คำตอบที่ 2
เรื่อง : J!MMY
SPY SHOT
ปล่อยให้โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ทำตลาดเอสยูวีดัดแปลงจากรถกระบะแบบไม่มีคู่แข่งมานาน
ล่าสุดมิตซูบิชิเตรียมแชร์ตลาดด้วยไทรทัน จี-แวกอน เวอร์ชันเอสยูวีของรถกระบะทรงล้ำ
เปิดตัวแน่นอนช่วงปีหน้า พร้อมราคาช็อกวงการ
จี-แวกอน เปิดตัวครั้งแรกตุลาคม 2001 พร้อมกับแลน
เซอร์ ซีเดีย เป็นเอสยูวีขับเคลื่อน 4 ล้อ นำตัวถังของเอสยูวี
BODY ON FRAME รุ่น ชาเลนเจอร์ (CHALLENGER) ปี
1996 มาครอบทับบนแชสซีส์ของรถกระบะรุ่น สตราด้า มีคู่
แข่งสำคัญคือ โตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์
ช่วงแรกได้รับความนิยมด้วยยอดขายรวม 641 คัน นับถึงสิ้นปี
2001 ปี 2002 อยู่ที่ 2,221 คัน แต่มีข้อด้อยเรื่องความอืดอาดของ
อัตราเร่ง ช่วงไตรมาส 3 ปี 2002 มิตซูบิชิจึงเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่
เป็นดีเซล 4 สูบ 2,500 ซีซี เทอร์โบแปรผัน VG-TURBO พร้อมปรับ
โฉมกระจังหน้าลายทแยง
เฉพาะรุ่นเทอร์โบทำยอดขายถึงสิ้นปี 2002 ได้ 1,486 คัน ปิด
ท้ายด้วยการเพิ่มรุ่น 2,800 ซีซี เทอร์โบ พร้อมเปลี่ยนกระจังหน้าอีก
ครั้งเป็นช่องโปร่งขนาดใหญ่ ช่วงปี 2003 โดยมีการผลิตและส่งออก
จี-แวกอน ไปทำตลาดในบางประเทศด้วยชื่อ นาติวา (NATIVA)
หลังจากนั้นตลาดเอสยูวีในไทยเริ่มเสื่อมความนิยมลง ตามกระแส
การตกต่ำของตลาดเอสยูวีในสหรัฐอเมริกา ยอดขายจี-แวกอนจึงไม่
ค่อยดีนัก
แต่เมื่อโตโยต้าเปิดตัว ฟอร์จูนเนอร์ เอสยูวีรุ่นใหม่บนพื้นฐาน
รถกระบะวีโก้ ในเดือนพฤศจิกายน 2004 เพื่อทำตลาดแทนสปอร์ต
ไรเดอร์ ด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหราและน่าเกรงขาม เครื่องยนต์ดีเซล
1KD-FTV 4 สูบ 3,000 ซีซี คอมมอนเรลเทอร์โบ 163 แรงม้า และ
เบนซิน 1TR-FE 4 สูบ DOHC 2,700 ซีซี VVT-i 160 แรงม้า และได้รับ
ความนิยมอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
มิตซูบิชิจึงเริ่มทบทวนสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง และประเมินว่า
ควรพัฒนารุ่นเปลี่ยนโฉมของ จี-แวกอน หรือไม่ กระทั่งสิงหาคม
2005 หลังจากการเปิดตัวรถกระบะ ไทรทัน ได้ไม่นาน ก็มีกระแส
เรียกร้องว่าเมื่อไรไทรทันเอสยูวีจะออกสู่ตลาด ทำให้มิตซูบิชิตัดสิน
ใจเดินหน้าโครงการพัฒนา เอสยูวีรุ่นใหม่ภายใต้รหัส CR45
ช่วงแรกมีความเคลื่อนไหวน้อยเหมือนมิตซูบิชิถอดใจจาก
ตลาดนี้ไปแล้ว แต่เนื่องจากการทำตลาดไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะในไทย
โรงงานมิตซูบิชิที่แหลมฉบังต้องผลิตและส่งไปทำตลาดต่างประเทศ
ด้วย โดยอีกประเทศที่รอจี-แวกอนใหม่ คือ อินโดนีเซีย
รูปลักษณ์มีการหยั่งกระแสก่อนหน้านี้แล้วว่า จะใช้ชิ้นส่วนตัว
ถังครึ่งคันด้านหน้า ประกอบด้วย ฝากระโปรง ชุดไฟ เสาหลังคาคู่
หน้า กระจกบังลม ประตูคู่หน้า และเสาหลังคากลาง B-PILLAR
ร่วมกับไทรทันรุ่น 4 ประตู แต่ปรับกระจังและกันชนให้ต้องตาต้องใจ
มากกว่าไทรทัน ส่วนด้านท้ายจะได้รับอิทธิพลจาก มิตซูบิชิ เอาท์
แลนเดอร์ รุ่นล่าสุด
ภายในเหมือนไทรทันทั้งรุ่น 4x4 และไทรทัน พลัส (4x2 ยกสูง)
เช่น แอร์ออโต้ มอนิเตอร์ พร้อมเครื่องเล่น CD/DVD/MP3/WMA เข็ม
ทิศดิจิตอล จอแสดงข้อมูล MULTI-INFORMATION ฯลฯ ระบบความ
ปลอดภัยมีแอร์แบ็กคู่หน้า
ภาพกราฟิก จำลองรูปร่างที่คาดว่าน่าจะใกล้เคียงความจริงของ C45 Project
เครื่องยนต์ยังไม่มีข้อสรุปแน่นอน แต่มี 2 ทางเลือกของ
เครื่องยนต์ในไทรทัน มีความเป็นไปได้สูงที่จะเริ่มจาก 4D56 ดีเซล 4
สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,500 ซีซี คอมมอนเรล DI-D เทอร์โบ อินเต
อร์คูลเลอร์ 140 แรงม้า หรือ 4 สูบ DOHC 3,200 ซีซี คอมมอนเรล
DI-D เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ 165 แรงม้า ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์
ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ
ระบบกันสะเทือนหลังนับเป็นครั้งแรกที่มิตซูบิชิจะเปลี่ยนมาใช้
คอยล์สปริง ส่วนด้านหน้าเหมือนรุ่น 4x4 และไทรทัน พลัส ระบบ
เบรกหน้าดิสก์หลังดรัมพร้อมเอบีเอสและอีบีดี
โครงการ CR45 ล่าช้าเพราะการทำงานของทุกฝ่าย ทั้งที่บริษัท
แม่ในญี่ปุ่นถึงฝ่ายโรงงานที่แหลมฉบัง ที่เพิ่งได้ข้อสรุปด้านผู้ผลิตชิ้น
ส่วนเมื่อเดือนธันวาคม 2006 ทำให้การเตรียมชิ้นส่วนของซัพพลาย
เออร์ รวมทั้งการทดสอบความทนทานต้องใช้เวลานานขึ้น และบาง
ชิ้นส่วนต้องทดสอบความทนทานถึงต่างประเทศ ทำให้มิตซูบิชิเสีย
โอกาสเก็บยอดขายไปไม่น้อย
กำหนดเปิดตัวของไทรทัน จี-แวกอน จึงต้องเลื่อนไป
หลังบางกอกมอเตอร์โชว์ ประมาณปลายไตรมาส 2 ต้นไตร-
มาส 3 ของปี 2008 และจะเปิดตัวก่อนแลนเซอร์ใหม่รหัส
GS41 ราคาเริ่มต้นประมาณ 9 แสนบาท
หลังนำเสนอความเคลื่อนไหวไปแล้วใน THAIDRIVER เล่ม
89 และ 92 แม้ว่าแลนเซอร์ใหม่จะเปิดตัวและทำตลาดแล้วใน
สหรัฐอเมริกา แต่แผนการบุกตลาดขั้นต่อไปของมิตซูบิชิคือ การ
เปิดตัวในญี่ปุ่นในชื่อชวนงง กาแลนท์ ฟอร์ติส ในช่วงเดือน
สิงหาคม-กันยายน 2007
มิตซูบิชิเลือกใช้ชื่อ กาแลนท์ ฟอร์ส สำหรับตลาดญี่ปุ่น
เนื่องจากขนาดตัวถังของแลนเซอร์ใหม่ กว้างและใหญ่กว่ารุ่น
ปัจจุบันมาก กว้างกว่ากาแลนท์รุ่นสุดท้าย (1996-2005) และ
กว้างใกล้เคียงซีดานหรู ไดอะแมนเต ที่เพิ่งยุติการผลิตไปเมื่อ
2 ปีที่แล้วอีกด้วย
สำหรับตัวแรงในรหัสอีโวลูชัน มิตซูบิชิประกาศว่าชื่อที่จะ
ใช้ทำตลาดทั่วโลกรวมทั้งในญี่ปุ่น คือ แลนเซอร์ อีโวลูชัน เท็น
(EVOLUTION X) ขุมพลังบล็อกหลัก 4B11 บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 2,000 ซีซี MIVEC 152 แรงม้า (HP) เพิ่มเทอร์โบ
และอินเตอร์คูลเลอร์ จูนกล่อง ECM (ENGINE CONTROL MODULE)
ปรับปรุงชิ้นส่วนให้มีความทนทาน รองรับกำลังระดับ
300 แรงม้า
เวอร์ชันไทยมีการยืนยันว่าจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2
ขนาด บนพื้นฐานเครื่องยนต์บล็อกใหม่ WORLD ENGINE
ผลผลิตจากความร่วมมือของ เดมเลอร์ไครส์เลอร์, มิตซูบิชิ และ
ฮุนได เป็นบล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว รุ่น 2,000 ซีซี MIVEC
152 แรงม้า จากเวอร์ชันตลาดโลก และขนาด 1,800 ซีซี MIVEC
ที่คาดว่าจะมีกำลังในระดับ 130-140 แรงม้า
แล้วรุ่น 1,600 ซีซี หายไปไหน?
มีความเป็นไปได้ที่มิตซูบิชิจะผลิตแลนเซอร์ JT โฉม
ปัจจุบัน เพื่อทำตลาดในเมืองไทยต่อไป เนื่องจากผู้จำหน่ายต่าง
จังหวัดยังต้องการ เพราะเป็นรถยนต์นั่งรุ่นขายดีของมิตซูบิชิไทย
ตลอด 2 ปีมานี้
หมายความว่ามิตซูบิชิจะทำตลาดแลนเซอร์ JT 1,600 ซีซี
ควบคู่กับรุ่นใหม่ เหมือนสมัยมิตซูบิชิ แชมป์ ทำตลาดควบคู่กับ
แลนเซอร์ อี-คาร์ ในปี 1992-1995 และมีความเป็นไปได้ที่ มิตซู-
บิชิ จะต้องตั้งชื่อย่อย (SUB-NAME) ให้กับแลนเซอร์ใหม่เหมือน
เช่นชื่อ ซีเดีย ในแลนเซอร์รุ่นปัจจุบัน
กำหนดเปิดตัวแลนเซอร์ใหม่ในไทย น่าจะเป็นช่วงไตรมาส
4 หรือปลายปี 2008 ก่อนมอเตอร์เอ็กซ์โป รุ่น 1,800 ซีซี เกียร์
ธรรมดา ราคาเริ่มต้นไม่แพงจนน่าแปลกใจ ใครสนใจเริ่มเก็บเงิน
รอได้อีกปีครึ่ง
SPY SHOT MITSUBISHI TRITON G-WAGON STOP
