้น่าที่จะทำ
การลดเหล้าเบียร์ให้น้อยลงไม่กี่เดือนลูกก็ได้ซื้อที่อยากได้มานานแบบนี้พ่อที่ดีน่าจะทำไหม






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:18  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32584

คำตอบที่ 44
       หรือจะเอาทมะระดับลึกกว่านั้นอีกก็ได้


เคยปฎิเสธรายจ่ายของลูกเมียที่ร้องขอใน ในขณะที่เรากลับยินดีจ่ายในส่วนเกินที่ไม่จำเป็นของเราบ้างไหม (ไม่มีเงินส่วนเกินให้ลูกเมีย แต่ไม่เคยปฎิเสธที่จะซื้อของฟุ่มเฟือยให้ตัวเอง)

เคยฝืนใจลูกเมียเพื่อความสุขส่วนตัวของเราบ้างไหม (สละความสุขเพื่อพ่อเพื่อผัวนิดหน่อยเป็นหน้าที่ของลุกเมียอยู่แล้ว )

สำหรับเพื่อนเที่ยวเพื่อนวงเหล้าเต็มร้อย แต่กับลูกเมียก็อยู่กันไปดูแลทุกข์สุขกันเองก็แล้วกัน (ก็กรูชอบของกรูแบบนี้นี่หว่า)

เคยบังคับลูกเมียให้ชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่เราชอบหรือไม่ชอบบ้างไหม (ก็กรูชอบของกรูแบบนี้นี่หว่า)

เคยปากพล่อยเรียกน้ำตาของลูกเมียหรือไม่ (ก็พูดไปแล้วนี่หว่าจะดูดเสียงกลับมาได้ไง)

เคยขอโทษเพื่อนในสิ่งที่เราสำนึกว่าเราทำผิดหรือไม่ (บางคนยังไม่รู้ตัวว่าผิดเสียด้วยซ้ำ แล้วเรื่องขอโทษจะสำนึกได้อย่าไร)

เคยเสียใจหรือยินดี(เมตตาและมุทิตา)อย่างบริสุทธิใจกับเพื่อนบ้างไหม (สิ่งนี้เป็นเรื่องของใจล้วนๆ ซึ่งบางคนอย่าว่าแต่เพื่อนเลย ลูกเมียยังไม่ได้รับเสียด้วยซ้ำไป)

เคยช่วยเพื่อนเหมือนที่เพื่อนช่วยเราหรือไม่ (เจือกโง่มาประเคนให้กรูเองนี่หว่า)



ถ้าพิจรณาถึงจุดนี้แล้วถือว่าเป็นการฝึกทมะอีกระดับหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:20  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32585

คำตอบที่ 45
       ดังนั้นการสำรวมในอินทรีย์เป็นการฝึกหรือทมะที่ดีและตรงกับฆราวาสธรรมระดับชาวบ้านที่ต้องการความสุขในครอบครัวที่สุดแล้ว

ผมอยากจะเล่าถึงการฝึกขั้นสูงไปอีกขั้นหนึ่ง มีเรื่องเล่ากันว่าครูบาอาจารย์พระป่าท่านหนึ่งท่านฉันอาหารอยู่ในบาตรที่คลุกเคล้ารวมกันทั้งหวานทั้งคาว ท่านกำลังเคี้ยวอาหารอยุ่ก็คายทิ้ง เป็นที่แปลกใจแก่ผู้นั่งมองท่านอยู่ ท่านเงยหน้าขึ้นมาแล้วบอกว่า คำนี้มันอร่อยเลยต้องคายทิ้งเสีย


ปฎิบัติฆราวาสธรรมไม่ต้องลึกขนาดนั้นหรอกครับ เอาแค่อินทรีย์ทั้งหก ปาก หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุมมันให้อยู่ไม่ให้มันออกมาอาระวาดกินตับลูกเมียเพื่อความสุขของครอบครัวก็พอแล้ว ไม่ถึงกับไปเล่นกับจิตตัวเองขนาดครูบาอาจารย์พระป่ารูปนั้นหรอกครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:25  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32586

คำตอบที่ 46
       ผมคงจะจบ ทมะ ระดับชาวบ้านตามฆราวาสธรรมเท่านี้ครับ ทำได้เท่านี้ครอบครัวก็สุขแล้ว

การฝึกสำรวมอินทรีย์ทั้งหกนี้เป็นทางเบื้องต้นของผู้ฝึกตนระดับผู้ครองเรือนทั่วไป บางข้อเป็นศิลของพระเลยก็มีเช่นศิลที่เกี่ยวกับ การสำรวมตา การสำรวมปาก การสำรวมลิ้น คือถ้าทำไปแล้วจะผิดสมณะรูป

เอาไว้ผมจะมาต่ออีกครั้งวันหลังครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.2.118 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 12:31  IP : 125.24.2.118   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32587

คำตอบที่ 47
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก nithi 203.113.0.206 อังคาร, 30/9/2551 เวลา : 14:31  IP : 203.113.0.206   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32595

คำตอบที่ 48
       ข้อ 3 ขันติ ความอดทน

ความอดทนนี้มีความจำเป็นมาก ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส หรือจะเป็นสมณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามีภรรยา คือต้องอดทนต่อกัน อยู่กันไปนานๆ คนเรามันมีข้อบกพร่องกันทุกคน มันก็ต้องไม่ถูกใจเราบ้าง มันก็ต้องอดทน ถ้าไม่อดทนก็ทะเลาะกัน

บางรายถึงกับลงไม้ลงมือกัน เพราะความไม่อดทน มีความโกรธเกิดขึ้น ไม่อดทนต่อกัน เริ่มก้าวร้าวกัน และไม่ให้เกียรติกันและทะเลาะกัน เพราะว่ากิเลสมันออกมาในระดับพฤติกรรม

กิเลสมันมีอยู่ชั้นลึก ที่เรียกว่า มันอยู่ลึกอยู่ภายใน และกิเลสที่เป็นส่วนที่ห่อหุ้มจิตอยู่เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส เช่นพวกนิวรณ์ 5

ระดับพฤติกรรมคือ วีติกกมกิเลส อนุสัยมันเต็มอัดอยู่ข้างในมาก ไม่ได้ทำความสะอาดจิตใจ ก็ต้องพลุ่งพล่านออกมาภายนอกระดับพฤติกรรม ถ้าเป็นทางดีมีคุณธรรม มันก็ออกมาดี ถ้าไม่มีคุณธรรม มีแต่กิเลสหมักหมมอยู่ภายใน มันก็ออกมาเป็นพฤติกรรมที่เป็นกิเลส






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:18  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32656

คำตอบที่ 49
       พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมะข้อนี้เอาไว้ว่า ขมา รูปํ ตปสฺสินํ ผู้บำเพ็ญตนสำคัญที่ความอดทน


เรื่องขันตินี้ในทางพุทธศาสนาท่านแสดงเอาไว้ 3 อย่าง ดังนี้

1. ธีติขันติ เป็นความอดทน อดทนต่อหนาวร้อน หิวกระหาย การอดทนต่อความลำบากตรากตรำในการทำงาน


ในเวลานี้การอดทนในการทำหน้าที่การงานเป็นสิ่งสำคัญมาก สมัยก่อนเงินหาง่ายจะทำงานน้อยอย่างไรก็ไม่เดือดร้อนทำงานครึ่งวันก็มีเงินไม่เดือดร้อน แต่สมัยนี้อาจจต้องทำงานหนักสองเท่าสามเท่าถึงจะมีเงินเท่าสมัยก่อน


การทำงานมันเป็นการเพิ่มพูนคุณธรรมก็สามารถจะทำได้ คือถ้าเราทำงานด้วยคุณธรรมก็ได้เพื่อนดี ได้นายดี ลูกน้องดี การทำงานให้ดีที่สุดเป็นฝึกฝนตนเองให้เป็นคนรับผิดชอบ คนที่มีความรับผิดชอบสูง ก็จะได้งานสูงยิ่งๆ ขึ้นไป

บางคนนึกอย่างเดียวว่าทำไมต้องรับผิดชอบทำงานหนักกว่าคนอื่นแล้วได้อะไรเท่ากัน ทำไปอู้ไปดีกว่ามั้ง
ทำงานแบบนี้อย่าทำดีกว่าครับ ไปไม่รอดหรอกเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ ไปหาอะไรทำที่ชอบที่ชอบดีกว่า อย่างน้อยๆมันก็ทำให้ชีวิตก้าวหน้ากว่าไปฝืนตัวเองทำงานที่ไม่ชอบ มรึงอู้บ้าง กรูอู้บ้าง องค์กรก็ไม่เจริญ เราก็ทำงานไม่เจริญ


การทำงานที่ได้บุญก็มีนะครับ บางทีงานที่ทำได้เงินน้อย แต่ได้บุญมาก หรือทำแล้วไม่ได้เงิน เรื่องของการอดทนในการทำงานจะช่วยเรื่องนี้ได้มาก ไอ้เจ้ากระป๋องเจ็ดป่าช้ามันได้เงินที่ไหนกัน กินเวลา กินเงินมหาศาล แต่งานแบบนี้ทำแล้วได้บุญครับ อย่างน้อยการสุขใจที่ได้ทำก็คือบุญที่ส่งมาแบบทันตาเห็นแล้ว






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:21  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32657

คำตอบที่ 50
       2. อธิวาสนขันติ การอดทนต่อการเจ็บป่วย

อธิวา-เสสิ อวิหญฺฐ มาโน ตตฺร สุทํ ภควา สโตสมฺปชาโน อธิวาเสสิ อวิหญฺฐ มาโน ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้น อาพาธไม่ทรงเดือดร้อน
ร่างกายของเรามันเป็นรังของโรคอยู่แล้วครับ โรคนิทฺธํ เป็นรังของโรค เป็นที่นอนของโรค มันก็สารพัดโรค


เราไม่เป็นคนอื่นก็เป็น เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับความจริงว่า ร่างกายมันเป็นรังของโรค คนที่มีสุขภาพกายดี แต่บางทีสุขภาพจิตก็ไม่ค่อยดี


บางคนป่วยบาทเดียวแต่แสดงออกสิบบาทก็มี อย่างเช่นปวดหัวตัวร้อนตามปกติแต่ออดอ้อนคนรอบข้างเหมือนจะเป็นมะเร็งตายไปวันพรุ่งนี้ นานๆทำทีก็ยังพอเอออวยไปได้สักวันสองวัน แต่ทำบ่อยๆลูกเมียก็เบื่อเหมือนกัน







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:24  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32658

คำตอบที่ 51
       บางคนปวดหัวหยุดงาน ปวดท้องหยุดงาน เที่ยวดึกกินเหล้าทำงานไม่ไหว แบบนี้ชีวิตไม่เจริญครับ

สมัยเรียนหนังสือผมกินเหล้าดุมาก ระดับนั่งกินสามคนต้องมีสองกลมกินกัน พอเลิกเรียนพอเล่นกีฬาเอาเหงื่อตอนเย็นแล้วก็เป็นเวลากินเหล้าจนถึงทุ่มหนึ่งแล้วแยกย้ายกันไปทำการบ้านดูหนังสือ ต่อให้เมาแอ๋อย่างไรคืนนั้นก็ต้องทำการบ้านดูหนังสือจนครบ ถ้าถึงกับนอนทำการบ้านดูหนังสือไม่ได้เมื่อไรก็ต้องรู้ตัววันรุ่งขึ้นต้องกินเหล้าให้น้อยลง

แต่ตอนนี้ผมเลิกเหล้ามานานแล้ว เรียนหนังสือจบก็เลิกกินเหล้าเพราะทำงานหนัก ตั้งแต่นั้นปีหนึ่งไม่เกินสี่ห้าแก้วกินตามมารยาทเท่านั้น

คนอังกฤษถือว่าการอดกลั้นต่อการเจ็บป่วยโดยไม่แสดงออกมาเป็นคุณสมบัติของสุภาพบุรุษ ใครแสดงความเจ็บป่วยออกมาพร่าเพรื่อถือว่าเป็นเรื่องน่าอาย จำเรื่อง ฺBat man ตอนที่ อาร์โนล เล่นเป็น Mr Freez มนุษย์น้ำแข็ง ได้ไหมครับ อัลเฟรต ที่เป็นบัตเลอร์ของพระเอกเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอย่างไรก็ยังเก็บอาการจนไม่ไหวแล้วจึงแสดงออกมา นี่เป็นคุณสมบัติของคนอังกฤษแท้ๆเลยครับ

โพธิสัตว์ทางมหายานท่านไม่ปรารถนาความไม่มีโรคทางกาย ท่านบอกว่าโรคทางกายนี้มาช่วยให้มีสติคิดถึงอะไรที่เป็นธรรมะที่ดีคอยเตือนอยู่ว่าต้องมีความอดทน พระพุทธเจ้าก็ทรงมีโรคเจ็บป่วย ทรงกำหนดจิตให้พิจรณาในความเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:27  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32659

คำตอบที่ 52
       3. ตีติกขาขันติ การอดทนต่ออารมณ์ที่ยั่วยวนต่างๆ


คนเราที่อยู่ร่วมกันในสังคม มีระดับจิตใจไม่เท่ากัน เพราะการควบคุมอินทรีย์ทั้งหกฝึกมาต่างกัน มีกิเลสเบาบางหนาหนักผิดกัน บางคนก็สุภาพอ่อนโยน บางคนก็ก้าวร้าวรุนแรง ด้วยการผลักดันของกิเลส เรามีความจำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอีกชนิดหนึ่งก็คือ คำเสียดสี อดทนต่ออารมณ์ที่จะมากระทบกระเทือนใจ หรือว่าคำแสลงใจ

ด่าผมไม่เป็นไรผมไม่ตอบโต้ให้อภัยในกรรมอันนั้ แต่ด่าผู้หญิงเมื่อไรผมเอาเรื่องถึงโต๊ะทำงาน เรื่องนี้ก็เห็นกันแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:30  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32660

คำตอบที่ 53
       ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ตีติกขานั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง ความอดทนต่อคำปรามาส ตีติกขา ก็คืออดทนต่ออารมณ์ที่ยั่วยวนต่างๆ เช่น ยั่วยวนให้รักบ้าง ให้โกรธบ้าง ให้หลงบ้าง อย่าคิดว่าขันติคือการอดทนต่ออารมณ์โกรธอย่างเดียว


เคยโดนยั่วโดยผู้หญิงไหมครับ เคยโดนผู้หญิงไล่จับเป็นผัวไหมครับ น่ากลัวนะ ผู้ชายมักจะใช้เกมส์รุกกับผู้หญิงที่ตัวเองพึงใจ แต่ผู้หญิงจะกลับกันมักจะใช้เกมส์ยั่วให้อยาก ถ้าไม่รู้จักการใช้ขันติธรรมมก็เสร็จเจ้าหล่อน


พวกที่เรียนจบเป็นร้อยตรีใหม่ๆแล้วโดยส่งไปอยู่ตามต่างจังหวัดไกลๆแล้วไม่มีขันติธรรมต่ออำนาจยั่วยวนทางกามน่ากลัวมาก นี่เป็นคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นนายทหารผู้ใหญ่ที่เล่าให้ฟังขณะดูโทรทัศน์รายการร้องเพลงการกุศลเสียงกาละมังแตก เชิ้งอีสานของยายแก่หมูอ้วน ของคณะแม่บ้านนายทหาร







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:32  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32661

คำตอบที่ 54
       พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม และอดทนต่อลูกศรซึ่งปล่อยมาจากสี่ทิศ เพราะว่าคนส่วนมากในโลกเป็นคนชั่ว”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน คนส่วนมากเป็นคนทุศีลเป็นคนชั่ว เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความอดทน บางทีเราอยู่กับคนพาลก็ต้องอดทนกับคนพาล เขายังไม่ได้รับการฝึก เขายังเป็นคนพาลอยู่ และเรามีความจำเป็นจะต้องอยู่สังคมเดียวกับคนพาล มันก็ต้องเดือดร้อนไปอย่างนั้น เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย หรือไม่อยู่ในกลุ่มเสียก็ดีกว่า


ผู้ที่ต้องการจะปฏิบัติธรรมจึงต้องใช้ตีติขาขันติ ความอดทนต่อคำเสียดสี คำด่าว่าของผู้อื่น เพื่อจะได้ไม่ต่อความยาวสาวความยืด เรื่องจะได้ระงับไปโดยเร็ว


พระพุทธเจ้าท่าน ท่านตรัสเตือนพระรูปหนึ่งชื่อ โกณทัตถ ซึ่งโต้ตอบไปทะเลาะกับภิกษุด้วยกัน ว่า ท่านอย่ากล่าวคำหยาบกับใครๆ เพราะว่าเมื่อเขาถูกด่าว่า เขาก็จะด่าว่าท่านตอบกลับมาด้วย การกล่าวแข่งดีกันก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษต่างๆ ก็จะพึงหวนกลับมาถูกต้องท่านเอง เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทำตนมิให้หวั่นไหว อยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่มีปากมีเสียงกับใครๆ ก็เหมือนกังสดาลที่ปากขาดเสียแล้ว ท่านก็จะถึงนิพพาน การกล่าวแข่งดีกันก็จะไม่มีแก่ท่าน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:36  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32662

คำตอบที่ 55
       การยั่วยวนนั้นมีสองอย่างคือ ทั้งฝ่ายที่น่าปรารถนาเรียกว่า อิฏฐารมณ์ และไม่น่าปรารถนา เรียกว่า อนิฏฐารมณ์


มันไม่ใช่ดีหรือไม่ดี แต่มันอยู่ที่ว่าเราต้องการหรือไม่ต้องการต่างหาก ถ้าเราต้องการก็เป็น อิฏฐารมณ์ สำหรับเราถ้าไม่ต้องการก็เป็นอนิฏฐารมณ์แต่มันอาจจะเป็น อิฏฐารมณ์สำหรับคนอื่นก็ได้ที่เขาต้องการ


อย่างเช่นผมไม่ใช่คนกินเหล้า การเห็นขวดเหล้าดีๆแล้วไม่อยากกินเหล้าขวดนั้นไม่ใช่อิฏฐารมณ์สำหรับผม มันคืออนิฏฐารมณ์ แต่บางคนอาจจะเป็นอิฏฐารมณ์แล้ววิ่งเข้าใส่

สมัยก่อนโน้น คนแวะนอนที่ขอนแก่นจะชอบนั่ง พิญแคนซอ อาจจะ อิฏฐารมณ์กับน้องๆของเจ๊ตุ๊ก แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่เลย เพราะว่าตัวเจ๊ตุ๊กต่างหากคืออิฏฐารมณ์สำหรับผมเป็นต้น



อิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ สิ่งเหล่านี้มันมีอานุภาพ ให้ผู้มีจิตใจไม่มั่นคงเสียคนได้โดยง่าย จึงต้องอดทนต่ออารมณ์ที่มายั่วยวนให้โลภให้โกรธ ให้หลง ไม่เป็นทาสของอารมณ์เกินไป เรียกว่าประคับประคองตนไว้ในเหตุผลและคุณธรรม


เรายิ่งมีคุณธรรมสูงขึ้นเท่าไหร่ สิ่งยั่วยวนมันก็จะสูงตามขึ้นมาด้วย แล้วก็ละเอียดขึ้นมาด้วย ต้องใช้ความอดทนหรือปัญญามากขึ้น ละเอียดขึ้น สุขุมขึ้น ทั้งสิ่งยั่วยวนที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:39  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32663

คำตอบที่ 56
       ระหว่างคนที่อดทนต่อสิ่งที่น่าปรารถนากับคนที่อดทนต่อสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา นั้น คนที่อดทนได้ต่อสิ่งที่น่าปรารถนานั้นเป็นคนที่เข้มแข็งกว่า


เพราะว่าสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาเราจำต้องทนอยู่แล้ว อย่างเช่นเพื่อนบ้านเลวๆ เมียปากเสีย ลูกดื้อ แต่คนที่อดทนต่อความสุข อำนาจ ยศ ชื่อเสียง ไม่ให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำจิตใจได้ ไม่หลง ไม่ติดอยู่ นั่นก็เป็นคนเข้มแข็งอย่างแท้จริง


คนที่อดทนไม่หลงระเริงต่อความสุข ความสมหวังได้ เป็นคนที่มีกำลังใจเหนือกว่า มีสติปัญญากว่า








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 20:56  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32664

คำตอบที่ 57
       แต่ละคนมีจุดอ่อนที่ต่างกัน บางคนด่าว่าไม่โกรธ แต่อ่อนแอเรื่องอารมณ์เยินยอปอปั้น ได้รับเมื่อไรเป็นยิ้มไปสามวัน มีหลายๆคนต้องเสียคนเพราะลมปากลูกน้องเพื่อนฝูงไปอย่างน่าเสียดายอนาคต

บางคนมีความอดทนต่อหน้าที่การงานที่หนักหนาสาหัส แต่อดใจเรื่องความเย้ายวนสตรีเพศไม่ได้ ครอบครัวต้องแตกสลายเพราะพ่อไปหลงอยู่นอกบ้านไม่สนใจทุกสุขของลูกเมียเลย

บางคนดีหมดทุกอย่าง แต่อดทนต่อความเย้ายวนใจของสุราไม่ได้ พอกินเหล้าแล้วเหมือนผีเข้าลูกเมียเดือดร้อนสาหัสจนกว่าจะสร่างเมา




ผมขอย้ำสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังในวันนี้อีกครั้ง

คนที่อดทนต่อความสุข อำนาจ ยศ ชื่อเสียง ไม่ให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำจิตใจได้ ไม่หลง ไม่ติดอยู่ นั่นก็เป็นคนเข้มแข็งอย่างแท้จริง คนที่อดทนไม่หลงระเริงต่อความสุข ความสมหวังได้ เป็นคนที่มีกำลังใจเหนือกว่า มีสติปัญญากว่า


ความสุขมันทำลายคนได้ไม่แพ้ความทุกข์ครับ ระวังมันให้มาก มันมาแบบเงียบๆกว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 21:05  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32665

คำตอบที่ 58
      


ผมขอจบเรื่อง ขันติ ไว้แต่เพียงเท่านี้

เป็นการเล่าหนึ่งในฆราวาสธรรมโดยย่อที่พอเพียงต่อการดำรงค์ชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปที่ไฝ่หาความสุขในครอบครัว ปฎิบัติได้มากก็ทำให้บ้านร่มเย็น ลูกเมียเป็นสุข เพื่อนฝูงรักใคร่ครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.91.75 พุธ, 1/10/2551 เวลา : 21:10  IP : 125.24.91.75   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32666

คำตอบที่ 59
       แม้ยังไม่เห็นดวงตาธรรม


แต่ก็ขจัดฝุ่นในตาออกไปได้มาก

ขอบคุณครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก นกท โนล็อคอิน 202.91.19.204 พฤหัสบดี, 2/10/2551 เวลา : 01:13  IP : 202.91.19.204   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32668

คำตอบที่ 60
      


ได้ธรรมะดีเป็นเเนวทางการดำรงตน ขอขอบพระคุณครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.26.71.7 พฤหัสบดี, 2/10/2551 เวลา : 02:45  IP : 125.26.71.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 32671

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพฤหัสบดี,25 เมษายน 2567 (Online 3795 คน)