WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


หนังสือดีที่ชาวพุทธควรอ่าน
somsaks
จาก หนุ่มกระโทก
IP:115.67.234.50

เสาร์ที่ , 6/12/2551
เวลา : 04:42

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      


เล่มแรกที่ผมแนะนำ ก็คือพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน
โดยอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ผู้จัดทำ
มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
พิมพ์จำหน่ายในราคาเผยแพร่พระพุทธศาสนา

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ใช้ความเพียร พยายาม อุตสาหะอย่าสูง
สรุปย่อความจากพระไตรปิฎกบาลี 45 เล่ม ให้เหลือเพียงเล่มเดียวที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย
ผมซื้อเมื่อปี 2539 ฉบับบพิมพ์ครั้งที่ 16 ราคาตอนนั้นคงประมาณซัก 150 บาท



หลายคนเมื่อได้ยินว่า พระไตรปิฎก ก็คงนึกถึงยาขมหม้อใหญ่ ที่อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง
อย่าครับ อย่าคิดเช่นนั้น ลองอ่านก่อนแล้วท่านจะรู้ว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร
หลายคนอ้างว่าเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าโดนฝรั่งถามว่าพระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนอะไร
แล้วตอบไม่ได้ ก็คงอายเขาอยู่เหมือนกัน

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
พระธรรมและวินัยที่ พระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว บัญญัติแล้วจักเป็นศาสดาต่อไป
ดังนั้น เมื่อเป็นสาวกของพระองค์ท่านแล้วไม่ถือตามพระไตรปิฎก นับว่าใช้ไม่ได้
ไม่ควรนับว่าเป็นสาวกของพระองค์ น่าจะไปตั้งลัทธิใหม่ซะมากกว่า

อ่านแล้วสรุปได้ว่า กิเลสของผมก็บางเบา ไม่มากอย่างที่คิด
เหลือแค่ โทสะ โมหะ และโลภะ เท่านั้นเอง

ผมก็ใช้ตำราเล่มนี้เป็นหลัก ในการที่เขียนเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
แต่ใช้เล่มอื่น ๆ ประกอบด้วย

ในหนังสือเล่มนี้ จะมีแผนภูมิของพระไตรปิฎก และได้แบ่งพระไตรปิฎกออกเป็น 5 ภาคคือ

ภาค 1 ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก ตลอดจนเรื่องการสังคายนา
ภาค 2 ว่าด้วยเอกสารทางประวิติศาสตร์
ภาค 3 เป็นข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก
ภาค 4 เป็นการย่อความแห่งพระไตรปิฏก คือพระวินัยปิฏก สุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก
ภาค 5 ว่าด้วยบันทึกทางวิชาการ

การอ่านไม่จำเป็นต้องเรียงครับ สนใจเรื่องไหนก็อ่านตรงนั้น
ผมเองก็ยังอ่านได้ไม่กี่บท สงสัยอะไรก็จะคว้าเอามาอ่าน เมื่อได้อ่านก็จะมีกำลังใจขึ้น
เหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน ในสมัยพุทธกาล ก็เคยเกิดขึ้นเช่นกัน

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


เมื่อมีฉบับสำหรับประชาชนแล้ว ก็น่าจะมีหนังสือ

"คำบรรยายพระไตรปิฎก" โดยอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ด้วยอีกเล่มหนึ่ง

เล่มนี้พิมพ์โดย ธรรมสภา เมื่อปี 2540 ราคา 100 บาท บางกว่าฉบับประชาชนซักสิบเท่า
แต่ราคาใกล้เคียงกัน เปรียบเทียบแบบนี้แล้วจะคิดว่าแพง แต่ไม่แพงครับ
บางกว่าก็ดีกว่าในแง่ที่ถือไปอ่านที่ไหนก็ได้ ไม่ลำบากมากนัก แต่ก่อนผมก็ทิ้งไว้ในรถ
ตอนที่จอดคอยจะได้มีหนังสือไว้อ่าน

เล่มนี้จะสรุป ให้แบบเนื้อ ๆ แต่ก็ควรจะมีเล่มแรกด้วยนะครับ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  

คำตอบที่ 1
       ฉบับต่อไปก็คือ หนังสือ มิลินทปัญหา
หนังสือเล่มนี้ฉบับเดิม แต่งเป็นภาษาสันสกฤต ประมาณ พศ 500 ต่อมาต้นฉบับเดิมหายไป
เหลือแต่ฉบับบาลีในลังกาเท่านั้น ชาวยุโรปรู้ว่าจีนได้ฉบับเดิมไปจากอินเดียก็คัดจากจีนไป
แต่ไม่ได้ฉบับเดิม เพราะว่าจีนแปลเป็นภาษาจีนเสียแล้ว จึงคงมีฉบับบาลีเพียงสามแห่งเท่านั้น
คือที่ลังกา ไทย และพม่า ว่ากันว่าฉบับบที่ชาวยุโรปได้ไปจากไทยเป็นฉบับบที่สมบูรณ์กว่าที่ได้จากที่อื่น



ส่วนที่แปลเป็นภาษาไทย เดิมมีอยู่สามฉบับ คือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ,ฉบับที่แปลในสมัยรัชกาลที่ 3
และฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย หอสมุดได้เลือกเอาฉบับหลวงรัชกาลที่ 3 พิมพ์ขึ้นไว้
เรียกว่า "มิลินทปญหา ฉบับพิสดาร" เหตุที่หอสมุดฯ เลือกเล่มนี้เพราะว่า สำนวนเสมอต้นเสมอปลาย
แต่เล่มนี้ค่อนข้างจะอ่านยากเพราะว่าเป็นสำนวณเทศน์ ไม่ใช่สำนวนอ่าน


ต่อมา มหาปุ้ย แฮงฉายได้แปลจากต้นฉบับบเดิมที่เป็นบาลี พิพม์โดยสำนักพิพม์ ส ธรรมภักดี ราคา 160 บาท
และ อาจารย์วศิน อินทระได้แต่งหนังสืออธิบาย มิลินทปัญหา ขยายความหนังสือ ทำให้อ่านได้เข้าใจ
ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตอนนี้รู้สึกว่าราคาปกจะอยู่ที่ 120 บาท


เนื้อความในเรื่อง มิลินทปัญหานี้ กล่าวถึงพระยามิลินท์ กษัตริย์แห่งโยนก ซึ่งนักประวัติศาสตร์ว่ามีอยู่จริง
คือพระเจ้าเมนานเดอร์ กษัตริย์ชาวกรีกผู้มีปัญญาฉลาดไม่มีใครสู้ได้ เดิมทีไม่ได้นับถือพุทธศาสนา
ได้โต้ตอบ ถามปัญหากับพระในพระพุทธศาสนา แต่ไม่มีผู้ใดสามารถตอบปัญหาแก้ข้อสงสัยของพระองค์ได้
พระกลัวถูกรบกวนจึงได้หนีหายไปจากเมืองจนเกือบหมด ในหนังสือกล่าวว่าหนีเข้าป่า
ทำให้เมืองว่างจากสมณพราหมณ์ถึง 12 ปี

อันนี้เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า พระอริยนั้นจิตของท่านหลุดพ้น แต่ไม่ใช่ที่จะหยั่งรู้
หรือมีความสามารถในการโต้ตอบปัญหา ผมนึกถึงเมื่อมีคนถามหลวงปู่ชา ว่า พระอรหันต์เหาะได้หรือเปล่า
หลวงปู่ชา ท่านตอบได้อย่างฉลาดหลักแหลมมาก ว่า แมงกุ๊ดจี่ก็บินได้ คือเรื่องบินได้หรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 115.67.234.50 เสาร์, 6/12/2551 เวลา : 05:33  IP : 115.67.234.50   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34796

คำตอบที่ 2
      

เหล่าพระก็ได้ประชุมกัน เพื่อหาผู้มีปัญญาที่จะไปสามารถตอบปัญหาของพระยามิลินท์ได้
ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดที่มีความสามารถที่จะไปโต้ตอบ ตัดข้อสงสัยของพระยามิลินทร์ได้

จึงได้เหาะไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อพบพระอินทร์แล้วเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
พระอินทร์จึงตรัสว่า พระยามิลินท์ท่านั้นได้จุติลงไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่เอง
มีแต่มหาเสนเทพบุตรเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับพระยามิลินท์ได้
ตรัสเช่นนี้แล้วกเสด็จพาพระภกษุสงฆ์ไปที่เกตุวิมานของพระมหาเสนเทพบุตร
เพื่ออ้อนวอนขอให้ท่านจุติลงไปเป็นมนุษย์ เพื่อไปกำราบพระยามิลินท์


เริ่มสนุกหรือยังครับ

อย่าลืมว่าพระมหาเสนเพิ่งจะจุติลงมาเป็นมนุษย์มีชื่อว่า นาคเสน แต่พระยามิลินทร์ก็คงเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เพิ่งเกิดก็ต้องเรียนวิชากับอาจารย์ก่อน แต่ผมจะขอข้ามไปตอนโตเลย
ใครอยากรู้ว่าท่านเรียนอะไร บวชเรียนกับใคร อย่างไรต้องไปหาอ่านเอาเองแล้วครับ

พระยามิลินท์ได้สืบเสาะหาผู้รู้ที่จะสามารถโต้ตอบปัญหาของพระองค์ จนเมื่อได้ยินชื่อว่า
พระนาคเสน เท่านั้นแหละพระองค์ถึงกับครั่นคร้ามขึ้นมาในทันที ของมันแพ้ทางกันอยู่ครับ



เรื่องของเรื่องต้องย้อนกลับไป กล่าวถึงบุพกรรมของทั้งสองท่านในครั้งพระมหากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนาคเสนเป็นพระ ส่วนพระยามิลินท์เป็นเณร พระได้ใช้เณรหอบหยากเยื่อที่ท่านได้กวาดไว้ เอาไปทิ้งเสีย

แต่เณรดื้อครับ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอาหูทวนลม พระเรียกอยู่ถึงสามครั้ง เห็นว่าไอ้เณรน้อยนี่มันดื้อ
จึงตีด้วยด้ามไม้กวาด เณรก็ร้องไห้หอบเอาหยากเยื่อนั่นไปทิ้ง

ตอนที่เณรเล่นน้ำในแม่น้ำ ได้อธิษฐานหากได้ไปเกิดในที่ใด ๆ ขอให้มีปัญญาไม่สิ้นสุด ดุจดั่งคลื่นในแม่น้ำ
ส่วนพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์ ได้ยินเสียงเณรปรารถนา จึงคิดว่า เณรนี้มีความปรารถนาใหญ่
จักสำเร็จได้เพราะพระพุทธคุณ จึงหัวเราะขึ้นด้วยความดีใจว่า ขนาดเณรที่โดนใช้ยังปรารถนาถึงเพียงนี้
ท่านจึงตั้งความปรารถนาว่า ตราบใดที่ยังไม่นิพพานขอให้มีปัญญาไวไม่สิ้นสุด สามรถแก้ไขปัญหาทั้งปวง
ที่สามเณรนี้ไต่ถามได้สิ้น สามารถชี้แจงเหตุผลได้ทุกอย่าง

ถึงบอกว่าแพ้ทางกันมาตั้งแต่ในมุ้งแล้วไงครับ

ที่เหลือไปหาอ่านต่อกันเอง นะครับ ที่ผมพูดถึงมันเป็นแค่เปลือก ๆ ของหนังสือเล่นนี้เท่านั้น





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 115.67.234.50 เสาร์, 6/12/2551 เวลา : 06:15  IP : 115.67.234.50   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 34797

คำตอบที่ 3
      

หนังสืออ่านก่อนนอน วันละบท สำหรับมือใหม่ใฝ่ธรรมะ ( อย่างผม )

ด้วยจิตอันเป็นกุศล ที่พี่ตี๋ คลองเตยส่งมาให้อ่านครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.26.68.248 ศุกร์, 12/12/2551 เวลา : 11:08  IP : 125.26.68.248   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35057

คำตอบที่ 4
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Rin จาก Rin 202.12.118.61 ศุกร์, 12/12/2551 เวลา : 11:45  IP : 202.12.118.61   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35062

คำตอบที่ 5
       พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นอีกเล่มที่ผมใช้บ่อยที่สุด

ที่ผมเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังก็มาจากเล่มนี้แหละครับ

มีเพื่อนบางคนของผมบอกว่าตัวผมเองเก่งแค่ไหนมาสอนธรรมะให้คนอื่น ตัวของตัวเองยังเอาไม่รอดแล้วยังมาทำอวดภูมิสอนธรรมะ

ผมบอกว่าธรรมะไม่จำกัดที่จะต้องออกจากปากของพระเท่านั้น การที่ผมเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาเล่าไม่ใช่ผมสอนธรรมะ แต่ผมเอาพระพุทธวจนะมาบอกให้ทุกคนรู้ ผู้สอนคือพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผมสอนสักหน่อย

บางเรื่องผมเขียนมาตั้งหลายปีที่เว็บอื่นแล้วผมเพียงแต่ก็อปปี้มาให้อ่านเท่านั้น

ธรรมะเป็นเรื่องโดนใจเหมือนอ่านศาลาคนเศร้าของเล็กวงค์สว่าง อ่านแล้วมักจะคิดว่าคนเขียนเขาแอบด่ากรูหรือเปล่าฟ่ะ ความจริงแล้วบทความธรรมะส่วนมากของผมเป็นเรื่องที่ผมเขียนมาหลายปีแล้ว ซึ่งมันจะตรงใจกับสัตว์โลกที่ยัง กิน ขี้ ปี้ๆๆๆๆๆๆ แล้วนอน ทุกคน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.89.91 ศุกร์, 12/12/2551 เวลา : 12:21  IP : 125.24.89.91   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35068

คำตอบที่ 6
      


เห็นด้วยกับคำพูด อ.vonที่ว่า..

" ธรรมะไม่จำกัดที่จะต้องออกจากปากของพระเท่านั้น การที่ผมเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาเล่าไม่ใช่ผมสอนธรรมะ แต่ผมเอาพระพุทธวจนะมาบอกให้ทุกคนรู้ ผู้สอนคือพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผมสอนสักหน่อย "

ทำให้คิดถึงเวลาอยู่ในสนามไดร์ฟ มีคนหัดตีอยากให้เราช่วยเเนะนำ เราก็เเนะนำขั้นพื้นฐานได้เท่าที่ศึกษากับโปร จากหนังสือมา เเต่ก็มีคนใจเเคบ มองโลกเเง่ร้ายบางส่วนที่เห็นต่าง


ผมบอกตัวเองเเละคนในครอบครัวเสมอว่า " จงเป็นคนน้ำไม่เต็มเเก้ว" เปิดรับสิ่งอื่นๆด้วยความใจกว้าง ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เเยบคายว่าดี-ด้อยเพียงไร มิใช่ปฎิเสธอะไรด้วยจิตใจที่คับเเคบ อกุศล จนอาจทำให้เราพลาดสิ่งดีๆในชีวิตก็ได้

คนศึกษาธรรมะเเล้วใจคับเเคบ หลงตัวเอง มองโลกเเง่ร้าย เสียดายเวลาเเทนจริงๆครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.26.68.248 ศุกร์, 12/12/2551 เวลา : 12:32  IP : 125.26.68.248   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35069

คำตอบที่ 7
       ในสมัยโบราณจะมีผู้แสวงหาสัจจะธรรมของโลกที่เรียกว่า ปริพาชก

คนพวกนี้จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง ฟังธรรมจากปากของครูบาอาจารย์หลายๆท่านแล้วนำมาประมวลเข้าด้วยกัน

พระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ก็ท่องเที่ยวหาครูบาอาจารย์ไปเรื่อยๆตามสำนักต่างๆแล้วทดลองไปจนถึงจุดที่ตกผลึกได้รู้แจ้งด้วยตนเองด้วยบารมีที่สะสมมานับหมื่นนับแสนชาติ

ผมถึงเขียนเรื่อง นานาสังวาส ว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนควรเปิดกว้าง พระพุทธเจ้าก็ได้เปิดกว้างบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏ แต่ไม่ปฎิเสธการมีอยู่

การได้ฟังธรรมอื่นๆที่ต่างจากที่ออกจากปากของอาจารย์ของเราเป็นกำไรของชีวิตครับ บางคนปฎิเสธการฟังธรรมที่ไม่ได้ออกจากวัดที่ตัวเองนับถือแบบนี้เสียโอกาสที่เกิดมาจริงๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.89.91 ศุกร์, 12/12/2551 เวลา : 12:35  IP : 125.24.89.91   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35070

คำตอบที่ 8
      
ผมอยากแนะนำให้อ่านอีกสองเล่ม คือคู่มือมนุษย์ของท่านมหาปราชญ์แห่งสวนโมกข์ พุทธทาส เป็นหนังสือที่ชาวพุทธควรอ่านสักครั้งก่อนตาย


และ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของมหาปราชญ์แห่งมหายานพระเวียดนาม ท่าน ติช นัท ฮันห์ แล้วจะรู้ว่าทุกลมหายใจระหว่าเกิดจนถึงตายมันทำอะไรให้เราได้


การฟังธรรมที่ต่างออกไปจากที่เราเคยฟังเป็นกำไรของชีวิตครับ ถ้าตราบใดที่ธรรมอันนั้นไม่เด้งกลับมาทำร้ายกระเป๋าและครอบครัวเราหรือชวนเรานั่งจานบิน


ถ้าหวังใน อรหันต์ภูมิ ก็ฟังธรรม ที่ชอบที่ชอบ ไปตามใจ จะหลับตาภาวนาก็ทำไปตามใจปราถนา แต่ถ้าหวังในพุทธภูมิก็ต้องทำการบ้านเยอะหน่อย ทั้งแสวงหาธรรมใหม่ๆและต้องซ้อมมือขนสัตว์โลกโดยการช่วยเหลือผู้ได้ทุกข์ตามกำลังที่มีและให้ความรู้แก่ผู้ไม่รู้ตั้งแต่วันนี้ชาตินี้

แสงสว่างแห่งโมข์ปัญญาจะเปล่งออกมาให้คนอื่นที่ไม่ได้มองด้วยตาเนื้อรู้เองว่าคุณหวังใน อรหันต์ภูมิ หรือ พุทธภูมิ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.89.91 ศุกร์, 12/12/2551 เวลา : 13:49  IP : 125.24.89.91   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35078

คำตอบที่ 9
       เล่มต่อไปที่ไม่แนะนำไม่ได้ คือ หนังสือ "ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ"
โดยท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผู้ที่เป็นอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า
ถึงแม้ว่าท่านได้ละสังขารไปตั้งแตปี 2492 แต่ความดีของท่านก็ยังปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน


ประวัติของท่านนั้น มีผู้เขียนไว้หลายคน แต่ฉบับที่เขียนได้อย่างละเอียดคงต้องเป็นฉบับนี้
ในสมัยที่ท่านหลวงตาฯ เรียนปริยัติที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่นั้น ท่านพระอาจารย์มั่น
ได้เคยกล่าวไว้ว่าศิษย์เอกของท่านมาแล้ว กำลังเรียนอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง เมื่อเรียนจบจะมาเป็บกำลังสำคัญ
ทั้งที่ท่านมิได้อยู่ในเมือง แต่ทราบด้วยญาณของท่าน ถ้าผมจำไม่ปิดตอนนั้นท่านจำพรรษาอยู่ที่ อ.พร้าว


หนังสือฉบับนี้ไม่ได้พิมพ์เพื่อจำหน่าย แต่เป็นการพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน จึงไม่สามารถหาซื้อได้ตาม
ร้านหนังสือทั่วไป ใครอยากได้คงต้องไปเดินดูเอาตามร้านหนังสือเก่า และหลวงตาฯได้สงวนสิทธิ์ไว้มิให้
มีการพิมพ์จำหน่าย แต่ถ้าเป็นการพิมพ์เพื่อแจกสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต

ชีวประวัติและปฏิปทาของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงตามหาบัวได้รวบรวมจากพระอาจารย์หลายท่าน
ที่เป็นศิษย์อยู่ศึกษาอบรมกับท่านเป็นยุค ๆ จนถึงวาระสุดท้าย และสถานที่ต่างๆ ที่ท่านได้จาริกบำเพ็ญตน
และแสดงให้ฟังในที่ต่าง ๆ กัน ท่านเป็นอาจารย์ทางวิปัสสนาซึ่งควรได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างยิ่ง
ธรรมที่ท่านสั่งสอน แสดงออกซึ่งธรรมชั้นสูง ผู้ใกล้ชิดจะปราศจากความสงสัยในองค์ท่านว่าเป็นภูมิธรรมชั้นใด
ท่านยังมีลูกศิษย์ทั้งนักบวชและฆราวาสในประเทศลาวที่เคารพเลื่อมใสท่านอีกมากมาย

หากท่านใดหาหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ ยังไม่หมดโอกาสเสียทีเดียว
คุณเพลิน พรหมแดน นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ได้นำชีวประวัติจากหนังสือเล่มนี้
มาแต่งเป็นเพลง มีทั้งหมด 38 ตอน ที่เนื้อความเหมือนในหนังสือเล่มนี้ทุกประการ

หากมีใครสนใคร ผมจะ Upload ไฟล์เพลงขึ้นให้ครับ









 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 115.67.60.163 เสาร์, 13/12/2551 เวลา : 22:00  IP : 115.67.60.163   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35095

คำตอบที่ 10
       สำหรับผู้ที่คิดจะบวชเรียน ควรจะมีไว้หรือหาอ่านไว้คือ
"ศีลของพระ" โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเขียนได้สนุกมาก อ่านแล้วไม่เบื่อเลย
อ่านแล้วจะรู้ถึงที่มาที่ไปของพระธรรมวินัย ตลอดจนได้รำลึกถึงพระคุณของหลวงตายี
ที่มีนามจริง ๆว่า พระอุทายี ผู้ซึ่งเป็นต้นบัญญัติส่วนใหญ่ของพระธรรมวินัย
เมื่อได้บวชจะได้ไม่ทำผิดพระธรรมวินัย ความคิดของผมแล้วพระนวกะ
ควรจะได้ศึกษาพระธรรมวินัยเสียก่อนที่จะได้ศึกษาเรื่องอื่นครับ

ในสมัยพุทธกาล มีพระอุทายี อยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งคือเป็น อำมาตย์ของพระเจ้าสุทโทธนะ
ได้รับคำสัง่ให้ไปนิมนต์พระพุทธเจ้าสู้กรุงกบิลพัสตร์ แต่ท่านกลับออกบวชตามพระพุทธเจ้า

อุทายีอีกท่าน หรือที่ผมเรียกท่านว่าหลวงตายี นั่นเอง เป็นคนละคนกันครับ
เล่มนี้คงต้องถามที่ซอยสายลมกระมัง ความจริงฆราวาสก็อ่านดีนะครับ
อ่านแล้วท่านจะรู้ได้ว่า สิ่งใดที่พระสมควรทำหรือไม่สมควรทำ
ตลอดจนเข้าใจถึงสิ่งของที่สมควรจะนำเอาไปถวายพระว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร

ส่วนถ้าจะให้ละเอียดลึกมีอีกเล่มครับคือ "บุพพสิกขาวรรณา"

บุพพสิกขาวรรณนา เป็นหนังสือแสดงอธิบายพระวินัยที่ท่าน พระอมราภิรักขิต (อมโร เกิด)
เป็นผู้รจนาขึ้น ท้ายหนังสือบอกไว้ว่า เสร็จทั้งหมดในปีวอก พุทธศักราช ๒๔๐๓
นับเป็นปีรัชกาลที่ ๑๐ ในรัชกาลที่ ๔

ยังพอหาซื้อได้ครับ ที่มหามกุฏราชวิทยาลัย


ผมไม่มีทั้งสองเล่ม เล่มแรกหลวงพี่ชูเกียรติ ผู้ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงของผม เอามาให้อ่าน
อ่านจบก็คืนท่านไป ส่วนเล่มที่สองหลวงพี่ท่านก็แนะนำให้ไปอ่านต่อ

เล่มนี้ผมเคยอ่านที่ วัดหุบชะนี ของท่านอาจารย์เปา
ตั้งใจว่าจะซื้อเอาไว้เหมือนกัน เอาไว้อ้างอิง

ถือเป็นบุญของผมครับที่ได้พระพี่เลี้ยงท่านนี้ และที่ลืมพระคุณไม่ได้เลยคือท่านหลวงตาอ๋อย
ผู้ซึ่งนิมนต์หลวงพี่ท่านนี้ให้มาเป็นพระพี่เลี้ยงของผม




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 115.67.60.163 เสาร์, 13/12/2551 เวลา : 23:30  IP : 115.67.60.163   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35096

คำตอบที่ 11
       สมัยผมบวชพอเริ่มง่วงหลวงพ่อท่านก็จะเล่าเรื่องหลวงตายีให้ตาสว่าง ตอนนี้หลวงพ่อท่านสอนนักธรรมจนเป็นเจ้าคุณพัดแหลมไปหลายปีแล้วก็ยังไม่เลิกสอน ท่านเมตาสอนพระนวกะเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ข้ามไปสอนเปรียญที่มหาจุฬาฯทั้งที่ภูมิธรรมของท่านสอนระดับนั้นได้สบายๆ ไปเลี้ยงเพลท่านท่านก็เมตตาถามทุกข์สุขคนทั้งบ้านเพราะท่านบวชรุ่นไล่ๆกันกับคุณพ่อของผม

ท่านเล่าแบบมีมุขฮาตลอด ตอนนั้นผมนึกว่าพระระยำแบบนี้พระพุทธเจ้าท่านทำไมไม่ไล่ออกจากวัด พอเริ่มเข้าใจอะไรลึกซึ้งขึ้นถึงได้รู้ว่าความจริงหลวงตายีไม่ได้เป็นพระระยำตามที่ผมเข้าใจเลยสักนิดท่านเป็นพระอริยะท่านหนึ่งเลยทีเดียว

สมัยพุทธกาลพระที่บวชส่วนมากจะเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมแล้วเกือบทั้งหมด บ้างก็เป็นอรหันต์ ดังนั้นเรื่องการผิดศิล(ศิลแปลว่าปกติ ท่านเป็นอรหันต์ปกติของท่านคือบริสุทธิ์)จึงไม่เกิดขึ้น

แต่หลวงตายีมองการไกลว่าต่อไปพอพ้นพุทธกาลก็จะมีพระวิปริตเกิดขึ้นดังนั้นจึงต้องทีพระวินัยเกิดเพื่อเป็นแนวทางในการดำรงค์พระศาสนาต่อไป

พุทธศาสนาไม่ใช่ประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่หรือเลือกตั้งตามแบบกรีกหรือฝรั่งมังค่าอะไร แต่เป็นระบบที่ยึดความถูกต้องเพื่อประโยชน์สูงสุด จะเอาโจรมีหนึ่งเสียงเท่าอาจารย์มหาวิทยาลัยแบบทุกวันนี้เป็นไปไม่ได้และไม่ถูกต้อง จะเอาโจรเก้าพระหนึ่งคนมาโวตแข่งกันพระก็แพ้ทุกครั้งอยู่แล้ว



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.43.42 อาทิตย์, 14/12/2551 เวลา : 11:28  IP : 125.25.43.42   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35101

คำตอบที่ 12
       ดังนั้นเพื่อไม่ให้โจรเก้าคนมาโวตแข่งกับพระคนเดียวในอนาคตต้องให้เกิดพุทธบัญญัติขึ้นโดยหาทางให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยหลวงตายีจึงเริ่มทำเรื่องผิดๆต่างๆขึ้นมาให้พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามการทำสิ่งที่หลวงตายีทำเพื่อเป็นแนวทางให้พระรุ่นหลังไม่ต้องทำผิดวินัยหรือทำแล้วก็โหวตว่าไม่ผิดในอนาคตอีก

หลวงตายีเริ่มทำในสิ่งเล็กน้อยจำพวกเก็บอาหารสะสมปัจจัยหาฟูกนุ่มๆมานั่งมานอนให้พระพุทธเจ้าสั่งห้ามจนถึงเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดพาเมียเข้าไปเถิดเทิงในกุฎิแถมยังเปิดประตูกุฎิโชว์ให้คนเห็นหลวงตายีเชิดหนังตะลุงกับเมียเสียอีก

แต่ที่ท่านยังไปอาบัติขั้นปราชิกเพราะยังไม่มีกฎห้าม ดังนั้นท่านจึงเป็นต้นบัญญัติ ใครทำหลังจากท่านจึงเป็นอาบัติปราชิกตามพุทธบัญญัติ


วีระกรรมของหลวงตายีแต่ละเรื่องฮาโคตรๆทั้งนั้นเป็นมุขให้พระนวกะตาสว่างยามเรียนนักธรรมตอนบ่ายที่แสนง่วง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.43.42 อาทิตย์, 14/12/2551 เวลา : 11:47  IP : 125.25.43.42   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35102

คำตอบที่ 13
       หลังจากพระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามพระเอาเมียมานอนด้วย หลวงตายีก็เริ่มสร้างวีระกรรมใหม่ โดยการเข้าประตูหลังเมีย เล่นข้างบน ลามไปถึงรักแร้บ้าง ชอกขาบ้างสุดวิตถาร ให้พระพุทธเจ้าบัญญัติอีก

หลวงตายียังไม่ยอมแพ้เล่นให้เมียทำวิตถารอี่นๆจนสุดบรรยายจนสุดท้ายเกิดพุทธบัญญัติห้ามแตะต้องตัวสีกาเลยจะได้ตัดปัญหาไป หลวงตายีจะได้หายซ่า

แต่หลวงตายีก็หาเรื่องจนได้โดยให้เมียนั่งถลกผ้าแล้วหลวงตายีก็บรรเลงช่วยตัวเองเป็นที่ครึกครื้น

บัญญัติต่อมาคือห้ามสีกาอยูสองต่อสองกับพระโดยไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย หลวงตายีจะได้ไม่หาช่องอีก แต่หลวงตายียังไม่ยอมแพ้ ถ้าดูเอ็ดไม่ได้ก็โซโลแก้เหงาก็เกิดญัตติห้ามใช้มือขึ้นมา เมื่อทรงห้ามใช้มือ ก็ใช้ขาพับตัวเองบ้างใช้ก้นตัวเองบ้าง(โห...ยาวอะไรขนาดนั้น)จนต้องเกิดข้อห้ามสาระพัดขึ้นมา

คราวนี้นึกว่าหลวงตายีจะจ๋อยไปแล้ว แต่ถ้าจ๋อยก็ไม่ใช่หลวงตายี

คราวนี้หลวงตายีเล่นศพเลยครับ อะจ๊าก...




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.43.42 อาทิตย์, 14/12/2551 เวลา : 12:18  IP : 125.25.43.42   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35104

คำตอบที่ 14
       สมัยก่อนศพคนตายจะห่อผ้าแล้วนำไปโยนในป่าให้แร้งกากิน และประเทศไทยเองในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนในกรุงเทพแท้ๆก็ยังใช้วิธีนี้อยู่ เพิ่งจะมาใส่โลงไม่นานมานี่เอง

หลวงตายีแสวงหาศพสาวๆตายใหม่ๆเล่นวิตถารหลวงตายีก็โดนห้ามอีก คราวนี้หลวงตายีแกเลี่ยงว่าถ้าศพเริ่มเน่าแล้วหรือโดนสัตว์กินไปครึ่งตัวไม่นับว่าเป็นศพดังนั้นทำได้ แกก็เริ่มวิตถารพิศดารกับศพเน่าและศพเหลือครึ่งตัวไปอีก

จะเห็นว่าหลวงตายีแกทำตัวเป็นพระสุดบรรยายได้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ไล่ออกจากวัดเพราะท่านมีญาณหยั่งรู้ว่าหลวงตายีทำไปเพราะต้องการเป็นต้นพุทธบัญญัติท่านไม่ได้อยากทำแบบนั้นหรอก

จะว่าไปแล้วท่านเป็นพระอริยะระดับอรหันต์หรือเปล่าก็ยังเป็นที่สงสัยอยู่เพราะท่านมองการณ์ไกลว่าในอนาคตต้องมีพระนอกรีตนอกรอยทำเรื่องระยำกับพระศาสนา ท่านจึงยอมอุทิศตัวเองเป็นต้นพุทธบัญญัติให้คนหัวเราะท่านมาสองพันกว่าปีแล้ว ผมเองก็เคยหัวเราะท่านแต่ตอนนี้ผมนับถือท่านนะว่าท่านเป็นพระอริยะจริงๆ

ถ้าท่านเป็นอรหันต์ท่านก็เป็นแบบอรหันต์จี้กงที่คนมองว่าท่านเป็นพระบ้า แต่ภูมิธรรมในการสั่งสอนผู้คนด้วยวิธีแสบๆคันๆของท่านเรียกเสียงหัวเราะของคนได้เสมอ

ตอนเรียนนักธรรมบางวัดจะเล่าเรื่องหลวงตายี บางวัดก็ไม่เล่าเพราะอาจารย์บางท่านไม่ชอบพูดเรื่องบัดสีแบบนี้ให้อ่านกันเอง แต่ถ้าได้หลวงพ่อดีๆแบบพระนักเทศน์แล้วเล่าแบบปนเฮฮาจะแก้ง่วงยามเรียนนักธรรมได้ดีมากเลยครับ

เวลาผ่านไปหลายสิบปีผมยังจำมุขหลวงตายีเล่นรักแร้เมียได้เลยว่าหลวงพ่อท่านเล่าได้ฮาขนาดไหน ตอนหลวงพ่อสอดมุขว่าผู้หญิงอินเดียขนรักแร้ยาวเฟื้อยนี่ฮาสุดๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.43.42 อาทิตย์, 14/12/2551 เวลา : 12:19  IP : 125.25.43.42   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35105

คำตอบที่ 15
       นี่ไงครับ พระไตรปิฎก ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องสนุกๆให้อ่าน แต่ละเรื่องสนุกทั้งนั้น จะเอาแบบอ่านแล้วยิ้มคนเดียวหรืออ่านแล้วเกิดความสว่างในใจมีให้เลือกเสพได้สาระพัดในเล่มเดียวกัน



ชาวพุทธทั้งหลาย ในชีวิตนี้เคยเปิดพระไตรปิฎกอ่านกันแล้วหรือยังครับ




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.25.43.42 อาทิตย์, 14/12/2551 เวลา : 12:24  IP : 125.25.43.42   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35106

คำตอบที่ 16
      


ธรรมะไม่ใช่เรื่องคำเทศน์ที่เเปลยากเท่านั้น เรื่องง่ายๆรอบตัวก็มีให้ศึกษานี่เอง อืมม์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.26.70.88 อาทิตย์, 14/12/2551 เวลา : 15:47  IP : 125.26.70.88   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 35108

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,10 พฤษภาคม 2567 (Online 2958 คน)