คำตอบที่ 7
กว้านซื้อLPGหน้าโรงกลั่น6หมื่นตัน
สนพ. เตรียมกว้านซื้อแอลพีจีหน้าโรงกลั่นเพิ่มขึ้นอีก 5-6 หมื่นตันต่อเดือน ยั่วใจด้วยการรับซื้อราคาตลาดโลก หวังลดเงินชดเชยการนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่แผนปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีเป็น 2 ราคา คาดแล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) หน้าโรงกลั่น ซึ่งที่ผ่านมา สนพ. ได้เรียกผู้ประกอบการกลุ่มโรงกลั่นเข้าหารือเรียบร้อยแล้ว โดยจูงใจกลุ่มโรงกลั่นด้วยการรับซื้อแอลพีจีเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในราคาตลาดโลกทั้งหมด เพื่อลดการนำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มโรงกลั่นมีกำลังการผลิตแอลพีจีรวมประมาณ 1.4 แสนตันต่อเดือน แต่ขายเข้าระบบเป็นเชื้อเพลิงเพียง 3.4 หมื่นตันต่อเดือนเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะนำไปขายให้กลุ่มปิโตรเคมี และใช้เองด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้นกระทรวงพลังงานคาดว่าหากรับซื้อแอลพีจีหน้าโรงกลั่นในราคาตลาดโลก จะทำให้มีแอลพีจีเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีก 5-6 หมื่นตันต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างรับซื้อแอลพีจีหน้าโรงกลั่นในราคาตลาดโลกนั้น จากเดิมตรึงไว้ที่ 330 เหรียญสหรัฐต่อตัน จะทำให้กลุ่มโรงกลั่นสนใจขายแอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง เพื่อใช้สำหรับภาคครัวเรือน, อุตสาหกรรมและภาคขนส่งมากขึ้น ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประหยัดเงินชดเชยได้มาก เพราะนอกจากจะลดปริมาณการนำเข้าแอลพีจีแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งลงด้วย
ขณะที่ความคืบหน้าการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีเป็น 2 ราคานั้น ล่าสุด นายเมตตา บันเทิงสุข รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาปรับโครงสร้างพลังงาน อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะแยกภาคขนส่งออกไปหรือไม่
สำหรับความคืบหน้าการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จะเป็นผู้นำเข้า คาดว่าคลังเก็บแอลเอ็นจีจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/54 ส่วนการนำเข้าแอลเอ็นจีในช่วง 1-3 ปี จะซื้อจากตลาดจร เนื่องจากขณะนี้ราคาแอลเอ็นจีในตลาดจรค่อนข้างต่ำ สาเหตุมาจากความต้องการแอลเอ็นจีในสหรัฐฯลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งสหรัฐฯ ขุดพบก๊าซฯ ทำให้การนำเข้าแอลเอ็นจีในสหรัฐฯลดลง ส่งผลให้ราคาแอลเอ็นจีลดลงในระยะนี้
ส่วนราคาแอลเอ็นจี มองว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ ไม่น่าจะปรับตัวสูงมากนัก ขณะที่ปริมาณการนำเข้าแอลเอ็นจีของไทยในปี 2554 เพียง 5 แสนตัน หรือคิดเป็นประมาณ 70 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เมื่อนำมาเกลี่ยกับราคาก๊าซในประเทศคงไม่ทำให้กระทบต้นทุนค่าไฟฟ้ามากนัก อย่างไรก็ตามมองว่าราคาแอลเอ็นจีจะเริ่มกระทบค่าไฟฟ้าต่อเมื่อการนำเข้าอยู่ที่ระดับ 5 ล้านตัน หรือในอีก 7 ปีข้างหน้า แต่ก็จะมีก๊าซจากแหล่ง M9 ในพม่า เข้าระบบจำนวน 240 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทำให้การนำเข้าแอลเอ็นจีลดลง
นายวีระพล กล่าวอีกว่า ภาพรวมการใช้น้ำมันในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ พบว่าการใช้น้ำมันดีเซลลดลงจากระดับ 50.6 ล้านลิตรต่อวัน มาอยู่ที่ 47.4 ล้านลิตรต่อวัน ด้านการใช้น้ำมันเบนซิน ลดลง 2.7% หรืออยู่ที่ 20.2 ล้านลิตรต่อวัน เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินปีนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น และทรงตัวอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้ประชาชนมีการใช้ลดลง
ขณะที่การใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง ลดลง 0.5% ในทางกลับกันพบว่าการใช้เอ็นจีวี เพิ่มขึ้น 26.4% เป็นผลต่อเนื่องจากนโยบายส่งเสริมการใช้เอ็นจีวีของภาครัฐ ประกอบกับปัจจัยเสริมจากราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ต้นปี 2552 ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนหันมาติดตั้งระบบเอ็นจีวีในรถยนต์มากขึ้น โดยในเดือนกันยายน 2553 มีจำนวนรถที่ติดตั้งเอ็นจีวีรวม 205,517 คัน เพิ่มขึ้น 32.9% แบ่งเป็นรถยนต์เบนซิน 172,763 คัน และรถยนต์ดีเซล 32,754 คัน ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ สามารถทดแทนการใช้น้ำมันได้ถึง 1,385.5 ล้านลิตร หรือ 6.7%
นายเมตตา บันเทิงสุข รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาปรับโครงสร้างพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังเร่งสรุปข้อมูลเกี่ยวกับราคาพลังงานเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน โดยศึกษาทั้งระบบของพลังงานทั้งน้ำมัน ราคาก๊าซ และไฟฟ้า เพื่อนำเสนอต่อนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่จะนำเสนอไปยังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศอีกครั้ง คาดว่าจะแล้วเสร็จสัปดาห์หน้า และน่าจะมีข่าวดีให้กับประชาชนทั้งเรื่องราคาไฟฟ้า และราคาแอลพีจี
ทั้งนี้ เรื่องแอลพีจีได้รับโจทย์ให้แยกราคาเป็น 2 ตลาด คือ ตลาดภาคครัวเรือนกับภาคขนส่ง และตลาดภาคอุตสาหกรรมกับปิโตรเคมี คงจะต้องเสนอหลายทางเลือกให้รัฐบาลตัดสินใจ ส่วนเรื่องไฟฟ้านั้นขณะนี้เป็นช่วงที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลง แต่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังมีภาระค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) ที่ค้างอยู่ 2,000-3,000ล้านบาท จากก่อนหน้านี้สูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ดังนั้นคงต้องพิจารณาว่าจะลดค่าไฟให้ประชาชนหรือไม่
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการดำเนินการแยกราคาแอลพีจีระหว่างภาคครัวเรือนกับภาคอุตสาหกรรม ว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา เบื้องต้นจะเสนอผลการศึกษาให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาได้ในเดือนหน้า เพื่อช่วยลดปริมาณการนำเข้าแอลพีจี โดยต้องศึกษาเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จก่อนเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เนื่องจากจะถึงเวลาครบกำหนดการตรึงราคาแอลพีจี นอกจากนี้กระทรวงพลังงานยังมีแนวคิดจะนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี มาผลิตไฟฟ้าแทนแอลพีจี คาดว่าจะสามารถชดเชยแอลพีจีได้ประมาณ 5 หมื่นตันต่อเดือน
http://www.kaohoon.com/daily/index.php?option=com_content&view=article&id=6545&Itemid=121