WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


วิทยาศาสตร์ + ความรู้ รอบๆ ตัวเรา...
005
จาก BoyDogtag,TTC-005
IP:202.122.130.31

อังคารที่ , 13/7/2553
เวลา : 15:28

อ่านแล้ว = 44612 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      


 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 8 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  

คำตอบที่ 211
      

fiogf49gjkf0d
“นิสสัน พัลซาร์”สปอร์ต-เข้ม...ตัวท็อป 9.76 แสนบาท

วันนี้(7 ม.ค.) บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวเก๋งคอมแพกต์ แฮทช์แบ็ก “นิสสัน พัลซาร์ ใหม่” (New Nissan Pulsar) กับรูปลักษณ์สปอร์ตปราดเปรียว โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบไบซีนอนโปรเจ็คเตอร์เลนส์ ล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว และซันรูฟ พร้อมออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัย เครื่องยนต์ 1.6 และ1.8ลิตร แบ่งเป็น 5 รุ่นย่อยสนนราคา 776,000 - 976,000 บาท






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 115.87.12.120 ศุกร์, 8/3/2556 เวลา : 07:03  IP : 115.87.12.120   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122785

คำตอบที่ 212
      

fiogf49gjkf0d
“พัลซาร์ ใหม่” เน้นอารมณ์สปอร์ตในทุกมุมมอง ด้วยเส้นสายที่ปราดเปรียวพลิ้วไหว โดยเฉพาะเส้น Waistline ที่ได้รับแรงบรรดาลใจจากมาจากรถสปอร์ตหรู อย่างนิสสัน 370Z นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วย ไฟหน้าแบบไบซีนอนโปรเจ็คเตอร์ และล้ออัลลอยลายดุดันขนาด 17 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารเน้นการตกแต่งโทนสีดำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบไล่ตั้งแต่ แอร์อัตโนมัติแยกซ้าย-ขวา ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน ระบบนำทางแบบหน้าจอสัมผัส ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านบลูทูธ รวมถึงกุญแจอัจฉริยะ Intelligence Key พร้อมปุ่มสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์ Push Start Button

สำหรับความปลอดภัย นิสสันจัดดิสก์เบรค 4 ล้อ ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS Airbags) เป็นมาตรฐานทุกรุ่น ส่วนออปชันที่จะมาในรุ่นท็อปๆมีระบบปรับระดับไฟหน้าอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น 1.8V Sunroof Navi) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD)






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 115.87.12.120 ศุกร์, 8/3/2556 เวลา : 07:04  IP : 115.87.12.120   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122786

คำตอบที่ 213
      

fiogf49gjkf0d
ด้านเครื่องยนต์ยกมาจากซิลฟีทั้ง 1.8 และ 1.6 ลิตร โดยบล็อกแรกรหัส MRA8DE 4 สูบ ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC ให้กำลังสูงสุด131 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด174 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที

ส่วนเครื่องยนต์รหัส HR16DE ขนาด 1.6 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ ด้วยระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC ทำงานร่วมกับหัวฉีดคู่ Dual Injector System ให้กำลังสูงสุด116 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด154 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์ทั้งสองรุ่นส่งกำลังดัวยเกียร์อัตโนมัติอัตรทดแปรผันต่อเนื่อง XTRONIC CVT

สำหรับผู้สนใจสามารถสัมผัสพร้อมทดลองขับนิสสัน พัลซาร์ ใหม่ได้แล้ววันนี้ที่บริเวณจัดงาน ณ ศูนย์การค้าสยาม เซ็นเตอร์ ระหว่าง 8-10 มีนาคม 2556 และที่ผู้จำหน่ายนิสสันทั่วประเทศ โดยนิสสันตั้งเป้าหมายการขายพัลซาร์ ใหม่ ไว้ 7,500 คันต่อปี







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 115.87.12.120 ศุกร์, 8/3/2556 เวลา : 07:06  IP : 115.87.12.120   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122787

คำตอบที่ 214
      

fiogf49gjkf0d
รุ่น ราคา(บาท)

1.6S................... 776,000
1.6V................... 839,000
1.6SV................. 872,500
1.8V................... 925,000
1.8V Sunroof Navi 976,000

Ref. : http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9560000028503








fiogf49gjkf0d
ทำไมไม่แรง เสียชื่อ พัลซ่าจริงๆ
จาก : thebank44(thebank44) 8/3/2556 16:20:04 [202.183.235.61]
นั่นสิแบงค์.. แบบนี้ U11 Turbo เก่าๆของพี่ก็ไล่ทัน... ( 135 Hp/6,000rpm , 20.0 kgm/3,600rpm )
จาก : 005 (005 ) 8/3/2556 20:02:00 [115.87.51.129]
เขาก็บอกว่าแรงอยู่แล้ว "แรงบัลดาลใจไงล่ะ"
จาก : 130(130) 8/3/2556 23:26:35 [223.206.216.77]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 115.87.12.120 ศุกร์, 8/3/2556 เวลา : 07:09  IP : 115.87.12.120   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 122788

คำตอบที่ 215
      

fiogf49gjkf0d
" เตือนภัย Power Bank ปลอม สอดไส้ถุงทราย "

Power bank ปลอมระบาดหนักในเซินเจิ้น พบกลุ่มผู้ซื้อได้รับถุงทรายแทนไส้แบตเตอรี่ในมาเลเซียหลายราย

หนุ่มมาเลเซียเชื้อสายจีน ได้โพสต์ภาพ Power Bank (แบตเตอรี่สำรอง) ผ่านหน้าเฟสบุ๊คเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2556 โดยอ้างว่าได้ซื้อ Power Bank มาจากประเทศจีน ขนาดหน่วยความจุ 24,000 mAh แต่เมื่อลองนำมาชาร์จไฟกับโทรศัพท์มือถือแล้วปรากฏว่า ชาร์จไฟได้เพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้นก็ไม่สามารถชาร์จไฟได้อีกเลย ด้วยความสงสัยจึงแกะ Power Bank เครื่องดังกล่าวออกดู ก็พบว่าเป็นเพียงแค่แผ่นวงจรเล็กๆ 1 ชิ้น และถ่านขนาด AA 1 ก้อน พร้อมถุงทราย 2 ถุงซึ่งวางอยู่ที่ด้านข้างทั้งสอง (ตามรูป)
หนุ่มมาเลเซียรายนี้ยังได้โพสต์ข้อความว่า “ เสียดายเงินที่ซื้อ Power Bank จากเซินเจิ้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ แบตเตอรี่ข้างในมีเพียงแค่ถุงทราย 2 ถุงเล็กๆเท่านั้น ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทำอะไรไม่ถูก!”

จากรูปด้านหลังของตัวเครื่องได้มีฉลากติดไว้ โดยมีข้อความทางด้านเทคนิกแจ้งว่า Power Bank ดังกล่าวมีความจุแบตเตอรี่ขนาด 24,000 mAh, INPVT: DC 5.0 V - 1,000 mA, PVTPUT1: DC5.0C 2.1A, OUTPVT2:DC5.0V 1.0A พร้อมตรามาตรฐานกำกับอยู่ด้วย
โดยภาพดังกล่าวได้มีการกดแชร์ผ่านระบบโซเชียลมีเดียกว่า 2,000 ครั้งในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีบางความเห็นที่ตอบกลับมาว่า เจอแบบเดียวกัน แต่เมื่อแกะภายในออกมาดูพบถ่านก้อนเล็กๆเรียงกันอยู่ภายใน แทนที่จะเป็นแบตเตอรี่แบบ Lithium Ion หรือ Lithium Polymer อย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้การนำ Power Bank เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจเข้าข่ายต้องได้รับใบอนุญาตตาม มอก. 2217-2548 เซลล์และแบตเตอรี่ทุติยภูมิที่มีอิเล็กโทรไลต์แอลคาไลน์หรืออิเล็กโทรไลต์อื่นที่ไม่ใช่กรด สำหรับการใช้งานแบบพกพา เฉพาะด้านความปลอดภัย เท่านั้น โดยการซื้อทุกครั้งขอให้สังเกตเครื่องหมาย “มอก. 2217-2548” เพื่อความปลอดภัย

ภาพ : ภายในมีถ่าน AA และถุงทราย
อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000037749>






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 28/3/2556 เวลา : 17:42  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 123007

คำตอบที่ 216
      

fiogf49gjkf0d
" นักวิจัยทำ “ผ้าคลุมล่องหน” ได้แล้วนะ...แต่ยังอยู่ในแล็บ "

นักฟิสิกส์พัฒนา “ผ้าคลุมล่องหน” แบบของ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ได้แล้ว แต่ยังเป็นเพียงเวอร์ชันห้องแล็บที่ซ่อนได้เฉพาะวัตถุเล็กจิ๋ว และได้ผลชัดเฉพาะในการทดลองด้วยคลื่นไมโครเวฟ ส่วนการใช้งานกับแสงขาวที่ตามองเห็น … พ่อมดน้อยยังต่อรอไปอีกยาวนาน

นักฟิสิกส์พัฒนาเทคนิคสร้าง “ผ้าคลุมล่องหน” ที่ขยับเข้าใกล้ผ้าคลุมของพ่อมดน้อย “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ซึ่งสามารถซ่อนคนในผืนผ้าใต้แสงปกติได้ โดยไลฟ์ไซน์ระบุว่าทีมวิจัยได้ผลิตวัสดุชนิดใหม่ที่เรียกว่า “เมตาสกรีน” (metascreen) ซึ่งสร้างจากแถบเทปแท่งทองแดงที่ประกบติดกับแผ่นฟิล์มโพลีคาร์บอเนตแบบยืดหยุ่นได้

แท่งทองแดงที่ว่านั้นหนาเพียง66 ไมโครเมตรเท่านั้น (เมื่อซอยความยาวของเมตรออกเป็นล้านส่วนแท่งทองแดงจะหนาเพียง 66 ส่วน) ส่วนแผ่นฟิล์มโพลีคาร์บอนเนตนั้นหนา 100 ไมโครเมตร วัสดุทั้งสองจัดเรียงตัวกันเหมือนร่างแห

สำหรับผ้าคลุมล่องหนที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ใช้เทคนิคที่แตกต่างไปจากผ้าคลุมล่องหนที่เคยพัฒนาก่อนหน้า โดยงานวิจัยครั้งก่อนนั้นใช้วิธีเบนลำแสงรอบๆ วัตถุ จึงไม่มีการกระเจิงหรือสะท้อนออกจากวัตถุ ซึ่งเทคนิคดังกล่าวต้องอาศัยวัสดุที่เรียกว่า “เมตาแมทีเรียลส์” (metamaterials) อันเทอะทะ ส่วนผ้าคลุมล่องหนที่พัฒนาล่าสุดนี้ใช้เทคนิคคลุมคลื่นแสงทั้งหมด ไม่ให้สะท้อนแสงออกจากวัตถุที่ถูกคลุม ทำให้ไม่มีคลื่นแสงเล็ดลอดไปถึงตาของผู้สังเกต


แอนเดรีย อะลู (Andrea Alu) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสในออสติน (University of Texas at Austin) แถลงว่า เมื่อแสงที่กระเจิงจากผ้าคลุมและวัตถุแทรกสอดกัน ก็จะหักล้างแสงซึ่งกันและกันออก กลายเป็นความโปร่งใสและมองไม่เห็นในมุมที่สังเกต

การทดลองในห้องปฏิบัติการนั้นอะลูและคณะประสบความสำเร็จในการซ่อนแท่งทรงกระบอกยาว 18 เซ็นติเมตร จากการมองผ่านแสงไมโครเวฟ และด้วยเทคนิคเดียวกันนี้พวกเขาระบุว่า ใช้ในการซ่อนวัตถุรูปทรงแปลกๆ และมีรูปร่างไม่สมมาตรได้เช่นกัน

อะลูกล่าวว่า ข้อได้เปรียบของผ้าคลุมล่องหนแบบใหม่คือความสะดวกในการใช้ ความง่ายในการผลิตและยังปรับเปลี่ยนความถี่แสงที่ต้องการซ่อนได้ พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เมตาแมทีเรียลส์ที่เทอะทะเพื่อบังการกระเจิงจากวัตถุ การใช้พื้นผิวที่มีโครงร่างง่ายๆ ที่สอดคล้องกับวัตถุก็เป็นสิ่งเพียงพอ

ทีมวิจัยเชื่อด้วยว่าจะดีกว่าเมตาแมทีเรียลส์ ซึ่งโดยหลักการแล้วผ้าคลุมแบบเดียวกันนี้จะใช้ซ่อนวัตถุในย่านแสงที่ตามองเห็นได้ แต่ได้เฉพาะวัตถุขนาดเล็กมากๆ ระดับไมโครเมตร และการพัฒนาผ้าคลุมล่องหนนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้แฟนๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตื่นเต้นหรือจุดประกายการสอดแนมเท่านั้น แต่นวัตกรรมนี้ยังนำไปประยุกต์ใช้งานอื่นๆ เช่น ใช้เป็นอุปกรณ์ตรวจวัดแบบไม่รุกล้ำผู้อื่น หรือใช้เป็นเครื่องทางชีวการแพทย์

งานวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ลงวารสารนิวเจอร์นัลออฟฟิสิกส์ (New Journal of Physics)

ภาพ : นักวิจัยพัฒนาเทคนิคใหม่ในการซ่อนวัตถุภายใต้คลื่นไมโครเวฟ และประยุกต์ใช้กับแสงที่ตามองเห็นเำพื่อซ่อนวัตถุระดับไมโครเมตรได้ แต่...ผ้าคลุมแบบที่แฮร์รีใช้ยังต้องพัฒนาอีกนาน (Warner Brothers/ไลฟ์ไซน์)

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000037347






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 28/3/2556 เวลา : 17:48  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 123008

คำตอบที่ 217
      

fiogf49gjkf0d
“รัฐเขต” นำทีมแจกฟรีน้ำมันดิบสุโขทัย-ทุนสามานย์ นักการเมืองต้มคนไทยซื้อน้ำมันแพง (ชมคลิป)

เชียงราย - "รัฐเขต" นำทีมเปิดเวที “ปตท.พลังไทย เพื่อใคร” ที่เมืองพ่อขุนฯ พร้อมตั้งโต๊ะแจกน้ำมันดิบกันกลางงาน ย้ำน้ำมันไทยมีอยู่มหาศาล แต่คนไทยถูกหลอกซื้อน้ำมันแพง แฉกลุ่มทุนสามานย์ขนน้ำมันดิบจากภาคเหนือวันละนับร้อยเที่ยว แต่กลับบอกขนวันละเที่ยว แถมบอกก๊าซจะหมดอ่าวใน 8 ปี แต่ต่อสัมปทานให้กลุ่มทุนไปอีก 30 ปี แฉคนไทยถูกปล้นวันละ 1.5 พันล้าน หลังแปรรูป ปตท.

วันนี้ (28 มี.ค.56) พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส วิทยากรชื่อดังเรื่องพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซในประเทศไทย ได้เดินทางไปร่วมเวทีเสวนา "ปตท.พลังไทย เพื่อใคร" โดยมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ใน จ.เชียงราย และพะเยา รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่สนใจเรื่องราคาพลังงานน้ำมันและก๊าซชเข้ารับฟังประมาณ 100 คน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 28/3/2556 เวลา : 20:37  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 123019

คำตอบที่ 218
      

fiogf49gjkf0d
โดยมีการเปิดกิจกรรมด้วยการสาธิตการนำน้ำมันดิบ ซึ่งได้มาจาก จ.สุโขทัย มาทำการกลั่นด้วยเครื่องประดิษฐ์เอง ที่ให้ความร้อนระดับประมาณ 100 องศาเซลเซียส เพื่อสาธิตให้เห็นว่า ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนืออุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำมันดิบ และยังสามารถประดิษฐ์เครื่องกลั่นน้ำมันขนาดเล็กได้เองด้วย ซึ่งหากว่าประเทศไทยลงทุนด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ ก็จะแก้ปัญหาเรื่องพลังงานของชาติได้ พร้อมกับนำน้ำมันดิบใส่ตลับพลาสติกขนาดเล็ก ออกแจกจ่ายผู้เข้าร่วมโดยระบุว่ามาจากหลุมที่ จ.สุโขทัย แสดงว่าภาคเหนือมีทรัพยากรน้ำมันมหาศาล จากนั้นจัดให้แกนนำหลายคนผลัดกันปราศรัย

พ.ท.รัฐเขต กล่าวว่า ปัจจุบันมีการปกปิดข้อมูลว่าประเทศไทยขาดแคลนแหล่งพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมีบ่อน้ำมันกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยภาคเหนือมีมากที่ จ.สุโขทัย ลำปาง กำแพงเพชร อ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยเฉพาะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ฯลฯ ยังไม่รวมในอ่าวไทย

ซึ่งต้นทุนในการขุดเจาะน้ำมันพบว่าใช้ประมาณ 10-20 ล้านบาทต่อหลุม ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนขุดได้ก็ทำเงินปีละกว่า 500 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยมีหลุมที่ขุดเจาะแล้วทั้งหมดประมาณ 6,000 หลุม เป็นหลุมทางทะเล ประมาณ 4,000 หลุม สำหรับอ่าวไทยมีการขุดเจาะน้ำมันวันละประมาณ 3 หลุม บนบกกว่า 2,000 หลุม โดยหลุ่มน้ำมันบนบกมีมากที่สุดในภาคเหนือประมาณ 1,800 หลุม

"แปลกที่ยิ่งพบน้ำมันราคาขายในประเทศยิ่งแพง และยิ่งเจอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับบอกว่าไม่เจอหรือไม่มี รวมทั้งกระทรวงพลังงานถึงขั้นอ้างว่า พลังงานของไทย จะหมดในอีก 8 ปี แต่การกระทำขัดแย้งกันเพราะปัจจุบันได้มีการต่อสัมปทานกับบริษัทเซฟรอนไปอีก 30 ปี”

ดังนั้น เราจึงต้องผลักดันไม่ให้มีการเปิดให้สัมปทานน้ำมันดิบรอบที่ 21 อีก และอนาคตก็ไม่ควรเปิด เนื่องจากควรสงวนไว้ใช้ในราคาถูกภายในประเทศเหมือนอย่างประเทศอื่นๆ ทำกัน

“ไม่ใช่ยิ่งขุดยิ่งแพงและกลับส่งออกไปต่างประเทศ อีกต่างหาก"






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 28/3/2556 เวลา : 20:38  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 123020

คำตอบที่ 219
      

fiogf49gjkf0d
พ.ท.รัฐเขต กล่าวอีกว่า หลุมน้ำมันจำนวน 6,000 หลุมดังกล่าว เป็นเพียงแค่ 20% ของทั้งหมด ยังเหลืออีก 80% ยังไม่ได้มีการเปิดหรือขุดเจาะ หรือเหลือกว่า 50,000 หลุม ถ้าคนไทยไม่เรียกร้องสิทธิมันก็จะกลายเป็นของกลุ่มทุนสามานย์และนักการเมืองตลอดไป

พ.ท.รัฐเขต กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีหลุมน้ำมันแห่งหนึ่งในภาคเหนือ พบว่าเพียง 1 หลุม มีรถบรรทุกน้ำมันดิบออกจากหลุมวันละ 100 คัน แต่ละคันบรรทุกน้ำมัน 200 บาเรล หรือ 30,000 ลิตร วันหนึ่งขนกัน 3 ล้านลิตร หรือมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท แต่เวลาลงในบันทึกบอกว่าขนเพียงวันละ 1 คัน ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่า ปตท.และเอกชนรายอื่นพากันไปขนอย่างครึกโครม วันละหลายเที่ยว

ในอนาคตหากกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทมาใช้ได้ ก็จะยิ่งสูบเลือดคนไทยมากขึ้นไปอีก เพราะหนึ่งในโครงการใช้เงินกู้ก้อนนี้คือ การนำไปทำโครงการต่อท่อน้ำมันในอ่าวไทย ภาคเหนือถึง จ.ลำปาง ภาคอีสานถึง จ.อุดรธานี จากปัจจุบันท่อเก่าต่อไปถึง จ.นครนายก ใช้งบประมาณ 17,300 ล้านบาท อ้างว่า เพื่อให้คนไทยใช้น้ำมันในราคาเดียวกันทุกภาค ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เราเห็นว่า มีการขนน้ำมันจากลานกระบือ-กำแพงเพชร-กรุงเทพฯ ด้วยรถไฟวันละกว่า 6 ขบวนๆ ละ 1 ล้านลิตร กระทั่งเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำที่ดอนเมืองจึงพบหลักฐานน้ำมันไหลออกมา แต่ก็มาอ้างว่าเป็นน้ำมันเตาอีก

วิทยากรด้านพลังงานชื่อดัง ยังกล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีน้ำมันที่กลั่นจากโรงกลั่นและอื่นๆ วันละ 174 ล้านลิตร คนไทยใช้น้ำมันวันละ 85 ล้านลิตรต่อวัน เราส่งออกไปต่างประเทศ วันละ 63 ล้านลิตรๆ ละ 18-19 บาท คำถามคือ ส่วนต่างที่เหลือหายไปไหน ซึ่งไม่มีคำตอบในเรื่องนี้

“เราจึงถูกปล้นไปฟรีๆ วันละกว่า 1,500 ล้านบาทนับตั้งแต่มีการแปรรูป ปตท.เป็นต้นมา”

และถามว่า ในเมื่อน้ำมันภายในประเทศแพงแล้ว คุณจะส่งออกไปทำไม จึงควรลดกำไรและนำมาให้คนไทยใช้ในราคาถูก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหลายประเทศใช้แล้วได้ผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจมาก

พ.ท.รัฐเขต กล่าวด้วยว่า การแปรรูปอันเป็นที่มาของปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ร่างแผนแปรรูป ปตท.จากนั้นก็มาแปรรูปสำเร็จยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ก่อนเลือกตั้งบอกว่า จะไม่แปรรูป เพราะน้ำมันถูกจะทำให้ชาติเจริญ แต่ไม่กี่วันเขาก็แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ทันที ก่อนที่จะประกาศว่า จะช่วยให้น้ำมันไทยถูกที่สุดในอาเซียน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยถูกหลอกทั้งแผ่นดินมานานแล้ว

“เมื่อ 1-2 ปีก่อนข้าวแกงขึ้นราคาเป็นจานละ 30-35 บาท ปัจจุบันราคาน้ำมันเกือบ 2 ลิตร 100 บาท ราคาข้าวแกงในเร็วๆ นี้อาจทะลุถึง 60 บาท เพราะต้นทุนและค่าภาษีสูงขึ้น ดังนั้นในวันที่ 31 มี.ค.56 นี้ เราจะชุมนุมกันที่นครราชสีมา จากนั้นคงจะมีสัญญานจากแกนนำว่าจะขับเคลื่อนอย่างไรต่อไป”

ในเวทีเสวนา “ปตท.หลังไทย เพื่อใคร” ครั้งนี้ ยังนำข้อมูลมาเปิดเผยกันอีกว่า ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกน้ำมันไปต่างประเทศลิตรละ 19 บาท ส่วนราคาภายในประเทศไทย อิงราคาสิงคโปร์ ลิตรละ 25 บาทเมื่อบวกค่าอื่นๆ ก็มีราคา 2 ลิตรเกือบ 100 บาท ส่วนก๊าซที่อ้างว่าจะหมดและไม่มีในอ่าวไทยมากปรากฎว่าในการให้ข้อมูลของภาครัฐเองขัดแย้งกัน โดยระบุว่าประเทศไทยใช้ก๊าซวันละ 15 ล้านลิตร แต่ผลิตได้วันละ 14 ล้านกิโลกรัม ทั้งๆ ที่ 1 ลิตรเท่ากับ 0.54 กิโลกรัม หรือ 1 กิโลกรัมจะเท่ากับ 2 ลิตร จึงรวมที่ผลิตได้วันละ 28 ล้านลิตร มากกว่าความต้องการวันละ 15 ล้านลิตรเสียอีก

“แค่ข้อมูลนี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าโกหกกัน แต่ปัจจุบันยังอ้างจะนำเข้าก๊าซจากตะวันออกกลางลิตรละ 36 บาท แถมยังไปเบิกเงินจากกองทุนน้ำมัน 8 หมื่นล้านบาทมาสนับสนุนกิจการก๊าซ จนส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันอีกต่างหาก”






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 28/3/2556 เวลา : 20:39  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 123021

คำตอบที่ 220
      

fiogf49gjkf0d
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างเรื่องก๊าซอีกว่า มีการขุดเจาะพบมากในอ่าวไทยและส่งออกไปมหาศาล โดยมีการก่อสร้างเอาไว้ 93 ท่อ มีการดูดขึ้นมาตามท่อจนล้น และต่อท่อเป็นทุ่นเพื่อให้เรือไปเติม บริษัทสยามแก๊สของตระกูลชิน มีเรือไปเทียบดูดก๊าซวันละ 14 ลำ แล้วออกจากอ่าวไทยส่งไปยังประเทศจีนในราคาถูก

“คนจีนรู้ดีกว่าก๊าซคุณภาพดีดังกล่าวมาจากอ่าวไทย ขณะที่คนไทยถูกหลอกว่าก๊าซกำลังจะหมดและนำเข้ามาขายให้คนไทยในราคาแพง”

เขาย้ำว่า คนไทยถูกหลอกมา 11 ปีนับตั้งแต่แปรรูป ปตท.เรามีทั้งน้ำมัน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจดี แต่เหตุใดคนไทยยังยากจน ขณะที่มาเลเซียทิ้งห่างไทยไป 15 ปี เกาหลีใต้หลายสิบปี สาเหตุเพราะนักการเมืองเขามีคุณภาพ แตกต่างจากนักการเมืองไทย

พร้อมกันนั้นในการเสวนา ได้เปิดให้คนสอบถามซึ่งผู้เข้าร่วมบางส่วนต้องการให้มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเหล่านี้ ทาง พ.ท.รัฐเขต ระบุว่า ปัจจุบัน ปตท.ใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์ร่วม 7,000 ล้านบาทต่อปี จึงเป็นเรื่องยากที่สื่อกระแสหลักต่างๆ จะนำเสนอข่าวสารเหล่านี้ ดังนั้นสื่อประชาชนอื่นๆ ก็ควรจะรวมตัวกันอย่าท้อถอย โดยมีเป้าหมายคือต้องยุติการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อลดราคาทันที หยุดการส่งออกน้ำมันลิตรละ 18-19 บาท และยกเลิกการอิงราคาสิงคโปร์ แต่ตัวเองกลับขายแพงกว่าราคาที่อิงเสียอีก

“เชื่อว่าหากหยุดสองเรื่องนี้ เศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะต้นุทนภายในประเทศต่ำลง รวมทั้งให้ประชาชนที่ทราบข้อมูลรวมตัวกันไว้ และหากมีโอกาสก็ยื่นฟ้องร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ดำเนินคดีกับเจ้าของหลุมน้ำมันทั้ง 6,000 หลุมดังกล่าวเพื่อปกป้องสิทธิความเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติของคนไทย”

คลิปเสียงการบรรยาย : http://www.youtube.com/watch?v=U_KwmP2IjQM

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000037917






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 28/3/2556 เวลา : 20:50  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 123023

คำตอบที่ 221
      

fiogf49gjkf0d
มหัศจรรย์!!! “ต้นไม้ยักษ์” แห่งพงไพร เรื่องจริงไม่ใช่ในนิยาย

ความมหัศจรรย์ในสิ่งมีชิวิตที่เรียกว่า “ต้นไม้” นั้นมีมากมายหลากหลาย ซึ่งในด้านขนาดนั้นเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ประจักษ์ให้เห็นถึงมหัศจรรย์ของต้นไม้นี้ ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างเมืองเหมือนในนิยายหรือในภาพยนตร์ อย่างเช่นภาพยนตร์เรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในช่วงตอนที่ดำเนินเรื่องในฉากเมืองของเหล่าเอลฟ์ซึ่งมีต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มากจนสามารถสร้างเมืองอยู่ได้ โดยในความคิดของใครหลายคนคงคิดว่าต้นไม้ขนาดใหญ่แบบนั้นไม่มีอยู่จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็มีขนาดพอๆ กับในภาพยนตร์เลยก็ว่าได้

ภาพ : สนซีคัวยายักษ์ “นายพลเชอร์แมน” แห่งอุทยานแห่งชาติซีคัวยา (ภาพเว็บไซต์ fantom-xp.com)






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 13/6/2556 เวลา : 08:04  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124068

คำตอบที่ 222
      

fiogf49gjkf0d
สำหรับหนึ่งในพันธุ์ต้นไม้ยักษ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็คือ “สนซีคัวยายักษ์” ต้นไม้ใหญ่แห่งผืนป่าแห่งเทือกเขาเซียร์ราเนวาด้า (Sierra Nevada) ทางตอนกลางของรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นไม้ประจำถิ่นและจะขึ้นเฉพาะบริเวณนี้เท่านั้น สนซิคัวยายักษ์เป็นพืชในสายพันธุ์สนซิคัวยา เช่นเดียวกับต้นเรดวูดซึ่งเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก แต่สนซิคัวยายักษ์นี้นับเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ในเชิงปริมาณ คือ มีความสูง และมีลำต้นขนาดใหญ่)

ภาพ : ทัศนียภาพดงสนซีคัวยายักษ์ “อุทยานแห่งชาติซีคัวยา” (ภาพเว็บไซต์ flickr.com)






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 13/6/2556 เวลา : 08:05  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124069

คำตอบที่ 223
      

fiogf49gjkf0d
สนซีคัวยายักษ์ เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงมากถึง 95 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ฐานประมาณ 12 เมตร มีความหนาของเปลือกราวๆ 0.79 เมตร และสนซีคัวยายักษ์สามารถยืนหยัดผ่านวันเวลาได้อย่างยาวนานมากถึง 3,200 ปี หากไม่ถูกทำลายหรือถูกโค่นทิ้งเสียก่อน โดยต้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นได้มีการตั้งชื่อเรียกว่า “นายพลเชอร์แมน” ขึ้นอยู่ที่บริเวณอุทยานแห่งชาติซีคัวยา (Sequoia National Park) ในรัฐแคลิเฟอร์เนีย มีความสูงจากพื้นถึงยอด 83.8 เมตร มีเส้นรอบวงที่ฐาน 31.3 เมตร ปริมาตรเนื้อไม้ 1,487 ลูกบาศก์เมตร มีอายุราว 2,200 ปี ซึ่งทำให้ต้นสนซีคัวยายักษ์นายพลเชอร์แมน ได้รับตำแหน่งต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก(ในเชิงปริมาณ)

แต่ต้นไม้เหล่านี้ก็เกือบจะต้องสูญพันธุ์ไป เนื่องจากถูกสังเวยให้กับคมขวานในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่ยังโชคดีที่เนื้อไม้เหล่านี้ไม่เป็นที่นิยม เพราะเปราะหักง่าย จึงทำให้เกิดความคิดที่ว่า ต้นสนซีคัวยายักษ์เหล่านี้มีคุณค่าสำหรับการยืนต้นตระหง่านงดงามอยู่ในป่า มากกว่าจะกลายมาเป็นท่อนฟืน หลังจากนั้นจึงได้เกิดอุทยานแห่งชาติโยเซมิติ และอุทยานแห่งชาติซีคัวยา เพื่อเป็นพื้นที่อนุรักษ์ต้นไม้ที่มีคุณค่าเหล่านี้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ อุทยานแห่งชาติทั้งสองแห่งก็กลายเป็นแหล่งที่มีต้นสนซีคัวยายักษ์ขึ้นอยู่หนาแน่น และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักท่องเที่ยว

ภาพ : ขนาดของต้นสนซีคัวยายักษ์เมื่อเทียบกับคน (ภาพเว็บไซต์ theyodeler.org)


อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000070484





fiogf49gjkf0d
ขอบคุณสำหรับข้อมุูลดีๆครับ
จาก : 108(เรือง) 13/6/2556 16:39:20 [182.53.41.225]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 13/6/2556 เวลา : 08:06  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124070

คำตอบที่ 224
      

fiogf49gjkf0d
ค้นพบอารยธรรมสาบสูญ 1,200 ปี กลางป่าลึกกัมพูชา
นักโบราณคดีพบเมืองที่สูญหายไปในยุคกลาง อายุกว่า 1,200 ปี
บริเวณเทือกเขาในกัมพูชาที่ปกคลุมไปด้วยหมอก


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371373795&grpid=01&catid=&subcatid=





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

sailom_276 จาก Add>>TTC048 58.8.206.134 จันทร์, 17/6/2556 เวลา : 15:59  IP : 58.8.206.134   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124113

คำตอบที่ 225
      

fiogf49gjkf0d
ทำไมต้องเอา "ไข่จระเข้" ออกจากแก่งกระจาน ???

นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อยสำหรับการพบไข่จระเข้น้ำจืดในป่าแก่งกระจาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำออกมาเพื่อฟักก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยให้ฟักเองอาจมีอัตรารอดต่ำ แต่ก็มีเสียงแย้งว่าเป็นการเสียโอกาสศึกษาจระเข้เด็กในธรรมชาติ

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ให้ความเห็นแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ถึงการนำไข่จระเข้น้ำจืด 46 ฟองที่พบบริเวณแม่น้ำเพชรบุรีออกมาฟักว่า เขาได้ทำวิจัยเรื่องจระเข้น้ำจืดมา 3-4 ปีแล้ว โดยพบว่าแม่น้ำในอุทยานที่มีความยาว 60 กิโลเมตรนั้น มีจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย 5 ตัว

จากการสำรวจร่วมกับ สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (Wildlife Conservation Society: WCS) นายชัยวัฒน์กล่าวพบการวางไข่ของจระเข้ แต่เมื่อปล่อยให้ฟักเองกลับไม่พบตัวลูกจระเข้ เนื่องสัตว์ตามธรรมชาติ เช่น ตัวนาก ตัวเหี้-ย ได้ขุดคุ้ยกินหมด อีกทั้งรังล่าสุดยังพบว่าวางไข่ในที่ต่ำมาก จึงมีโอกาสถูกน้ำท่วม ซึ่งภายใน 3 ชั่วโมงก็ตาย

สำหรับไข่ที่เก็บมานั้นพบว่า มีไข่เน่าไป 2 ฟอง และมีไข่ที่มีการผสมเชื้อของตัวผู้ โดยพบจระเข้ตัวผู้และตัวเมีย 2 ตัวอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งหัวหน้าแก่งกระจานกล่าวว่าที่ผ่านมาจะใช้รถยนต์ไปขน แต่ปีนี้ได้เฮลิคอปเตอร์มาขนไข่ไปฟักที่ฟาร์มจระเข้ใน จ.นครปฐม ที่มีความพร้อมทั้งในการฟัก การอนุบาล และกำหนดเพศลูกจระเข้ โดยสัดส่วนที่เหมาะสมคือตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 4 ตัว

"แก่งกระจานเป็นแหล่งอาศัยเดิมของจระเข้น้ำจืดอยู่แล้ว แต่นับจากปี 2514 ที่มีการเปิดเป็นป่าสัมปทาน ทำให้จระเข้ถูกล่าไปมาก" นายชัยวัฒน์กล่าว พร้อมบอกด้วยว่าการพบจระเข้นั้นเป็นดัชนีชี้วัดถึงวามอุดมสมบูรณ์ ซึ่งแก่งกระจานนั้นมีความหลากหลายของสัตว์ป่าจำนวนมาก

เมื่อถามว่านำจระเข้เลี้ยงที่มีอยู่มากไปปล่อยทดแทนในแหล่งอาศัยเดิมได้หรือไม่ หัวหน้าอุทยานแก่งกระจานกล่าวว่า ต้องตรวจดีเอ็นเอเสียก่อนว่าเป็นจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทยหรือไม่ ซึ่งการปล่อยให้จระเข้ธรรมชาติฟักเองจะมีโอกาสฟักเป็นตัวแค่ 20% แต่ถ้านำมาฟักเองมีโอกาสฟักเป็นตัว 70-80% ในกรณีล่าสุดน่าจะเหลือจระเข้ฟักเป็นตัวและอยู่รอดเพียง 1-3 ตัว

"คาดว่าไข่ที่นำมาฟักมีอายุประมาณ 3 อาทิตย์ ซึ่งปกติจระเข้จะใช้เวลาประมาณ 70 วันเพื่อฟักเป็นตัว" นายชัยวัฒน์กล่าว

ด้าน นายสัตวแพทย์ปานเทพ รัตนากร นายกสมาคมส่งเสริมการอนุรักษ์และเพาะเลี้ยงจระเข้แห่งประเทศไทย กล่าวถึงการพบไข่จระเข้ว่าเป็นเรื่องดี ซึ่งการนำออกมาฟักก็ถือว่าดี เพราะหากทิ้งให้ฟักเองจะมีความเสี่ยงในเรื่องศัตรูที่เข้าไปกินไข่ หรือถูกน้ำท่วมเสียหาย แต่การนำไข่ออกมาต้องทำอย่างถูกวิธีและฟักให้ถูกต้องเหมาะสม

อย่างไรก็ดี การนำไข่จระเข้ในธรรมชาติออกมาฟักนั้นกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม (SiamEnsis.org) ว่า แม้การนำออกมาฟักเองลูกจระเข้มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องนำไข่จระเข้ดังกล่าวออกมาฟัก เพราะจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทยที่เพาะเลี้ยงไว้นั้นมีจำนวนมากและไม่ถึงขั้นวิกฤตสูญพันธุ์

ดร.นณณ์ ผานิตวงศ์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นว่า การฟักเองในธรรมชาติไม่มีทางที่ลูกจระเข้จะรอดหมด แต่ด้วยลำน้ำที่ไม่ใหญ่มากคงเป็นพื้นที่อาศัยแก่จระเข้ได้ไม่กี่ตัว และมีจระเข้สายพันธุ์ไทยอยู่มากมายในแหล่งเพาะเลี้ยง จึงไม่จำเป็นต้องให้จระเข้รอดทั้งหมด หรือนำมาเพาะขยายพันธุ์แต่ประการใด

"คือถ้าเป็นสัตว์ที่หายากในที่เลี้ยงก็ไม่มี ผมเห็นด้วยมากที่ควรจะต้องเก็บมาเพื่อให้มันรอดมากที่สุด อาจจะกระจายปล่อยส่วนหนึ่ง เก็บไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ในที่เลี้ยงส่วนหนึ่ง แต่ในกรณีของ ครอโคไดลัส สยามเอ็นซิส (Crocodylus siamensis) ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย มันเป็นการสูญเสียโอกาสในการวิจัยจระเข้เด็กในธรรมชาติ ซึ่งเป็นโอกาสครั้งแรกของไทย" ความเห็นส่วนหนึ่งของ ดร.นณณ์

นอกจากนี้ ดร.นณณ์ให้ความเห็นอีกว่าไข่จระเข้ที่พบนั้นอยู่กลางป่า ถึงปล่อยไว้แม่จระเข้คงดูแลไข่เองได้ ต่างจากกรณีจระเข้ที่คลองชมพู จ.พิษณุโลก ซึ่งอยู่ในพื้นท่ี่ป่าไม่ลึกและโดนชาวบ้านรบกวนจนแม่จระเข้ทิ้งรัง อีกทั้งเขายังไม่มั่นใจว่าการลำเลียงลูกจระเข้อายุ 1 ปี จำนวนหลายสิบตัวกลับเข้าไปกลางป่านั้นเป็นเรื่องยากหรือง่ายแค่ไหน

ภาพ : ไข่จระเข้ในธรรมชาติจากแก่งกระจาน
Ref. : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000077783>






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 27/6/2556 เวลา : 07:26  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124426

คำตอบที่ 226
      

fiogf49gjkf0d
สหพัฒน์ปรับยุทธศาสตร์ “เกียร์สโลว์” ฝ่าวิกฤต

ปี 2556 อาจเป็นปีที่เครือสหพัฒน์ต้องเจอมรสุมเศรษฐกิจลูกใหญ่อีกครั้ง โดยเฉพาะปัญหา “กำลังซื้อ” ที่ประเมินผิดพลาด จากเดิมคาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงจากการขึ้นค่าแรง 300 บาท และนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล บวกกับธุรกิจส่งออกได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินบาทแข็งค่า จนกระทั่งบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ต้องประกาศแผน “เกียร์สโลว์” เป็นแนวนโยบายให้บริษัทในเครือกว่า 300 บริษัท ชะลอการลงทุนโครงการใหม่และรอจังหวะรุกในปีหน้า

แน่นอนว่า วิกฤตครั้งนี้ส่งผลโดยตรง ไม่ใช่แค่เป้าหมายยอดขายเติบโตต่ำสุดในรอบหลายสิบปี ไม่เกิน 5% จากปกติอยู่ในระดับ 10-20% ต้องชะลอด้านการส่งออก ปิดโรงงานบางแห่ง แต่ยังกดดันให้บริษัทในเครือสหพัฒน์ต้องรีบยกเครื่องครั้งใหญ่และปรับโครงสร้างผลักดันผู้บริหารรุ่นใหม่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อรองรับการแข่งขันในสงครามธุรกิจที่รุนแรงขึ้นและมีทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่า เครือสหพัฒน์ขยายอาณาจักรครอบคลุมธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเกือบทุกหมวดในชีวิตประจำวันมากกว่า 30,000 รายการ จากกว่า 100 แบรนด์ ตั้งแต่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องสำอาง เสื้อผ้าตั้งแต่หัวจรดเท้า รองเท้า เครื่องหนัง ทุกเพศทุกวัย

การขับเคลื่อนธุรกิจในช่วง 2-3 ปี นอกจากการพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าแล้ว สหพัฒน์ยังพยายามวางเครือข่ายค้าปลีก เพื่อสร้างช่องทางการจำหน่ายสินค้าของตัวเอง มีทั้งร้านสะดวกซื้อหรือ “คอนวีเนียนสโตร์” 108 ช้อป และเพิ่งร่วมทุนกับลอว์สันกรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น เปิดร้าน “ลอว์สัน 108”, ร้านสเปเชียลสโตร์ประเภทดรักสโตร์ “ซูรูฮะ”, ร้านเบเกอรี่ “ เดลิย่า”, ร้านกู๊ดมอร์นิ่ง ฟาร์มเฮาส์ และปลายปีนี้เตรียมเปิดตัวคอมมูนิตี้มอลล์ “เจพาร์ค” ในสวนอุตสาหกรรมศรีราชา ซึ่งถือเป็นโครงการที่บุณยสิทธิ์หมายมั่นปั้นมือให้เป็นต้นแบบก่อนขยายไปยังสวนอุตสาหกรรมอีก 3 แห่ง

รวมทั้งรุกเข้าสู่ตลาดทีวีช้อปปิ้ง โดยจับมือกับ ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตรายการทีวีช้อปปิ้งอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เปิดสถานีช้อปชาแนล ซื้อขายสินค้ากันตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านช่องสัญญาณดาวเทียม

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจด้านการศึกษาอีก 4 แห่ง คือ สถาบันบุนกะแฟชั่น ซึ่งร่วมกับบุนกะแฟชั่นคอลเลจ ประเทศญี่ปุ่น โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ซึ่งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยวาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปี 2545 ล่าสุดเปิด 2 สาขาที่อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์และศรีราชา โรงเรียนสอนแต่งหน้าเอ็มทีไอ และโรงเรียนการบินศรีราชา

ส่วนสวนอุตสาหกรรม ซึ่งเปิดรองรับบริษัทในเครือ บริษัทร่วมทุนและเปิดขายพื้นที่ให้บริษัทภายนอกทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ สวนอุตสาหกรรมศรีราชา จ.ชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 1,600 ไร่ มีโรงงานรวม 81 แห่ง, สวนอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เนื้อที่ 3,500 ไร่ มีโรงงานเกือบ 40 แห่ง สวนอุตสาหกรรมลำพูน จ.ลำพูน เนื้อที่ 1,200 ไร่ มีโรงงานประมาณ 20 แห่ง และสวนอุตสาหกรรมแห่งใหม่ล่าสุดที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เริ่มมีบริษัทเอกชนเข้าไปเปิดโรงงานแล้ว 5 แห่ง

แต่หากพูดถึงรายได้หลักกว่า 1.2-1.6 แสนล้าน ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญยาวนานเกือบ 70 ปี ทำตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ซึ่งกลุ่มโชควัฒนาพยายามปรับโครงสร้างให้เข้ากับสถานการณ์และดันทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามามีบทบาทการบริหารงานมากขึ้น ไม่ใช่แค่ลูกมือของผู้ใหญ่รุ่นสองอีกต่อไป

ทั้งนี้ กลุ่มตระกูลโชควัฒนารุ่น 2 หรือลูกๆ ของนายห้างเทียม มีพี่น้อง 8 คน เริ่มจากบุณย์เอก บุญปกรณ์ บุณยสิทธิ์ ศิริยล ศิรินา (ปวโรฬารวิทยา) ณรงค์ บุญชัย และบุญเกียรติ โดยบุณยสิทธิ์ถือเป็นประธานใหญ่ในเครือสหพัฒน์และกำลังผลักดันให้ “บุญชัย” กับ “บุญเกียรติ” เป็นผู้สานต่ออาณาจักรแสนล้านต่อไป

ขณะที่ทายาทรุ่น 3 ซึ่งเป็นลูกๆ ของพี่น้องทั้ง 8 คน จำนวน 17 คน มี 3 คนก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารธุรกิจหลักในเครือสหพัฒน์ คือ ธรรมรัตน์ โชควัฒนา ลูกชายคนโตของบุณยสิทธิ์ที่ถูกฝึกงานอย่างเข้มข้นตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยเอแบค เรียนรู้งานตัดเย็บของวาโก้และเสื้อผ้าชนิดต่างๆ นานกว่า 20 ปี ล่าสุดดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยผู้อำนวยการบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ดูแลผลิตภัณฑ์กลุ่มเสื้อผ้าและสิ่งทอ

ธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) ลูกสาวคนที่ 2 ของบุณยสิทธิ์ ดูแลผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องใช้ส่วนบุคคล กลุ่มเครื่องสำอาง

ลูกสาวคนนี้จบปริญญาตรีด้านแฟชั่น เมอเชนไดซิ่งจากสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นการทำงานครั้งแรกกับ เพ็ญนภา ธนสารศิลป์ ที่สหพัฒนพิบูล มีหน้าที่ดูแลการตลาดผลิตภัณฑ์ลอตเต้ ต่อมาบุณยสิทธิ์ดึงตัวให้ช่วยงาน ไอ.ซี.ซี.เพื่อแจ้งเกิดโครงการสร้างแบรนด์ “BSC” หรือ “Selected Collection” เป็นแบรนด์ระดับชาติ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จและกลายเป็นแบรนด์หลักในหมวดเครื่องสำอางและเสื้อผ้าของไอ.ซี.ซี.
ส่วน “เวทิต โชควัฒนา” ทายาทรุ่น 3 อีกคนที่ถูกวางตัวให้เข้ามาจับงานค้าปลีก ซึ่งถือเป็นธุรกิจไลน์ใหม่ของเครือสหพัฒน์

เวทิตเป็นลูกชายของบุญย์เอก เคยทำตลาดสินค้าแบรนด์โคนิก้าและเครื่องเสียงอาไกก่อนเข้ามาลุยงานในฐานะผู้บริหารบริษัท ซันร้อยแปด จำกัด ดูแลธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 108 ช็อป และกำลังเดินหน้าปูพรมร้านลอว์สัน 108 ขณะเดียวกันก็เข้าไปร่วมทีมการตลาดกับ เพชร พะเนียงเวทย์ ลูกชายของพิพัฒ พะเนียงเวทย์ และชัยลดา ตันติเวชกุล ลูกสาวบุญชัย โชควัฒนา รับผิดชอบผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” หลังจากเพ็ญนภา ธนสารศิลป์ ลาออกไป

ในแง่ภาพรวมของสหพัฒน์เอง บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจหลายอย่าง เพื่อรองรับการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 โดยตั้งหน่วยธุรกิจต่างประเทศเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก มีบริษัทสหพัฒนพิบูล และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือเอสพีไอ นำร่อง เพื่อเป็นศูนย์กลางการส่งออกและขยายเครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศ

รูปแบบเป็น “ดิสทริบิวชั่นคอมปะนี” เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าของเครือสหพัฒน์และสินค้าไทยอื่นๆ ล่าสุดเริ่มเปิดดิสทริบิวชั่นคอมปะนีในเวียดนาม พม่า และเตรียมแผนขยายไปประเทศอื่นๆ ทั้งอาเซียน ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง

ด้าน “ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล” ธรรมรัตน์กำลังเร่งปรับโครงสร้างการบริหารงานครั้งใหญ่ในรอบ 43 ปี โดยปรับสินค้าทั้งหมด 60 แบรนด์ จากสินค้าทั้งหมดกว่า 100 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนผลิต การจัดหาวัตถุดิบ และการจัดซื้อ ซึ่งจะต้องลงทุนระบบไอทีเพิ่มมากขึ้น เพื่อทำให้การจัดจำหน่ายสินค้าไปสู่คู่ค้ารวดเร็วขึ้นภายใน 1 วัน จากที่ผ่านมาการจัดส่งใช้เวลานาน 7 วัน

สำหรับบริษัทโอซีซี ซึ่งมีเครื่องสำอางแบรนด์ดังอย่างคัฟเวอร์มาร์ค เคเอ็มเอ เสื้อผ้า “กีลาโรช” นั้น ธีรดาวางแผนปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าให้เหมาะสมกับผู้หญิงเอเชีย สภาพอากาศ และเพิ่มไลน์สินค้า เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว รวมทั้งขยายตลาดประเทศกลุ่มเออีซี โดยใช้แบรนด์ “กีลาโรช” และ “เคเอ็มเอ” เป็นตัวเจาะ เริ่มที่เวียดนาม กัมพูชา และพม่า

ในอนาคตหลังเปิดเออีซีปี 2558 โอซีซีตั้งเป้าหมายปักธงบุกตลาดพม่าเต็มรูปแบบ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาตลาด ทำเลร้านค้า กำลังซื้อ ราคาที่เหมาะสม และพฤติกรรมการใช้สินค้า

ขณะที่เวทิต โชควัฒนา กรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ต้องลุยงานใหญ่ เรื่องการปรับเปลี่ยนรูปโฉมร้าน108 ช็อปเดิม เป็นร้านลอว์สัน 108 โดยตั้งเป้าเปิดครบ 50 สาขาภายในสิ้นปีนี้ ประกอบด้วยสาขาเปิดใหม่ 20 สาขา และสาขาเก่าที่ปรับใหม่อีก 30 สาขา เน้นพื้นที่ในกรุงเทพฯ หลังจากนำร่องเปิดร้านลอว์สัน 108 จำนวน 3 สาขาที่หน้าอาคารสำนักงานสหพัฒนพิบูล สาขาลาดพร้าว101 และสาขาร่มเกล้า

ต้องถือว่า ร้านลอว์สัน 108 เป็น “หมัดเด็ด” ของเครือสหพัฒน์ในการกระจายสินค้าเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคและลดต้นทุนส่วนหนึ่งในการวางจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่อย่างเซเว่น-อีเลฟเว่น แฟมิลี่มาร์ท รวมถึงซูเปอร์สโตร์รายใหญ่ที่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงลิบลิ่ว เพื่อสร้างทางเลือกให้ผู้ผลิตสินค้ารายอื่นและผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดต้องดูฝีมือการบริหารร่วมกับญี่ปุ่นของเวทิตว่าจะแก้มือจากกรณีร้าน 108 ช็อป ที่ดูเหมือนไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก

ปัจจุบัน ร้าน 108 ช็อป มีจำนวนสาขา 600 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 300 สาขา และสาขาร้านแฟรนไชส์ 300 สาขา โดยสาขาที่ลงทุนเอง 300 สาขา จะอยู่ในกลุ่มที่จะปรับเป็นร้านลอว์สันและชูจุดขายเรื่องอาหารสำเร็จรูปสไตล์ญี่ปุ่น

ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้าง การยกเครื่องกระบวนการผลิตสินค้า การรุกเจาะตลาดเพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งการงัดยุทธศาสตร์ “เกียร์สโลว์” ชะลอแผนลงทุน เพื่อรอจังหวะและโอกาสที่ดีกว่า

70 ปี ของเครือสหพัฒน์ จากร้านโชวห่วยขายของเบ็ดเตล็ดในตรอกอาเนียเก็ง ถนนทรงวาด จนกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจกว่าแสนล้าน ปรัชญาและแนวคิดหลักล้วนมาจาก 4 ตัวอักษรของนายห้างเทียม “เร็ว ช้า หนัก เบา” นั่นเอง

Ref : http://www.gotomanager.com/content/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E2%80%9C%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E2%80%9D-%E0%B8%9D%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 27/6/2556 เวลา : 08:09  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124427

คำตอบที่ 227
      

fiogf49gjkf0d
อึดจริง! เยอรมันพัฒนาแบตเตอรี่ใช้ได้นาน 27 ปี

ศูนย์วิจัยพลังงานแสงอาทิตย์และไฮโดรเจนในเยอรมนีเผยความสำเร็จในการพัฒนาแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ให้สามารถชาร์จใหม่ได้ถึง 10,000 รอบ หากนำมาใช้งานกับรถไฟฟ้าก็จะใช้แบตฯ ก้อนดังกล่าวได้นานถึง 27 ปี แต่ต้องชาร์จทุกวัน

รายงานของ Phys.org ระบุว่า เจ้าหน้าที่บริษัทศูนย์วิจัยพลังงานแสงอาทิตย์และไฮโดรเจนบาเดน-วืทเทมเบิร์ก (Centre for Solar Energy and Hydrogen Research Baden-Württemberg :ZSW) ในเยอรมนี เผยว่าได้พัฒนาแบตเตอรีลิเทียม-ไอออน ที่สามารถประจุไฟซ้ำได้ถึง 10,000 รอบ โดยที่ยังคงเก็บประจุได้ 85% เมื่อใช้งานถึงรอบดังกล่าว

หากใช้งานแบตเตอรี่ดังกล่าวกับรถไฟฟ้า ทีมวิจัยระบุว่า ผู้ใช้สามารถประจุไฟซ้ำทุกวันเพื่อใช้งานแบตเตอรีก้อนดังกล่าวนานถึง 27.4 ปี ขณะที่แบตเตอรีของยานพาหนะไฟฟ้าในปัจจุบันมีราคาแพงมาก แต่ต้องเปลี่ยนหลังจากใช้งานเพียง 8-10 ปี หรือบางกรณีเพียงแค่ 3 ปี และกลายเป็นปัจจัยที่หลายคนไม่เลือกใช้รถไฟฟ้า

อายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานได้ 25-30 ปี ซึ่งอาจจะทนกว่าชิ้นส่วนอื่นๆ ของรถยนต์ รวมถึงทนกว่าตัวรถเอง อีกทั้งมีราคาไม่แพง จะกลายเป็นเหตุผลกระตุ้นให้ผู้ซื้อรถเปลี่ยนใจจากรถยนต์ที่ยังต้องพึ่งพาพลังงานฟอสซิล มาเป็นรถไฟฟ้าแทน

ทว่าการประกาศของ ZSW ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่อุตสาหกรรมยานนต์มากนัก เพราะเมื่อปีที่ผ่านมาทางบริษัทได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารเจอร์นัลออฟพาวเวอร์ซอร์ส (Journal of Power Sources) ซึ่งอธิบายถึงงานวิจัยด้านการปรับปรุงกระบวนการผลิตอิเล็กโทรดระดับอุตสาหกรรม ซึ่งพวกเขาอ้างว่าจะยืดอายุการใช้งานแบตเตอรีลิเทียมไอออนได้อย่างมหาศาล

ทีมวิจัยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงความหนาของอิเล็กโทรด การอัดแน่นของอิเล็กโทรดระหว่างการใช้งาน และชนิดของสารตัวนำที่ใช้ในโครงสร้างที่มีวิศวกรรมแบบใหม่ จะช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ให้สามารถประจุไฟได้มากครั้งขึ้น โดยการออกแบบแบตเตอรี่ใหม่นี้ให้ความหนาแน่นของกระแสมากกว่าแบตเตอรี่ปัจจุบัน 4 เท่า (แบตเตอรีปัจจุบันมีความหนาแน่นกระแส 1,100 วัตต์ต่อกิโลกรัม) และถูกออกแบบเพื่อใช้สำหรับพลังงานที่ได้จากลม ฟาร์มเซลล์แสงอาทิตย์ และยานยนต์

ระหว่างแถลงข่าว ZSW ไม่ได้เผยว่าพวกเขาตั้งเป้าส่งแบตเตอรี่แบบใหม่ไปยังผู้ผลิตเพื่อใช้สำหรับรถยนต์หรืออุปกรณ์สำรองพลังงานทางเลือก ซึ่ง Phys.org ตีความว่าทางบริษัทน่าจะกำลังทดสอบว่า แบตเตอรี่ไม่เพียงแค่ทนอย่างเดียว แต่ประหยัดพลงงานด้วย โดยทางบริษัทยังระบุด้วยว่า ได้ออกแบบเซลล์พลังงานแบบใหม่เอง รวมถึงกำลังพัฒนากระบวนการผลิตระดับอุตสาหกรรมสำหรับแบตเตอรีด้ว

Pic : ZSW ของเยอรมันกำลังพัฒนาแบตเตอรีลิเทียมที่มีอายุการใช้นานถึง 27 ปี

Ref : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000073877>






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 27/6/2556 เวลา : 08:13  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124428

คำตอบที่ 228
      

fiogf49gjkf0d
“ฉี่” แต่ละสีบอกอะไร?

เราอาจเคยทราบมาบ้างว่าสีของปัสสาวะนั้นบ่งชี้ถึงสุขภาพ แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าสีจากของเหลวที่เราขับถ่ายออกจากร่างกายนั้น ยังมีหลากเฉดราวกับสีรุ้งด้วย ซึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาและวิกฤตที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเราได้เป็นอย่างดี

ฮีเธอร์ เวสต์ (Heather West) นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลทาโคมา (Tacoma General Hospital) ในวอชิงตัน สหรัฐฯ เป็นผู้หนึ่งที่ได้พบเห็นสีสันของปัสสาวะจากผู้ป่วยในโรงพยาบาลอยู่เสมอ และเธอได้บันทึกภาพตัวอย่างปัสสาวะเหล่านั้นเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งเธอบอกไลฟ์ไซน์ว่า ผู้ที่ได้เห็นไม่เชื่อว่านั่นคือปัสสาวะจริงๆ และเข้าใจว่าเธอกับเพื่อนร่วมงานคงเติมอะไรลงไปแน่ๆ

หน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลที่ไม่ได้เห็นแค่สีสันอันน่าอัศจรรย์ของปัสสาวะ แต่ภารกิจภายในห้องปฏิบัติการปิดทึบในใต้ถุนอาคารโรงพยาบาลของเวสต์วัย 26 ปี มีบทบาทสำคัญต่อผู้ป่วยทุกคน เพราะสีสันของปัสสาวะเหล่านั้นบ่งบอกถึงวิกฤตในสุขภาพผู้ป่วย

คริสเตน กรีน (Kirsten Greene) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ อธิบายไลฟ์ไซน์ถึงความสำคัญของสีปัสสาวะว่า หน้าที่ของเธอไม่เพียงแค่ดูสีสันของปัสสาวะ แต่หากปัสสาวะเหล่านั้นเป็นสีแดงหรือสีเลือดมากๆ เป็นสัญญาณชัดเจนว่ามีการติดเชื้อหรือเป็นมะเร็ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอจะวิตกเป็นอย่างมาก

สำหรับสีสันของปัสสาวะหลักๆ บ่งชี้ถึงสุขภาพได้ ดังนี้

สีแดง
เลือดเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดง และเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพ ซึ่งกรีนบอกว่าในฐานะผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินปัสสาวะเธอจะเป็นกังวลต่อผู้ป่วยที่มีปัสสาวะเป็นสีนี้ โดยมะเร็งกระเพาะปสสาวะ การติดเชื้อ รวมทั้งนิ่วในไต ล้วนเป็นสาเหตุให้เลือดออกและแสดงผ่านปัสสาวะ ซึ่งทั้งหมดควรจะรีบไปพบแพทย์ นอกจากนี้การกินหัวบีทมากๆ ก็ทำให้ปัสสาวะกลายเป็นสีชมพูได้เช่นกัน

สีส้ม
ปัสสาวะสีเข้มบ่งบอกถึงสุขภาพที่มีปัญหา โดยโรคมะเร็งตับทำให้ปัสสาวะมีสีน้ำตาลเข้ม เพราะมีสาร “บิลิรูบิน” (bilirubin) มากเกินไป ซึ่งสารดังกล่าวคือเม็ดสีสีน้ำตาลที่ตับผลิตออกมา การใช้ยาแก้ปวดชื่อ “ฟีนาโซไพริดีน” (phenazopyridine) หรือไพริเดียม (Pyridium) ก็ทำให้ปัสสาวะมีสีส้มสว่าง ยาดังกล่าวจะให้แก่ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะก็เปลี่ยนสีปัสสาวะให้เป็นสีส้มได้ หรือใครที่กินแครรอทมากๆ จนผิวเปลี่ยนสีส้มก็จะมีปัสสาวะสีส้มด้วยเช่นกัน

สีเหลือง
หลายคนแสดงอาการขาดน้ำให้เห็นในปัสสาวะ โดยให้ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม หากไม่ได้รับน้ำอบ่างเพียงพอ เม็ดสีที่เรีกยว่า “ยูโรโครม” (urochrome) จะมีความเข้มข้นมากในปัสสาวะ หรืออีกด้านหนึ่งผู้ป่วยที่ที่ได้รับสารเหลวผ่านทางหลอดเลือดดำจะมีน้ำในร่างกายมาก จึงสร้างปัสสาวะที่ใสเกือบจะไม่มีสี ส่วนปัสสาวะสีเหลืองขุ่นๆ นั้นมีสาเหตุจากการติดเชื้อ

สีน้ำเงิน
สำน้ำเงิน เป็นสีปัสสาวะที่พบได้ค่อนข้างน้อย มักเกิดจาการใช้ยาหรือให้สารเคมีแก่ผู้ป่วย โดยยาที่ชื่อ “เมทิลีนบลู” (methylene blue) ที่เคยถูกใช้เป็นยาบำบัดรักษามาลาเรียระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คือตัวการอันดับหนึ่งที่ทำให้ปัสสาวะมีสีนี้ ซึ่งยาดังกล่าวใช้เพื่อบำบัดอาการเป็นพิษเนื่องจากคาร์บอนมอนอไซด์ และใช้เป็นสีย้อมระหว่างผ่าตัด โดยให้ปัสสาะเป็นได้ทั้งสีเขียวและน้ำเงิน

ยังมีตัวยาอื่นๆ ที่ใช้ในทางการแพทย์แล้วให้ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน เช่น ไวอากรา อินโดเมทาซิน และโพรโพฟอล ยาระงับความรู้สึกที่มีความเชื่อมโยงต่อการเสียชีวิตของ ไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) ราชาแพลงป๊อป นอกจากนี้ลักษณะทางพันธุกรรมยังส่งผลต่อการแตกสลายของสารอาหารซึ่งเป็นสาเหตุให้ปัสสาวะกลายเป็นสีน้ำเงินได้ แม้กระทั่งสีผสมอาหารสีน้ำเงินก็ส่งผ่านไปยังปัสสาวะได้ในบางครั้ง

สีเขียว
ปัสสาวะสีเขียวเป็นกรณีของปัสสาวะสีน้ำเงินที่เจือจาง และในบางครั้งการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะก็ทำให้ปัสสาวะกลายเป็นสีเขียวด้วย

สีครามและสีม่วง
ปัสสาวะสีม่วงเข้มนั้นมาจากผู้ป่วยที่การทำงานของไตล้มเหลว ดดยเวสต์อธิบายว่าปกติไตควรจะทำหน้าที่ในการกรองเลือดและกำจัดของเสียในร่างกายของเราออกไป แต่เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นกับไตก็จะมีเลือดจำนวนมากหลุดออกไปพร้อมปัสสาวะ และยังมีกรณีที่ผู้ป่วยสวนสายปัสสาวะก็อาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่พบไม่บ่อยที่เรียกว่า “เพอร์เพิลยูรีนแบ็กซินโดรม” (purple urine bag syndrome) ที่ให้ปัสสาวะสีม่วง ซึ่งสัมพันธ์กับการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะและภาวะที่ปัสสาวะมีความเป็นด่างสูง และอาการทางพันธุกรรมที่เรียกว่า “พอร์ฟีเรีย” (porphyria) ก็กระตุ้นให้ปัสสาวะเป็นสีม่วงเช่นกัน

ภาพ : ฉีี่ในภาพไม่ได้เติมสารใดๆ ลงไป แต่ได้จากร่างกายผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพโดยตรง (ไลฟ์ไซน์/Heather West)

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078189



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 พฤหัสบดี, 4/7/2556 เวลา : 09:15  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124644

คำตอบที่ 229
      

fiogf49gjkf0d
แถวนี้พิพิธภัณฑ์ไหนเจ๋งสุด? นักท่องเที่ยวยก “ช่องเขาขาด” ติดอันดับเอเชีย

- พิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำช่องเขาขาด (Hellfire Pass Museum) ของไทยที่ จ.กาญจนบุรี เป็นพิพิธภัณฑ์เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ได้รับคะแนนโหวตจากท่องเที่ยวทั่วโลก ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ดีที่สุดแห่งหนึ่งในย่านเอเชีย โดยอยู่ในอันดับ 10 จากทั้งหมด 25 แห่ง ในการจัดอันดับโดย TripAdviser.Com เว็บไซต์ข้อมูลข่าวสารเพื่อการท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

จากผลการโหวตของนักท่องเที่ยว “นับล้านคน” จากทั่วโลก พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดได้คะแนนมากเป็นอันดับ 4 ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถัดจากพิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ตูลสะแลง (Toul Sleng) กรุงพนมเปญ กัมพูชาซึ่งอยู่ในอันดับ 3 ของเอเชีย พิพิธภัณฑ์สงคราม (War Remnants Museum) นครโฮจิมินห์ เวียดนาม (5) กับ พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ (Museum of Ethnology) กรุงฮานอย (6) เวียดนาม

ในเวียดนามยังมีพิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งเป็นแห่งที่ 3 ที่ติดอันดับเอเชีย ซึ่งได้แก่พิพิธภัณฑ์สตรีเวียดนาม (Vietnam Women's Museum) กรุงฮานอย (11)

พิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำช่องเขาขาด สร้างขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลออสเตรเลียกับกองทัพไทย เพื่อรำลึกถึงเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตจากการถูกกองทัพญี่ปุ่นบังคับให้ทำงานหนักก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ ที่ตัดผ่านช่องเขาบริเวณช่องเขาแห่งนี้

เชลยศึกนับหมื่นคนถูกบังคับให้สกัด หรือตัดหินด้วยเครื่องมือง่ายๆ ที่พอจะหาได้ในยามนั้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนในบริเวณช่องเขาขาด ด้วยสาเหตุจากการถูกบังคับให้ทำงานหนัก อดอยาก ล้มป่วย รวมทั้งถูกทรมาน กลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุดเป็นเชลยศึกชาวออสเตรเลีย







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 ศุกร์, 5/7/2556 เวลา : 09:40  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124653

คำตอบที่ 230
      

fiogf49gjkf0d
พิพิธภัณฑ์ฯ อยู่ในเขต อ.ไทรโยค อยู่ห่างจากน้ำตกไทรโยกน้อยราว 18 กิโลเมตร โดยแยกจากทางหลวงสายหลัก ทั้งไทย และพม่าในยุคใหม่มีแผนการฟื้นฟูเส้นทางรถไฟสายมรณะให้กลับคืนมาใช้การได้อีกครั้งหนึ่ง แต่คาดกันว่าจะไม่ตัดผ่านบริเวณช่องเขาขาดแห่งนี้

พิพิธภัณฑ์มีทั้งบริเวณกลางแจ้งที่แสดงเศษสิ่งของเหลือใช้ของทหาร มีแผ่นจารึกรำลึกถึงผู้เสียชีวิต กับส่วนที่อยู่ในอาคารซึ่งวางแสดงเรื่องราวต่างๆ ประกอบแสง และเสียง ปัจจุบันกลายเป็นปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งสามารถใช้เวลาเที่ยวชมน้ำตก สถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดได้ในวันเดียว

อันดับ 1 ในเอเชียได้แก่พิพิธภัณฑ์เทอร์ราค็อตตา (ทหารกับม้าที่ปั้นจากดินเหนียว) ในเมืองซีอาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และอันดับ 2 ได้แก่เขตเมืองต้องห้าม (Forbidden City) ในบริเวณพระราชวังเก่า กรุงปักกิ่ง และอันดับ 4 คือพิพิธภัณฑ์สถานแห่งสันติภาพ เมืองฮิโรชิมา ญี่ปุ่น






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 ศุกร์, 5/7/2556 เวลา : 09:43  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124654

คำตอบที่ 231
      

fiogf49gjkf0d
ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังพิพิธภัณฑ์สถานในสิงคโปร์อีก 3 แห่งติดอันดับเอเชียซึ่งได้แก่พิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย (Asian Civilizations Museum) ในอันดับ 12 พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Museum of Singapore) อันดับ 16 และพิพิธภัณฑ์และโบสถ์ชางงี (Changi Chapel and Museum) อันดับ 17

อีก 2 แห่งอยู่ในมาเลเซีย ซึ่งได้แก่พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม กรุงกัวลาลัมเปอร์ อันดับ 13 และพิพิธภัณฑ์ปีนังเปรานากัน (Pinang Peranakan Museum) ที่จอร์จทาวน์ (Georgetown) อันดับ 20






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 ศุกร์, 5/7/2556 เวลา : 09:44  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124655

คำตอบที่ 232
      

fiogf49gjkf0d
อันดับ สถานที่-ที่ตั้ง
1. พิพิธภัณฑ์เทอร์ราค็อตตา นครซีอาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
2. เมืองต้องห้าม กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
3. พิพิธภัณฑ์ตูลสะแลง กรุงพนมเปญ กัมพูชา
4. พิพิธภัณฑ์รำลึกสันติภาพ ฮิโรชิมา ญี่ปุ่น
5. พิพิธภัณฑ์สงคราม นครโฮจิมินห์ เวียดนาม
6. พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ กรุงฮานอย เวียดนาม
7. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน
8. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครไทเป ไต้หวัน
9. พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน
10. พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด จ.กาญจนบุรี ประเทศไทย
11. พิพิธภัณฑ์สตรีเวียดนาม กรุงฮานอย เวียดนาม
12. พิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย สิงคโปร์
13. พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
14. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลี กรุงโซล เกาหลีใต้
15. พิพิธภัณฑ์ระเบิดอะตอมนางาซากิ นางาซากิ ญี่ปุ่น
16. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสิงคโปร์ สิงคโปร์
17. โบสถ์ชางงีและพิพิธภัณฑ์ สิงคโปร์
18. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซี นครซีอาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
19. พิพิธภัณฑ์โบราณคดีมาเตนาดารัน กรุงเยราวัน อาร์มีเนีย
20. พิพิธภัณฑ์ปีนังเปรานากัน จอร์จทาวน์ มาเลเซีย
21. พิพิธภัณฑ์ภวัณคานธี มุมไบ อินเดีย
22. พิพิธภัณฑ์ซาลาร์จุง ไฮเดราบัด อินเดีย
23. พิพิธภัณฑ์โรงละครพื้นเมืองแห่งเคราลา โคจิ อินเดีย
24. พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งฮาโคเนะ ฮาโคเนะ-มาชิ ญี่ปุ่น
25. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว ตาอิโต ญี่ปุ่น

Ref. : http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9560000079449






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 ศุกร์, 5/7/2556 เวลา : 09:47  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124656

คำตอบที่ 233
      

fiogf49gjkf0d
4 จุดบอด ห้ามขับใกล้รถบรรทุก

ข่าวอุบัติเหตุบนท้องถนนมากมายที่เห็นแล้วเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ เพราะแต่ละทีก็มีทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต รถบรรทุกเองก็เป็นอีกหนึ่งยานพาหนะที่ผู้ใช้รถใช้ถนนหลายๆ ท่านไม่อยากเข้าใกล้เท่าไรนัก เพราะนอกจากขนาดรถที่ใหญ่เต็มถนนแล้ว เวลาเกิดอุบัติเหตุครั้งหนึ่งก็หนักหนาสาหัสเอาการ

ทั้งนี้ มีข้อมูลจากผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่ง ผู้เคยทดลองนั่งรถบรรทุกยืนยันว่า ถ้านั่งตรงคนขับรถบรรทุกแล้ว ความสามารถในการมองเห็นรถหรือวัตถุอื่นๆ จะน้อยมาก โดยพบว่าจะมีจุดบอดทั้งหมด 4 ที่ ที่ผู้ขับขี่ยานพาหนะร่วมถนนเดียวกันต้องระมัดระวัง เมื่อต้องขับใกล้ๆ กับรถบรรทุก

1. บริเวณด้านหน้ารถ
บริเวณนี้ ผู้ขับขี่ควรเว้นระยะให้อยู่ห่างจากรถบรรทุกราว 4 คันรถ

2. บริเวณด้านขวา
บริเวณนี้คนขับรถบรรทุกจะมองไม่เห็น ถ้าจะให้เขามองเห็น อย่างน้อยต้องเลยหรือเทียบเท่าหน้ารถ

3. บริเวณด้านซ้าย
บริเวณนี้จัดว่าน่ากลัวที่สุด เป็นมุมที่คนขับเห็นได้น้อยมาก และจะเห็นแค่มุมเล็กๆ เท่านั้น ต้องรีบขับผ่านไป อย่ารอช้า

4. บริเวณด้านหลัง
บริเวณนี้คนขับรถบรรทุกไม่มีทางมองเห็นแน่นอน ถ้าจะให้มองเห็นต้องเว้นระยะห่างจากรถบรรทุกอย่างน้อย 10 เมตร หรืออยู่ให้ห่างราว 20-25 คันรถ

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000086726






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.32 อังคาร, 16/7/2556 เวลา : 15:45  IP : 202.122.130.32   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 124868

คำตอบที่ 234
      

fiogf49gjkf0d
ฮากลิ้ง! เศรษฐีดัง “วอร์เร็น บัฟเฟตต์” ชี้ ไม่เคยเห็นใครรวยเพราะทองคำ ยกเว้น “เจ้าของเหมือง”

วอร์เร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อก้องโลกชาวอเมริกันเผยในวันพุธ (31 ก.ค.) ระบุ มนุษย์บ้าเห่อตีค่าให้กับ “ทองคำ” กันไปเอง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โลหะชนิดนี้แทบไม่ก่อให้เกิดความงอกเงยใดๆในทางเศรษฐกิจ พร้อมชี้ ไม่เคยเห็นใครรวยเพราะทองคำ ยกเว้น “เจ้าของเหมือง”

วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ ซีอีโอวัย 82 ปีแห่งบริษัท “เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์” ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เปิดใจให้สัมภาษณ์ล่าสุดจากบ้านพักในมลรัฐเนบราสกาโดยระบุ มนุษย์เป็นผู้ที่ไปกำหนดคุณค่าให้กับทองคำเอง และยกย่องเทิดทูนโลหะชนิดนี้จนเลยเถิด โดยบัฟเฟตต์ระบุว่า สิ่งเดียวที่ทองคำทำได้คือ การ “จ้องมองดูมนุษย์” เท่านั้น

บัฟเฟตต์ ซึ่งมีทรัพย์สินในความครอบครองทั้งสิ้น 53,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.67 ล้านล้านบาท) ระบุว่า การลงทุนในทองคำของมนุษย์ไม่ได้ก่อให้เกิดความงอกเงยใดๆซึ่งถือเป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างการลงทุนในทองคำกับการลงทุนประเภทอื่นๆ

“ใครก็ตามที่อยู่บนดาวอังคาร คงจะต้องเกาศีรษะของพวกเขาด้วยความงุนงงเป็นแน่ หากพวกเขาได้เห็นถึงความบ้าเห่อของมนุษย์บนโลกของเรา ที่หลงไปบูชาเทิดทูนทองคำ ผมไม่เคยเห็นใครร่ำรวยเพราะทองคำ ยกเว้นเจ้าของเหมืองทองคำที่ใช้แรงงานทาสขุดมันขึ้นมาจากพื้นดินในทวีปแอฟริกาหรือที่อื่นๆ ” บัฟเฟตต์กล่าวซ้ำ ถึงข้อคิดที่เขาเคยพูดไว้ตั้งแต่เมื่อปี 1998

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บัฟเฟตต์เคยออกโรงกล่าวโจมตีทองคำมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยยืนยันว่าตัวเขาไม่มีแผนจะเข้าลงทุนในทองคำแม้แต่น้อย แม้ราคาทองคำในตลาดโลกจะอยู่ในช่วงขาลง ขณะที่ราคาทองคำจากการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดนิวยอร์กได้ปรับลดลงไปแล้วมากกว่า 13 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ พร้อมเผยด้วยว่า ตนเองเคยออกโรงเตือนนักลงทุนทั่วโลกมาแล้ว เกี่ยวกับความเสี่ยงของการเก็งกำไรในทองคำตั้งแต่ 2 ปีก่อน รวมถึง ปรากฏการณ์ที่ผู้คนจำนวนมากพากันแห่กันซื้อทองคำมากักตุนในช่วงที่ราคาทองคำตกต่ำ

ขณะที่สถานีโทรทัศน์ “บลูมเบิร์ก” ของสหรัฐฯ เคยเผยแพร่ผลการสำรวจมุมมองของนักวิเคราะห์จำนวน 38 ราย ทั้งในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ, กรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร รวมถึงเขตปกครองพิเศษฮ่องกงของจีนซึ่งกูรูด้านการลงทุนเหล่านี้ต่างลงความเห็นว่า “ช่วงเวลาแห่งชัยชนะ” ของทองคำที่ดำเนินมายาวนานกว่า 12 ปีได้จบสิ้นลงแล้วและการลงทุนในทองคำไม่จัดเป็นตัวเลือกด้านการลงทุนที่คุ้มค่าและปลอดภัยในลำดับต้นๆ อีกต่อไป

อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000094959






fiogf49gjkf0d
จงปล่อยวาง ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง แต่เทอน่ะของจริง
จาก : 130(130) 2/8/2556 13:30:50 [182.52.132.39]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 115.87.36.70 พฤหัสบดี, 1/8/2556 เวลา : 22:20  IP : 115.87.36.70   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 125250

คำตอบที่ 235
      

fiogf49gjkf0d
ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 1): อย่าปล่อยให้พวกมันหลอกพวกเราอีกต่อไป

โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ด้วยความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ ได้นำน้ำมันมะพร้าวซึ่ง มีกรดไขมันชนิดอิ่มตัว (Saturated oil) มาใช้เป็นอาหาร ยา และเครื่องสำอางค์นับเป็นพันๆปี โดยที่คนในสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรคเหมือนกับคนในสมัยนี้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคธัยรอยด์ โรคผิวหนัง ฯลฯ ที่น่าสนใจก็คือแม้โลกจะไม่ได้มีการเชื่อมโยงกันเรื่องข้อมูลข่าวสารเหมือนกับยุคนี้ แต่คนทั่วโลกที่ใช้น้ำมันมะพร้าวในอดีตต่างรู้สรรพคุณในการใช้ใกล้เคียงกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้งในด้านการปรุงอาหาร เป็นยารักษาโรค ทาแผลจากของมีคมและฟกช้ำ ใช้เป็นเครื่องสำอางบำรุงผิวและเส้นผม ทั้งในอินเดียที่ใช้กันมากว่า 5,000 ปี ชาวปาปัวนิวกินี ชาวปานนามาชาวจาไมก้า ชาวไนจีเรีย โซมาเลีย และเอธิโอเปียชาวแอฟริกากลางและแอฟริกาใต้ ชาวพื้นเมืองในเกาะซามัว ชาวศรีลังกา ชาวฟิลิปปินส์ ชาวอินโดนีเซีย ชาวไทย นิยมใช้น้ำมันมะพร้าวมาปรุงอาหาร คาวหวาน โดยเฉพาะกะทิ ใช้เป็นยา เป็นเครื่องประทินบำรุงผิว รักษาผิว

ด้วยคุณสมบัติที่เป็นน้ำมันพืชที่มีสรรพคุณหลายด้านที่เห็นผลตรงกันในหลายประเทศ ทำให้ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำมันมะพร้าวจึงกลายเป็นน้ำมันที่นิยมใช้ในการปรุงอาหารและยาทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา แม้ในยุโรปในเวลานั้นก็มีการนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้สำหรับคนป่วยที่มีปัญหาระบบย่อยอาหารหรือการดูดซึมอาหารที่ไม่ดี ตลอดจนใช้สำหรับเด็กเล็กที่ย่อยไขมันชนิดอื่นไม่ค่อยได้ สร้างภูมิคุ้มกัน ฯลฯ

ภาพที่ 1: แสดงประวัติศาสตร์เส้นทางเดินของมะพร้าว






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 27.55.7.247 ศุกร์, 4/10/2556 เวลา : 23:35  IP : 27.55.7.247   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 125803

คำตอบที่ 236
      

fiogf49gjkf0d
ต่อมาเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. 2484 -2488) กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองประเทศฟิลิปปินส์และหมู่เกาะต่างๆในย่านเอเชียและแปซิฟิก ส่วนไทยก็เป็นทางผ่านร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นด้วย ในเวลานั้นสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรฯเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น ทำให้น้ำมันมะพร้าวในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกนี้ต้องหยุดส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรฯไปโดยปริยาย

เมื่อน้ำมันมะพร้าวขาดแคลนในสหรัฐอเมริกาจึงทำให้ต้องมีการสานต่อการผลิตน้ำมันพืชชนิดอื่นขึ้นมาแทน ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้มีการคิดค้นน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (polyunsaturated oil) ขึ้นมา เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันงา น้ำมันทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วลิสง ฯลฯ ผลก็คือทำให้เกิดการปลูกพืชเหล่านี้กันอย่างแพร่หลายมากในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งสร้างผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรในยุคนั้นอย่างมหาศาล และทำให้สมาคมถั่วเหลืองในสหรัฐอเมริกากลายเป็นกลุ่มทุนที่มีอิทธิพลทางการเมืองในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 ประเทศญี่ปุ่นตกกลายเป็นผู้แพ้สงคราม หลังจากนั้น น้ำมันมะพร้าวจึงเริ่มส่งออกจำหน่ายไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ในเวลานั้นสงครามทางการค้าระหว่าง "น้ำมันพืชอิ่มตัว" และ "น้ำมันพืชไม่อิ่มตัว" ได้เริ่มต้นรุนแรงขึ้น

และคู่แข่งอันสำคัญในเวลานั้น ฝ่ายน้ำมันพืชอิ่มตัวก็คือ "น้ำมันมะพร้าว" จากเอเชียและแปซิฟิก

และฝ่ายที่เป็นน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวก็คือ "น้ำมันถั่วเหลือง" ที่ปลูกกันมากในสหรัฐอเมริกาในเวลานั้น

ภาพที่ 2 : แสดงพื้นที่ในกรอบเส้นสีแดงที่เป็นแหล่งของมะพร้าวตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้คิดตามว่าหากคนในโลกนี้เปลี่ยนน้ำมันพืชมาเป็นน้ำมันมะพร้าวประเทศใดจะได้รับประโยชน์สูงสุด






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 27.55.7.247 ศุกร์, 4/10/2556 เวลา : 23:36  IP : 27.55.7.247   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 125804

คำตอบที่ 237
      

fiogf49gjkf0d
กลุ่มสมาคมถั่วเหลืองแห่งอเมริกัน(American Soybean Association หรือ ASA) ได้โจมตีน้ำมันมะพร้าวว่าเป็นไขมันอิ่มตัว ทำให้เป็นคอเลสเตอรอลได้ง่าย ทำให้เป็นโรคหัวใจได้ง่าย อ้วนง่าย และทำให้เป็นอัมพาต !!!

ในปี พ.ศ. 2500 เป็นเวลา 12 ปีหลังจากยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ปฏิบัติการทำลายความน่าเชื่อถือน้ำมันมะพร้าวได้รุนแรงขึ้นไปอีก โดยได้มีงานวิจัยที่ประดิษฐ์ขึ้นหลายชิ้น ที่ระบุว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะทำให้เกิดภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ อัมพาต และโรคอ้วน โดยงานวิจัยชิ้นเหล่านั้นนั้นมีการใช้ความร้อนและเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันมะพร้าวในส่วนที่ยังเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ให้เป็นน้ำมันไฮโดรจีเนตที่ผิดธรรมชาติ เพื่อทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดแล้วโจมตีน้ำมันมะพร้าวให้เสียหายโดยตรง เพราะงานวิจัยชิ้นนั้นไม่สอดคล้องกับงานวิจัยต่อๆกันมาอีกจำนวนมากในรอบ 50 กว่าปีที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังเลยแม้แต่น้อย

แต่งานวิจัยการโจมตีไขมันอิ่มตัวไม่มีเพียงลักษณะดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายชิ้นแต่ไม่ได้โจมตีน้ำมันมะพร้าวตามธรรมชาติโดยตรงเพราะรู้ว่าโจมตีได้ยาก จึงเน้นการโจมตีน้ำมันที่เป็น "ไขมันอิ่มตัว" ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ และทำให้เชื่อว่าไขมันอิ่มตัวคือผู้ร้ายในวงการน้ำมันที่ใช้สำหรับปรุงอาหาร เพื่อเชื่อมโยงทางอ้อมว่าน้ำมันมะพร้าวคือไขมันอิ่มตัว ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวจึงต้องทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพด้วย

สำหรับในประเทศไทยก็มีการโฆษณาน้ำมันถั่วเหลืองยี่ห้อหนึ่งว่าน้ำมันถั่วเหลืองของยี่ห้อตัวเองแช่ตู้เย็นแล้วไม่เป็นไข แต่น้ำมันอิ่มตัวแช่ตู้เย็นแล้วเป็นไข เพื่อชักชวนผู้บริโภคให้รู้สึกหวาดกลัวว่าเมื่อเป็นไขแล้วจะเป็นก้อนไขมันอุดตันในเส้นเลือดในท้ายที่สุด โดยผู้บริโภคในยุคนั้นไม่เคยฉุกคิดเลยสักนิดว่าน้ำมันมะพร้าวจะเริ่มจับตัวเป็นไขเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ร่างกายมนุษย์มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย 36.4 - 37.0 องศาเซลเซียส จึงไม่มีทางจะเกิดไขขึ้นได้เลยในร่างกายมนุษย์

ภาพที่ 3 : แสดงการบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองสำหรับเป็นอาหารในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะหลังช่วงการรณรงค์ให้คนอเมริกันหวาดกลัวกับไขมันอิ่มตัว






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 27.55.7.247 ศุกร์, 4/10/2556 เวลา : 23:38  IP : 27.55.7.247   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 125805

คำตอบที่ 238
      

fiogf49gjkf0d
แต่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เพราะเป็น "สงครามทางการค้า" ที่มีความรุนแรงอย่างมาก สมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน เผยแพร่และรณรงค์อย่างหนักในช่วงปี พ.ศ. 2523 - 2532 ให้คนอเมริกันเลิกกินไขมันอิ่มตัว ซึ่งรวมถึงน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ซึ่งเรียกรวมๆว่าเป็นน้ำมันจากเขตร้อน (Tropical Oil) เป็นอันตราย ทำให้คอเลสเตอรอลสูง เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เพื่อให้คนทั้งโลกไปบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Oils) โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลืองแทน

หลังจากนั้นคนอเมริกันและคนทั่วโลกก็หลงอยู่ในมายาคติและการโฆษณาชวนเชื่อ จึงตื่นตระหนกและรังเกียจใช้น้ำมันมะพร้าวมากขึ้น ส่งผลทำให้คนบริโภคน้ำมันมะพร้าวน้อยลงอย่างรวดเร็ว และคนบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองมากขึ้นเรื่อยๆ ราคามะพร้าวตกลง มีการโค่นต้นมะพร้าวในเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากแล้วหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างอื่นทดแทน เช่น ปาล์มน้ำมัน


ภาพที่ 4 : แสดงการเปลี่ยนแปลงของประชากรคนอ้วนและน้ำหนักเกินในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบ 19 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2533 - 2552)






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 27.55.7.247 ศุกร์, 4/10/2556 เวลา : 23:40  IP : 27.55.7.247   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 125806

คำตอบที่ 239
      

fiogf49gjkf0d
ในที่สุดสงครามน้ำมันพืชยุติลง "น้ำมันถั่วเหลือง" ได้รับชัยชนะอย่างขาดลอย!!!

แต่สิ่งที่คนอเมริกันและทั่วโลกที่หันไปใช้น้ำมันถั่วเหลือง กลับได้รับคือ คอเลสเตอรอลที่มีอนุมูลอิสระทำลายหลอดเลือดสูงขึ้น เป็นโรคเบาหวานมากขึ้น อ้วนมากขึ้น(จนมีคนอ้วนมากที่สุดในโลก) และโรคหัวใจและโรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนอเมริกันมากที่สุด ทั้งๆที่ใช้น้ำมันถั่วเหลืองกันอย่างมหาศาลแล้ว และทำให้ในช่วง 15-20 ปีมานี้คนอเมริกันเริ่มตื่นตัวกับปัญหาสุขภาพของตัวเองกันมากขึ้น

เมื่อเห็นข้อมูลดังนี้อาจจะมีคนตั้งคำถามว่าการอ้วนขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงสาเหตุของการเสียชีวิตของคนอเมริกันอาจไม่ได้มาจากน้ำมันพืชก็ได้ ก็มีส่วนจริงอยู่เหมือนกัน แต่ก็ขอให้เก็บคำถามนี้เอาไว้ก่อน เพราะจะกล่าวถึงการศึกษาค้นคว้าและงานวิจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคเหล่านี้ต่อไป แต่ในชั้นนี้เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าการโฆษณาชวนเชื่อว่าการหยุดกินไขมันอิ่มตัวจากน้ำมันมะพร้าวแล้วหันมากินน้ำมันถั่วเหลืองแทนจะทำให้ไม่เป็นโรคหัวใจ ไม่เป็นโรคมะเร็ง หรือไม่เป็นโรคอ้วนนั้น ก็ไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการ

ภาพที่ 5 : แผนภูมิแสดงเปรียบเทียบ % ของ 10 สาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรในสหรัฐอเมริการสหรัฐอเมริกา ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยโรคหัวใจและโรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดในยุคปัจจุบัน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 27.55.7.247 ศุกร์, 4/10/2556 เวลา : 23:42  IP : 27.55.7.247   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 125807

คำตอบที่ 240
      

fiogf49gjkf0d
แต่ในทางตรงกันข้าม ดร.เรย์ พีท (Ray Peat) ผู้เชี่ยวชาญด้านธัยรอยด์ และฮอร์โมน แห่งมลรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ได้เขียนรายงานเอาไว้เมื่อปี พ.ศ. 2548 ค้นพบว่า ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีการรณรงค์ในเรื่องการโจมตีน้ำมันมะพร้าวอย่างหนักหน่วง ทำให้คนเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้อ้วนคอเลสเตอรอลในเลือดสูง และอ้วนง่าย ในช่วงเวลานั้นมีรายงานบันทึกปรากฏในหนังสือเอนไซโคลพีเดียแห่งสหราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2489 ว่า ผู้เลี้ยงหมูได้ซื้อน้ำมันมะพร้าวเอาไปเลี้ยงหมูเพราะเชื่อว่าจะทำให้หมูอ้วนเร็วทำน้ำหนักง่ายตามการโฆษณาของสมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน แต่เมื่อนำน้ำมันมะพร้าวมาให้หมูกินแล้วปรากฏว่า...

หมูที่เลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าว "ผอมลง"ทั้งเล้า!!!

หลังจากนั้นวงการธุรกิจปศุสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ทั่วโลกต่างก็ได้มีความรู้มากขึ้นว่าหากจะเลี้ยงให้สัตว์ตัวเองอ้วนขึ้นนั้น ต้องให้กิน "ถั่วเหลือง" และ "ข้าวโพด" เพราะล้วนแล้วแต่เป็นธัญพืชที่ให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวทั้งสิ้น ไม่มีใครเลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าวอีกต่อไป เพราะรู้ว่าน้ำมันจาก "ถั่วเหลือง" และ "ข้าวโพด" นั้นเป็นไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถั่วเหลืองในยุคหลังมีการตัดแต่งพันธุกรรมจะกดการทำงานของไทรอยด์ให้ต่ำลง ทำให้เกิดการเผาผลาญได้ช้าลง สัตว์จึงกินน้อยแต่ขุนให้อ้วนง่าย ไขมันเยอะ เหมาะอย่างมากในการทำน้ำหนักให้ได้กำไรในการขาย

ภาพที่ 6 : ดร.เรย์ พีท (Ray Peat) นักชีววิทยา แห่งมลรัฐโอเรกอน อาจารย์สอนมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธัยรอยด์และฮอร์โมน ในสหรัฐอเมริกา






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 27.55.7.247 ศุกร์, 4/10/2556 เวลา : 23:43  IP : 27.55.7.247   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 125808

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 8 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันเสาร์,20 เมษายน 2567 (Online 3270 คน)