คำตอบที่ 7
ดูคำตอบได้เลยตามข้อมูลข้างล่างนี้
ประวัติศาสตร์ของค่ายพักแรม
ค่ายพักแรม(camping) เกิดขึ้นมานานนับตั้งแต่สมัยโบราณที่มนุษย์อาศัยอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาขึ้นจึงได้สร้างที่อยู่อาศัยและมาอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มมากขึ้น ทำให้เกิดสังคมเมืองที่กั้นขวางมนุษย์และธรรมชาติให้แยกออกจากกันมากขึ้นทุกวัน แต่มนุษย์ก็ยังมีความต้องการที่จะได้กลับไปสู่ธรรมชาติเป็นบางครั้งจึงมีการออกไปค้างแรมนอกบ้านนอกเมือง โดยการสร้างที่พักชั่วคราวหรือกางเต๊นท์พักแรม ในยุคแรก ๆ การออกไปตั้งค่ายพักแรมเกิดจากการเดินทางของนักสำรวจซึ่งจะต้องมีการพักแรมในระหว่างการทำงาน ในช่วงกลางคืนจัดให้มีการก่อกองไฟเพื่อให้เกิดความสว่างและความอบอุ่น การก่อกองไฟจะช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายเข้ามาในบริเวณที่พักแรมได้ ในช่วงที่กองไฟลุกโชนนั้น สมาชิกจะมานั่งล้อมวงสนทนากัน ช่วยให้เกิดการผ่อนคลายจากการทำงาน มีการร้องเพลงและหาอุปกรณ์ในการดีดสีตีเป่ามาช่วยให้บรรยากาศสนุกสนาน จึงเป็นที่มาของการเล่นรอบกองไฟ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งในการจัดค่ายพักแรมในปัจจุบัน สำหรับในประเทศไทยผู้ให้กำเนิดการจัดค่ายพักแรม คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้จัดให้มีค่ายพักแรมสำหรับกองลูกเสือป่าในปี พ.ศ.2454 ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบในการจัดค่ายพักแรมในประเทศไทยนับแต่นั้นมา
บันทึก
ประเภทของค่ายพักแรม
1.Day camp เป็นค่ายพักแรมที่จัดในช่วงกลางวันเหมาะสำหรับเด็ก ๆที่ไม่ต้องไปค้างที่อื่นเนื่องจากผู้ปกครองของเด็กยังมีความกังวลในความปลอดภัย ค่ายพักแรมที่จัดไม่ควรอยู่ไกลบริเวณที่อยู่อาศัยเพื่อความสะดวกในการรับส่งบุตรหลานนิยมจัดในกลุ่มเด็กที่มีอายุ 3-12 ปี จุดประสงค์หลักคือต้องการให้เด็กมีการพัฒนาการด้านเรียนรู้การปรับตัว และฝึกการใช้ทักษะการเข้าค่ายพักแรมเบื้องต้น ส่วนใหญ่จะจัดในช่วงปิดเทอม กิจกรรมที่จัดเสริมเช่น การว่ายน้ำ เล่นกีฬา ศิลปะ ดนตรี ภายในค่ายจะมีการจัดอาหาร และของว่างไว้บริการเด็ก ๆ ตลอดวัน
2.Overnigth camp เป็นค่ายพักแรมที่จัดให้มีการพักค้างคืนเพื่อเน้นให้ผู้เข้าค่ายได้ฝึกการช่วยเหลือตนเองในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ฝึกการทำงานเป็นกลุ่มและฝึกทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิต
3.School camp เป็นค่ายพักแรมที่จัดขึ้นในโรงเรียนเพื่อฝึกให้เด็กได้มีการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ นอกเหนือจากการจัดในห้องเรียน กิจกรรมที่จัดได้แก่ ค่ายดนตรี ค่ายคุณธรรม ค่ายวิทยาศาตร์และค่ายคณิตศาสตร์ เป็นต้น ทั้งนี้รวมไปถึงการจัดค่ายลูกเสือและค่ายยุวกาชาดด้วย
4. Traveling camp เป็นค่ายพักแรมแบบเน้นการเดินทาง มีลักษณะสำคัญ คือมีการใช้ชีวิตค้างคืนในธรรมชาติ ดดยมีการวางแผนว่าจะเดินทางไปพักในสถานที่ใด ส่วนใหญ่มุ่งศึกษาธรรมชาติและลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะการตั้งค่ายพักแรมเป็นแบบชั่วคราวโดยอาศัยการดัดแปลงสิ่งที่มีอยู่ให้กลายเป็นที่นั่งหรือที่นอนได้ เช่น นอนในรถ นอนบนแพล่องแก่ง การเดินทางอาจจะขออาศัยรถยนต์ นั่งเกวียน เดินเท้าหรือใช้หลายวิธีผสมผสานกันก็ได้
5.Organization camp เป็นค่ายพักแรมที่มีการจัดตั้งในรูปแบบขององค์การ หรือสมาคมหรือสโมสรต่าง ๆ โดยองค์กรเหล่านั้นจะให้การสนับสนุนงบประมาณและสนับสิ่งอื่น ๆตามความเหมาะสม ค่ายพักแรมประเภทนี้เป็นค่ายพักแรมที่มีจุดประสงค์เฉพาะขององค์กรหรือสโมสรที่สนับสนุน เช่นค่ายพักแรมของสมาคม วาย เอ็ม ซี เอ ค่ายพักแรมของสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย เป็นต้น
6. Private camp เป็นค่ายพักแรมของเอกชน หรือเป็นค่ายพักแรมแบบธุรกิจเอกชน ที่มีการดำเนินงานและเป็นเจ้าของโดยบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อหวังผลประโยชน์ทางกำไรเป็นวัตถุประสงค์สำคัญ ด้วยเหตุนี้ค่ายพักแรมแบบนี้จึงเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า ค่ายพักแรมแบบการค้า( commercial camp) เช่น ค่ายพักแรมของสำนักงานเพื่อนเดินทาง เป็นต้น
7. Public camp เป็นค่ายพักแรมที่จัดดำเนินการโดยองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดินหรือภาษีอากรของประชาชน เช่น ค่ายพักแรมของศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ค่ายพักแรมในเขตอุทยานแห่งชาติ เป็นต้น
8. Conservation camp เป็นค่ายพักแรมที่จัดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะอบรมบ่มนิสัยเด็กและเยาวชนให้มีใจรักธรรมชาติ ตระหนักในคุณค่าของป่าเขา และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อจะได้ช่วยยกันอนุรักษ์ รวมทั้งฝึกให้เด็กเห็นความงามของธรรมชาติ