WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


เมื่อคลื่นซึนามิมา เราจะหลบอย่างไรดี
ttc009
จาก 009
IP:49.48.97.55

อาทิตย์ที่ , 13/3/2554
เวลา : 10:55

อ่านแล้ว = 17994 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  

คำตอบที่ 61
      

fiogf49gjkf0d
หน้าท้อง ขึ้นมาหน้าอกและออกทางจมูกก็ได้ค่ะ
5.ทีนี้ถ้ามีอาการเกิดขึ้นในขณะนั่งสมาธิ เช่น
-ถ้าเราตัวโยกตัวโอนเอนไปมา ก็ให้กำหนดว่า ตัวโยกหนอ ๆๆๆ 5ครั้ง
เสร็จแล้วตามด้วยคำว่า รู้หนอๆๆๆ 6 ครั้ง เป็นการกำกับว่าเรารู้สิ่งที่
เกิดขึ้น หรือถ้าตัวเราเกร็ง หรือหัวเราจะส่ายไปข้างหน้า อะไรก็แล้วแต่
ตัวเราน่ะให้ทำตามอะไรที่เกิดขึ้นไม่ต้องไปต่อต้านแต่ให้เรากำหนดหัวส่าย
หนอ ๆ5ครั้ง และตามด้วยรู้หนอ ๆ 6ครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอาการกลืนน้ำลาย
หายใจสั้น ใจเต้นใจสั่น หรือเหมือนจะไม่หายใจหรือรู้สึกว่าขาตัวเองหายไป
หรือแขนหายไป หรือตัวลอยสูงขึ้น ให้เรากำหนดตามอาการนั้น หรือความ
รู้สึกนั้น5ครั้ง และตามด้วยคำว่า รู้หนอ 6 ครั้งตามด้วยทุกครั้งไป แล้วคุณจะ
สังเกตุเห็นได้ว่า เมื่อเรากำหนดอย่างนี้ อาการอย่างนั้น อย่างนี้จะหายไป
ภายในไม่ถึง 2นาที มันจะดีกว่าแต่ก่อนที่คุณเคยเป็นลักษณะคนทรงเจ้าที่
สั่นแล้วก็สั่นเลยมาเป็นนานเป็น20-30นาที หรือเป็นมากกว่านั้น
@@@..ดังนั้น มันจึงเป็นการอธิบายได้ว่า ..ที่ให้กำหนดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
และกำหนดรู้หนอตามนั้น ...นั่นก็คือการสกัดกั้นมารไม่ให้มาลงที่เรา
นั่นเอง ...เมื่อเราไปกำหนดรู้หนอรู้ทันมันว่ามันจะลง คุณจะเห็นได้ว่า
แล้วมันก็จะพยายามมาเข้าเราในรูปแบบใหม่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวโยก หัว
สั่น ใจเต้น ตัวหาย แขนหาย หรืออะไรก็แล้วแต่ นี่คือมารค่ะ ..ดังนั้น เมื่อ
เรากำหนดรู้ สิ่งที่กำหนดรู้นี่เองเรียกว่า การกำหนดรู้เท่าทันมารค่ะ ...คือ
จะพูดง่าย ๆ เป็นภาษาคนเราก็คือ ...อะไรน่ะ เธอจะมาไม้ไหน ฉันรู้ทันเธอ
หรอกนะยะ ..อะไรประมาณนี้ค่ะ ก็เหมือนกับคนเรา พอรู้ว่าเขารู้ทันก็จะ
ถอย หรือเหมือนพวกมิจฉาชีพ พอรู้ว่าเขารู้ทันก็จะพยายามหาวิธีการใหม่มา
หลอกเราเรื่อย ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ ..หวังว่าคุณ ๆ คงมองเห็นภาพที่ดิฉัน
อธิบาย หลักของการนั่งสมาธิให้คุณฟังนะคะ
ดังนั้น การที่มารมาลงแบบนี้ ก็อยู่ในหลักไตรลักษณ์เหมือนกันค่ะ คือ
หลักของการไม่เที่ยงแท้แน่นอน คือเข้ามาหาเราหลายวิธี หลายรูปแบบ
เช่น ทำให้เราใจสั่น ทำให้เราเป็นเหมือนคนทรงเจ้าเพื่อครอบงำเราหลอกใช้
เราเพื่อกินเครื่องเซ่น หรือเพื่อหลอกให้เรากลัวเห็นนิมิตน่ากลัว หากเราคุม
สติไม่อยู่ ตัดความกลัวไม่เป็น หากเราไม่ยึดหลัก ของความทุกขัง กลัวนั่น
กลัวนี่ กลัวผี ซึ่งเป็นความรู้สึกของสิ่งปรุงแต่งจิตนะคะ สิ่งเหล่านี้มันจะหลอก
ให้เรามีผลในการไม่กล้านั่งสมาธิ หรือเกิดผลเสียหายในการนั่งสมาธิถ้าเรา
ไม่รู้เท่าทันมัน เราก็อาจเป็นบ้า หรือวิกลจริตตามที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่า ถ้า
คุมจิตไม่อยู่คุณอาจวิกลจริตได้น่ะค่ะ ..
คือพูดง่าย ๆ คือ การนั่งสมาธิ จุดที่เราจับได้มันมีแค่นี้เองค่ะ
1. รู้เท่าทันว่ามารหรืออะไรจะมายังไง รู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าไปหลง
กลมัน
2.ไม่ยึดเหนี่ยว ไม่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นภาพนิมิตหรือ
สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ธรรมสอนให้เรา เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่เอาใจไปเกี่ยวข้อง
3.ตัดความกลัวออกไป ข้อนี้สำคัญมาก ถ้าคุณทำได้ คุณจะนั่งสมาธิได้ดี
มาก กุศลผลบุญจะเกิดขึ้นกับคุณมาก ๆ ทำอย่างไรถึงจะตัดได้ มีวิธีคิดค่ะ
คือ..
1. พยายามคิดว่า สิ่งที่เห็นคือจิตเราปรุงแต่งขึ้น เช่นความกลัว มันก็
แค่ความมืด ผีก็แค่คน หรือสิ่งที่ทำให้เราเห็นไปแบบนั้นแบบนี้ แต่ถ้าเรา
แค่เห็นแล้วไม่ใส่ใจ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และต้องไม่กลัวตาย ให้คิดว่าคนเรา
เกิดมาก็ต้องตายอยู่วันยังค่ำ
2.สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพมายา ไม่ใช่ของจริง ดังนั้นไม่ว่าจะมาหลอน
หลอกอย่างไร ก็ทำอะไรเราไม่ได้ มันเป็นเพียงภาพ ไม่สามารถทำให้เรา



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc051 จาก ย้ง 58.9.216.96 อาทิตย์, 20/3/2554 เวลา : 23:42  IP : 58.9.216.96   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106258

คำตอบที่ 62
      

fiogf49gjkf0d
ตายได้
3.ถือศีลให้มั่น และไม่ยึดติดในโลภ โกรธ หลง เศร้า หรือพลัดพราก
พูดง่าย ๆ ทำเหมือนเราเป็นหุ่นยนต์ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น รู้ก็สักแต่ว่ารู้ ได้
ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ต้องเอาใจไปเกี่ยวข้อง ถ้าเราทำได้อย่างนี้ นิมิตใหม่
มันก็จะมาสอนเราเรื่อยๆ ทดสอบเราเรื่อยๆแล้วเราจะได้ธรรมอันมีคุณค่า
ต่าง ๆ เอง
** สรุปก็คือ ให้คุณยึดหลักไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง**
ดิฉันขอเผยแผ่วิธีการนั่งสมาธิเพื่อเป็นวิทยาทาน จะได้นั่งสมาธิก้นเป็นและ
ยึดหลักได้ถูกต้อง ดิฉันมาบอกบุญแก่ท่าน หากมีผู้รู้ใดต้องการช่วยเสริม
ความรู้ให้ท่านอื่น ๆ ทราบก็จะดีมากค่ะ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขอให้
โปรดอโหสิกรรมให้แก่ดิฉันด้วยนะคะ
ป.ล. อย่าลืมนำไปปฏิบัตินะคะ ถ้าคนไหนที่มีอาการเป็นเหมือนคนทรงเจ้า
นั้น ถ้าทำอย่างนี้ ดิฉันขอรับรองว่า คุณจะหายเข้าสู่ภาวะปกติภายในไม่เกิน
1-2เดือน หรืออาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้ค่ะ ถ้าตั้งใจปฏิบัติ
*** ที่ดิฉันทราบเรื่องที่ปฏิบัติเหล่านี้ เพราะเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับ
ดิฉันมาก่อน เคยเกิดความกลัวและเลิกฝึกสมาธิมาถึงหนึ่งปีเลยทีเดียวค่ะ
แต่ว่า คนเราตั้งใจที่จะทำบุญกุศลไงคะ ดิฉันหาวิธีที่จะนั่งสมาธิให้ได้ ต้องมี
คำตอบอยู่ที่ไหนซักแห่ง ..และนี่เลยค่ะ ดิฉันได้รับคำตอบจากการเสิร์ทหา
ความรู้จากเว็บ google เกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และนำมาประมวลรวบรวมกัน
รวมทั้งได้รับการฝึกสอนอย่างถูกต้องทางอินเตอร์เน็ตกับลูกศิษย์ของหลวง
พ่อจรัล ฐิตธัมโม (พระธรรมสิงหบุราจารย์ค่ะ) ตอนนั้นก็ฝึกกับคุณประมวล
ลูกศิษย์ท่านทางอินเตอร์เน็ตประมาณ 1 เดือน และคอยรายงานอาการให้
ท่านทราบค่ะ และเผอิญว่าเป็นภูมิแพ้บ่อยมาก จึงหยุดฝึกไป คราวนี้มาฝึก
ด้วยตนเอง อาศัยความรู้จากเว็บ google เว็บพลังจิต เว็บลานนาธรรม เว็บ
อะไรต่าง ๆ ก็เลยประมวลความรู้วิธีฝึกมาได้ และตอนนี้ อาการคนทรงเจ้า
ต่าง ๆ ก็ไม่เคยเป็นค่ะ ตอนนี้สามารถฝึกได้ปกติและจิตสงบอยู่ได้ดีค่ะ
...ขอบอกบุญมายังทุกท่านเพื่อจะได้
ปฏิบัติได้ถูกต้องตรงทาง ขออนุโมทนาบุญกุศลเป็นธรรมทานค่ะ
(..อยากอธิบายโดยรวมๆให้ทราบอีกที..คำว่า "มาร" ที่มาผจญในที่นี้ เรียก
อีกอย่างหนึ่งว่า "อาการของสมาธิ" ค่ะ ..เป็น "สภาวะธรรม" มาให้เราได้มี
สติ เพื่อคิดว่า ..เออหนอ..เกิดขึ้นมา..แล้วก็ดับไป ..วนเวียนอยู่อย่างนี้..มัน
เป็นอาการของธรรมชาติ มีเกิดแล้วก็มีดับไป..มันมาเพื่อทดสอบเรา ว่ามีสติ
ดีหรือไม่ ..เข้าใจธรรมมะได้แค่ไหน..ถ้ากลัวมาก จนระงับสติไม่อยู่ ก็ไม่
เรียกว่า มีสติ...ถ้าโกรธมาก ..โดยไม่รู้จักปล่อยวาง ก็เรียกว่า ควบคุมสติไม่
ได้...ถ้ากลัวตาย ก็ไม่มีปัญญาศึกษาธรรมต่อไปให้ถ่องแท้ เพราะถอยออก
มาเสียก่อน ..อย่างนี้เป็นต้นค่ะ)
ขอบคุณข้อความดีๆจากคุณ อรัญญาวี



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc051 จาก ย้ง 58.9.216.96 อาทิตย์, 20/3/2554 เวลา : 23:48  IP : 58.9.216.96   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106259

คำตอบที่ 63
      

fiogf49gjkf0d
ลืมบอกไปค่ะ ที่ให้คุณกำหนดรู้สึกหนอกับสิ่งที่เกิดขึ้น 5ครั้ง และตามด้วย รู้หนอ 6ครั้ง นั้นหมายถึงว่า เป็นการกำกับสติเราให้รู้สึกตัวตลอดเวลาค่ะ ..การนั่งสมาธิไม่ใช่เป็นการนั่งให้จิตล่องลอยไปนะคะ แต่หมายถึงเป็นการนั่งให้มีสติ รับรู้ทุกอย่างที่เป็นไป รับรู้แม้กระทั่งเสียงรอบกายเราหรืออะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ทำใจให้สงบและมีสติ ถ้าใจเราสลบและมีสติ เสียงดังแค่ไหน ร้อนแค่ไหนเราก็จะไม่รู้สึกรำคาญค่ะสามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในการนั่งสมาธิเท่านั้นค่ะ

ถ้าเรารู้สึกว่าเรานั่งสงบรู้สึกสบายตัวก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งนะคะ ให้เราท่องคำว่า สบายหนอ ๆ 5ครั้ง รู้หนอ 6ครั้งเหมือนกัน

ถ้ารู้สึกว่ามีอะไรอุ่น ๆ ซ่านขึ้นที่ตัวและรู้สึกสบาย นั่นคือปิติค่ะ ให้คุณท่องว่า ปิติหนอ ๆ 5 ครั้ง และรู้หนอ 6ครั้ง เหมือนกันค่ะ เพราะความสบายก็ถือว่าเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง อย่าไปยึดติด ให้เพียงแค่รับรู้ถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นค่ะ และถ้าหากคุณปฏิบัติไปได้นาน ๆ ผลบุญความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับคุณ และบุญกุศลจะเกิดขึ้นกับคุณเช่นกันค่ะ

เพราะว่า มันเป็นเพียงแค่การหลอกจากมารไงคะ เพียงแค่ลืมตามันก็หายไป ถึงได้บอกว่าเวลาเรานั่งสมาธิไม่ต้องกลัวอะไร สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพมายาภาพลวงตามาทดสอบความรู้สึกเราว่าเราจะรู้เท่าทันไหม ตัดกิเลส หรือข่มอารมณ์ได้ไหมน่ะค่ะ มันทำอันตรายเราไม่ได้ ดังนั้นเพียงแค่ลืมตาทุกอย่างถึงหายไปค่ะ ..ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องตั้งสติให้มั่นรับรู้ว่าสิ่งที่เห็น สิ่งที่เป็นเพียงการมาทดสอบคุณว่าจะผ่านไปได้ไหมค่ะ นี่เป็นเพียงการทดสอบขั้นเริ่มต้นนะคะ ฝึกไว้จะได้ชินเพื่อตั้งหลักรอรับสิ่งที่เป็นไปให้จิตใจและสมาธิเข้มแข็งขึ้นต่อไปค่ะ

ปล.ลืมบอกไป ถ้าเรากำหนดอะไรแล้วหลงลืมว่ากำหนดไปกี่ครั้งแล้วนะคะ ให้คุณกำหนดว่าหลงหนอ หรือลืมหนอๆ 5ครั้ง และตามด้วยรู้หนอ 6ครั้งค่ะ
ปล.อีกครั้งค่ะ ถ้านั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง ก็ต้องเดินจงกรมให้เท่ากัน1ชั่วโมงด้วยนะคะ หมายถึงให้เวลาเท่ากันทั้ง 2 อย่างน่ะค่ะ อย่าปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งน้อยกว่าหรือมากกว่านะคะ เพราะจะทำให้เกิดอาการสมาธิค้างค่ะ หรือสมาธิเกินค่ะ

จาก..อรัญญาวี เจ้าของบล็อกค่ะ อิ..อิ :))

โดย: อรัญญาวี IP: 192.168.0.125, 112.143.10.213 วันที่: 14 มิถุนายน 2552



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc051 จาก ย้ง 58.9.216.96 อาทิตย์, 20/3/2554 เวลา : 23:52  IP : 58.9.216.96   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106260

คำตอบที่ 64
      

fiogf49gjkf0d
มีอีกนิด คาถาสำหรับปราบมาร

สวัสดีคุณอรัญญาวีและเพื่อนๆทุกทั่นครับ
ก็มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อย เมื่อวานนั่งอยู่เจอมารอะครับสู้มันไม่ได้ถอนซะงั้น 55 เดือนร้อนต้องโทรไปถามพระให้แก้ให้ละครับ ทั่นบอกง่ายๆแต่ทำยากนะครับไอ้อย่าไปสนใจมันน่ะ ขนาดผมไปบวชคาถากันผีมีกี่คาถาก่อนนอนผมใส่เต็มแม็ค เรียกว่าถ้าคาถาเป็นผลจริงผีคงอพยบหนีหมดวัดละครับ ขนาดแผ่เมตตาให้แล้วยังจะมาดักเอาในสมาธิอีกเหอๆก็เลยลองคาถา กันผีที่จำได้บทหนึงลองดูได้ผล ครับ หาย ......ไปแป้ปนึงมาใหม่แถมยิ้มให้ด้วย กำ ทีนี้ก็หลุดละครับสมาธิ แตก อย่างนี้มันต้องถอนครับ วันนี้เลยทำตามพระอาจารย์ดู ทั่นจะสวดชุมนุมเทวดา และเมตตานิสังสะ ก่อนเป็นการเรียกเทวดามาปกปักรักษา โดยเฉพาะเมตตานิสังสะ ทั่นบอกให้สวดก่อจะดีเรียกว่าถ้ามี มารมากวนเราก็มีเทวดามาปราบ เป็นอุปทานที่ทั่นบอกไว้ ก็เลยทำตามทั่นบอกเหตุการณืปกติครับ ไม่เห็นเพื่อนมายิ้มให้แล้ว แต่สมาธิยังส่ายๆอาจจะเพราะฝังใจกับเพื่อนเก่า วันนี้ก็เลยมาแนะนำวิธีของตัวเองดูเผื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ศึกษาอยู่ จะลองไปใช้ดูนะครับ บทสวดเมตานิสังสะก่อนนั่งครับ
เมตตานิสังสะสุตตะปาโฐ
เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง
วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑกัสสะ อาราเม ฯ ตัต์ระ โข
ภะคะวา ภิกขุ อามันเตสิ ภิกขะโวติ ฯ ภะทันเตติ เต ภิกขุ
ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง ภะคะวา เอตะทะโวจะ

เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ
พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ
สุสะมารัทธายะ เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขา ฯ กะตะเม เอกาทะสะ ฯ
สุขัง สุปะติ สุขัง ปะฏิพุชฌะติ ฯ นะ ปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ ฯ
มะนุสสานัง ปิโย โหติ ฯ อะมะนุสสานัง ปิโย โหติ ฯ เทวะตา
รักขันติ ฯ นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ ฯ ตุวะฏัง
จิตตัง สะมาธิยะติ ฯ มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ ฯ อะสัมมุฬ์โห กาลัง
กะโรติ ฯ อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พรัหมะโลกูปะโค โหติ ฯ

เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ
พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ
สุสะมารัทธายะ อิเม เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขาติ ฯ อิทะมะโวจะ
ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา เต ภิกขุ ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุนติ ฯ

โดย: พระสึกใหม่ IP: 58.8.98.79 วันที่: 11 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:30:00 น.



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc051 จาก ย้ง 58.9.216.96 จันทร์, 21/3/2554 เวลา : 00:09  IP : 58.9.216.96   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106261

คำตอบที่ 65
      

fiogf49gjkf0d
ทำน้ำมนต์กินเอง ทุกเช้าก่อน 11โมงเช้า ห้ามเกินเวลานี้ เพราะพระฉันข้าวไม่เกิน11โมง ให้เอาน้ำใส่แก้วเล็กๆ แล้วท่องอิติปิโสใส่ในแก้วนั้น แล้วอธิษฐานว่า ขอให้น้ำมนต์นี้เป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถแก้คุณไสย์และการครอบครูของคนทรงเจ้าตลอดจนภัยอันตรายต่างๆได้ เสร็จแล้วท่องคำถวายข้าวพระพุทธ (เมื่อตั้งแก้วไว้ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธปรูปแล้วให้ท่องว่า)

อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมปันนัง สาลีนัง โภชะนัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ


(ข้าพเจ้าขอบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยโภชนาอาหารและน้ำนี้แด่พระพุทธเจ้า)

เสร็จแล้วรอสักหนึ่งนาที แล้วยกแก้วน้ำขึ้นเล็กน้อย แล้ววางแก้วน้ำลงตามเดิม

เสร็จแล้วกล่าวคำลาข้าวพระพุทธว่า

เสสัง มังคะลัง ยาจามิฯ

ข้าพเจ้าได้บูชาน้ำนี้แล้ว ขอดื่มน้ำที่เหลือเพื่อเป็นมงคล

เสร็จแล้วให้น้องอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอยึดเหนี่ยวเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้าเป็นสรณะกำจัดทุกข์อันสูงสุด ขอพระองค์ท่าน จงสถิตอยู่ในน้ำนี้และขอให้พระองค์ท่านจงสถิตอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้าเพื่อขจัดคุณไสย์และการครอบครูที่อยู่ในร่างกายของข้าพเจ้าให้ออกจากร่างกายของข้าพเจ้าให้หมดด้วยเทอญ...แล้วก็ดื่มกิน หรือน้องจะเพียงแค่ไม่ต้องตั้งน้ำถวายท่าน แต่ทำเสกน้ำดื่มด้วยการตั้งนะโม3จบเป่าลงไปในน้ำ และท่องพระคาถาอิติปิโส3จบก็ได้ แร้วเป่าลงไปในน้ำ และอธิษฐานตามที่พี่บอกอย่างนี้บ่อยๆ อาจจะใช้เวลาหลายเดือนหลายปีก็ได้ แต่ท้ายที่สุด อานุภาพของพระองค์ท่านจะต้องช่วยเราแน่นอน แต่ต้องอาศัยความเพียรของเราที่จะทำน้ำนี้ดื่มบ่อยๆนะคะ มีประโยชน์ทำให้เราพ้นภัยหลายๆอย่างได้ค่ะ ..ตอนนี้พี่ก็พยายามทำแบบนี้บ่อยๆเหมือนกันค่ะ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อนดีที่สุดค่ะ ที่สำคัญอย่าไปรับไสยศาสตร์อะไรจากใครนะคะ พี่ขอเตือน ไม่ว่าจะเป็นสาลิกาลิ้นทองหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับการสัก หรืออะไรก็ตามแต่ อย่าไปรับค่ะ เดี๋ยวของจะเข้าตัวเหมือนพี่ค่ะ เพราะมันทรมานมาก เข้าง่าย แต่ตอนให้ออกนี่ยาก เพราะไม่มีใครเขาอยากรับรักษาให้เราได้ง่ายๆนะคะ ถ้าพวกที่รับง่ายๆก็คือพวกหลอกเอาเงินน่ะค่ะ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc051 จาก ย้ง 58.9.141.115 จันทร์, 21/3/2554 เวลา : 00:45  IP : 58.9.141.115   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106262

คำตอบที่ 66
      

fiogf49gjkf0d



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

saliga578 จาก เรือง 118.172.233.57 จันทร์, 21/3/2554 เวลา : 07:12  IP : 118.172.233.57   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106264

คำตอบที่ 67
      

fiogf49gjkf0d
สถิติแผ่นดินไหว . . .ความจริงที่ถูกละเลย!

ตารางข้างบนคือค่าเฉลี่ยของจำนวนครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวในเวลาหนึ่งปีของช่วงเวลาต่างๆ รวม 3 ช่วงทั่วโลก ผมยกตารางนี้ขึ้นมาก่อนเพราะเผื่อว่า ท่านที่มีเวลาน้อยๆ จะได้รับความรู้ที่สำคัญนี้ไปบ้างก่อนที่จะคลิกเลยไป

ขณะนี้สังคมโลกกำลังให้ความสนใจไปที่การจัดการแก้ปัญหากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่กำลังระเบิด หนังสือพิมพ์ออนไลน์ “The Telegraph” (17 มี.ค. 54) ของอังกฤษพาดหัวว่า “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ญี่ปุ่น : เหลือเวลาอีก 48 ชั่วโมงเพื่อจัดการไม่ให้เหมือนกรณีเชอร์โนบิลอีก”

ลุ้นระทึก!

กรณีเชอร์โนบิลได้ส่งผลให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 4 ขวบเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ในเวลาต่อมาถึง 34% แม้ในวันนี้เวลาได้ผ่านล่วงเลยมากว่า 20 ปีที่แล้ว แต่ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตจากเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว มันฝรั่ง ถ้าผู้บริโภครู้ว่าผลิตจากที่นี่จะไม่มีใครซื้อเพราะยังมีสารกัมมันตรังสีเจือปนอยู่

ขณะที่ความสนใจของชาวโลกกำลังจดจ่ออยู่ที่อันตรายจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ผมขออนุญาตนำท่านไปพิจารณาเรื่องสถิติแผ่นดินไหวใน 2 ประเด็น ผมคิดว่าสำคัญมากๆ ครับ

หนึ่ง ความถี่ในการเกิดแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้นหรือไม่

ผมได้ฟังนักวิชาการสองท่านผ่านรายการโทรทัศน์ทีวีไทย ผมไม่มั่นใจในคำพูดแบบคำต่อคำ แต่ผมจับใจความได้ว่า "ทุกวันนี้ แผ่นดินไหวไม่ได้เกิดบ่อยขึ้นกว่าเดิม แต่ความเสียหายหรือจำนวนผู้เสียชีวิตมีมากขึ้น เพราะจำนวนประชากรมากขึ้น เรามีระบบการสื่อสารที่ดีขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่ามันเกิดบ่อยขึ้น นอกจากนี้ สถานีวัดความสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก”

ผมเกิดความสงสัยมากต่อข้อสังเกตดังกล่าว ผมจึงต้องรีบกลับมาค้นหาข้อมูลว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

พบว่าในแต่ละปี แผ่นดินไหวขนาดต่ำกว่า 4.0 ริกเตอร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่พอจะทำให้คนส่วนใหญ่แค่รู้สึกได้ (บางคนอาจจะไม่รู้สึก) เกิดขึ้นปีละกว่า 1.3 ล้านครั้ง ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องสนใจระดับนี้ ปล่อยให้ไหวเสียให้เข็ด

สำหรับระดับ 4.0 ถึง 4.9 ริกเตอร์ ทำให้คนทุกคนรู้สึกได้ ถ้วยแก้วในบ้านอาจตกหล่นลงมาแตกได้บ้าง ระดับที่เราสนใจคือระดับตั้งแต่ 5.0 ริกเตอร์ขึ้น เพราะเป็นระดับที่เริ่มทำให้เฟอร์นิเจอร์ในบ้านล้มได้ ระดับ 7.0 ถึง 7.9 อาจทำให้สะพานพัง เขื่อนแตก จนถึงระดับตั้งแต่ 8.0 ขึ้นไปดังที่เรากำลังเฝ้าติดตามอยู่

อนึ่ง ระดับความแรงของแผ่นดินไหวมีได้ไม่จำกัด คืออาจจะถึง 10.0 ริกเตอร์หรือมากกว่าก็ได้ แต่เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ คือระดับ 9.5 ริกเตอร์ ที่ประเทศชิลี เมื่อปี 2503

ข้อมูลในช่วงก่อนปี 2533 ผมได้มาจากตำราคณิตศาสตร์เล่มหนึ่งซึ่งพิมพ์ปีนั้น ส่วนที่เหลือได้มาจากศูนย์ข้อมูลแผ่นดินไหวแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ท่านผู้อ่านสามารถค้นได้จาก http://earthquake.usgs.gov/earthquakes/eqarchives/year/info_1990s.php

ผมเองแม้จะมีข้อสงสัยในความละเอียดของจำนวน “1000” ที่ปรากฏในคอลัมน์ที่สองอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ส่งผลให้ความมากน้อยของผลรวมเปลี่ยนไป ผมขอสรุปสาระสำคัญจากตารางดังนี้

(1) จำนวนครั้งเฉลี่ยต่อปีที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตั้งแต่ระดับ 5.0 ริกเตอร์ขึ้นไปได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน คือจากประมาณ 1,199 ครั้งเป็น 1,476 และ 1,657 ครั้ง ตาม 3 ช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งๆ ที่ปี 2554 ยังมีเวลาเหลืออีก 9 เดือนกว่า

(2) ก่อนปี 2533 ความรุนแรงระดับตั้งแต่ 8.0 ขึ้นไปเกิดขึ้นเพียงปีละ 0.2 ครั้ง หรือ 5 ปีเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง ในช่วงถัดมา (2533 ถึง 2542) ได้เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 0.6 ครั้ง หรือ 10 ปีเกิดขึ้น 6 ครั้ง แต่พอมาถึงช่วง 12 ปีสุดท้ายได้เพิ่มขึ้นเป็น ปีละ 1.25 หรือ 12 ปีเกิดขึ้นถึง 15 ครั้ง

พูดให้สั้นๆ ก็คือ เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาก่อนปี 2533 กับช่วงเวลา 12 ปีสุดท้าย แผ่นดินไหวที่มีขนาดความรุนแรงสูงสุดคือมากกว่า 8.0 ริกเตอร์ได้เกิดเพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าตัวของช่วงก่อนปี 2533

(3) ที่ระดับ 6.0 ถึง 7.9 ริกเตอร์ จำนวนครั้งที่เกิดขึ้นได้ลดลงเล็กน้อย ซึ่งผมไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เพียงแต่ขอตั้งเป็นข้อสังเกตเท่านั้น

ความสนใจน่าจะอยู่ที่ระดับความรุนแรงในระดับสูงสุด เพราะมันกำลังล้างผลาญอย่างโหดร้ายทารุณมาก ผมคิดว่านักวิชาการทั้งสองท่านที่ผมกล่าวถึงคงมีเวลาอธิบายน้อยเกินไป ประกอบกับพิธีกรในรายการก็ถามรุกอย่างตั้งตัวไม่ทัน ท่านจึงไม่ได้จำแนกในรายละเอียดในแต่ละระดับออกมา

เพราะการเอาจำนวนที่มีหลัก "พัน” ที่มีความรุนแรงมากไปรวมกับจำนวนที่มีหลัก "ล้าน” ที่มีความรุนแรงน้อย คำตอบที่ได้ก็กลายเป็นคำตอบที่ทำให้ประเด็นสำคัญหายไป

เหมือนกับการเอาทรายละเอียดไปผสมกับทรายหยาบ ผลลัพธ์ย่อมกลายเป็นทรายหยาบ

สอง สิ่งที่ผมสงสัยมาก แต่อาจจะดูทื่อๆ หรือเป็น “สูตรสำเร็จ” ไปหน่อยก็คือ มันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือปัญหาโลกร้อนหรือไม่? เพราะนักวิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้สรุปว่า “ทั้งความถี่และความรุนแรงของพายุที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากปัญหาโลกร้อน” แต่ในเรื่องแผ่นดินไหวผมไม่ทราบ เพียงแต่สงสัย

ขออีกสักข้อมูลครับ บริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษได้ศึกษาพบว่า ภายในปี พ.ศ. 2608 ความสูญเสียในทรัพย์สินของมนุษย์ที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งได้รวมถึงภัยจากแผ่นดินไหวเอาไว้แล้ว จะมากกว่ารายได้ตลอดทั้งปีของคนทั้งโลกในปีนั้นรวมกัน

ถึงเวลาแล้วที่ชาวโลกต้องร่วมกันคิดการใหญ่ แล้วลงมือปฏิบัติทันที บนพื้นฐานของความเคารพต่อกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้ได้เสียก่อนว่า แผ่นดินไหวมันเกี่ยวกับโลกร้อนหรือไม่ เพราะแค่เรื่องพายุอย่างเดียวที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว เราก็เหนื่อยแทบตายแล้ว

Ref. http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000035591>






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 21/3/2554 เวลา : 08:48  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106266

คำตอบที่ 68
      

fiogf49gjkf0d
ไม่เชื่อก็น่าเชื่อ ผมนั่งสูบบุหรี่หน้าบ้านมองไปที่อ่างเลี้ยงปลา ทำไมน้ำมันกระเพื่อม ก็ยังงงก็มานั่งดูทีวีได้สักพักก็มีข่าวด่วน





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TTC077 จาก TTC-077oTAKOBo 124.120.246.109 พฤหัสบดี, 24/3/2554 เวลา : 21:53  IP : 124.120.246.109   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106404

คำตอบที่ 69
      

fiogf49gjkf0d
ด่วน..!!!!
ดินไหวพม่า 6.7 ริกเตอร์ - อาคารสูงกทม.ได้รับแรงสะเทือน...

เกิดแผ่นดินไหวในพม่า 6.7 ริกเตอร์ นาน 5 นาที หลายจังหวัดในภาคเหนือของไทย และอาคารสูงในกรุงเทพฯ รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ผอ.เฝ้าระวังแผ่นดินไหวฯ แนะนำอย่าตื่นตระหนก อยู่ในตึกสูงอย่าวิ่งออกมา ให้หมอบใต้โต๊ะกันของตกใส่ แต่หากอยู่ชั้นล่าง หรืออาคารเตี้ย ออกมาที่โล่งจะปลอดภัยกว่า

วันนี้ (24 มี.ค.) เวลาประมาณ 20.50 น. มีรายงานแจ้งว่าเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศพม่า 6.7 ริกเตอร์ หลายจังหวัดในภาคเหนือไทยได้รับแรงสั่นสะเทือน

ทางด้าน นายบุรินทร์ เวชบันเทิง ผู้อำนวยการส่วนเฝ้าระวังแผ่นดินไหวและสึนามิ เผยว่าแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้อาจทำให้เชียงรายเกิดความเสียหาย แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน

พร้อมแนะนำประชาชนอย่าตื่นตกใจ หากอยู่ในตึกสูงอย่าวิ่งออกนอกอาคารแต่ให้หมอบใต้โต๊ะป้องกันของตกใส่ ส่วนอยู่ในอาคารเตี้ย หรือชั้นล่าง ให้ออกมาที่กลางแจ้งจะปลอดภัยกว่า

โดยแผ่นดินไหว 6.7 ริกเตอร์นี้ จากสถิติเมื่อแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ อาจทำให้อาคารร้าวเล็กน้อย

ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่าเชียงรายเกิดอาฟเตอร์ช็อกกว่า 20 ครั้ง และหลายอาคารสูงในกรุงเทพก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน

Ref. : http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000037820>



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.7.137 พฤหัสบดี, 24/3/2554 เวลา : 21:54  IP : 124.121.7.137   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106405

คำตอบที่ 70
      

fiogf49gjkf0d
http://earthquake.usgs.gov/earthquakes/recenteqsww/

เวปนี้เป็นเวปน่าสนใจทีเดียวครับ รายงานการเกิดแผ่นดินไหว......



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc009 จาก 009 49.48.95.243 พฤหัสบดี, 24/3/2554 เวลา : 22:03  IP : 49.48.95.243   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106406

คำตอบที่ 71
      

fiogf49gjkf0d






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc009 จาก 009 49.48.95.243 พฤหัสบดี, 24/3/2554 เวลา : 22:06  IP : 49.48.95.243   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106407

คำตอบที่ 72
      

fiogf49gjkf0d
after chock 4.8





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc009 จาก 009 49.48.95.243 พฤหัสบดี, 24/3/2554 เวลา : 22:16  IP : 49.48.95.243   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106410

คำตอบที่ 73
      

fiogf49gjkf0d
เร็วๆนี้ก่อนเปิดเทิอมฝันร้ายแน่ๆ แทงหวยไม่เคยถูกเลย 555 ผมเคยพิมพ์ให้อ่าน ว่าลูกคนโตจบ ม.3 จะขึ้น ม.4 มันต้องมีเหตุภัยภิบัติใหญ่มากๆ แล้วมันก็ดันเดาถูกใกล้เคียงสุดยอดจริงๆ 555 ในครอบครัวเพื่อนๆบอกตั้ง แต่ ลูกอยู่ ป.6 บอกเพื่อนๆที่ทำงานมันก็ขำๆว่าเราบ้า
ผมเที่ยวบ่อยเที่ยวกลางคืน จนหนีเพื่อนเที่ยวป่าเขาดีกว่า แล้ว คิดหา ขับ 4 สักคัน เอาแบบไว้ลุยๆได้ ไว้เป็นตัวช่วย แต่ถ้ามันเกิดจริงคงช่วยอะไรไม่ได้ คิดไว้แบบนี้จริงๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TTC077 จาก TTC-077oTAKOBo 124.121.208.53 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 00:03  IP : 124.121.208.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106428

คำตอบที่ 74
      

fiogf49gjkf0d
กำลังดูรายการ "เริ่องจริงผ่านจอ" ทางช่อง 7 อยู่...
มีนักวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยา บอกว่า..
ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ทั้งจากญี่ปุ่น และอเมริกา บอกว่า...

มีโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งต่อไป...
จะเกิดที่... "ฟิลิปปินส์"

เพราะว่าเป็นแผ่นเปลือกโลกชิ้นเดียวกันกับที่เกิดที่ญี่ปุ่น
แผ่นนี้เรียกว่า.. "รอยเลื่อนฟิลิปปินส์"

ถ้าเกิดขึ้นจริง.. ที่ฟิลิปปินส์ละก็ !!!
"ความฉิบหาย".... จะมาเยือนบ้านเราในไม่เกิน 2 ปี !!!

ทำบุญ นั่งสมาธิกันเยอะๆ นะครับทุกท่าน... งานนี้ตัวใครตัวมันละครับ...



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.7.137 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 00:17  IP : 124.121.7.137   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106429

คำตอบที่ 75
      

fiogf49gjkf0d
เหอๆ ตัวใครรอดก็อย่าลืมหาเทอมาขับเชื่อผ้อม 555
ข้อมูลจากกรมทรัพยากรธรณีระบุว่า ประเทศไทยมีรอยเลื่อนประมาณ 13 รอย ประกอบด้วย 1.รอยเลื่อนแม่จันและแม่อิง ครอบคลุม จ.เชียงรายและเชียงใหม่ 2.รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน ครอบคลุม จ.แม่ฮ่องสอนและตาก 3.รอยเลื่อนเมย ครอบคลุม จ.ตากและกำแพงเพชร 4.รอยเลื่อนแม่ทา ครอบคลุม จ.เชียงใหม่ ลำพูนและเชียงราย 5.รอยเลื่อนเถิน ครอบคลุม จ.ลำปางและแพร่ 6.รอยเลื่อนพะเยา ครอบคลุม จ.ลำปาง เชียงรายและพะเยา 7.รอยเลื่อนปัว ครอบคลุม จ.น่าน 8.รอยเลื่อนอุตรดิตถ์ ครอบคลุม จ.อุตรดิตถ์ 9.รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ครอบคลุม จ.กาญจนบุรี และราชบุรี 10.รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ครอบคลุม จ.กาญจนบุรีและอุทัยธานี 11.รอยเลื่อนท่าแขก ครอบคลุม จ.หนองคายและนครพนม 12.รอยเลื่อนระนอง ครอบคลุม จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนองและพังงา และ 13.รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ครอบคลุม จ.สุราษฎร์ธานี กระบี่

แต่ทั้งนี้ รอยเลื่อนที่มีความเสียงที่จะเกิดแผ่นดินไหว มีเพียง “รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ รอยเลื่อนด่านเจดีย์สามองค์ รอยเลื่อนเมย รอยเลื่อนเถิน รอยเลื่อนแม่จัน” เท่านั้น นอกจากนั้น ยังมีรอยเลื่อยสะแกงซึ่งอยู่ในประเทศพม่า ซึ่งหากเกิดแผ่นดินไหวจะมีอิทธิพลมาถึงไทยด้วย
อย่าลืม เตรียมน้ำเตรียมไฟ เตรียมใจ ขาว ปลาปิ้งด้วยเด้อ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TTC077 จาก TTC-077oTAKOBo 124.121.208.53 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 00:25  IP : 124.121.208.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106430

คำตอบที่ 76
      

fiogf49gjkf0d
ยังมีตามมาีอีก





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc009 จาก 009 223.207.163.238 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 02:17  IP : 223.207.163.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106441

คำตอบที่ 77
      

fiogf49gjkf0d
คิดแล้วเศร้า เหตุการณ์ทุกวันตื่นขึ้นมามีแต่เรื่องวุ่นวาย ไม่มีความสุขสนุกสนานเหมือนเมื่อวันวานเลย





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

rawat จาก TTC - 047 ฅนบางกอก 124.120.155.177 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 05:45  IP : 124.120.155.177   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106443

คำตอบที่ 78
      

fiogf49gjkf0d
คลายเครียดครับ ภาพนี้ (ถ่ายเมื่อ พศ 2446)ที่ไหนในกรุงเทพฯ ทายกันเล่นๆอย่าฃีเรียด





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

rawat จาก TTC - 047 ฅนบางกอก 124.120.155.177 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 14:22  IP : 124.120.155.177   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106472

คำตอบที่ 79
      

fiogf49gjkf0d
ไม่แน่ใจครับพี่เรวัต เห็นลางๆยอดเจดีย์ ร้อยกว่าปีแล้วครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

130 จาก หนึ่ง กาฬสินธุ์ 118.175.78.76 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 15:10  IP : 118.175.78.76   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106486

คำตอบที่ 80
      

fiogf49gjkf0d
สี่แยกเฉลิมไทย 555



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TTC077 จาก TTC-077oTAKOBo 124.122.172.225 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 18:07  IP : 124.122.172.225   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106504

คำตอบที่ 81
      

fiogf49gjkf0d
ภาพนี้อยู่ที่เจ้าแม่เขาสามมุข เขียนใว้ว่า แยกผ่านฟ้า ปัจจุบัน ก็คือภาพ คต ที่77 นั่นแหละครับ ไม่ทราบจริงเท็จอย่างไร



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

rawat จาก TTC - 047 ฅนบางกอก 124.120.155.177 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 18:09  IP : 124.120.155.177   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106505

คำตอบที่ 82
      

fiogf49gjkf0d
ถูถต้องแล้วครับพี่กบ เยี่ยมจริงๆ และผมเคยนั่งรถราง (รถไฟฟ้าสม้ยก่อน)แบบในภาพ จากวัดเรียบไปบางลำพู และ 14ตค16 ผมก็ร่อนๆอยู่แถวๆนี้แหละ แก่แดดมั้ย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

rawat จาก TTC - 047 ฅนบางกอก 124.120.155.177 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 18:13  IP : 124.120.155.177   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106506

คำตอบที่ 83
      

fiogf49gjkf0d
ร้อยกว่าปี ความเจริญก้าวหน้าไปมากๆ จากโลกมีอายุเป็นล้านๆปี ซึ่งมีความสมดุลย์ทางด้านทรัพย์ยากร แต่จากบัจจุบัน การเจริญเติบโต ความก้าวหน้าแข่งขันกันยิ่งใหญ่ จนโลกขาดความสมดุลย์
อดีตมนุษย์มีการย้ายถิ่นฐานตามสภาพแวดล้อมต่างกับบัจจุบัน ที่ขุดค้นหาทรัพย์ยากรนำมาพัฒนา กรุงเทพแค่ร้อยกว่าปีจนมีวันนี้ แล้ว กรุงเทพ แผ่นดินไทย อดีตกับบัจจุบัน กับอนาคตคงไม่ต่างกัน แต่ ความเป็นมนุษย์ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน ดีแบบไหนวิธีไหน ไม่รู้ว่าถูกรึผิดก็ขอให้ได้มาด้วยวิธีการต่างๆนาๆ พระพุทธองค์ถึงหนีออกจากวังไปบวชจนสำเร็จเป็นอรหันต์ สาธุ
วัฏจักรของโลก กับ วัฏจักรของคน คงไม่ต่างกัน วนเวียนกันตามกาลเวลา ฉนั้นใครโสดๆยังไม่ได้ทำอะไรก็รีบๆทำสะ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TTC077 จาก TTC-077oTAKOBo 124.122.172.225 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 19:08  IP : 124.122.172.225   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106507

คำตอบที่ 84
      

fiogf49gjkf0d
ด้วยความเคารพนะครับพี่ๆทุกท่าน..
ผมขอแสดงความเห็นแย้งครับ..
ในประเด็นภาพเก่าในกระทู้ที่ 78... ที่ทางเขาสามมุก อ้างว่าได้ถ่ายไว้เมื่อ ปี 2446

ผมไม่เชื่อ.. ในสิ่งที่ทางเขาสามมุกเขียนบอกเอาไว้ครับ..

ปี พ.ศ. 2554 = ค.ศ. 2011 ... ดังนั้น
ปี ค.ศ. 2446 = พ.ศ. 1903

เหตุผล.. ที่ผมไม่เชื่อ ก็คือว่า

1. เรื่องแรก.. เครื่องบิน ที่เอามาถ่ายภาพ ในสมัยนั้นมันหาได้ง่ายนักหรือ???
2. สมัยนั้น.. แค่มีกล้องถ่ายภาพ ก็แพงและถ่ายลำบากมากอยู่แล้ว.. แต่นี่เล่นเอาขึ้นเครื่องบิน ที่ทั้งสั่น ทั้งโยกไปทั้งลำ กล้องในยุคปัจจุบันยังตั้งกล้องถ่ายได้ยากเลย แล้วสมัยนั้นมันจะถ่ายได้อย่างไรละ???

ตามผมมาต่อ...

ผมทำงานด้านการบิน.. ถึงจะมีหลายเรื่องที่ไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดในธุรกิจการบินนี้
แต่มันแปลกๆ ผิดสังเกตไปหน่อยนะครับ... เลยต้องค้นคว้าสักหน่อย!!

เลยพบว่า...

" การบินเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยตั้งแต่สมัยที่เรายังใช้ช้างเป็นพาหนะสำคัญในการขนส่งทางบก และมีเรือพายเรือแจวแล่นลอยเต็มลำน้ำลำคลอง ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โดยมีนักบินชาวเบลเยี่ยมคือ นายวัลเดน เบอร์น (Vanden Born) ได้นำเครื่องบินแบบออร์วิลล์ ไรท์ (Orwille Wright) มาสาธิตการบินถวายให้ทอดพระเนตร และให้ประชาชนในกรุงเทพฯ ชม เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2454 ณ สนามราชกรีฑาสโมสร ปทุมวัน นับเป็นเครื่องบินลำแรกที่บินเข้ามาในราชอาณาจักร โดย นายพลตรีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นกำแพงเพชรอัครโยธิน (พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน) ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และจเรทหารช่างแห่งกองทัพบก ได้ทรงเป็นผู้โดยสารที่ขึ้นบินทดลองชุดแรก เมื่อเสร็จการแสดงแล้วได้ทรงซื้อเครืองบินนั้นไว้เพื่อประโยชน์แก่การศึกษา และในปี พ.ศ. 2454 นั้นเอง กระทรวงกลาโหม ได้ส่งนายทหารไทย 3 นาย ไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส เมืองวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2454 ได้แก่

นายพันตรีหลวงศักดิ์ ศัลยาวุธ (นายสุณี สุวรรณประทีป)
นายร้อยเอกหลวงอาวุธ สิขิกร (นายหลง สิน-ศุข) และ
นายร้อยโททิพย์ เกตุทัต

เมื่อนายทหารทั้ง 3 นาย จบการศึกษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงให้จัดซื้อเครื่องบินบรรทุกเรือกลับมาประเทศไทย จำนวน 8 ลำ เป็นเครื่องบินที่ทางราชการซื้อ 7 ลำ และเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ซื้อให้ทางราชการ 1 ลำ หลังจากนั้นได้มีการก่อตั้งแผนกการบินทหารโดยใช้สนามราชกรีฑาสโมสรเป็นสนามบิน และสร้างโรงเก็บเครื่องบินขึ้นในบริเวณนั้น และในปี พ.ศ. 2457 กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการก่อสร้างสนามบินดอนเมืองแล้วเสร็จ เพื่อเป็นสนามบินที่ใช้ในกิจการทหาร และได้เลื่อนฐานะแผนกการบินทหารยกขึ้นเป็นกรม และได้เคลื่อนย้ายจากสนามราชกรีฑาสโมสรไปสู่ที่ตั้งใหม่ที่ดอนเมืองจนถึงปี พ.ศ. 2491 ท่าอากาศยานดอนเมืองได้เข้ามาอยู่ในการควบคุมดูแลของกรมการบินพลเรือน กองทัพอากาศ (และในปี พ.ศ. 2499 ได้เปลี่ยนชื่อท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นท่าอากาศยานกรุงเทพ แต่ยังคงสังกัดกองทัพอากาศอยู่) ท่าอากาศยานดอนเมืองให้เป็นสนามบินหลักของประเทศ และได้รับการพัฒนาสร้างเสริมต่อเติมมาจนกระทั่งปัจจุบัน

เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น และใน พ.ศ. 2461 ไทยได้ส่งทหารอาสาเข้าร่วมการรบด้วย 300 คน ทหารอาสาของไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่อการขับเครื่องบินและเลยไปถึงการสร้างเครื่องบินจากทหารฝรั่งเศส เมื่อสิ้นสงครามโลกปรากฏว่าไทยมีนักบินที่มีคุณสมบิตครบถ้วนมากกว่า 100 คน ประชาชนชาวไทยต่างพร้อมในกันบริจาคเงินซื้อเครื่องบินให้กับทางราชการ (กระทรวงกลาโหม) ได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนมากจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อของจังหวัดที่บริจาคเงินเป็นชื่อของเครื่องบินได้เป็นจำนวนมากถึง 31 ลำ

เมื่อ พ.ศ. 2462 ได้มีการทดลองทำการบินรับส่งไปรษณีย์ระหว่างกรุงเทพฯ กับจันทบุรีด้วยเครื่องบินเบรเกต์ (Breguet XIV) ซึ่งเป็นเครื่องบินทหารที่ได้ดัดแปลงมาใช้งานขนส่งทางอากาศ นับว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้ามาสู่การบินก่อนหน้าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ การทดลองทำการบินได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ต่อมาจึงได้มีการขนส่งผู้โดยสารในเส้นทางนี้ด้วย

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2463 กรมอากาศยานทหารบกได้เปิดการบินรับส่งไปรษณีย์ระหว่างจังหวัดนครราชสีมากับจังหวัดอุบลราชธานีขึ้น เพราะในเวลานั้นจังหวัดทั้ง 2 ยังมิได้มีการติดต่อกันโดยทางรถไฟ เส้นทางบินได้ขยายออกไปยังจังหวัดอุดรธานี และหนองคาย มีเส้นทางบินอีกสายหนึ่งไปยังจังหวัดพิษณุโลก และเพชรบูรณ์ แม้จะมีการขนส่งผู้โดยสารบ้าง แต่บริการหลักก็ยังคงเป็นไปรษณีย์และเป็นการขนส่งไปยังจังหวัดที่ยังไม่มีรถไฟเชื่อมถึง

ในปี พ.ศ. 2468 ประเทศไทยได้จัดตั้งกองบินพลเรือน กรมบัญชาการกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม และจากนั้นการบินพลเรือนของประเทศได้มีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบมาโดยตลอด

เมื่อ พ.ศ. 2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ได้พระราชทานทุนให้ น.อ.เลื่อน พงษ์โสภณ ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการจักรกลอยู่แล้ว ไปศึกษาวิชาการบินและวิศวกรรมช่างกลต่อที่สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 3 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาในปี 2475 ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย น.อ.เลื่อน พงษ์โสภณ ได้ไปรับจ้างแสดงการบินผาดโผน เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม จึงได้เดินทางไปแสดงในรัฐต่าง ๆ หลายแห่ง จนกระทั่งมีเงินเหลือเก็บจึงขอซื้อเครื่องบินจากบริษัท TRAVEL AIR ในแบบเครื่องยนต์ CURTISS OX-5 90 แรงม้า ในราคา 6,000 บาท และใช้เครื่องบินนั้นบินกลับมายังประเทศไทย โดยให้ชื่อเป็นภาษาไทยว่า “นางสาวสยาม” และเป็นภาษาอังกฤษว่า “MISS SIAM” นับเป็นเครื่องบินพลเรือนลำแรกของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ 2475 น.อ. เลื่อน พงษ์โสภณ ได้ทำการบินเดี่ยวจากประเทศไทยไปยังประเทศจีนและกลับในความอุปถัมป์จาก สมาชิกสโมสรสามัคคีจีนสยาม (ชาวจีนในไทย) ได้ช่วยกันเรี่ยไรเงิน นับว่าประเทศไทยได้มีการคมนาคมทางอากาศกับประเทศจีนเป็นครั้งแรก เพราะขณะนั้นสายการบินระหว่างประเทศทั้ง 2 ยังมิได้เปิด "

อ้างอิง : http://portal.aviation.go.th/dca/history.jsp

ดังนั้น.. เรื่องการบินครั้งแรกในเมืองสยาม เมื่อ ปี 2454
แต่ที่สามมุกบอกว่า ถ่ายภาพในปี 2446...?????










 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.116.57 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 21:18  IP : 124.121.116.57   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106510

คำตอบที่ 85
      

fiogf49gjkf0d
ยังครับ !!.... ยังไม่หมด
ผมบอกแล้วว่ามันแปลกๆ ผิดธรรมชาติไปหน่อย เรื่องการถ่ายภาพ !!!

มาครับ... ตามผมมาล่าหาความจริงกันต่อ...

จะถึงผมจะถ่ายภาพ Pretty กับรถยนต์ มาซะมาก แต่ผมก็ยังมีอะไรที่ยังไม่ทราบในเรื่องการถ่ายภาพอีกมาก...

จากการค้นคว้าข้อมูลมา ทำให้ทราบประวัติเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ดังนี้ครับ...

" การถ่ายภาพในเมืองไทย

สำหรับประเทศไทยมีหนังสือเก่าชื่อว่า สยามประเภทฉบับลงวันที่ 11 เมษายน พ.ศ 2444 กล่าวว่าเรามีช่างถ่ายภาพครั้งแรกในสมัยราชกาลที่ 3 ก.ศ.ร. กุหราบ เจ้าของหนังสือได้เขียนเล่าในหนังสือว่า ช่างที่ถ่ายรูปคนแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 นั้นคือ ท่านสังฆราชฝรั่งเศสชื่อ ปาเลอกัว ์และคนไทยที่เป็นช่างถ่ายภาพคนแรก คือ พระยากระสาปนกิจโกศล(นายโหมด)ในปัจจุบันเชื่อกันว่าสังฆราชปาเลอกัวเป็นช่างคนแรก และเป็นอาจารย์ของพระยากระสาปน์กิจโกศล(นายโหมด) และนายโหมดมีชื่อเสียงในการถ่ายภาพเป้นที่ยอมรับกันโดยทั่งไป เช่น ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “เรื่องการถ่ายรูปเมืองไทย” ของราชกาลที่ 5 จากหนังสือกุมารวิทยา ในหนังสือสยามประเภทเมื่อพูดถึงสังฆราชปาเลอกัวก็จะพูดถึงนายโหมดทุกครั้ง การถ่ายภาพในเมืองไทยได้พัฒนาอย่างมากในรัชกาลที่ 5 ทราบได้จากการเปิดร้านถ่ายภาพกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น จากแต่ก่อนคนที่จะถ่ายภาพจะต้องเป็นคนชั้นสูงเท่านั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้การถ่ายภาพในเมืองไทยพัฒนาเป็นผลมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสนพระทัยในการถ่ายภาพเป็นอันมาก ทรงจัดมีการอวดรูปภาพ และประชันภาพขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2450 รัชกาลที่ 5 เสด็จประภาพยุโรป ครั้งที่ 2 ทรงมีกล้องถ่ายรูปคู่พระหัตถ์ คือ “กล้องโกแด็กอย่างโปสตก๊าด” ถ่ายโดยใช้ฟิล์มจึงอนุมานได้ว่า ฟิล์มเซลลูลอยด์นั้น ได้เข้ามาเมืองไทยประมาณ พ.ศ. 2448 "

อ้างอิง : http://student.nu.ac.th/nguan/lesson%201.htm

OK ว่าน่าจะมีกล้องถ่ายภาพเกิดก่อนปี 2446 ก็ได้
แต่พี่ๆ เคยเห็นอุปกรณ์การถ่ายภาพ ในสมัยรัชการที่ 4-5 บ้างมั๊ยครับ ว่ามันตัวขนาดไหน และมีอุปกรณ์ประกอบเพียงใด..

อีกประการหนึ่ง... พี่ๆ เคยเห็นภาพที่ถูกถ่าย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 บ้างมั๊ยครับ?
ซึ่งสงครามโลกเกิดขึ้นในช่วงรัชการที่ 6 ไทยเราส่งทหารไปร่วมรบด้วยนะครับ..

ภาพที่ถูกถ่ายในยุคนั้น ทั้งเบลอ ทั้งมั่ว ไม่ได้คมชัดแบบภาพที่ถูกอ้างว่าโดนถ่ายเมื่อปี 2446 เลย..
ทั้งที่ในยุคสงครามโลก ครั้งที่ 1 ทางยุโรปสมัยนั้น เจริญด้านเทคโนโลยีมากกว่าทางสยามเป็นอันมากๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.116.57 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 21:19  IP : 124.121.116.57   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106511

คำตอบที่ 86
      

fiogf49gjkf0d
จากภาพเก่า ที่ถูกอ้างว่าถ่ายบริเวณผ่านฟ้า ( ในปัจจุบัน ) ไว้เมื่อ ปี 2446 นั้น..

มันมี.. "พิรุจ" อยู่เพียบเลยครับ !!!

จากการค้นคว้า... ประวัติ "ถนนราชดำเนิน" พบว่า

" ถนนราชดำเนิน ตอนที่ 1

สร้างในสมัย : รัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเริ่มมีเส้นทางสัญจรที่เรียกว่า ถนน เป็นครั้งแรกร้อยกว่าปีที่แล้ว เรามีถนนสายแรกที่ชื่อถนน เจริญกรุง ซึ่งสร้างในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามคำกราบบังคมทูลขอของเหล่าราชทูตในสยาม ที่หวังจะมีเส้นทางสัญจรที่ราบเรียบสายยาว เพื่อจะได้เป็นที่ที่รถม้า และยานพาหนะแบบตะวันตกเดินทางได้โดยสะดวก และนับแต่นั้นมา สยามของเราจึงมีเส้นทางคมนาคมตามแบบตะวันตกเรื่อยมาครั้นมาถึงรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงสานต่อพระราชดำริจากรัชกาลที่ 4 ในแผนการขยายประเทศ ให้สอดรับกับนานาประเทศ

ด้วยการสร้างเส้นทางคมนาคมเพิ่มมากขึ้น และในแผ่นดินของพระองค์นี่เอง ที่พระองค์ทรงโปรดฯ ให้สร้างถนนสายสำคัญที่สุดสายหนึ่งในกรุงเทพขึ้น ถนนสายนี้เป็นถนนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้าง เพื่อใช้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินจากพระบรมมหาราชวัง กับพระราชวังดุสิต ดังนั้นถนนสายนี้จึงเป็นถนนเส้นยาวที่สุดที่กินเนื้อที่ถึง 2 เขต คือเขตพระนครและเขตดุสิต และแบ่งเส้นทางเป็น 3 ช่วงคือช่วง ถนนราชดำเนินนอก คือ เนื้อที่จากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ มาจนถึง ราชดำเนินกลาง คือ ท้องสนามหลวง ไปจนถึง ราชดำเนินใน คือ ถนนหน้าพระลาน จรด สะพานผ่านพิภพลีลาศ ซึ่งถนนหลวงสายนี้ใช้เวลาสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2442 จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2446 เป็นถนนที่ชาวไทยภูมิใจว่าเป็น Avenue แห่งแรก และแห่งเดียวของไทย "

อ้างอิง : http://travel.sanook.com/88-1-533331.html

ดังนั้น.. ภาพถ่ายบอกว่าถ่ายเมื่อปี 2446... อ้าว!! ถนนราชดำเนินของผม หายไปไหนละนี่???

พิรุจ... ยังมีอีกครับ ท่านผู้ชม ตามผมมา...

ถนนเส้นที่ถูกถ่ายเส้นนี้.. ถูกอ้างว่าเป็นถนนบริเวณที่จะเป็นผ่านฟ้าในอนาคต..
ระยะทางจาก พระบรมมหาราชวัง ถึง บริเวณแยกผ่านฟ้า ประมาณ 3 กิโลเมตร.. อะ!! ให้ 4 กิโลเมตรก็ได้ครับ...

พี่ว่า.. ระยะทางแค่ 4 กิโลเมตร จากริมกำแพงพระบรมมหาราชวัง ของกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหญ่ของประเทศสยาม.. เมื่อ 108 ปีที่แล้ว.. มันจะโล่งๆ มีแต่ทุ่งนา แบบนี้นะหรือครับ???

ผมว่า.. ถึงสมัยนั้นประชากรในสยาม จะไม่ได้มีมากเท่าใดนัก แต่มันไม่ได้โล่งๆ แบบนี้แน่ๆครับ !!!


สรุปว่า.. ผมไม่เชื่อว่า ภาพถ่ายที่ถูกอ้างว่า ได้บินถ่ายภาพ ในปี พ.ศ. 2446 ที่บริเวณที่ในปัจจุบัน คือ ผ่านฟ้า... ด้วยเหตุผลดังที่ผมได้ยกมากล่าวไว้แล้วในเบื้องต้นครับ...

ไม่เชื่อครับ.. ไม่เชื่อจริงๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.116.57 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 21:42  IP : 124.121.116.57   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106512

คำตอบที่ 87
      

fiogf49gjkf0d
ช่วยๆหาประวัติศาสตร์ฮิๆ
บริเวณกรมอากาศยานตำบลดอนเมือง ถ่ายจากเครื่องบิน ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 6 ไม่ระบุวันเดือนปี เป็นภาพประกอบเรื่อง “ความเจริญแห่งการบินกรุงสยาม” ในดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2466
ดุสิตสมิตให้ความรู้ว่า ทหารไทยนำเครื่องบิน 3 ลำแรกที่ซื้อจากฝรั่งเศส มาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2456 โรงเก็บเครื่องบินชั่วคราวอยู่ที่โรงเรียนพลตำรวจพระนครบาล ต.ปทุมวัน
วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2457 ย้ายที่ตั้งกองบินจากปทุมวันไปตั้งที่ดอนเมือง





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TTC077 จาก TTC-077oTAKOBo 124.122.160.69 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 22:26  IP : 124.122.160.69   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106514

คำตอบที่ 88
      

fiogf49gjkf0d
พระราชวังพญาไทกับดุสิตธานี ถ่ายจากเครื่องบิน ไม่ระบุวันเดือนปีและชื่อผู้ถ่าย คงถ่ายช่วง พ.ศ.2465 ภาพนี้พิมพ์ไม่สู้ชัดนัก ถนนด้านล่างคือถนนราชวิถี คลองด้านบนคือคลองสามเสน
พื้นที่สี่เหลี่ยมริมคลองที่เห็นเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ มีถนนเล็ก ๆ ตัดเป็นตารางคือบริเวณดุสิตธานี แรกทีเดียวรัชกาลที่ 6 ทรงสร้างดุสิตธานี อันเป็นเหมือนเมืองจำลองเพื่อทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นที่พระราชวังดุสิตก่อนจนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2462 จึงย้ายไปสร้างใหม่ที่พระราชวังพญาไท ริมคลองสามเสน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TTC077 จาก TTC-077oTAKOBo 124.122.160.69 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 22:33  IP : 124.122.160.69   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106516

คำตอบที่ 89
      

fiogf49gjkf0d
ขออีกเรื่องนึงครับ...

กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของสยาม.. มีคู-คลอง เป็นจำนวนมาก จนฝรั่งมังค่า เรียก สยามว่าเป็น "เวนิสตะวันออก"...

ดังนั้น.. ผมเลยขอค้นคว้า หาประวัติที่เกี่ยวกับคลองรอบๆเกาะรัตนโกสินทร์...

คลองรอบกรุง (Khlong Rop Krung) เป็นคลองขุด ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดเกล้าฯให้ขุดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2326 เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร

ในครั้งนั้นพระนครฝั่งตะวันออก มีภูมิประเทศเป็นแหลมโค้ง มีลำน้ำโอบอยู่สามด้าน ส่วนด้านในซึ่งติดกับผืนแผ่นดิน ได้ขุดเป็นคูเมืองไว้ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี จึงมีสัณฐานคล้ายเกาะ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อซากป้อมบางกอกเดิมกับกำแพงเมืองครั้งกรุงธนบุรี เพื่อขยายกำแพงและคูพระนครใหม่ให้กว้างออกไป คูพระนครใหม่นี้โปรดเกล้าฯ ให้ขุดขนานไปกับแนวคูเมืองเดิม เริ่มจากริมแม่น้ำตอนบางลำพู วกไปออกแม่น้ำข้างใต้ บริเวณเหนือวัดสามปลื้ม ยาว 85 เส้น 13 วา กว้าง 10 วา ลึก 5 ศอก พระราชทานนามว่า "คลองรอบกรุง"

ประชาชนโดยมากมักเรียกชื่อคลองแตกต่างตามสถานที่ที่คลองผ่าน เช่น ตอนต้นเรียก "คลองบางลำพู" ตามชื่อตำบล เมื่อผ่านสะพานหันเรียก "คลองสะพานหัน" เมื่อผ่านวัดเชิงเลน เรียก "คลองวัดเชิงเลน" และช่วงสุดท้ายเรียก "คลองโอ่งอ่าง" เพราะเคยเป็นแหล่งค้าขายเครื่องดินเผาของชาวมอญและชาวจีน เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2525 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ให้เรียกชื่อคลองนี้ให้ถูกต้องว่า "คลองรอบกรุง"

ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87".
หมวดหมู่: คลองในกรุงเทพมหานคร | สิ่งก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2326 | สิ่งก่อสร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1783


ดังนั้น.. ที่กล่าวอ้างว่า ได้ถ่ายภาพทางอากาศในอดีต เมื่อปี พ.ศ. 2446 ที่ในเวลาปัจจุบันจะกลายเป็นพื้นที่ย่านผ่านฟ้าในอนาคต..

อ้าว!!... แล้ว คู - คลองต่างๆ ในเขตพระนครไปไหนละครับ!!!
โดยเฉพาะ.. คลองโอ่งอ่าง หรือ คลองรอบกรุง ละครับ ขุดตั้งแต่ รัชการที่ 1...

หายไปไหนละครับผม ???






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.121.116.57 ศุกร์, 25/3/2554 เวลา : 22:33  IP : 124.121.116.57   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106517

คำตอบที่ 90
      

fiogf49gjkf0d
ผมเห็นภาพนี้ทีแรกเมื่อ5-6ปีที่แล้ว ก็ไม่แน่ใจครับ ว่าวัดสะแก กับคลองผดุงกรุงเกษม(คลองชั้นนอก)ต่อกับคลองแสนแสบหายไปไหน ทั้งสองอย่างสร้างมาเกินร้อยปีแน่ๆ เคยเห็นในอินเทอร์เนทก็บรรยายใว้แบบนั้น สรุปผมเห็นด้วยคุณบอยครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

rawat จาก TTC - 047 ฅนบางกอก 124.120.211.24 เสาร์, 26/3/2554 เวลา : 08:31  IP : 124.120.211.24   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 106526

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพฤหัสบดี,18 เมษายน 2567 (Online 3296 คน)