คำตอบที่ 26
**ลองศึกษาข้อมูลไว้ สำหรับการวิเคราะห์สาเหตุเบื้องต้นครับ
ความร้อนรถยนต์
ในกรณีที่เข็มวัความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ ให้ตรวจสอบเพิ่มเติม ดังนี้ :
1.ดูระดับน้ำในหม้อน้ำและ หม้อพักน้ำว่าลดลงจากระดับปกติหรือไม่? ถ้าลดลง แสดงว่าน่า
จะเกิดการรั่วซึมในระบบระบายความร้อนที่จุดใดจุดหนึ่ง
2.เข็มความร้อนขึ้นเมื่อใด?
1.ถ้าขึ้น เมื่อรถติดและลงเมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากพัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน โดยมี
สาเหตุจาก พัดลมไฟฟ้า ขั่วปลั๊คหลวม,รีเลย์พัดลมไฟฟ้า,เทอร์โมสวิตช์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง
หมดเสีย
2.ถ้าขึ้น เมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากหม้อน้ำอุดตัน
3.ถ้าขึ้นตลอด ทั้งรถติดและรถวิ่ง เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น น้ำในระบบไม่เพียงพอ เนื่อง
จากรั่วซึม(check ได้โดยดูว่ามีคราบน้ำรั่วซึมบ้างรึป่าว) , เทอร์โมสตัทหรือวาวล์น้ำ
ไม่ทำงานทำให้ไม่มีน้ำไปหล่อเย็นเครื่อง (check เบื้องต้นโดย ลองแตะที่ท่อยางน้ำ
ที่ต่อจากเครื่องมาที่ด้านบน เทียบกับท่อยางที่ต่อด้านล่างหม้อน้ำ ถ้าท่อยางด้านล่าง
เย็นกว่าท่อยางด้านบนมาก แสดงว่าวาวล์น้ำผิดปกติ) , ปั้มน้ำเสียทำให้น้ำไปวนหล่อ
เย็นเครื่องไม่พอ
4.เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวไม่ขึ้น และก็check อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทุกอย่างแล้วก็ปกติ ก็อาจเป็น
ไปได้ว่าเกจ์วัดแสดงค่าผิดเพี้ยนไป
วิธีตรวจสอบว่าเกจ์วัดความร้อนผิดปกติหรือไม่ :
ระบบมาตรวัดความร้อนเครื่องยนต์ จะประกอบด้วย
1.ส่วนแสดงผล(เข็มแสดงอุณหภูมิที่หน้าปัดเรือนไมล์) เป็น moving coil ที่ทำงานโดยรับ
แรงดันไฟฟ้า จาก ECT gauge sending unit มาแปลงแสดงเป็นระดับค่าอุณหภูมิโดย
เข็มวัดขึ้นลงตาม scale (check เบื้องต้นโดย :ปิด switch กุญแจมาที่ OFF ,ถอด
ขั้ว ECT gauge sending unit ออก , ต่อขั้วของสาย ECT gauge sending unit ลง
ground กับตัวรถ , บิด switch กุญแจไปที่ on และดูว่าถ้าเข็มวัดความร้อนขึ้น ก็แสดงว่า
ปกติ
ข้อควรระวัง ! ต้อง ปิดswitch กุญแจมาที่ off ก่อนที่เข็มจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของ scale
2.ส่วนที่วัดอุณหภูมิ (ECT gauge sending unit = engine coolant temperature gauge
sending unit) เป็นตัวต้านทานปรับค่าได้ตามอุณหภูมิ ( variable resistor) โดยค่าความ
ต้านทานปรับแปรผันกับอุณหภูมิ ความต้านทานจะมากที่อุณหภูมิต่ำ และค่าความต้านทาน
จะน้อยลงทเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น (check เบื้องต้นโดย : ถอดขั้ว ECT gauge sending
unit ออก , ใช้ Ohm meter มาวัดที่ตัว ECT gauge sending unit โดยขั้ว + ของ ohm
meterต่อที่ขั้วของตัว ECT gauge sending unit และขั้ว - ของ ohm meter ต่อกับ
เครื่อง (ground) , ดูค่าที่วัดได้ , ติดเครื่องยนต์เดินเบาจนกว่าพัดลมไฟฟ้าจะทำงาน
(วาวล์น้ำเปิด) , ดูค่าที่วัดได้อีกครั้ง , ถ้าค่าที่ วัดได้ตอนติดเครื่องแตกต่างจากตอนไม่ติดเครื่องตามที่ spec ระบุไว้แสดงว่า ECT gauge sending unit ปกติ แต่ถ้าค่าที่วัดได้แตกต่างกันไม่ได้ตาม spec ที่ระบุไว้แสดงว่า ผิดปกติ (เปลี่ยนตัวใหม่)
หมายเหตุ
1.ตำแหน่งของ ECT gauge sending unit จะอยู่ที่เครื่องบริเวณด้านล่างของช่องน้ำออก
จากเครื่องไปยังหม้อน้ำ(ตรงที่ต่อท่อยางตัวบน ไปหม้อน้ำ)
2.บริเวณเดียวกันนี้ จะมี ECT sensor อยู่อีกตัว ข้อสังเกตคือ ECT gauge sending unit
จะมีสายไปต่ออยู่เส้นเดียว ขณะที่ ECT sensor จะมีสายไฟต่ออยู่ 2 เส้นตัว
3.ตัว ECT gauge sending unit จะอยู่ถัด ECT sensor เข้าไปทางด้านท้ายรถ
4.ค่าความต้านทานของ ECT gauge sending unit ตามที่ระบุใน honda shop manual
4.1.ที่อุณหภูมิ 56 องศาC = 142 ohm
4.2.ที่อุณหภูมิ 85-100 องศาC = 49-32 ohm
วีธีตรวจสอบว่าฝาสูบโก่งหรือปะเก็นฝาสูบแตก ด้วยตัวเอง เบื้องต้น:
1.เปิดฝาหม้อน้ำและดูว่ามีคราบน้ำมันปนเปื้อนอยู่กับน้ำในหม้อน ้ำหรือไม่?
2.ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดูว่ามีน้ำปนเปื้อนกับน้ำมันเครื่องหรือไม่?
3.เปิดฝาหม้อน้ำไว้ แล้วสตาร์ตรถ และดูว่า ในจังหวะสตาร์ตรถ น้ำในหม้อน้ำกระฉอกขึ้นมารึ
ไม่?
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ใช่ ทั้งหมด ก็สันนิฐานเบื้องต้นได้ว่าฝา
สูบน่าจะโก่งหรือประเก็นฝาสูบแตก แก้ไขโดยเปิดฝาสูบมาทำการตรวจสอบทั้งที่ฝาสูบ
และปะเก็นโดยละเอียดอีกคั้ง
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ไม่ใช่ ก็สันนิษฐานได้ว่าฝาสูบไม่น่าจะ
โก่งหรือประเก็นฝาสูบไม่น่าจะแตก
หมายเหตุ
1.ฝาสูบโดยส่วนใหญ่จะไม่โก่งกันง่ายๆ
2.ฝาสูบจะโก่งก็ต่อเมื่อ รถเกิดความร้อนขึ้นสูงเป็นเวลานานๆ จนเครื่องดับไปเอง หรือ เติม
น้ำลงในหม้อน้ำขณะที่เครื่องยังเย็นตัวไม่พอ
ปล.
1.เรื่องความร้อนที่ผิดปกติเนี่ย อาการพื้นฐานจะคล้ายๆกัน แต่ถ้าไล่ check อาการโดย
ละเอียดแล้วจะพบว่า อาการนั้นๆเกิดจากอุปกรณ์ตัวใด โดยไม่ต้องสุ่มเปลี่ยนอุปกรณ์ไป
เรื่อยๆ
2.เรื่องการเปลี่ยนฝาสูบ อยากให้จัดไว้ท้ายสุด ให้ check จนแน่ใจจิงๆว่า เป็นที่ฝาสูบ แล้ว
จึงค่อยเปลี่ยน
3.ถ้าต้องเปลี่ยนฝาสูบแน่ๆ แนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นของมือสอง ไม่แนะนำ
ให้ไสหรือปาดฝาสูบเดิม
คนที่ใช้รถยนต์ยุคนี้มักไม่ค่อยมีเวลาหรือถึงมีเวลาผู้ผลิตรถยนต์ก็จะผลิตรถยนต์สมัยใหม่ออกมาให้ดูแลรักษาด้วยตัวเองยุ่งยากมากขึ้น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการติดตั้งระบบตรวจเตือนมาไว้ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน คนใช้รถจึงมีหน้าที่เพียงแค่อ่านมาตรวัดของระบบตรวจเตือนทั้งหลายให้แม่นยำเท่านั้น เมื่อพบว่ามีการเตือนจากระบบใดระบบหนึ่ง ก็ทำได้เพียงแค่นำรถไปพบช่างในศูนย์บริการเท่านั้นเอง
ส่วนประกอบของหม้อน้ำ
ส่วนวิธีการที่จะกำจัดสนิมในหม้อน้ำให้หมดไปอย่างถาวร ยังไม่มีใครคิดค้นขึ้นมาได้ เพราะในความเป็นจริงสนิมที่พบในน้ำหล่อเย็นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากหม้อน้ำ เพราะหม้อน้ำสมัยใหม่จะใช้อะลูมิเมียมเป็นโครงสร้างในส่วนของรังผึ้งและท่อทางเดินน้ำ ส่วนชิ้นส่วนที่เป็นท่อนล่างและท่อนครอบด้านบนของหม้อน้ำ ก็จะใช้วัสดุประเภทพลาสติกมาทำการผลิต
สนิมที่พบในน้ำจากระบบหล่อเย็นมีที่มาจากท่อทางเดินน้ำบริเวณข้างเสื้อสูบเป็นส่วนใหญ่ เพราะเสื้อสูบของรถยนต์ส่วนมากผลิตมาจากเหล็กหล่อที่เกิดสนิมได้ง่าย ซึ่งท่อทางเดินน้ำบริเวณข้างเสื้อสูบจะเป็นช่องทางเล็กๆที่ลดเลี้ยวซอกซอนไปมา คล้ายทางเดินของมดหรือปลวก
ยุคก่อนมีคนแนะนำให้ใช้ผงซักฟอกผสมลงไปในน้ำที่ใช้ในระบบหล่อเย็น แต่คำแนะนำของผู้ผลิตในปัจจุบันนี้ห้ามไม่ให้ใช้ผงซักฟอกหรือสารที่เกิดฟอง เพราะเกรงว่าหากมีสารที่ก่อให้เกิดฟองตกค้างอยู่ในระบบ จะทำให้เกิดการสูญเสียของอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิได้
วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการทำความสะอาดระบบหล่อเย็นด้วยตนเองคือการขยันถ่ายน้ำในระบบบ่อยๆ และควรถ่ายน้ำในขณะที่อุณหภูมิของน้ำยังร้อนๆหรืออย่างน้อยก็ยังอุ่นๆอยู่เพระาสิ่งสกปรกและสนิมจะยังไม่ตกตะกอนนอนก้น จะมีโอกาศถูกถ่ายทิ้งออกมาได้ง่ายกว่าการถ่ายตอนที่น้ำในระบบเย็นหมดแล้ว
หากพบว่าหลังจากถ่ายน้ำไปแล้วยังมีสนิมหลงเหลืออยู่ก็ไม่ต้องตกใจเพราะเป็นเรื่องปกติธรรมชาติที่สนิมยังคงอยู่บ้าง ถ้าไม่สบายใจจริงๆก็ต้องนำรถไปหาช่างที่ร้านหม้อน้ำ ให้เขาทำการล้างหม้อน้ำด้วยการใช้แรงดันน้ำเข้าไปไล่สิ่งสกปรกรวมทั้งสนิมออกมาแต่หากไม่ตะขิดตะขวงใจจริงๆก็ปล่อย มันไว้อย่างนั้นเถอะ ไม่เสียเงินและไม่ต้องกลัวผลกระทบด้านลบที่ตามมาที่หลังอีกด้วย
รู้ได้อย่างไรว่าฝาหม้อน้ำเสีย
ให้สังเกตดูระดับน้ำในหม้อน้ำและหม้อพักน้ำ ถ้าพบว่าน้ำในหม้อพักน้ำไม่ยุบแต่น้ำในหม้อน้ำยุบลงกว่าปรกติ หรือน้ำในหม้อพักน้ำต้องเติมบ่อยๆแต่ไม่มาก นั่นคืออาการของฝาหม้อน้ำเสียแล้ว ให้เปลี่ยนใหม่เลย(ให้ใช้ของแท้)
ฝาหม้อน้ำทำหน้าที่ควบคุมความดันภายในหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน และช่วยเพิ่มจุดเดือดของน้ำหล่อเย็นในระบบให้สูงขึ้น ในขณะที่น้ำหล่อเย็นมีอุณหภูมิสูงขึ้น น้ำจะเกิดการขยายตัว เพื่อดันตัวเองออกสู่ภายนอกหม้อน้ำ สปริงวาล์วของฝาหม้อน้ำจะต้านทานแรงดันนี้ไว้ได้ระดับหนึ่ง หากน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นอีก แรงดันที่เกิดขึ้นจะมากว่าแรงต้านทานที่ฝาหม้อน้ำจะรับได้ แรงดันนี้จะดันสปริงวาล์ฝาหม้อน้ำให้เปิดออก แล้วน้ำก็จะไหลออกไปทางรูน้ำล้นที่อยู่ด้านข้างของปากหม้อน้ำซึ่งจะมีสายต่อท่อน้ำล้นออกไปสู่ถังน้ำสำรอง(Coolant reserve tank)ในทางกลับกัน ขณะที่อุณหภูมิน้ำลดลง ความดันน้ำในหม้อน้ำจะลดลงด้วย ก็จะเกิดภาวะสุญญากาศในหม้อน้ำลดลงด้วย ก็จะเกิดภาวะสุญญากาศในหม้อน้ำ ทำการดูดน้ำที่อยู่ในถังน้ำสำรองกลับคืนสู่หม้อน้ำดังเดิม
ข้อสำคัญอยู่ที่ต้องตรวจระดับน้ำในระบบหล่อเย็นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งและขณะขับรถต้องหมั่นสังเกตมาตรวัดความร้อนเสมอๆ เท่านั้นเอง
ระบบระบายความร้อน ปัญหาที่พบบ่อยและการบำรุงรักษา
เนืองจากความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ภายในกระสูบที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนที่ขึ้นลงนั้น มีอุณหภูมิสูงกว่า 4,500F ในขณะที่จุดหลอมละลายของลูกสูบอลุมิเนียมนั้นอยู่ที่ประมาณ 1,225F `เท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของระบบระบายความร้อนที่มีความจำเป็นจะต้องรีบระบายความร้อนออกมาให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์
ระบบระบายความร้อนจะมีอุปกรณ์ที่สำคัญ ควรแก่การทำความรู้จักและให้ความสำคัญกับการดุแลรักษาดังนี้
1 ป็มน้ำ
2 หม้อน้ำ
3 พัดลม
4 เทอร์โมสตัดส์
5 น้ำและน้ำยารักษาหม้อน้ำ
วงจรของการระบายความร้อนเริ่มต้นจากใต้หม้อน้ำ ซึ่งได้รับการระบายความร้อนจากหม้อน้ำมาแล้วจะไหลเข้าเครื่องยนต์โดยป็มน้ำ และเข้าไปทำหน้าที่นำเอาความร้อน ระบายความร้อนออกมาจากภายในเครื่องยนต์ โดยก่อนไปจะถูกควบคุมอุณหภูมิการระบายความร้อนด้วยเทอร์โมสตัดส์ ก่อนจะส่งออกไประบายความร้อนที่หม้อน้ำต่อไป
ประเทศไทยของเราอยู่ในเขตร้อน อากาศภายนอกโดยทั่วไปอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 35-40C ปัญหาเรื่องความร้อนในเครื่องยนต์เป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก ในเรื่องของความสูญเสีย ความเสียหายทางเครื่องยนต์ซึ่งอยู่ในระดับต้นๆที่เดียว แต่สังเกตุว่าเราๆท่านๆก็ยังขาดการดูแลเอาใจใส่ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ที่ดีเพียงพอครับ ในวันนี้เราคงต้องมาเข็มงวดเอาจริงกับเรื่องนี้เพื่อป้องกันปัญหากันดังนี้ครับ
แนวทางการป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์
1 สังเกตุเกย์วัดความร้อนให้เป็นนิสัย
2 ใส่ใจกับปริมาณหรือระดับน้ำในถังพักน้ำ หมั่นสังเกตุว่าน้ำหยดที่ไหนอย่างไรหรือไม่
3 เปลี่ยนถ่ายน้ำยา Coolant หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำหม้อน้ำอย่างน้อยปีละครั้ง
4 สังเกตุการทำงานของพัดลมไฟฟ้าหน้าเครื่องยนต์
เรามาลงรายละเอียดกันสักนิดว่าทำไมต้องทำตามที่ผมได้แนะนำไว้ครับ
1 สังเกตุเกย์วัดความร้อนให้เป็นนิสัย
การฝึกเป็นคนช่างสังเกตุสักนิด จะช่วยทำให้ท่านประหยัดเงินค่าซ่อมแซมรถไปได้มากที่เดียว สิ่งผิดปกติสำหรับเรื่องความร้อนจะแสดงให้เห็นเบื้องต้นทางเกย์วัดหรือมาตราวัดความร้อนนั่นเอง หากท่านพบว่าเข็มของมาตราวัดที่เคยอยู่ตำแหน่งเดิมเริ่มเคลื่อนที่ผิดปกติไปและไปหยุดนิ่งอยู่ ไม่เคลื่อนที่ต่อ แสดงว่าน่าจะอะไรสังอย่างที่ผิดปกติเช่น มีน้ำซึม รั่วเล็กๆแล้ว พัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน หรือทำบ้างไม่ทำบ้างแล้วเป็นต้น ควรหาโอกาสพบช่างตรวจสอบโดยเร็วแล้วครับ และจะยิ่งอันตรายมากขึ้นหากขึ้นไปไม่หยุดและมีแนวโน้มจะขึ้นไปเรื่อยๆ ท่านต้องหาทางจอดรถและดับเครื่องยนต์ให้เร็วที่สุด และรอจนกว่าจะเย็นแล้วจึงตรวจสอบว่าสาเหตุมาจากไหน ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำขณะเครื่องยนต์ยังร้อนอยู่และเติมน้ำเด็ดขาด หากน้ำต่ำกว่าทีกำหนดไว้ให้รอจนเครื่องยนต์เย็นจริงๆแล้วจึงเติมน้ำได้ อาการแบบนี้แสดงว่าท่านต้องพบปัญหามากแล้วเช่น ป็มน้ำรั่ว ท่อยางหม้อน้ำแตกเป็นต้น จะเห็นว่าหากเราช่างสังเกตุเราจะพบปัญหาก่อนเสมอ และปัญหาจะไม่ลุกลามใหญ่โตแน่นอนครับ
2 ใส่ใจกับปริมาณหรือระดับน้ำในถังพักน้ำ หมั่นสังเกตุว่าน้ำหยดที่ไหนอย่างไรหรือไม่
จุดนี้น่าสังเกตุและเป็นการบอกเหตุล่วงหน้าได้ว่ารถของเราจะมีปัญหาเรื่องน้ำหยดที่พื้นลานจอดรถ( ต้องระวังตรงนี้นิดนะครับ ท่านต้องแยกให้ได้ว่าน้ำที่หยดมันมาจากแอร์หรือน้ำจากระบบระบายความร้อนแน่) น้ำหายไปไหน ต้องเติมน้ำบ่อยๆ อาทิตย์ละครั้ง อะไรทำนองนี้ เป็นสิ่งผิดปกติเบื้องต้นอีกประการที่เราต้องหาสาเหตุและรีบแก้ไขโดยเร็วอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะไม่แน่ว่าเวลาไหนที่ท่านเกิดไปรถติดๆแล้วความร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเครื่องยนต์ดับเอง แบบนี้ท่านสียหายแน่นอนครับ จงจำไว้อย่างว่าน้ำต้องไม่หายไปจากระบบมากมายแน่นอนเพราะเป็นระบบระบายความร้อนเป็นระบบปิดครับ หากจะมีบ้างเนื่องจากซึมบ้างเล็กน้อย ก็เติมปีละครั้ง สองครั้งเท่านั้นครับ
3 เปลี่ยนถ่ายน้ำยา Coolant หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำหม้อน้ำอย่างน้อยปีละครั้ง
น้ำยาตัวนี้ช่วยให้ท่านสามารถเพิ่มจุดเดือดของน้ำระบายความร้อนได้ ทำให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนดีขึ้นมาก เครื่องยนต์จะไม่ร้อนเกินไป เติมดีกว่าไม่เติม และที่สำคัญอีกประการคือช่วยรักษาสภาพภายในหม้อน้ำ เครื่องยนต์ เป็นการป้องการเกิดสนิมภายในอีกด้วย น้ำยาตัวนี้ควรเปลี่ยนถ่ายทิ้งใส่ของใหม่ทุกๆปี ดีกว่า ที่สำคัญควรเลือกยี่ห้อที่ไว้ใจได้และเป็นของใหม่อย่าเอาของหมดอายุ หรือเห็นว่าราคาถูกแล้วเอามาใช้ท่านอาจต้องพบกับการอุดตันและไม่สามารถแก้ไขได้จะเสียหายมากครับ
4 สังเกตุการทำงานของพัดลมไฟฟ้าหน้าเครื่องยนต์
จุดนี้เป็นหนึ่งจุดที่สำคัญ เพราะความร้อนที่เกิดขึนบ่อยครั้งที่มีสาเหตุมาจากปลั๊กของพัดลมไฟฟ้าหลวม สกปรก หน้าสัมผัสไม่ดี เป็นต้น ทำให้ไฟฟ้าเดินไม่สะดวก ทำงานบ้าง ไม่ทำบ้าง ตัวนี้ยิ่งต้องระวังครับ สังเกตุว่าหากพัดลมไฟฟ้าไม่ทำงานแน่นอนความร้อนจะขึ้นสูงผิดปกติและจะค้างอยู่หรือมีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีกจนถึงขีดแดงได้ ฉนั้นเบื้องต้นหากรถของท่านมีปัญหาความร้อนสูงอย่าลืมใส่ใจพัดลมไฟฟ้าด้วยครับ
แนวทางป้องกันปัญหาอย่างง่ายและได้ผลสำหรับปัญหาเรื่องความร้อนคงจะช่วยท่านได้ตามสมควรนะครับ