คำตอบที่ 534
ลองอ่านเล่นๆดูครับ
เรียนรู้การประกันภัยแบบใหม่ (สังเกตุกรมธรรม์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่ มีส่วนลดครับ)
การประกันภัยรถยนต์แบบใหม่ เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ นอกจากกฎหมายไทยกำหนดให้ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะทุกประเภทต้องทำประกันภัย พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ พ.ศ. 2535 เป็นขั้นพื้นฐาน หากใครฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหายเป็นขั้นตอนในทุกกรณี โดยไม่คำนึงว่าผู้เสียหายนั้นเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ เป็นการบังคับเจ้าของรถยนต์ทุกคันให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม
โดยในชั้นนี้ ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ คือ ผู้เสียหายที่เป็นบุคคลที่สามหรือบุคคลภายนอก หรือที่เรียกว่า ประกันภัยบุคคลที่สาม หรือ ประกันพ.ร.บ. บริษัทผู้รับประกันภัยก็ต้องเข้ามาชดใช้ค่าเสียหายให้โดยเป็นไปตามเงื่อนไขในกรมธรรม์นั้น ๆ
มีการประกันภัยรถยนต์อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการประกันภัยโดยสมัครใจของผู้เอาประกัน เช่น ประกันชั้น 1 ชั้น 3 ที่ต้องการได้รับความคุ้มครองมากกว่าขั้นพื้นฐานข้างต้น ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. กรมธรรม์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่
เป็นการประกันภัยแบบเดิมที่คุ้มครองผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดก็ตาม ผู้ขับขี่อาจไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่เอาประกันภัยก็ได้ เพียงแต่ได้รับอนุญาตจากผู้เอาประกันให้เป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกัน ก็เพียงพอแล้วที่จะได้รับการคุ้มครอง
2. กรมธรรม์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่
เป็นการประกันภัยแบบใหม่ที่ให้ระบุชื่อผู้ขับขี่ไว้ในกรมธรรม์ได้ไม่เกิน 2 คน กรณีนี้ผู้เอาประกันต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และจะได้รับความคุ้มครองจากบริษัทผู้รับประกันอย่างเต็มที่ตามกรมธรรม์ เฉพาะกรณีที่ผู้ขับขี่เป็นบุคคลที่ระบุชื่อไว้
หากเป็นบุคคลที่ไม่ได้ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ ก็จะได้รับความคุ้มครองเพียงบางส่วนจากบริษัทผู้รับประกันภัย ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
ในการคิดเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยแบบใหม่ที่ระบุชื่อผู้ขับขี่นี้ การลดเบี้ยประกันภัยจะใช้เกณฑ์อายุของผู้ขับขี่เป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง ในการพิจารณาการลดเบี้ยประกันภัย ดังนี้
ผู้ขับขี่อายุ 18 24 ปี ลดเบี้ยประกัน 5%
ผู้ขับขี่อายุ 25 35 ปี ลดเบี้ยประกัน 10%
ผู้ขับขี่อายุ 36 50 ปี ลดเบี้ยประกัน 20%
ผู้ขับขี่อายุ 50 ปีขึ้นไป ลดเบี้ยประกัน 15%
นอกจากนี้ จะอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะการใช้รถยนต์โดยพิจารณาจากความเสี่ยงของรถยนต์แต่ละคันว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าการใช้รถยนต์คันนั้นก่อให้เกิดความเสี่ยงภัยมากก็จะเสียเบี้ยประกันภัยมาก ขนาดของรถยนต์ ราคาและอะไหล่ของรถยนต์ อายุการใช้งานของรถยนต์ จำนวนเงินที่เอาประกันภัย การดัดแปลงรูปลักษณ์ของรถยนต์ ฯลฯ
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง คือ ประวัติการใช้งานของรถยนต์ที่เอาประกันภัย ยังมีส่วนเพิ่มหรือลดค่าเบี้ยประกันอีกด้วย
ถ้าหากเกิดความเสียหายระหว่างปีที่เอาประกันภัย ซึ่งเกิดจากความประมาทของฝ่ายรถยนต์คันที่เอาประกันภัย หรือไม่สามารถแจ้งให้บริษัทผู้รับประกันภัยทราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ อย่างน้อยตั้งแต่ 2 ครั้งข้นไป รวมกันมีจำนวนเงินเกิน 200% ของเบี้ยประกันภัย บริษัทผู้รับประกันภัยจะเพิ่มเบี้ยประกันภัย โดยแบ่งเป็น 4 ขั้น ๆ ละ 1 ปี ดังนี้
ขั้นที่ 1. 20% ของอัตราเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ
ขั้นที่ 2. 30% ของอัตราเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ กรณีมีค่าเสียหายเกิดขึ้นต่อบริษัทผู้รับประกันภัย 2 ปีติดต่อกัน
ขั้นที่ 3. 40% ของอัตราเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ กรณีมีค่าเสียหายเกิดขึ้นต่อบริษัทผู้รับประกันภัย 3 ปีติดต่อกัน
ขั้นที่ 4. 50% ของอัตราเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ กรณีมีค่าเสียหายเกิดขึ้นต่อบริษัทผู้รับประกันภัย 4 ปีติดต่อกัน หรือกว่านั้น
กรณีที่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยมีประวัติดี อาจเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย หรือไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท ก็จะได้ส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัย 4 ชั้น ชั้นละ 1 ปี ดังนี้
ขั้นที่ 1. 20% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ในการประกันภัยปีแรก
ขั้นที่ 2. 30% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ในการประกันภัยปี 2 ติดต่อกัน
ขั้นที่ 3. 40% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ในการประกันภัยปี 3 ติดต่อกัน
ขั้นที่ 4. 50% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ในการประกันภัยปี 4 ติดต่อกันหรือกว่านั้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้เอาประกันภัยได้รับส่วนลดจนถึงขั้นที่ 2 แล้วคือ 30% แต่เกิดอุบัติเหตุขึ้น โดยผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายประมาท ส่วนลดที่จะได้ในปีต่อไป จะเท่ากับขั้นที่ 1 คือ 20% เป็นการได้รับส่วนลดน้อยลงไปเป็นขั้น ๆ ไป
ทั้งนี้ กรณีที่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยเป็นฝ่ายประมาท หรือไม่สามารถแจ้งให้บริษัทผู้รับประกันทราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ไม่ถึง 2 ครั้ง หรือถึง 2 ครั้ง แต่มีค่าเสียหายไม่เกิน 200% ของเบี้ยประกันภัยแล้ว ในการต่ออายุประกันภัยในปีต่อไป ผู้เอาประกันภัยก็ยังคงเสียเบี้ยประกันภัยในอัตราเดิม ไม่เพิ่มไม่ลดค่าเบี้ยประกันแต่อย่างใด
การประกันภัยแบบใหม่
มีระดับการให้ความคุ้มครอง 3 ประเภท คือ
1. ประเภท 3 หรือประกันภัยชั้น 3 ให้ความคุ้มครองเฉพาะผู้เสียหายที่เป็นบุคคลภายนอกเท่านั้น เป็นการให้ความคุ้มครองต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกหรือผู้โดยสารมาในรถยนต์คันที่เอาประกันภัยนั้น
2. ประเภท 2 หรือ ประกันภัยชั้น 2 เพิ่มความคุ้มครองจากกรณีประกันภัยชั้น 3 นอกจากการคุ้มครองผู้เสียหายเช่นเดียวกับการประกันภัยชั้น 3 แล้ว ยังให้ความคุ้มครองต่อการสูญหายและไฟไหม้ของรถยนต์ที่เอาประกันภัยนั้นด้วย
3. ประเภท 1 หรือ ประกันภัยชั้น 1 กรณีนี้จะคุ้มครองได้มากที่สุด โดยให้ความคุ้มครองตือชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก ทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ความสูญหายและการเกิดไฟไหม้ของรถยนต์คันที่เอาประกันภัย ตลอดจนความเสียหายใด ๆ ก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่เอาประกันภัยนั้น
อย่างไรก็ตาม การชดเชยความเสียหายในการประกันภัยรถยนต์แบบใหม่ ยังมีข้อจำกัดและเงื่อนไขในส่วนที่เรียกว่า ความเสียหายส่วนแรก หมายถึง จำนวนเงินค่าเสียหายในแต่ละครั้ง ที่ผู้เอาประภันภัยตกลงรับผิดชอบเอง ในกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้นจากอุบัติเหตุแต่ละครั้ง ดังนี้
1. ความเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยตกลงโดยสมัครใจที่จะรับผิดชอบเอง คือ
1.1 ความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดกับตัวรถยนต์ที่เอาประกันภัยเอง
1.2 รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ทั้งนี้ การคิดค่าเบี้ยประกันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี
2. ความเสียหายส่วนแรก กรณีที่ผิดสัญญา
2.1 กรณีที่ผู้ขับขี่มิใช่บุคคลที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายในส่วนแรกเอง ดังนี้
ก. 6,000 บาทแรก สำหรับความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันที่เอาประภันภัย
ข. 2,000 บาทแรก สำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก
2.2 กรณีที่ใช้รถยนต์ผิดประเภทจากที่ระบุในกรมธรรม์ เช่น ระบุว่าใช้ส่วนบุคคล แต่เอาไปรับจ้าง กรณีนี้ ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเองใน 2,000 บาทแรกของความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
สิทธิพิเศษที่ผู้เอาประกันภัยส่วนใหญ่อาจยังไม่ทราบ คือ กรณีของการรับเบี้ยประกันภัยคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าเพื่อขอหยุดการใช้รถยนต์ การคืนเบี้ยประกันภัยให้เฉลี่ยเป็นรายวัน แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ใช่การหยุดใช้รถยนต์ในกรณีที่รถยนต์อยู่ในระหว่างการซ่อมแซม หรือหยุดการใช้งานน้อยกว่า 30 วัน
สำหรับกรณีการโอนรถยนต์ให้กับบุคคลอื่น ให้ถือว่าผู้รับโอนเป็นผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์เดิม บริษัทผู้รับประกันภัยยังคงต้องรับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อไปตลอดอายุกรมธรรม์ที่ยังเหลืออยู่
ในกรณีที่ระบุชื่อผู้ขับขี่ ก็ต้องแจ้งเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ขับขี่ให้บริษัทผู้รับประกันภัยทราบ เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนอัตราค่าเบี้ยประกันภัยตามสภาพความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป และอายุของผู้ขับขี่ มิฉะนั้นอาจถือว่าผิดสัญญาได้ อันจะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายส่วนแรกเอง
ข้อมูลจาก : สว่างแสงธรรม กู้ภัย 01