จาก Dear_DieHard 115.67.1.193
พฤหัสบดีที่ , 29/11/2555
เวลา : 19:29
อ่านแล้ว = 2583 ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
1 มกราคม พ.ศ.2556 นอกจากจะเป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว ยังเป็นวันแรกที่คนใช้รถจะไม่ได้เห็นการจำหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 91 หรือเรียกสั้นๆ ว่า เบนซิน 91 ตามสถานีบริการน้ำมันทั่วไปอีกแล้ว ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน
ก่อนจะถึงวันดังกล่าว เดลินิวส์ออนไลน์ได้พูดคุยกับ นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ถึงที่มาของการยกเลิกจำหน่ายเบนซิน 91 ว่า มีเหตุผลสมควรอยู่ 3 ข้อหลักๆ เริ่มจากเป็น 'ยุทธศาสตร์รัฐบาลในเรื่องของพลังงาน' เน้นส่งเสริมใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานหมุนเวียนที่สามารถพัฒนาหรือผลิตใช้ได้เองภายในประเทศ และเพื่อลดการใช้น้ำมันจากต่างประเทศซึ่งต้องนำเข้าเป็นมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
เหตุผลถัดไป เพราะ 'น้ำมันแพง' โดยสังเกตเห็นได้ชัดจากช่วง 7 ปีที่ผ่านมา น้ำมันมีราคาราว 100 เหรียญต่อบาร์เรล ส่งผลถึงราคาน้ำมันขายปลีกแพงขึ้นตามไปด้วย เช่น น้ำมันกลุ่มเบนซิน มีราคาสูงราว 37 บาทต่อลิตร ฉะนั้นการที่น้ำมันราคาแพง จึงเป็นเหตุผลให้น้ำมันทางเลือก เช่น แก๊สโซฮออล์ ซึ่งผลิตจากเอทานอลและเป็นพลังงานสะอาด สามารถเข้ามาแข่งขันได้
ส่วนเหตุผลสุดท้าย 'ผู้ใช้ให้การยอมรับน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์มากขึ้น' โดยตลอด 6 ปีที่มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ กระทรวงพลังงานสำรวจพบว่า ยอดขายน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์มีรวมกันเฉลี่ย 20 ล้านลิตรต่อวัน ในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดขายกลุ่มแก๊สโซฮอล์ถึงร้อยละ 60 จำแนกได้เป็นยอดใช้แก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 รวมกันราว 11 ล้านลิตรต่อวัน ส่วน E20 ประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ E85 อยู่ที่ 1 แสนลิตรต่อวัน จึงถือว่า การใช้น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์มีอยู่เกินครึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นอกจากประโยชน์ด้านพลังงานแล้ว การยกเลิกจำหน่ายเบนซิน 91 ยังเป็นผลดีต่อภาคการเกษตรด้วย เนื่องจาก 'เอทานอล' แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ซึ่งเป็นส่วนผสมเพื่อผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์นั้น ทำมาจากวัตถุดิบภาคเกษตร เช่น กากน้ำตาล อ้อย และมันสำปะหลัง
ดังนั้น หากมีการส่งเสริมให้หันมาใช้แก๊สโซฮอล์มากขึ้นกว่าเดิม ก็เท่ากับเพิ่มความต้องการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ สะท้อนไปยังโรงงานผลิตเอทานอลต้องผลิตเพิ่มขึ้น ก่อนผลิตก็ต้องสั่งซื้อวัตถุดิบจากภาคเกษตรมากขึ้น จึงมีส่วนช่วยให้ราคาอ้อย มันสำปะหลัง มีเสถียรภาพตามไปด้วย
ในแง่กำลังการผลิตเอทานอลของบ้านเรา ผลิตได้ 3.4-3.5 ล้านลิตรต่อวัน มีความต้องการใช้ในประเทศ 1.3 ล้านลิตรต่อวัน จึงถือว่าเพียงพอต่อความต้องการและยังเหลือเพื่อการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศอีก
หากการยกเลิกใช้เบนซิน 91 ในอนาคตอันใกล้นี้ ประสบความสำเร็จเต็ม 100% โดยมีผลลัพธ์ คือ ผู้ที่เติมน้ำมันเบนซิน 91 อยู่เดิม เฉลี่ย 8 ล้านลิตรต่อวัน ได้หันมาเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ก็เท่ากับเพิ่มการใช้เอทานอลไปอีก 8 แสนลิตรต่อวัน ส่งผลให้จากเดิมที่มีความต้องการใช้เอทานอลปริมาณ 1.3 ล้านลิตรต่อวัน ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านลิตรโดยประมาณ
ทว่า กระทรวงพลังงานคาดการว่า หลังยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ไปแล้ว ยังคงจะมีผู้ใช้รถเพียงบางส่วนไม่เปลี่ยนใจใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ด้วยเหตุผลบางประการ เช่น ไม่มั่นใจว่ารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์จะสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้หรือไม่ กรณีเช่นนี้ ทางกระทรวงฯ ก็มิได้มีนโยบายยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 แต่น้ำมันชนิดนี้จะมีราคาแพง เพราะถือว่า ไม่ใช่น้ำมันที่มาจากพลังงานทดแทน ฉะนั้นการเก็บภาษีสรรพสามิต การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจึงเก็บตามอัตราสูงสุด ทำให้น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ราคา 40-45 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตาม รองปลัดกระทรวงพลังงาน ยืนยันมาว่า ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผลิตหลังปี พ.ศ.2540 เป็นต้นมานั้น เครื่องยนต์ที่เป็นแบบหัวฉีดสามารถรองรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และแก๊สโซฮอล์ 95 ได้ทั้งหมด หากแต่ผู้ใช้รถบางคนยังตะขิดตะขวงใจ ติดตามอ่านความเห็นและคำแนะนำจากช่างซ่อมรถยนต์เมื่อต้องเปลี่ยนมาเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์กันได้ในรายงานพิเศษตอนต่อไป.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
http://www.dailynews.co.th/article/440/167755
|