WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


วันอาสาฬหบูชาสำคัญอย่างไร ??
somsaks
จาก หนุ่มกระโทก
IP:202.91.18.200

เสาร์ที่ , 28/7/2550
เวลา : 18:04

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       สมัยที่ผมยังเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเทศบาล ผมจำได้ว่าคุณครูสมเกียรติ รอดน้อย
เคยสอนผมอ่านว่า อาสาน-หะ-บูชา แปลว่า วันบูชา ใน เดือนแปด ปีไหนมีเดือนแปดสองหน ให้ใช้วันในเดือนแปดหลัง
ตอนเด็ก ๆ เมื่อผมมีปัญหาอะไรที่ผมไม่เข้าใจ หรืออยากรู้อยากเห็น ผมจะถามครูสมเกียรติเป็นคนแรก
แม้กระทั่งนามสกุล "รอดน้อย" ผมยังถามคุณครูว่า รอดน้อย ทำไมยังมีชีวิตอยู่ ครูสมเกียรติตอบผมว่า
ครูเป็นคนสิงห์บุรี ลูกหลานชาวบางระจัน ศัตรูหน้าไหนมาแหยม เป็นอันว่าเหลือชีวิตรอดกลับไปน้อย






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  5  

คำตอบที่ 61
      




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก . 125.26.123.124 จันทร์, 13/8/2550 เวลา : 09:35  IP : 125.26.123.124   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11604

คำตอบที่ 62
       ขอเรียนถามท่านอาจารย์ Von ครับ ที่ว่าการสวดมนต์ ก็ได้บุญเหมือนกันนั้น ทำไมถึงได้บุญครับ เพราะว่าที่สวดๆกันไป ผมว่าคนส่วนมากยังไม่รู้เลยว่าหมายความว่ายังไง. จำเป็นไหมครับที่ต้องสวดมนต์ยาวเหยียด เพื่อให้ได้บุญ หรือว่าสวดมนต์ทำให้ใจสงบ ก็ได้บุญแล้วครับ .









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

chyvw จาก ชาย 203.146.104.41 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 16:43  IP : 203.146.104.41   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11637

คำตอบที่ 63
       นับว่าเป็นคำถามที่เรียบง่ายแต่ตอบแบบเรียบง่ายไม่ได้เลยครับ

ก่อนอื่นผมต้องทำความเข้าใจก่อนว่า "บุญ" คืออะไร
คำว่า บุญ มีความหมายตามภาษามคธว่า ทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น


บุญ เป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจ พอใจ ชอบใจ เช่น ทำบุญ ให้ทาน หรือ รักษาศีล ก็ตาม แล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือ แม้ที่สุดแต่รู้สึกว่า ตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก ในกรณีที่ ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่า ได้บุญ เหมือนกัน แม้จะเป็น บุญชนิดที่ไม่สู้จะแพ้


หรือ แม้ในกรณีที่ ทำบุญ ด้วยความ บริสุทธิ์ใจ เพื่อเอาบุญ กันจริงๆ ก็ยังอด ฟูใจไม่ได้ ว่า ตนจะได้เกิด ในสุคติ โลกสวรรค์ มีความปรารถนา อย่างนั้น อย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็น ภวตัณหา นำไปสู่การเกิด ในภพใหม่ เพื่อเป็น อย่างนั้น อย่างนี้ ตามแต่ ตนจะปรารถนา ไม่ออกไปจาก การเวียนว่าย ตายเกิด ในวัฎสงสาร ได้ แม้จะไปเกิด ในโลก ที่เป็นสุคติอย่างไร ก็ตาม


ฉะนั้น ความหมาย ของคำว่า บุญ จึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้ ฟูใจ และ เวียนไป เพื่อความเกิด อีก ไม่มีวัน ที่สิ้นสุดลงได้



ดังนั้นถ้าสวดแล้วใจสบายขึ้น ไม่ว่า สวดสั้นหรือยาว สวดแล้วไม่รู้เรื่องแต่ก็ยังสวดเหมือนนกแก้วร้องแก้วจ๋าๆ ถ้าใจอิ่มเอิบเข้าข่ายได้บุญครับ








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 19:58  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11640

คำตอบที่ 64
       ผมไม่ได้มั่วครับเอาลองแบบอิงพระสูตรบ้างก็ได้
ในปุญญกิริยาวัตถุสูตร (๒๒/๒๑๕) พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องการทำบุญไว้ ๓ ประการคือ


๑. บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยทาน
๒. บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยศีล
๓. บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยภาวนา


ส่วนในอรรถกถา ท่านได้ขยาออกไปอีก ๗ ประการ คือ

๔. อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการ ประพฤติอ่อนน้อม)
๕. เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการ ขวนขวายรับใช้)
๖. ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการ ให้ความดีแก่ผู้อื่น)
๗. ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการ ยินดีบุญของผู้อื่น)
๘. ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการ ฟัง-อ่านธรรมะ)
๙. ธัมมัสเทสนามัย (ทำบุญด้วยการ สั่งสอนธรรมะ)
๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการ ทำความเห็นให้ตรง)


หลักการทำความดีในพุทธศาสนา ทั้งหมดมีอยู่ ๓ พวกใหญ่ๆ คือทาน ศีล และภาวะนา แม้จะขยายออกไปอีก ๗ ข้อ ก็ไม่มีทาน คือ ไม่ต้องใช้วัตถุสิ่งของหรือเงินเลย


แต่ย้อนกลับไปอ่านบรรทัดจบของกระทู้ก่อนหน้านี้ผมได้ผูกปมไว้อีกประโยคก่อนว่า "ความหมาย ของคำว่า บุญ จึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้ ฟูใจ และ เวียนไป เพื่อความเกิด อีก ไม่มีวัน ที่สิ้นสุดลงได้"


บุญยังอยู่ในระดับความอยาก ความอยากอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้สนองความอยาก มันก็เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่ง ท่าน พ.อ. ปิ่น มุทุกันต์ ท่านว่าเป็น "ความทุกข์ของนักบุญ" คือทุกข์เพราะอยากทำดี แล้วไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้


เช่น

- อยากสร้างพระพุทธรูป สร้างศาลา สร้างกุฏิ สร้างพระไตรปิฎก สร้าง ฯลฯ..แต่วัดไม่อยากได้เพราะมันมากแล้วจนไม่มีที่เก็บ แบบนี้อยากทำจนเกิดทุกข์ที่ไม่ได้ทำ แต่ถ้าทำแล้วทางวัดเอาพระของเราที่สร้างไว้ไปตั้งไว้ในห้องเก็บของแล้วเราดันไปเห็นอย่างนี้ก็ทุกข์

- อยากไปทำบุญวัดนี้ แต่ไม่ชอบหน้าท่านสมภาร หรือพระลูกวัดบางรูป จะไปทำวัดอื่นก็ไม่มี หรือมีแต่อยู่ไกลต้องถ่อไปครึ่งวัน แบบนี้ก็ทุกข์

- อยากให้วัดข้างบ้านมีพระปฏิบัติธรรมและนำมาสอนชาวบ้านบ้าง แต่ก็ไม่มีพระดีๆดังกล่าวตามต้องการ ไปนิมนต์ท่านก็ไม่มาสอนก็เกิดทุกข์

- อยากไปวัด แต่ก็เบื่อการรีดไถ การก่อสร้าง หรือการเรี่ยไรบอกบุญทั้งปีของวัดแบบนี้ก็เกิดทุกข์ ถ้าให้แล้วเห็นท่านเอาเงินเราไปติดแอร์นอนสบายขณะที่เรายังต้องนอนเปิดพัดลม อย่างนี้ก็ทุกข์

- อยากทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ทำไม่ได้ เพราะเพราะดันมีอาชีพงานบริการ ต้องไปทำงานกึ่งตอแหลกึ่งจริงทุกวัน หรือทำแล้วดันต้องพูดจริงทุกเรื่องลูกค้าหนีหมดแบบนี้ก็ทุกข์ ฯลฯ


บุญยังอยู่ในระดับความอยาก ความอยากอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้สนองความอยาก มันก็เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่ง ท่าน พ.อ. ปิ่น มุทุกันต์ ท่านว่าเป็น "ความทุกข์ของนักบุญ" คือทุกข์เพราะอยากทำดี แล้วไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้


ก็ไหนว่าบุญเป็นชื่อของ ใจพอง ใจอิ่ม ใจดี หรือความสุขใจ ไฉนการทำบุญจึงต้องมีความทุกข์ด้วยเล่า ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เกิดจาการ เราทำไม่ถูกบุญ และไม่ถึงบุญด้วยมันจึงเกิดความทุกข์ขึ้น


ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เกิดจากความไม่เข้าใจ ในเรื่องของการทำบุญนั่นเอง ถ้ารู้จัก "ตัวบุญ" อย่างถูกต้องและแท้จริงแล้ว การทำบุญก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งกว่าการพลิกฝ่ามือคว่ำหรือหงาย ไม่ต้องใช้เงินและใช้เวลา หรือแรงงานเสียด้วย







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:01  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11641

คำตอบที่ 65
       ผมผูกความไว้ว่า " ดังนั้นบุญไม่ถือว่าเป็นทางนิพพานเพราะมันเจือทุกข์มีด้วยหรือทุกข์เพราะบุญ และ เวียนไป เพื่อความเกิด อีก ไม่มีวัน ที่สิ้นสุดลงได้"


อ้าวแล้วทำบุญมันดีหรือเปล่าล่ะ ผมต้องตอบว่าดีครับ แต่ผมจะแนะนำให้รู้จักสิ่งที่เด็ดกว่าทำบุญอีก ทำไม่ยากด้วย


สิ่งนั้นคือสร้าง"กุศล"ครับ


คำว่า กุศล นั้นภาษามคต แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมาย เช่นนี้ เราย่อมเห็น ได้ว่า เป็นของ คนละอย่าง หรือ เดินคนละทางกับบุญ โดยเนื้อแท้แล้ว "บุญ" กับ "กุศล" ควรจะเป็น คนละอย่าง หรือ เรียกได้ว่า ตรงกันข้าม ตามความหมาย ของรูปศัพท์ แห่งคำสองคำ นี้ทีเดียว






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:05  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11642

คำตอบที่ 66
       กุศลนั้น เป็นสิ่งที่ ทำหน้าที่ แผ้วถาง สิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรัง ไม่ข้องแวะ กับความฟูใจ หรือ พอใจ เช่นนั้น แต่มี ความมุ่งหมาย จะกำจัด เสียซึ่ง สิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุ ให้พัวพัน อยู่ใน กิเลสตัณหา อันเป็น เครื่องนำให้ เกิดแล้วเกิดอีก และมี จุดมุ่งหมาย กวาดล้าง สิ่งเหล่านั้น ออกไปจากตัว


ในเมื่อบุญ ต้องการโอบรัด เข้ามาหาตัว ให้มีเป็น ของของตัว มากขึ้น ในเมื่อฝ่ายที่ถือข้างบุญ ยึดถืออะไร เอาไว้มากๆ และพอใจ ดีใจนั้น ฝ่ายที่ถือข้างกุศล ก็เห็นว่า การทำอย่างนั้น เป็นความโง่เขลา ขนาดเข้าไป "กอดรัดงูเห่า" ทีเดียว


ฝ่ายข้างกุศล หรือ ที่เรียกว่า ฉลาด นั้น ต้องการจะ ปล่อยวาง หรือ ผ่านพ้นไป ทั้งช่วยผู้อื่น ให้ปล่อยวาง หรือ ผ่านพ้นไป ด้วยกัน ผ่ายข้างกุศล จึงถือว่า ฝ่ายข้างบุญ นั้น ยังเป็นความ มืดบอดอยู่



ผมย้ำอีกครั้งนะครับ "เป็นความโง่เขลา ขนาดเข้าไป "กอดรัดงูเห่า" ทีเดียว"

ถ้ายังไม่เข้าใจให้ย้อนกลับไปอ่านใหม่อีกครั้งเพราะถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ให้กระจ่างจะเดินหน้าไปกับผมอีกตอนไม่ได้








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:14  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11643

คำตอบที่ 67
       แต่ว่า บุญ กับ กุศล สองอย่างนี้ ทั้งที่มี เจตนารมณ์ แตกต่างกัน ก็ยังมี การกระทำ ทางภายนอก อย่างเดียวกัน ซึ่งทำให้เราหลงใหล ในคำสองนี้ อย่างฟั่นเฝือ เพื่อจะให้เข้าใจกันง่ายๆ เราต้องพิจารณา ดูที่ตัวอย่าง ต่างๆ ที่เรา กระทำกัน อยู่จริงๆ คือ


ในการให้ทาน ถ้าให้เพราะจะ เอาหน้า เอาเกียรติ หรือ เอาของตอบแทน เป็นกำไร หรือ เพื่อผูกมิตร หาพวกพ้อง หรือ แม้ที่สุดแต่ เพื่อให้บังเกิด ในสวรรค์ อย่างนี้ เรียกว่า ให้ทาน เอาบุญ หรือ ได้บุญ

แต่ถ้าให้ทาน อย่างเดียวกันนั่นเอง แต่ต้องการ เพื่อขูดความขี้เหนียว ของตัว ขูดความเห็นแก่ตัว หรือ ให้เพื่อค้ำจุนศาสนา เอาไว้ เพราะเห็นว่า ศาสนาเป็น เครื่องขูดทุกข์ ของโลก หรือ ให้เพราะ เมตตาล้วนๆ โดยบริสุทธิ์ใจ หรือ อำนาจเหตุผล อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่ง ปัญญา เป็นผู้ชี้ขาดว่า ให้ไปเสีย มีประโยชน์ มากกว่า เอาไว้ อย่างนี้ เรียกว่า ให้ทาน เอากุศล หรือ ได้กุศล

ซึ่งมันแตกต่างๆ ไปคนละทิศ ละทาง กับการให้ทาน เอาบุญ เราจะเห็นได้ กันสืบไปอีกว่า การให้ทานเอาบุญ นั่นเอง ที่ทำให้เกิด การฟุ่มเฟือย ขึ้นในสังคม ฝ่ายผู้รับทาน จนกลายเป็น ผลร้าย ขึ้นในวงพระศาสนาเอง หรือ ในวงสังคมรูปอื่นๆ เช่น มีคนขอทาน ในประเทศ มากเกินไป เป็นต้น

การให้ทาน ถูกนักคิด พากันวิพากษ ์วิจารณ์ ในแง่เสื่อมเสีย ก็ได้แก่ การให้ทานเอาบุญ นี้เอง ส่วนการให้ทาน เอากุศลนั้น อยู่สูงพ้น การที่ถูกเหยียด อย่างนี้ เพราะว่า มีปัญญา หรือเหตุผล เข้าควบคุม แม้ว่า อยากจะให้ทาน เพื่อขูดเกลา ความขี้เหนียว ในจิตใจ ของเขา ก็ยังมีปัญญา รู้จักเหตุผล ว่า ควรให้ ไปในรูปไหน มิใช่เป็นการให้ ไปในรูป ละโมบบุญ หรือ เมาบุญ เพราะว่า กุศล ไม่ได้เป็น สิ่งที่หวาน เหมือนกับ บุญ จึงไม่มีใครเมา และไม่ทำให้ เกิดการเหลือเฟือ ผิดความสมดุล ขึ้นในวงสังคม ได้เลย


นี่เราพอจะเห็นได้ว่า ให้ทานเอาบุญ กับ ให้ทานเอากุศลนั่น ผิดกันเป็นคนละอันอย่างไร






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:20  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11644

คำตอบที่ 68
       ในการรักษาศีล ก็เป็นทำนองเดียวกันอีก รักษาศีลเอาบุญ คือ รักษาไป ทั้งที่ไม่รู้จัก ความมุ่งหมาย ของศีล เป็นแต่ยึดถือ ในรูปร่าง ของการรักษาศีล แล้วรักษา เพื่ออวด เพื่อนฝูง หรือ เพื่อแลกเอาสวรรค์ ตามที่ นักพรรณนาอานิสงส์ เขาพรรณนา กันไว้
หรือ ทำอย่างละเมอไป ตามความนิยม ของคนที่ มีอายุ ล่วงมาถึง วัยนั้นวัยนี้ เป็นต้น ยิ่งเคร่งเท่าใด ยิ่งส่อความเห็นแก่ตัว และความยกตัว มากขึ้น เท่านั้น ยิ่งมีความยุ่งยาก ในครอบครัว หรือวงสังคม เกิดขึ้นใหม่ๆ แปลกๆ เพราะ ความเคร่งครัด ในศีล ของบุคคลประเภทนี้ อย่างนี้ เรียกว่า รักษาศีลเอาบุญ


ส่วนบุคคล อีกประเภทหนึ่ง รักษาศีล เพียงเพื่อ ให้เกิด การบังคับตัวเอง สำหรับ จะเป็นทาง ให้เกิด ความบริสุทธิ์ และ ความสงบสุข แก่ตัวเอง และเพื่อนมนุษย์ เพื่อใจสงบ สำหรับ เกิดปัญญาชั้นสูง นี้เรียกว่า รักษาศีลเอากุศล รักษามีจำนวน เท่ากัน ลักษณะเดียวกัน ในวัดเดียวกัน แต่กลับเดินไป คนละทิศละทาง อย่างนี้เป็นเครื่องชี้ ให้เห็นภาวะ แห่งความแตกต่าง ระหว่างคำว่า บุญ กับคำว่า กุศล


คำว่า กุศลนั้น ทำอย่างไรเสีย ก็ไม่มีทาง ตกหล่ม จมปลักได้เลย ไม่เหมือนกับคำว่า บุญ และกุศลนั้นกินเข้าไป มากเท่าไร ก็ไม่มีเมา ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นพิษ ในขณะที่ คำว่า บุญ แปลว่า เครื่องฟูใจนั้น คำว่า กุศล แปลว่า ความฉลาดหรือ เครื่องทำให้ฉลาด และ ปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:25  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11645

คำตอบที่ 69
       ในการเจริญสมาธิ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก คือ สมาธิเอาบุญ ก็ได้ เอากุศลก็ได้ สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่ ติดต่อกับ คนโน้นคนนี้ ที่โลกอื่น ตามที่ ตนกระหาย จะทำให้ เก่งกว่าคนอื่น หรือ สมาธิ เพื่อการไปเกิด ในภพนั้น ภพนี้ อย่างนี้เรียกว่า สมาธิเอาบุญ หรือ ได้บุญ เพราะทำใจให้ฟู ให้พอง ตามความหมาย ของมันนั่นเอง
เพราะว่า สมาธิเช่นนี้ มีตัณหาและทิฎฐิ เป็นสมุฎฐาน แม้จะได้ผลอย่างดีที่สุด ก็เพียงได้เกิด ในวัฏสงสาร ตามที่ตน ปรารถนาเท่านั้น ไม่เป็นไป เพื่อนิพพาน


ส่วนสมาธิ ที่มีความมุ่งหมาย เพื่อการบังคับใจตัวเอง ให้อยู่ในอำนาจ เพื่อกวาดล้าง กิเลส อันกลุ้มรุมจิต ให้ราบเตียน ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิ อันจรมา ในปริมณฑลของจิต ทำจิตให้ผ่องใส เป็นทางเกิด ของวิปัสสนาปัญญา อันดิ่งไปยังนิพพาน เช่นนี้เรียกว่า สมาธิได้กุศล ไม่ทำอันตรายใคร ไม่ต้องหาหมอรักษา ไม่หลงวนเวียน ในวัฎสงสาร

จึงตรงกันข้าม จากสมาธิเอาบุญกุศล เสียเองแล้ว เป็นกุศลฝ่ายเดียว นำออกจากทุกข์ อย่างเดียว แม้ยังจะต้อง เกิดในโลกอีก เพราะยังไม่แก่ถึงขนาด ก็มีความรู้สึกตัว เดินออกนอก วัฎสงสาร มีทิศทาง ดิ่งไปยัง นิพพานเสมอ ไม่วนเวียน จนติดหล่ม จมเลน โดยความไม่รู้สึกตัว


ถ้ายังไม่ถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่เรียกว่า ปัญญา ในกองธรรม หรือ ธรรมขันธ์ ของพุทธศาสนา ดังเช่น ปัญญาในทางอาชีพ หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเป็นต้น





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:29  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11648

คำตอบที่ 70
       มาถึงปัญญา นี้ไม่มีแยกเป็นสองฝ่าย คือไม่มีปัญญาเอาบุญ เพราะตัวปัญญานั้น เป็นตัวหยุดความหลง เอาบุญ กับ กุศล มาปนเป เป็นอันเดียวกันนั้น ได้ทำให้เกิด ความสับสน อลเวง เพียงไร และทำให้คว้าไม่ถูกตัว สิ่งที่เราต้องการ จนเกิด ความยุ่งยาก สับสน อลหม่าน ในวงพวกพุทธบริษัท เองเพียงไร


ถ้าเรายังขืนทำ สุ่มสี่สุ่มห้า เอาของสองอย่างนี้ เป็นของอันเดียวกัน อย่างที่ เรียกกัน พล่อยๆ ติดปากชาวบ้านว่า "บุญกุศลๆ" เช่นนี้อยู่สืบไปแล้ว เราก็จะไม่สามารถ แก้ปัญหา ต่างๆ อันเกี่ยวกับ การทำบุญกุศล นี้ ให้ลุล่วงไป ด้วยความดี จนตลอดกัลปาวสาน ก็ได้


ดังนั้นสรุปได้ว่าไม่มีปัญญาเอาบุญครับเพราะมีปัญญาเมื่อไรจะเหลือเพียงกุศลอย่างเดียว


ถ้ากล่าวให้ชัดๆ สั้นๆ บุญเป็นเครื่องหุ้มห่อ กีดกั้นบาป ไม่ให้ งอกงาม หรือ ปรากฏ หมดอำนาจบุญ เมื่อใด บาป ก็จะโผล่ออกมา และงอกงามสืบไปอีก


ส่วนกุศลนั้น เป็นเครื่องตัด รากเหง้า ของบาป อยู่เรื่อยไป จนมันเหี่ยวแห้ง สูญสิ้นไม่มีเหลือ ความต่างกัน อย่างยิ่ง ย่อมมีอยู่ ดังกล่าวนี้


คนปรารถนาบุญ จงได้บุญ คนปรารถนากุศล ก็จงได้กุศล ตามความปรารถนา แล้วแต่ใคร จะมองเห็น และจะสมัครใจ จะปรารถนา อย่างไร ได้เช่นนั้น







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:32  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11649

คำตอบที่ 71
       ก่อนที่ผมจะร้อยบทความนี้ ผมได้ตั้งจิตไว้ว่า

ผมกำลังจะอธิบายถึงใจกลางคลังสมบัติของพระพุทธองค์ การกระทำโดยประมาทและอธิบายโดยไม่รู้จริง อาจจะพาให้เพื่อนหลงทางได้และเป็นบาปต่อผมเอง ผมจึงขอให้ครูบาอาจารย์ช่วยนำทางธรรมผมในกระทู้นี้ด้วย


ในที่สุดผมก็ได้กราบเท้าท่านพุทธทาส พระธรรมโกศาจารย์ ที่ได้กรุณานำทางแนวคิดเรื่องบุญกิริยาให้ผมได้รู้แจ้งครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:37  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11650

คำตอบที่ 72
       จบแล้วครับ คำถามสั้นๆของคุณชายหมาดุ แต่คำตอบสั้นที่สุดของผมตัดทอนได้เท่านี้ครับ อาจจะยาวมากสำหรับคนไม่ชอบอ่านธรรมะ


ผมขอให้ "กุศล" และ "ผลบุญ" ที่เกิดจากอ่านกระทู้ธรรมวันนี้เป็นดั่งเรือแพให้เพื่อนๆข้ามพ้นสงสารไปสู่นิพพานทุกท่านครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 202.28.181.7 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:46  IP : 202.28.181.7   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11651

คำตอบที่ 73
       คุณชายครับ

ผมขอตอบแบบคนที่พอรู้ แบบงู ๆ ปลา ๆ นะครับ
หัวใจขอพุทธศาสนาคือการฝึกตน ไม่ทำชั่ว ทำความดี และ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
ในมงคลชีวิต 36 ประการ ข้อสุดท้าย กล่าวว่า

"อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังะละมุตตะมัง" จิตไม่เศร้าโศก เป็นมงคลแห่งชีวิต

จิตไม่เศร้าโศก จิตบริสุทธิ์ จิตเกษม ปกติเป็นจิตของพระอรหันต์เท่านั้น
ปุถุชนเช่นเรา จึงต้องรู้วิธีปฏิบัติไม่ให้จิตเศร้าโศก เมื่อเจอกับความผันผวนของชีวิต
โดยการเจริญภาวนา มรณานุสสติ พิจารณาความตายไว้เสมอ ๆ เมื่อเข้าใจความจริงของชีวิต
ไม่ประมาทในชีวิต ความโลภโมโทสันก็จะเบาบางลงไป ความอยากได้อยากเอาก็จะเบาบางลงไป

หรือไม่ก็เจริญภาวนาวิปัสนากรรมฐานจนกระทั่งบรรลุถึงนิพพาน ถึงขั้นนี้รับรองว่า ไม่เศร้าโศกแน่นอน

ศีล สมาธิ ปัญญา สามอย่างนี้คือสิ่งสำคัญในศาสนาพุทธ

ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสมาธิ สมาธิจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีศีล

การที่คุณชายพูดถึงการทำบุญ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นการทำทานมากกว่า คือการบริจาค
ไม่ว่าจะเป็น กำลังทรัพย์ หรือ แรงงาน

การทำทาน เมื่อฝึกให้คนเรารู้จักการละ ซึ่งเถ้าจะนับถือว่าเป็นการฝึกข้อที่หยาบที่สุดครับ

เคยสังเกตุไหมครับ ว่าคนจีนครอบครัวรวย ๆ ทำไมรวยกันจัง แล้วทำไมครอบครัววุ่นวายนัก
เขาทำทาน บริจาค กันหนัก ๆ เช่นงานเทกระจาด โรงทาน ศาลเจ้าต่าง ๆ จนเหมือนกับเป็นประเพณี
แน่นอน ตามหลักศาสนาพุทธ ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ผลของทาน ทำให้เขามั่งมี แต่เขาไม่ได้ฝึกจิตใจ

แต่ถ้าเราฝึกจิต จิตใจเราก็สบาย ซึ่งต่างกัน

พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสสั่งสอนเอาไว้ โดยใจความหลักคือ คนเราต้องฝึกตนครับถือเป็นกุศลสูงสุด

การสวดมนต์ นั้น เป็นการระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงค์
อาจจะนับได้ว่าเป็นพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสติ
ถือว่าเป็นการเจริญสมาธิได้อย่างหนึ่ง ระหว่างที่เราสวดนั้น ถ้าเราจำบทสวดไม่ได้จิตใจเราจะอยู่ที่ตัวหนังสือ
จิตไม่ส่งออกไป หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ ท่านกล่าวไว้ว่า "จิตที่ส่งออกไป คือ สมุทัย"
สมุทัยคืออะไร คือสาเหตุแห่งทุกข์ นั่นเอง

การสวดเสียงดัง ๆ เป็นการบริการปอดทำให้ระบบหายใจแข็งแรงถือเป็นผลพลอยได้

ส่วนอันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวของผม การสวดมนต์ถือเป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง
เทวดาทั้งหลายก็อยากมานั่งฟัง เหมือนกัน เมื่อมีเทวดามาห้อมล้อม สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ ภูติผีปิศาจ ก็ไม่กล้ามากล้ำกราย

ถ้าคุณชายสวดมนต์แล้ว เข้าใจความหมายของบทสวดนั้น จะทำให้จิตนั้นดื่มด่ำอยู่ในคำสอน
ของพระพุทธเจ้า ผมว่าดีอยู่นะครับ อยากทราบความหมายไม่ยาก หาหนังสือบทสวดมนต์ที่มีคำแปลด้วย

เอาแบบน้ำ ๆ ไปก่อน รายละเอียดแบบเนื้อ ๆ คงต้องให้ท่าน อาจารย์มาตอบ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 202.91.19.200 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:55  IP : 202.91.19.200   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11652

คำตอบที่ 74
      
ได้รู้เเจ้งก็วันนี้ครับ กราบขอบพระคุณครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.25.158.191 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 20:56  IP : 125.25.158.191   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11653

คำตอบที่ 75
       ขออนุญาติ เซฟ เก็บไว้อ่าน ครับ.........ขอบพระคุณครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

a_anan จาก a_anan 124.121.47.207 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 22:47  IP : 124.121.47.207   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11656

คำตอบที่ 76
       ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ VON,พี่หนุ่ม และพี่ๆทุกท่านครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

chyvw จาก ชาย 203.146.104.35 พุธ, 15/8/2550 เวลา : 12:44  IP : 203.146.104.35   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11661

คำตอบที่ 77
      
คำตอบที่ 62
ขอเรียนถามท่านอาจารย์ Von ครับ ที่ว่าการสวดมนต์ ก็ได้บุญเหมือนกันนั้น ทำไมถึงได้บุญครับ เพราะว่าที่สวดๆกันไป ผมว่าคนส่วนมากยังไม่รู้เลยว่าหมายความว่ายังไง. จำเป็นไหมครับที่ต้องสวดมนต์ยาวเหยียด เพื่อให้ได้บุญ หรือว่าสวดมนต์ทำให้ใจสงบ ก็ได้บุญแล้วครับ

จาก ชาย 203.146.104.41 อังคาร, 14/8/2550 เวลา : 16:43


จำคำสอนของครูบาอาจารย์มาพอจะถ่ายทอดให้ฟังได้แบบนี้ ขอรับ
1.การสวดมนต์ แม้จะไม่รู้ว่าที่กำลังสวดนั้นแปลว่าอะไร สิ่งที่ได้คือศรัทธา คนสวดมนต์คงต้องมีศรัทธาก่อนมั๊ง ขอรับถึงได้สวดมนต์ ศรัทธาคืออะไร ศรัทธาก็คือกุศล แล้วกุศลล่ะคืออะไร อ่านคำตอบข้างบน ขอรับ
2.ขณะสวดมนต์ใจจดจ่ออยู่กับบทสวด ใจจึงมั่นคงไม่ส่งส่ายออกไปที่อื่น ขณะนั้นศีลก็บริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ละเมิดศีลด้วยกาย ด้วยวาจาหรือด้วยใจ ใจจึงเป็นสมาธิ แม้ชั่วขณะจิตอย่างนี้เรียกว่า " ปฏิบัติบูชา " ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาว่า การปฏิบัติบูชาแม้ชั่วขณะจิต บุญกุศลที่ได้มากกว่า "อามิสบูชา" หลายร้อย หลายพันเท่านัก

ตอบสั้นๆแบบพระป่าไม่พิศดาร ละเอียดลึกซึ้งเหมือนท่านเจ้าคุณวัดข้างบนตอบนะ ขอรับ .......



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Ethan_Hunt จาก Ethan_Hunt พุธ, 15/8/2550 เวลา : 13:48  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11662

คำตอบที่ 78
       ขอบคุณครับพี่ Ethan. สิบกว่าปีที่แล้วผมก็เป็นพระป่านะครับ ไปอยู่วัดหัวนายุง อ.ด่านซ้าย จ.เลย..แต่อธิบายเรื่องบุญ เรื่องกุศลไม่ถูกเลย..

ท่านเจ้าคุณฯ ลึกซึ้งจริงๆครับ..ผมเห็นด้วย.



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

chyvw จาก ชาย 203.149.16.42 พฤหัสบดี, 16/8/2550 เวลา : 08:25  IP : 203.149.16.42   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11673

คำตอบที่ 79
       พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความสามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย

ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิของสัตว์นรก และไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ ที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก พากันสร้างบุญกุศล อันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์

และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่าชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนาเดิมมาศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย ๆ


รูปของเมืองสาวัตถี พระเชตวันมหาวิหารพระมูลคันธกุฎี





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.58.16 พฤหัสบดี, 16/8/2550 เวลา : 22:45  IP : 125.24.58.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11688

คำตอบที่ 80
       กล่าวกันว่าครั้งหนึ่ง พระโมคคัลลานะได้ถอดจิตนิมิตกายเหาะขึ้นไปสู่สวรรค์และได้พบกับนางฟ้าองค์หนึ่งมีรัศมีกายที่รุ่งเรื่องสดใส จึงตรัสถามว่า

"ดูกรน้องหญิง การที่เธอได้มาเสวยสุขในครั้งนี้ เป็นเพราะได้กระทำกรรมดีอันใดไว้"

"ข้าแต่พระสมณะผู้ประเสริฐ" นางฟ้าองค์นั้นทูลตอบ

"เมื่อดิฉันเกิดเป็นมนุษย์ ได้ตั้งใจสร้างบุญกุศลและทานเป็นอันมาก ได้ถวายเครื่องนุ่งห่ม ภัตตาหาร เสนาสนะ เครื่องตามประทีปโคมไฟ นอกจากนั้นยังรักษาศีลฟังธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต"

"ด้วยบุญกุศลที่ทำอันนี้จึงส่งผลให้น้องหญิงมาบังเกิดบนโลกสวรรค์ อาตมาขอถามหน่อยเถิดว่า น้องหญิงจะเสวยสุขอยู่ที่นี่เป็นเวลาเท่าไหร่"

"ประมาณ 6 หมื่นปีพระคุณเจ้า"



รูปปางปรินิพพานในมตะกุมารวิหาร





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.58.16 พฤหัสบดี, 16/8/2550 เวลา : 22:47  IP : 125.24.58.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11689

คำตอบที่ 81
       อีกครั้งหนึ่ง พระโมคคัลลานะได้ถอดดวงจิตไปท่องเที่ยวบนสรวงสวรรค์ พบวิมานใหญ่หลังหนึ่ง มีรัศมีงดงามประดับด้วยเพชรนิลจินดามีค่าเป็นอันมาก เจ้าของวิมานเป็นเทพธิดามีใบหน้าที่สวยงาม พร้อมเหล่านางสนมกำนัลบริวาร

เมื่อพระโมคคัลลานะเห็นว่าเจ้าของวิมานเป็นเทพธิดาสตรีเพศ ไม่เหมาะที่พระสมณะจะเข้าไปหา จึงได้หยุดอยู่หน้าวิมานนั้น นางเทพธิดาผู้เป็นเจ้าของวิมาน เมื่อเห็นพระสมณะก็บังเกิดความดีใจ รีบออกมาต้อนรับแสดงความเคารพตามสมควร

ในการนั้นพระโมคคัลลานะจึงถามแก่เทพธิดาผู้เป็นเจ้าของวิมานว่า

"ดูก่อนน้องหญิง เราสมณะได้ถอดดวงจิตขึ้นมาบนสรวงสวรรค์แห่งนี้ เห็นวิมานของเธอสวยงามประดับด้วยเพชรนิลจินดาและตกแต่งด้วยทองคำ วิมานนี้เกิดขึ้นแก่น้องหญิงด้วยบุญกุศลอันใด"

"พระสมณะเจ้า วิมานเพียงน้อยนิดหลังนี้ของข้าพเจ้า ยังมิอาจเทียบได้กับวิมานของท่านเทพชั้นสูง เกิดจากการสร้างบุญกุศลเพียงน้อยนิด"

"แม้เป็นเช่นนั้นจงบอกมาเถิดน้องหญิง เพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย ที่มีชีวิตอยู่ในเวลานี้บนโลกมนุษย์"

"ได้เจ้าค่ะ เมื่อตอนที่เกิดเป็นมนุษย์ ดิฉันสร้างกรรมดีด้วยการอดกลั้นโทสะ ไม่โกรธตอบต่อสามีผู้ดุร้าย กระทำการทารุณ แม้หนักหนาสาหัสสักเพียงใด ดิฉันก็ไม่เคยคิดร้ายหรือวู่วามผูกโกรธ ด้วยคิดว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ผู้ใดสร้างกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลกรรมนั้นตอบสนองไม่เร็วก็ช้า ไม่ช้าก็เร็ว เราไม่จำเป็นต้องไปผูกเวรอาฆาต หรือตอบสนองเขาด้วยการสร้างกรรมชั่วให้ติดตาัวและต้องชดใช้ย่างไม่รู้จบสิ้น"

"เป็นเช่นนั้นหรือ น้องหญิง"

"ถูกแล้วพระคุณเจ้า ด้วยบุญกุศลอันที่ข้าพเจ้าได้สร้างเพียงน้อยนิด โดยการไม่ผูกโกรธไม่คิดร้ายจองเวร ส่งผลให้เกิดที่นี่และมีวิมานหลังเล็กนี้เป็นที่อยู่อาศัย"

"น้องหญิงอย่าคิดว่าบุญกุศลที่สร้างนั้นเป็นเรื่องน้อยนิดเลย เพราะมีมนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกระทำได้ดังน้องหญิงผู้ไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตแค้นและคิดให้ร้ายใคร ขอความสวัสดีจงมีแด่น้องหญิง"

เมื่อกล่าวคำอำลาแล้ว พระโมคคัลลานะจึงได้เหาะกลับมายังโลกมนุษย์ บอกเล่าเรื่องราวที่ได้ประสบมาทุกประการ


วัดมหันต์ใกล้ๆ เจดีย์พุทธคยา






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.58.16 พฤหัสบดี, 16/8/2550 เวลา : 22:50  IP : 125.24.58.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11690

คำตอบที่ 82
       เรื่องราวแสดงฤทธิ์ของพระโมคคัลลานะที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องปราบพญานาค ที่ชื่อว่า นันโทปนันทะ โดยเมื่อพระพุทธองค์และเหล่าภิกษุสงฆ์สาวกซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ได้เสด็จไปจนถึงถิ่นพญานาค นันโทปนันทะและพลพรรค พญานาคผู้มีทิฐิ เมื่อได้เห็นพระพุทธองค์พร้อมสาวก แทนที่จะดีใจกลับคิดไปตามประสาพาลของตนว่า

"พระสมณะโล้นพวกนี้ ถือดีว่าพวกตนมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เหาะข้ามศีรษะของเรา ปล่อยผงธุลีจากเท้ามาต้องศีรษะเรา จำต้องแสดงให้เห็นบ้างว่า เราผู้พยานาคก็มีฤทธิ์เช่นเดียวกัน"

พระรัฐบาลเถระ ผู้สำเร็จอรหันต์และทรงอภิญญารูปหนึ่ง ได้เห็นหมอกควันที่เกิดขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดินเป็นที่อัศจรรย์ ก็ทราบด้วยญาณว่าเกิดจากอำนาจการบันดาลฤทธิ์ของพญานาคนันโทปนันทะ จึงได้เข้าไปกราบทูลแก่พระศาสดาว่า

"การกำแหงของพญานาคนันโทปนันทะนี้ ปล่อยไว้นานจะกำเริบ ข้าพระองค์ขอพุทธานุญาตไปปราบให้สิ้นฤทธิ์ พระเจ้าข้า"

"ดูกร หน้าที่นี้ขอให้เป็นของมหาโมคคัลลานะเถิด"

"เช่นนั้นก็เป็นการดีพระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์จึงมีพระบัญชารับสั่งให้พระโมคคัลลานะไปปราบพญานาคนันโทปนันทะ เพื่อให้คลายฤทธิ์

เมื่อได้รับบัญชา พระโมคคัลลานะจึงเนรมิตกายเป็นพญานาคราช อันมีร่างใหญ่โตกว่าพญานาคนันโทปนันทะถึงหนึ่งเท่าตัว ทั้งสองได้แสดงฤทธิ์ต่อสู้กัน แต่พญานาคนันโทปนันทะ ไม่มีโอกาสสู้ได้เลยแม้แต่น้อย


เมื่อพระเถระคลายจากการรัด เนรมิตกลายเป็นพระโมคคัลลานะดั งเดิม พญานาคนันโทปนันทะก็หลุดพ้นจากการถูกครอบงำ ได้แปลงกายเป็นมาณพหนุ่มยืนถวายอัญชลีด้วยความเคารพ พระโมคคัลคานะจึงนำพญานาคผู้คลายทิฐิไปเฝ้าพระพุทธองค์ด้วยกัน

ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ ได้เทศนาธรรมโปรด และรับสั่งให้พญานาคตั้งอยู่ในศีลธรรม งดการกระทำปาณาติบาต ล่วงซึ่งชีวิตของสัตว์อื่น ซึ่งพญานาคก็รับคำและปฏิบัติตามนับแต่นั้นมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์

การแสดงฤทธิ์ของพระโมคคัลลานะในครั้งนี้ แม้ในบทสวดชัยมงคลอัฏคาถา หรือบทสวดคาถาแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ทั้ง 8 บท ซึ่งกล่าวถึงชัยชนะด้วยฤทธิ์ของพระพุทธองค์ทั้ง 8 ครั้ง ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคนันโทปนันทะรวมอยู่ด้วย

ในรูปเมืองสาวัตถีอานันทโพธิ์พระเชตวันมหาวิหาร







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.58.16 พฤหัสบดี, 16/8/2550 เวลา : 22:55  IP : 125.24.58.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11691

คำตอบที่ 83
       กล่าวกันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระโมคคัลลานะ ได้เข้าสมาธิถอดดวงจิตไปสู่แดนเปรต ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับแดนนรกได้เจอเหตุการณ์ที่น่าสนใจและได้นำมาถ่ายทอดไว้ ดังนี้

ในครั้งนั้นพระโมคคัลลานะได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทาง โดยผู้ที่อยู่ข้างหน้านั้นนั่งไปบนหลังช้างเผือก ผู้ที่อยู่ถัดมานั่งไปบนรถเทียมม้า ผู้ที่อยู่ถัดมานั่งไปบนวอคานหาม ส่วนผู้ที่อยู่หลังสุดเป็นเปรตอสูรกายมีร่างกายที่ผ่ายผอมซึ่งมีจำนวนมากมาย เมื่อเห็นดังนั้นพระเถระจึงเอ่ยถามเปรตผู้หนึ่งว่า

"ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านั้นเป็นใคร"

เปรตจึงตอบว่า "ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านั้นคือ บุตรคนโตของข้าพเจ้า เมื่อมีชีวิตอยู่เขาได้สร้างบุญกุศลด้วยการให้ทาน และมีความสุขความอิ่มเอิบในบุญนั้น ครั้นเมื่อดับสังขารลงมาจากโลกมนุษย์แล้ว จึงเดินทางไปข้างหน้าด้วยช้างเผือกผู้ประเสริฐจำนวน 4 เชือก เพื่อไปรับผลบุญที่เขาได้สร้างสมไว้"

"แล้วผู้ที่อยู่ถัดมานั้นเล่า"

"ผู้ที่อยู่ถัดมาคือบุตรคนกลางของข้าพเจ้า เขาสร้างบุญด้วยการให้ทาน ไม่ตระหนี่ ชอบช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่นจึงเดินทางไปรับบุญกุศลที่ทำด้วยรถเทียมม้าอันประเสริฐ"

"แล้วหญิงที่อยู่ถัดมานั้นเล่า" พระเถระเอ่ยถาม

"ผู้หญิงที่นั่งไปบนวอนั้น นางคือลูกสาวของข้าพเจ้า เมื่อมีชีวิตอยู่นางสร้างบุญกุศลด้วยการจำแนกแจกทาน พวกเขาเหล่านั้นเป็นบุตรของข้าพเจ้า ทั้งบุตรชายคนโต บุตรชายคนกลางและบุตรหญิงคนเล็ก ล้วนสร้างสมบุญกุศลมาด้วยดีทั้งสิ้น"

พระเถระเจ้าถามต่อไปว่า "ก็แล้วตัวท่าน กับบรรดาสหายเปรตทั้งหลายที่ตามมาข้างหลังนี้เล่า ได้สร้างกรรมอันใดไว้จึงมีร่างกายซูบผมเหมือนไม้อ้อถูกไฟเผาฉะนี้"

"พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย" เปรตตนหนึ่งตอบอย่างสำนึก

"ล้วนเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวต่อการทำบุญสุนทาน เมื่อเห็นพระสมณะ แทนที่จะถวายทานเพื่อสร้างบุญกุศลกลับด่าทอ ครั้นเห็นบุตรชายหญิงของข้าพเจ้าได้สร้างบุญสร้างมหาทาน แทนที่จะแสดงความยินดี กลับออกปากด่าทอสาปส่ง ด้วยผลกรรมที่ได้สร้างสมไว้ จึงต้องมาชดใช้ในสภาพเช่นนี้"

"แล้วพวกท่านทั้งหลาย มีความเป็นอยู่หลับนอนอย่างไร มีโภคะเพียงพอหรือไม่ มีความสุขความทุกข์อย่างไร ในสภาพเปรตนี้"

"พวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับความลำบากมาก ไม่มีโภคะอันใด ต้องเข่นฆ่ากันเองเพื่อเอาเนื้อมากิน เอาเลือดมาดื่มแก้กระหาย อยู่ในแดนเปรตมีความหิวโหยเหลือประมาณ อีกทั้งยังต้องถูกไฟนรกแผดเผา"

หลังจากที่พระโมคคัลลานะ กลับมาจากนรกภูมิและแดนเปรตแล้ว ได้นำเรื่องราวที่ได้พบเห็นมาบอกแก่สาธุชนทุกประการ เป็นเหตุให้ผู้ประมาทและมีจิตใจคิดร้ายไม่สร้างกุศล ได้รู้ตัวและคิดสร้างทานเพื่อที่ตนจะได้ไม่ต้องไปทนทุกขเวทนาในสภาพอย่างนั้น


สถูปปรินิพพานพระสารีบุตรมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.58.16 พฤหัสบดี, 16/8/2550 เวลา : 22:57  IP : 125.24.58.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11692

คำตอบที่ 84
       การที่ท่านโมคคัลลานะเป็นกำลังในการเผยแผ่พระศาสนานี้เอง สร้างความไม่พอใจให้กับพวกเดียรถีย์เป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่สาธุชนทั้งหลายได้พบแสงสว่างแห่งธรรมะที่แท้จริง ก็เลิกนับถือพวกเขา ลาภผลที่เคยได้จากความลุ่มหลงก็เสื่อมไปเป็นอันมาก

ด้วยเหตุนี้ พวกเดียร์ถีย์จึงเกิดความคลั่งแค้นตามวิสัยคนพาล คิดว่าหากกำจัดพระโมคคัลลานะเถระได้แล้ว พระบรมศาสดาก็จะขาดกำลังสำคัญในการช่วยเผยแผ่ไปส่วนหนึ่ง ดังนั้นพวกเดียรถีย์จึงคิดการต่าง ๆ นานาที่จะทำลายพระศาสดาทุกวิถีทาง เช่นให้นางจิญจมาณวิกา มากล่าวตู่พระพุทธองค์ว่าเป็นผู้ทำให้นางตั้งครรภ์ และให้สัจจนิครนถ์มาโต้ตอบธรรมกับพระพุทธองค์ แต่แผนการร้ายก็ไม่เคยสำเร็จสมประสงค์

การกำจัดพระโมคคัลลานะเป็นอีกแผนการหนึ่งของพวกเดียร์ถีย์ ที่คิดจะหยุดความเจริญของพระพุทธศาสนา


เมืองสารนาถ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันพระมูลคันธกุฎี





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.58.16 พฤหัสบดี, 16/8/2550 เวลา : 23:01  IP : 125.24.58.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11693

คำตอบที่ 85
       เรื่องจะเป็นอย่าไรผมขอต่อครั้งหน้าครับ วันนี้ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ ตามท่านไปสวรรค์นรกแล้วเหนื่อยแทนท่าน

บางคนอ่านแล้วจะไม่เชื่อเหมือนฟังนิทานแต่การเผยเพร่ธรรมของทุกศาสนามีเรื่องนรกสวรรค์ทุกที่ ถ้าไม่เชื่อก็ถือว่าฟังเอาไว้ประดับความรู้ครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.58.16 พฤหัสบดี, 16/8/2550 เวลา : 23:04  IP : 125.24.58.16   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11694

คำตอบที่ 86
       สาธุ สาธุ สา..ธุ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก ป๋า สมหมาย 203.113.0.200 ศุกร์, 17/8/2550 เวลา : 12:58  IP : 203.113.0.200   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11695

คำตอบที่ 87
      
สาธุ สาธุ สาธุ .......
อยากอ่านแบบนี้แหละ ขอรับ เหมือนอิสปเล่าให้ฟัง ..........



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Ethan_Hunt จาก Ethan_Hunt ศุกร์, 17/8/2550 เวลา : 22:53  IP :   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 11710

คำตอบที่ 88
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

chyvw จาก ชาย 203.149.16.36 พฤหัสบดี, 30/8/2550 เวลา : 16:44  IP : 203.149.16.36   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12291

คำตอบที่ 89
       ผมไม่ได้ต่อกระทู้เสียนานเนื่องจากเวลาไม่อำนวย วันนี้ขอต่อเรื่องพระโมคคัลลานะจากเมื่อครั้งที่แล้วครับ จะพยายามทำสำนวนให้เหมือนเรื่องเล่าที่ป๋าอีธานชอบให้มากที่สุด

พระโมคคัลลานะ ได้พำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา ก็เกิดมีโจรกลุ่มหนึ่ง คิดจะจับตัวท่าน เพื่อจะทำการประทุษร้าย เพราะเห็นว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีผลต่อการเผยแพร่ธรรม จนทำให้พุทธศาสนาเฟื่องฟู อันเป็นผลทำให้ลัทธิต่าง ๆ ที่พวกโจรนับถืออยู่ ต้องเสื่อมด้อยถอยลง


พวกโจรนั้นพยายามเข้าห้อมล้อม เพื่อดักจับตัวท่านเป็นจำนวนครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเวลาสองเดือน เต็ม ๆ ไม่อาจจับตัวพระโมคคัลลานะได้ เพราะท่านเอาตัวรอดมาได้ทุกครา


จวบจนเข้าเดือนที่สาม พระโมคคัลลานะก็เกิดความแปลกใจขึ้นมาว่า เหตุไฉนพวกโจรเหล่านี้ จึงไม่ลดละความพยายามที่จะทำร้ายท่าน นี่คงเป็นเพราะกรรมบันดาลแน่แท้ จึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้


ท่านจึงกำหนดอธิษฐานย้อนดูกรรมเก่าในอดีตของท่าน ก็พบว่า เป็นบาปกรรมแต่ชาติก่อนอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ซึ่งเห็นทีท่านมิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับตัวท่านไป ทุบตีในป่าเปลี่ยว จนกระทั่งพวกโจรเห็นว่า ท่านตายแล้ว จึงจับตัวของท่านโยนทิ้งไว้ในป่าลึก


หลังจากที่พวกโจรคล้อยหลัง และลับหายไปแล้ว พระโมคคัลลานะ จึงได้นั่งสมาธิ เพื่อเข้าฌาน เพื่อประสานอาการบอบช้ำ และประสานกระดูกให้คืนดังเก่า ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางไปทูลลาเพื่อเข้าสู่นิพพาน ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมืองอัคครา ทัชมาฮาล






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.60.236 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 09:27  IP : 125.24.60.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12303

คำตอบที่ 90
       ถึงแม้พระโมคคัลลานะจะเป็นถึงพระอรหันต์ ซึ่งประกอบแต่คุณงามความดี ไม่มีกรรมไม่ดีในชาตินี้ แต่ทว่า เมื่อเป็นกรรมเก่าแต่ปางก่อนแล้ว ท่านก็ต้องชดใช้ไป ซึ่งในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย


เมื่อข่าวพระโมคคัลลานะ ถูกประทุษร้ายจนถึงแก่ความตายแพร่สะพัดออกไป เหล่าสาวกทั้งหลายก็พากันแปลกใจเป็นอันมาก เพราะเห็นว่า พระโมคคัลลานะเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก เหตุไฉนจึงถูกพวกโจรทำร้ายได้ เหล่าสาวกจึงนำปรัศนีย์นี้ ไปทูลถามต่อพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงตรัสแก่บรรดาสาวกให้หายสงสัยว่า

“เหล่าสาวกทั้งหลาย การที่พระโมคคัลลานะตายนี้ ถึงแม้จะไม่สมควรแก่กรรมในชาตินี้ แต่ก็สมควรแล้วแก่กรรมที่เคยมีในชาติก่อน”

หลังจากนั้น พระองค์ก็ตรัสเล่าเหตุการณ์ถึงที่มาให้ฟังอีกว่า
เมื่อชาติก่อน พระโมคคัลลานะ เกิดเป็นบุตรของคนมั่งมีตระกูลหนึ่ง อาศัยอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโมคคัลลานะมีความขยันขันแข็ง เอาการเอางานจนเป็นที่รักใคร่ของบิดามารดาเป็นอันมาก


ต่อมา ด้วยความรักลูก บิดามารดาเห็นว่าลูกชายนั้นเติบใหญ่ สมควรที่จะมีเมียเพื่อมาเป็นแม่ศรีเรือน เพื่อคอยช่วยงานบ้านงานเรือนได้แล้ว ลูกชายจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป พ่อแม่ก็เฝ้าอ้อนวอนให้ลูกแต่งงาน แต่ลูกชายก็ไม่ยอม เมื่อหลาย ๆ ครั้งเข้า พ่อแม่ทนดูลูกชายเหน็ดเหนื่อยต่อไปอีกไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจพาหญิงสาวคนหนึ่งมาเป็นเมีย เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ ลูกชายก็สุดวิสัยที่จะบ่ายเบี่ยงได้ จึงรับหญิงนั้นไว้


อยู่มานานเข้า ข้างฝ่ายเมียก็เกิดอิจฉาริษยาพ่อผัวแม่ผัวขึ้นมา ที่แย่งเอาความรักจากผัวของตัวไปสิ้น จึงใช้กลอุบายคอยใส่ร้ายพ่อผัวแม่ผัว ให้ผัวของตัวฟังเสมอ ไม่ว่าจะพูดสักกี่ครั้ง ผัวก็ไม่ยอมเชื่อ เมียตัวดีแม้จะไม่ สมหวัง แต่ก็ไม่หมดความตั้งใจที่จะกล่าวร้าย จึงได้คิดเล่ห์กลขึ้นมาใหม่






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.60.236 ศุกร์, 31/8/2550 เวลา : 09:29  IP : 125.24.60.236   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 12304

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  5  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,26 เมษายน 2567 (Online 7241 คน)