คำตอบที่ 5
คือเรื่องขอมีปืนที่มีอานุภาพค่อนข้างรุนแรงอย่าง .357, .45 , .44 นี่มันเป็นเรื่องของดุลพินิจของผู้ให้ใบอนุญาตจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะให้คนที่มาขอมีไว้ใช้ได้หรือเปล่า เพราะถ้ามีเรื่องมีราวเกิดขึ้นมาภายหลังคนที่เซ็นอนุญาตก็คงต้องรับผิดชอบด้วย
ลองนึกกลับกันว่าถ้าเรามีหน้าที่ต้องออกใบอนุญาตให้มีปืนบ้างก็แล้วกัน คุณ sarwo ก็คงต้องดูคุณสมบัติของผู้ที่จะมาขอมีปืน .357 หรือ .44 แม็กนั่มละเอียดหน่อยว่า คนๆนั้นมีความชำนาญในการใช้ปืนมากพอที่จะควบคุมปืนประเภทนี้ได้มากน้อยแค่ไหน มีวัยวุฒิและวุฒิภาวะเพียงพอที่จะอดทนอดกลั้นไม่ทำอะไรบ้าๆบอในการใช้อาวุธปืนหรือเปล่า เช่น เอาไปยิงคนในศูนย์การค้าหรือโรงหนังแบบที่มีข่าวในเมืองนอกบ่อยๆ มีฐานะและอาชีพที่มั่นคงเพียงพอที่น่าเชื่อว่าจะไม่เอาอาวุธปืนไปใช้ทำมาหากินในทางที่ผิดๆ เช่น เอาไปคุ้มกันรถขนยาบ้า, เอาไปจี้ปล้น ,หรือแม้แต่เอาไปยิงคู่อริต่างสถาบันบนรถเมล์เป็นต้น คือปืนที่มีอำนาจทะลุทะลวงหรืออำนาจสังหารรุนแรงมันย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตผู้คนได้มากกว่าปืนทั่วๆไป เช่น ยิงนัดเดียวทะลุไปโดนอีก 2-3 คน หรือสามารถยิงทะลุเสื้อเกราะอ่อนของเจ้าหน้าที่ที่อาจต้องเข้ามาจับกุมอะไรแบบนี้แหละครับ
ทีนี้ถ้าตามที่ยกตัวอย่างมีพนักงานบริษัทฯธรรมดาๆ( มีบริษัทฯพิเศษที่ไม่ธรรมดาด้วยเหรอ?) มาขอมีปืนแรงๆและน่าจะแพงๆด้วยแบบนี้ คุณsarwo ในฐานะผู้มีหน้าที่อนุญาตก็ลองเอาไปคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเองก็แล้วกันว่าคุณสมบัติของตัวคุณเองมีเพียงพอที่เจ้าหน้าที่เค้าจะเชื่อว่าคุณไม่เอาปืนไปทำอะไร บ้าๆบอๆหรือผิดกฎหมายจนทำให้ผู้อนุญาตมีโอกาสต้องร่วมรับผิดชอบในความผิดที่ก่อขึ้นหรือเปล่า เพราะถ้ามีเหตุเกิดขึ้น ใบ ป.4 ของปืนกระบอกที่ใช้ก่อเหตุมันก็ระบุไว้ว่าใครเป็นคนเซ็นชื่ออนุญาตให้ผู้ก่อเหตุมีปืนไปใช้นั่นแหละครับ อย่างน้อยก็คงโดนสังคมประณามว่าใช้ดุลพินิจได้อย่างไร้สติปัญญา ออกใบอนุญาตให้ไปได้อย่างไร อะไรทำนองนี้แหละ.....