WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


เกร็ดความรู้รถใช้แก๊ส 2.7 vvti หรือรถยี่ห้ออื่นภาค 2 เนื่องจากกระทู้เดิมเต็มรับภาระโหลดมาก
Auto.
จาก Auto
IP:171.96.53.209

อาทิตย์ที่ , 10/3/2556
เวลา : 20:49

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       เกร็ดความรู้รถใช้แก๊ส 2.7 vvti หรือรถยี่ห้ออื่นภาค 2 เนื่องจากกระทู้เดิมเต็มรับภาระโหลดมาก หลายคนเปิดไม่ได้ หรือเปิดช้ามาก เพราะโหลดของกระทู้มาก บางทีคนอื่นดูรูปไม่เห็นสำหรับคอมพิวเตอร์บางท่านที่ เนตเต่า ช้าเหลือเกิน


ตอนนี้เลยต้องตั้งกระทู้ใหม่เพื่อลดภาระกระทู้เดิมลง อย่างไรก็ดีการเริ่มอ่านกระทู้นี้ควรอ่านกระทู้เดิมให้หมดลงเสียก่อน แล้วค่อยมาอ่านกระทู้นี้่ต่อไป กระทู้เดิมได้รวบรวมความรู้ไว้มากแล้ว และควรอ่านกระทู้อื่น ๆ ไปด้วย เพราะความรู้มีอยู่ทุกกระทู้ในเวป TOYOTA 2.7 แห่งนี้
http://www.weekendhobby.com/offroad/toyota2700club/Question.asp?ID=1960



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

คำตอบที่ 1
       ผมคุยกับพี่ข้างบ้านผม อยู่หมู่บ้านเดียวกันที่บางพลี พี่คนนี้ทำงานเป็นผู้จัดการบริษัท Logistic ทำหน้าที่ส่งรถ TOYOTA ที่ขายต่างประเทศลงเรือที่แหลมฉบัง ผมเคยถามเขาเรื่องรถที่ TOYOTA ส่งไปขายนอกทุกวันนี้ปิคอัพ Hilux 2.7 4wd โฟร์วีลไดรฟเป็นรถที่ขายดีมาก ๆ กำลังการสั่งซื้อถือว่าสูงมากจอดเต็มท่าเรือแหลมฉบัง ทุกวันเขาจะขับรถไปทำงานจากบางพลีไปแหลมฉบัง วันนึงใช้ระยะทางไปกลับเกือบ 400 กิโลเมตร เขาใช้รถ TOYOTA ALtis 1.8E เกียร์ออโต CVT 7 speed ส่วนอีกคันนึงจะเป็น Fortuner 3.0 รุ่น 50 ปี ขับ 2wd


มีกรณีนึง ถือโอกาสมาเล่าให้ฟังมี 2 เรื่อง เรื่องแรกจะเขียนในกระทู้นี้คือเรื่องเกียร์ อันนั้นผมลงในกระทู้เรื่องเกียร์ออดตไว้ให้แล้ว
ส่วนเรื่องเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องรถ Fortuner ของเขา ผมจะเขียนลงในกระทู้เกร็ดความรู้รถใช้แก๊สภาค 2 แล้วกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




Fortuner รุ่น 50 ปี ที่เขาซื้อมานั้น เป็นรุ่นดีเซล 3.0 มีระบบ VSC
ผมคุยกับพี่ท่านนี้ เรื่อง effect ที่เกิดขึ้นเวลาขับ เนื่องจากตอนซื้อมาแรก ๆ นั้น เขาขับไปบ้านที่สกลนคร วิ่งทางไกลด้วย แต่ปกติจะให้ภรรยาเขาใช้ที่เป็นแม่บ้านอย่างเดียว คอยรับส่งลูกไปโรงเรียนอัสสัมชัญ
อาการที่เขาเจอนั่นก็คืออ ขับเร็ว ๆ แล้วมันมีอาการเต้น โดยเฉพาะที่พวงมาลัย ส่วนอาการโคลงนั้นเป็นปกติของ Fortuner อยู่แล้ว เวลาขับที่ความเร็วสูงเขาบอกว่าเกร็งมาก เพราะรถมันจะเต้นขึ้นมาถึงพวงมาลัย การบังคับรถไม่นิ่งเลย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมบอกว่าเป็นอาการปกติครับ ผมบอกว่าพี่ซื้อรถ Fortuner 2wd อาการนี้เป็นอาการปกติของรถรุ่นนี้อยู่แล้ว ยิ่งขับเร็วมันจะไม่นิ่ง มีอาการเต้นเกิดขึ้น ผมบอกว่ารถ Fortuner เขาออกแบบมาเป็นรถ 4wd ในถนนเมืองไทยเอาไว้วิ่งไฮเวย์บนถนนหลวงโดยเฉพาะ การทำมาเป็น 2wd มันเป็นการดัดแปลงทำมาทีหลัง ซึ่งอาการนี้เป็นข้อด้อยของรถ Fortuner 2wd อยุ่แล้วแก้ไม่หาย ไม่มีทางแก้
ถ้าจะให้นิ่งฟิลลิ่งการขับขี่ดี ต้องซื้อเป็น Fortuner 4wd เท่านั้น ถ้าไม่พอใจช่วงล่างจึงค่อยเซทตามมาทีหลัง จะปรับปรุงได้ง่ายกว่า



เรื่องนี้ผมฝากถึงท่านที่จะซื้อรถ PPV SUV แบบนี้ คือท่านจะซื้อรถเป็นรุ่น 2wd ก็ได้ ...................แต่ทุกอย่างในโลกนี้มันมี 2 ด้านเสมอ เหมือนกับเหรียญที่มันมี 2 ด้าน ถ้าท่านจะซื้อรถแบบนี้ ต้องเข้าใจว่ามันมีข้อด้อยแบบที่กล่าวมาคือโคลงมาก ขับเร็วไม่นิ่ง มีอาการเต้นมาก มันไม่เหมาะจะขับบนทางไฮเวย์ใช้ความเร็วสูง แต่ใช้ได้น่ะได้ แต่ต้องยอมรับข้อด้อยของมันที่จะเกิดขึ้น ทางที่ดีก่อนซื้อรถอะไรลองขับเปรียบเทียบดูให้แน่ใจเสียก่อนเพราะรถคันนึงมีราคาแพงเราซื้อมาก็ต้องใช้ให้คุ้มในหลายปี
ส่วนท่านที่จะซื้อรถ Fortuner 4wd หรือ PPV 4wd อย่าคิดว่ามันจะเอาไปลุยออฟโรดได้ เหตุเพราะว่ารถมันไม่ได้ทำมาสำหรับลุยออฟโรด เนื่องจากบริษัทรถในไทยเขาไม่คิดว่าลูกค้าคนไทยจะเอาไว้ลุยหนัก ๆ เพราะเขาเน้นเอามาวิ่งทางถนนหลวงเท่านั้นจึงลดต้นทุนลงไปหลายส่วน option ที่เฟืองท้ายเฟืองหน้าสำหรับขับเคลื่อนในทางออฟโรดมันหายไปหมด การจะซื้อรถพวกนี้มาเขาเอาไว้วิ่งบนไฮเวย์ แต่ถ้าจะเน้นเอาไปลุยออฟโรดด้วย ต้องไปเสริมเฟืองหน้าและเฟืองท้ายโดยการใส่ Limited Diff lock Airlocker ตามแต่จะเลือกใช้



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.53.209 อาทิตย์, 10/3/2556 เวลา : 21:31  IP : 171.96.53.209   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 33873

คำตอบที่ 2
       อัตราสิ้นเปลืองแก๊ส ของรถแต่ละรุ่น คิดที่ราคาแก๊ส 12.90 บาท/ ลิตร

1. fortuner 2.7 4wd 2wd กินแก๊สพอพอกัน อยู่ที่ ถ้าขับไม่เกิน 110 km/h ถัง 58 ลิตร จะวิ่งได้ประมาณ 300 กิโลเมตร เป็นการเฉลี่ยที่ 7 km/l วิ่งนอกเมืองคิดเป็น 1.8-1.9 บาท/ กม. ถ้าวิ่งในเมือง 2.1-2.2 บาท/ กม. ถ้าวิ่งออฟโรด เฉลี่ย 4.5-5.2 km/l

2. Hilux 2.7 4wd AT ถ้าวิ่งในเมือง กินแก๊สอยู่ที่ 2.2-2.3 บาท/กม. ถ้าวิ่งนอกเมืองจะอยู่ที่ 1.7-1.9 บาท/กม.

3. Hilux 2.7 2wd AT MT กินแก๊สพอพอกัน อยุ่ที่ 7.5 km/l จะประหยัดกว่ารุ่น 4wd เล็กน้อย รุ่นนี้วิ่งนอกเมืองกินแก๊ส 1.7 บาท/กม. ถ้าวิ่งในเมือง 1.8-1.9 บาท/กม.
ถ้าเป็น 4wd มักอยู่ที่ 7km/l แต่ทั้งนี้ รุ่น 2wd ใช้ล้อและยางเล็กกว่า โดยใช้ยางขนาด 215 เป็นหลัก ไมลจะอ่อนกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย ถ้าขยายหน้ายางกับความสูงยางให้ขึ้นมาอย่างน้อย 235 หรือขยายมากขึ้นอีกเป็นขนาด 30 การกินแก๊สจะขยับมาเท่ากับรุ่น 4wd ไมล์จะแข็งขึ้นใกล้เคียงความเป็นจริง และความสิ้นเปลืองจะเท่ากันกับรุ่น 4wd


4. ถ้าใช้ NGV ที่ราคาแก๊สไม่เกิน 10.55 บาท/ กิโลกรัม อัตราสิ้นเปลืองรุ่น 2wd จะไม่เกิน 1 บาท ต่อกิโลเมตร
แต่ถ้าเป็นรุ่น Hilux 4wd หรือ Fortuner ไม่ว่า 2wd 4wd จะอยู่ที่ 1.1-1.2 บาท/ กิโลเมตร



ถูกใจครับเอาไปเลย +100 แต่ของผมอัตตราการกินแก๊สของ vigo 2.7vvti (J) อยู่ที่ 1.58/km ครับวิ่ง 80-100km/hr
จาก : kasam_za(kasam_za) 11/3/2556 0:54:15 [223.207.87.95]
ลืมไปครับวิ่งนอกเมืองรถไม่ติดเลยครับทางยาวเส้นทางหมายเลย 7
จาก : kasam_za(kasam_za) 11/3/2556 0:59:59 [223.207.87.95]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.53.209 อาทิตย์, 10/3/2556 เวลา : 22:08  IP : 171.96.53.209   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 33879

คำตอบที่ 3
       ก็ถือว่าประหยัดนะครับ ปัดเป็นเลขตัวเดียวก็คือ กินแก๊ส 1.6 บาท / กม



บางทีอยากมันหาปั๊มเติม 95 เพียวๆไม่ได้เเล้วมีแต่ปั๊มหลอดที่ยังพอมีให้เติมบ้างของผมเบิกน้ำมันได้ครับแต่หาเติมไม่ได้เซ็ง
จาก : kasam_za(kasam_za) 11/3/2556 13:49:26 [180.180.4.168]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 11/3/2556 เวลา : 08:38  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 33882

คำตอบที่ 4
       Nissan Motor Thailand มีแผนจะออกรถ Nissan Navara CNG ภายในปีนี้

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2007 หลังจากทั้ง Chevyrolet และค่าย Nissan มีแผนจะออก Navara เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 มาด้วยในเวลานั้นแต่ก็ต้องล้มเลิกแผนการออกไปก่อนเนื่องจากการคาดการณ์ตลาดเวลานั้นจะยังไม่เติบโตขึ้นในประเทศไทยเนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะราคาเชื้อเพลิงแต่ละประเภท และทุกค่ายรถยนต์ต่างจับตามองค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง TOYOTA THAILAND ว่าจะทำตลาด Hilux Vigo 2.7 ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ในเมื่อตลาดรถปิคอัพในประเทศไทยเป็นตลาดของรถปิคอัพดีเซล ซึ่งต่างจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก แต่หลังจากที่ TOYOTA ไปได้ดีกับตลาดนี้และแนวโน้มของลูกค้ากลุ่มรถปิคอัพเบนซินมีแนวโน้มที่ยอดขายสูงขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้เกือบทุกค่ายมีรถปิคอัพเบนซินมาทำตลาดไม่ว่าจะเป็น TOYOTA Mitsubishi TATA Ford ทาง Nissan ซึ่งซุ่มดูตลาดนี้มาตลอดพบจุดด้อยที่แบรนด์ Nissan ยังไม่มีรถปิคอัพเบนซินทำตลาดเหมือนคู่แข่ง ในขณะที่ค่ายอื่น ๆ ที่ยังไม่ส่งปิคอัพเบนซินออกมาก็กำลังมีโปรเจกต์ปิคอัพ CNG ตามมาอีกเช่นกัน จึงเป็นโอกาสที่ Nissan จะออกมาทำตลาดสู้กับคู่แข่ง


รถปิคอัพ Nissan ถูกส่งขายไปทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศแถบทะเลแคริบเบี้ยน นอกจากนี้ก็ยังมีทางยุโรป แอฟริกา โดยรถปิคอัพ Nissan ที่ขายมีทั้งรุ่น Frontier โฉมเดิมและรุ่น Navara โฉมปัจจุบันโดย Nissan ทำตลาดในรุ่นดีเซลเป็นหลักทั้งที่เป็นเครื่องยนต์เดิม และเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.5 TDCI 174-200 แรงม้าและ 3.0 TDCI 250 แรงม้าโดยทั้ง 2 รุ่น Nissan จะทำตลาดเป็นกะบะขับเคลื่อน 4 ล้อโฟร์วีลเป็นหลัก แต่รุ่นที่ทำตลาดในบ้านเราจะมีเฉพาะ 2.5 ดีเซลคอมมอนเรล ในรุ่น 2wd 140 แรงม้า และ ในรุ่น 4wd 174 แรงม้า โดยในประเทศไทยจะเน้นไปที่รุ่นขับ 2wd 2.5 รุ่น 140 แรงม้า เป็นหลัก
ส่วนปิคอัพเบนซิน 2.4 ของ Nissan ในตลาดโลกทำตลาดไปได้เรื่อย ๆ เพราะรถไม่ได้มีอ๊อพชั่นอะไรหวือหวานัก และไม่ได้เป็น ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทาง Nissan ก็ไม่ได้เน้นทำตลาดรุ่นเบนซินเท่าไหร่นักเพราะตลาดที่ส่งไปของ Nissanนิยมเครื่องดีเซลแรงม้าสูง ๆ และต้องการแต่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ตลาดจึงคนละกลุ่มยอดขายปิคอัพเบนซินของ Nissan จึงน้อยลงไปด้วยและ Niisan ก็ไม่ได้มีตลาดลูกค้าในประเทศแถบตะวันออกกลาง เอเชียใต้ที่นิยมใช้เป็นรถปิคอัพเบนซิน 4wd ทำให้การทำตลาดของ Nissan ในแถบนี้เงียบเหงาไปด้วย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

รถปิคอัพเบนซินในประเทศไทยที่ทาง Nissan มอง ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการรถที่มีอ๊อพชั่นหรูหรามากนัก มีแค่ กระจกไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อค เกียร์ธรรมดาก็เพียงพอแล้ว เน้นใช้งานทั่วไปในเมืองและนอกเมือง ลูกค้ากลุ่ม Nissan ไม่ได้ต้องการรถที่วิ่งขึ้นเขาได้หรือเอามาบรรทุกเพื่อขึ้นเขาเหมือนคู่แข่งยักษ์ใหญ่ TOYOTA ที่รถต้องสามารถบรรทุกวิ่งขึ้นเขาขึ้นดอยได้ แต่ลูกค้า Nissan เน้นทางเรียบปกติมากกว่าและสามารถบรรทุกได้พอประมาณตามเอกลักษณ์ของ Nissan และซ่อมบำรุงไม่แพงนัก ไม่จุกจิกเกินไป และตลาดในประเทศไทยไม่ได้นิยมรถปิคอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ 4wd เหมือนประเทศอื่น ๆ ............ ซึ่งความต้องการของลูกค้าชาวไทยดังกล่าวตรงกับ Product ที่มีอยู่ ของ Nissan navara 2.4 พอดีที่ตัวรถและภายในก็ไม่ได้มีความหรูหรามากนักแบบเรียบ ๆ มากกว่าแต่ก็ตรงกับความต้องการของลูกค้าทั่วไปที่ชื่นชอบปิคอัพ Nissan



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 เสาร์, 16/3/2556 เวลา : 10:30  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 33925

คำตอบที่ 5
       มาแล้วนะครับแต่ต้องรอครึ่งปีหลัง หลังจาก Nissan ซุ่มดูอยู่นานก็ออกเครื่องเบนซิน 2.5 ออกมา

http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9560000037852





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 124.122.73.109 ศุกร์, 29/3/2556 เวลา : 21:24  IP : 124.122.73.109   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 33995

คำตอบที่ 6
       ต่อน่ะครับ สืบเนื่องจากผมเอารถไปซ่อมที่อู่.......คุยกับ 2 ท่าน

ช่วงที่ผมเอารถไปเปลี่ยนโช๊คนั้น คุยกับเจ้าของรถ Volksawaken Passat ด้วยความอยากรู้ของผมเกี่ยวกับเรื่องรถ
ผมถามว่าพี่ได้เอารถเข้าศูนย์ยนตรกิจหรือไม่ แล้วศูนย์ยนตรกิจเป็นอย่างที่เขาร่ำลือกันหรือไม่ (ถ้าใครรู้จักชื่อเสียงรถในเครือยนตรกิจจะทราบดี ) พี่เขาบอกว่าจริงเข้าศูนย์ยนตรกิจแพงมาก ศูนย์แก้ปัญหาไม่ได้ในหลายจุด หลายที่ในต่างจังหวัดแก้ปัญหาไม่ค่อยเป็น อะไหล่ไม่มีบางรายการต้องสั่งและราคาสูง ส่วนอู่นอกที่ออกมาเปิดเพื่อซ่อมรถโฟล์คราคาก็แพงมาก

แต่เขาบอกว่ารถดีมากน่ะ รถคันนี้เป็นเครื่อง 2.0 TDI เทอรโบดีเซลประหยัดน้ำมันมาก อัตราเร่งดี ขับสนุกมาก ช่วงล่างเยี่ยม ความประหยัดตกประมาณ 12-15 km/l ไม่ค่อยจุกจิกมากนักเพราะเป็นเครื่องดีเซล เขาชอบเอาไปวิ่งทางไกลไปตรวจโรงงานที่นครราชสีมา (ตอนนี้อยากได้รถที่ทนทานขึ้นและประหยัดค่าซ่อม เพราะเห็นผมใช้ Hilux 2.7 AT 4wd ) รายการซ่อมและรายการที่บำรุงรักษาของโฟล์คดีเซลที่คุยกันมีดังนี้

- กรองเชื้อเพลิงดีเซล ราคา 13,000 บาท ตอนหลังพี่เขาก็ไม่ได้เข้าศูนย์แล้วแต่จะเข้าซ่อมเฉพาะรายการแอร์กับเครื่องยนต์
ราคากรองดีเซลมาเปลี่ยนข้างนอก 7,000 บาท เรื่องระยะการเปลี่ยนกรองดีเซลไม่ทราบว่ากี่กิโลเมตรจึงเปลี่ยน
- ซ่อมเปลี่ยนสายพานราวลิ้นตามระยะ สูงเหมือนกันแต่ไม่ได้ถามว่าเท่าไหร่ แต่ก็หลักหมื่นในศูนย์บริการ
- Valve Body เครื่องยนต์มีปัญหา ตอนนี้วิ่งแล้วกระตุกในช่วงรอบกลาง ๆ ถ้าซ่อมก็หลายหมื่นบาท (แต่ยังไงก็ต้องซ่อม )
- เคยใช้บริการรถยก 2 ครั้ง ครั้งแรกก็ที่อู่ในโคราชไม่ใช่ศูนย์เพราะศูนย์แก้ไม่ได้ผมจำไม่ได้ว่าอะไร อีกครั้งนึงยกเข้าศูนย์ในกทม แต่ไม่มีอะไหล่เลยโวยวายกันใหญ่ ไปซื้ออะไหล่ร้านข้างนอกมาให้เปลี่ยนเลยจบกันไปได้

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รถดีเซลยุโรปดีหลายอย่าง แต่ค่าดูแลสูงมาก ๆ อย่างเรา ๆ ถ้าเอามาใช้ขนหน้าแข้งร่วงแน่ ถ้าต้องแลกกับความประหยัดน้ำมัน อันนี้คือค่าดูแล
ส่วนเรื่องค่าซ่อม ค่อนข้างสาหัสพอควร เรื่องอู่นอกเขาจะเข้าเฉพาะอู่ที่ยอมรับให้ลูกค้าซื้ออะไหล่ได้ เพราะเขาจะมีร้านวิ่งอะไหล่เอง ถ้าให้ร้านมา บวกค่าอะไหล่อีกต่อนึงไม่ไหวแน่ เพราะราคาจัดว่าโหดพอควรโดยเฉพาะอู่ซ่อมรถโฟล์คภายนอกแพง จึงต้องหาร้านใหม่แทนในกลุ่มโฟล์ค ส่วนแอร์ถ้าซ่อมอู่นอกเขาบอกมีหวังพังเพราะเล่นถอดเครื่องเสียงมาเปลี่ยนแอร์ก็รวนทั้งระบบแล้วต้องเข้าศูนย์ไล่สายให้ใหม่ เครื่องยนต์ถ้าไปทำไม่ดีกับอู่นอกยังไงก็ไม่จบแล้วไปต่อศูนย์จะโดนอีกไม่น้อย เท่ากับเสีย 2 ต่อ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

รถเก๋งดีเซลเทคโนโลยีไปไกลมาก แตกต่างจากดีเซลคอมอมนเรลในปิคอัพระดับล่าง ๆ เพราะว่าปิคอัพคือรถให้กับคนทำมาหากิน เกษตรกรที่มีรายได้น้อยกว่าค่าซ่อมคำบำรุงรักษาจึงไม่แพงเท่ากับรถเก๋งดีเซล รถเก๋งดีเซลไม่ว่าค่ายไหนจัดว่าค่าดูแลสูงกว่ามาก และค่าซ่อมก็จัดว่าสูงในระดับนึงทีเดียว เพราะเทคโนโลยีที่ใส่ไปในรถเก๋งคนล่ะระดับกับรถปิคอัพ ลูกค้ารถเก๋งดีเซลกับลูกค้าปิคอัพดีเซลคนล่ะกลุ่มรายได้ความแตกต่างกันมีตามราคาตัวรถ คนที่หวังว่าทำไมในไทยไม่มีรถเก๋งเล็กเครื่องดีเซลออกมาจำหน่าย หลายคนอยากได้เก๋งดีเซลราคาพอจับต้องได้ ซึ่งความจริงมันไม่มี ถ้าขนาดฟอร์ดโฟกัส ถ้าเอาเครื่องดีเซลมาขายจะลงได้แค่เกียร์ธรรมดา ซึ่งราคาก็ทะลุเพดานไปมากแล้ว ไหนจะค่าซ่อมอีก ทำให้ค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่ที่ทำเก๋งดีเซลมาขายในบ้านเราเป็นรถราคาแพงทั้งนั้น ค่าซ่อมค่าดูแลก็สูงตามตัวรถไปด้วย








 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.63.148 อังคาร, 9/4/2556 เวลา : 22:52  IP : 171.96.63.148   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34118

คำตอบที่ 7
       ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นซ่อมช่วงล่างในศูนย์จะเสียประมาณ 25,000 บาท ถ้าเข้าอู่นอกรถญี่ปุ่นก็ไม่เกิน 10,000 บาท ถ้าเสีย 2 หมื่นกว่าในรถญี่ปุ่นถือว่าโดนฟันหัวแบะ
แต่ช่วงล่างของรถโฟล์คพาสสาทที่ยกลงมาซ่อม ถ้าเข้าศูนย์ก็มีหลายหมื่นบาท น่าจะเกิน 3-4 หมื่นบาท เพราะยกลงมาทำทุกชิ้น แพหน้ารถทั้งหมด โช๊คบุชยางลูกหมากทั้งหมด พอดีถ่ายรูปมาไม่หมดโปรดสังเกตุดูสีขาว ๆ ก็คือ ตุ้มรองแท่นเครื่องแท่นเกียร์ เป็นของเทียบจากเยอรมัน ใช้ร่วมกับ Audi ได้ ทั้งหมดนี่เฉพาะค่าอะไหล่ก็แทบเป็นลมแล้ว เขาจึงต้องหาอู่ซ่อมที่ไม่ฟันค่าอะไหล่ไม่งั้นจ่ายกันบานแน่
มีอีกอย่างนึงเขาบอกว่าช่วงล่างเหมือนกับ Passat รุ่นเบนซิน 5 สูบ แต่ว่าของเขาเป็นดีเซล แรงบิดจะมีมากกว่า ทำให้ช่วงล่างต้องซ่อมเร็วกว่าเครื่องเบนซินหน่อยนึง





เปลี่ยนช่วงล่าง ecar โช้ค 4 ต้น, ยางแท่นเครื่อง, แกนล้อหลังและยางอีก 4 เส้น โดนไป 3 หมื่นกว่า หุๆๆ
จาก : Aod SRT(Aod SRT) 10/4/2556 8:53:12 [202.12.74.161]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.63.148 อังคาร, 9/4/2556 เวลา : 23:05  IP : 171.96.63.148   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34119

คำตอบที่ 8
       อีกท่านนึงที่ผมมีโอกาสคุยด้วยก็คือเจ้าของรถ Nissan Urvan รถตู้นั่นแหละครับ เขาใช้รถตู้รุ่นนี้เป็นดีเซล 3000 cc รุ่นนี้ยังไม่เป็นคอมมอนเรลนะครับแต่เป็นปั๊มไฟฟ้าแล้ว รถวิ่งมา 5 แสนกว่ากิโลเมตร เขาวิ่งงานชิปปี้ง รถดีเซลกินน้ำมัน 9-10 กิโลเมตร / ลิตร หรือประมาณ 3 บาทกว่า / กิโลเมตร ในระยะ 2-3 แสนกิโลเมตร เขาต้องซ่อมปั๊มไฟฟ้า 1 ครั้ง วิ่งมา 5 แสนกิโลเมตร ซ่อมไปแล้ว 2 ครั้ง ค่าซ่อมปั๊มเชื้อเพลิงดีเซลราคา 2 หมื่นกว่าบาท โดนไปแล้วก็ 50,000 กว่าบาท ไม่นับรวมซ่อมเครื่องยนต์รายการอื่นๆ ช่วงปั๊มเสียเนื่องจากช่างวิเคราะห์อาการไม่ถูกเนื่องจากปั๊มดีเซลเสีย จุดอ่อนของ Nissan คือใช้ปั๊มเชื้อเพลิงดีเซลของ Zexel ต้องซ่อมตามระยะแบบนี้ ราคาของใหม่อย่างที่นักเลงรถที่ชอบเล่นรถดีเซลทราบดีคือราคาปั๊มเชื้อเพลิงดีเซล 1 แสนกว่าบาท รวม Vat แล้วซื้อจากศูนย์ นั่นเป็นเหตุให้คนเล่นรถ TOYOTA ในกลุ่มเดียวกันกับรุ่นแบบนี้ พากันดัดแปลงหันมาใช้ปั๊มธรรมดาเพื่อลดค่าใช้จ่ายลง


โลกนี้มันมี 2 ด้านเสมอมา มีสีขาวแล้วก็ย่อมต้องมีสีดำ ถ้าต้องการให้รถประหยัดน้ำมันบางทีก็ต้องแลกให้อย่างอื่นตามมา มันมีหลายด้านที่เราต้องมองลงไป





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.63.148 อังคาร, 9/4/2556 เวลา : 23:14  IP : 171.96.63.148   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34120

คำตอบที่ 9
       ดีเซลไม่ได้น่ากลัวเสมอไป ในขณะเดียวกันเบนซินดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะรถเปลี่ยนไป
แต่ต้องเข้าใจว่ารถมันปลี่ยนไป เทคโนโลยีเปลี่ยนไปจะไปหารถดีเซลเพื่อหวังซ่อมถูก คำบำรุงรักษาถูกมากน่ะมันไม่ใช่โดยเฉพาะรถเก๋งเครื่องดีเซลที่ราคาตัวรถแพงและค่าบำรุงรักษาก็จะแพงตาม รถเก๋งดีเซลจะนิยมมากในยุโรปรวมถึงปิคอัพดีเซลในยุโรปแต่ขณะที่ทั่วโลกอื่น ๆ ไม่ได้นิยมเก๋งดีเซลตามไปด้วย ทั้งที่ค่าน้ำมันเบนซินจะแพงกว่าดีเซลก็ตาม ด้วยเนื่องปัจจัยดังกล่าว เทคโนโลยีรถเก๋งไปไกลมากแต่ตลาดทั่วโลกยังไม่ได้เปิดกว้างมากนัก อีกทั้งราคาเก๋งเล็ก ๆ ที่ใช้เครื่องดีเซลก็ยังสูงมากอีกด้วย และยังต้องยึดกับเกียร์ธรรมดาเป็นหลักเพื่อให้ราคาถูกลง ในขณะที่ตลาดเปลี่ยนไปแล้ว การที่ลูกค้าคนไทยคิดว่าซื้อรถเก๋งดีเซลมาแล้วทนทานประหยัดแทบไม่ต้องดูแลใช้ทิ้งขว้างได้เลย ไม่ต้องซ่อมบำรุง ถือเป็นความเข้าใจที่ผิด รถอะไรก็ต้องซ่อมทั้งนั้น รถแบบไหนก็ต้องมีการบำรุงรักษาตามระยะทาง และจะยิ่งมีค่าดูแลเพิ่มมากขึ้นตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย คือเดี๋ยวนี้จะไปหารถอะไรที่ซ่อมถูก ทนทานแบบไม่ต้องดูแลเลย น่ะไม่มีหรอก ซ่อมมากซ่อมน้อย ค่าดูแลถูกอีกเรื่องนึง แต่จะไปทิ้งขว้างไม่ดูแลมีอะไรก็ใช้อย่างนั้นแบบอดีตน่ะไม่ใช่แน่นอน

ดีเซลหรือเบนซินถ้าจะให้ซ่อมถูก ๆ ก็ยุค 10-20 ปีก่อนโน้น ดีเซลยุค 4JA-1 4JB1 อีซูซุมังกรทองนั่นแหละ ปิคอัพ 90 แรงม้า ที่ไม่ต้องดูแลมากนักไม่ต้องซ่อมเปลี่ยนอะไรเลย ใช้งานได้ 1 ล้านกิโลเมตร มีค่าบำรุงรักษาถูกมาก ๆ แค่ดูน้ำไม่ให้แห้งกับน้ำมันเครื่องเปลี่ยนตามระยะอย่าให้ขาดเท่านั้นเอง เบนซินอย่างยุคก่อน ๆ ยุคเริ่มต้นของหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ จะไม่จุกจิก ค่าซ่อมจะถูก เซนเซอร์น้อย
ถ้าเทียบกับสมัยปัจจุบันดีเซลเปลี่ยนไปมาก อิเล็กทรอนิกส์เยอะแยะพ่วงด้วยเทอร์โบ รีดแรงม้าออกมามาก ชิ้นส่วนพัฒนาขึ้นและราคาก็ปรับขึ้นมามากด้วย แน่นอนว่าค่าซ่อมบำรุงรักษามันต้องมากเป็นเงาตามตัว และต้องมีจุดที่ต้องดูแลซ่อมบำรุงมากขึ้น เป็นธรรมดา




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 110.169.245.240 พุธ, 10/4/2556 เวลา : 23:07  IP : 110.169.245.240   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34145

คำตอบที่ 10
       ทราบหรือไม่ว่า ISUZU MOTOR THAILAND เขายังส่งขายปิคอัพ D-Max โฉมเดิมออกต่างประเทศด้วยน่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดงที่ผมเห็นและเกือบทั้งหมดจะเป็นเครื่องดีเซล 2.5 ในรุ่น 4 ประตู และเกือบทั้งหมดอีกเช่นกันจะเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ 4wd ในภาพรถเทรลเลอร์ที่ส่งไปแหลมฉบังจำนวนรถทั้งหมด 6 คัน จะมี ISUZU Inside สีขาวตอนเดียวเพียงคันเดียวที่เป็นรถ 2wd นอกนั้นอีก 5 คันจะเป็นรถ 4wd

Nissan Motor thailand ก็ไม่ต่างกัน ในปัจจุบันนี้รถปิคอัพ Nissan Frontier โฉมเดิม ยังผลิตและส่งขายต่างประเทศอยู่เลย จอดเต็มลานจอดรถเพื่อรอส่งออกไปท่าเรือ และรถเกือบทั้งหมดที่ส่งออก คล้าย ๆ กับ ISUZU คือเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ 4wd ในโฉม ฟรอนเทียร์นี่แหละมีทั้ง 4 ประตูและ ปิคอัพตอนเดียว อันนี้ถ่ายรูปไม่ได้เพราะเป็นเขตพื้นที่ของ Nissan จึงถ่ายมาให้ดูไม่ได้ผิดมารยาท ยังไม่มีโอกาสถ่ายรูปตอนวิ่งบนถนนซักที

ในขณะที่ทางฟาก TOYOTA รถที่ส่งออกในเวลานี้เป็นรถเบนซิน 2.7 พรึบ นาน ๆ ถึงจะเจอดีเซลส่งออกซักทีนึง และเหมือนกันกับค่ายอื่น ๆ รถเกือบทั้งหมดเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ 4wd จำนวนรถ 2wd ที่ขนพ่วงไปกับเทรลเลอร์มีจำนวนน้อยกว่ารถ 4wd ในเกือบทุกเทรลเลอร์ ถ่ายรูปไม่ทันซักทีว่าจะถ่ายรูปมาให้ดูซักหน่อย ยังไม่มีโอกาส

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตลาดทั่วโลกก็เริ่มเปลี่ยนไปมาก เพราะหันมาเลือกเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ 4wd มากขึ้นเพื่อให้ตอบสนองการใช้งานได้คุ้มค่ามากขึ้น รวมถึงรถเองก็เปลี่ยนไปด้วยมิติรถและฐานล้อของรถปิคอัพมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก อีกทั้งรถก็ราคาแพงขึ้นด้วยทำให้คนซื้อเปลียนรถยากขึ้นในขณะที่บริษัทรถเองก็พยายามลดการสต๊อกอะไหล่ให้น้อยลงเพื่อให้คนเปลี่ยนรถกันเร็วกว่าเดิม






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 110.169.245.240 พุธ, 10/4/2556 เวลา : 23:31  IP : 110.169.245.240   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34146

คำตอบที่ 11
       ภาพนี้ถ่ายตอนอยู่บนทางด่วนบางนา ชลบุรีเมื่อเร็ว ๆนี้ รถ ISUZU ที่ส่งออก จะเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ 4wd ทั้งรุ่นปิคอัพตอนเดียวและ 4 ประตู ในโฉมเดิม รุ่นเดิมแต่เป็นดีเซล 2.5 ส่วนที่เป็นรุ่นใหม่ก็มีน่ะ สังเกตุไม่ยากแถวชลบุรีเพราะว่ารถจะมีไฟตัดหมอกด้านขวามือมาให้ด้วย ในขณะที่ปิคอัพบ้านเราตัดอ๊อพชั่นไฟตัดหมอกหลังทิ้งหมด





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 110.169.245.240 พุธ, 10/4/2556 เวลา : 23:41  IP : 110.169.245.240   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34147

คำตอบที่ 12
       ผมไปกลับนครพนมครั้งนี้ ตระเวรเยอะหลงทางก็มี วิ่งออฟโรดเข้าไปในป่าสงวนที่ เขกุรุคุ เปิด Diff lock ไฟฟ้า ใช้งาน ไปเที่ยวก็ได้ขับเร็วขึ้นตอนขาไปและมีปัญหาแก๊สเติมไม่ค่อยเต็มเพราะแรงดันปั๊มแก๊สและก็ อากาศร้อนจัดมาก เฉลี่ย ๆ คร่าว ๆตลอดเส้นทางแล้วกัน
ใช้แก๊สรวมทั้งหมดมาเติมเต็มถังที่บางพลี 3700 บาท จุดเดิมตอนขาไป ระยะทางที่ใช้ 1813 km เฉลี่ยตลอดเส้นทง 2.03 -2.05 บาท ต่อกิโลเมตร ถือว่าน่าพอใจในระดับนึง ถ้ารักษาความเร็วได้ขับเรื่อย ๆ เหมือนเดิมก็คงประหยัดกว่านี้

กลับมาเอารถไปเช็คทั่วไปที่ศูนย์ TBS การดูแลรถเป็นสิ่งจำเป็นทั้งก่อนและหลังการวิ่งใช้งาน ผมฝากความหวังไว้กับศูนย์บริการ TOYOTA และยังคงทำเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป อย่างที่ผมเคยบอกรถห่างศุนยืบริการนาน ๆ ไม่ค่อยดี และผมเห็นรถมา 100 ทั้ง 100 หรือว่าเอาเกิน 100 เป็น 120-150 ก็ได้ว่ารถที่ไม่เข้าศูนย์ใน 100% นั้นสภาพไม่ดีจริง มีงานซ่อมแอบแฝงในนั้นทุกคัน ชีวิตผมเคยแต่ซื้อรถมือ 2 มาตลอดเห็นรถมาก็มากจึงยืนยันอยากให้รถกลับไปเข้าศูนย์ดีกว่า อย่าไว้ใจฝากรถกับ b-quick หรืออู่ทั่วไปเพียงอย่างเดียว เพราะรถยนต์ไม่ว่ารุ่นใดต้องดูแลตามระยะโดยศูนย์บริการไม่ใช่อู่ข้างนอกที่เราต้องเลือกทำเฉพาะรายการ ( รถที่เข้าศูนย์อยู่เสมอส่วนมากราคาขายต่อจะดีกว่ารถที่ไม่เข้าศูนย์แล้ว)

เช็คทั่วไปตรวจดูความเสียหาย ของรถ และขัดสีฉวีวรรณใหม่โดยศูนย์ TBSหลังจากผ่านฝุ่น ลูกรัง และน้ำสงกรานต์ ออกมาใสปิ๊ง เอารถไปเดินห้างเซ็นทรัลบางนา ใกล้ ๆ ได้ไม่อาย ใคร แต่ก่อนไปก็ขัดเคลือบสีป้องกันรอยไปชั้นนึงก่อนออกจากบ้านช่วงสงกรานต์มาแล้ว






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 22/4/2556 เวลา : 11:01  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34194

คำตอบที่ 13
       หลาย ๆ คนที่พอพ้นระยะประกันไปแล้วก็ไม่นำรถกลับมาศูนย์อีกเลย ผมอยากให้นำมาเช็คระยะทุก 40,000 โล ก็ยังดี ซื้อน้ำมันของแท้ TOYOTA หิ้วเข้าศูนย์ไปจะได้ประหยัด อย่างน้อยเราจะได้ทราบว่ารถเราเป็นอะไร ต้องได้รับการดูแลจุดใดบ้าง และถึงเวลาต้องซ่อมอะไรบ้างหรือยัง แฟนผมถามเหมือนกันว่าทำไมต้องเอารถไปซ่อมทำโน่นทำนี่ด้วย คือเธอเห็นมาคนอื่น ๆไม่เคยทำ คือไม่เคยทำอะไรกับรถจริง ๆ น่ะ คือไม่เสียก็ไม่ซ่อมหรือถึงเสียก็ไม่ซ่อม ปล่อยรถทิ้งขว้างมากจริง ๆ เหมือนที่ผมเห็นมารถหลายคันไม่เข้าศูนย์แล้ว ดูแลเปลี่ยนแค่น้ำมันอย่างเดียว ใช้กันตามสภาพซึ่งรถเหล่านั้นผมเห็นมา 100% คือสภาพไม่ดีจริง ต่อให้เป็นรถใช้น้อยก็ตาม ผมถึงกล้าต่อให้เกิน 120 ด้วยว่าไม่ดีจริงอย่างที่คิด

ผมให้เหตุผลแฟนผมไปว่าเราใช้มันมีความสุขใช่ไหม แล้วรถเราดีจริงไหม ทุกคนพอใจกับการเดินทางไปกับมันไหม
แฟนผมจำนนด้วยเหตุผล เลยไม่ว่าอะไรอีกเลย






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 22/4/2556 เวลา : 11:12  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34195

คำตอบที่ 14
      
คุณลักษณะของรถ


- รถ เบนซินไม่ได้ทนทาน ค่าซ่อมถูก ไม่จุกจิกเหมือนกันทุกรุ่น อย่าเอามาปนกัน

- รถ ดีเซลไม่ได้ทนทาน ค่าซ่อมถูก ไม่จุกจิกเหมือนกันทุกรุ่น อย่าเอามาปนกัน หรือคิดว่าต้องเหมือนกัน

- รถ 4wd ก็ไม่ได้มีค่าซ่อมแซม ราคาถูกเสมอไปทุกรุ่น

- รถ 2wd ก็ไม่ได้มีค่าซ่อมแซม ราคาถูกเสมอไปทุกรุ่น รถปิคอัพ 2wd บางรุ่นค่าซ่อมแซมแพงกว่ารถ 4wd บางรุ่นบางยี่ห้อเสียอีก

- รถเก๋งดีเซลจะประหยัดน้ำมันให้อัตราเร่งที่ดีกว่า และใช้เครื่องยนต์ที่มีซีซีต่ำกว่าเก๋งเบนซิน

- แต่ต้องเข้าใจอย่างนึงว่าเครื่องยนต์ดีเซลในอดีตกับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ในอดีตเครื่องยนต์ดีเซลควันดำเสียงดัง อืด สั่นสะเทือนสูง กลไกไม่ซับซ้อน ไม่ยุ่งยากจุดเสียหายมีน้อย ค่าซ่อมบำรุงต่ำ ประหยัดน้ำมัน ไม่เหมาะใช้กับรถขนาดเล็ก

- รถดีเซลยุคปัจจุบัน มีกล่อง ECU และกล่องควบคุมด้านอื่น ๆ มีเทอรโบ อินเตอร์คูลเลอร์ มี EGR มีระบบควบคุมมลพิษ มีปั๊มแรงดันสูงจ่ายน้ำมัน มีเทคโนโลยีหัวฉีดที่ซับซ้อนขึ้นในการจ่ายเชื้อเพลิง ใช้ระบบไฟฟ้าและอีเล็กทรอนิกส์ร่วมด้วยมากมายยิ่งกว่ารถเก๋งเบนซิน ทำให้ดีเซลสมัยนี้ไม่อืด ควันไม่ค่อยดำ ประหยัดน้ำมันและแรงมากขึ้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าซ่อมที่แพงขึ้นตามกลที่ซับซ้อนขึ้นมา อายุการใช้งานของชิ้นส่วนที่ต้องลดลงตามสภาพวะการที่โมดิฟายมากหรือน้อยของบริษัทผู้ผลิต เพื่อให้เหมาะกับรถรุ่นนั้น

- รถโตโยต้าไม่ได้ขายต่อได้ราคาดีเสมอไปทุกรุ่น บางรุ่นก็ขายต่อราคาตกมาก บางรุ่นก็ขายต่อราคาสูงมาก

- รถโตโยต้า 2.7 ก็ไม่ได้ขายต่อราคาสูงเหมือนกันทุกรุ่น บางรุ่นขายแพงบางรุ่นขายต่อในราคาไม่สูงเพราะตลาดไม่เหมือนกัน

- รถ Hilux 2.7 เบนซินไม่ได้เหมือนกับรถ Hilux ดีเซล การตลาดและสภาพการใช้งานก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ราคาขายต่อก็ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้จะไปเปรียบเทียบว่าเห็นดีเซลขายเท่าโน้นแต่ทำไมปิคอัพเบนซินขายเท่านี้ ขนาดบริษัทรถยนต์ยังให้งบประมาณการทำตลาดต่างกันเลย เพราะมันคนล่ะกลุ่มไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบหรือรวมกันได้ ถึงต้องมีเวป 2.7 ต่างหากสำหรับคนใช้ Hilux Fortuner อนาคตยังต้องมีอยุ่ต่อไปเพราะยังไงรถมันก็ไม่เหมือนกัน

- รถโตโยต้า 2.7 ติดแก๊สเกือบทุกคัน ความประหยัดอยู่ระดับไหนทุกคนก็ทราบอยุ่แล้ว ถ้าปิคอัพดีเซลจะประหยัดให้ใกล้เคียงกันต้องเป็นปิคอัพดีเซลรุ่นใหม่ เวอร์ชั่นปี 2012 ขึ้นมา ในกลุ่มยี่ห้อ ISUZU TOYOTA จึงจะได้ความประหยัด 15-16 km/l ในเครื่องยนต์ดีเซลที่มีระบบ VN turbo และต้องขับ 80-100 km/h จึงจะประหยัดใกล้เคียงกับรถติดแก๊ส

- รถดีเซลคอมมอนเรลจะไปเลือกรุ่นเวอร์ชั่นปี 2002-2011 มันก็ไม่ค่อยประหยัดเพราะยังเป็นเทคโนโลยีเก่า คือมันประหยัดตามสภาพของตัวรถมันเองจะให้ประหยัดกว่านี้คงลำบาก อยากได้ประหยัดสุด ๆ ก็ต้องปิคอัพเวอร์ชั่นใหม่

- ขายรถ 2.7 ไปออก Ecocar ต้องเข้าใจว่าฟิลลิ่งไม่เหมือนกัน ผมเคยเห็นรถ Ecocar เข้าสำนักโมดิฟาย Mazda RX7 เพราะว่ารถวิ่งเกิน 80 km/h ในเมืองยังวิ่งลำบากเพราะรถไม่มีกันโคลงหน้าหลัง เกาะถนนไม่ดี บางรุ่นติดเพิ่มได้บางรุ่นทำไม่ได้ บางรุ่นแอร์ร้อนมาก เพราะให้ตัดบ่อยไม่ให้กินกำลังเครื่องที่เล็ก วัสดุลดต้นทุนมาก ต้องแดมป์ทั้งคัน เพราะฉนวนไม่มี บางรุ่นไม่มีใส่ยางอะไหล่มาให้ด้วย ลดต้นทุนกันขนาดหนัก ซื้อได้แต่ต้องเข้าใจฟิลลิ่งรถ ไปแต่งมากเพื่อให้เกาะถนนใช้งานได้ดีเหมือนเดิมราคาแต่งเท่ากับซื้อ Corolla Altis ได้คันนึง น่าเสียดายเปล่า

- รถเล็กประหยัดน้ำมันเอาไว้วิ่งในเมือง ขับเรื่อย ๆ เอาไปใช้นอกเมืองหรือนอกเหนือจากนี้ยังไงก็ไม่ประทับใจ นอกจากความประหยัด ทุกอย่างต้องแลกมา 2 ด้านเสมอ

- รถ Hilux 2.7 หรือ Fortuner 2.7 คันนึงเป็นปิคอัพ อีกคันเป็น PPV ถึงแม้จะใช้เครื่องเบนซินแต่มันคือเบนซินสำหรับงานหนักงานบรรทุก มันถูกทำมาเพื่อให้ใช้งานหนักสมบุกสมบันทนทาน ไมได้ทำออกมาเหมือนเครื่อง JZ จะให้แรงติดจรวด แรงติดเท้า จะเสียเงินเปล่า เพราะรถมันคนละคาแรกเตอร์

- รถ Hilux 2.7 หรือ Fortuner 2.7 คันนึงเป็นปิคอัพ อีกคันเป็น PPV ถึงแม้จะใช้เครื่องเบนซินแต่มันจะให้นิ่มนวลเหมือนรถเก๋ง เกาะถนนยังกับรถสปอร์ตน่ะไม่มีทาง ไปเสียเงินกันมากมายก็เปล่าประโยชน์ เสียเงินทำให้ดีขึ้นน่ะได้แต่ได้ขนาดไหนอีกเรื่องนึง แต่จะให้เหมือนเลยน่ะไม่มีทาง รถมันคนล่ะแบบถ้าเข้าใจคุณลักษณะมันจะซื้อมาใช้อย่างคุ้มค่าและไม่เสียเงินโดยใช่เหตุในการตบแต่งที่นอกเหนือจากโรงงาน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พฤหัสบดี, 25/4/2556 เวลา : 11:01  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34238

คำตอบที่ 15
       วันก่อนคุยกับสมาชิกท่านนึงที่ซื้อ Hilux 2.7 AT 4wd รถเขาวิ่งมาแล้ว 290,000 กิโลเมตร รถเขาใช้งานปกติทุกอย่าง แต่ตอนซื้อมามีปัยหาเครื่องเดินไม่เรียบ เขาหาสาเหตุอยู่และพบว่าคอยล์จุดระเบิด เจ้าของเดิมมีการเปลี่ยนมาแล้ว 1 สูบ แต่คอยลืที่เปลี่ยนมาไม่ตรงรุ่นคือไม่เหมือนกับสูบอื่น ๆ อีก 3 สูบที่เหลือ ทำให้ไฟกระโดดต่างกัน ทำให้เกิดสาเหตุเครื่องเดินไม่เรียบพอเปลี่ยนของตรงรุ่นแล้วอาการก็หายไปทันที
ต่อมาเขาพบว่าคอยล์จุดระเบิดสูบที่เหลือเริ่มปริแตกบ้างเนื่องจากความร้อนทำให้เครื่องกลับมาเดินไม่เรียบอีก เขาก็เลยเปลี่ยนใหม่ใน 3 สูบที่เหลือผลออกมาทำให้เครื่องเดินเรียบนิ่งเหมือนเดิม ตอนที่เขาขับรถมาให้ผมดูนั้นผมเห็นรถเขามีฉนวนกันความร้อนที่ฝากระโปรงรถอยุ่ด้วย ผมบอกเขาว่าถ้าความร้อนมันออกมาด้านข้างรถสูงมากให้ถอด ฉนวนกันความร้อนตัวนี้ทิ้งไปเลย เพราะความร้อนมันอบอวลในห้องเครื่องมาก ถ้าจะใช้ต้องใช้ฉนวนกันเสียงของแท้ที่ติดมากับรถวีโก้ดีเซล


ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้พวกเราได้ทราบกันนะครับเผื่อใครเจอปัญหาแบบนี้ รถ 2.7 ต้องใช้อะไหล่ตรงรุ่นตรงเบอร์ห้ามเทียบห้ามดัดแปลง ห้ามใช้ของเทียมบางรายการ อย่างกรณีนี้เจ้าของเดิมใช้คอยล์จุดระเบิดไม่ตรงรุ่นที่เป็นของแท้ 2.7 ทำให้พบปัญหาเครื่องเดินไม่เรียบและหาสาเหตุยากมากกว่าจะเจอ จำไว้ว่ารถ 2.7 ไม่ควรดัดแปลงแก้ไขหรือตบแต่ง หรือใช้ของเทียม เพราะมันอาจส่งผลถึงการใช้งานได้



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 ศุกร์, 26/4/2556 เวลา : 07:47  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34245

คำตอบที่ 16
       รายการอะไหล่ ของ 2.7 ที่เคยพบกันมา และพบว่ามันใช้ไม่เหมือนกันในรถ 2.7 แต่ล่ะรุ่น ถึงแม้ว่าจะเป็นรถ 2.7 เหมือนกันแต่ว่าไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ โดยรถ 2.7 จะแบ่งรุ่นย่อยเป็น
Fortuner 4wd ,
Fortuner 2wd
Hilux 2.7 AT 4wd
Hilux 2.7 AT 2wd
Hilux 2.7 MT 2wd
Commuter 2.7
Landcruiser Prado LC 150

รายการที่แตกต่างกันแม้จะเบิกอะไหล่ที่ศูนย์ให้นึกไว้ว่า แม้จะเป็นของแท้แต่เบอร์อะไหล่ ไม่ได้ตรงรุ่นกัน บางทีเอามาใส่แทนกันก็ไม่ได้ จะมีผลกับการใช้งาน

1. มูลเล่ยหน้าเครื่อง
2.สายพานหน้าเครื่อง ทิศทางการใส่ไม่เหมือนกัน
3. รอก
4. ecu
5.หัวเทียน
6.คอยล์จุดระเบิด
7. O2 Sensor
8. เฟืองท้าย
9.ซีลฝาครอบวาล์ว
10. ซีลหน้าเครื่อง
11 Switch เกียร์
12. ไมล์
13. ดุมล้อ
14.เซนเซอร์ดุมล้อ
15 ลูกปืนล้อ
16.โช๊คความหนืดไม่เหมือนกันในแต่ละรุ่น
17.สปริงค่า K ไม่เหมือนกันในแต่ล่ะรุ่น
18.แชซีซีย์รถไม่เท่ากัน
19. ประตูรถไม่เท่ากัน
20. ไวริ่งสายไฟไม่เหมือนกัน
21 อื่น ๆ สาธยายไม่หมด





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 ศุกร์, 26/4/2556 เวลา : 07:56  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34246

คำตอบที่ 17
       ข้อคิดก่อนติดแก๊ส
ค่าติดตั้งแก๊ส อย่าไปติดกันแพงเกินความจำเป็น ควรเตรียมงบประมาณไว้ 30,000 บาทสำหรับ LPG ไม่ควรเกินจากนี้
ยี่ห้อแก๊สที่ติดเข้าไป ควรเลือกยี่ห้อตลาดแบบบ้าน ๆ ที่จูนง่าย ๆ จบง่าย ๆ เป็นภาษาไทย เพราะช่างจากอู่หลายคนที่จูนให้เราจะได้เข้าใจง่าย ๆ เราไม่ได้เป็นคนจูนเอง อนาคตจะซ่อมบำรุงค่าอะไหล่จะถูกไม่แพง หาอะไหล่แยกซ่อมได้ง่ายราคาถูกมาก ๆ เวลาหาคนจูนหรือแก้ไขระบบแก๊สจะหาง่าย ไม่ยุ่งยากกับตัวเราเองภายหลัง อีกทั้งการเลือกยี่ห้อแก๊สพิจารณาถึงผู้นำเข้า มีความรับผิดชอบดี มีอู่เครือข่ายพร้อมซัพพอร์ตให้เรา ถ้าอู่ทำไม่จบอู่กลางของผู้นำเข้าแก๊สก็ยินดีรับแก้ไขให้ในราคาไม่แพง แบบนี้เราจะสบายใจในการใช้แก๊ส ถึงแม้อนาคตข้างหน้าเราก็ยังสามารถหัดจูนเองได้ไม่ยุ่งยาก

ไม่ใช่แบบนี้
ไปเลือกยี่ห้อแก๊สที่แพงเกินความจำเป็น ค่าติดแพง ค่าแรงแพง กลายเป็นเราเสียเงินเกินจำเป็น ผลเสียตกอยุ่กับเราอย่างเดียวในสิ่งที่เราเลือกเอง
อนาคตซ่อมบำรุงก็แพง อะไหล่แพงมาก หาอู่ซ่อมยาก จูนยาก เพราะพารามิเตอร์แก๊สบางยี่ห้อเข้าถึงยาก ไม่มีใครอยากทำให้ จูนให้ดีก็ยากเพราะจูนให้ดีได้แค่ตอนติดใหม่เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นเกิดปัญหาแล้วจะแก้ได้ยาก ทำให้เราปวดหัวกับการใช้แก๊สเปล่า ๆ ยิ่งผู้นำเข้าไม่สนใจในการทำตลาดอย่างจริงจังจะยิ่งลำบาก ถ้าอู่เครือข่ายยี่ห้อนั้นมีน้อยจะเป็นปัญหากับเรา แล้วยิ่งไปเจอร้านที่ไม่รับงานจากอู่อื่นเลย อู่เครือข่ายก็ไม่ค่อยมีถึงมีก็ฟันราคาแพงมาก ลองคิดย้อนกลับไปดูอนาคตเราจะเกิดอะไรขึ้น เกิดรถเราไปเสียที่เชียงใหม่ สงขลา หรือต่างจังหวัดไกล ๆ หาอู่แก้ไขให้ไม่ได้ อู่ไม่ยอมรับงาน อู่เครือข่ายไม่มี หรือมีก็แพงมหาโหด ผลกรรมตกอยู่กับเราทั้งนั้น
ไม่ใช่ว่ายี่ห้ออื่นไม่ดีแต่ควรเลือกให้ดีกับเรา อย่าเลือกเพื่อเป็นปัญหากับเรา เหมือนเราเลือกรถ TOYOTA ซ่อมง่ายหาอะไหล่ง่ายราคาถูกซ่อมถูก ช่างที่ไหนก็ซ่อมได้ แต่ถ้าไปเลือกรถยุโรป ซ่อมแพงหาอะไหล่ยาก ราคาแพง ปวดหัวหาร้านซ่อม
เวลาเลือกใช้แก๊สก็เหมือนกัน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การติดแก๊สควรตัดปั๊มติ๊กหรือไม่ทุกวันนี้คนยังคาใจอยู่มากมายว่าตัดหรือไม่ตัดดี กว่ากัน

เอาเป็นว่าข้อสรุปที่ดีที่สุดในการใช้งานระยะยาวคือตัดปั๊มติ๊กครับ
ไม่ใช่ว่าไม่ตัดแล้วจะไม่ดีน่ะครับ แต่เอาเป็นว่าข้อสรุปของผมคือตัดปั๊มติ๊กดีที่สุด อย่าอ้างโน้นอ้างนี่ว่าตัดแล้วกระตุก ตัดแล้วเครื่องดับ
ถ้าการจูนแก๊สนั้นออกมาดีเซทพารามิเตอร์ได้ดี การติดแก๊สถึงแม้เราจะตัดปั๊มติ๊กแล้วจะแทบไม่รู้สึกเช่นกันรถจะนิ่งมากไม่มีกระตุก รถที่บ้านผมทุกคันไม่ว่าคันไหนติดแก๊สตัดปั๊มติ๊กทุกคันก็ไม่เคยมีปัญหาว่ามันกระตุก เพราะช่างจูนออกมาได้ดีผลลัพธ์ดี เท่านั้นคือจบ
ผลที่ได้จากการตัดปั๊มติ๊ก คือไม่ต้องเติมน้ำมันไว้มากเกินความจำเป็น เครื่องไม่กระตุก ไม่สั่น ไม่ดับ ได้ผลไม่ต่างจากรถคันอื่น ป้องกันปัญหาปั๊มติ๊กเสียหายหรือการที่น้ำมันหายจากการไม่ตัดปั๊ม สามารถแยกระบบเชื้อเพลิงออกจากกันได้อย่างชัดเจน ระหว่างแก๊สกับน้ำมัน รถสามารถเติมน้ำมัน 95 ได้เลย ประหยัดสบายใจ
ผมเคยเจอรถสมาชิกท่านนึง ที่เพิ่งซื้อรถมา มีระบบน้ำมันถูกตัดต่อแยกจากกรองดักไอน้ำมันเบนซิน โดยปกติแล้วรถติดแก๊สทำไมต้องยุ่งกับการตัดต่ออุดระบบน้ำมันเบนซิน ในเมื่อใช้แก๊สเป็นหลัก น่าคิดไหม ..................ถ้าไม่เกิดปัญหากับระบบเชื้อเพลิงเบนซินจะไปยุ่งกับมันทำไมนั่นแสดงว่าระบบเบนซินมีปัญหา แล้วรถใช้แก๊สทำไมระบบเบนซินมีปัญหา ...................ถ้าเราตัดต่อแยกระบบเชื้อเพลิงตั้งแต่ทีแรกจะไม่มีปัญหากับเรา อนาคตจะใช้รถระยะยาวได้อย่างสบายใจ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 29/4/2556 เวลา : 19:53  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34280

คำตอบที่ 18
       เครื่องยนต์ 2.7 vvti มีระบบสำคัญอยู่ 2 อย่าง


1. ฝาสูบ กว่าจะเสียวาล์ทรุดก็นานมากฝาสูบจะทนทานกว่ารถเบนซินแบบอื่น ๆ ที่ติดแก๊สแล้วไม่ทนทานเท่านี้ ถ้าเทียบกับ Mitsu Triton 2.4 เบนซินแล้ว 2.7 ยังถือว่าทนทานกว่ามาก อายุการใช้งานอย่างที่เคยบอกว่าใช้ถนอม ๆ ไม่อัดด้วยแก๊สลากยาว ๆ หมั่นสลับเบนซินลดความเครียดและความร้อนในฝาสูบในการใช้งานนาน ๆ อายุการใช้งานบางคันเกิน 5 แสนกิโลเมตร ยังไม่ต้องเปิดฝาสูบออกมาซ่อม
แต่ในด้านดีย่อมมีด้านเสีย ด้วยเสมอเพราะโลกนี้มันมี 2 ด้าน เนื่องจากฝาสูบรุ่นนี้ถ้าเสียแล้ว ไม่สามารถเอาไปให้โรงกลึงทำฝาสูบออกมาให้ใหม่ได้เหมือนรถรุ่นอื่น ๆ ถ้าถอดไปทำที่โรงกลึง อายุฝาสูบจะอยู่ได้แค่ 1 แสนกว่าโลก็พังอีก เพราะเทคโนโลยีของโรงกลึงบ้านเรายังไปไม่ถึงที่จะทำบ่าวาล์วกลับมาได้ มีทางเดียวคือต้องเปลี่ยนฝาสูบใหม่เท่านั้น ราคาค่าเปลี่ยนฝาสูบในศูนย์บริการ ราคารวม 5x,xxx บาท เฉพาะฝาสูบ 3x,xxx บาท จะคุ้มกว่าถอดไปทำที่โรงกลึงเพราะเสียเงินก็ 1x,xxx กว่าบาทแล้วอายุการใช้งานกับความเรียบนิ่งของเครื่องยนต์ไม่ดีเหมือนเดิม
(แต่ไม่แน่ในอนาคตอาจมีร้านที่ถอดไปทำได้ดีกว่าเดิมแล้วก็ได้ แต่เป็นเรื่องอนาคตไม่ใช่ตอนนี้)


2. เสื้อสูบ
อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ 2.7 vvti สามารถวิ่งได้เกิน 1 ล้านกิโลเมตร แต่ไม่ได้แปลว่ารถวิ่งถึงล้านกิโลแล้วพัง แต่จะบอกว่ามันวิ่งได้เกินกว่านั้นมาก ถ้าไม่กินน้ำมันเครื่องมากเกินความจำเป็นอย่าเปิดออกมาซ่อม เพราะยังใช้งานได้อีกยาวนานมาก เพราะเทคโนโลยีของไลเนอร์เสื้อสูบ

แต่ในด้านดีย่อมมีด้านเสีย ................ เสื้อสูบแบบนี้ทนทานมากกกกก ทนต่อความร้อน เครื่อง Heat ก็ยังไม่เป็นอะไร
แต่ข้อห้ามคือห้ามคว้านเสื้อสูบทุกกรณี อย่าเชื่อช่างที่ไหนให้คว้านเสื้อสูบออกเด็ดขาด ถ้ามีการคว้านเสื้อสูบออกมาแล้วจะมีปัญหาความแข็งแรงของเครื่องยนต์ลดลงอย่างรวดเร็วมาก คือพังในเวลาอันใกล้อย่างแน่นอน ซึ่งผมอยู่ในโรงงานเคยมีการทดลองกันมาบ้างแล้วว่าผิวหน้าเสื้อสูบสึกหรอเป็นรอยยากมากแม้ไม่มีน้ำมันเครื่องผสมอยู่ แต่ถ้าเมื่อใดผิวเสื้อสูบถูกปาดเสียออกไป เครื่องยนต์นั้นโยนทิ้งเป็นเศษเหล็กอย่างเดียวไม่สามารถนำมาใช้ต่อได้เลย ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีบ้านเราไปไม่ถึงระดับที่จะคว้านเสื้อสูบเครื่องยนต์แบบพิเศษนี้ได้แล้วเอามาใช้ต่อ ไม่มีใครสามารถทำได้ คือคว้านได้อย่างเดียวแต่หลังจากนั้นพังแน่นอน ในเวลาอันสั้น อนาคตข้างหน้าเทคโนโลยีก็ไปไม่ถึงเพราะบริษัทรถเขาไม่ให้คว้านเสื้อสูบเพื่อตบแต่ง ถ้าอายุเสื้อสูบจบลงนั่นหมายถึงอายุเครื่องยนต์ก็หมดลงไปด้วย แต่นั่นมันก็ใช้เวลาที่นานมากกกว่า 2 ล้านกิโลเมตร เช่นเดียวกับเกียร์ออโตของรุ่นนี้ ที่อายุคาดว่าอยู่ราว 2 ล้านกิโลเมตรจึงไม่น่าจะซ่อมได้อีก หมดไลฟ์ไทม์ของมัน ซึ่งอายุการใช้งานขนาดนี้.....มันก็นานพอที่จะเรียกว่าคุ้มค่าแล้ว

ปล. เครื่องยนต์แบบนี้ไม่เหมือนเครื่องยนต์ยุคเก่าที่อายุทนทานน้อยกว่าแต่สามารถนนำมาคว้านเสื้อสูบตีปลอก ซ่อมกลับมาใช้งานได้ ไม่มีปัญหา
แต่เครื่อง 2.7 ทำไม่ได้ในการคว้านเสื้อสูบ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 จันทร์, 29/4/2556 เวลา : 20:20  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34282

คำตอบที่ 19
       ข้อสรุปบทพิสูจน์ หนทางพิสูจน์แรงม้ากาลเวลาพิสูจน์ความทนทาน รวมถึงเรื่องอื่น ๆ


ราคาขายต่อ Mitsu Triton 2.4 ราคาค่อนข้างตกลงไปมากพอสมควร ถ้าเป็นปิคอัพ 4 ประตู Triton plus 2.4 รถใช้งานเพียง 1-2 ปีราคาลดลงเหลือไม่เกิน 6 แสนบาท ตรงนี้ต้องทำใจยอมรับรถส่วนใหญ่ในตลาดราคาตกทั้งนั้น เพราะรถมีค่าเสื่อม แต่ถ้านำมาเปรียบเทียบกับ Hilux 2.7 AT 4wd 4 ประตู แน่นอนว่าราคาตกน้อยกว่ามาก ราคาขายยังงถือว่าดีมากและมีคนรอช้อนซื้อไปใช้งานอีกมาก
เพราะอะไรทำไมจึงเป็นแบบนี้ ?
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตรงนี้ผมเคยเตือนไปแล้วหรือให้เหตุผลไปแล้ว หลายคนไม่ยอมซื้อ Hilux 2.7 4wd AT มือ 2 เพราะความเห็นที่ครอบครัวที่บ้านส่วนใหญ่อยากได้เป็นรถใหม่ป้ายแดง ราคาไม่ต่างกันจึงไม่อยากได้เป็นมือ 2 ขอซื้อรถใหม่ต่างยี่ห้อดีกว่า แต่ตรงนี้เราต้องยอมรับว่าโลกมันมี 2 ด้านเสมอมาคือสีขาวและสีดำ เด่นและด้อย Mitsu Triton 2.4 เด่นกว่าอยุ่เรื่องเดียวคือตอนซื้อเป็นรถใหม่ป้ายแดง แต่นอกนั้นหลังจากซื้อแล้วด้อยกว่า Hilux 2.7 ทุกอย่าง ทำให้เวลาขายต่อราคาตกมากกว่า เพราะตลาดนิยมน้อยกว่า
1. เกียร์ออโต ซึ่งเรื่องนี้ หลายคนตอนซื้อ Triton ขอเป็นเกียร์ธรรมดา คือไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องขับเกียร์ออโต
======= แต่เวลาใช้ไปแล้วจะรู้สึกว่าอยากเป็นเกียร์ออโตดีกว่า ตอนขายต่อคนจะมองที่เกียร์ออโตของ Hilux 2.7 มากกว่าเพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว

2. เครื่องยนต์ของ Mitsu 2.4 ไม่มีระบบ Mivec
============== ตรงนี้ทำให้รถอืดลงมากกว่า 2.7 เยอะ กำลังของ Mitsu 2.4 ด้อยกว่าดีเซล และรุ่นพลัสทดเฟืองท้ายใหม่ให้ทดรอบสูงเพื่อให้อัตราเร่งดี แต่ก็มีผลทำให้เครื่องรอบจัดจ้านกว่า สิ่งที่ตามมาคือเครื่องมีปัยหาฝาสูบซึ่งไม่ค่อยทนอยู่แล้ว บางคนเค้นคันเร่งมาหนักเจอปัญหาก่อน 3 แสนกิโลเมตรอีก ตรงนี้ผมถามจากอาจารย์รุ่งเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา บางคันเจอ effect นี้จริง รถ Mitsu ต้องติดกระปุกน้ำมันเลี้ยงบ่าวาล์วเพื่อลดความเสียหายฝาสูบลง

3. ไม่มี 4wd
อย่าคิดว่าไม่มีอะไรน่ะครับ พอซื้อไปแล้วใช้งานไปแล้ว ชักเริ่มคิดเกือบทุกราย ไม่ได้ใช้งานก็จริงถึงแม้จะขับในเมืองนอกเมือง แต่เขาเรียกวาซื้อฟิลลิ่งเพราะรถเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครเอาไปลุยเข้าป่าหนัก ๆ หรอกยกเว้นกลุ่มเฉพาะ เขาจึงออกแบบมาให้เป็นปีกนกใช้งานในเมืองได้สะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม เราซื้อ 4wd กับรถยกสูงแบบนี้คือซื้อ ฟิลลิ่งครับ ไม่ได้ใช้งานจริงจังกันหรอกกลัวรถเป็นรอย ฮ่า ฮ่า
ให้ล้อหน้ามันจิกลงพื้นดีดีนั่นแหละ

4. ค่าเปลี่ยนสายพานราวลิ้น Mitsu 2.4 แพงมาก ตามคุณ tpl บอกมีหลายรายการ Mitsu แพงกว่าในค่าซ่อมบำรุง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เรื่องแบบนี้มันมี 2 ด้าน แบบที่เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้วนะครับ ข้อดีของการซื้อป้ายแดง กับข้อเสีย มันต้องเจอมีอะไรบ้าง
ไม่งั้น Hilux 2.7 AT 4wd ราคาขายต่อไม่ดีมาตลอดทั้งที่เป็นรถเก่า บางคนซื้อมาเป็นมือ 4 มือ 5 แล้ว ก็ยังซื้อ บางคนมีรถคันที่ 2 แล้วยังมีต่อด้วยคันที่ 3 เรื่องแบบนี้คุยกันเองในครอบครัวให้ดี เพราะส่วนใหญ่มักทะเลาะกันไม่ลงรอยกัน เกือบทุกครอบครัว โดนกันมาทั้งน้าน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 115.87.114.173 พุธ, 8/5/2556 เวลา : 08:06  IP : 115.87.114.173   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34349

คำตอบที่ 20
       เคสอาการสตาร์ทไม่ติดของท่านนึง อยู่แปลงยาวฉะเชิงเทรา น่าจะเป็นเคสแรกที่เคยเจอกันมาแบบนี้ คืออาการสตาร์ทไม่ได้ (ไม่ใช่สตาร์ทไม่ติด)
พอสตาร์ทบิดกุญแจคือเงียบ ตรงนี้ทีแรกให้ลองไล่เช็คดูฟิวส์การพ่วงแบต สุดท้ายรถตัดล็อคกันขโมยมีตัดสตาร์ทผมบอกให้ลองต่อตรงสายนี้ดูเพราะมักมีปัญหาเมื่อรถเก่าไปแล้ว สุดท้ายก็หาไม่เจอรถปกติทุกอย่าง
รถวิ่งมาเพียง 250,000 กิโลเมตร ถือว่าวิ่งน้อยน่ะครับสำหรับ 2.7 เราไม่ได้มองระยะแค่นี้อยู่แล้ว จึงไม่คิดว่ามอเตอร์มีปัญหา ผมเลยบอกให้ลองเคาะมอเตอร์สตาร์ทดูปรากฎว่าไม่ติด (อาจเคาะแรงไม่พอก็ได้ )
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากนั้นก็ตามช่างมาซ่อม ปรากฎว่าเป็นที่แปรงถ่านมอเตอร์สตาร์ทหมดแล้ว
กรณีนี้ถือว่าน่าแปลกเพราะว่า รถวิ่งมาเพียง 250,000 กิโลเมตร แปรงถ่านมอเตอร์หมด ถือเป็นเคสแรกที่เคยเจอว่ารถแปรงถ่านหมดในระยะทางที่วิ่งมาเท่านี้ เพราะตัวมอเตอร์กว่าจะเสียที่เคยเห็นมาก็วิ่งกันเกือบ 5 แสนกิโลเมตร อันนี้ถือว่าเสียเร็วไปหน่อยแบบนึกไม่ถึง
ค่าซ่อมที่เสียไปประมาณ 1300 บาท เปลี่ยนแปรงถ่านแล้วก้แบริ่ง

ส่วนราคามอเตอร์สตาร์ทของใหม่อยู่ที่ 3,xxx บาท ( ราคาจากในศูนย์บริการ ไม่ใช่ร้านอะไหล่ )



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พฤหัสบดี, 9/5/2556 เวลา : 09:36  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34352

คำตอบที่ 21
       ข่าวประชาสัมพันธ์
อาจารย์รุ่งเขาไม่ได้ฝากมาบอกหรอก แต่ผมขอบอกเองก็แล้วกัน (เพราะอาจารย์เขาไม่เคยมาโฆษณาร้านหรือมาเล่นเวป )


อู่อาจารย์รุ่งตอนนี้เปิดเฉพาะวันอาทิตย์น่ะครับ วันธรรมดาจันทร์ถึงเสาร์อาจารย์ไม่ได้อยุ่ที่ร้านไปติดแก๊สให้กับรถนำเข้ายี่ห้อนึงซึ่งคงใช้เวลาอีกสักระยะเนื่องจากบริษัทเขาเซ็นต์สัญญาไว้ ร้านจะเห็นปิดตลอดจะมาเปิดร้านให้เฉพาะวันอาทิตย์เพื่อซัพพอร์ตลูกค้าเก่าทั้งหมด ถ้าจะไปซ่อมแซมยังไงก็ต้องนัดก่อนอันนี้เรื่องปกติ ถ้ามีรายการเปลี่ยนอะไหล่ต้องสั่งอะไหล่ไว้ก่อนเพราะวันอาทิตย์หาร้านอะไหล่ไม่ได้เนื่องจากร้านอะไหล่ไม่เปิด ถ้าไม่สั่งไว้จะไม่มีอะไหล่เปลี่ยน ใครเคยไปก็น่าจะพอทราบทุกอย่างอยู่บ้างแล้ว

ส่วนรถติดตั้งแก๊สใหม่อาจารย์เขายังรับติดอยู่เป็นปกติ แต่จะติดเฉพาะวันอาทิตย์และตอนนี้รับติดตั้งใหม่ได้เฉพาะ LPG เนื่องจาก NGV เวลาวันเดียวอาจไม่พอ ผมเห็นร้านอาจารย์ติดวันล่ะ 2 คัน เฉพาะวันอาทิตย์ผมเห็นอาทิตย์ที่ผ่านมามี Cheyrolet Cruze กับรถ Ford Fiesta อาทิตย์ก่อน ๆ ก็มีป้ายแดงมาเรื่อย ๆ อาทิตย์ล่ะ 2 คัน แต่ยังไงเราก็ต้องนัดอยู่ดีว่าจะติดตั้งชุดแก๊สยี่ห้ออะไรแบบไหน


งานซ่อมรถ เครื่องยนต์ ช่วงล่าง เบรคคลัทซ์ เฟืองท้าย น่าจะคงไม่สะดวกเพราะเปิดแค่วันอาทิตย์วันเดียว ร้านอะไหล่ก็ไม่เปิด คงต้องรอกันอีกสักพักไว้อาจารย์เขามาเปิดร้านเต็ม ๆ อีกเมื่อไหร่ จะแจ้งให้ทราบ เพราะผมขับรถผ่านทุกอาทิตย์ สามารถเข้าไปถามไถ่กันได้ตลอด
เพราะทั้งคลับ Trition 2.4 club 2.7 ของพวกเรา กลุ่ม TATA ทั้งหมด และรถจากกลุ่มอื่น ๆ ก็รอไปซ่อมและเซอร์วิสกันที่นั่น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พฤหัสบดี, 9/5/2556 เวลา : 09:59  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34355

คำตอบที่ 22
       ราคาค่าเปลี่ยนสายพานทั้งหมดของ Mitsu triton 2.4 ทำในศูนย์ 1x,xxx กว่าบาท อู่อาจารย์รุ่ง 6xxx บาทแท้ทุกชิ้น
ราคาเปลี่ยนซ่อมฝาสูบแท้ทุกชิ้น มิตซู ไทรทัน เบนซิน 2.4 และซ่อมเครื่องโตโยต้า 2.7 ( ถูก ) ทำฝาสูบโตโยต้า Avanza (ถูก)
รถ TATA ซ่อมที่นี่หมด

นั่นเป็นเหตุผล ..........ที่มารอทำที่นี่ ซึ่งคงต้องรออาจารย์รุ่งเขามาเปิดร้านเต็ม ๆ อีกครั้ง อย่างเรามีรถ 2.7 ใช้ก็ใช้ไปได้เลย คำเดียวคุ้ม อย่าไปกังวลเลย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 พฤหัสบดี, 9/5/2556 เวลา : 10:22  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34357

คำตอบที่ 23
       เกี่ยวกับเรื่องหม้อน้ำ เผื่อบางท่านสงสัยกันว่ามันจะต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่ หรือว่าตอนมันรั่วแล้วจึงค่อยเปลี่ยน ความจริงหม้อน้ำไม่ต้องเปลี่ยนแต่อย่างใดถ้ามันไม่รั่วหรือสกปรกเกินเยียวยา แต่มันมีสัญญาณบ่งบอกก่อนที่มันจะรั่วซึม ว่าควรต้องเปลี่ยนแล้ว วิธีการดูว่ามันควรจะต้องเปลี่ยนคือให้สังเกตุที่ตัวเรือนหม้อน้ำถ้ามันมีการเปลี่ยนสีหรือมันเริ่มมีสีเหลืองออกมามากขึ้น แทนที่มันจะเป็นสีดำอย่างเดิม นั่นละครับสัญญาณที่บ่งบอกว่าอีกไม่นานหม้อน้ำอาจจะรั่วได้ ถ้าเราเห็นแบบนี้ก็เตรียมเก็บเงินเปลี่ยนหม้อน้ำได้เลย ไม่ควรซ่อมเหตุผลเพราะว่าตัวเรือนหม้อน้ำมันเป็นอลูมิเนียม ถ้ามันหมดอายุคือทั้งตัวมันหมดอายุซึ่งจะรั่วตรงไหนก็ได้ เราปะผุตรนี้ได้ตรงอื่นก็อาจจะรั่วได้อีกเหมือนกัน โดยมากหม้อน้ำแบบนี้เขาไม่ค่อยซ่อมแต่นิยมปลี่ยนกันเลยมากกว่า ราคาหม้อน้ำ 2.7 รุ่น เกียร์ออโตราคา 5,xxx บาท ถ้าเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 4,xxx บาท 2 ตัวนี้อะไหล่ไม่เหมือนกันนะครับ แต่ไม่แน่ใจว่าของ Hilux กับ Fortuner เหมือนกันหรือเปล่า
สำหรับหม้อน้ำกว่าจะเปลี่ยนส่วนใหญ่รถคันนั้นต้องมีอายุ 8-10 ปีขึ้นไปจึงจะได้เวลาเปลี่ยน นานล่ะครับอย่ากังวลไปเกินเหตุ









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.81.0 อาทิตย์, 12/5/2556 เวลา : 21:23  IP : 171.96.81.0   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34364

คำตอบที่ 24
       เผื่อเป็นประโยชน์

เห็นมีเครื่องยนต์ 2TR-FE วางขายอยู่ในเวป เป็นเครื่องยนต์ใหม่ยังไม่ผ่านการใช้งาน
ติดต่อ Wat 081-875-7547










ถามให้แล้ว 1.8แสน บาทต่อเครื่อง
จาก : song2511(song2511) 20/10/2556 15:12:11 [203.146.51.129]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.66.136 อังคาร, 14/5/2556 เวลา : 22:41  IP : 171.96.66.136   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34385

คำตอบที่ 25
       เครื่องยนต์ 2TR-FE วางขายอยู่ในเวป เป็นเครื่องยนต์ใหม่ยังไม่ผ่านการใช้งาน
ติดต่อ Wat 081-875-7547






ในรูปเหลือ 2เครื่อง เป็นเครื่องใหม่ขายตามรูปเลย Short block
จาก : song2511(song2511) 20/10/2556 15:16:42 [203.146.51.129]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.66.136 อังคาร, 14/5/2556 เวลา : 22:45  IP : 171.96.66.136   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34386

คำตอบที่ 26
       เครื่องยนต์ 2TR-FE วางขายอยู่ในเวป เป็นเครื่องยนต์ใหม่ยังไม่ผ่านการใช้งาน
ติดต่อ Wat 081-875-7547



เครื่อง 1TR-FE รายนี้เขาก็มีขายน่ะครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.66.136 อังคาร, 14/5/2556 เวลา : 22:46  IP : 171.96.66.136   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34387

คำตอบที่ 27
       ตามไปดูเวปเพื่อนบ้าน ติดแก๊ส

Range Rover L322 กับแก๊ซ LPG หัวฉีด เครื่องยนต์เบนซินวี 8 สูบขนาด 4400 ซีซี 281 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลือง 5.7 -7.0 km/l เราจะได้รู้ว่าเครื่องเบนซินใหญ่ ๆ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างทีคิด แต่ที่น่ากลัวคือยี่ห้อรถมากกว่าเพราะรถยุโรปมันซ่อมแพงและหาที่ซ่อมยากเท่านั้นเอง แต่รถเขาดีจริงเพราะตอนออกใหม่ราคามากกว่า 4 ล้าน

ใครที่กังวลเกี่ยวกับเรื่องแก๊สอยากหันไปใช้ดีเซล หรืออีโคคาร์ ช่วงสงกรานต์ผมเจอต่างจังหวัดอย่างสกลนคร นครพนม บึงกาฬ ปั๊มแก๊สขยายตัวมากอู่ติดแก๊สก็มากขึ้น เพราะสภาพจริง ๆ ตอนนี้คนต่างจังหวัดที่ใช้ดีเซลหรือเบนซินมาก่อนก็สู้ไม่ไหวจนต้องหันมาใช้แก๊ส





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.58.250 พฤหัสบดี, 16/5/2556 เวลา : 20:02  IP : 171.96.58.250   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34395

คำตอบที่ 28
       http://www.weekendhobby.com/board/landrover/Question.asp?ID=26849


เครื่องยนต์เบนซินวี 8 สูบขนาด 4400 ซีซี 281 แรงม้า ติดแก๊สแล้วกินแก๊สประมาณ 1.7-2.4 บาท กินเท่ากับฟอร์จูเนอร์ เครื่องยนต์ใหญ่แบบนี้การบริโภคไม่น่ากลัว อย่างที่หลายคนเข้าใจ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.58.250 พฤหัสบดี, 16/5/2556 เวลา : 20:06  IP : 171.96.58.250   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34396

คำตอบที่ 29
       น้ำมันเกียร์ของแลนด์โรเวอร์จะใส่กล่องกระดาษแล้วมีขวดสีขาวคล้ายขวดน้ำกลั่น ขวดล่ะประมาณ 1 ลิตรครับ อย่าไปเอายีห้ออื่นใส่น่ะครับ มีเพือน ๆหลายคันไปเปลียนมามีปัญหาใช้ไปแล้วเกียร์ไม่เปลียนหรือมีเสียงดังหอนครับ
http://www.weekendhobby.com/board/landrover/Question.asp?ID=26849

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ส่วนใหญ่รถทุกรุ่นทุกค่ายจะบอกคล้าย ๆ กันแบบนี้ น้ำมันเกียร์คือของต้องห้ามในการเปลี่ยนยี่ห้อ หรือใช้ผิดเบอร์ ห้ามเทียบ
รถรุ่นไหน ใช้เบอร์อะไร ยี่ห้ออะไรต้องใช้รุ่นนั้น อย่าพยายามหาของยี่ห้ออื่นมาใส่ทดแทน รถ Vigo หรือ Fortuner ต้องใช้ T-IV ก็คือต้องใช้ T-IV ของโตโยต้า อย่าพยายามเอาของอื่นมาทดแทน ในคู่มือก็ไม่ให้ใช้ของยี่ห้ออื่น

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล. รถเขาดีจริง ....... แต่ว่ารถแบบนี้คนส่วนใหญ่กลัวอู่ซ่อม กับกลัวหาอู่ซ่อมแค่เจอเรื่องอื่นก็ปวดหัวแล้ว






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 171.96.58.250 พฤหัสบดี, 16/5/2556 เวลา : 20:12  IP : 171.96.58.250   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34397

คำตอบที่ 30
       คำนิยามของพื้นฐานรถ มือ 2 อ่านตรงนี้จบมันอาจจะเปลี่ยนแปลงวงการรถมือ 2 ไปเลย ไม่มากก็น้อย จะได้ให้คนขายเลิกเล่นมุขซักทีในขณะที่คนซื้อ จะได้เปลี่ยนมุมมองอะไรใหม่ ๆ บ้าง ที่จริงว่าจะเขียนนานแล้วไม่ไม่ได้เขียนซักที



หลายคนเวลาไปซื้อมือ 2 มักมองคำว่ารถใช้น้อย
แล้วรถใช้น้อยดีจริงหรือ คนจึงมองแต่รถใช้น้อย คำตอบคือ.......ไม่ดีจริง
ทำไมรถใช้น้อยจึงไม่ดี หลายคนหรือคนส่วนมากคิดไปเองว่ารถใช้มามาก การทรุดโทรมจะมาก กลัวต้องซ่อมเยอะ ถ้ารถใช้น้อยจะสภาพดีไม่ต้องซ่อม เพราะผ่านการใช้งานมาน้อย
ความจริงรถยนต์คือเครื่องจักรชนิดนึง ถ้าเครื่องจักรหยุดใช้งานนาน ๆ ไม่ดีแน่นอน หรือไม่ค่อยได้ใช้เวลานำกลับมาใช้งานจะมีปัญหาเรื่องการ Run งาน หรือโปรแกรม error รถยนต์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน รถยนต์ถ้าถูกผลิตออกมาแล้วมีการเสื่อมโทรมของชิ้นส่วน ถึงแม้มันจะเป็นรถใหม่แต่ถ้าผลิตแล้วมาจอดแช่มันก็เสื่อมโทรมเช่นกัน รถยนต์มีชิ้นส่วนนับเป็นหมื่นชิ้น การสึกหรอการเสื่อมมีแน่นอน เพราะมันคือเครื่องจักรชนิดนึง กลไกแบบนึงเท่านั้นเอง ตัวอย่างรถยนต์ที่ใช้น้อย จริง ๆ มีน่ะครับไม่ใช่ไม่มี แต่ว่ารถใช้น้อยความทรุดโทรมจะมีมากกและน่ากลัวมากกว่ารถใช้งานเยอะ อย่างเช่นรถปีนึงถูกกำหนดให้วิ่งประมาณ 25,000-50,000 กิโลเมตร นี่คือระยะทางปกติของมัน แต่ถ้ารถยนต์คันไหนถูกผลิตออกมาแล้ววิ่งปีนึงไม่ถึง 10,000กิโลเมตรพวกนี้จัดว่าเป็นรถใช้น้อยทั้งนั้น บางคนวิ่งเพียงปีล่ะ 5,000 กิโลเมตร ส่วนใหญ่จอดไว้เฉย ๆ รถจอดไว้เฉย ๆ ปีนึงวิ่งน้อยมากกว่าที่ควรจะเป็น เวลาผู้ซื้อมือ 2 ต่อจากคนแรก มักต้องเจอเรื่องการซ่อมรถที่ทรุดโทรมมากกว่าปกติ เช่นเจ้าของเดิมใช้งานน้อยไม่มีอะไรต้องซ่อม แต่เจ้าของใหม่เอามาใช้งานตามปกติเหมือนปุถุชนคนทั่วไป ถ้าเจอรถใช้น้อยมาก่อนแบบนี้ ซ่อมบานแน่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง ที่บุชจะสึกเพราะมันไม่เคลื่อนตัว บุชยางลูกหมาก ยางกันโคลงถ้าไม่ได้ใช้นาน ๆ หรือใช้น้อยมาก มักแข็งตัวใช้งานไม่ได้ สายพานมีเสียงดัง เปื่อยแตกลายงา กรอบ ถ้ารถอายุเยอะ ๆ แล้วใช้งานน้อยเวลาเอามาใช้ตามปกติ ปัญหาคือน้ำมันเครื่องจะรั่วซึมตามจุดรอยต่อเครื่องทั้งหมด เพราะรถมันถูกจอดไม่ได้รับความร้อนเท่าที่ควรพอเจอความร้อนจัด ๆ กาวปะเก็นเครื่องมันเสื่อมแข็งตัว ไปแล้วเพราะแทบไม่ถูกความร้อนเลย จะทำให้น้ำมันเครื่องซึม น้ำมันเกียร์ซึม อีกกรณีนึงที่เจอคือ ระบบเบรค มักมีปัญหา ลูกสูบคาลิเปอร์ เป็นรอยหมด เบรคจับไม่เท่ากัน ระบบแอร์หรือ ECU หรือระบบไฟฟ้าพวกนี้มักเสื่อมพังเร็วกว่ารถใช้งานทุกวัน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รถเป็นเครื่องจักรเราต้องนิยามเรื่องนี้ให้ออกก่อน ระยะทางโดยเฉลี่ยที่รถต้องวิ่งคือวันล่ะประมาณ 50 กิโลเมตร หรือปีล่ะ 25000-30000 กิโลเมตร คือระยะทางทั่วไปสำหรับรถยนต์ ผมเคยเจอสมาชิกเราคนนึงคือ rap -bank บ้านเขาซื้อ Hilux 2.7 MT เบนซิน ตอนเดียวมาวิ่งบรรทุกยาง รถ 3 ปี วิ่งไป 300,000 กิโลเมตร วิ่งเยอะมากปีนึง 1 แสนกิโลเมตร รถใช้งานเยอะมากขนาดนี้ แทบไม่ต้องซ่อมอะไรเลย ระบบแก๊สหม้อต้ม หัวฉีดไม่มีปัญหาวาล์วน้ำ ปั๊มน้ำ ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งสิ้นคือยังไม่พัง ทุกระบบไม่มีพัง มีซ่อมอย่างเดียวคือเปลี่ยนคลัทซ์ เขาก็โทรมาถามว่าอย่างอื่นควรเปลี่ยนหรือยังไม่เปลี่ยนดี ......ผมก็ตอบลำบากเหมือนกัน
แต่รถที่เขาใช้อยู่อีกคันนึงคือ Hilux 2.7 4wd AT เป็นรถส่วนตัววิ่งน้อยมาก อะไหล่ต้องเปลี่ยนหมดทุกรายการ คือถึงอายุเสื่อมเร็วกว่ารถที่วิ่งเยอะ ปัญหาแบบนี้จะเจอกับรถทุกคันที่วิ่งน้อยคือซ่อมเยอะ ค่าเสื่อมจะเยอะมาก


ผมยกตัวอย่างรถแฟนผมเอง Vios รถวิ่งน้อยมากปีนึงไม่ถึง 10,000 กิโลเมตร ไมล์แท้ยังวิ่งไม่เกิน 1 แสนโล ซ่อมศูนย์ โตโยต้า TBS ตลอด
แต่.............หยุดความเสื่อมไม่ได้ ซ่อมแล้วเกือบทุกอย่าง เบรคพังหมดเพราะใช้น้อย มาก ผ้าเบรคไม่สึกเลย แต่ไม่เคลื่อนตัวทำให้เบรคสึกไม่เท่ากันช่างศูนย์ให้เปลี่ยน โช๊คพังเพราะใช้น้อย คือโช๊คตายนั่นแหละ เพราะมันไม่ค่อยเด้ง ไม่เคลื่อนตัว ยางใช้มา 2 หมื่นโลเสื่อมจนต้องรีบเปลี่ยนทั้ง 4 เส้น เนื่องจากใช้น้อยเกินเหตุ แตกลายงาช้าง ฝืนเอาไปวิ่งต่อไม่ไหว สายพานเปลี่ยนแล้ว 1 ปีก็เป็นอีก เสียงดังแตกลายงา เพราะรถไม่ค่อยได้วิ่ง ยางเพลาขับขาดแล้วเพราะรถไม่ค่อยได้วิ่งเปื่อยจนขาด ถ้าเทียบกัน รถเพื่อนของเขาที่ซื้อมาปีเดียวกันวิ่งไปเกือบ 2 แสนโลแล้วแทบไม่ต้องซ่อมอะไรเลย


-----------------------------------------------------------------------------------------------

ฟังแบบนี้แล้วจะได้เลิกกลัวรถใช้มากเลขกิโลเยอะ จนเป็นที่มาของการโดนแหกตากลับเลขไมล์
แต่ที่ต้องหนีคือรถใช้น้อยเพราะค่าเสื่อมค่าซ่อมมันจะมาก กว่ารถปกติ รถภายใน 3-4 ปีแรกไม่เป็นอะไรหรอกแม้จะใช้น้อยแต่หลังจากนั้นส่วนใหญ่ออกอาการ ถ้าเอามาวิ่งเยอะ จะยิ่งเห็นอาการที่ต้องซ่อมเยอะ บางคนเอาไปวิ่งขึ้นเขาก็ไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ค่อยได้เคยใช้ เพราะเครื่องวิ่งไม่ออก แถมแรงดันหม้อน้ำ น้ำมันเครื่องซึมออกมาหมด พังหมด ไม่คุ้ม ต่างจากรถที่วิ่งใช้งานประจำ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto 202.80.239.130 เสาร์, 18/5/2556 เวลา : 16:01  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34414

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,29 มีนาคม 2567 (Online 2966 คน)