จาก BJ IP:210.1.18.252
ศุกร์ที่ , 29/6/2550
เวลา : 14:33
อ่านแล้ว = ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
ศึกษาสิทธิไว้กันแห้ว เงินชราภาพ บำเหน็จ-บำนาญลูกจ้าง
แม้เมืองไทยจะมีการใช้ระบบ ประกันสังคม ในส่วนของคนที่ทำงานในบริษัทห้างร้านต่าง ๆ มานานแล้ว แต่ก็ยังมีผู้ประกันตนที่ถูกหักเงินจากค่าจ้างสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมไม่น้อยเลยที่ยังไม่ค่อยรู้ หรือพอรู้
แต่ไม่ค่อยเข้าใจ เกี่ยวกับ สิทธิ ที่ตนเองพึงจะได้รับ จนรู้สึกว่าถูกหักเงินโดยไม่ได้ประโยชน์ จะให้ได้ประโยชน์ก็ต้องศึกษากติกาเกี่ยวกับสิทธิต่าง ๆ ให้ดีรวมถึงสิทธิในส่วนที่เรียกว่า เงินชราภาพ ด้วย
ทั้งนี้ พนักงานลูกจ้างบางคนอาจยังไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่กระจ่าง หรือ เคยรู้แต่ลืมไปแล้ว ว่าเงิน 5% ของเงินเดือนทุกเดือนที่ถูกหักสมทบประกันสังคมนั้น จำนวน 3% ใน 5 % ที่ถูกหักไปคือ เงินชราภาพ หรือเงินออมตามกฎหมายประกันสังคม เป็นเงินที่รัฐบังคับให้ลูกจ้างแบ่งรายได้จากการทำงานส่วนหนึ่งเพื่อเก็บออมไว้ใช้จ่ายในยามชรา โดยสิทธิได้รับเงินทดแทนกรณีชราภาพนั้น มี 2 แบบ
คือ 1. บำเหน็จ คือเงินที่เป็นก้อน กับ
2. บำนาญ ที่จะได้รับทุกเดือนไปตลอดชีวิต ซึ่งจะขอรับประโยชน์ทดแทนทั้ง 2 แบบนี้ได้เมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนแล้ว
ตามกฏเกณฑ์เงื่อนไขของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะมีการจัดเก็บเงินสมทบกรณีชราภาพทั้งจากนายจ้างและลูกจ้างฝ่ายละ 3% ของอัตราค่าจ้างลูกจ้าง โดยในกรณีที่ส่งเงินสมทบน้อยกว่า 180 เดือน หรือน้อยกว่า 15 ปี จะได้รับเงิน บำเหน็จชราภาพ ซึ่งมีกฎเกณฑ์แยกย่อยอีกกล่าวคือ
.
หากส่งไม่ครบ 12 เดือน มีสิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพเฉพาะส่วนของตนเองกลับคืนทั้งหมดเท่านั้น, หากส่งเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไปแต่ไม่ถึง 180 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเฉพาะส่วนของลูกจ้างและนายจ้างที่จ่ายสมทบเข้ากองทุน พร้อมดอกผลตามอัตราที่ สปส.กำหนด
กรณีส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน จึงจะได้รับเงิน บำนาญชราภาพ ที่เป็นแบบรับทุกเดือนไปจนตลอดชีวิต โดยขณะนี้ยังไม่มีผู้ใดได้รับเงินบำนาญดังกล่าวนี้ เพราะทาง สปส. เริ่มเก็บเงินสมทบกรณีชราภาพนี้เมื่อ 31 ธ.ค. 2541 ซึ่งในปี 2557 จึงจะเป็นปีแรกที่จะมีการเริ่มจ่ายเงินบำนาญชราภาพ แต่ระหว่างนับถอยหลังนี้
ก็ควรศึกษากฎเกณฑ์กันไว้
เกณฑ์เงินบำนาญชราภาพก็คือ ผู้ประกันตนจะได้รับเงิน 15% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ฐานค่าจ้าง 15,000 บาท/เดือน) และถ้าส่งเงินสมทบมากกว่า 15 ปีจะได้รับเพิ่มอีกร้อยละ 1 ทุก ๆ ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปี 2557 อัตราที่ว่านี้อาจมีการปรับเพิ่มอีก เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวจะดำเนินการปรับเพิ่มเงินบำนาญ จากอัตรา 15% เป็น 20% ของค่าจ้าง และเพิ่มอัตราผลประโยชน์หลังปีที่ 15 จากเดิม 1% เป็น 1.5% เท่ากับจำนวนปีที่ผ่านมา นัยว่าเป็นการปรับให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม แต่เบื้องต้นหากยึดอัตราเดิมของบำนาญชราภาพ มีตัวอย่างการคำนวนเพื่อความเข้าใจดังนี้คือ
.
สมมุติ นาย ก. เป็นผู้ประกันตนที่ได้รับค่าเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย เท่ากับ 13,000 บาท (การหาค่าเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย คือการนำค่าจ้าง 60 เดือนสุดท้ายมาบวกกัน และหารด้วย 60) บำนาญชราภาพ 15% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ซึ่งคำนวณโดยเอา 15x13,000 แล้วหารด้วย 100 ก็จะเท่ากับ 1,950
นาย ก. ก็จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเดือนละ 1,950 บาท ไปจนตลอดชีวิต
และถ้าเป็นกรณีที่นาย ก. จ่ายเงินสมทบมาเกิน 180 เดือน ก็จะได้เพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพขึ้นอีก 1% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน หรือ 1 ปี
เช่น จ่ายเงินสมทบมา 192 เดือน หรือ 16 ปี ก็จะได้รับเงินบำนาญชราภาพในอัตรา 16% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย, จ่ายเงินสมทบมา 204 เดือน หรือ 17 ปี ก็จะได้ 17% , จ่ายเงินสมทบมา 216 เดือนหรือ 18 ปี ก็ 18% เพิ่มเป็นรอบระยะเวลา 12 เดือนต่อ 1% อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วเมื่อเอาเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นไปคำนวณตามวิธีที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นก็จะได้อัตราบำนาญชราภาพที่จะได้รับในแต่ละเดือน
สำหรับขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทน บำเหน็จ-บำนาญชราภาพ นั้น ก็เริ่มจาก 1. ผู้ประกันตน/ทายาทผู้มีสิทธิ กรอกแบบ สปส. 2-01 และยื่นที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ หรือยื่นขอรับทางไปรษณีย์โดยมีหลักฐานครบถ้วน 2. เจ้าหน้าที่ตรวจหลักฐานและพิจารณา 3. มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณา 4. พิจารณาสั่งจ่ายซึ่งอาจจะเป็นเงินสดหรือเช็ค (ผู้ประกันตน/ผู้มีสิทธิมารับด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน) หรือส่งธนาณัติให้ หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารตามบัญชีของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน
ทั้งนี้ ต้องยื่นเรื่องภายใน 1 ปีนับแต่วันสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างการเป็นผู้ประกันตน ซึ่งหากผู้ประกันตนเสียชีวิต ทางทายาทคือ บุตร สามี หรือภรรยา บิดาหรือมารดา ก็สามารถยื่นเรื่องขอรับสิทธิส่วนนี้ได้ แต่ตรงนี้ต้องระวังเพราะทายาทที่เป็นบุตร สามีหรือภรรยา บิดาหรือมารดา ต้องเป็น โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเครื่องยืนยันสำคัญก็คือ ทะเบียนสมรส หรือการ จดรับรองบุตรไว้ ถ้าไม่มีในส่วนนี้ก็จะ เสียสิทธิ ที่ควรได้ต้องถูกหักเงิน ประกันสังคม ทุกเดือน..ก็ต้องใส่ใจ ศึกษาสิทธิที่ควรได้และกฎเกณฑ์ที่เงื่อนไข..ให้พร้อม กับ เงินชราภาพ ก็นับถอยหลังรอรับได้เลย
คัดลอกจาก นสพ เดลินิวส์
|