คำตอบที่ 50
เสร็จจากการดวลเพียงอาทิตย์กว่าๆ วายแอ็ทกับพวกถูก ไอ๊ค์ แคลนตั้น
ฟ้องศาล แจ้งข้อหาเจตนาฆ่าโดยผู้อื่นที่ไม่มีอาวุธและไม่ได้ต่อสู้ แต่หลัง
จากเรียกสอบพยาน และพิจารณาหลักฐานต่างๆแล้วศาลตัดก็สินยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาคดีนั้น ด๊อคให้การแบบเหน็บแนมว่า ถ้าพวกแคลนตั้น
ไม่มีอาวุธ และไม่คิดจะต่อสู้จริงๆละก็ แปลว่าทั้งเวอร์จิล และมอร์แกนยิง
ตัวเองยังงั้นซิ
นอกจากนี้แล้ว ปรากฏว่ามีประชาชนทั้งของเมืองวิชิต้าและ ด๊อดจ์ ซิตี้
ที่วายแอ็ทเคยเป็นนายอำเภออยู่ ทำจดหมายลงชื่อร่วมกัน (ไม่รู้ว่าถึง 5
หมื่นคนหรือเปล่านะครับ) ส่งมาถึงผู้พิพากษายืนยันว่า วายแอ็ท เป็นผู้
รักษากฎหมายที่เคร่งครัด และไม่เคยใช้ความรุนแรงโดยไม่มีเหตุอันควร
หลังจากนั้นพอถึงวันที่ 28 ธันวาคม เวอร์จิลถูกลอบยิงบาดเจ็บสาหัส
จนแขนซ้ายพิการไปตลอดชีวิต ขึ้นปีใหม่ถึงวันที่ 18 มีนาคม มอร์แกนกับ
วายแอ็ทถูกลอบยิงขณะกำลังเล่นบิลเลียดด้วยกัน มอร์แกนโชคร้ายโดน
เข้าข้างหลังจังๆถึงตาย ส่วนวายแอ็ทนั้นแคล้วคลาดเช่นเคย กระสุนพลาด
ทะลุเข้าข้างฝาแทน
เมื่อเล่นกันถึงขั้นนี้แล้ว วายแอ็ทก็ตัดสินใจว่า ได้เวลาที่จะแสดงความเป็น
ผู้นำที่เด็ดขาดเสียที จัดชุดไล่ล่าประกอบด้วยด๊อคคนหนึ่ง วอร์เรนน้องชาย
อีกคนที่ยังเหลือ กับผู้ช่วยที่ไว้ใจได้อีกสองสามคน ออกตระเวณเก็บกวาด
สมุนแคลนตั้น ที่วายแอ็ทเชื่อว่าเป็นคนลอบยิงพี่น้องของตัวทั้งหมดเสียเกลี้ยง
ไล่ไปตั้งแต่ แฟร้งค์ สติลเวลล์, อินเดียนชาร์ลี, บิลผมลอน โบรเชียส แล้วก็
จอห์นนี่ ริงโก้ (รายละเอียดขออนุญาตแนะนำว่าให้ดูจากหนังสอง
เรื่องที่กล่าวถึงไปแล้วอีกเหมือนกันครับ) เหลือเพียง พีท สเป๊นซ์ กับ ไอ๊ค์
แคลนตั้น หัวโจกที่รอดมือวายแอ็ทไปได้ และไปถูกคนอื่นยิงตายในภายหลัง
จบรายการเก็บกวาดแล้ว วายแอ็ทกับด๊อคก็ย้ายออกจากทูมบ์สโตน ไปอยู่
ู่ที่เมืองกันนิสันในโคโลราโด้ ที่นั่นได้อาศัยเพื่อนเก่าคือ แบ๊ท ม้าสเตอร์สัน
ซึ่งเป็นมาร์แชลอยู่ที่เมืองทรินิแดด ช่วยเหลือไม่ให้ต้องถูกส่งตัวกลับไป
อริโซนาหลังจากที่เชอร์ริฟบีแฮน ผู้เป็นพวกของแคลนตั้น แจ้งข้อหาจับทั้ง
วายแอ็ทและด๊อค ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปให้
หลังจากนั้นด๊อคจึงบอกลาวายแอ็ท แยกตัวไปผจญภัยตามลำพังต่อ
ขณะที่วายแอ็ทกับแบ๊ทได้รับข่าวจากเพื่อนเก่าชื่อ ลุค ช้อร์ท ผู้เคยเป็น
หุ้นส่วนลงทุนทำซาลูนร่วมกัน ทั้งคู่กลับไปเยือน ด๊อดจ์ ซิตี้ อีกครั้งหนึ่งใน
ปี ค.ศ.1883 เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยคดีความที่ ลุค ช้อร์ท เกิดไปมีเข้ากับตำรวจ
คนหนึ่งจนตกลงกันได้ จากนั้นวายแอ็ทได้ใช้บารมีของตน ช่วยจัดตั้ง
คณะกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งเมือง ด๊อดจ์ ซิตี้ ขึ้นดูแล
ความสงบเรียบร้อย และควบคุมการใช้อำนาจของบรรดาเจ้าหน้าที่
เสียพร้อมๆกันด้วย
จบผลงานนี้ วายแอ็ทเพิ่งจะอายุได้ 35 แต่ก็ตัดสินใจเกษียณอายุตัวเอง
ออกจากวงการ และย้ายไปปักหลักอยู่ใน แคลิฟอร์เนีย ผันตัวเองเข้าสู่
วงการกีฬา ควบคู่ไปกับอาชีพนักพนันที่ตนถนัดอยู่แล้ว ในช่วงหลังถึงแม้
จะไม่มีการดวลปืนหรือบู๊ล้างผลาญอย่างที่ผ่านมา เนื่องจากไกลแดนเถื่อน
มาอยู่ในพื้นที่ที่ศิวิไลซ์กว่าแล้ว แต่ก็มีวีรกรรมเชิงอภินิหารแสดงให้ปรากฏ
อีกครับ เป็นข่าวใหญ่พาดหัวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ดังไม่แพ้เรื่องการ
ยิงกันที่ทูมบ์สโตนเลย ผมเชื่อว่าแม้แต่แฟนพันธุ์แท้ของ วายแอ็ท เอิ๊ร์ป
หลายท่านก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แน่ ลองฟังดูนะครับ
ถึงปี ค.ศ.1896 วายแอ็ทเริ่มเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการ
กีฬา วันที่ 2 ธันวาคม มีการแข่งขันชกมวยครั้งสำคัญที่เมืองซานฟรานซิสโก
เป็นการพบกันระหว่าง ชาร์กี้ กับ ฟิตซ์ซิมม่อนส์ งานนี้ผู้จัดการแข่งขันได้
ขอร้องให้วายแอ็ทขึ้นเวทีเป็นกรรมการตัดสิน ในนาทีสุดท้ายก่อนจะเริ่มชก
โดยใหเหตุผลว่า เป็นผู้เดียวที่นักมวยทั้ง 2 ยอมรับ
พอวายแอ็ทขึ้นเวที และถอดเสื้อโค้ตออกเตรียมทำหน้าที่ ผู้ชมทั้งสนามก็
็ส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ เมื่อเห็นว่ากรรมการพกปืนมาด้วย ตำรวจประจำ
สนามต้องจัดการปลดอาวุธเสียก่อน และเปรียบเทียบปรับกรรมการไป
50 เหรียญ การชกจึงเริ่มต้นได้
มวยคู่นี้มีเดิมพันสูงมากโดยมีฟิตซ์ซิมม่อนส์เป็นต่อ หลังจากชกกันไปได้
ระยะหนึ่ง ฟิตซ์ซิมม่อนส์ก็ปล่อยหมัดเด็ดน็อคชาร์กี้ลงไปนอนวัดพื้น
แต่กลับถูกวายแอ็ทจับแพ้ฟาวล์ฐานชกใต้เข็มขัด เกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมา
ทันท ีเพราะมีทั้งคนดูที่เห็นว่าฟาวล์จริงเท่าๆกับคนที่ไม่เห็น
หลังจบการชก ฟิตซ์ซิมม่อนส์กับพวก(คงจะเสียพนันไปแยะ) ก็แจ้งความ
จับวายแอ็ท ข้อหาตัดสินไม่ถูกต้องทำให้เสียหาย ปรากฏว่าศาลไม่รับฟ้อง
ไม่ใช่เพราะหลักฐานอ่อน แต่เป็นเพราะศาลเห็นว่าตนไม่มีอำนาจวินิจฉัย
ว่ามวยชกถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฟิตซ์ซิมม่อนส์เข้าไปกินเหล้าในซาลูน แห่งหนึ่ง พอเดิน
เข้าร้านมาก็คุยส่งเสียงดังไปทั่วร้านว่า วันนั้นถูกวายแอ็ทปล้นชัยชนะ
ถ้าเจอหน้ากันอีกจะๆละก็จะสั่งสอนและแสดงให้ทุกคนในร้านดูว่า กำปั้น
นั้นสามารถวิ่งได้เร็วกว่าชักปืนมากนัก พูดจบก็เข้าไปยืนสั่งเหล้าที่บาร์
โดยไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อน แต่คนอื่นๆทั้งหมดในร้าน
เห็น และรู้จักด้วยว่าเป็นใคร ก็เลยเงียบกริบกันไปหมดทั้งร้าน
วายแอ็ทเพิ่งจะเข้ามาในร้านก่อนหน้าไม่นาน ได้ยินคำพูดของฟิตซ์ซิมม่อนส์
์โดยตลอด พอเสียงในร้านเงียบลงไปเฉยๆ ฟิตซ์ซิมม่อนส์หันไปดูว่า
มีอะไรหรือ ถึงได้รู้ตัวว่ากำลังยืนกระทบไหล่วายแอ็ท โดยมีสายตาของ
ทุกคนในร้านมองดูอยู่
วายแอ็ทยกแก้วเหล้าด้วยมือซ้ายค้างไว้ที่ระดับริมฝีปาก มือขวาอยู่ไม่ไกล
จากด้ามปืนนัก หันมาจ้องตาฟิตซ์ซิมม่อนส์ โดยไม่พูดอะไรซักคำ
ฟิตซ์ซิมม่อนส์พอเห็นหน้าวายแอ็ทจะๆแล้ว แทนที่จะแสดงการปล่อยหมัด
ให้ชาวบ้านดูตามที่เพิ่งคุยไว้ กลับเซถอยไป 2-3 ก้าวเหมือนถูกใครชก
พอตั้งหลักได้ก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกจากร้านหายไปเลย
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงเรื่องราวเฉพาะในส่วนที่ตื่นเต้น สนุกสนาน
และน่าติดตามเท่านั้นครับ ช่วงหลังจากนี้วายแอ็ทอายุย่างเข้า 50 ปีแล้ว
คงจะรู้ตัวเองว่าไม่ควรที่จะเล่นบทบู๊อีกต่อไป ในขณะที่บ้านเมืองก็เริ่มเจริญ
ขึ้นมีขื่อมีแปมากกว่าแต่ก่อน
อย่างไรก็ตามความที่เป็นคนที่ไม่ยอมอยู่เฉยๆ วายแอ็ทก็ยังคงใชชีวิต 30 ปี
ีที่เหลือตระเวณไปอีกหลายแห่ง ทั้งในแคลิฟอร์เนีย, เนวาด้า และไปจนถึง
อล้าสก้าเชียวครับ ส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพการพนันเป็นหลัก
แถมด้วยการลงทุนในที่ดิน เหมืองแร่ และการขุดน้ำมันในยุคแรกๆ
ในตอนท้ายๆของชีวิตจึงได้กลับมาปักหลักอยู่ที่ลอส แองเจลีส ขณะนั้น
ฮอลลีวู้ดเริ่มมีการสร้างภาพยนต์แล้ว และได้จ้างวายแอ็ทให้เป็นที่ปรึกษา
ในการสร้างหนังคาวบอยยุคที่ยังไม่มีเสียงด้วย