คำตอบที่ 69
คาวบอยเท็กซัส
คนอเมริกันยุคนี้มีมากมายที่คิดว่าคาวบอยในชีวิตจริงอาจจะโลดโผนน้อยกว่าใน นิยายหรือภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเรื่องความเป็นอยู่ การทำงานประจำวันทำงานเหงื่อโทรมกายท่ามกลางแสดแดดร้อนตับแล่บ 110 องศาในแอริโซนาหรือหนาวเย็นเสียดกระดูกลบ 40 องศาในมอนทานา
ถึงอย่างไรก็ดี ตามตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมากับความเป็นจริงที่ประจักษ์มีหลักฐานเป็น เอกสารมากมาย ความเพ้อฝันจินตนาการอาจมีเกินเลยไปบ้าง ยุคสมัยของตำนานคาวบอยว่าด้วยการต้อนฝูงวัวไปกันเป็นร้อยเป็นพัน ฝ่าความทุรกันดารไปไกลเป็นอยู่ช่วงเวลาราว 1 ชั่วคนเท่านั้น คือ จากปีที่สิ้นสุดสงครามกลางเมือง เพื่อเปิดตลาดเนื้อวัวทางภาคตะวันออก เมื่อมีทางรถไฟวางไปถึงแคนซัส จนถึงกลางทศวรรษ 1880 เมื่อพื้นที่ดินกว้างใหญ่รัฐบาลเปิดให้คนอพยพย้ายถิ่นได้ตั้งหลักแหล่งมี ที่ทำกินมีรั้วลวดหนามกั้น เป็นอันสิ้นสุดการเลี้ยงวัวเลี้ยงม้าแบบปล่อยทุ่ง
ข้อมูลจากประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาเริ่มมีการสร้างทางรถไฟกันก่อนปี 1855 แล้ว เพราะในปีนั้นวันที่ 21 เมษายน มีรถไฟขบวนแรกแล่นข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ที่ย่านเมืองร็อคไอส์แลนด์ รัฐฮิลลินอยส์ เชื่อมกับฟากตรงข้ามที่ย่านเมื่อง ดาเวนพอร์ท รัฐไอโอวา ส่วนทางรถไฟข้ามทวีปจากตะวันออกไปสู่ตะวันตก สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1869 ในวันที่ 10 พฤษภาคม มีการตอกหมูดทองไว้ที่เมืองโพรมอนทอรี่ รัฐยูทาห์ เป็นที่หมายว่าที่นี่คือ สถานีชุมทางรถไฟสายเซ็นทรับแปซิฟิกและยูเนี่ยนแปซิฟิก ที่แล่นข้ามประเทศ
ต้นกำเนิดคาวบอยจริงๆ มิได้เกิดขึ้นในสมัยการต้อนวัว ซึ่งตามหลักฐานที่ได้ระบุว่าจำนวนคาวบอยที่ต้อนวัวขึ้นเหนือมีไม่เกิน 4 หมื่นคน ต้นกำเนิดคาวบอยอเมริกันจริงๆ นั้น เกิดในเท็กซัสเป็นจุดแรกในช่วงปีทศวรรษ 1850 เมื่อนักบุกเบิกรุ่นแรกๆ บางคนจับวัวที่เร่หากินเป็นฝูงๆ มาเลี้ยงและฆ่าเอาเนื้อป้อนตลาด แต่ต้องผิดหวัง เพราะตลาดไม่ค่อยมี ถึงอย่างไรก็ดี ว่ากันว่าถ้าไม่มีวัวพวก ลองฮอร์น พวกคาวบอยก็คงไม่ได้เกิดเช่นเดียวกันกับตำนานการต้อนวัวตลอดจนเพลงคาวบอยที่ เขาร้องกล่อมวัวตอนกลางคืน
ลองฮอร์น เท็กซัสทั้งน่าดูและน่ากลัว ตัวใหญ่ทึบ เขายาวแผ่กางออก ปลายเขาแหลมราว 6 ฟุต ตัวที่เคยทำประวัติการณ์ไว้คือเขายาว 8 ฟุต จัดว่าเป็นวัวที่ดุร้ายชนิดหนึ่ง คนเท็กซัสทั้งคนพื้นเมืองและอพยพย้ายถิ่น แต่ไหนแต่ไรมาในเท็กซัสไม่เคยมีใครเลี้ยงวัวกันเป็นฝูงจำนวนมากๆ ทั้งไม่รู้จักการเลี้ยงการต้อนบนหลังม้า จนกระทั่งได้ที่พึ่งพาอาศัยเพื่อนบ้านเป็นครูทั้งเม็กซิกัน ที่ถูกสเปนปกครองจนพูดภาษาสเปนหมดแล้ว พวกนี้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวในยุคนั้นก็ว่าได้ที่เป็นนักเลงม้าอาชีพเขาเรียก ตัวเองว่า วาคีโรส์ จากความช่ำชองของคนอเมริกันทำให้คาวบอยเท็กซัสได้เรียนรู้วิธีควบม้าฝ่าเข้า ในฝูงวัว เรียนรู้วิธีขว้างบ่วงบาศจับวัว
คำภาษาสเปนที่คนเม็กซิกันใช้กันอยู่ในวงการปศุสัตว์พวกคาวบอยก็เอามาใช้มากมายหลายคำ เช่น
วาคีโรส์ เพี้ยนเป็น บัดทรู
แรนโช เพี้ยนเป็น แรนช์
กางเกงหนังชั้นนอกคาวบอยเม็กซิกันเรียก ซาปาเรโฮส เพี้ยนเป็น แช็ปส์
เชือกบ่วงบาศ ลาลีอาดา กลายเป็น ลาเรียต
บรองโคบาโย (ม้าพยศ) กลายเป็น บรองค์
สำหรับเหล่าคาวบอยว่ากันว่าไม่มีอะไรท้าทายและหนักหนาสาหัสเท่ากับภาระ งานการต้อนฝูงวัวไปไกลๆ มันเหมือนการผจญภัยครั้งใหญ่ฝูงวัวเป็นร้อยเป็นพัน เดินทางไกลกว่า 1,000-2,000 ไมล์ มีความอันตรายความลำบากมากมาย ค่าแรงก็ได้คนละ 25-30 ดอลลาห์ต่อเดือน พอจะมีตัวอย่างให้เห็นถึงภาระหนักหนาสาหัส และความยากลำบากของคาวบอยรายหนึ่งนาม เบย์ลิส เพลทเชอร์ เขียนเล่าไว้ในสมุดบันทึกประจำวันเมื่อคราวต้อนวัวหนแรก มีฝูงวัวราว 2,500 ตัวจากเมือง คอร์พุสตีไปด็อดจ์ซิตี้ตามเส้นทาง ชิสโฮลัม เทรล ในบันทึกเล่าว่าความยุ่งยากวุ่นวายเกิดขึ้นในวันที่สองขณะต้อนวัวผ่านเมือง เล็กๆ เมืองหนึ่ง วัวเกิดวิ่งเตลิดเหตุเพราะหญิงชราคนหนึ่งถอดหมวกผ้าสีแดงโบกไล่วัวมิให้เข้า ไปย่ำแปลงกุหลาบของแก่ ...เจ้าพวกนั้นมันทำตามคำแนะนำของแกอย่างเอาจริงเอาจัง
คาวบอยหนุ่มเขียนไว้อย่างนั้น มันวิ่งพล่านไปทั้งเมือง กว่าจะต้อนรวมฝูงได้ก็เหงื่อโทรมเสียเวลาไปชั่วโมงกว่า แล้วอีก 2-3 คืนต่อมามีโจรลักวัวเข้ามาขณะนอนพักแรม มันพากันวิ่งเตลิดราวกับพายุ นายกองหรือหัวหน้าคุมฝูงต้องระดมกำลังคาวบอยทุกคนไม่เว้น แม้แต่คนครัว ออกติดตามกันทั้งคืน จนรุ่งเช้ายังไม่พบกว่าร้อยตัว
คาวบอยทุกคนรู้กันดี ว่าถ้ามีอะไรทำให้มันแตกตื่นวิ่งกันอีกหนหนึ่งละก็มันจะเกิดขึ้นให้เหนื่อย เหงื่อตกไม่วันนี้ก็วันพรุ่ง เฟลทเชอร์เล่าว่า คืนหนึ่ง สวรรค์เปิด ฝนเทลงมามีลูกเห็บขนาดเท่าไข่นกกระทา ฝูงวัวแตกตื่นวิ่งเตลิด บางทีอยู่ดีๆ มันก็เพริดทั้งที่ไม่มีเหตุอะไร คนซวยก็พวกคาวบอยต้อนวัวตามเคย วัวแต่ละฝูงจะมีจำนวนแตกต่างกันไม่ตามขนาดของไร่ ถ้าเป็นจำนวนมากฝูงใหญ่ก็จะมีคาวบอยต้อนวัว 8-12 คนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาและการสั่งการของ นายกอง ผู้เป็นหัวหน้าคุมฝูง คนนี้เงินเดือนจะแพงที่สุดไม่ต่ำกว่า 125 ดอลลาร์ ยุคนั้นใครได้เงินเดือนขนาดนี้จัดว่ายอดแล้ว และคนนี้ต้องเป็นคนมีความเก่งกล้าสามารถพอตัว พอที่จะทำให้คาวบอยลูกเมื่อยำเกรงในฝีมือ และเวลาเรียกขานเขาใช้คำยกย่องว่า MISTER
งานชิ้นแรกของคาวบอยที่ผ่านการเลือกเฟ้นแล้วคือ การไล่จับวัวมาตีตรา เนื่องจากวัวเป็นพันๆ ที่หากินอยู่ในทุ่งกว้างอาจมีวัวที่ตีตรารูปแบบต่างๆ ปนอยู่หลายเจ้าของ เมื่อถึงคราวต้องต้อนไปขายเดินทางไกลจำเป็นต้องตีตราใหม่เหมือนกัน เพราะวัวที่ต้อนไปขายมิใช่มีเพียงฝูงเดียว แต่ละเส้นทางอาจมีเป็นสิบๆ ร้อยๆ เจ้าระหว่างทางอาจจะปนเปกันหรือวิ่งเตลิดเข้าไปในฝูงอื่น
การไล่ต้อนแยกวัวของตนออกจากฝูงอื่น ไล่ต้อนเข้าซองจัดการตีตราและต้องรีบเร่งให้ทันกำหนดเดินทาง เรียกว่า ROAD-BRANDING พอได้เวลาเคลื่อนขบวนซึ่งต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่จัดแจงต้อนฝูงวัวกับ ม้าสำรองเข้ารูปขบวน การต้อนวัวไปทางไกลเขาเรียก LONG DRIVER คนร่วมขบวนเรียก TRIAL DRIVER พวกคาวบอยจะขี่ม้าขนาบสองข้าง ตามหลังกันห่างพอสมควร คอยระวังมิให้ขบวนแตก ตัวนายกองจะขี่ม้าล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเสาะหาทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำถัดมาข้าง หลังราว 100 ตัว เป็นผู้มีประสบการณ์ต้อนวัวที่สุด 2 คนนี้ คือคนนำทางมีหน้าที่นำไปทางสะดวกและไม่หลงทาง นอกนั้นยังมีอีก 2-3 คน มีหน้าที่คอยไล่ต้อนวัวดื้อให้เข้ากลุ่ม คนที่แย่ที่สุดคือคนระวังหลังอย่างน้อย 2-3 คน ซึ่งต้องคอยจัดการกับวัวเจ็บ และวัวดื้อ วัวขี้เกียจให้เข้ากลุ่มและที่แย่ที่สุดคือต้องกินฝุ่นทั้งวัน จนพวกคาวบอยด้วยกันนินทาว่าถ้าใครอยากเรียนรู้หรือฟังคำสบถคำเด็ดๆ ต้องฟังจากพวกนี้ ห่างจากขบวนฝูงวัวไปเล็กน้อยคือ ฝูงม้าสำรอง ที่มีคาวบอย 2-3 คนคุมอยู่ กลางวันต้อนขนานไปกับฝูงวัวกลางคืน ก็ดูแลให้กินหญ้ากินน้ำ
ภาระของคาวบอยแม้จะแสนหนักหนาสาหัสก็ต้องทนนี้เป็นข้อความของคาวบอย นามว่า จอร์ ดัฟฟิลด์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1866 ...เกวียนของเราพลิกคว่ำตอนลุยข้ามแม่น้ำ เครื่องครัวหายไปหลายชิ้น ต้องแกร่วอยู่บนหลังม้าทั้งคืน ฝนตกหนักทั้งคืน มีดก็หาย ในนี้เพื่อนคนหนึ่ง (มิสเตอร์คาร์) จมน้ำตาย อีกหลายคนรอดตายหวุดหวิด รวมทั้งผมด้วย หลายคนป่วยม้าตื่นแตกฝูง หลายคนไม่ยอมทำอะไรเพราะทำไม่ไหว เป็นคืนแสนสาหัสนักไม่มีอะไรใส่ท้องเป็นเวลาราว 60 ชั่วโมงแล้ว แสนเหนื่อย พวกอินเดียนแดงกวนใจมาก โอ...มันเป็นค่ำคืนที่สาหัสอะไรอย่างนี้ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าทั้งคืน เราตามฝูงวัวไปทั้งคืน ปล่อยให้มันเดินไปเรื่อยๆ ทั้งวัน เราะช่วยกันฉุดขึ้น จากหล่มโคลน เหนื่อยยากกันร่วมครึ่งวัน- วันๆ ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้ วันนี้พอมีกินมีแต่ขนมปังกับกาแฟ เราหยิบยื่นแบ่งกันกินบ่นกันไป สบถกันไป อะไรๆมันชุ่มโชกไปหมด หนาวสั่นท้อแท้- หลังแข็งตึงเปรี้ยะจนเป็นไข้ปวดหัวแทบแตก แมลงวันชุมไม่เคยพบเห็นที่ไหน อากาศร้อนเหลือร้าย วันนี้พวกอินเดียนแดงแห่กันมากวนใจอีกแล้ว พวกเราคนหนึ่งล้มนอนแซ่วเพราะเมา อีกคนเป็นไข้ - วันนี้พบโครงกระดูกโครงหนึ่งกลางทุ่งหญ้า...