คำตอบที่ 1
       เปลี่ยนไปจ่ายเงินถูกลงอย่างเดียวครับ อย่างอื่นไม่ต้องเปลี่ยน

คำตอบที่ 2
       ถูกลงแค่นิดนึงนิสสสสนึง ผมแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างทั้งด้านประสิทธิภาพหรือราคาแล้วเลยครับ ตอนนี้หัวจ่ายไหนว่างก็เข้าไปเติม น่าจะถูกลงซัก2-3 บาทเหมือนเบนซิน อันนั้นจะเป็นอะไรที่น่าเติมมากที่สุด

คำตอบที่ 3
       ใช้ไปซักพักก่อน ประมาณ 2-3 ถัง(วิ่งประมาณ 1,000-2,000 กิโลเมตร) แล้วควรเปลี่ยนกรองดีเซลด้วยครับ

คำตอบที่ 4
       ผมใช้อยู่ทั้ง ปตท. B5PLUS และ บางจาก B5PLUS
โดยเฉพาะบางจาก เริ่มใช้ตั้งแต่ออกมาจำหน่ายเลยครับ
ช่วงที่ออกวางจำหน่ายใหม่ๆ ราคาต่างกัน 1 บาท และลดลงมาเป็น 50.- สต. ก็ยังเติมใช้งานอยู่ครับ
เหมือนเติมดีเซลธรรมดา หรือตามปกติ ไม่เคยเปลี่ยนอะไรเลย
ที่ต้องคอยเปลี่ยนคือ น้ำมันเครื่องทุก 3,000.- 5,000 กม.
เปลี่ยนกรองน้ำมันเครือง เปลี่ยน หรือเป่ากลองอากาศ พอครับ
ส่วนตัวเลยน๊ะ ผมชอบเติม ปตท. B5PLUS รู้สึกว่าแรงกว่า บางจากอ๊ะ ( เป็นความเชื่อ ส่วนตั๊ว.. ส่วนตัวนะครับ )

คำตอบที่ 5
       ผมเคยใช้อยู่ประมาณ 10 000 km
ผลที่ได้ หัวฉีดตัน ไม่จ่ายน้ำมันเข้าเครื่อง เครื่องน็อคกระทันหัน(หยุด) ขณะขับ เพราะน้ำมันไขเครื่อง
ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่า สวิตซ์หัวฉีดตัน และหมดอายุ ประมาณ 180 000 km (แต่ อปพร. แถวแถวสีคิ้วบอกว่า รุ่นนี้ใช้ B ไม่ได้ เหมือนเครื่องผมเลย น็อคเหมือนกัน)
ผมจอดอยู่กลางสีคิ้ว ต้องใช้วิธีถอดสปิง สวิตซ์น้ำมันวิ่งเข้า กทม เสียค่าเช็คหัวฉีดทั้งระบบ+สปริงค์ อีก 4 600
พอพอกับ ส่วนต่างของราคาน้ำมันในตอนนั้นเลย
จนปัจจุบัน ผมไม่เติม B อีกเลย หาเติมแต่แบบเพรียวเพรียว ไม่งั้นของเติมของเชล ตัวทีมันแพงกว่าชาวบ้าน(มันบอกว่ามีสารล้างหัวฉีดในตัว)
เขาว่ามาว่า เวลาเติม ระยะการเปลี่ยนกรอง ต้องปล่อยขึ้นด้วย
ราคากรอง กับส่วนต่างน้ำมัน เดิมแบบไม่ B ดีกว่าครับ ต่างกันนิดเดียว ดีกว่า รถมาตายคาตีน
ผมสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมและน้อมรับคำแนะนำครับ
g410403@yahoo.com

คำตอบที่ 6
       ใช้อยู่ครับไม่มีปญหา นี่ก็ถังที่ 7หรือ 8 แล้วครับปรกติดี
สรุปก็คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนก่อนใช้ B5 ก็คือ เปลี่ยนปั้มนำมันเป็น บางจาก หรือ ปตท ครับ

คำตอบที่ 7
       B100 ก็ยังไหว นะฮับ