คำตอบที่ 10
นี่ก็หลงผิดกันเป็นตุปเป็นตับ
ความเป็นจริง
รถจะแรงแค่ไหนไม่เกี่ยวกับเบรคเลย นำหนักรถ , น้ำหนักบรรทุก และ รัศมีล้อต่างหากที่มีผลต่อการเบรค เครื่อง 70 HP หรือ เครื่อง 300 HP อันเดียวกันได้
เพราะอะไร
เพราะเวลาเบรค เครื่องไม่ขับรถแล้ว (เอาเท้าออกจากคันเร่ง กำลังเครื่องเท่าไรก็ตามจะลดลงเป็น 0 ทันที เมื่อเลื่อนเท้ามาที่เบรค คงเหลือแต่แรงเฉื่อย น้ำนักรถ และรัศมีล้อเท่านั้น )
หากท่าบขับรถเร็วขึ้น ตัวแปรที่ตามมา คือเกรดของผ้าเบรค และ อุณหภูมิของน้ำมันเบรค ( DOT )
รถที่เคยเบรคอยู่อย่ารถบรรทุก หากไม่บรรทุกหนักมากกว่าพิกัดอย่างไรก็เบรคอยู่ครับ
พิจารณาตามนี้ครับ
1) เครื่องแรงขึ้น ไม่มีผลกับแบรคเลย
2) น้ำหนักรถ หรือ น้ำหนักบรรทุกมากขึ้น เบรคยากขึ้น
3) ล้อใหญ่ขึ้น รัศมีล้อมากขึ้น เบรคยากขึ้น
4) ขับรถเร็วขึ้น เบรคยากขึ้นความร้อนเบรคสูงขึ้นมาก ต้องเพิ่มคุณภาพผ้าเบรค และ น้ำมันเบรค
5) เพิ่มหม้อพักลมเบรคมากขึ้น แรงเบรคเท่าเดิม แต่เบรคซ้ำได้มากครั้งกว่า โดยเฉพาเวลาเครื่องดับ
6) หม้อลมเบรคใหญ่ขึ้น รวมถึงจำนวนชั้นมากขึ้น เช่นชั้นครึ่ง สองชั้น ทำให้แรงเหยียบเบรคเบาลง ( ให้ระวังล้อล็อคแล้วรถหมุนบังคับรถไม่ได้ )
7) จานเบรคใหญ่ขึ้น ( รัศมีมากขึ้น ) ทำให้แรงเหยียบแบคเบาลง รถหยุดเร็วขึ้น
8) ลูกสูบเบรคใหญ่ขึ้น หรือ จำนวนลูกสูบมากขึ้น ทำให้แรงเยียบเบรคเบาลง แต่ระยะกดมากขึ้น แรงดึงเบรคสูงขึ้น รถยุดง่ายขึน แต่ให้ระวังล้อล็อค
9) ล้อรถมีรัศมีลดลง เบรคง่ายขึ้น แรงกดเบรคลดลง
TFR เปลี่ยนล้อเป็น 16 นิ้ว ล้อหน้าใช้จานเบรคใหม่ของ รันสต็อปได้ 290 มม.แบบเซาะร่อง ใช้คาลิปเปอร์เดิมต่อขาเล็กน้อย เต็มในล้อพอดี ( ไม่น่าเกิน 9000 บาท )
ล้อหลังเอาง่าย ๆ เฟืองท้ายทั้งเส้น ทรูเปอร์ 9000 บาทได้ครบทุกอย่าง จานเดิม ๆ เล็กนิดเดียว แต่เกินพอสำหรับล้อหลัง ( เฟืองท้ายเดิมติดรถขายได้ไม่น้อยกว่า 6000 บาท ) เท่ากับหลังลงทุน 3000 เท่านั้นเอง
หยุด " เหนื่อยแล้ว "