คำตอบที่ 1
       ติดได้ครับแต่ในเวลานี้ยังไม่แนะนำให้ติดครับ
ระวังเรื่องความร้อนในระบบเป็นพิเศษครับ
ข้อดีของการติด NGV เนื้อแก๊สราคาถูก
ข้อเสียค่าติดตั้งแพง ปั้มที่เปิดบริการมีน้อยมาก
น้ำหนักเฉพาะถังมากกว่า LPG มาก ปัจจุบันแนะนำให้ติด LPG ไปก่อนครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 2
       ขอถามต่อนะครับพี่ตี๋
1.ทำไมต้องระวังเรือ่งความร้อนมากกว่า LPG
2.ทำไมถังจึงหนักกว่ามาก
3.ทำไม ปตท.และรัฐบาล ส่งเสริมทุกรูปแบบให้คนหันมาใช้
4.คนที่ใช้ไปแล้วมีปัญหาอะไรหรือไม่

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 3
       ตอบ
1.ที่ว่าร้อนกว่า ผมเปรียบเทียบระหว่างเมื่อเราใช้น้ำมันเบนซินกับใช้ gas
แก๊สเมื่อเกิดการเผาไหม้จะให้ค่าความร้อนสูงกว่าใช้น้ำมันเบนซินอยู่ราว 600-800 kcal/kg ครับ จึงควรระวังเรื่องความร้อนในระบบหล่อเย็น
2.ngv มีความดันอากาศมากกว่า lpg มากครับ(จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) ฉนั้นถังบรรจุจึงถูกสร้างให้หนา-หนักกว่ามากครับ
3.ไม่ทราบจะตอบอย่างไรดี
4. คนที่ใช้ ngv ไปแล้ว มีปัญหาที่หาที่เติมลำบาก รถต้องรับภาระในการแบกรับน้ำหนักถัง+เนื้อแก๊ส รวม 80-100 กิโลกรัมตลอดเวลา

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 4
       อยากได้ข้อมูลที่ผิดพลาดให้เข้าไปอ่านที่ Web ของกระทรวงพลังงานครับ
ความแตกต่างระหว่าง LPG/NGV

ความแตกต่างระหว่างก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas Vehicles: NGV) และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas: LPG)

• ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนซึ่งมีองค์ประกอบของก๊าซมีเทน (Methane) เป็น ส่วนใหญ่ จึงเป็นก๊าซที่มีน้ำหนักเบากว่าอากาศ การขนส่งไปยังผู้ใช้จะขนส่งผ่านทางท่อในรูปก๊าซภายใต้ ความดันสูง จึงไม่เหมาะสำหรับการขนส่งไกลๆ หรืออาจบรรจุใส่ถังในรูปก๊าซธรรมชาติอัดโดยใช้ความดันสูง หรือที่เรียกว่า CNG แต่ปัจจุบันมีการส่งก๊าซธรรมชาติในรูปของเหลวโดยทำก๊าซให้เย็นลงถึง –160 องศา เซลเซียส จะได้ของเหลวที่เรียกว่า Liquefied Natural Gas หรือ LNG ซึ่งสามารถขนส่งทางเรือไปที่ไกลๆ ได้ และเมื่อถึงปลายทางก่อนนำมาใช้ก็จะทำให้ของเหลวเปลี่ยนสถานะกลับเป็นก๊าซอย่างเดิม ก๊าซธรรมชาติมีค่า ออกเทนสูงถึง 120 RON จึงสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ได้

• ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งมีองค์ประกอบของก๊าซโพรเพน (Propane) เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศ โดยตัว LPG เองไม่มีสี ไม่มีกลิ่นเช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติ แต่เนื่องจากเป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศจึงมีการสะสมและลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้น จึงมีข้อกำหนดให้เติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภัยหากเกิดการรั่วไหล LPG ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือนและกิจการอุตสาหกรรม โดยบรรจุเป็นของเหลวใส่ถังที่ทนความดันเพื่อให้ขนถ่ายง่าย นอกจากนี้ ยังนิยมใช้แทนน้ำมันเบนซินในรถยนต์ เนื่องจากราคาถูกกว่า และมีค่าออกเทนสูงถึง 105 RON
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของ NG กับ LPG






หมายเหตุ
1. ค่าออกเทน (Octane number) หมายถึง หน่วยการวัดความสามารถ ในการต้านทานการน็อคของเครื่องยนต์ 2. RON (Research Octane Number) เป็นค่าออกเทนที่มีประสิทธิภาพต่อต้านการน็อคในเครื่องยนต์หลายสูบ ที่ทำงานอยู่ในรอบของช่วงหมุนต่ำ โดยใช้เครื่องยนต์ทดสอบมาตรฐานภายใต้สภาวะมาตรฐาน 600 รอบ ต่อนาที 3. MON (Motor Octane Number) เป็นค่าออกเทนที่มีประสิทธิภาพต่อต้านการน็อคในเครื่องยนต์หลายสูบ ในขณะทำงานที่รอบสูง โดยใช้เครื่องยนต์ทดสอบมาตรฐานภายใต้สภาวะมาตรฐาน 900 รอบต่อนาที

ที่มา:การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 5
       ไม่ได้เข้ามานานอบอุ่นเหมือนเดิม .. อาจารย์ ?..พี่ตี๋ให้ข้อมูลทางวิชาการดีเหมือนเดิม

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 6
       ต้านทานการน็อก หมายถึงเครื่องพังหรือเครื่องดับครับ ตอบผมด่วนท่านผู้รู้

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 7
       ค่าออกเทนหรือค่าการต้านทานการน็อค
อยากจะอธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆนะครับในเรื่องของค่าออกเทน ที่เราเข้าใจกันว่าค่าออกเทนยิ่งสูงยิ่งทำให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นอันนั้นถูกแค่ครึ่งเดียว การที่เราจะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกับเครื่องยนต์ที่ผู้ผลิตกำหนดว่าให้ใช้ได้กับ น้ำมันที่มีค่าออกเทน 91 แต่เราเติมน้ำมันที่มีค่า ออกเทน 95 ผลเสียต่อเครื่องยนต์ไม่มี มีแต่ผลเสียต่อกระเป๋าสตางค์ของเราเพราะมันเกินความจำเป็น ส่วนรถที่กำหนดให้ใช้ 95 แต่กลับมาเติม 91 ก็จะมีผลเสียต่อเครื่องยนต์ แต่มีผลดีต่อกระเป๋าสตางค์ คราวนี้มาดูกันว่าค่าออกเทนจริงๆแล้วมันคืออะไร ปกติในตัวเชื้อเพลิงทุกชนิดจะมีจุดวาบไฟ หรือจุดที่เชื้อเพลิงนั้นๆได้รับความร้อนแล้วเกิดติดไฟด้วยตัวเอง เช่น น้ำมันเบนซินจะมีจุดที่ติดไฟเองประมาณ 220 องศาเวซ็นเซียส ประมาณนี้นะครับจำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ เมื่อนำมาใช้กับเครื่องยนต์ ก็ต้องผสมสารที่ทำให้น้ำมันหน่วงตัวเองในการติดไฟ ที่ 220 องศาให้ได้ เพราะเครื่องยนต์เบนซินจะกำหนดการจุดระเบิดด้วยประกายไฟที่หัวเทียน ดังนั้นหาก น้ำมันที่ใช้เกิดติดไฟด้วยตัวเองขึ้นมาก่อนที่ประกายไฟจะเกิด ก็จะเกิดการน็อคหรือการจุดระเบิดซ้อนขึ้นมา ก็จะทำให้กำลังของเครื่องยนต์ตกลง แต่เครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้ คอย์ลจุดระเบิดแยกแต่ละสูบก็จะไม่มีปัญหานี้เนื่องจาก การปรับไฟแก่ อ่อน จะกระทำโดยกล่อง ECU จึงสามารถที่จะเติม 91 หรือ 95 ได้ ส่วนแก๊ส LPG มีจุดวาบไฟที่ประมาณ 450 องศา อยู่แล้วจึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องใส่สารตัวหน่วงการติดไฟ ดังนั้นค่าออกเทนจะเป็นดัชนีของค่าการติดไฟของเชื้อเพลิงแต่ละชนิด วัดอย่างไรนั้นผมจำไม่ได้แล้ว ส่งคืนอาจาร์ยที่เทคนิคกรุงเทพไปหมดแล้วครับ แต่ก็อยากให้พวกเราได้เข้าใจกันคราวๆนะครับ อย่าไปเข้าใจผิดว่าค่าออกเทนสูงแล้วจะให้กำลังเครื่องยนต์สูงขึ้นนะครับ แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย