WeekendHobby.com


ปลอดภัยไว้ก่อน
satu
จาก แห้งคับ
ศุกร์ที่ , 5/6/2552
เวลา : 11:50

อ่าน = 10502
125.26.59.50
       วันนี้จะขอฝากเตือนพี่ๆและเพื่อนๆเรื่องความปลอดภับเมื่อยามเดินทางท่องเที่ยว เมื่อยามขับขี่รถและในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยจากการขับขี่หรือโรคภัยไข้เจ็บในพื้นที่ต่างๆที่เราเดินทางไป ซึ่งอาจจะแสดงผลหรืออาการอย่างฉับพลันหรือเมื่อกลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้วซึ่งอาจจะมีเชื้อโรคร้ายติดเรามาก็ได้ครับ




เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


   
   

คำตอบที่ 1
       โรค อารายเหรอ งง ครับ ตอนนี้ ระวังมาลาเรีย ด้วยครับ



จาก xr-man  117.47.18.171  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 11:58   


คำตอบที่ 2
       เนื่องจากเราต้องเดินทางกันตลอดและเส้นทางที่เราเดินทางยังเต็มไปด้วย สิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรคที่เราต้งข้ามไป(มีทางเบี่ยงก็ไม่หลบ )จึงทำให้พวกเรามีความเสี่ยงสูงกับการคว่ำลงไปนอนกินฝุ่นโคลนและหินในสภาพต่างๆ จึงอยากให้เพื่อนๆและพี่ๆน่าจะหาอุปกรณ์ป้องกันอย่างดี และขอให้ใส่ไว้ทุกครั้งที่ขี่รถออกทริป คงจะไม่ต้องอายเพื่อนที่คอยแซวว่าเราปอดแหก เพราะคนที่จะต้องน่าอายและน่าเป็นห่วงมากที่สุดคือคนที่ไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันใดๆเลย เพราะอาจจะทำให้แขน ขาหัวไหล่ ข้อมือและซี่โครงเกิดหัก หรือข้อต่างๆตามร่างกายหลุดมาได้ จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่อยากให้เพื่อนๆป้องกันไว้ครับ เพราะถ้าอยู่ในกลางป่าเขาจะลำบากมากทั้งตัวเราเองและเพื่อนร่วมทางครับ ขอใช้ภาพนี้เพื่อดูไม่โหดร้ายเกินไปนักครับ






satu จาก แห้งคับ  125.26.59.50  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 12:01   


คำตอบที่ 3
       พี่แห้งครับ จะออกทริปเมื่อไรครับ เผื่อมีโอกาศจะได้ขอตามตูดไปด้วย และต้องเตรียมอะไรบ้าง






จาก ต้น หนองหญ้าไซ  58.137.145.233  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 12:10   


คำตอบที่ 4
       ดีครับพี่เจี๊ยบตกลงวันนี้พี่เด่นมีอะไรเข้ามามั่งครับ จะได้ตีด่วนสุพรรณน-กาญจนบุรีเลยครับ
เรื่องที่2 คือเรื่องบาดแผลเล็กน้อย รอยถอกเอ้นรอยถลอกที่เรามักจะพูดกันว่า โอ้นแค่ถลอก เจ็บนิดเดียวไกลหัวใจตั้งเยอะ เพราะหลายท่านคิดกันแบบนี้ จึงละเลยการทำความสะอาดบาดแผล ไม่ล้างแผลใส่ยาแผลสดและปิดบาดแผล แถมออกไปลุยต่อครับ จนอาจจะได้รับเชื้อโรคบางชนิดเช่นโรคบาดทะยัก ซึ่งอาจจะมีเชื้อที่อยู่ในดินชื่อ Clostridium tetani ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสร้างสารพิษ toxin ที่เรียกว่า tetanospasmin สารพิษดังกล่าวจะจับกับเส้นประสาททำให้การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ โรคบาดทะยักนี้มักเป็นกับกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ผู้ป่วยจะเริ่มเกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อรอบแผลหลังจากนั้น 1-7 วันการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อจะกระจายทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจะมีการเกร็งของกล้ามเนื้อกรามทำให้อ้าปากไม่ได้ กลืนน้ำลายลำบาก คอ หลังเกร็ง และปวด หลังจากนั้นกล้ามเนื้อทั่วร่างกายก็จะเกร็งทั้งหมดโดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ช่วยหายใจทำให้หายใจลำบาก และอาจเสียชีวิตจากหายใจวาย






satu จาก แห้งคับ  125.26.59.50  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 12:10   


คำตอบที่ 5
       พี่ต้นครับ ไวๆนี้กลุ่มภาคกลางจะออกไปสำรวจแถวๆตะเพินคี่,น้ำเอ่อ,พุเตยและระแวกรอบๆเพื่อชักชวนพี่น้องSECมาเที่ยวสบายๆยามหน้าฝนครับ ถ้าพี่ต้นว่างก็ขอเชิญร่วมเดินทางด้วยกันครับ ส่วนใหญจะไปเจอพี่ใหม่และพี่เทพที่เปิดท้ายวันศุกร์ที่หลังโลตัสสุพรรณฯครับ ตรงแถวๆสนามเทนนิสครับ หรือติดตามข้อมูลในเวปได้ครับ
โรคชนิดที่3 คือโรคที่พี่xr-manกล่าวถึงครับ คือโรคที่เกิดจากยุงชนิดต่างๆซึ่งมีหลายชนิดจะขอว่าเป็นข้อๆไป เริ่มจากโรคมาลาเลีย(ม่ใช่มาเลียเลียนะครับ ฮึๆๆๆ) โรคมาลาเรียเกิดจากเชื้อมาลาเรีย Plasmodium ซึ่ง เชื้อ โปรโตซัว เชื้อมาลาเรียมีอยู่หลายชนิดแต่ที่พบมากที่สุดในประเทศไทยเรามีอยู่เพียง 2 ชนิด
1.Plasmodium Falciparum
2.Plasmodium Vivax
เชื้อมาลาเรียติดต่อกันโดย"ยุงกันปล่อง"ไปกัดผู้ที่มีเชื้อมาลาเรีย อยู่แล้ว ซึ่งเชื้อจะเจริญในยุงจนเป็นระยะติดต่อแล้วเข้าสู่ต่อมน้ำลายยุง เมื่อยุงกัดคนก็จะปล่อยเชื้อเข้าสู่คน เชื้อจะเจริญเติบโตในเซลล์ตับ และเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกและจะทำให้เกิดอาการต่างๆขึ้น ระยะเวลาตั้งแต่เชื้อมาลาเรียเข้าสู่ร่างกายของคนจนเกิดอาการ (ระยะฟักตัว) ประมาณ 14 วัน อาการสั้นหรือยาวกว่าแล้วแต่ชนิดของเชื้อภูมิต้านทานของผู้ป่วยและการรับประทานยาป้องกันมาลาเรีย เริ่มด้วยอาการไม่สบาย 2 - 3 วัน ต่อมามีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย คลื่นใส้ อาเจียน มักมีไข้เป็นพักๆ ถ้าเชื้อเป็นชนิด Palciparum อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง น้ำตาลในเลือดต่ำ เหลือง ซีด ปัสสาวะต่ำ ไตวาย ปอดบวมน้ำ ทำให้เสียชีวิตได้








satu จาก แห้งคับ  125.26.59.50  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 12:32   


คำตอบที่ 6
       ขอบคุณสาระดีดีจากพี่แห้งครับ...กำลังจะพิมพ์เรื่องยุงพอดี...ไม่พิมพ์และ....



LooOny จาก LooOny  203.107.158.172  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 12:36   


คำตอบที่ 7
       ยุงต่อครับ โรคชิกุนคุนย่าและไข้เลือดออก
โรคชิคุนกุนยาเกิดจากยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้สูง ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือด เชื้อไวรัสนั้นจะไปเพิ่มจำนวนมากขึ้นในตัวยุง และเมื่อยุงนั้นไปกัดคนอื่นต่อ ก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคชิคุนกุนยาได้ โรคชิคุนกุนยามีระยะฟักตัว 1-12 วัน แต่ช่วง 2-3 วันจะพบบ่อยที่สุด ส่วนในช่วงวันที่ 2-4 จะเป็นช่วงที่มีไข้สูง มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก และสามารถติดต่อกันได้หากมียุงลายมากัดผู้ป่วยในช่วงนี้ และนำเชื้อไปแพร่ยังผู้อื่นต่อ ผู้ที่เป็นโรคชิคุนกุนยาจะมีไข้สูงอย่างฉับพลัน ร่วมกับอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกหรือข้อ ปวดกระบอกตา หรือมีเลือดออกตามผิวหนัง และอาจมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งดูเผินๆ คล้ายกับโรคไข้เลือดออก หรือหัดเยอรมัน แต่จะไม่มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นช็อก หรือเลือดออกมากเช่นโรคไข้เลือดออก อย่างไรก็ตามโรคชิคุนกุนยาสามารถเป็นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่จะมีอาการรุนแรงกว่า คือมักจะมีอาการปวดข้อทั้งข้อมือ ข้อเท้า และเป็นข้ออักเสบตามมาด้วย ซึ่งมักจะเปลี่ยนตำแหน่งที่ปวดไปเรื่อยๆ บางครั้งมีอาการรุนแรงมากจนขยับข้อไม่ได้ แต่จะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ หรือบางคนอาจจะปวดเรื้อรังอยู่เป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้
ไข้เลือดออกอาการของไข้เลือดออกไม่จำเพาะ อาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ใผู้ใหญ่อาจจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ สังเกตได้ดังนี้ไข้สูงเฉียบพลัน ประมาณ 2-7 วัน เบื่ออาหาร หน้าแดง ปวดศีรษะ ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
บางรายอาจมีจุดเลือดสีแดงขึ้นตามลำตัว แขน ขา อาจมีกำเดาออก หรือเลือดออกตามไรฟัน และถ่ายอุจาระดำเนื่องจากเลือดออก และอาจทำให้เกิดอาการช็อคได้
ในรายที่ช็อคจะสังเกตได้จากการที่ไข้ลดแต่ผู้ป่วยซึมลง ตัวเย็น หมดสติและเสียชีวิตได้
วิธีป้องกันโรคที่เกี่ยวกับยุงขอให้เพื่อนสมาชิกได้ตระเตรียมยากันยุงในชนิดต่างๆที่ใช้ป้องกันยุงได้ไปด้วยครับ ยุงนั้นร้ายกว่าเสือ แต่ที่เหนือกว่ายุงคือป๋าหริ






satu จาก แห้งคับ  125.26.59.50  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 12:48   


คำตอบที่ 8
       อ้าวพี่ตูนช่วยๆกันคร้าบลองดูว่าท่านใดมีโรคอะไรมาเตือนภัยกันอีก
ผมจะขอเตือนอีกเรื่องหนึ่งครับ คือเรื่องโรคกระเพาะอาหารและระบบทางเดินทางอาหารครับ เพราะเวลาเราเดินทางเรามักจะไม่สามารถล๊อคเวลาในอาหารมื้อเที่ยงหรือมื้อถัดไปได้เลยจึงขอให้ข้อมูลกับเพื่อนๆพี่ๆนิดหน่อยครับ
ระบบทางเดินอาหาร คืออวัยวะของร่างกายซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร ซึ่งรวมทั้งการดูดซึมและการขับถ่าย อวัยวะดังกล่าว ได้แก่ ปาก คอหอย กระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ถุงน้ำดี และตับอ่อนก็อาจจัดอยู่ในระบบนี้ด้วย อาการที่พบบ่อยในโรคระบบทางเดินอาหารมีดังนี้
ปวดท้อง
อาเจียน
ท้องเดิน
ท้องผูก
กลืนอาหารลำบาก
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ
โรคแผลเพปติก
มะเร็งกระเพาะอาหาร
อาการดีซ่าน
ภาวะตับวาย
โรคตับแข็ง
โรคฝีในตับ
กระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน มักเกิดจากการกินสารที่ระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ กรดเข้มข้น เป็นต้น พิษจากอาหารซึ่งมีบัคเตรี เช่น สตาฟิโลค็อกไซ เป็นต้น ยา เช่น ซาลิซิเลต (salicylates) เป็นต้น โรคติดเชื้อเฉียบพลันที่ทำให้มีไข้ เช่น ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น และจากการลุกลามโดยตรงจากเชื้อบัคเตรีที่ทำให้เกิดหนอง เช่น สเตร็ปโตค็อกไซ เป็นต้น ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนและแน่นท้อง อาเจียนอาจมีเลือดปน อาการดังกล่าวมักหายไปได้เองภายใน ๒-๓ วัน ถ้าผู้ป่วยไม่กินสิ่งระคายเคืองหรือหลบหลีกสาเหตุต่างๆที่ทราบการรักษาอื่นๆ เป็นการรักษาตามอาการ เช่น ให้เลือดถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือด
โรคแผลเพปติก คือ ภาวะที่มีแผลซึ่งอาจเกิดขึ้นที่กระเพาะอาหาร ส่วนล่างของหลอดอาหาร ดูโอดินัม (duodenum) เจจูนัม (jejunum) ส่วนบน ตรงรอยต่อผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือเมกเกลส์ไดเวอร์ทิคุลัม (Meckel's diverticulum) แผลเพปติกอาจเกิดได้ทั้งชนิดปัจจุบันและเรื้อรัง แผลเพปติกปัจจุบันมักเกิดจากสิ่งระคายเคือง เช่น ยาแก้ปวดประเภทแอสไพรินอาหารที่มีรสเผ็ดจัดซึ่งอาจทำให้มีเลือดออก อาเจียนเป็นเลือดและกระเพาะอาหารทะลุได้ เป็นต้น
โรคแผลเพปติก
โรคแผลเพปติก คือ ภาวะที่มีแผลซึ่งอาจเกิดขึ้นที่กระเพาะอาหาร ส่วนล่างของหลอดอาหาร ดูโอดินัม (duodenum) เจจูนัม (jejunum) ส่วนบน ตรงรอยต่อผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือเมกเกลส์ไดเวอร์ทิคุลัม (Meckel's diverticulum) แผลเพปติกอาจเกิดได้ทั้งชนิดปัจจุบันและเรื้อรัง แผลเพปติกปัจจุบันมักเกิดจากสิ่งระคายเคือง เช่น ยาแก้ปวดประเภทแอสไพรินอาหารที่มีรสเผ็ดจัดซึ่งอาจทำให้มีเลือดออก อาเจียนเป็นเลือดและกระเพาะอาหารทะลุได้ เป็นต้น
แผลเพปติกเรื้อรังส่วนใหญ่มักจะพบที่ดูโอดินัม และกระเพาะอาหาร แผลกระเพาะอาหารส่วนใหญ่มักเกิดที่ส่วนโค้งเล็ก และบริเวณใกล้เคียงในกระเพาะ อาหาร แผลดูโอดินัมมักพบที่ส่วนต้นของอวัยวะนี้ และมักเกิดร่วมกับการมีกรดในกระเพาะอาหารสูง ในขณะที่แผลในกระเพาะอาหารเองมักมีกรดในกระเพาะอาหารปกติ
โรคแทรกที่อาจเกิดขึ้นได้มี
๑. แผลกินลึกถึงอวัยวะที่ติดกัน
๒. แผลทะลุ
๓. ท้ายกระเพาะอาหารหดตัว
๔. ท้ายกระเพาะอาหารตีบหรืออุดกั้น
๕. เลือดออกจากแผล
การรักษาควรทำดังนี้
๑. ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และควรงดสูบบุหรี่ ผู้ป่วยที่มีความกังวลและความ ตึงเครียดทางจิตใจ อาจให้ยาระงับประสาทร่วมด้วย
๒. ควรกินอาหารอ่อนๆที่มีกากน้อย ไม่มีรสจัดหรือเผ็ดเกินสมควร ควรกินบ่อยๆ และแนะนำให้ดื่มนมสด โดยเฉพาะในระยะแผลเพปติกลุกลาม หรือมีเลือดออก
๓. ให้ยา ได้แก่ ยาลดกรด และยาลดการหดตัว เป็นต้น
ยาลดกรด มีสารหลายชนิดที่อาจลดกรดได้ เช่น โซเดียมไบคาร์บอเนต แคลเซียมคาร์บอเนตแมกนีเซียมออกไซด์ แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์แมกนีเซียมไทรซิลิเคต และอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ เป็นต้น ยาลดกรดอาจเป็นชนิดเม็ดหรือน้ำ มักมีตัวยาดังกล่าวหลายอย่างรวมกัน และควรให้กินก่อนอาหาร และก่อนนอน
ท่านใดคิดว่ามีเรื่องใดที่น่าเป็นห่วงช่วยเพิ่มเติมให้หน่อยครับ






satu จาก แห้งคับ  125.26.59.50  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 13:03   


คำตอบที่ 9
       เค้าไม่ไปเที่ยวแหละ..เค้ากลัว เค้าอยู่บ้านดีก่า....




3B จาก 3B   ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 13:20   


คำตอบที่ 10
       สวัสดีครับป๋าท่านประทานพี่แห้ง พอดีเกิดอาการบางอย่างเข้ามารุมเร้า3บ้าน 4บ้านเลยเป็นโรคทรัพย์จางไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร พยายามป้องกันแล้วเชียว เช่นรัดเข็มขัดและคำเตือนของเพื่อนๆทุกอย่าง ก็ระวังอย่างดีแล้วเชียวเริ่มเป็นหนี้แล้วครับเจ้านาย



จาก จี๊ด...สัตหีบ139  222.123.121.168  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 13:35   


คำตอบที่ 11
       คนงานที่ทำงานผม...เป็นโรคชิกุนคุนย่า 2 คนแล้วครับ น่ากลัวครับ โรคนี้กะลังฮิด ที่ระนอง



จาก puly_puly  118.173.107.0  ศุกร์, 5/6/2552 เวลา : 13:59   


คำตอบที่ 12
      



หนูหล่อ จาก หนูหล่อกะเสือน้อย  124.121.222.93  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 09:02   


คำตอบที่ 13
       ความรู้ เรื่อง โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya)
โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya)เป็นโรคติดต่อนำโดยแมลง คล้ายกันกับโรคไข้เลือดออกเด็งกี่ มีรายงานการระบาดครั้งแรกทางตอนใต้ของประเทศแทนซาเนียในทวีปแอฟริกา ในปี พ.ศ.2495

ความรู้ เรื่อง โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya)
สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค
15 ตุลาคม 2551
โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya) เป็นโรคติดต่อนำโดยแมลง คล้ายกันกับโรคไข้เลือดออกเด็งกี่ มีรายงานการระบาดครั้งแรกทางตอนใต้ของประเทศแทนซาเนียในทวีปแอฟริกา ในปี พ.ศ.2495 เกิดจากเชื้อไวรัส alphavirus ในสกุล Togaviridae ชื่อ ‘chikungunya’ มาจากภาษาท้องถิ่นของแอฟริกา (ภาษา Kimakonde) ซึ่งอธิบายถึงลักษณะบูดเบี้ยวหรือบิดงอตัว (contorted) จากอาการปวดข้ออย่างรุนแรง ในประเทศไทยพบการระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ.2501 ที่กรุงเทพมหานคร แยกเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาได้จากผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเด็ก ต่อมายังพบผู้ป่วยเด็กบ้างบางราย และไม่พบอีกเลยตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นมา หลังจากนั้นมีรายงานผู้ป่วยในบางปี คือ ที่จังหวัดปราจีนบุรี (พ.ศ.2519) สุรินทร์ (พ.ศ.2531) ขอนแก่น (พ.ศ.2534) เลยและพะเยา (พ.ศ.2536) นครศรีธรรมราชและหนองคาย (พ.ศ.2538) ซึ่งพบผู้ป่วย 576 ราย และ 94 ราย ตามลำดับ จนถึงการระบาดที่พบครั้งล่าสุด ในเดือนกันยายน พ.ศ.2551 ที่ จ.นราธิวาสและปัตตานี (ณ ปัจจุบัน 15 ต.ค.51 การระบาดลดลง แต่ยังไม่มีสิ้นสุด) ซึ่งทิ้งช่วงห่าง 13 ปี จากการระบาดครั้งก่อน

อาการของโรค : ไข้เฉียบพลัน ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ ข้อบวมแดงอักเสบและเจ็บ เริ่มจากบริเวณข้อมือ ข้อเท้า และข้อต่อของแขนขา อาจพบอาการปวดกล้ามเนื้อด้วย หลังจากนั้นจะเกิดผื่นบริเวณลำตัวและแขนขา มักไม่คัน หรืออาจมีผื่นขึ้นที่กระพุ้งแก้มและเพดานปาก ไข้อาจจะหายในระยะนี้ (ระยะ 2-3 วันหลังเริ่มป่วย) ผื่นนี้จะลอกเป็นขุยและหายได้เองภายใน 7-10 วัน พบต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโตได้บ่อย แต่อาการชาหรือเจ็บบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้าพบได้ไม่มาก อาการปวดข้อจะหายภายใน 2-3 วัน หรืออาจนานหลายสัปดาห์ และบางรายอาจเป็นเรื้อรังอยู่หลายเดือนหรือเป็นปี อาจพบอาการแทรกซ้อนไม่รุนแรงที่ตา ระบบประสาท หัวใจ และทางเดินอาหาร ผู้ติดเชื้อบางส่วนมีอาการอ่อนๆ ซึ่งอาจไม่ได้ถูกวินิจฉัยโรค หรือวินิจฉัยเป็นไข้เด็งกี่ แต่ในผู้สูงอายุอาการอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

ระยะฟักตัวของโรค : 2-12 วัน (โดยทั่วไป 4-8 วัน)

การวินิจฉัยโรค : ทำได้หลายวิธี โดยวิธีการตรวจหาไตเตอร์ในน้ำเหลือง เช่น Enzyme-linked immunosorbent assays (ELISA) เพื่อตรวจหาแอนติบอดี IgM หรือ IgG ต่อเชื้อ Alphavirus ซึ่งระดับ IgM มักจะสูงสุดช่วง 3-5 สัปดาห์หลังเริ่มป่วย และคงอยู่นานประมาณ 2 เดือน และอาจแยกเชื้อไวรัสจากเลือดผู้ป่วยระยะเริ่มมีอาการในช่วง 2-3 วันได้ โดยการเพาะเชื้อในลูกหนูไมซ์แรกเกิด ในยุง หรือในเซลล์เพาะเลี้ยง สำหรับวิธี RT-PCR (Reverse transcriptase–polymerase chain reaction) มีการใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน

การรักษา : ไม่มีการรักษาจำเพาะ ใช้การรักษาตามอาการ โดยเฉพาะอาการปวดข้อ กินยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามกินยาแอสไพรินลดไข้เป็นอันขาด เนื่องจะทำให้เกิดเลือดออกได้ง่ายขึ้น) และเช็ดตัวด้วยน้ำสะอาดเป็นระยะเพื่อช่วยลดไข้ รวมทั้งให้ผู้ป่วยดื่มน้ำและนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง

การแพร่ติดต่อโรค : ติดต่อจากคนสู่คนโดยถูกยุงกัด ในเขตร้อนชื้นมักเกิดจากจากยุงลายบ้าน Aedes aegypti ซึ่งมักเป็นสาเหตุการระบาดในเขตเมือง ส่วนในเขตอบอุ่นและเขตหนาวมักเกิดจากยุงลายสวน Aedes albopictus ซึ่งมักเป็นสาเหตุของโรคในเขตชนบท ยุงลายทั้ง 2 ชนิดมีนิสัยชอบกัดในเวลากลางวัน (โดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ และบ่ายแก่ ๆ) ยุงลายสวนชอบหากินบริเวณนอกบ้าน แต่ยุงลายบ้านชอบกัดดูดเลือดภายในอาคารบ้านเรือน

มาตรการป้องกันโรค : ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคชิคุนกุนยา (รวมทั้งโรคอื่น ๆ ที่มียุงนี้เป็นพาหะ) เป็นมาตรการสำคัญที่ต้องดำเนินการ ดังนี้

สื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และให้สุขศึกษาแก่ชุมชน เพื่อให้เกิดความตระหนักและร่วมมือกันกำจัดหรือทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายให้อยู่ในระดับต่ำอยู่เสมอ (ซึ่งต้องเร่งรัดมากขึ้น ทั้งก่อนและในช่วงฤดูฝน และในช่วงที่เกิดการระบาด) ประชาชนรู้วิธีป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงลายกัด โดยต้องนอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวดแม้เป็นเวลากลางวัน จุดยากันยุง ทายากันยุง หรือสวมใส่เสื้อผ้าแขนยาว ขายาว เป็นต้น ซึ่งหากใช้มุ้ง ผ้าม่าน มู่ลี่ ฯลฯ ที่ชุบสารเคมีกำจัดแมลง ก็จะยิ่งป้องกันยุงได้ดียิ่งขึ้น
สำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายในชุมชน เพื่อประเมินความชุกชุมของยุงพาหะ จำแนกชนิดของแหล่งเพาะพันธุ์ (ยุงลายชอบเพาะพันธุ์ตามภาชนะน้ำขังที่อยู่ในบ้านหรือบริเวณรอบบ้าน เช่น จานรองขาตู้กับข้าว แจกัน จานรองกระถางต้นไม้ โอ่งน้ำ ยางรถยนต์เก่า เป็นต้น) และเพื่อแนะนำวิธีการควบคุมและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลายแก่ประชาชน เช่น ปิดฝาโอ่ง เปลี่ยนน้ำในจานรองขาตู้ แจกัน ฯลฯ ทุก ๆ 7 วัน ปล่อยปลากินลูกน้ำในอ่างบัว ขัดด้านในภาชนะที่อาจมีไข่ยุงติดอยู่ คว่ำกะลา กวาดเก็บใบไม้ (ตามพื้น หลังคาบ้าน ท่อน้ำฝน ฯลฯ) กำจัดยางรถยนต์เก่า หรือนำไปแปรสภาพและใช้ประโยชน์ ฯลฯ
มาตรการควบคุมการระบาด

สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงในบ้านและบริเวณรอบบ้าน โดยใช้วิธีการต่าง ๆ ร่วมกันตามความเหมาะสม เช่น การปกปิดภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด การหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำ (เช่น ทุก ๆ 7 วัน) การใส่ปลากินลูกน้ำ การใส่สารเคมีฆ่าลูกน้ำ เป็นต้น
ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงแบบพ่นหมอกควันหรือพ่นฝอยละออง เพื่อช่วยลดความชุกชุมของยุง โดยต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย
แนะนำประชาชนให้ป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด
แนะนำประชาชนในครัวเรือนที่มีผู้ป่วยโรคชิคุนกุนยาในบ้าน ต้องให้ผู้ป่วยนอนในมุ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายไปกัดและแพร่เชื้อได้ ซึ่งเชื้อโรคนี้จะแพร่ขณะที่มีไข้สูง (ในระยะ 2-3 วันหลังเริ่มป่วย)
เอกสารอ้างอิง :

World Health Organization (WHO). Chikungunya Fact Sheet; Revised Mar 2008. [cited 2008 July 23]; Available from: URL: http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs327/en/index.html
World Health Organization Regional Office for south-East Asia (WHO SEARO). Chikungunya Fever Fact Sheet. Available from: URL: http://www.searo.who.int/en/Section10/Section2246_13975.htm.








จาก มดเขียว  203.146.218.194  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 10:38   


คำตอบที่ 14
       ท่านผู้ชายทั้งหลาย เที่ยวป่า อย่าลืม พก ผ้าอนามัย ไปด้วย น่ะ ครับ ชนิดแคร์ฟรี
ใช้สำหรับห้ามเลือด ครับ อย่าคิดมาก



จาก xr-man  202.12.118.61  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 10:39   


คำตอบที่ 15
       การปฐมพยาบาล

ตอนที่1 การสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายในผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือมีอาการผิดปกติอย่างฉุกเฉิน
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่และกับทุกคน โดยไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายอาจก่อให้เกิดเหตุ
ได้ โดยเฉพาะตามส่วนต่างๆของร่างกายที่เป็นข้อต่อ การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับอันตรายนั้นถ้าเราไม่รู้วิธีการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องแล้ว
อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
- การช็อคผู้ป่วยที่ช็อคจะมีอาการดังต่อไม่นี้
ใบหน้าซีด เหงื่อออก ตัวเย็น กระสับกระส่าย คลื่นไส ้อาเจียน ชีพจรเต้นเร็ว
และเบาไม่สมํ่าเสมอ ความดันโลหิตตํ่าลงมาก หายใจเร็ว หอบ อุณหภูมิของ
ร่างกายตํ่าลงและอาจหมดสติ
ผู้ปฐมพยาบาลจะต้องรีบให้การช่วยเหลือดังนี้ คือจัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนหงาย
ยกปลายเท้าสูงกว่าระดับศีรษะ แต่ถ้ามีแผลที่ศีรษะไม่ต้องยกเท้าให้สูงเพียงแต่ยก
ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย แล้วปลดคลายสิ่งที่รัดร่างกายให้หลวมและให้ความอบอุ่น ถ้ามี
เลือดออกรีบใช้ผ้าสะอาดกดไว้เหนือบาดแผล พันให้แน่นอีกครั้งแล้วนำส่งแพทย์



ตอนที่ 2 การใช้ผ้าสามเหลี่ยม
ผ้าสามเหลี่ยมเป็นผ้าที่มีประโยชน์มากในการปฐมพยาบาล เช่น ใช้กดห้ามเลือดใช้ปิดแผลหรือพันแผล ใช้พยุงหรือคล้องอวัยวะที่
ได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น
ผ้าสามเหลี่ยมจะเป็นผ้าอะไรก็ได้ที่มีลักษณะนุ่ม และมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยม
หรือรูปสี่เหลี่ยมพับครึ่ง โดยทั่วไปแล้วเรานิยมใช้ผ้าลินินมาทำเป็นผ้าสามเหลี่ยม
และต้องเป็นผ้าที่สะอาด เช่น ผ้าผูกคอลูกเสือ ผ้าขาวม้า เป็นต้น โดยเมื่อตัด
หรือพับเป็นสามเหลี่ยมแล้ว ควรมีด้านฐานกว้างประมาณ 30 นิ้ว และด้าน
ข้างยาวประมาณ 30 นิ้วเช่นกัน



ตอนที่ 3 ข้อเคลื่อน
ข้อเคลื่อน หมายถึง การที่ปลายหรือหัวกระดูกที่ประกอบขึ้นเป็นข้อนั้น เคลื่อนออกไปจาก
ที่ที่มันเคยอยู่ตามปกติ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นร่วมกับการฉีกขาดของเนื้อเยื่อหุ้มข้อกระดูก ตำแหน่งที่พบว่า
เกิดการเคลื่อนบ่อยได้แก่ ข้อไหล่ ข้อมือ ข้อศอก ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า และขากรรไกร
- สาเหตุของข้อเคลื่อน เกิดจากสาเหตุที่ข้อกระดูกนั้นได้รับการกระแทรก กระชาก เหวี่ยง
หรือบิดอย่างแรง เช่นขณะหกล้มใช้มือไปยันพื้นไว้ จนเกิดกระดูกเคลื่อนที่ ข้อมือ
- อาการทั่วไปของผู้ที่ข้อเคลื่อน
ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดมากตรงบริเวณข้อกระดูกที่เกิดการเคลื่อน และอาจ
มีอาการช็อคได้


- หลักทั่วไปในการปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่ข้อเคลื่อน
1) อย่าดึงข้อที่เคลื่อนนั้นให้เข้าที่
2) จัดให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนในท่าที่สบายๆ
3) ประคบบริเวณข้อที่ได้รับบาดเจ็บด้วยของเย็น
4) ถ้ามีแผลอยู่บริเวณข้อที่ได้รับาดเจ็บ ควรใช้นํ้ายาหรือนํ้าต้ม
ล้างบาดแผลให้สะอาด
5) พยายามพยุงข้อที่ได้รับเจ็บให้อยู่นิ่งๆ
6) การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยต้องทำอย่างระมัดระวัง
7) รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล เพราะถ้าทิ้งไว้ แพทย์อาจดึง
กระดูกเข้าสู่ที่เดิมได้ลำบาก




ตอนที่ 4 การเข้าเฝือกชั่วคราว
การเข้าเฝือกชั่วคราวเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยได้หลายประการ เช่น ลดความเจ็บปวด ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อ เส้นประสาท และหลอด
เลือดบริเวณกระดูกหักถูกทำลาย
- กระดูกต้นแขนหัก บริเวณต้นแขนอาจหักได้ 3 ตำแหน่ง คือ
1) กระดูกต้นแขนหักตอนใต้ไหล่ คือ หักที่ข้อกระดูก
- สาเหตุ อาจหกล้มโดยต้นแขนบริเวณไหล่กระแทรกพื้นอย่างแรง
- อาการ อาการที่พบและสังเกตได้ดังนี้
บวมหัวไหล่ เคลื่อนไหว่ไม่ได้ มีเสียงกรอบแกรบตรงบริเวณที่กระดูกหัก
- การปฐมพยาบาล ให้แขนอยู่แนบลำตัว ใช้ผ้าผืนใหญ่พับทับแขน
ไปผูกด้านข้างของทรวงอกตอนใต้รักแร้ของแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
ตอนที่ 5 การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย




ในบางกรณีอาจมีความจำเป็นต้องเคลื่อนไปยังที่อื่นๆ เช่น ในบริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ และร่มเย็น หรือย้ายผู้ป่วยไปขึ้นรถเพื่อนำ
ส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยเดินไม่ได้ ผู้ปฐมพยาบาลควรจะให้ความช่วยเหลือที่ถูกวิธี การเคลื่อนย้ายนี้มีอยู่หลายวิธี เช่น อุ้มพยุง
เดินโดยคนเดียว อุ้มกอดด้านหน้าโดยคนเดียว
- การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วย
ผู้ปฐมพยาบาลจะต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้กำลังแบกหรืออุ้ม ซึ่งถ้าใช้คน 2-3 คนมาช่วยก็จะเป็นการดีที่สุด



- การเคลื่อนย้ายโดยใช้อุปกรณ์ช่วย
ในสถานการณ์ที่มีเวลาเพียงพอ และพอจะหาวัสดุอุปกรณ์ที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นมาใช้โดยตรงหรือดัดแปลงได้ อีกทั้งยังมีผู้พยาบาลมากกว่า
1 คน ผู้พยาบาลที่ฉลาดควรจะได้หาวิธีเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้อุปกรณ์ช่วย เพราะนอกจากจะเป็นการปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้ป่วยแล้วยัง
เป็นการเบาแรงและสะดวกรวดเร็วอีกด้วย



อ่านนิดนิงนะครับ มีประโยชน์เวลาออกทริป







จาก มดเขียว  203.146.218.194  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 10:41   


คำตอบที่ 16
       ต่อไปเป็นการสาธิตวิธีนวดคลายเส้นในกรณีเจ็บขา โดยท่านประธาน และป๋าหริและทีมงานคุณภาพจาก sec






st.radar จาก st.radar  125.26.114.241  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 13:55   


คำตอบที่ 17
       อันดับแรกต้องจัดคิวเรียงตามลำดับ(ห้ามแตก(แถว)ก่อน) ระวังแต๋วแตก






st.radar จาก st.radar   เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 13:57   


คำตอบที่ 18
       เตรียมหมอนหนุนรองที่ศรีษะ






st.radar จาก st.radar  125.26.114.241  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 13:58   


คำตอบที่ 19
       ค่อยๆเริ่มโดยกดที่มือทั้งสองข้างไว้ไม่ให้ดิ้น






st.radar จาก st.radar   เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 14:00   


คำตอบที่ 20
       ค่อยๆบีบ






st.radar จาก st.radar  125.26.114.241  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 14:02   


คำตอบที่ 21
       ค่อยๆเหยียบ






st.radar จาก st.radar  125.26.114.241  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 14:04   


คำตอบที่ 22
       ที่สำคัญต้องมีคนคอยท่องคาถากำกับด้วยเพื่อเพิ่มความขลัง






st.radar จาก st.radar  125.26.114.241  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 14:06   


คำตอบที่ 23
       ปิดท้าย บั้นใครหว่า






st.radar จาก st.radar  125.26.114.241  เสาร์, 6/6/2552 เวลา : 14:09   


คำตอบที่ 24
       ก้นกลมกลึง



satu จาก แห้งคับ  125.26.53.72  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 21:23   


คำตอบที่ 25
       พี่ๆเราทำซะเสียเรื่องเลยนะครับ ชิ้นต่อมานะครับ อันนี้ก็ร้ายไม่แพ้ชนิดอื่นเช่นกัน นั่นคือ ตัวเห็บป่าครับ น่ากลัวมากครับ ลองอ่านกันดูนะครับ ผมขอคัดลอกบทความมาจากพี่ในเวปอื่นครับ เราจะได้ระวังกันครับ(ขอขอบคุณพี่ที่ทำบทความนี้ขึ้นมาครับ)
เห็บมีมากกว่า 800 พันธุ์ ที่พบในป่ามี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ เห็บ(tick) ตัวใหญ่คล้ายๆเห็บหมา อาศัยเกาะสัตว์เพื่อดูดเลือด กับ แมงแดง (Chigger) เป็นตัวอ่อนของไร ที่เพิ่งออกจากไข่ ทางการแพทย์เรียกว่าไรอ่อนหรือไรแดง ไรที่โตเต็มที่แล้วจะไม่เกาะสัตว์ ตัวอ่อนจะเกาะสัตว์เพื่อดูดน้ำเหลือง ไม่ใช่ดูดเลือด พบเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวมีเยอะเป็นพิเศษ พอถึงหน้าฝนก็จะเหลือน้อย ที่ใดมีสัตว์อาจเป็นสัตว์เล็กๆพวกหนูหรืองู ที่นั่นมีเห็บ ส่วนทากจะกลายเป็นเรื่องเล็กสำหรับคนที่เคยโดนเห็บหรือแมงแดงกัด เนื่องจากทากอาศัยอยู่เฉพาะบนพื้นดิน ใช้ยากันยุงยี่ห้ออะไรก็ได้ฉีดที่รองเท้ามันก็ไม่กล้าขึ้นมาแล้ว โดนกัดไม่กี่วันแผลก็หาย ไม่มีแผลเป็น(กรณีที่มันคลายเขี้ยวเอง) ไม่มีโรคตามมา ต่างจากเห็บที่ไต่ไปทั่ว ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามพื้น ตามขอนไม้ผุๆ เหมือนมดหรือทาก แต่อาจมีบางตัวไต่ขึ้นมาตามไม้เนื้ออ่อนเช่น พุ่มไม้ ใบหญ้า หรือ ต้นกล้วย หรือ หลุดจากตัวสัตว์มาเกาะตามใบไม้สด ถ้าโดนกัดแล้วจะคันไปเป็นเวลานาน แถมด้วยสารพัดโรคที่อาจติดมาจากสัตว์
ความแตกต่างระหว่างเห็บกับแมงแดงคือ เห็บจะมีสีน้ำตาลเข้ม มี 8 ขา ลำตัวกว้างประมาณ 1มม.ขึ้นไป เห็นปากแหลมๆเหมือนหลอดดูดน้ำยื่นออกมาข้างหน้า ส่วนแมงแดงมีสีน้ำตาลอ่อนค่อนไปทางสีแดง ตัวใสๆ กว้างประมาณ 0.5มม.ลงมา มี 6 ขา มองเห็นแต่ขาและลำตัวไม่เห็นปาก ถ้าแมงแดงตัวใหญ่มาเกาะที่ขากางเกงจะมองเห็นได้ แต่ถ้าตัวเล็กมากจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องเพ่งลงไปดูใกล้ๆจึงจะเห็นเหมือนเศษผงเคลื่อนที่ได้
วิธีป้องกัน
ใช้ permethrin เป็นสารเคมีที่ฆ่าเห็บทุกสายพันธุ์ที่มาสัมผัส ปลอดภัยกับมนุษย์ เมื่อถููกผิวหนังจะทำปฎิกริยากับน้ำมันบนผิวหนังแล้วสลายตัวไปเองภายใน 15-20 นาที ยังไม่ทันได้ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนัง เมื่อฉีดบนเสื้อผ้าจะคงอยู่ได้นานเกือบเดือน ใช้ permethrin 0.5% ก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่มีขายในท้องตลาด จึงหาซื้อยาฆ่าเห็บหมาที่มี permethrin 1.0% มาใช้แทน เช่น chaingard รุ่น pet bedding spray ฉลากเขียนว่าออกแบบมาให้ฉีดกับเสื้อผ้าเครื่องใช้ ต่างจากบางยี่ห้อที่ออกแบบมาให้เกาะขนสัตว์แต่อาจไม่ติดเสื้อผ้า หัวฉีดเป็นฝอยกระจายไปทั่ว และกระป๋องอัดแรงดันสามารถคว่ำฉีดได้ หาซื้อได้จากซุปเปอร์มาร์เก็ตแผนกหมา(เคยเห็นที่ตั้งฮั่วเส็งและเดอะมอลล์) และ pet shop แต่จะใช้ฉีดตามเสื้อผ้าเท่านั้น ไม่ฉีดที่ผิวหนัง วิธีฉีด ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ชุดหมีหรือปิดหมดทุกส่วนเหมือนมนุษย์อวกาศเวลาเข้าป่า เนื่องจากจะทำให้ร้อนแล้วยังเคลื่อนไหวไม่สะดวก ถ้าต้องเข้าไปในที่รก ให้ฉีดบริเวณหมวกและเสื้อผ้าก่อนจะถึงเนื้อ และเป้สะพายหลังบริเวณก่อนที่เห็บจะไต่เข้าไปในเป้ ไม่จำเป็นต้องฉีดไปทั่วทั้งตัว เพราะ permethrin ที่ปนเปื้อนไปกับพื้นดินและใบหญ้า อาจทำให้เห็บที่มาโดนแล้วไม่ตาย กลายพันธุ์เป็นดื้อยา (เหมือนทากแถวภาคใต้ที่ไม่กลัวเกลือ) หากวันหลังกลับไป permethrin อาจป้องกันไม่อยู่ อาจใส่เสื้อและกางเกงชั้นนอกอีกชั้นเพื่อป้องกันยาสัมผัสกับเหงื่อ แต่ถ้าเดินบนสนามหญ้าโล่งๆหรือเดินป่าตามเส้นทางกว้างๆที่คนทำไว้ อาจฉีดยาที่รองเท้ากับขากางเกงก็พอ จากการทดสอบ เวลาเห็บหรือแมงแดงปีนขึ้นมาโดนยา ก็จะรีบทิ้งตัวลงพื้นแทบไม่ทัน แล้วลงไปตายกับพื้น ส่วนพวกติดจากใบไม้มาถูกเสื้อผ้าก็แข็งตายอยู่ตรงเสื้อผ้าแถวนั้นหรือหมดแรงเกาะตกลงไปที่พื้น ถึงแม้ว่า permethrin ฉีดครั้งหนึ่งจะใช้เวลาสลายตัวนาน แต่การใช้งานสมบุกสมบันบวกกับเหงื่อ จะจางไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีฤทธิ์เพียงพอที่จะฆ่าเห็บได้ การเดินป่าหลายวันจึงควรฉีดซ้ำทุกวันหรืออย่างน้อยวันเว้นวัน เมื่อกลับมาบ้านแล้ว ซักเสื้อผ้า 2 รอบสามารถกำจัด permethrin ได้หมด สมุนไพรหรือสารเคมีป้องกันยุงอื่นๆ ไม่มียาไหนที่ป้องกันได้จริงๆจังๆ ยาตัวหนึ่งป้องกันได้เพียงบางสายพันธุ์ และความสามารถในการป้องกันเฉลี่ยประมาณ 50% หมายถึง ตัวที่ปีนขึ้นมาเจอยาแล้วหน้าบางจะตีลังกากลับลงพื้น แต่พวกหิวจัดอาจไต่ขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้าน และที่สำคัญ การสัมผัสยาเหล่านี้ไม่ทำให้พวกมันตาย ดังนั้นหากต้องการใช้ยากันยุง แนะนำให้ฉีด permethrin ไว้เป็นด่านสุดท้ายก่อนที่มันจะไต่มาถึงเนื้อ จากที่ทดสอบสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นสะเดา น้อยหน่า ผิวส้ม ฯลฯ พบว่า ตะไคร้หอม หรือ การบูร หรือ deet อย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถป้องกันเห็บได้บางสายพันธุ์ หากนำมาผสมกัน จะทำให้ความสามารถในการป้องกันลดลง โลชั่นกันยุงที่มีส่วนผสมของสารเคมี Ethyl-butylacetylaminopropionate(EBAAP) ป้องกันได้หลายสายพันธุ์กว่า ถ้าเดินป่าที่มีทั้งทากและเห็บ หากต้องใช้ยากันยุงเพื่อป้องกันทาก ควรฉีด permethrin และยากันยุง แยกพื้นที่กัน ระวัง! อย่าฉีดยาหลายชนิดปนกัน เช่น deet ผสมกับ permethrin จะมีความรุนแรงสูงมาก หากสัมผัสผิวหนังอาจก่อให้เกิดอันตรายตามมา ข้อดีของการฉีดยากันยุงไว้ในส่วนที่ต่ำกว่าเช่น รองเท้า และฉีด permethrin ไว้ที่สูง คือ นอกจากจะป้องกันไม่ให้ permethrin ตกค้างในธรรมชาติ แล้วยังป้องกันทากและมดที่ไต่ขึ้นมาได้ด้วยโดยไม่ทำให้พวกมันตาย ใครที่ชื่นชอบสมุนไพรธรรมชาติ ไพริทริน(pyrethrins) เป็นสารสกัดธรรมชาติจากดอกเบญจมาศญี่ปุ่น เป็นต้นกำเนิดของ permethrin ซื้อได้ที่ร้าน pet shop ม.เกษตร สลายได้เร็วภายใน 24 ชม. เป็นยาฆ่าแมลงชนิดอ่อน ต้องพ่นในปริมาณมากจึงจะมีฤทธิ์ฆ่าเห็บและแมงแดงที่มาสัมผัสได้เหมือนpermethrin เรียกว่าฉีดจนชุ่มไปทั้งกางเกง แล้วรอให้มันไต่จากพื้นขึ้นมาถึงเอวกว่าจะตาย ส่วน permethrin นั้นตายตั้งแต่ที่ปลายขากางเกงแล้ว
การเดินป่า
ให้ระวังที่แห้งๆ บริเวณริมน้ำใบไม้ที่พื้นจะชื้น มีต้นไม้เนื้ออ่อน จะไม่พบพวกมัน แต่ห่างออกมาประมาณ 100เมตร ใบไม้เริ่มแห้ง เหลือแต่ไม้เนื้อแข็ง คือ แหล่งอาศัยของพวกมัน ธรรมชาติของเห็บและแมงแดง จะชอบที่แห้งและมืด ซึ่งได้แก่ที่แสงสว่างส่องถึงแต่แสงแดดส่องไม่ค่อยถึง เช่น ชายป่ารอยต่อระหว่างที่โล่งกับป่าทึบ ป่าริมถนน แม้แต่ทุ่งหญ้าหรือสนามหญ้าที่สัตว์เดินผ่านก็อาจพบพวกมันได้ เสื้อผ้าควรเน้นสีขาวจะมองเห็นพวกมันได้ง่าย ถ้ากลัวเลอะก็พกไม้เท้าเดินป่าไปด้วยสัก 2 อัน เวลาเดินจะได้ทรงตัวดีขึ้น ข้อดีอีกอย่างของการใส่ชุดขาวคือเวลาเจอชาวบ้านลักลอบตัดไม้ เขาอาจเข้าใจผิดว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่มาสอดแนม แล้วทำร้ายเราได้ อย่างน้อยชุดขาวยังอ้างได้ว่าเป็นพวกปฎิบัติธรรม แต่หากอยู่ในที่ชุมชน แล้วกลัวว่าชุดขาวจะเป็นจุดเด่น อาจเลี่ยงไปใส่สีอ่อนๆ เช่น สีครีม สีเทาอ่อน จะมองเห็นพวกมันได้เช่นกัน ส่วนสีที่ไม่ควรใส่คือสีดำหรือสีมืดๆ เพราะนอกจากโดนเกาะมองไม่เห็นแล้วยังดึงดูดพวกมันเข้ามาอีก สัญชาติญาณของพวกนี้จะไต่เข้าหาที่มืด ถ้ามีกระดาษสีขาวตั้งไว้ด้านหนึ่ง สีดำตั้งไว้อีกด้านหนึ่ง มันจะเดินไปหากระดาษสีดำ ข้อดีของสีขาวไม่ดึงดูดเห็บและยุง เห็บแมงแดงอาจจะไต่อยู่หลายชม.ก่อนจะเกาะ เมื่อถึงที่พัก สิ่งแรกที่ควรทำคืออาบน้ำ เพื่อล้างตัวที่ยังไม่เกาะให้ลอยน้ำไป แต่ก่อนจะอาบให้สำรวจร่างกายให้ทั่ว โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศและสะดือเป็นสถานที่ที่เห็บชอบเกาะ หากพบให้ดึงออกก่อน หากลงไปอาบน้ำทั้งๆที่เห็บยังเกาะอยู่ เห็บอาจสำลักน้ำและสบู่แล้วคายพิษออกมา เมื่อดึงออกหมดแล้วจึงค่อยลงไปอาบน้ำให้สะอาด เข้าป่าอย่าลืมพกแว่นส่องพระ กระจก และแหนบไปด้วย
เห็บ เมื่อดูดเลือดไปสักระยะตัวจะบวมเป่งขึ้น ถ้ามือไปโดนจะเจ็บตรงที่ถูกเกาะ ชอบเกาะตามที่ลับโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ สะดือ จึงควรสำรวจทั้ง 2 บริเวณนี้เป็นแห่งแรก ถ้าใช้มือหรือแหนบดึงออกตรงๆ ตัวจะหลุดแต่เขี้ยวซึ่งเหมือนตะขอจะฝังไว้ในเนื้อ(ไม่ใช่หัวของมันตามที่เข้าใจกัน) แล้วจะคันไปอีก 6 เดือน-1ปี อย่าใช้ยาหม่องหรือน้ำมันอะไรทาตัวมัน เพราะมันจะสำลักแล้วคายพิษเข้าไปในร่างกาย ให้ใช้เครื่องมือที่ออกแบบมาสำหรับดึงเห็บสามารถจับปากมันได้ ถ้าไม่มี อย่าใช้มือเปล่าเพราะจับไม่ถนัดอาจบีบตัวมันแตกอาจติดเชื้อแบคทีเรียได้ ใช้แหนบหัวตัด 90องศา จับมันหมุนเป็นวงกลม มันจะหลุดกระเด็นออกมาเอง โดยไม่เหลือเขี้ยวฝังอยู่ในเนื้อ แมงแดง ถึงแม้ว่ามันจะเกาะอยู่หลายวัน แต่ก็ยังตัวเท่าเดิม ถ้าปล่อยให้มันเกาะอยู่ประมาณ 4 วันจะหลุดออกไปเอง เวลาเกาะจะเหมือนขี้แมงวันหรือสะเก็ดแผล แต่ถ้าส่องไฟดูจะเงาสะท้อนแสงไฟ ก้มลงไปดูใกล้ๆจะเห็นมีขา ใช้เล็บขูดออกได้ หรืออาบน้ำฟอกสบู่ให้เกลี้ยงก็จะหลุดไปเอง แต่เมื่อหลุดไปแล้ว จะกลายเป็นตุ่มเหมือนยุงกัด แต่แดงกว่า อาจมีต่อมน้ำเหลืองปูดขึ้นมาภายหลัง ซึ่งเป็นอาการแพ้น้ำลายของมัน แมงแดงชอบเกาะตามที่อุ่นและมืด จึงควรสำรวจใต้ร่มผ้าก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะเนื้ออ่อนรอบเอวและอก อวัยวะเพศ ขาและคอด้านหลัง และที่สำคัญที่สุดคือขอบตา บริเวณล่อแหลมเช่นขอบตาอาจต้องใช้แหนบหัวเฉียงคีบออก หากพบว่าถูกเกาะ รีบดึงออก ควรรีบดึงออกภายใน 36 ชม. หากปล่อยไว้นานกว่านี้ เชื้อโรคจากเห็บจะเริ่มเข้าสู่ร่างกาย ยิ่งปล่อยไว้นาน พิษจะยิ่งเข้าสู่ร่างกายมาก หากดึงออกก่อนเชื้อโรคจะยังไม่ทันเข้าสู่ร่างกาย ถ้าโดนเกาะเต็มตัวอาจต้องพ่นหรือทา permethrin อย่างอ่อน(ไม่เกิน 0.5%w/w หรือ w/v อาจหาซื้อแบบ 1% มาผสมน้ำเท่าตัว) พวกที่เกาะอยู่จะร่วงตายหมด รอ 15-20 นาทีเพื่อให้ยาทำปฎิกริยากับเอนไซม์บนผิวหนังแล้วสลายตัวไปเอง ไม่ควรรีบลงไปล้างในลำธารเพราะสารนี้ไล่ปลา ถ้่าอยากรู้ว่ายังมีพวกมันหลงเหลืออยู่ในตัว หรือไม่ ลองอยู่เฉยๆหรือนั่งสมาธิ บางตัวที่ยังไต่อยู่ยังไม่เกาะหรือเกาะแล้วย้ายตำแหน่งจะรู้สึกคันยิกๆ ลองก้มลงไปดู ถ้ามันยังไม่เกาะก็เอาเทปแปะตัวมันไว้ เวลาอยู่ในป่าควรหาเห็บบ่อยๆ และอาบน้ำฟอกสบู่ให้เกลี้ยงอยู่เสมอจะกำจัดพวกแมงแดงที่เกาะอยู่ออกไปได้
การนอน
ให้หาก้อนหินริมน้ำหรือก้อนหินที่โล่งแดดส่องถึงหรือที่ชื้นๆมีตะไคร่น้ำเกาะ พยายามอยู่ให้ห่างจากป่ารอยต่อระหว่างที่มืดกับที่สว่าง ถ้าเพื่อนแย่งที่นอนไปแล้ว ให้เดินหาก้อนหินใหม่ริมน้ำห่างออกไป ถ้าผูกเปล พยายามอยู่ติดน้ำเข้าไว้ และ ยืนบนก้อนหิน หรือที่กวาดใบไม้ออกแล้ว อย่ายืนบนใบไม้ เพราะพวกนี้ไต่อยู่ตามพื้นดินและเศษใบไม้แห้ง แมงแดงตัวเล็กมีขนาดใหญ่กว่ารูของมุ้งแบบถี่ ส่วนมุ้งแบบรูห่างเก็บไว้ไปใช้ที่อื่นดีกว่า และถ้าเลือกได้ให้ใช้สีขาวจะมองเห็นง่าย ก่อนเข้าหรือออกจากเต็นท์ให้สังเกตุมุ้งให้ดีว่ามีตัวอะไรมาเกาะหรือไม่
- นอนก่อนค่ำ ก่อนจะปูผ้า ลองใส่ถุงกันทากแบบที่ไม่ฉีดยาที่เท้า ฉีดเฉพาะเหนือหัวเข่า เพื่อให้โอกาสพวกมันปีนขึ้นมา แล้วลองยืนหรือเดินดูรอบๆว่ามปีนขึ้นมาบนขาบ้างหรือไม่ หรือ ปูผ้าพลาสติกสีขาวแล้วลองนั่งสังเกตุว่าตัวอะไรไต่เข้ามาหรือไม่ สีขาวจะสังเกตุได้ง่าย
- ถ้าพบตัวหนึ่งแสดงว่าอยู่ในดงของพวกมันแล้ว ควรย้ายที่นอน ปกติถ้าพบหนึ่งตัวแสดงว่ามีอีกหลายตัว เดินเร่รอนอยู่แถวนั้น ถ้าโชคดีจะพบครั้งละหลายตัว
- ใส่ถุงเท้าหรือถุงกันทากพ่นยาเสมอถึงแม้ว่าจะอยู่ที่พักแล้ว เปลี่ยนตอนนอนเท่านั้น เวลานอน ถ้าอยู่ในมุ้งรูถี่ที่สามารถป้องกันแมลงได้มิดชิดแล้ว ไม่ควรสวมหมวกกันหนาวปิดหู เพราะแมงแดงที่อาจไต่ขึ้นไปกัดบนหัวหรือหู ถ้าเปิดไว้มันจะไต่ไปหาที่อุ่นที่อื่นเช่นใต้เสื้อ แต่ถ้านอนเปลที่ไม่มีมุ้งหรือมีแมลงอยู่ในมุ้ง ควรสวมหมวกปิดหูไว้กันแมลงเข้าหู เมื่อออกจากป่า แล้วเป็นตุ่มแดงๆคล้ายยุงกัด แต่จะตุ่มเล็กกว่าและแดงกว่า อย่าเข้าใจผิดว่าแพ้พืชหรือแพ้น้ำ แต่เกิดจากแมงแดงกัด ถ้าไม่มีจุดสีแดงดำตรงกลางแสดงว่ามันหลุดไปแล้วตอนเกาหรืออาบน้ำฟอกสบู่ แต่มันไม่ได้มุดเข้าไปใต้ผิวหนังตามความเชื่อ แล้วจะคันอยู่อย่างนั้นเป็นเดือน ระวังตัวให้ดี หากเริ่มรู้สึกคัน อย่ารีบเกา ก้มลงไปดูหรือใช้กระจกส่องแล้วมีตุ่ม แสดงว่าโดนกัดเข้าแล้ว เวลาคันห้ามเกา เพราะจะทำให้น้ำเหลืองใหลติดเชื้อ เมื่อหายแล้วจะกลายเป็นแผลเป็นมีรอยดำ ให้กินยาแก้แพ้เช่น citirizine ออกฤทธิ์นานและไม่ง่วง เพื่อไม่ให้เกิดแผลบวมแดงซึ่งจะกลายเป็นรอยดำในที่สุด กินเม็ดเดียวก่อนนอนอยู่ได้ทั้งวัน โดยไม่ต้องตื่นมาคันตอนดึกเหมือนคลอเฟนิรามีนที่มีฤทธิ์แค่ 4-6 ชม. ถ้าตรงไหนยังคันอยู่ให้ทาคาลาดริลครีม (caladryl cream) หรือยาอื่นที่มีส่วนผสมของยาแก้แพ้ อาจต้องทาซ้ำหลายๆรอบจึงจะหายคัน กินหรือทาติดต่่อกัน 3 วันจะเริ่มดีขึ้น พกยาทาติดตัวไว้ ถ้าสะดุ้งตื่นมาคันกลางดึกทาคาลาดริลแล้วยังคันอยู่ อาจต้องทายาสเตอรอยด์แรงพวก dermovate เพื่อที่จะนอนต่อได้โดยไม่ต้องนอนเกาทั้งคืน เวลาเข้าป่าจึงควรพกยากินทาไปด้วย
ระวัง! หมอตามคลีนิกทั่วไปแม้แต่หมอเฉพาะทางโรคผิวหนัง อาจไม่รู้จริงแล้วยังไห้ยาไม่ถูกกับอาการ เช่น ให้สเตอรอยด์มากิน ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับแผลอื่นๆบนร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากแมลงกัด เช่น รอยฟกช้ำ หนามตำ ข้อต่ออักเสบ ทั้งๆที่ยาทาแก้แพ้ที่เราหาซื้อได้เองตามร้านขายยา สามารถบรรเทาอาการคันได้ดี และมีัอันตรายน้อยกว่า เพื่อนของผู้เขียนเคยไปหาหมอแต่หมอไล่ให้ไปตรวจเชื้อเอดส์ ผู้เขียนเองเคยไปหาหมอโรคผิวหนังมีชื่อพร้อมกับแมงแดงตัวที่ยังเกาะอยู่ เพื่อหมอจะได้ไม่วินิจฉัยผิด และถามหมอว่าจะทำอย่างไรกับตัวที่เกาะอยู่ คำแนะนำที่ได้รับคือ กินยาแล้วปล่อยทิ้งไว้มันจะหลุดไปเอง ซึ่งก็ถูกต้อง พอมันอิ่มแล้วก็จะหลุดออกไปเอง แต่ปัญหาคือควรจะรีบแกะออกเพื่อลดปริมาณพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ผู้เขียนเชื่อหมอจึงปล่อยทิ้งไว้ไม่กี่วันมันก็หลุดไปเอง ปรากฎว่า จุดนั้นเป็นแผลเรื้อรังเป็นเวลานาน เมื่อเทียบกับจุดอื่นซึ่งแกะแมงแดงออกแต่เนิ่นๆหายสนิทแล้ว ดังนั้น หากจำเป็นต้องหาหมอแนะนำให้ไปหาหมอเฉพาะทาง เช่นที่ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน เท่าที่ผู้เขียนเคยไปมา มีแพทย์บางท่านที่พอจะรู้เรื่อง เช่น พญ.ชญาสินธุ์ แม้นสงวน
เห็บและแมงแดงมีหลายพันธุ์ เฉพาะบางพันธุ์ พบในบางพื้นที่เท่านั้นที่เป็นพาหะนำโรค ถ้าหลังจากโดนกัดแล้ว 1-3 สัปดาห์ แล้วไม่เป็นอะไรแสดงว่าตัวที่กัดไม่มีเชื้อโรคหรือหลุดออกก่อนจะมีโอกาสแพร่เชื้อ แต่ถ้าเริ่มไม่สบาย หยุดกินยาแก้แพ้แล้วมีผื่นขึ้นตามหน้าตามตัว ตาแดง ฯลฯ อย่าเข้าใจผิดว่าแพ้พืชหรือแพ้น้ำ แต่อาจติดเชื้อบางอย่าง
แมงแดงเป็นตัวนำเชื้อสครับไทฟัส(scrub typhus) หากปล่อยทิ้งไว้อาจหายเองจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน หรือตายได้้
เห็บยิ่งร้ายกว่า เป็นตัวนำเชื้อหลายโรค คือ
- thai tick typhus มีไข้ มีผื่นเหมือนออกหัด
- lyme disease เป็นโรคเกิดใหม่ พบอยู่ในอเมริกา ไม่พบในเมืองไทย และในเมืองไทยยังไม่มีวิธีตรวจ ผู้ป่วย 60% มีผื่นเป็นรูปวงแหวน หากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นโรคอื่นตามมา
ถ้าอาการไม่หนักอาจเกิดจากเคยถูกกัดจนมีภูมิคุ้มกันแล้ว โรคไทฟัส เช่น scrub typhus, thai tick typhus เกิดจากเชื้อริคเกตเซีย (rickettsia) เหมือนกันแต่ต่างพันธุ์ หากพันธุ์ใดเข้าสู่ร่างกายครั้งแรกแล้วร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ ครั้งต่อไปหากได้รับริคเกตเซียพันธุ์อื่น ร่างกายจะสามารถต้านทานโรคได้ ช่วยให้อาการป่วยไม่รุนแรง แต่ไม่ว่าจะอาการหนักหรือไม่ เตรียมเข้าตรวจในหน่วยงานเฉพาะทางที่มีเครื่องมือตรวจเชื้อ เช่นที่ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน ปัจจุบันตรวจได้เพียงตัวเดียวคือ สครับไทฟัส หากพบเชื้อ แพทย์กินยาฆ่าเชื้อจะทุเลาภายใน 1-3 วัน โดยกินยาต่อเนื่องอย่างน้อย 10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อให้หมด การหยุดยากลางคัน อาจทำเชื้อดื้อยา หรือกลับมาเป็นอีก
การเดินทางไปตรวจเชื้อที่ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน แนะนำให้ไปช่วงบ่ายคนไข้จะไม่ค่อยมากเหมือนช่วงเช้า (ปิดประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง) ปกติการตรวจเชื้อ เช่น สครับไทฟัสจะใช้เวลา 2 วัน จึงควรไปช่วงกลางสัปดาห์เพื่อจะได้ผลตรวจปลายสัปดาห์ไม่ต้องรอข้ามอาทิตย์เนื่องจากช่วงต้นสัปดาห์จะมีคนไข้มาก
สำหรับชาวสวนที่ต้องการกำจัดเห็บด้วยวิธีธรรมชาติคือเลี้ยงไก่ต๊อก(Guinea Fowl) ซึ่งกินแมลง และอาหารโปรดของมันคือเห็บ วุ้ยถ้าเห็บมันมากัดเราบริเวณขาหนีบ แล้วให้ไก่ต๊อกมันจิกกินละมึงเอ๋ย นึกแล้วเสียวใส้ ก็กลัวมันจิกผิดหันไปเล่นหนอนผีเสื้อของพวกเราเข้าละก้อ.....โอยไม่อยากคิด จริงมั้ยพี่หนูหล่อกะป๋าหริ






satu จาก แห้งคับ  125.26.53.72  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 21:55   


คำตอบที่ 26
       รูปหล่อไม่เบา ที่แน่ๆเหมืองเต่าดำเยอะมาก ลูกน้องพี่เทพโดนเข้าไปตรงขาหนีบ ข้างไข่ดำ เป็นหลายสิบตัว เจ๋งอ่ะ ป่านนี้ยังไม่หายคันเลย บางท่านว่าให้ใช้เหล้กแหลมเหมือนเข็มจี้เข้าไปให้มันปล่อยตัวหนีความร้อนเองดีกว่าดึงออกหรือใช้มีดโกนๆออกเพราะตัวหลุดไปแต่หัวมันยังอยู่ ตัวบ้านี่มันไม่ยอมตายครับ แต่อย่าจี้ผิดนะครับ ครั้งต่อไปจะต้องหาแว่นขยายติดไปแล้ว เบื่อกันยังครับ ที่ผมเอาแต่ละเรื่องมาเสนอ บางท่านอาจจะไม่อยากเข้าป่าอีกเลยครับ






satu จาก แห้งคับ  125.26.53.72  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 22:05   


คำตอบที่ 27
       ลืมไปครับ ใช้เหล็กแหลมรนไฟแล้วจี้ไปที่ตัวมันครับ เดี๋ยวจะเอาเข็มไปจี้ไว้เฉยๆมันไม่หนีหลอกครับ



satu จาก แห้งคับ  125.26.53.72  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 22:07   


คำตอบที่ 28
       วิธีแก้ เห็บกัด แบบพื้นบ้านง่าย ๆ เลยครับ รับรองหายคันแน่ ๆ ให้ใช้หัวไม้ขีดไฟ (ทียังไม่ได้จุด) จี้ลงไปตรงที่โดนกัด แล้วหมุนไปมา จะรู้สึกเจ็บแบบ จี๊ด ๆ ครับ รับรองหายคัน ไม่มีอาการแพ้ แน่ เนื่องจาก ที่หัวไม้ขึดมีกำมะถัน

ของแบบนี้ต้องลอง เพราะผมเคยทำเป็นประจำ รับรองชัวร์ ครับ

มีอีกอย่างหนึ่ง ที่อยากบอกท่านชายทั้งหลาย ที่ชอบเที่ยวป่า และ อยู่ในป่าหลายวัน อย่าลืมพกยาสีฟัน ดาร์.... เข้าป่า ด้วยน่ะครับ เพราะบางครั้งที่เราไม่ได้อาบน้ำ หรืออาบน้ำ แล้ว ทำความสะอาดไม่ทั่วถึง จะเกิดอาการคัน ในบาง จุด ........ ใช้ยาสี ล้างแทนได้ครับ ...... เนื่องจากตัวยาสีฟ้น มีสารแอนตี้เซฟติ๊ก ..... จะหายคันชัวร์ ครับ เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการใช้ชีวิตในป่า คร๊าบ
มีอีกเยอะครับ เทคนิคต่าง แบบ แปลก ๆ



จาก xr-man  222.123.156.236  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 22:22   


คำตอบที่ 29
       เรื่องต่อมา 55555 ทนเหม็นหน่อยนะครับ โรคนี้เป็นกันมาก ในพื้นที่หมู่บ้านต่างๆ ที่ยังไม่นิยมใช้สุขา หรือส้วมครับ โรคท้องร่วงครับ
อาการของโรคท้องร่วงเฉียบพลัน อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มได้แก่
กลุ่มที่ 1 ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ จำนวนมากกว่า 10 ครั้งขึ้นไป และมีการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกตัวไปในทางที่เลว ในระยะเวลาอันสั้น สาเหตุที่พบได้บ่อย คือ เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อโรต้าไวรัส
กลุ่มที่ 2 ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดหรือมูก มักมีอาการปวดเบ่ง ปวดท้องบิด ถ่ายบ่อยครั้ง สาเหตุที่พบคือ เชื้อบิดซาโมเนร่า เชื้อซิฟิร่า อีโคราย
กลุ่มที่ 3 ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำสีเหลือง กลิ่นเหม็นจัด มักพบจากสาเหตุ พยาธิ เชื้อรา และในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดอาหารร่วมด้วย ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือใช้ยาปฏิชีวนะมาเป็นเวลานาน
การรักษาโรคท้องร่วงเฉียบพลัน แก้ไขภาวะขาดน้ำเกลือ โดยการกินสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทันทีที่เริ่มมีอาการ โดยปริมาณสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ที่กิน ให้กินเท่ากับปริมาณอุจจาระที่ถ่ายออกมา ในแต่ละครั้ง การใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ หรือ ORS ผสม ORS 1ซองต่อน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 ขวดน้ำปลา ประมาณ 750 ซี.ซี. และคนกระทั่งน้ำตาลเกลือแร่ละลายหมด รับประทานครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ ให้ทานตามปริมาณอุจจาระที่ถ่ายออกมา ถ้ามีอาเจียนให้หยุดดื่ม รอจนหายอาเจียนจึงเริ่มดื่มได้ใหม่ เพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำตาลเกลือแร่ สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ที่ผสม ควรรับประทานให้หมดใน 1 วัน ถ้าไม่หมดให้เททิ้งแล้วผสมใหม่ ถ้าไม่มี ORS จะทำอย่างไร สามารถเตรียมได้เองโดยใช้น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น ครึ่งช้อนชา ผสมกับน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 ขวดน้ำปลา รับประทานภายใน 1 วัน รับประทานยาฆ่าเชื้อ หรือยาแก้อักเสบในกรณี ที่เป็นบิดถ่ายมีมูกหรือเลือดปน หรืออุจจาระมีกลิ่นเหม็นเน่า โดยให้ยาฆ่าเชื้อร่วมกับสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ ถ้าดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่แล้ว ภายใน 8-12 ชั่วโมง หรือให้การรักษาเองที่บ้านแล้ว อาการไม่ดีขึ้นแต่มีอาการดังต่อไปนี้ คือ มีอาเจียนมากขึ้น ถ่ายมากขึ้น หรือถ่ายเป็นมูกเลือด มีไข้สูง หรือชัก เกิดมีอาการขาดน้ำ เช่น ตาลึกโหล ปัสสาวะน้อย หายใจหอบ หมดสติ ต้องรีบพบแพทย์ทันที เช้อส่วใหย่ที่จะพบบ่อยจะได้แก่ เชื้ือแบคทีเรียเชอปิร่า ไกอาเดีย แคมเบโรแบคเต้อ เป็นต้น แพร่โดยอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อเปื้อนปน ที่พบบ่อยได้แก่ เชื้อบิดชาโมเนร่า เชื้อแบคทีเรียอีโคราย เชื้ออหิวาตกโรค เป็นต้น
ส่วนเรื่องอาหารเป็นพิษ(food poisoning) เกิด จากการรับประทานอาหารที่มีพิษ (enterotoxin) ของเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ส่วนใหญ่จะมีระยะฝักตัว(incubation period )สั้น คือ ระ ยะเวลาที่รับพิษ หรือ รับเชื้อโรคเข้า ไป จนถึงแสดงอาการท้องร่วง ประมาณ1-4ชั่วโมง และ มักจะต้องมีผู้ป่วยหลายคน ที่ได้รับประทานอาหาร ชนิดเดียวกันแล้ว เกิดอาการ ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน อาจจะเริ่มด้วย ปวดท้อง อาเจียน และ หรือท้องเดิน ส่วนมากมักจะหายได้เองภายใน 48 ชั่วโมง การรักษาส่วนใหญ่รักษาตามสาเหตุ และ ตามอาการ เชื้อบักเตรีที่เป็น สาเหตุของอาหารเป็นพิษ ได้แก่ Clostidium botulinum, Staphylococcus, Clostidium perfringens, Bacillus cereus เป็นต้น นอกจากบักเตรี แล้ว ยังมีสารพิษอื่น ในอาหารอื่น ที่เป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษ ซึ่งจะกล่าวต่อไป ในท้องเดินเฉียบพลัน ที่ไม่ติดเชื้อ
เป็นไงบ้างครับ เอาแค่นี้ก่อนครับ 5555555ฉนั้นขอแนะนำให้ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆหรือค่อยสังเกตุก่อนกินอาหารทุกครั้งว่าเสียแล้วหรือยัง ถ้าเกิดมันเสียแล้ว ขอให้บอกเลยครับ จะได้เปลี่ยนรายการอาหารโดยทันทีครับ เปลี่ยนไปทางMAMAก็ได้ครับ รวดเร็วทันใจดีครับ



satu จาก แห้งคับ  125.26.53.72  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 22:27   


คำตอบที่ 30
       โดนทากกัด แล้วอย่าดึงออกน่ะครับ เลือดจะไหลไม่หยุด มีวิธีแก้ แบบ ง่ายๆ เลยครับ ใช้บุหรีจี้(หรื่อใช้ไฟแช็กรน)ที่ตัวทาก เมื่อทากขยับตัวให้ใช้นิ้วดีดออก ครับ
สำหรับผม เมือดีดออกแล้ว จะจับทากมาดึงตรงหัวและท้าย ออก เป็นสองส่วน เพื่อเพิ่มประชากร ทาก ครับ (แค้นครับ อยากกัดดีนัก )



จาก xr-man  222.123.156.236  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 22:27   


คำตอบที่ 31
       ดีมากเลยครับพี่xr-man ใช้วิธีเดียวกับแถวบ้านผมเลยครับ



satu จาก แห้งคับ  125.26.53.72  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 22:29   


คำตอบที่ 32
       พี่xr-manครับ วิธีกำจัดสัตว์ร้ายเวลาที่มันกัดเราแล้วปล่อยเราง่ายๆเองนะครับ แล้วถ้าเสือมันกัดเราละครับต้องเอาบุหรี่จี้ดีหรือเอามือบีบจมูกมันหรือปล่าวครับ มันจะได้ปล่อยเรา เพราะตอนแม่เสือสาวๆกัดเรา เรายังต้องใช้มือบีบจมูกเค้าจะได้หายใจไม่ออกแล้วปล่อยเราครับ ใช่ป่ะพี่






satu จาก แห้งคับ  125.26.53.72  อาทิตย์, 7/6/2552 เวลา : 22:39   


คำตอบที่ 33
      



จาก สเตฟานหน่อง  61.47.11.66  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 08:28   


คำตอบที่ 34
       เจอเสือแบบนี้ ยอมตายคาเขี้ยวเลยคร๊าบ แม่เสือสาว


ส่วนเรื่องของจรเข้ บางครั้งก็ไม่น่ากลัว ครับ ใครเคยดูโชว์จรเข้ ที่นักแสดงอ้าปากจรเข้บ้าง คงเคยเห็น ตอนที่นักแสดง ใช้ไม้เคาะที่จมูกหลายครั้ง แล้ววนรอบปาก จรเข้ แล้วจับปากจรเข้อ้าปาก เนื่องจากตรงจมูกจรเข้เป็นจุดศูนย์รวมประสาท เมื่อโคนเคาะบ่อย แรง จะทำให้เกิดอาการ ช็อคไปชั่วขณะ (ดูจากสารคดีของต่างประเทศมาครับ )



jeab60 จาก เจี๊ยบ  202.12.118.61  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 09:54   


คำตอบที่ 35
       การที่เราโดนผึ้งต่อย หรือ แตน บางครั้งในป่า มีมียาหม่อง มีธีแก้ไม่ให้บวม ให้นำเหล็กในของผื้งออกก่อน แล้ว ให้นำใบไม้สีเขียว หรือ หญ้า มีขยี้ที่บริเวณนั้น แรง ประมาณ 2 ครั้ง อาการคันและบวม จะมีน้อยมาก เนื่องจากในใบไม้สีเขียวมีสาร คลอโรฟีน สามารถแก้ได้ครับ
แล้วแต่น่ะครับ ความเชื่อของแต่ละคน ผมใช้วิธีต่าง ๆ นี้มาเป็นประจำ ครับ ตอนที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในป่า



jeab60 จาก xr-man  202.12.118.61  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 10:01   


คำตอบที่ 36
       กระดูกซี่โครงหัก
กระดูกซี่โครงหัก (Rib fracture)กระดูกซี่โครงหัก มักเกิดจากแรงกระแทกถูกบริเวณซี่โครงโดยตรง เช่น ถูกตี ถูกเตะ หกล้มกระแทกถูกพื้นหรือมุมโต๊ะ ถูกรถชน เป็นต้น ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรงและค่อยๆ หายได้เองส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดขณะก้มงอ บิดตัว หรือหายใจแรงๆ และเมื่อใช้นิ้วกดถูกเบาๆ จะรู้สึกเจ็บ ถ้ากระดูกหักรุนแรง ทิ่มแทงถูกเนื้อปอด อาจทำให้เกิดภาวะมีลมในช่องหรือปอดทะลุ หรือมีเลือดออกในช่องปอด (Hemothorex) ผู้ป่วยจะมีอาการหอบตัวเขียว ไอออกเป็นฟองเลือดสดๆ หรือช็อก หน้าอกเคาะโปร่ง (ถ้ามีลมในช่องปอด) หรือเคาะทึบ (ถ้ามีเลือดในช่องปอด) ถ้ามีบาดแผลที่ผิวหนัง ทะลุถึงในปอด จะมีลมจากภายนอกผ่านบาดแผลเข้าไปในช่องปอด ทำให้เกิดภาวะมีลมในช่องปอดได้เช่นกัน ถ้ากระดูกซี่โครงหักหลายแห่ง (มักพบในกรณีที่เกิดจากรถชน รถคว่ำ) อาจทำให้เกิด ภาวะอกรวน (Flail chest) จะมีอาการหอบ ตัวเขียว ช็อก และหายใจผิดธรรมดา คือหน้าอกส่วนนั้นจะยุบลงเวลาหายใจเข้า และโป่งขึ้นเวลาหายใจออก ซึ่งตรงกันข้ามกับหน้าอกส่วนที่ปกติ ภาวะอกรวมมักเกิดในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปมากกว่าตนหนุ่มสาว
การรักษา
ถ้ามีอาการหอบ ตัวเขียว ช็อก หรือสงสัยมีลมหรือเลือดอยู่ในช่องปอด หรือสงสัยมีภาวะอกรวน ควรส่งโรงพยาบาลด่วน ถ้ามีแผลที่ผิวหนังทะลุถึงปอด ให้ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อชหนาๆ ปิดอุดรูรั่ว ถ้ามีภาวะอกรวน ให้ใช้มือกดบริเวณนั้นไว้ หรือให้ผู้ป่วยนอนตะแคงให้ส่วนนั้นทับบนหมอน หรือใช้ผ้าขาวม้าหรือผ้าเช็ดตัวพับหลายๆทบ วางบนส่วนนั้น แล้วใช้ผ้าพันไว้ไม่ให้หน้าอกยุบพองอีก
ถ้ากระดูกซี่โครงหักแบบธรรมดา ไม่มีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวด ขณะเคลื่อนไหวหรือหายใจแรงๆ ให้นอนพักพยายามเคลื่อนไหวให้น้อย ที่สุด อย่าหายใจเข้าออกแรงๆ และให้กินยาแก้ปวด ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าพันหรือเข้าเฝือกรอบหน้าอก อาการเจ็บปวดจะค่อยๆดีขึ้น อาจกินเวลา 1 - 2 สัปดาห์ และอาจกินเวลาเป็นเดือนๆ กว่าจะอาการปวดจะหายขาด ถ้าอาการปวดไม่ทุเลาขึ้นใน 1 - 2 สัปดาห์ หรือมีอาการหายใจหอบ ไอเป็นเลือดสดๆ ซึดหรือสงสัยมีภาวะแทรกซ้อน ควรส่งโรงพยาบาล
เพื่อให้เห็นภาพที่เหมือนจริง จึงต้องนำภาพที่เราสามารถจะมองเห็นซี่โครงมนุษย์ได้ชัดเจนมาให้เพื่อนๆและพี่สมาชิกได้ชม เพื่อประกอบการจินตนาการแบบเห็นผล จึงต้องนำภาพนี้มาให้ชมกัน มิได้หวังมาให้ชมเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดที่ส่อไปในทางมิดีมิร้าย ขอขอบคุณนางแบบกิติมหาศักดิ์ทุกท่าน ที่ได้นำภาพถ่ายมาให้พวกเราได้ชมกันเพื่อเป็นวิทยาทานครับ








satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 11:19   


คำตอบที่ 37
       เวลาเราออกทริปกันบ่อยๆ บางจังหวะน้ำที่เราเตรียมไปเพื่อดื่มอาจจะไม่เพียงพอ เพราะอาจจะเตรียมน้ำไปน้อย หรือบางท่านใช้วิธีพกหรือผูกขวดน้ำไปอาจจะเกิดการกระแทกแล้วขวดน้ำหล่นหาย หลายท่านไม่สนหรอกว่า ไม่ได้กินน้ำก็ไม่เป็นไร แต่อย่าได้ชะล่าใจเกินไปเพราะอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาได้ครับ ระวังไว้นิดจะได้ไม่ลำบากในภายหลังครับ โรคอันดับต่อไปคือ ร่างกายขาดน้ำโดยฉับพลันครับร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบ 3 ส่วน และสารประกอบอื่นๆ อีก 1 ส่วนโดยแบ่งออกเป็นน้ำที่อยู่ในเซลล์ทั้งหมดของร่างกาย 50% น้ำที่เคลือบอยู่รอบๆเซลล์ 20% และน้ำเลือดหรือพลาสมา 5 % ถ้าคุณอยากให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำงาน ได้อย่างเต็มที่ ต้องไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำโดยเด็ดขาด
สังเกตได้อย่างไรว่าร่างกายขาดน้ำ
ในแต่ละวันร่างกายต้องสูญเสียน้ำไปประมาณ 3.4 ลิตร ดังนั้นโอกาสที่ร่างกายจะขาดน้ำเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งสามารถสังเกตได้ว่าร่างกายขาดน้ำ โดยดูจากอาการต่าง ๆ เหล่านี้
1. ผิวแห้งกร้าน ผิวหนังของคนเราประกอบด้วยfiber , collagen และglycos-aminoglycans ซึ่งสามารถอุ้มน้ำไว้ได้ปริมาณมาก ส่วนประกอบของ glycos-aminoglycans ยังทำหน้ารักษาความยืดหยุ่นของผิว ถ้าร่างกายขาดน้ำร่างกายจะดึงน้ำจากเนื้อเยื่อมาใช้เพื่อให้อวัยวะสำคัญๆ ยังคงทำงานได้ เพราะผิวหนังห่อหุ้มทุกส่วนของร่างกาย ผิวจึงเป็นส่วนสำคัญที่ถูกดึงน้ำออกมาใช้
2. ปากแห้ง น้ำลายเกิดจากน้ำ และ electrolytes ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ปากชุ่มยังทำหน้าที่ย่อยอาหารด้วย ร่างกายต้องผลิตน้ำลาย 0.5-1.5 ลิตรต่อวัน แต่ถ้าเมื่อไรคุณอยู่ในภาวะขาดน้ำ ร่างกายจะผลิตน้ำลายลดลงเพื่อรักษาการไหลเวียนของเลือด
3. ตะคริว เกิดจากภาวะร่างกายขาดน้ำเช่นกัน โดยเฉพาะนักกีฬามีโอกาสเกิดได้สูง เพราะการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดตะคริวได้บ่อยในฤดูร้อน เพราะการสูญเสียเกลือไปทางเหงื่อ และภาวะน้ำร่างกายต่ำ
4. ความดันเลือดต่ำ เมื่อระดับน้ำในระบบไหลเวียนโลหิตลดลงจะส่งผลให้แรงดัน ในการไหลเวียนโลหิตลดลงด้วย จนทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ
5. ท้องผูก เพราะเมื่อปริมาณน้ำในระบบโลหิตลดลง ร่างกายจะใช้ระบบป้องกัน ตนเองในภาวะฉุกเฉิน โดยการดึงน้ำจากทุกระบบรวมทั้งบริเวณปลายลำไส้ใหญ่ด้วย ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการท้องผูก
6. ปัสสาวะสีเข้ม เนื่องจากความหนาแน่นของน้ำตาลและเกลือในกระแสเลือดเพิ่ม มากขึ้น ทำให้ต่อมพิทูอิทารีตอบสนองโดยการผลิตฮอร์โมนยับยั้งการหลั่งปัสสาวะ เพราะการดึงน้ำจากปัสสาวะนับเป็นทางที่ง่ายที่สุด
7. กระหายน้ำ อาการกระหายน้ำถูกควบคุมด้วยสมองส่วนหน้า เมื่อระดับน้ำในร่างกายต่ำลง ระดับของelectrolyte จะสูงขึ้นจนเป็นสาเหตุให้สมองส่วนหน้าส่งสัญญาณให้ ร่างกายรู้สึกกระหายน้ำ
8. เซื่องซึม ภาวะร่างกายขาดน้ำทำให้เลือดไปเลี้ยงสมอง และกล้ามเนื้อต่างๆลดลง ทำให้รู้สึกเหนื่อยและเซื่องซึมรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์ เสียโดยไม่ทราบสาเหตุ
9. ปวดศีรษะ บางคนจะมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย โดยจะปวดศีรษะทั้ง 2 ข้าง
10. เกิดรอยคล้ำรอบดวงตา เนื่องจากลูกตาบรรจุด้วยของ เหลวปริมาณมากถ้าร่างกาย เกิดภาวะขาดน้ำก็จะดึงน้ำออกไปจากเนื้อเยื่อบริเวณ ใต้ดวงตา จึงทำให้เกิดรอยคล้ำเพราะ บริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึกดังนั้นคนเราโดยเฉลี่ยต้องการน้ำวันละประมาณ 40 - 50cc/น้ำหนักตัว 1 Kg ถ้าคุณดื่มน้ำมากๆผิวหนังจะเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น ส่วนไตก็จะขับของเสียได้ดีขึ้นโดยไม่ตอง ทำงานหนักมาก ถ่ายอุจจาระได้สะดวก ไม่มีอาการท้องผูก กระแสเลือดไหลเวียนดีทำให้ร่างกายได้รับอาหารและออกซิเจนสมบูรณ์ทั่วทุกอวัยวะ
ข้อแนะนำในการดื่มน้ำมากๆ นั้น หมายถึง ตลอดระยะเวลาทั้งวันควรดื่มน้ำให้ได้ปริมาณมากไม่ใช่ดื่มครั้งละมาก ๆ เพราะการที่มีน้ำเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจะเกิดอันตรายได้ ถ้าคุณฝืนดื่มน้ำเข้าไปหรือการได้รับน้ำเข้าสู่กระแสเลือดเร็ว ๆ เช่นการให้น้ำเกลือ หรือการให้น้ำตาลกลูโคลทางหลอดเลือดดำ ถ้าไตไม่อาจขับน้ำออกได้ทันหรือไตเสียสมรรถภาพในการขับปัสสาวะ น้ำจะค้างอยู่ในร่างกาย ทำให้เกิดอันตรายได้ เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะที่มีน้ำมากเกินไปเรียกว่าภาวะน้ำเกินหรือภาวะน้ำเป็นพิษซึ่งจะมีลักษณะอาการบวมตามตัว ปวดศีรษะมือสั่นกระสับกระส่าย ซึม ชักกระตุก เนื่องจากสมองบวมเพราะมีน้ำคั่งในสมอง และหมดสติในที่สุด
**ทางที่ดีควรหันมาดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายคือ 6 - 8 แก้ว / วัน**
แต่ถ้าน้ำมากไปก็มีปัญหานะครับ








satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 11:36   


คำตอบที่ 38
       อันดับต่อไป แม่เบี้ยครับ
การจำแนกพิษของงู สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
1. พิษต่อระบบประสาท [Neurotoxin]
ได้แก่พิษของงูเห่า งูจงอาง ผู้ที่ได้รับพิษจะทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อ ลืมตาไม่ได้ กลืนลำบาก
และที่สำคัญ คือทำให้หยุดหายใจเสียชีวิตได้
2. พิษต่อโลหิต [Hemotoxin ]
ได้แก่พิษของงูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ ทำให้มีเลือดออกตามที่ต่างๆ ตามผิวหนัง เหงือก
อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด เพราะพิษของมันทำให้เลือดไม่แข็งตัว
3. พิษต่อกล้ามเนื้อ [Myotoxin]ได้แก่พิษงูทะเล ทำอันตรายต่อกล้ามเนื้อ ปวดกล้ามเนื้อมาก ปัสสาวะสีดำเนื่องจากกล้ามเนื้อถูกทำลาย เกิด myoglobinuria ส่วนงูสามเหลี่ยมจะมีพิษต่อประสาท และเลือด แต่จะทำ
ให้เกิดอาการคล้ายงูเห่า
อาการ
แผลที่ถูกงูพิษกัด จะมีลักษณะแตกต่างกันไปจากงูไม่มีพิษกัด คือ จะพบรอยเขี้ยว 2 รอย เห็นเป็นจุด หรือขีดเล็กๆ และมีอาการปวด และบวมในบริเวณที่ถูกกัด บางครั้งมีเลือดออกซิบๆ ต่อมากลายเป็นสีเขียวคล้ำ มีตุ่มพอง ทิ้งไว้จะแตกออก และกลายเป็นแผลเน่า ส่วนงูไม่มีพิษกัดจะไม่พบรอยเขี้ยว อาจพบเพียงรอยถลอกหรือรอยถาก...
อาการสำหรับงูที่มีพิษต่อโลหิตกัด เริ่มแรกจะมีเลือดออกเป็นจ้ำๆ ตามผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเลือดปนเสมหะออกมา ต่อมาจะอาเจียน ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือดสดๆ มักไม่เสียชีวิต ในเวลาอันรวดเร็ว แต่จะค่อยๆ เสียเลือดจนเกิดภาวะช็อค ในรายที่ได้รับพิษรุนแรง และรักษา ไม่ทันท่วงที อาจจะเสียชีวิตได้ภายใน 1-3 วัน
อาการสำหรับงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด เริ่มแรกจะมีอาการซึม ง่วงนอน หนังตาตก ตาปรือลืมตาไม่ขึ้น ต่อมาแขนขาจะอ่อนแรง ตาหรี่ลง กระวนกระวาย ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้พูดอ้อแอ้ คอตั้งตรงไม่ได้ น้ำลายฟูมปาก หายใจลำบาก เพราะกล้ามเนื้อช่วยการหายใจเป็นอัมพาต ขั้นสุดท้ายจะหยุดหายใจ หมดสติและหัวใจหยุดเต้น อาจเสียชีวิตได้ภายใน 2-3 ชม. หลังจากถูกกัด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที
อาการสำหรับงูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อกัด ในระยะเริ่มแรกอาจจะไม่มีอาการปวดบวมแต่อย่างไรแต่ 1-2 ชม. ต่อมาจะรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามแขนขา คอ และลำตัว ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งปวดมาก 8 ชม. ต่อมาจะมีอาการปวดมากขึ้น และแขนขาเป็นอัมพาต อ้าปากไม่ได้ หนังตาตก และปัสสาวะออกเป็นสีดำ มักจะเสียชีวิตภายใน 14-16 ชม.หลังถูกกัดการปฐมพยาบาล
1. หลังจากถูกงูกัดให้หลีกให้พ้นตัวงูโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกกัดซ้ำโดยระยะที่ปลอดภัยประมาณระยะทางยาวเท่ากับตัวงู อย่าตกใจกลัว ดิ้นรนโวยวาย เพราะจะทำให้อาการจากพิษของงู รุนแรง และรวดเร็วขึ้นไปอีกถอดเครื่องตกแต่งบริเวณที่ถูกกัด เช่น แหวน ออกให้หมด
2. หากมีเลือดออกให้ปล่อยให้เลือดออก เพื่อให้พิษออกให้มากที่สุด ห้ามกรีดแผลใช้ไฟจี้ ใส่ยา พอกยา หรือพอกน้ำแข็งที่แผลเป็นอันขาด เพราะจะทำให้แผลหายช้า
3. ห้ามให้ผู้ป่วยดื่มสุรา หรือยาที่มีสุราเจือปนอยู่
4. ห้ามให้ยาระงับประสาท, ยาที่ออกฤทธิ์ต่อประสาท ยาแก้ปวดจำพวก morphineและยาแก้ปวดพวก aspirin เพราะจะไปเสริมฤทธิ์กับพิษงู hemotoxin
5. เคลื่อนไหวผู้ป่วยให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ควรจะให้นอนพัก และรีบหามผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ไม่ควรนั่งเพราะจะทำให้ผู้ป่วยปวดศีรษะ หากผู้ป่วยอยู่นิ่งพิษจะดูดซึมช้า เนื่องจากพิษจะถูกดูดซึมผ่านทางระบบน้ำเหลือง จัดตำแหน่งอวัยวะส่วนที่ถูกงูกัดอยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ
6. ให้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลก่อนที่จะพบตัวงู หากไม่พบ ต้องจำสี ลักษณะพิเศษของงู ถ้าเป็นไปได้ ญาติควรพยายามหางูตัวนั้นให้พบ โดยตีที่คอแล้วนำซากงูไปโรงพยาบาลด้วย
7. การรัดด้วย touniquet จะทำการรัดด้วยเชือก ไม่จำเป็นต้องเป็นเชือกกล้วยเข็มขัด สายยาง หรือผ้าผูกคอ วิธีการมีดังนี้
- รัดให้หลวมๆ โดยสามารถสอดนิ้วเข้าไปได้หนึ่งนิ้ว หากรัดแน่นเกินไป จะมีการดูดซึมพิษในหลอดเลือดดำใต้ผิวหนัง และเมื่อปล่อยสายรัดพิษจะกลับเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว
- ตำแหน่งที่เหมาะสมคืออยู่เหนือแผล 2-4 นิ้ว
- ทุกๆ 10 นาที ต้องคลายเชือก 90 วินาที
- ถ้าแผลบวมมาก ก็เลื่อนสายรัดขึ้นไปได้ หรือปลดออก
- ถ้าถูกงูกัดมาแล้วเกิน 30 นาที การใช้สายรัดได้ประโยชน์น้อยมากการรักษา
1. ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด น้ำเกลือ และน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
2. ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อบาดทะยัก เนื้อจากในน้ำพิษอาจจะมีเชื้อบาดทะยัก
3. ให้น้ำเกลือ และเติมเลือดหากมีการเสียเลือด
4. การให้เซรุ่มแก้พิษงู ต้องให้ถูกกับชนิดของงู
แต่งูตัวที่นอนอยู่นั่น ผมยอมให้กัดครับเหมือนพี่xr-manเลยครับ






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 14:54   


คำตอบที่ 39
       ที่นี้มาดูชนิดของงูกันครับ เริ่มจากงูเห่าครับ เพราะจะมีชุกชุมมากที่สุดครับ






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 14:59   


คำตอบที่ 40
       งูจงอางเป็นงูที่เรามีโอกาศเจอมากเมื่ออยู่ในป่า






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:07   


คำตอบที่ 41
       แก๊งค์คลาสิคบุกครับ เอารูปงูจงอางจงขึ้น ป๋าริช่วยเป่าปี่หน่อยเร้ว






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:09   


คำตอบที่ 42
       งูจงอางเป็นงูขนาดใหญ่ พิษเยอะเราจะพบได้ในเวลากลางวันและพลบค่ำ งูจงอางจะหวงถิ่นที่อยู่และจะน่ากลัวมากในช่วงออกไข่






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:12   


คำตอบที่ 43
       งูเขียวหางไหม้ครับ






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:15   


คำตอบที่ 44
       งูสามเหลี่ยม






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:16   


คำตอบที่ 45
       งูแมวเซา






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:17   


คำตอบที่ 46
       งูกะบะ






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:18   


คำตอบที่ 47
       ข้อมูลมีประโยชน์มากๆ เลยครับพี่แห้ง
พอดีผมได้รูปงูอีกชนิดมา ครับพี่ เมียงูครับ 555555555555555555555 ล้อเล่นนะครับ






จาก mana_sec119 ฮิ  125.27.9.208  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:19   


คำตอบที่ 48
       น่ากลัวจริงๆ เลยเมียงูเนี่ย






จาก mana_sec119 ฮิ  125.27.12.107  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:21   


คำตอบที่ 49
       ต้องงูเหลือมแบบนี้ครับพี่มานะ แหมอยากได้ภาพงูสพานโค้งจัง






satu จาก แห้งคับ  125.26.55.156  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 15:25   


คำตอบที่ 50
       งานนี้ก็ งู เจอ กะ งู ซิครับ ไม่รู้ว่างูในป่า กะ เฒ่า.. ทังหลาย จะหน้ากลัวกว่ากันจ๊ะ



จาก xr-man  114.128.39.135  จันทร์, 8/6/2552 เวลา : 20:40   


คำตอบที่ 51
      



จาก กบ  125.26.148.20  อาทิตย์, 19/7/2552 เวลา : 15:50   


      

Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วัน<%=WeekdayName(Weekday(Date))%>,<%=formatdatetime(date(),1)%> (Online <%=Application("OnlineUsers")%> คน)
                                       

เพื่อลดภาระของ ฐานข้อมูล ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เพราะเวบเปิดมากว่า 10 ปี
จึงทำให้เวบช้าลงมาก ทีมงานจึงขออนุญาต แปลงข้อมูลจาก ฐานข้อมูลหลักเป็น SHTML File
เพื่อลดภาระการทำงานของ ฐานข้อมูลหลักครับ การแปลงฐานข้อมูลนี้ จะทำให้กระทู้นี้
ไม่สามารถตอบคำถามได้อีกต่อไปครับ แต่จะสามารถค้นหาชื่อกระทู้ และ Link ตรงมาที่หน้านี้ได้เหมือนเดิมครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง ทีมงาน Weekendhobby.com


Convert on : 27/8/2554 6:33:36

Error processing SSI file