WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


อยากให้ผู้รู้ลงประวัติMITSUเป็นวิทยาทานหน่อยครับ ทั้งการตลาดและรายละเอียดแต่ละรุ่นครับ,
DORN PHRAE
จาก DORN PHRAE
IP:110.49.235.95

อาทิตย์ที่ , 18/3/2555
เวลา : 09:21

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       สาวก MITSU อยู่แพร่






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  

คำตอบที่ 1
       ผมรู้เพียงแต่ว่า พี่ยุ่น เป็นหนี้สงคราม พี่กัน เลยให้ MITSU ผลิต JEEP ให้พี่กัน MITSU เลยซึมซับเทคโนโลยีช่วงล่างอันหนึบแน่นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาฺฺฺ.

 แก้ไขเมื่อ : 18/3/2555 9:48:55





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

DORN PHRAE จาก DORN PHRAE 110.49.235.95 อาทิตย์, 18/3/2555 เวลา : 09:44  IP : 110.49.235.95   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17212

คำตอบที่ 2
       ชื่อ มิตซูบิชิ เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “ THREE DIAMONDS” ในภาษาอังกฤษ หรือ “เพชรสามเม็ด” ในภาษาไทย สัญลักษณ์ของมิตซูบิชิจึงให้ความหมายตรงกับชื่อทุกประการ เพราะเป็นรูปเพชรสีแดงสามเม็ดวางเรียงกันเป็นรูปใบไม้สามแฉก มิตซูบิชิใช้สัญลักษณ์นี้มาตั้งแต่ปี 1908 โดยดัดแปลงมาจากตราประจำตระกูลของ มร. ยาตาโร อิวาซากิ (YATARO IWASAKE) ผู้ก่อตั้งกิจการซึ่งเป็นรูปเพชรสามเม็ดวางซ้อนกันอยู่ภายในรูปแปดเหลี่ยม กับตราประจำตระกูลของ มร. ยาราโร อิวาซากิ (TOSA YAMAUCHI) ซึ่งเป็นรูปใบโอ๊ดสามใบวางเรียงกันเป็นสามแฉก ประวัติความเป็นมาของ มิตซูบิชื มอเตอร์ส คอร์พอเรชั่น (MITSUBISHE MOTORS CORPORA TION) ผู้ผลิตรถมิตซูบิชิสามารถย้อนหลังไปได้ถึงปี 1870 อันเป็นปีที่ มร. ยาตาโร อิวาซากิ ก่อตั้งบริษัทรับส่งสินค้าขึ้นในเมืองโอซากา มีชื่อว่าบริษัท ทสึคูโม โชกาอิ (TSUKUMO SHOKAI) สามปีหลังจากนั้นชื่อ มิตซูบิชิ ก็กำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ มร. อิวาซากิ เปลี่ยนชื่อกิจการของเขาเป็น มิตซูบิชิ โชกาอิ (MITSUBISHI SHODAI)

ในช่วง 6 ทศวรรษหลังจากนั้น กิจการของมิตซูบิชิขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีการก่อตั้งบริษัทในเครือขึ้นหลายบริษัท และมีการผลิตรถยนต์ 4 ล้อออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี 1917 มีชื่อว่ารถมิซูบิชิโมเดล-เอ (MITSUBISHI MODEL-A ) โดยผลิตขึ้นตามแบบรถ เฟียต ของอิตาลีในช่วงเวลา 5 ปี ระหว่างปี 1917-1921 มิตซูบิชิผลิตรถแบบนั้นออกจำหน่ายเพียงประมาณ 20 คัน ก่อนเปลี่ยนกิจการจากการผลิตรถบรรทุกและรถโดยสารโดยใช้ชื่อ ฟูโซ (FUSO) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มิตซูบิชิเป็นผู้ผลิตรถถัง เรือรบและยุทธภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ให้แก่กองทัพญี่ปุ่น ดังนั้นเมื่อสงครามสงบและกองทัพพันธมิตรเข้ายึดครองญี่ปุ่น มิตซูบิชิจึงถูกบีบบังคับให้แยกกิจการออกเป็น 3 ส่วน คือ มิตซูบิชิ ชิพบิลดิง แอนด์ เอนจิเนีย (MITSUBISHI SHIPBUILDING AND ENGINEER CO;LTD.) และมิตซูบิชิ นิปปอน เฮฟวี่ อินดัสตรัส์ (MITSUBISHI HEAVY INDUSTRIES LTD.)

อย่างไรก็ตาม 12 ปีหลัง จากนั้นคือในปี 1964 ทั้งสามบริษัทก็รวมตัวเป็นบริษัทเดียวกันอีกครั้งหนึ่งภายใต้ชื่อ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรัส์ โดยที่ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกจำหน่ายมีตั้งแต่ เบียร์ กล้องถ่ายภาพ อากาศยาน คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง รถขุดดิน เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ รถยนต์และเรือใบ และมีฐานะเป็นบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดในโลกรายหนึ่ง ในปี 1970 กิจการผลิตรถยนต์ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วก็ถูกแยกออกมาเป็นบริษัทต่างหากมีชื่อว่าบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน (MITSUBISHI MOTORS CORPORATION) และหนึ่งปีหลังจากนั้น มิตซูบิชิก็ตัดสินใจร่วมมือกับ ไครสเลอร์ คอร์พอเรชัน (CHRYSLER CORPORATION) บริษัทผู้ผลิต รถยนต์รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา โดยยอมให้ไครสเลอร์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 35 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน ผลลัพธ์จากความร่วมมือดังกล่าวทำให้กิจการผลิตรถยนต์ของมิซูบิชิเติบโตอย่างรวดเร็ว และสามารถขยายกำลังผลิตถึงระดับ 1 ล้านดันต่อปีได้เป็นครั้งแรกในปี 1979 ปัจจุบัน มิตซูบิขิ มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 12 ของโลก รถยนต์ที่ผลิตออกจำหน่ายมีตั้งแต่รถยนต์นั่ง รถบรรทุก รถจีพขับ 4 ล้อ ไปจนถึง รถบัส รถเทรเลอร์ และรถที่ใช้ในงานก่อสร้าง ในรอบปี 1990 ผลิตรถยนต์ได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,335,000 คัน และทำยอดขายได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 434,000ล้าน

จากเวป http://www.chuansin.com/doctorcar/auto-history-mitsubishi.html



ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ
จาก : projectart(projectart) 21/3/2555 12:26:57 [61.19.199.142]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

atipphat จาก อธิป_อุทัยฯ 223.205.89.218 อาทิตย์, 18/3/2555 เวลา : 20:36  IP : 223.205.89.218   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17220

คำตอบที่ 3
       ประวัติมิตซูบิชิ 4 ทศวรรตของเทคโนโลยียนตกรรม ในเมืองไทย

Mitsubishi Motors(Thailand) drives forward on its road to development stability
ุ พ.ศ. 2462 - คุณกนก ลี้อิสสระนุกูล เริ่มธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยาน "RALEIGH" จากประเทศ
อังกฤษ และได้ขยายกิจการโดยการเพิ่มการจำหน่ายรถจักรยานยนต์และอุปกรณ์อื่นๆ

ุ พ.ศ. 2504 2 สิงหาคม จัดตั้งบริษัท สิทธิผล มอเตอร์ จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิในประเทศไทย ซึ่งได้
แก่ มิตซูบิชิสามล้อ "ลีโอ" และ รถยนต์มิตซูบิชิ "โคลท์" รุ่นแรก

ุ พ.ศ. 2507 เริ่มก่อตั้งบริษัท สหพัฒนายานยนต์ จำกัด (UDMI) หนึ่งในผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ในประเทศไทย
โดยมีเงินทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 10 ล้านบาท

ุ พ.ศ. 2508 มิตซูบิชิมอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (MMC) ได้เข้าถือหุ้นใน UDMI 48 % ทำให้บริษัทสามารถ
ขยายการผลิตได้มากขึ้น

ุ พ.ศ. 2509 UDMI เริ่มประกอบรถกระบะเล็ก

ุ พ.ศ. 2515 เริ่มผลิตรถยนต์นั่ง "มิตซูบิชิ กาแลนท์"

ุ พ.ศ. 2517 เริ่มผลิตรถยนต์นั่ง "มิตซูบิชิ แลนเซอร์"

ุ พ.ศ. 2520 เริ่มผลิตรถยนต์นั่ง "มิตซูบิช กาแลนท์ ซิกม่า"

ุ พ.ศ. 2522 เริ่มสร้างโรงงานใหม่ที่ลาดกระบัง และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 20 ล้านบาท รวมทั้งผลิตรถยนต์นั่ง
"มิตซูบิชิ แลนเซอร์ "(ND)

ุ พ.ศ. 2524 เริ่มผลิตรถกระบะ 1 ตัน "มิตซูบิชิ แอล 200" รถยนต์ "มิตซูบิชิ โคลท์ เอฟ" และ "มิตซูบิชิ โคลท์ มิราจ"

ุ พ.ศ. 2527 เริ่มผลิตรถยนต์ในรูปลักษณ์ใหม่คือ "มิตซูบิชิ กาแลนท์"(YD) และ "มิตซูบิชิ แลนเซอร์"(LA)

ุ พ.ศ. 2528 ผลิตรถบรรทุกหนัก 10 ล้อ "ฟูโซ่"

ุ พ.ศ. 2529 เริ่มผลิตรถยนต์ "แลนเซอร์ แชมป์" รถที่ขายดีที่สุดในตลาดรถนั่งขนาดเล็ก

ุ พ.ศ. 2530 - 2 มกราคม 2530 รวมบริษัท สิทธิผล มอเตอร์ จำกัด และสหพัฒนายานยนต์ จำกัด เข้าด้วยกัน โดยใช้
ชื่อว่า "บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด" เพื่อเสริมสร้างฐานการผลิตของบริษัทฯ สำหรับโครงการ
อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศและระหว่างประเทศ
- 7 เมษายน 2530 บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด เซ็นสัญญาระยะยาวกับบริษัท ไครส์เลอร์ แคนาดา
เพื่อส่งรถยนต์ที่ประกอบในประเทศไทยไปจำหน่ายในแคนาดาเป็นครั้งแรก

ุ พ.ศ. 2531 - 10 มกราคม 2531 รถยนต์ "มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์" จำนวน 420 คันแรก ได้ออกเดินทางสู่แคนาดา
ตามสัญญาที่บริษัทฯตกลงกับไครส์เลอร์ เพื่อส่งรถยนต์ไปแคนาดาทั้งสิ้น 100,000 คัน ในระยะเวลา
6 ปี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การส่งออกรถยนต์ของไทย
- เริ่มผลิตเครื่องยนต์มิตซูบิชิดีเซลได้เองภายในประเทศเป็นครั้งแรก

ุ พ.ศ. 2532 - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน นำคณะนักเรียนโรงเรียนนายร้อย
พระจุลจอมเกล้าฯ เข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ของบริษัทฯ ณ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2532
- เริ่มการส่งออกรถยนต์ "มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์" ไปยังประเทศไซปรัส และชิ้นส่วน CKD รถกระบะ
"มิตซูบิชิ แอล 200" ไปยังประเทศโปรตุเกสเป็นครั้งแรก

ุ พ.ศ. 2533 - เปิดโรงงานใหม่แห่งที่ 2 ณ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เพื่อใช้ผลิตรถบรรทุกฟูโซ่และรถแคนเตอร์
- เปิดโรงงานผลิตตัวถังรถดัมพ์ มูลค่า 200 ล้านบาท ในชื่อ บริษัท โคราชออโตโมทีฟ จำกัด ณ
เขตอุตสาหกรรมสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
- เปิดโรงงานผลิตชิ้นส่วนและประกอบตัวถังรถยนต์ทุกชนิด มูลค่า 500 ล้านบาท ในชื่อ บริษัท บางกอก
อีเกิลวิง จำกัด
- กลุ่มอุตสาหกรรมในเครือ เอ็มเอ็มซี สิทธิผล รวม 13 บริษัท และเซ็นสัญญาใช้พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม
แหลมฉบัง ตามโครงการผลิตและประกอบรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 เพื่อส่งออกจำหน่ายทั่วโลก
- แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ กาแลนท์ รุ่นใหม่สู่ท้องตลาด
- 8 ธันวาคม 2533 สร้างประวัติศาสตร์การส่งออกอีกครั้ง โดยส่งออกรถบรรทุกสิบล้อมิตซูบิชิ ฟูโซ่
400 คัน สู่ประเทศอินโดนีเซีย

พ.ศ. 2534 - เปิดศูนย์อบรมเทคโนโลยีชุณหะวัณ โรงเรียนวิศวกรรมยานยนต์แห่งแรกในประเทศไทย
- 2 สิงหาคม 2534 ครบรอบ 30 ปี บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด
- แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แฮทช์แบค และรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สู่ตลาดในประเทศ
- ปรับปรุงรถตระกูลแลนเซอร์ เป็น "มิตซูบิชิ แชมป์" ใช้เครื่องยนต์ใหม่ 12 วาล์ว


พ.ศ. 2535 - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน เปิดศูนย์ฝึกอบรมเทคโนโลยี
ชุณหะวัณ อย่างเป็นทางการ
- เปิดโรงงานแห่งที่ 3 ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง
- เปิดตัวรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ รุ่นใหม่
- 14 กันยายน 2535 ทำพิธีต่ออายุสัญญาข้อตกลงกับไครส์เลอร์ เพื่อส่งรถยนต์ "มิตซูบิชิ แลนเซอร์" ใหม่
ไปแคนาดาอีก 4 ปี
- ส่งรถยนต์มิตซูบิชิ แชมป์ สู่ตลาดอิสราเอล และรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 ไซโคลนสู่ตุรกี
- มิถุนายน 2535 ส่งรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สู่ตลาดยุโรป

พ.ศ. 2536 - เปิดตัวรถยนต์มิตซูบิชิ กาแลนท์ อัลติม่า

พ.ศ. 2537 - ส่งออกรถยนต์มิตซูบิชิ แชมป์ สู่ประเทศอิสราเอล
- เปิดตัว "ไดมอนด์ การ์ด" อภิสิทธิ์บัตรเครดิต โดยการร่วมมือกันระหว่าง บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด
ธนาคารกสิกรไทย และมาสเตอร์การ์ด
- แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร V6-3500 สู่ตลาดในประเทศ
- 23 สิงหาคม 2537 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีวาง
ศิลาฤกษ์ โรงงานประกอบรถยนต์แห่งที่ 4 ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เพื่อเป็นฐานการผลิตรถกระบะ
โครงการ แอล 200 ส่งออก 139 ประเทศทั่วโลก

พ.ศ. 2538 - ปรับปรุงโฉมรถยนต์ "มิตซูบิชิ แลนเซอร์" 1.5 และ 1.6 GLXi พร้อมแนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ 1.3
รุ่นใหม่ รถยนต์นั่งขนาดกลางที่ประสบความสำเร็จสูงสุดสู่ตลาดในประเทศ
- ทำพิธีวางศิลาฤกษ์สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ณ ถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 44-45 (รังสิต)
- แนะนำรถยนต์ "มิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ซิงเกิ้ล แค็บ" สู่ตลาดในประเทศ

พ.ศ. 2539 - แนะนำรถยนต์กระบะ "มิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา เมกะแค็บ" "มิตซูบิชิ แลนเซอร์ใหม่" "มิตซูบิชิ
ปาเจโร V6-3000" สู่ตลาดในประเทศ
- ส่งรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สู่ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศแรก
- จัดประชุมผู้แทนจำหน่ายจาก 139 ประเทศทั่วโลก เพื่อแนะนำรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 ที่จังหวัดชลบุรี
พร้อมเยี่ยมชมโรงงานแห่งที่ 4 ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง
- แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร V6-3000 สู่ตลาดในประเทศในงาน บางกอกมอเตอร์โชว์

พ.ศ. 2540 - แนะนำรถบรรทุกขนาดเล็ก "มิตซูบิชิ แคนเตอร์ วาย แค็บ" สู่ตลาดในประเทศ
- แนะนำรถยนต์ "มิตซูบิชิ กาแลนท์ อัลติม่า เอ็กซ์ครูซีฟ" สู่ตลาดภายในประเทศ
- แนะนำรถกระบะ "มิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา" ขับเคลื่อนสี่ล้อ สู่ตลาดภายในประเทศ
- ส่งออกรถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา สปอร์ตตี้" ขับเคลื่อนสี่ล้อ สู่ประเทศญี่ปุ่น
- เปิดศูนย์ซ่อมสร้างเกียร์อัตโนมัติ ที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พ.ศ. 2541 - ส่งออกรถยนต์ "มิตซูบิชิ แลนเซอร์" สู่ประเทศนิวซีแลนด์
- รถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ได้รับรางวัล "BEST PICK UP 1997" จากนิตยสาร
What Van ? ประเทศอังกฤษ เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
- รถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ได้รับคัดเลือกเป็น "Best Product 1997" จากนิตยสาร
Professional Builder ประเทศอังกฤษ
- รถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ได้รับรางวัล "Best Pick Up" จาก 1998 Fleet Excellence
Awards โดยนิตยสาร Fleet Management and Business Car ประเทศอังกฤษ
- รถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ได้รับรางวัล "Pick Up Car of The Year 1997-1998" จาก
นิตยสาร 4 x 4 Plus ประเทศเบลเยี่ยม
- รถกระบะมิตซูบิชิ แอล 200 สตราดา ได้รับรางวัลรถ OFF ROAD ขับเคลื่อน 4 ล้อ ยอดเยี่ยมแห่งปี
จากนิตยสารกรังด์ปรีซ์

พ.ศ. 2542 - แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ กาแลนท์ใหม่ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ "มิตซูบิชิ ฟูโซ่ FN" สู่ตลาดในประเทศ
- แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ใหม่ สู่ตลาดภายในประเทศ

พ.ศ. 2543 - แนะนำรถยนต์ "มิตซูบิชิ แลนเซอร์ F-Style" สู่ตลาดภายในประเทศ
- แนะนำรถยนต์ "มิตซูบิชิ New Pajero" และ รถยนต์ "มิตซูบิชิ Strada Grandis" สู่ตลาดภายในประเทศ
- รถยนต์มิตซูบิชิ แอล 200 ได้รับรางวัล "Best of the car" จากนิตยสารกรังด์ปรีซ์

พ.ศ. 2544 - แนะนำรถยนต์ "มิตซูบิชิ แลนเซอร์ Cedia" และรถยนต์ "มิตซูบิชิ G-Wagon" สู่ตลาดภายในประเทศ

พ.ศ. 2545 - รถยนต์มิตซูบิชิ Lancer Cedia ได้รับรางวัล "Best Passenger Car" จากนิตยสารกรังด์ปรีซ์
- รถยนต์มิตซูบิชิ แอล 200 ได้รับรางวัล "Best Export Car" จากนิตยสารกรังด์ปรีซ์
- แนะนำเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ VG Turbo Intercooler กับรถ G-Wagon และ Strada เป็นเครื่องยนต์
เทอร์โบระบบแปรผันที่ล้ำหน้าและใหม่ที่สุดทางด้านเทคโนโลยี

พ.ศ. 2546 - ฉลองรถยนต์มิตซูบิชิส่งออก ครบ 500,000 คัน และได้รางวัล "EXPORT EXCELLENCE AWARD"
- เปิดตัวรถกระบะมิตซูบิชิ สตราดา 2800 Turbo Intercooler และ รถสตราดา G-Wagon Euro
Evolution
- รถมิตซูบิชิ สตราดา G-Wagon Turbo Intercooler ได้รับรางวัล "Best SUV" จากนิตยสารกรังด์ปรีซ์
- รถกระบะมิตซูบิชิ สตราดา ได้รับรางวัล "Best Export Pick Up" จากนิตยสารกรังด์ปรีซ์
- 21 พฤศจิกายน 2546 - เปลื่ยนชื่อบริษัทเป็น "บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด"

ข้อมูลจาก club4g.com



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

atipphat จาก อธิป_อุทัยฯ 223.205.89.218 อาทิตย์, 18/3/2555 เวลา : 20:40  IP : 223.205.89.218   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17221

คำตอบที่ 4
       สตราด้าปรากฎตัวในบ้านเราช่วง96 แต่เริ่มแพร่หลายตั้งแต่97เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน จากการคิดค้นและร่วมมือกันระหว่างMitsubishi กับ Chrysler ที่นำโครงสร้างของ Jeep Cherokee มาดัดแปลงและพัฒนาออกแบบจนกลายมาเป็นสตราด้า เมื่อก่อนบรรดากระบะถูกออกแบบให้อยู่ในลักษณะเป็นเหลี่ยมมุมเพื่อให้ดูดุดันและบึกบึงบ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง แต่สตราด้ากลับลบเหลี่ยมมุมไปทั้งหมดออกแนวโค้งมนลู่ลมแบบเก๋งในนาม”อุลต้าบอร์ดี้”โดยส่วนหัวดัดแปลงมาจากGalant Sarajevo เมื่อเปิดตัวออกมาจึงถูกปรามาสอย่างหนักจากบรรดาคู่แข่งว่าจะไม่มีความแกร่ง-บึกบึนของปิค-อัพอยู่แต่สตราด้าก็ได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยการทดสอบแบบหนักหน่วงชนิดที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อนจนกลายเป็นที่ยอมรับว่ายังคงความแกร่งและบึกบึนแบบปิค-อัพอยู่ สุดท้ายจึงกลายเป็นกระบะที่หล่อที่สุดในยุคนั้น ซึ่งต่อๆมาค่ายอื่นๆก็กลายเป็นผู้ตามในการผลิตกระบะให้ใกล้เคียงเก๋งมากที่สุดขณะที่ค่ายนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายในปัจจุบันมันจึงดูล้าหลังกว่าค่ายอื่น แต่ถ้าย้อนมองดูในยุคเดียวกันสตราด้าก็จัดอยู่ในระดับหัวแถวเช่นกันชนิดที่ว่าสาดโค้งแรงๆนี่หาตัวจับยากหรือเกาะดีกว่าใครเพื่อนในยุคนั้นแม้จะอัดสุดคันเร่ง(แต่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันนะครับเพราะตกเป็นรองไปแล้ว)

เปิดตัว

สตราด้าในยุคแรกเปิดตัวออกมาขายทั้งหมด 6รุ่นคือ

1.รุ่นมาตรฐาน Single Cab

2.Mega Cab

3.Mega Cab GL

4. Mega Cab GLX

5. Super2.8 GLX

6.GLX 4W

โดยรุ่น Mega Cab 2.5GL/GLX/Super 2.8GLX/GLX 4W ใช้พวกมาลัยแบบสปอร์ต 4ก้านปรับสูง-ต่ำได้ และรุ่น Super 2.8GLX/GLX 4W เพิ่มกระจกไฟฟ้ากับเซ็ลทรัลล็อคมาให้ซึ่งระยะหลังจะมีรุ่นพิเศษ 2.5ที่เพิ่มกระจกไฟฟ้ากับเซ็ลทรัลล็อคด้วยเช่นกัน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

atipphat จาก อธิป_อุทัยฯ 223.205.89.218 อาทิตย์, 18/3/2555 เวลา : 20:57  IP : 223.205.89.218   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17222

คำตอบที่ 5
       รายละเอียดทางเทคนิค(บางส่วน)

ขอแยกเป็น 4 รุ่นนะครับคือ มาตรฐาน/Cab2.5/2.8 และ 4W ดังนี้

มาตรฐาน Cab2.5 Cab2.8 4W

ระหัสเครื่องยนต์ 4D56 4D56 4M40 4M40

ขนาดความจุ(ซีซี) 2510 2510 2835 2835

ขนาดกระบอกสูบ(มม) 91.1 91.1 95.0 95.0

ระยะชักกระบอกสูบ(มม) 95.0 95.0 100.0 100.0

อัตราส่วนกำลังอัด 21.0:1 21.0:1 21.0:1 21.0:1

แรงม้าสูงสุด/รอบ 90/4200 90/4200 101/4000 101/4000

แรงบิดสูงสุด(กก-ม)/รอบ 18.0/2500 18.0/2500 20.2/2000 20.2/2000

ความยาวรถ(มม) 4920 5035 5035 5035

ความกว้างรถ(มม) 1695 1695 1695 1695

ความสูงรถ(มม) 1595 1605 1605 1765

ความยาวฐานล้อ(มม) 2950 2950 2950 2960

ฐานล้อหน้ากว้าง(มม) 1450 1450 1450 1420

ฐานล้อหลังกว้าง(มม) 1435 1435 1435 1435

น้ำหนักรถ(กก) 1375 1420 1420-1450 1676

น้ำหนักบรรทุกรวม(กก) 2510 2470 2470 2725

อัตราทดเกียร์1 4.330 4.330 4.330 4.330

อัตราทดเกียร์2 2.355 2.355 2.355 2.355

อัตราทดเกียร์3 1.509 1.509 1.509 1.509

อัตราทดเกียร์4 1.000 1.000 1.000 1.000

อัตราทดเกียร์5 0.827 0.827 0.827 0.833

อัตราทดเกียร์ถอยหลัง 4.142 4.142 4.142 4.142

อัตราทดเฟืองท้าย 4.222 4.222 4.222 4.636

อัตราทดHIGH/LOW - - - 1.000/1.925

ความเร็วสูงสุด(กม/ชม) 145 145 155 155

อัตราเร่ง0-100 (วินาที) 17.8 18.6 18.2 18.8

อัตราบริโภคเฉลี่ย(กม/ล)8.6-15.6 8.2-15.2 7.0-13.8 6.4-12.5

จุดเด่น

ที่เด่นๆเลยก็จะเป็นเรื่องช่วงล่างที่ยุคนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นหัวแถวที่จัดว่าในรอบ 15ปีไม่มีใครทำได้ดีขนาดนั้นในบรรดาปิค-อัพ ที่ทั้งนิ่มนวลและเทโค้งแรงๆที่ความเร็วสูงแบบตามตัวจับยากในยุคนั้น สร้างความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี แม้ปัจจุบันจะตกเป็นรองค่ายอื่นไปแล้วก็ตาม สตราด้าใช้ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยด์สปริงและช็อคอัพ(ขับสี่เป็นปีกนกคู่ทอร์ชั่นบาร์) ด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อนพร้อมช็อคอัพไขว้ และใช้วัสดุที่คุณภาพค่อนข้างสูงจึงให้ความนุ่มนวลและเกาะดีมาก ส่วนระบบเบรคก็ทำได้หนึบ-นิ่งมั่นใจดีที่เดียวด้วยด้านหน้าเป็นดิสค์ 14นิ้ว(ขับสี่ใช้ 15นิ้ว) ด้านหลังเป็นดรัมขนาด 10นิ้ว(ขับสี่ให้10.6นิ้วมา)พร้อมระบบปรับแรงดันน้ำมันเบรคอัตโนมัติ(LSPV)

ข้อดี

ตรงนี้ก็จะหมายถึงความทนทานเป็นหลักเพราะเครื่องAstronที่มีมานานแล้วแถมได้ชื่อว่าเป็นเครื่องแรกของโลกที่ใช้ระบบSilent Shaft กับOil Coolerที่หล่อเย็นระบบหล่อลื่นแบบOil Jetsprayที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลมิตซู และพัฒนามาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันล้วนมีพื้นฐานเดียวกันทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเครื่องยนต์ของตระกูลนี้จะเดินเรียบและเงียบกว่าชาวบ้านแถมให้อัตราเร่งดีกว่าคู่แข่งบางยี่ห้อในยุคนั้น เครื่องยนต์มีระยะห่างระหว่างสูบมากที่สุดในบรรดาเครื่องยนต์ดีเซลจึงแข็งแรงกว่า-ทนทานกว่า-ระบายความร้อนดีกว่า หัวลูกสูบทำเป็นหลุมหลบวาล์วไว้ซึ่งสามารถใสฝาสูบได้หลายครั้งถ้าเกิดการโก่ง เพลาราวลิ้นเป็นแบบโซ่คู่ขนาดเขื่องระบบเฟืองต่อสองช่วงพร้อมตัวดันลดเสียงจึงเงียบกว่าเครื่องที่ใช้โซ่แบบอื่นแถมยังทนทานกว่าหมดปัญหาเรื่องโซ่หย่อนหรือกินเสตอร์จนสึกจึงตัดภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้มาก ฝาสูบออกแบบมาให้ถอดชิ้นส่วนต่างๆได้ง่ายและแม้จะเป็นอลูมินัมแต่แปลกที่ยังทนทานกว่าฝาสูบเหล็กหล่อยี่ห้ออื่นด้วยซ้ำไปส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะความเรียบของฝาสูบที่นอกจากจะระบายความร้อนได้ดีแล้วยังสามารถตรวจเช็คอาการโก่งหรืองอหรือทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย ถ้ามองโดยภาพรวมแล้วมันถูกออกแบบมาเพื่อเป็นพันธุ์อึดขนานแท้ตัวจริงเสียงจริงแถมดูแลง่ายไม่จุกจิก

ข้อเสีย

1. การใช้ถ้วยกดวาล์วและแผ่นชิมนั้นดีในเรื่องความแม่นยำก็จริงแต่ถ้าไม่มีการตรวจเช็คสม่ำเสมอทุก 5หมื่นโลก็อาจจะเกิดปัญหาวาล์วยัน ไข้ขึ้น เร่งไม่ออก ซดน้ำมัน ฝาสูบโก่งหรือร้าวหรือแตก อาจจะต้องยกเครื่องกันเลยทีเดียวซึ่งตรงนี้ส่วนมากจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงกาลของเจ้าของรถเองซะมากกว่า

2. การใช้ประเก็นฝาสูบแบบไฟเบอร์ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงและไม่ทนทานเท่าพวกประเก็นเหล็กมักเกิดปัญหาเริ่มต้นจากนัทฝาสูบหลวมอยู่บ่อยๆจนเกิดการรั่วระหว่างไอดี-ไอเสียได้จนเกิดปัญหาความร้อนในที่สุด ดังนั้นควรตรวจเช็คความตึงของนัทฝาสูบอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสุดก็ทุกๆ 3หมื่นโล

3. ตัวOil Cooler จะฝังตัวอยู่ที่บริเวณด้านข้างของเสื้อสูบใกล้ๆกับกรองน้ำมันเครื่องทำให้ดูแลหรือตรวจเช็คยาก ดังนั้นจึงควรถอดทำความคราบหรือตระกรันทุกๆ 10หมื่นโลและไม่เกิน 12หมื่นโลเพราะมักจะเกิดปัญหาราวๆ 15หมื่นโลและส่วนมากทั้งเจ้าของและช่างจะลืมจุดนี้ไปเลย

4. เนื่องจากความทนทานของชุดโซ่ราวลิ้นกับเสตอร์นั้นสูงมากจนทำให้บางครั้งอาจจะลืมโดยเฉพาะปัญหานี้มักเกิดกับผู้ซื้อรถมือสองที่กรอไมล์มาโดยปกติแล้วชุดโซ่และเสตอร์นั้นเคยเห็นว่าทะลุ 5แสนโลได้ไม่ยากนักอาจจะเปลี่ยนเฉพาะเสตอร์เท่านั้นด้วยซ้ำแต่ก็ขึ้นอยู่ที่การขับขี่ด้วย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยก็ควรจะเปลี่ยนทุกๆ 3แสนโล

5. หน้าแปลนด้านไอดีเป็นอลูมีนัมส่วนไอเสียเป็นเหล็กหล่อทำให้เกิดปัญหาการรั่วของไอดี-ไอเสียเพราะนัทยึดหลวมเพราะการยืดและหดตัวของวัสดุที่ต่างกันไม่สมดุลย์กัน ดังนั้นควรตรวจเช็คความตึงของนัทยึดท่อไอดี-ไอเสียทุกๆ 3หมื่นโล

ข้อด้อย

1. เนื่องจากหลายๆคนเมื่อนึกถึงมิตซูก็จะนึกถึงความแรงดังนั้นเมื่อควบมันจึงหวังเรื่องแรงมากกว่าด้านอื่นทั้งที่ความจริงแล้วมันถูกออกแบบมาให้ใช้งานในรอบต่ำๆนั้นเพื่อการประหยัดน้ำมันโดยเฉพาะ แต่คนทั่วไปเมื่อเห็นว่ามันออกตัวดีจึงคิดว่ามันจะแรงตลอดเมื่ออัดรอบเข้าไปมันจึงซดหนักทีเดียวจนกลายเป็นเล่าขานถึงความดุเดือนเรื่องอัตราบริโภค ทั้งที่ถ้านำมาวิ่งเรียบๆเนิบๆแบบเดียวกันก็แทบจะหาความแตกต่างเรื่องอัตราบริโภคแทบจะไม่เจอเลย โดยเฉพาะตัว 2.5ลิตรนั้นอาจจะประหยัดกว่าบางยี่ห้อด้วยซ้ำไปแถมได้เรี่ยวแรงที่ดีกว่า

2. ราคาอะไหล่ที่เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นแล้วจัดว่ายังแพงกว่าส่วนหนึ่งก็เพราะมันเป็นรถส่งออกด้วยราคาจึงออกแนวสากลเมื่อเทียบเป็นเงินไทยก็เลยจะแพงกว่าชาวบ้านแม้ระยะหลังๆราคาอะไหล่ตัว 2.5นั้นจะถูกลงมากแต่ตัว 2.8นั้นจัดว่ายังเอาเรื่องอยู่แถมยังเทียบหาได้ยากกว่าตัว 2.5

3. ราคาค่าตัวที่ตกมากหรือที่ขายๆกันก็จะถูกกว่ายี่ห้อดังอื่นๆ แต่ถ้ามองว่าตอนซื้อราคามันก็ถูกกว่าตอนขายมันก็ถูกกว่าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาก็ยังไม่จัดว่าน่าเกลียดเท่าไหร่ ส่วนนึงที่ทำให้ราคามันตกก็เพราะคำกล่าวขานเรื่องอัตราบริโภคและอะไหล่ที่ราคาสูง(โดยไม่คำนึงถึงความทนทานตามอายุงานของมัน)

จากเวป http://blog.eduzones.com/cars/13001



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

atipphat จาก อธิป_อุทัยฯ 223.205.89.218 อาทิตย์, 18/3/2555 เวลา : 20:59  IP : 223.205.89.218   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17223

คำตอบที่ 6
       ความรู้อย่างนี้ต้องรีบเก็บ ขอบคุณมากครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

nds จาก nds 124.120.5.135 อาทิตย์, 18/3/2555 เวลา : 22:12  IP : 124.120.5.135   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17226

คำตอบที่ 7
       มีคนเคยเล่าว่าอีซูซุกับมิตซูมีเจ้าของเดียวกันจริงปล่าวครับ



ผมก็ทราบมายังงั้นเหมือนกัน...ใครรู้บ้างบอกหน่อย...
จาก : หนึ่งน้อย(หนึ่งน้อย) 19/3/2555 11:05:51 [203.157.178.11]
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/datafile/69/077600052716062006-06-27T05.PDF?ts=1331951348
จาก : hi-tech(hi-tech) 21/3/2555 16:34:24 [49.48.15.115]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

gos จาก ก็อด 118.173.42.68 จันทร์, 19/3/2555 เวลา : 09:21  IP : 118.173.42.68   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17229

คำตอบที่ 8
       ขอบคุณมากครับ คุณอธิป ขอบคุณจริงๆ





ด้วยความยินดีครับ บางอย่างผมก็เพิ่งทราบเลยเอามาฝากครับ
จาก : atipphat(atipphat) 25/3/2555 22:09:09 [171.5.93.62]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

DORN PHRAE จาก DORN PHRAE 124.121.106.119 พุธ, 21/3/2555 เวลา : 12:07  IP : 124.121.106.119   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17366

คำตอบที่ 9
       อ่านจากหนังสือพิมพ์

ผู้บริหารที่ส่งมาดูแล isuzu จะมาจาก mitsubishi corp.

เลยเดาเอาว่า isuzu เป็นเครือ ของ mitsubishi corp.

หรือ ลองดูตามนี้ครับ

http://www.newdmax-club.com/index.php?topic=1251.0


 แก้ไขเมื่อ : 21/3/2555 16:29:06



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

hi-tech จาก .::. สองโหล .::. 49.48.15.115 พุธ, 21/3/2555 เวลา : 12:59  IP : 49.48.15.115   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 17369

คำตอบที่ 10
       ขอบคุณทุกท่านครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

DORN PHRAE จาก DORN PHRAE 124.121.58.165 พุธ, 28/3/2555 เวลา : 16:31  IP : 124.121.58.165   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 18194

คำตอบที่ 11
       โช้คหน้า,หลัง รุ่น2800 ตัวชับ4 รุ่นมาตรฐาน ยาวเท่าไหร่ครับ?



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

UDORN07 จาก UDORN07 58.11.246.212 อังคาร, 3/4/2555 เวลา : 07:06  IP : 58.11.246.212   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 18642

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันเสาร์,27 เมษายน 2567 (Online 5843 คน)