WeekendHobby.com


คุยกันเรื่องเลนส์
worm
จาก
ศุกร์ที่ , 17/2/2549
เวลา : 11:40

อ่าน = 2339
58.11.32.48
       เรื่องกล้องศึกษามาพอเข้าใจบ้างแล้ว แต่เรื่องเลนส์..สิ ประเภทเยอะมาก , รุ่นเยอะมาก แถมในแต่ละรุ่นแต่ละแบบยังแยกกันออกไปอีกมากมาย การทำงานก็ต่างกัน เช่น F No.ต่างๆ ,โค๊ตย่อต่างๆ เช่น USM , IS , L , APO , EX ,HSM และ อื่นๆอีกมากมาย
ผมเลยขอความรู้มือโปรทั้งหลายช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ เพื่อเป็นความรู้สำหรับมือใหม่(อย่างผม) และ เก็บไว้เป็นฐานข้อมูลสำหรับผู้ค้นคว้าต่อไปครับ




เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


   
   

คำตอบที่ 1
       ขอแชร์นะครับ ......

F-Number (F หรือ f ก็ โอ.นะครับ) คือ ตัวเลขบอกขนาดหน้ากล้อง หรือ เลนส์ แต่ละขนาด เช่น f / 2 หรือ f / 4 เป็นต้น ตัวเลขนี้ได้มาจากการนำระยะความยาวโฟกัสของเลนส์นั้นๆ หารด้วยขนาดความกว้างของรูรับแสงแต่ละช่วง เช่นขนาดความยาวโฟกัสของเลนส์ = 2 นิ้ว (ประมาณ 52 มม. ) และความกว้างของรูรับแสงที่เปิดกว้าง = 1 นิ้ว F- Number ของขนาดรูรับแสงนั้นเท่ากับ 2+1 คือ f / 2 หรือความกว้างของรูรับแสงที่เปิดกว้าง 1/2 นิ้ว F. Number ของรูรับแสงนั้นเท่ากับ 2 + 1/2 คือ f / 4 (ใช้ในความหมายเดียวกับ F-Stop โดย F-Stop หมายถึง ขนาดความกว้างของรูรับแสงขนาดหนึ่ง)

ที่มา จากหนังสือด้านการถ่ายภาพในหลายๆ เล่ม ครับผม



จาก Nick_G  203.146.113.151  ศุกร์, 17/2/2549 เวลา : 12:57   


คำตอบที่ 2
       ส่วนผมได้ USM กับ IS มาฝากครับ
USM คือระบบมอเตอร์focus ที่ออกแบบมาให้ทำงานได้ไวและเงียบ
IS คือระบบรองรับการสั่นสะเทือน ช่วยเรื่องภาพให้ถือถ่ายได้ที่ speed ต่ำกว่าปกติสัก 2-3 stop

USM= Ultrasonic motor
One bit of Canon terminology that is troubling is USM, a technology for autofocusing that stands for "Ultrasonic Motor." USM was a term they first
started using in 1987 when they developed a new fast and quiet motor, which they dubbed a "ring ultrasonic motor" -- the motor uses tiny vibrations to generate rotation. As the term "ring" implies, the autofocusing mechanism sits in a ring around the optics of the camera, and most importantly, it
allows you to do manual focusing even when in auto focus mode. Steve Weixel put together a nicely photographed dissection of his broken ring ultrasonic motor. Here's a photo of the ring motor itself:

IS =Image Stabilizer
As already mentioned, this is the first Canon IS SLR lens, and according to Canon the IS allows you to handhold the lens at shutter speeds that are two
stops slower than otherwise possible. In accordance with the classic "1/focal length" formula a camera with a 300 mm lens, for example, must have a shutter speed of at least 1/300 sec, but if you use a 75-300 IS at 300 mm
Canon claims that the camera can have a shutter speed of about 1/75 sec. In my opinion it is difficult to say precisely how well the IS works in all situations, but Canon's claim seems to be fairly realistic. However, IS is no replacement for proper technique, so if you shake the camera the
photograph can be blurred even if it was taken with IS, and a photograph that is taken at a slow shutter speed without IS can be fairly sharp if you
hold the camera still enough. The IS of the 75-300 neutralizes both vertical and horizontal camera shake, so unlike some more expensive IS lenses it has no special IS mode that allows you to pan with the IS turned on. Also, unlike the IS of some "L" series telephoto lenses it does not work properly
if the camera is mounted on a tripod, but it works fine with a monopod, and then the shutter speed can be at least 2-3 times slower than would otherwise be required without IS.



worm จาก นายหนอน  58.11.32.48  ศุกร์, 17/2/2549 เวลา : 13:07   


คำตอบที่ 3
       ผม งง ใน คหที่ 1 F-Number คือ ขนาดของรูรับแสงค่าที่เห็นเป็นตัวเลขเดียว ๆ เช่น f2 F5.6 F8 F11 เป็นต้น จริง ๆแล้วคือที่ ใช้ 1ตั้งแล้วหารด้วยเลขพวกนี้ เช่น F2 คือ F 1/2 เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เลขที่มาก ๆ รูรับแสงก็ยิ่งแคบ ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับ ทางยาวโฟกัสนะครับคนละส่วนกัน ดูจากเลนส์ในทุก ๆ ทางยาวโฟกัสจะมีค่า F-number เดียวกันหมด
แถมคำว่า Apo เป็นเลนส์ชนิดพิเศษที่ประกอบอยู่ช่วยแก้ความคลาดเคลื่อนของสีได้



จาก ลูกเสือไทย  58.10.83.125  ศุกร์, 17/2/2549 เวลา : 14:21   


คำตอบที่ 4
       ไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิดนะครับ แต่มาขอถกความคิดตามที่คุณ Nick_G (คำตอบที่ 1) และคุณลูกเสือไทยแย้งมา (คำตอบที่ 3) ดังนี้

การที่คุณ Nick_G นำเอาทางยาวโฟกัสของเลนส์ (สมมติว่า 50 มม.) มาเป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างสุดของ Diaphram ของรูรับแสงที่เปิดให้แสงผ่าน ณ ตำแหน่งนั้นๆ (เช่นเปิดได้กว้างสุดที่ 25 มม.) ก็จะเท่ากับเลนส์ 50 มม.ตัวนั้น เปิดรูรับแสงกว้างสุดได้ 25 มม. = 50 / 25 = f/2 ก็น่าจะเป็นไปได้ครับ

เมื่อเราหรี่ไดอะแฟรมรูรับแสงให้มีเส้นผ่านศูนย์กลางแคบลง จาก 25 มม. เป็น 6.25 มม. ค่า f ที่ได้ก็จะเป็น 50 / 6.25 = f/8 ใช่ไหมครับ

ผมเชื่อว่าคุณ Nick_G หมายถึงเช่นนั้นมากกว่า

แต่ก็เกิดข้อสงสัยว่า ถ้าเป็นเลนส์ 300 มม. ที่มี f/2.8 เป็นค่ากว้างสุด นั่นหมายความว่า เส้นผ่านศูนย์กลางของไดอะแฟรมรูรับแสงจะต้องมีขนาดใหญ่โตถึง 10.7 ซม. ทีเดียวนะครับ

และในขณะเดียวกัน หากนำเลนส์ไวด์ 20 มม. มาเปิดรูรับแสงที่ 22 ก็จะได้เส้นผ่านศูนย์กลางของไดอะแฟรมเพียง 0.91 มม. (ไม่ถึง 1 มม.!) เท่านั้น

ตรงนี้แหละที่ผมเกิดข้อสงสัยว่า ค่า f ที่คุณ Nick_G นำมาอธิบายถึงที่มาของตัวเลขนั้น มันมาจากการนำค่าทางยาวโฟกัสเลนส์ มาหารด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางของรูรับแสงจริงหรือไม่

เป็นการถกกันนะครับ เพราะผมเองก็เคยสงสัยเรื่องตัวเลขนี้และพยายามหาคำตอบมานานแล้วเช่นกัน



เฌอเขียว จาก เฌอเขียว   ศุกร์, 17/2/2549 เวลา : 14:52   


คำตอบที่ 5
       ขอบคุณครับคุณลูกเสือไทย

แต่ตามความเข้าใจของผมนะครับ ที่กระบอกเลนส์ อย่างเลนส์ซูม จะบอกช่วงรูรับแสงกว้างสุด เช่นเลนส์

AF ZOOM - Nikkor 18 - 35 mm f/3.5 - 4.5D IF - ED


เป็นเลนส์ที่มีช่วงทางยาวโฟกัส 18-35 มม และช่วงรูรับแสงกว้างสุด 3.5 ถึง 4.5 ซึ่งแสดงว่า ทุกๆ ทางยาวโฟกัสที่เปลี่ยนไปเนื่องจากการซูมภาพ เลนส์ดังกล่าวจะสูญเสียการรับแสง ก็คือรูรับแสงจะแคบลง

ส่วนเลนส์เดี่ยว ที่เป็นระยะเดียว ก็จะมีค่าความกว้างของรูรับแสงค่าเดียว เช่น AF Nikkor 85 mm f/1.4D IF

แต่ก็มีเลนส์ซูม เช่น AF 80-200 mm f/2.8D ED
ที่มีความไวแสงสูงถึง f/2.8 ทุกระยะช่วงซูม

ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจง่ายกว่าเดิมเกี่ยวกับ F-Number ขออธิบายอย่างนี้ดีก่า

F-NUMBER หรือ ช่วงรูรับแสงแต่ละค่า นั้นจะให้ปริมาณแสงผ่านเลนส์ในปริมาณที่แตกต่างกัน เมื่อใช้รูรับแสงแคบสุดที่ f/16 ปริมาณแสงจะผ่านไปได้น้อย ถ้าใช้ f/5.6 ปริมาณแสงจะผ่านได้มากขึ้นและมากที่สุดถ้าเปิดรูรับแสงกว้างสุดที่ f/2

จึงทำให้เลนส์ที่มีช่วงรูรับแสงกว้าง ได้เปรียบเลนส์ที่มีช่วงรูรับแสงในการถ่ายภาพบริเวณที่มีแสงน้อย แต่เลนส์ที่ช่วงรูรับแสงกว้างก็จะมีราคาแพงกว่าเลนส์ที่มีช่วงรูรับแสงแคบด้วย ชักงง รอท่านอื่นเสริมครับผม



จาก Nick_G  203.146.113.151  ศุกร์, 17/2/2549 เวลา : 15:38   


คำตอบที่ 6
       โอ้โทษที ครับ กำลังเขียนอยู่เลยไม่ได้อ่านของ คุณเฌอเขียว



จาก Nick_G  203.146.113.151  ศุกร์, 17/2/2549 เวลา : 15:41   


คำตอบที่ 7
       พอดีช่วงบ่าย ใกล้ๆ เลิกงานมีงานเข้ามาเลยยุ่งๆครับ พอกลับถึงบ้านก็เลยเปิดกระทู้มาอ่านใหม่ ซึ่งคุณเฌอเขียวตั้งข้อสังเกตุไว้ได้น่าสนใจมากๆครับ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจนะครับ เพราะก็อ่านแต่เชิงทฤษฎี ยังไม่เคยงัดเลนส์ออกมาดูจริงๆสักที

คราวนี้ลองดูนะครับสำหรับคำจำกัดความของ F-Number หรือ Focal ratio "A measure of the relative aperture of a lens; its light gathering capacity. It is equal to the ratio of the focal length of the lens divided by the diameter of its limiting opening (aperture): f-number = focal length/iris diameter. Note that the number becomes smaller as the aperture grows larger and that it must be squared to directly measure the area which is the light gathering capacity."

และเทียบจากสมการที่ (1) ในรูป เมื่อย้ายข้างตัวแปร ผลลัพธ์ของ เลนส์ 300 มม. ที่มี f/2.8 เป็นค่ากว้างสุด ก็จะมี aperture dimeter (แล้วแต่จะเรียกนะครับ) เป็น 107.14 มม หรือ ประมาณ 10.7 ซม ดังคุณเฌอเขียวกล่าวไว้
แต่ในความเป็นจริงที่กระบอกเลนส์จะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ตรงนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ





จาก Nick_G  202.44.14.194  ศุกร์, 17/2/2549 เวลา : 23:46   


คำตอบที่ 8
       น่าจะใช่อย่างที่ท่าน Nick G กล่าวไว้ครับ ลองเอาเลนท์ 75-300f5.6 เทียบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของกระบอกเลนท์ 300 f 2.8 ดูสิครับ ทางยาวโฟกัสเดียวกัน แต่ขนาดกระบอกนี่คนล่ะเรื่องเลยครับ และเป็นไปได้ครับที่เลนท์300 f2.8 กว้างถึง10.7 cm. หงายตูดเลนท์แล้วมองทะลุไปสิครับ ข้างในกลวงโบ๋เป็นกระบอกข้าวหลามเลย



จาก super_m  203.144.146.98  เสาร์, 18/2/2549 เวลา : 11:33   


คำตอบที่ 9
       สงสัยจะหนัก ทฤษฎีเกิน แต่ก็รู้ไว้ใช่ว่านะครับ รีแลกซ์ซักรูปนะครับ ถ่ายโดย เปรี้ยวใจ ผมเองครับ





จาก Nick_G  202.44.14.194  เสาร์, 18/2/2549 เวลา : 17:10   


คำตอบที่ 10
       ผมมาว่าด้วยเรื่องตัวย่ออื่นๆแล้วกัน
ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนเลนส์ก้าวไปไกลมากกว่าแต่ก่อน ดังนั้นแต่ละค่ายจึงมีการบอกคุณลักษณะของเลนส์ไว้ด้วยตัวอักษรย่อ มากมายต่างๆกันไป แต่ถ้ามาดูให้ลึกกันจริงๆแล้ว ผมว่ามันมีที่มาที่ไปอยู่ไม่กี่อย่างทำให้งงกันไปงั้นแหละ ว่ากันเป็นหัวข้อเลยดีกว่าครับ
1. ตัวย่อว่าด้วยเรื่องของการแก้ความคลาดของสี (chromatic aberration) และความคลาดทรงกลม (spherical aberration)
เอาแบบย่อพอสังเขปนะครับว่าทำไมต้องแก้
ความคลาดของสี คือ โดยปกติแล้วเมื่อแสงเดินทางผ่านเลนส์ไปตกกระทบบนระนาบของฟิล์มหรือ CCD ก็จะประกอบไปด้วยแม่สีทั้ง 3 คือ แดง เขียว น้ำเงิน ซึ่งในเลนส์ธรรมดาทั่วไปแม่สีทั้ง 3 แต่ละสีจะมีจุดโฟกัสบนระนาบไม่เท่ากัน สีแดงยาวที่สุด ตามมาด้วยเขียวและฟ้า ทีนี้เมื่อแม่สีทั้งสามมีระยะโฟกัสที่ไม่เท่ากันเมื่อตกลงบนระนาบของฟิล์มและผสมกันออกมาเป็นสีจึงทำให้ขาดความคมชัด สีสันไม่ถูกต้องตามธรรมชาติ ตลอดจนความเปรียบต่างไม่ดี ยิ่งเลนส์ทางยาวโฟกัสยิ่งสูงยิ่งมีความคลาดสีสูง
วิธีแก้ก็คือ ใช้วัสดุพิเศษที่มีความคลาดสีน้อยมากๆ มาทำชิ้นเลนส์ คือพวก UD,ED,LD,APO
ความคลาดทรงกลม ก็คือการที่ภาพไม่สมบูรณ์อันเกิดมาจากการหักเหของแสงที่มากขึ้นตามส่วนโค้งบริเวณขอบของเลนส์ อันจะมีผลต่อความถูกต้องของสีและความคมชัดของภาพ
ทั้งนี้เพราะชิ้นเลนส์ทั่วๆไปที่มีความโค้ง เว้า ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนโค้งของทรงกลมทั้งสิ้น (spherical)อาจจะเพราะทำง่ายและราคาถูก แต่ก็มีปัญหาคือเกิดความคลาดทรงกลม จากการหักเหของแสงที่มากขึ้นกว่าตรงกลางเลนส์ตามขอบเลนส์ วิธีแก้ก็คือ ทำให้เลนส์ไม่เป็นทรงกลม A-spherical โดยปัจจุบันเราจะเห็นเลนส์นูนเลนส์เว้าประกอบกันเป็นชุดๆ ในเลนส์หนึ่งๆ ก็อาจจะมี หลายชุด ที่มักจะเรียกกันว่า compound ซึ่งก็คือแก้ความคลาดทรงกลมนี่เอง และเรียกชุดเลนส์พวกนี้ว่า Aspherical lens.
ร่ายยาวมานานมาเข้าเรื่องตัวย่อเสียที L,APO ,ED
ตัวย่อทั้ง 3 เป็นตัวบอกว่าเลนส์นี้ถูกผลิตมาด้วยชิ้นเลนส์คุณภาพสูง ที่แก้ความคลาดสีและความคลาดทรงกลมแล้ว ตัวกระบอกเลนส์มีความแข็งแรง เป็นสินค้าแนวหน้า สำหรับผู้ที่ต้องการเลนส์คุณภาพสูงและมืออาชีพ

L เป็นเลนส์ตัวชูโรงของ canon เลนส์ทำจาก UD glass (Ultra-low Dispersion)
L อาจจะย่อมาจาก low distortion หรือ Luxury เลนส์ L ให้สีสันที่ถูกต้อง คมชัด และcontrast
เราจะเห็นว่าเลนส์ L นั้นจะกระบอกขาวเพราะว่าจะได้ลดการดูดซับความร้อนจากการถ่ายภาพกลางแดดหรือกลางแจ้ง เพราะสีขาวสะท้อนความร้อนดีกว่าสีดำ อันจะทำให้ชิ้นเลนส์มีอายุการใช้งานนานขึ้น

APO ย่อมาจาก apochromatic ก็คือเลนส์ที่แก้ความคลาดทั้ง 2 แล้ว
จะพบ APO กับเลนส์ค่าย SIGMA ,Minolta,Mamiya

ED เป็นตัวชูโรงของ Nikon เพื่อฟัดกับเลนส์ L เนื้อเลนส์ผลิตจาก ED glass (Extra-low Dispersion)
นอกจาก Nikon แล้วก็มี pentax ,Olympus ที่ใช้ ED เช่นกัน

LD = Low Dispersion
ER = Extra Refractive Glass
ทั้ง LD ER จะพบได้กับเลนส์ Tamron

ASP=Aspherical อันนี้อธิบายไปแล้ว แต่จะพบในการนำเสนอของ SIGMA ,TAMRON เช่นกัน
AL = Aspherical Lens ก็เห็นได้จาก Pentax

พอสังเขปนะครับจากที่พอเรียบเรียงได้ จะเห็นว่าแต่ละค่ายตั้งชื่อใกล้เคียงกันแทบทั้งนั้น เล่นคำกันให้งงไปงั้นแหละครับ



กระทิงโทน จาก กระทิงโทน  203.113.80.139  อาทิตย์, 19/2/2549 เวลา : 01:39   


คำตอบที่ 11
       2.ตัวย่อว่าด้วยเรื่องสมรรถนะด้านการโฟกัส
USM =Ultra Sonic Motor ของ Canon
HSM =Hyper Sonic Motor ของ Sigma
ของ Nikon นี่ก็มีนะน่าจะเป็น AF-S , S=Silent
ก็เป็นการใช้ motor ความเร็วสูงขับเคลื่อนเลนส์ให้โฟกัสได้เร็วและเงียบ

IF = Internal Focus คือการที่ปรับโฟกัสของเลนส์ด้วยการเคลื่อนที่ของชุดเลนส์ภายใน
RF = Rear Focus คือการปรับโฟกัสของเลนส์ด้วยการเคลื่อนที่ของชุดเลนส์ชิ้นหลัง
FTM = Full time manual focus ในเลนส์ L ของ canon ในขณะใช้mode auto focus ก็สามารถใช้ manual focus ได้ทันทีไม่ต้องไปปรับปุ่มเลย



กระทิงโทน จาก กระทิงโทน  203.113.80.139  อาทิตย์, 19/2/2549 เวลา : 01:44   


คำตอบที่ 12
       3.ตัวย่อว่าด้วยเรื่องการป้องกันภาพสั่นไหว
IS =Image Stabilizer (Canon)
VR = Vibration Reduction (Nikon)
OS = Optical Stabilizer (Sigma)

ยังมีตัวย่อย่อยๆอีกเยอะนะ
D ของ Nikon บ่งบอกว่าเป็นเลนส์ที่ใช้ร่วมกับระบบวัดแสง 3 มิติของกล้องรุ่นที่มีระบบวัดแสง 3 มิติเช่น F-5 ,F-90 ,F-6,D-70,D-100 ,D200,D-1,D-2 ทำให้การวัดแสงแม่นยำยิ่งขึ้น
EX ของ Sigma นี่ก็บ่งบอกถึงว่าเป็นเลนส์ที่มีคุณภาพสูง ทั้งโครงสร้างและภาพที่ได้

ผมนึกออกแค่นี้แหละครับ
พอดีคืนนี้บอล FA เตะกันหลายคู่เลยพิมพ์ไปดูบอลไปเพลินๆ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยจากความทรงจำที่รางเลือนนะครับ



กระทิงโทน จาก กระทิงโทน  203.113.80.139  อาทิตย์, 19/2/2549 เวลา : 01:48   


คำตอบที่ 13
       อ่านเรื่อง f-stop แล้วก็จริงอย่างที่คุณเฌอเขียวว่าไว้นะ แต่ทฤษฏีมันก็ว่าไว้อย่างนี้จริงๆ ในทางเทคนิคผู้ผลิตเลนส์คงมีเทคนิคในการสร้าง แต่ก็น่าค้นหาต่อไป
ในเชิงทฤษฏีผมไม่เอาด้วยแล้ว ผมขอว่าต่อถึงว่าเจ้า f-stop นี่มันมีผลโดยตรงกับ depth of field หรือความชัดลึกของภาพ
เอาแบบง่ายๆคือที่รูรับแสงแคบ ( f-32,22,16,11...) ภาพจะมีความชัดลึกสูง เหมาะกับการถ่ายที่ต้องการให้ภาพชัดตั้งแต่ forground ,subject ,background
รูรับแสงกว้าง (f-1.4,2,2.8,3.5,4...) ภาพจะมีความชัดลึกต่ำ เหมาะกับการถ่ายภาพที่ต้องการให้ subject เด่นขึ้นมากว่า background เช่นถ่าย บุคคลเป็นต้น
ในการถ่ายภาพช่างภาพส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการปรับ f-stop มากเพื่อควบคุมความชัดลึก โดยเลือกmode aperture priority (A) ในการถ่ายภาพแล้วใช้การชดเชยแสงตามสภาพแต่ละภาพไป



กระทิงโทน จาก กระทิงโทน  203.113.80.139  อาทิตย์, 19/2/2549 เวลา : 02:06   


คำตอบที่ 14
       โอ้...พี่กระทิงโทน..ดึกดื่นปานนั้นยังมีกะใจมาให้ความรู้ข้อมูล..เยี่ยม...
จะว่าไปแล้วไอ้เรื่องเลนส์ของแต่ละค่ายก็มากมายหลายรุ่นอย่างที่หลายๆท่านอธิบายไว้ เลือกเอาที่ถูกใจไว้ใช้แล้วกันครับ..



seahorse จาก อดีตช่างภาพ seahorse  203.170.228.172  อาทิตย์, 19/2/2549 เวลา : 09:00   


คำตอบที่ 15
       ถ้าต้องการเลนส์ที่ ซูมได้เยอะๆ ต้องดูจากตัวเลขตรงไหนบ้างครับ

เห็นกล้อง ดิจิตอลเล็กๆ บางตัวซูมได้ 10 x



จาก jack  202.57.155.34  จันทร์, 20/2/2549 เวลา : 16:39   


คำตอบที่ 16
       ดีครับ เป็นข้อมูลที่ดีมากครับ พี่กระทิงโทน
อย่างที่บอกครับ เป็นแค่ข้อสงสัยของผมเท่านั้น และในความเป็นจริง ก็น่าจะเป็นไปได้ครับ แต่นั่นอาจหมายถึงการออกแบบของผู้ผลิตที่ต้องหลบเลี่ยงข้อจำกัดที่ว่าครับ

ส่วนเรื่องอักษณย่อรหัสเลนส์นั้น เป็นอย่างที่พี่กระทิงโทนกล่าวแหละครับ คือแต่ละยี่ห้อ ก็มีชื่อเฉพาะของตัวเอง สร้างความปวดหัวให้ผู้บริโภคเท่านั้นแหละ

ส่วนกรณีของคุณ jack ที่ถามว่าดูอย่างไรว่ากล้องซูมได้เยอะๆ ผมขอตอบเป็น 2 ประเด็นครับ

1. ซูมได้เยอะๆ บางท่านหมายถึง การดึงภาพเข้ามาได้ใกล้มากๆ ถ้าอยากได้แบบนี้ ให้ดูที่เลนส์ครับว่ามีระยะซูมเท่าไหร่ จะให้ดีต้องมีมากกว่า 200 มม.

2. ซูมได้เยอะๆ หมายถึง อัตราซูมกี่เท่า เช่น 10x ที่คุณ jack บอกคือ เลนส์ซูมที่มีให้มีระยะ 30-300 มม. อย่างนี้ถือเป็น 10 เท่าครับ

ทีนี้ถ้าต้องการซูมเยอะ การมีเลนส์ 200-400 มม. แม้จะมีอัตราซูมแค่ 2x แต่สามารถดึงภาพเข้ามาได้ใกล้กว่าเลนส์ 30-300 มม. ที่มีกำลังขยาย 10x น่ะครับ



เฌอเขียว จาก เฌอเขียว  58.10.108.133  จันทร์, 20/2/2549 เวลา : 17:52   


      

Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วัน<%=WeekdayName(Weekday(Date))%>,<%=formatdatetime(date(),1)%> (Online <%=Application("OnlineUsers")%> คน)
                                       

เพื่อลดภาระของ ฐานข้อมูล ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เพราะเวบเปิดมากว่า 10 ปี
จึงทำให้เวบช้าลงมาก ทีมงานจึงขออนุญาต แปลงข้อมูลจาก ฐานข้อมูลหลักเป็น SHTML File
เพื่อลดภาระการทำงานของ ฐานข้อมูลหลักครับ การแปลงฐานข้อมูลนี้ จะทำให้กระทู้นี้
ไม่สามารถตอบคำถามได้อีกต่อไปครับ แต่จะสามารถค้นหาชื่อกระทู้ และ Link ตรงมาที่หน้านี้ได้เหมือนเดิมครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง ทีมงาน Weekendhobby.com


Convert on : 14/9/2554 5:07:06

Error processing SSI file