คำตอบที่ 1
       เวลาที่ผมจะไปออกทริปแต่ละครั้ง ผมจะตรวจที่ผ้าเบรคเหลือหนาหรือบาง ถ้าบางก็จะต้องตรวจสอบว่าทริปที่จะไปโหดหรือไม่โหด ถ้าโหดก็จะเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ดีกว่า ส่วนน้ำมันเบรคก็ดูว่าใสหรือไม่ใส ถ้าไม่ใสก็เปลี่ยนใหม่ดีกว่าครับ และก็ตรวจเช็คสภาพทั่วไปของช่วงล่างทั้งหน้าและหลัง หลังจากนั้นก็ไปแก้ไขในระหว่างการเดินทางถ้ามีปัญหาครับ เวลาขับรถขึ้น-ลงในเขาก็ใช้เกียร์ต่ำช่วยแทนการเบรคครับ ถ้าต้องเบรคก็จะพยายามไม่กดเบรคชะลอความเร็วเป็นเวลานานๆครับ เพราะจะทำให้ผ้าเบรคไหม้ จะพยายามกดเบรคพร้อมกับเปลี่ยนเกียร์ต่ำช่วยกันครับ และเพื่อนๆพี่มีวิธีอย่างไงบ้างครับ

คำตอบที่ 2
       คุณสมบัติให้ข้อมูลละเอียดดีมาผมขอเสริมนิดหนึ่งดังนี้ การขับรถตามกันเป็นขบวนก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการใช้เบรคทำงานมากขึ้น จึงเป็นที่มาของกฎการขับรถเป็นขบวนที่ว่า ไม่ควรเว้นระยะห่างระหว่างรถน้อยเกินไป ยิ่งต้องขึ้นเขาลงห้วยยิ่งต้องเว้นระยะให้มากยิ่งขึ้น จากการวิ่งบนทางราบเขาแนะนำว่าให้เว้นระยะห่างไว้ 1 ม.ต่อทุกๆ ความเร็ว10กม/ชม เช่น ขับอยู่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ก็ควรเว้นระยะห่างไว้อย่างน้อย 10 ม. แต่ในทางลาดชันมากๆก็ต้องเพิ่มอัตราการเว้นระยะนี้ออกไปอีก เป็น 3 ถึง 5 เท่า ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความปลอดภัยแล้วยังเป็นการลดการทำงานของเบรคด้วย

คำตอบที่ 3
       สวัสดีครับคุณDmax545 ถ้าเป็นในกรณีขับรถกันเป็นขบวนกลุ่มผมรถส่วนมากจะมีว.แดงเกือบทุกคัน ส่วนคันที่ไม่มีจะให้รถคันที่มีว.แดงขับตามหลังในระยะที่สามารถส่งไฟสูงแจ้งเหตุเวลาที่ทางข้างหน้ามีเหตุต้องให้ระวังภัย และคันหน้าที่นำขบวนจะคอย ว. บอกเป็นระยะๆถ้าเป็นขบวนยาวก็จะมีการ ว. บอกเป็นช่วงๆเพื่อให้รถในขบวนที่อยู่ด้านท้ายขบวนได้รับรู้ทางข้างหน้า ลองนำไปใช้ก็ได้ครับ ผมว่ามันเป็นวิธีที่ปลอดภัยดีครับ ดีกว่าต่างคนต่างขับแล้วไปเจอกันที่จุดนัดหมายครับ อย่างน้อยก็สามารถรับรู้ได้ตลอดการเดินทางว่ารถในขบวนเดินทางปลอดภัยทุกคันครับ

คำตอบที่ 4
       แนะนำว่า รถใช้ไปสัก 50000 กม หรือ 60000 กม ต้อง

1 ถอดเบรคหลังออกมาปัดฝุ่น
2 ถอดคาลิปเปอร์เบรคหน้า ออกมาหล่อลื่น
3 ถ่ายน้ำมันเบรคหรือไล่ลมเบรค ตามความเหมาะสม

โดยเฉพาะ ข้อ 2 ผ่านฝนไหน ล้อแช่น้ำมิดยาง ต้องรีบเลยครับ ไม่งั้นมันตาย