WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


กาลามสูตร
somsaks
จาก หนุ่มกระโทก
IP:1.47.56.53

จันทร์ที่ , 14/3/2554
เวลา : 12:07

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่น่าแปลกใจที่ไม่ค่อยนำคำสั่งสอนที่องค์พระศาสดามาปฏิบัติ

มีของประหลาดเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็มักจะมีคนยกโขยงไปจุดธูป กราบไหว้
น่าแปลกใจที่ไปไหว้ ต้นไม้ ไหว้สัตว์ แทนที่จะบูชาสิ่งที่ควรบูชา

เรื่องความเชื่อ พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ในพระสูตรที่ชื่อว่า กาลามสูตร ผมขอคัดลอกจาก
หนังสือความดีเด่นของกาลามสูตร และ คำสดุดีพระพุทธศาสนาของนักปราชญ์ชาวตะวันตก โดย พระธรรมวิสุทธิกวี วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร มาให้สมาชิกได้อ่านกัน


กาลามสูตร เป็นพระสูตรสำคัญสูตรหนึ่งในพระพุทธศาสนา ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ จากนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน แท้ที่จริง ในพระไตรปิฎก ชื่อกาลามสูตรไม่ได้มีปรากฏอยู่ หากมีแต่ชื่อว่า เกสปุตตสูตร ทั้งนี้ก็เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้แก่ชาวกาลามะ ซึ่งอยู่ในเกสปุตตนิคม เพราะฉะนั้น จึงตั้งชื่อพระสูตรนี้ตามชื่อของนิคมนี้ว่า เกสปุตตสูตร แต่คนที่อยู่ในนิคมหรือ ตำบลนี้เป็นเชื้อสาย หรือมีสกุลเดียวกัน คือ สกุลกาลามะ เขาจึงเรียกประชาชนเหล่านี้ว่ากาลามชน ซึ่งมีโคตรอันเดียวกัน สกุลเดียวกัน คือ กาลามโคตร เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกพระสูตรนี้ว่า เกสปุตตสูตร แต่ชาวโลกทั่วไป มักจะเรียกพระสูตรนี้ว่า กาลามสูตร เพราะรู้สึกว่าจะเรียกได้ง่ายกว่า





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  

คำตอบที่ 1
       พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ไม่ยาว แต่มีใจความลึกซึ้งน่าคิดประกอบด้วยหตุผล
ซึ่งผู้นับถือ พระพุทธศาสนาหรือผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาควรจะได้ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการใช้เหตุผลตามหลัก วิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับกฎทางวิทยาศาสตร์

พระสูตรนี้มีความเป็นมาโดยย่อว่า

ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยัง เกสปุตตนิคม อันเป็นที่ อยู่ของพวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน
ชาวกาลามชนในเกสปุตตนิคมทราบข่าวมาก่อนแล้วว่า พระพุทธเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไร

ก่อนที่พระองค์จะได้เสด็จมายังหมู่บ้านของพวกเขา จึงต่างก็พากันไปเฝ้าเป็น จำนวนมาก
เพราะชื่อเสียงของพระพุทธเจ้าดังก้องไปว่า
"อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทธโธ" เป็นต้น ดังที่เราสวดสรรเสริญกันในบทสวดมนต์ ซึ่งปรากฏมากในพระสูตรต่าง ๆว่า
"แม้เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์, เป็นผู้ตรัสรู้ เองโดยชอบ, เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ,
เสด็จไปดีแล้ว,เป็นผู้รู้แจ้งโลก,เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า, เป็นผู้รู้ เป็นผู้เบิกบานเป็นผู้จำแนกธรรม เป็นต้น"



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 12:13  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53430

คำตอบที่ 2
       เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่เกสปุตตนิคมนั้น มีประชาชนมาเฝ้ากันมาก
คนอินเดียมีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักบวชนับถือลัทธินิกายใด
หรือว่าพวกเขาจะไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ตามแต่พวกเขา ก็อยากจะฟังความรู้ความเข้าใจ และต้องการปัญญา

ดังนั้น พวกที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ เป็นพวกที่ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาปก็มี พวกที่ไม่นับถือ พุทธศาสนาก็มีพวกที่สงสัยอยู่ก็มี
พวกที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอยู่แล้วก็มี
เพราะฉะนั้น ประชาชนที่ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าในสมัยนั้นจึงมีลักษณะอาการที่ไปเฝ้าแตกต่างกัน
ซึ่งอาการที่ไปเฝ้าของประชาชนเหล่านั้น มีลักษณะ ดังนี้

- บางพวกเมื่อได้ทราบเสร็จแล้วก็นั่งนิ่ง ไม่พูดจาอะไร
- บางพวกเป็นเพียงแต่แสดงความยินดีแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
- บางพวกกล่าวชมเชยพระพุทธเจ้าแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
- บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตนว่า ตนเองชื่ออะไร โคตรอะไรแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
- บางพวกก็ไม่กล่าวอะไร ไม่แสดงอาการอะไร ได้แต่นั่งเฉย ๆ
- บางพวกเป็นเพียงแต่ประนมมือไหว้ แล้วก็นั่งเฉยอยู่

เพราะฉะนั้น ประชาชนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีวรรณะใด ก็สามารถเข้าเฝ้า ได้อย่างใกล้ชิด
เพราะพระพุทธเจ้ามิได้ทรงถือชั้นวรรณะ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นโอรสกษัตริย์ประสูติอยู่ใน วรรณะกษัตริย์
แต่พระองค์ถือว่าคนไม่ได้ประเสริฐเพราะสกุลกำเนิดแต่จะประเสริฐได้ก็เพราะการกระทำของตนเอง
ดังนั้นจึงมีประชาชนไปเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมากและเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 12:20  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53431

คำตอบที่ 3
       ประชาชนที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ได้กราบทูลขึ้นว่า

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้ มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่าง ๆ
เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆ และ สมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาเหล่านั้น
ได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาของคนอื่น
แล้วสมณพราหมณ์นักสอน ศาสนาเหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป

ต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาพวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้
แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตน แต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาของคนอื่น

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น
ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่"

พระพุทธเจ้าทรงแสดงความเห็นใจต่อประชาชนเหล่านั้นว่า

"ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัย
เพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย"

สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 12:27  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53432

คำตอบที่ 4
       พระพุทธเจ้าแทนที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว
พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่น
แต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง

- มา อนุสฺสวเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
- มา ปรมฺปราย อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
- มา อิติกิราย อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
- มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
- มา ตกฺกเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
- มา นยเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
- มา อาการปริวิตกฺเกน อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
- มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
- มา ภพฺพรูปตา อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
- มา สมโณ โน ครูติ อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้

ข้อความประเภทนี้ตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อ ถ้าเขายังไม่ได้ทดสอบหรือพิจารณาเหตุผลให้ปรากฏก่อน
และข้อความเช่นนี้ไปตรงกันได้อย่างไร ในข้อที่ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุ เหล่านี้
ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะเชื่อแบบใดเมื่อปฏิเสธไปหมดเลยทั้ง 10 ข้อ และเราควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุและผล ไม่โจมตีศาสนา ไม่โจมตีผู้ใด
ชี้แต่เหตุและผลที่ยกขึ้นมา อธิบายเท่านั้น

พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจคิดว่า
ถ้าใครถือตามแบบนี้ทั้งหมด ก็มองดูว่าน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ ไม่เชื่ออะไรเลย
แม้แต่ครูของตนเอง แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ให้เชื่อ
พิจารณาดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ แต่ก็ไม่ใช่



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 12:32  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53433

คำตอบที่ 5
       คำว่า "มา" อันเป็นคำบาลีในพระสูตรนี้ เป็นการปฏิเสธมีความหมายเท่ากับ No หรือ นะคืออย่า
แต่โบราณาจารย์กล่าวว่า ถ้าแปลว่า อย่าเชื่อ เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งไป
ควรแปลว่า"อย่าเพิ่งเชื่อ" คือให้ฟังไว้ก่อน

สำนวนนี้ ได้แก่สำนวนแปลของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส นักปราชญ์รูปหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์
แต่บางอาจารย์ให้แปลว่า"อย่าเพิ่งปลงในเชื่อ" แต่บางท่านแปลตามศัพท์ว่า "อย่าเชื่อ"
ดังนั้น การแปลในปัจจุบันนี้จึงมีอยู่ 3 แบบคือ

1. อย่าเชื่อ
2. อย่าเพิ่งเชื่อ
3. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ

การแปลว่า "อย่าเชื่อ" นั้น เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งเป็นการไม่ค่อยยอมกัน
ส่วนการแปลอีก 2 อย่างนั้น คือ "อย่าเพิ่งเชื่อ" และ "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นก็มีความหมายเหมือนกัน
แต่คำว่า "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นเป็นสำนวนแปลที่ค่อนข้างยาว

ดังนั้น คำว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" เป็นสำนวนที่สั้นกว่า ง่ายกว่าและเข้าใจได้ดีกว่า
ฉะนั้น การที่จะแปลให้ฟังง่ายและเหมาะสมก็ต้องแปลว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ"

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครจะพูดก็พูดไปเราก็ฟังไป อย่าไปว่าหรือค้านเขา แต่อย่าเพิ่งเชื่อ
ต้องพิจารณาดูก่อนว่าถูกหรือผิด เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เป็นบุญหรือเป็นบาป
เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์

นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสอีกมากในพระสูตรนี้ แต่ในที่นี้จะขออธิบายความหมายของข้อแนะนำทั้ง 10 ประการเสียก่อน
เพราะเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากของพระสูตรนี้ และได้รับการแปลออกเป็น ภาษาต่างๆ หลายภาษา
เพราะเขาถือว่าเป็นกฏทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่คาดคิดเลยว่าจะมีกล่าวไว้ในครั้งสมัยเมื่อ ประมาณ 2,600 ปีมาแล้ว
ที่ใช้ความคิดแบบอิสระอย่างนี้ เป็นความคิดที่มีเหตุผล 10 ประการ คือ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 12:39  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53434

คำตอบที่ 6
       1. อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา บางคนเมื่อฟังตามกันมาก็เกิดความเชื่อ
เมื่อคนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ ก็เชื่อตามกันไป โดยบอกว่า "เขาว่า"
ปัจจุบันนี้การเชื่อตามเขาว่านี้ ถ้าไปเป็นพยานในศาลจะไม่เป็นที่ยอมรับ
เพราะการที่ "เขาว่า" นั้น มันไม่แน่การฟังตามกันมาก็เชื่อตามกันมา

ฉะนั้นสุภาษิตปักษ์ใต้จึงมีอยู่บทหนึ่งว่า
"กาเช็ดปาก คนว่ากาเจ็ดปาก ปากคนมากกว่าปากกาเป็นไหนๆ"

สุภาษิตนี้หมายความว่า ชายคนหนึ่งเห็นกากินเนื้อแล้วเช็ดปากที่กิ่งไม้ ก็มาเล่าให้เพื่อนฟังว่า
"ฉันเห็นกาเช็ดปาก" เพื่อนคนนั้นฟังไม่ชัด กลายเป็นว่า"ฉันเห็นกาเจ็ดปาก"
ก็ไปเล่าต่อว่า คนโน้นเล่าให้ฟัง เมื่อวันก่อนว่าเขาเห็นกาเจ็ดปาก ก็เล่าต่อกันมาเรื่อย ๆ ว่า
กามีเจ็ดปาก นี่เป็นการเชื่อตามคำเขาว่า ซึ่งบางคนก็ฟัง มาไม่ชัดเพราะฉะนั้น ก็อาจฟังผิดได้
การที่เขาว่าจึงอาจจะถูกหรือผิดได้ เช่น บัตรสนเท่ห์
เขาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ว่าตามที่เขาว่านั้น ซึ่งมีจริงบ้างไม่จริงบ้าง ปนกันอยู่

เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเชื่อตามที่เขาว่า แต่ให้ฟังไว้ก่อนชาวพุทธจะไม่ปฏิเสธการที่เขาว่า
แต่จะฟังไว้ ก่อน โดยยังไม่เชื่อทีเดียว บางทีก็ฟังตามกันมาตั้งแต่โบราณ
เช่น สมมุติว่าฝนแล้งก็ต้องแห่นางแมวแล้วฝนจะตก เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าแห่นางแมวแล้วฝนจะตก
บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่เขาเล่ากันมาอย่างนี้ คือเชื่อตามเขาว่า ซึ่งก็อาจจะไม่เป็นจริงตามเขาว่าก็ได้
ดังนั้น เราต้องเชื่อตามเหตุผล อย่าเชื่อตามเขาว่า

2. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดว่าเป็นของเก่า เล่าสืบๆ กันมา
บางคนบอกว่าเป็นของเก่า เป็นความเชื่อ ตั้งแต่สมัยโบราณเราควรจะเชื่อ เพราะเป็นของเก่า
ถ้าไม่เชื่อ เขาก็หาว่าจะทำลายของเก่า บางคนเห็นผีพุ่งไต้ ก็บอกว่านั่นแหละวิญญาณจะลงมาเกิด อย่าไปทัก
เพราะเป็นความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณ เมื่อมีแผ่นดินไหว คนโบราณจะพูดว่าปลาอานนท์พลิกตัว
หรือเวลามีฟ้าผ่าก็บอกว่ารามสูรขว้างขวาน ฟ้าแลบก็คือนางเมขลา ล่อแก้วเข้าตารามสูร รามสูรโกรธ จึงขว้างขวานลงมาเป็นฟ้าผ่า

ความเชื่อเช่นดังกล่าวมานี้เป็นความเชื่อของคนในสมัยโบราณ
ซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักของเหตุผล ดังนั้นความเชื่อของคนโบราณนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกหรือดีเสมอไป
แต่เป็นความเชื่อปรัมปรา เราจึงไม่ควรจะเชื่อ ถ้ายังไม่แน่ใจถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนำสืบๆกันมา



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 12:44  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53435

คำตอบที่ 7
       3. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นข่าวเล่าลือ หรือตื่นข่าว
เรื่องข่าวนั้นมีมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวทันโลก ข่าวช่วงเช้า ข่าวช่วงเย็น
ข่าวเขาว่า ซึ่งมีอยู่มากมาย ถ้าเราไปเชื่อตามข่าว เราก็อาจจะเป็นคนโง่ได้
เช่น บางคน อ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงแน่แล้ว
แต่ข่าวจากหนังสือพิมพ์นั้น บางทีลงข่าวตรงกันข้าม จากข่าวจริง ๆ เลยก็มี
หรือมีจริงอยู่บ้างเพียงบางส่วนก็มี เราจึงควรพิจารณาให้ดีเสียก่อน
เพราะข่าวบางข่าวนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นต้องมาลงขอขมากันภายหลังที่ลงข่าวผิด ๆ ไปแล้วก็มี

ดังนั้น ข่าวลือจึงมีมาก เช่น ลือว่าจะมีการปฏิวัติ ลือว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี
ซึ่งบางทีก็จริง บางทีก็ไม่จริง หรือลือกันว่าคนเกิดวันนั้นวันนี้ จะตายในปีหน้า ต้องรีบทำบุญเสีย
ก็เลยพากันเฮมาทำบุญกัน นี้ก็เพราะฟังเขาลือกันมา
บางคนก็ลือกันแบบ กระต่ายตื่นตูมเป็นข่าวเขาว่าไม่ใช่ข่าวเราว่า
เพราะฉะนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อ

4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
ถ้าใครเอาตำรามาอ้างให้เราฟัง เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะตำราก็อาจจะผิดได้
บางคนอาจจะค้านว่า "ที่เราพูดถึงกาลามสูตรนี้ ไม่ใช่ตำราหรอกหรือ"
จริงอยู่ เราก็อ้าง กาลามสูตรซึ่งเป็นตำราเหมือนกัน แต่ท่านว่า อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอาจจะผิดได้
ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเอาตำราอะไรก็ตามมาอ้างเราก็ต้องอย่าเพิ่งเชื่อ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้พิจารณาดูก่อน บางคนกล่าวยืนยันว่าตนเอง อ้างตามตำรา
ซึ่งแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อ่านตำรานั้นเลย แต่ว่าเอามาอ้างขึ้นเอง บางคนก็ต้องการ โดยการอ้างตำรา ดังมีเรื่องเล่ากันมาว่า

อุบาสก 2 คนเถียงกัน ระหว่างสัตว์น้ำกับสัตว์บกอย่างไหนมีมากกว่ากัน
อุบาสกคนหนึ่งบอกว่า สัตว์บกมีมากกว่า เพราะบนบกนั้นมีสัตว์นานาชนิด เช่น มีแมลงต่างๆ มีมดต่างๆ มากมาย
ส่วนอีกคนหนึ่งค้านว่า สัตว์น้ำมีมากมายหลายชนิดนับไม่ถ้วน แม้แต่กุ้ง ปลา ก็นับไม่ถ้วนเสียแล้ว
สัตว์น้ำต้องมากกว่าสัตว์บกแน่นอน ทั้งสองคนจึงไม่อาจตกลงกันได้

อุบาสกคนหนึ่งหัวไวได้ยกบาลีมาอ้างว่า "พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์น้ำมีมากกว่าสัตว์บก
ดังพระบาลีที่ว่านัตถิ เม สรณัง อัญญัง แปลว่า สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก"

อุบาสกอีกคนหนึ่งไม่กล้าค้านเพราะกลัวจะตกนรก แท้ที่จริง คำว่า "นัตถิ เม สรณัง อัญญัง" นั้น
ไม่ได้แปลว่า "สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก" แต่แปลว่า "ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี"
ผู้อ้างคิดแปลเอาเองเพื่อให้คำพูดของตนมีหลักฐานการอ้างตำรา อย่างนี้จึงไม่ถูกต้องถ้าใครหลงเชื่อก็อาจถูกหลอกเอาได้

นอกจากนี้ ตำราบางอย่างก็อ้างกันมาผิด พวกที่ไม่รู้ภาษาบาลี เมื่อเห็นเขาอ้างก็คิดว่าจริง
เช่น นักหนังสือพิมพ์ บางคนกล่าวว่า "ทุกขโต ทุกขถานัง ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน"
ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นบาลีที่ไม่ถูกต้อง เป็น ประโยคที่ไม่มีประธาน ไม่มีกริยา เป็นบาลีที่แต่งผิด
อาจารย์บางท่านเรียกบาลีเช่นนี้ว่า "เป็นบาลีริมโขง"
แต่คนกลับคิดว่าเป็นคำพูดที่ซึ้งดี เพราะฟังดูเข้าที่ดี นี้ก็เป็นการอ้างตำราที่ผิด
ถึงแม้ว่าตำรานั้นจะเขียนถูกแต่ถ้าหาก ว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ควรเชื่อ

ปัจจุบันนี้ มีการโฆษณาหนังสือยอดกัณฑ์พระไตรปิฎกว่า
ถ้าถ้าใครสวดเป็นประจำก็จะร่ำรวยเป็น เศรษฐี ได้ทรัพย์สมบัติและจะปลอดภัย ปลอดโรคต่าง
คนก็พากันสวดและพิมพ์แจกกันมาก ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรเมื่อมีผู้นำหนังสือนี้มาถวายให้
จะเผาทิ้งก็ติดที่มีคำบาลีอยู่ด้วย หนังสือนี้ได้พิมพ์ต่อเนื่องกันมาผิด ๆ และไม่มีพระสงฆ์รูปใดสวดยอดกัณฑ์พระไตรปิฎก
นอกจากในหมู่ฆราวาสบางคนที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา

ดังนั้นใครอ้างบาลี เราก็จงอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูให้ดีว่ามีอะไรถูกหรือผิดบ้างเสียก่อน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 12:53  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53436

คำตอบที่ 8
       5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
ท่านใช้คำว่า ตักกเหตุ คือ การตรึก หรือการคิด ตรรกวิทยาเป็นวิชา แสดงเรื่องความคิดเห็น อ้างหาเหตุผล
แต่พระพุทธเจ้าทรงกล้าค้านตรรกวิทยาได้ว่า การอ้างหาเหตุผลโดยการคาดคะเนนั้น
อาจจะผิดก็ได้การอ้างหาเหตุผลนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกไปเสียทุกอย่าง

การนึกคาดคะเนหรือการเดาเอาของคนเรานั้นผิดได้ เช่นหลักตรรกวิทยากล่าวว่า "ที่ใดมีควัน ที่นั้นมีไฟ" ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป
เดี๋ยวนี้ที่ใดมีควัน ที่นั้นอาจจะไม่มีไฟก็ได้ เช่น เขาฉีดสารเคมี พ่นยาฆ่าแมลง ก็มองดูว่าเป็นควันออกมา แต่หามีไฟไม่

หรือบางคนก็คิดเดาเอาเองว่าคงจะเป็นอย่างนั้น คงจะเป็นอย่างนี้ คำว่า คงจะ นั้นมันไม่แน่
เพราะฉะนั้น เราก็อย่าเพิ่งตัดสินว่าเรื่องนี้ถูกแน่นอนแล้ว คำว่า คงจะ นั้นเป็นการนึกเดาเอา

6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยการคิดคาดคะเนหรืออนุมานเอา
ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าเราจะแซงรถคันหน้าพ้น ถ้าเราขับรถเร็วกว่านี้ ซึ่งเป็นการคาดคะเนเอา
บางทีเราคาดคะเนความเร็วไม่ถูก ก็อาจจะชนรถคันหน้าที่วิ่งสวนมา โครมเข้าไปเลยก็ได้
การคาดคะเนหรืออนุมานเอาอย่างนี้ ทำให้คนตายมามากแล้ว การอนุมานเอานี้มันไม่แน่

บางคนคิดว่าฝนคงจะตกแน่เพราะเห็นเมฆดำก่อตัวขึ้นมาก็เป็นการอนุมานเอาว่าฝนคงจะตก
แต่บางที ลมก็จะพัดเอาเมฆนี้ลอยพ้นไปเลยก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่เพราะอนุมานเอา

ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า แม้อนุมานเอาก็อย่าเพิ่งเชื่อ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 12:56  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53437

คำตอบที่ 9
       7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ

คือเห็นอาการที่ปรากฏแล้วก็คิดว่าใช่แน่นอน เช่น เห็นคนท้องโตก็คิดว่าเขาจะมีลูก ซึ่งก็ไม่แน่
บางคนแต่งตัวภูมิฐานก็คิดว่าคนนี้เป็นคนใหญ่โต ร่ำรวย ซึ่งก็ไม่แน่อีก
บางทีก็เป็นขโมย แต่งตัวเรียบร้อยมาหาเรา บางคนทำตัวเหมือนเป็นคนบ้าคนใบ้มานั่งใกล้กุฏิพระ คนก็ไม่สนใจนึกว่าเป็นคนบ้า
แต่พอพระเผลอก็ขโมยของของพระไป

ดังนั้น เราจะดูอาการที่ปรากฏก็ไม่ได้ บางคนปวดหัว ก็คิดว่าเป็นโรคอะไรที่หัว แต่ก็ไม่แน่
สาเหตุอาจจะเป็นที่อื่นแล้วทำให้เราปวดหัวก็ได้ เช่น ท้องผูก เป็นต้น
หรือเราขับรถมาถึงสะพานซึ่งมองดูแล้วคิดว่าสะพานนี้น่าจะมั่นคงพอจะขับข้ามไปได้ แต่ก็ไม่แน่
สะพานอาจจะพังลงมาก็ได้

8. อย่าเพิ่งเชื่อว่าต้องกับลัทธิของตน คือ เข้ากับความเชื่อของตน
เพราะตนเชื่ออย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อใครพูดอย่างนี้ให้ฟัง ก็ยอมรับว่าใช่และถูกต้อง ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป
เพราะสิ่งที่เราเชื่อมาก่อนนั้นอาจผิดก็มี บางทีคนอื่นก็มาหลอกเรา เพราะเห็นว่าเราเชื่ออยู่ก่อนแล้ว
จึงอาศัยความเชื่อของเรา เป็นเหตุมันจึงไม่แน่เสมอไป

บางคน เมื่อมีใครมาพูดตรงกับความคิดเห็นของตนก็เชื่อแล้ว
ตัวอย่างเช่น เราไม่ชอบใครอยู่สักคนหนึ่ง พอใครมาบอกเราว่าคน ๆ นั้นไม่ดี ก็เชื่อว่าเป็นคนชั่วแน่
เพราะตนเองก็ไม่ชอบหน้าเขาอยู่แล้ว เรื่องอย่างนี้ก็ไม่ แน่เสมอไป
เพราะคนที่เราไม่ชอบอาจจะเป็นคนดีก็ได้ แต่ว่ามีคนอื่นมาพูดยุยงให้เราเข้าใจไปอย่างนั้น เราจึงมองผิดไปได้

หรือคนที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกหรือเรื่องเครื่องลางของขลัง
พอมีใครมาพูดเรื่องเช่นนี้ก็เชื่อสนิท เพราะไปตรงกับความเชื่อของตน

เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งเชื่อ แม้ในกรณีดังกล่าวมานี้



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 13:05  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53438

คำตอบที่ 10
       ตาลายไปหมด มีแต่ตัวหนังสือ


นึกว่าจะมีรูปประกอบ



กาลมสูตร ไม่ใช่ กามาสุตรา นะครับ อิๆๆ
จาก : ม้าเขียวกทม.(ม้าเขียวกทม.) 14/3/2554 18:12:43 [115.87.112.155]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

jnipon จาก jnipon 161.246.254.167 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 14:43  IP : 161.246.254.167   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53439

คำตอบที่ 11
       9. อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
คือ เห็นว่าคนที่เป็นคนใหญ่คนโตนั้น พูดจาควรเชื่อถือได้ เช่น เป็น ถึงชั้นเจ้า หรือตำแหน่งสูง
เราก็ควรจะเชื่อคำพูดของเขา แต่มันก็ไม่แน่ แม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่แน่
เราจึงต้องฟังดูให้ ดีเสียก่อน แม้แต่คณะรัฐมนตรีเองก็ไม่แน่ อย่าเพิ่งไปเชื่อคำพูดของท่านเหล่านั้นทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์
ไม่ได้ว่าผู้พูด มียศมีตำแหน่งอย่างนี้แล้ว จะพูดเรื่องน่าเชื่อถือได้เสมอไป
เราควรจะฟังหูไว้หู ฟังให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจะ ถูกหลอกได้ง่าย

อย่าเพิ่งเชื่อในที่นี้ มิได้หมายความว่าไม่ให้เชื่อ แต่ควรจะพิจารณาดูก่อนแล้วถึงจะเชื่อ

10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าผู้พูดเป็นครูของเรา
ข้อนี้แรงมาก คือ แม้แต่ครูของตนก็ไม่ให้เชื่อ ทั้งนี้ เพราะครูของเราก็อาจจะพูดผิดหรือทำผิดได้
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องฟังให้ดีไม่มีศาสนาใดสอนเราไม่ให้เชื่อครูของตน
แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนว่าไม่ให้เชื่อ แต่ ทรงสอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูเสียก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ

พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุผลในข้อที่อย่าเพิ่งเชื่อดังกล่าวมาดังนี้ โดยตรัสว่า
"ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นอกุศล มีโทษ
ก่อความทุกข์ เดือดร้อน วิญญูชนติเตียน ถ้าประพฤติเข้าแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์เดือดร้อน ท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งเหล่านี้เสีย "

พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าดีหรือไม่ดี แต่ให้พิจารณาดูว่าถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย

พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสต่อไปว่า
"ชาวกาลามะทั้งหลายท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ความโลภ ซึ่งเกิดขึ้นในใจของคนเราแล้ว
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความโลภเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ "

ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "ไม่เป็นเพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า"

"เมื่อความโลภเกิดขึ้นแล้ว ทำให้คนฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง
และสิ่งใดที่ ไม่เป็นประโยชน์เขาจะชักนำให้ทำสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่จริง" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ

ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "จริง พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกว่า "แต่ถ้าจริงแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญความนี้เป็นไฉน เมื่อความโลภเกิด ขึ้นในใจของคนแล้ว
เป็นเหตุให้เขาฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามและชักชวนให้คนทำชั่วแล้ว ความ โลภนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์"

ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "แล้วมีโทษหรือไม่มี"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "มีโทษ พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อว่า "วิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือเป็นไปเพื่อความทุกข์"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"

พระสูตรนี้มีลักษณะของการถามตอบ คือให้ผู้ที่ถูกถามคิดเอาเอง ไม่ได้ยัดเยียดความคิดให้ หรือ บังคับให้ตอบ

ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเกี่ยวกับความโกรธบ้างว่า
"ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ เป็นไฉน คนที่ถูกความโกรธครอบงำเข้าแล้ว อาจจะฆ่าคนก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้
ประพฤติผิดในกามก็ได้ สิ่งใด ที่มีโทษ เขาก็ชักชวนแนะนำให้คนอื่นทำสิ่งนั้นก็ได้ ดังนั้น ความโกรธนี้ดีหรือไม่ดี"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่ดี พระเจ้าข้า"

พระองค์ตรัสถามว่า"แล้วคนที่ความโกรธเข้าครอบงำแล้วนั้นความโกรธเป็นกุศลหรืออกุศล"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"

พระองค์ตรัสถามว่า"มีโทษ หรือไม่มีโทษ"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า"มีโทษ พระเจ้าข้า"

พระองค์ตรัสถามว่า"วิญญูชนติเตียนหรือไม่"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"

พระองค์ตรัสถามว่า "แล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์หรือความสุข"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"

ต่อไป พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามถึงความหลงต่อไปว่า
"คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ความหลง เป็นกุศลหรืออกุศล"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ทำดีหรือทำชั่ว"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทำชั่ว พระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "วิญญูชนติเตียนหรือไม่"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า"แล้วเขาชักนำคนอื่นไปในทางดีหรือทางชั่ว"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทางชั่ว พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อน ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจงอย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
อย่าเพิ่งเชื่อ โดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังพูดสืบ ๆ กันมา"

จนกระทั่งถึงข้อสุดท้ายว่า "อย่าเพิ่งเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา" ซึ่งเป็นการตรัสย้ำครั้งที่สองในเรื่องของการเชื่อ

ดังนั้นก็เกิดคำถามว่า ถ้าเราไม่เชื่อดังเหตุผลประการต่าง ๆ นี้แล้ว เราจะเชื่อใครได้

คำตอบก็คือให้เชื่อตัวเอง โดยการพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน
ว่าสิ่งที่เขาพูดกันนั้นดีหรือไม่ดี ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

พระพุทธองค์ได้ตรัสถามชาวกาลามะต่อไปอีกว่า
"ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจะพิจารณาเห็นความข้อนี้เป็นไฉน ความไม่โลภนั้นดีหรือไม่ดี เป็นกุศล
หรือเป็นอกุศลวิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์ ผู้ที่ไม่โลภ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำผู้อื่นไปในทางที่เสียหาย ดังนั้น ความไม่โลภนั้นจึงเป็นกุศลหรือ อกุศล"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามต่อไปถึงความไม่โกรธ ความไม่หลง ในทำนองเดียวกันอีกว่า
"คนที่ไม่โกรธ ไม่หลงนั้น จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
ไม่ชักนำคนอื่นไปในทางที่เสีย ชักนำคนอื่นไป ในทางที่ดี ก็ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปต่อไปว่า "ชาวกาลามะทั้งหลายเพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูด้วย ตนเอง
ท่านอย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยพูดสืบๆ กันมา จนถึงข้อสุดท้ายว่า อย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา"

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาดูว่า
"สิ่งเหล่านี้ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย ถ้าดีก็ทำตาม พระองค์ ไม่ได้บังคับให้เชื่อแต่ให้พิจารณาดูเอาเอง
เหมือนคนที่ขายอาหาร หรือขายของโดยให้ผู้ซื้อได้เลือกซื้อหรือ พิจารณาเอาเอง แล้วก็ถามเรื่องความเห็นว่าดีหรือไม่ดี ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง"

ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ทรงสรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า
อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยนำสืบๆกันมา แล้ว จนกระทั่งอย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็นครูของเรา

ข้อความที่กล่าวย้ำเช่นนี้ในกาลามสูตรมีถึง 4 ครั้ง เฉพาะ 10 ข้อนี้ และในที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย อริยสาวกในศาสนานี้ มีเมตตาจิต ไม่โกรธ ไม่พยาบาทใคร แผ่เมตตา ไปทิศเบื้องหน้า เบื้องหลัง
เบื้องต่ำ เบื้องสูง เบื้องขวาง ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีภัย การแผ่เมตตา อย่างนี้มีโทษหรือไม่มีโทษ"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นกุศลหรืออกุศล"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 14:51  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53440

คำตอบที่ 12
       พระพุทธเจ้าตรัสเช่นเดียวกันถึงเรื่อง กรุณา มุทิตา และอุเบกขา หรือพรหมวิหารทั้ง 4
ที่แผ่ไปยัง คนอื่น สัตว์อื่นและตรัสถามว่า เมื่อประกอบด้วยความไม่มีเวรเช่นนี้
มีความไม่เศร้าหมองอย่างนี้มีจิตใจหมดจดอย่างนี้ ก็ย่อมจะได้ความอุ่นใจ 4 ประการคือ

1. ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริง บาปบุญที่ทำไว้มีจริง ก็เมื่อเราทำแต่ดี ไม่ทำชั่ว
เราจะชื่นใจว่าเราจะไป เกิดในสุคติโลกสวรรค์แน่นอน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่หนึ่ง

2. ถ้าหากว่าชาติหน้าไม่มีจริงบาปบุญที่คนทำไว้ไม่มีจริงก็เมื่อเราไม่ทำชั่ว
ทำแต่ดีชาตินี้เราก็สุข แม้ชาติหน้าจะไม่มีก็ตามนี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สอง

3. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำไว้ ชื่อว่าเป็นอันทำ คือได้รับผลของบาป
ก็เมื่อเราไม่ทำบาปแล้ว เราจะได้ รับผลของบาปที่ไหน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สาม

4. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำแล้วไม่ได้เป็นบาปอันใดเลยหรือไม่เป็นอันทำ
ก็เมื่อเราไม่ได้ทำบาป เราก็พิจารณาตนว่าบริสุทธิ์ทั้งสองส่วน คือ ส่วนที่เราไม่ได้ทำชั่ว
และในส่วนที่เราทำดี เราก็มีความสุขในปัจจุบัน

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้ทำชั่ว นรกสวรรค์จะมีหรือไม่มีบาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็ได้ดีทั้งขึ้นทั้งล่อง
แต่คนที่ทำชั่วนรกสวรรค์จะมีหรือไม่มี บาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็เดือดร้อนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ถ้าหากว่าสวรรค์มีจริง เขาก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้านรกมีจริง เขาก็ต้องลงนรก
ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะเราไม่ได้ทำชั่วในปัจจุบันและเราก็มีความสุขในปัจจุบัน
เพราะเราทำดี การให้พิจารณาอย่างนี้ เป็นการพิจารณา ที่สร้างเหตุสร้างผลขึ้น

ท่านทั้งหลายจงพิจารณาข้อความนี้ดูว่า ในกาลามสูตรนี้ถ้าหากคณาจารย์อื่น ๆ มาพบชาวกาละมะเข้า
อาจจะพูดเหมือนบรรดาอาจารย์อื่น ๆ ที่เคยผ่านมา คือ พูด ติเตียนศาสนาอื่นแล้วยกย่องศาสนาของตนเอง
แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงกระทำเช่นนั้นคือ ไม่โจมตีศาสนาอื่นเลย แม้แต่สักคำเดียว
พระองค์เพียงแต่บอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อถ้าใครพูดชักนำมา ทรงเตือนว่าอย่าเพิ่งเชื่อและให้พิจารณา ด้วยตนเองเท่านั้น
เมื่อได้พิจารณาด้วยตนเองแล้วเห็นว่าเป็นกุศล ก็ให้ทำตาม แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ละเสีย

ยกตัวอย่างเช่น โลภ โกรธ หลง นั้นเป็นอกุศล ไม่ดี มีโทษ วิญญูชนติเตียน เป็นไปเพื่อทุกข์
พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ละเสีย แต่ถ้าหากเห็นว่า ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงนั้นเป็นกุศลไม่มีโทษ วิญญูชน สรรเสริญ
เป็นไปเพื่อความสุข พระพุทธเจ้าทรงสอนให้บำเพ็ญ โดยให้ชาวกาลามะพิจารณาเห็นด้วยตนเอง
จากการที่พระองค์ทรงตั้งคำถามให้ชาวกาลามะ คิดพิจารณาเอาเอง โดยไม่ให้งมงาย คือ พระองค์มิได้ทรงบอก ว่าท่านต้องเชื่อ
หรือบอกว่าถ้าท่านไม่เชื่อท่านต้องตกนรกหมกไหม้หรือว่าท่านต้องเชื่อแล้วท่านจะได้ขึ้นสวรรค์
พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสอย่างนี้แต่ตรัสบอกให้พิจารณาเอาเอง

ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าเราทำดีโดยการมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาแล้ว
เราจะมี ความอุ่นใจถึง4 อย่าง ซึ่งคนทำชั่วนั้นจะไม่มีความอุ่นใจดังกล่าวเลย

การพิจารณาอย่างนี้เป็นข้อความสำคัญในกาลามสูตร แท้ที่จริง ยังมีข้อความอื่นอีกในพระสูตรนี้
แต่เป็นข้อปลีกย่อย จึงไม่ได้นำมากล่าวไว้ในที่นี้

ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ นักคิดชาวตะวันตก ได้สรรเสริญพระพุทธศาสนาในแง่ของการมีเหตุผลไว้มาก
เพราะเป็นคำสอนอันมีเหตุผลและสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ของพระพุทธศาสนา

ดังนั้น กาลามสูตรจึงเป็นพระสูตรที่ให้อิสระในด้านความคิด
แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราเชื่อ แต่ให้พิจารณาให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
แม้แต่พระคัมภีร์ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ให้พิจารณา ดูเสียก่อน ถ้าทำได้อย่างนี้ ถือว่าสมกับการเป็นชาวพุทธ
ไม่เชื่ออะไรอย่างไร้เหตุผล โดยไม่พิจารณาว่าควรเชื่อ หรือไม่เพียงไร

เราจึงควรภูมิใจที่เราได้นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่มีเหตุผล สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ในโลกปัจจุบัน
ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น
และเป็นไปเพื่อความ สิ้นทุกข์ในที่สุด แม้ทุกข์ยังไม่หมด แต่ก็มีความสงบสุขในชีวิตเพิ่มขึ้น
เมื่อเราได้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามพุทธธรรม ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา




===================================
สาธุ สาธุ สาธุ



" ขอบพระคุณมากครับสำหรับความรู้ "
จาก : kupree(kupree) 14/3/2554 21:16:20 [113.53.74.186]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.56.53 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 14:55  IP : 1.47.56.53   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53441

คำตอบที่ 13
       เกสปุตติยสูตร อยู่ในในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย

ในอีกทวีปหนึ่งหลังจากพระศาสดาปรินิพานไปแล้วไม่ึถึงร้อยปีก็มีปรัชญาเมธีกรีกท่านหนึ่งถือกำเนิดขึ้น ท่านผู้นี้มีชื่อว่า โสเครติส ท่านได้สร้าง "บททดสอบกลั่นกรองสามชั้น" ทิ้งไว้ในโลกนี้ให้ใช้กัน


ผมคัดลอกมาจากต้นฉบับมาจาก วัสซิลิส วัสซิไลโคส นักเขียนชาวกรีก เรื่องมันมีอยู่ว่า....



วันหนึ่ง มีคนรู้จักบังเอิญพบกับนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ และ พูดขึ้นว่า "คุณรู้อะไรมั๊ย ผมได้ยินเรื่องกี่ยวกับเพื่อน ของคุณมาเรื่องนึง"

" ช้าก่อน..." โสเครติสตอบ "ก่อนที่ท่านจะบอกข้า ข้าอยากที่จะให้ท่านผ่านการทดสอบสักเล็กน้อย ข้าจะเรียกมันว่า บททดสอบกลั่นกรองสามชั้น" (Triple filter)

"ถูกต้องแล้ว" โสเครติสกล่าวต่อไป "ก่อนที่ท่านจะเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนของข้า มันอาจจะเป็นการดี ที่จะใช้เวลาสักเล็กน้อยและการกลั่นกรองเรื่องที่ท่านจะพูด และนั่นคือสาเหตุว่า ทำไมข้าจึงเรียกมันว่า บททดสอบตัวกลั่นกรองสามชั้น ตัวกลั่นกรองแรก คือ ′ความจริง′ ท่านแน่ใจจริงๆ หรือว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะบอกข้านั้นเป็นเรื่องจริง"

" เปล่าหรอก..." ชายผู้นั้นตอบ "อันที่จริง ข้าก็แค่ได้ยินเรื่องนี้มาเท่านั้นเอง แล้วก็..."

" เอา เถอะ เอาเถอะ ไม่เป็นไร" โสเครติสกล่าว "ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ท่านรู้มาจริง หรือ เท็จ คราวนี้ มาลองทดสอบตัวกลั่นกรองตัวที่สองกันดู ตัวกลั่นกรองที่สอง คือ ′ความดี′ เรื่องที่ท่านกำลังจะบอกข้า เกี่ยวกับเพื่อนของท่าน เป็นเรื่องดี หรือไม่"

"ไม่ เป็นเรื่องตรงกันข้าม..." ชายคนนั้นตอบ

"ถ้าเช่นนั้น" โสเครติส กล่าวต่อ "ท่านต้องการบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีของเขา แต่ท่านไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่อง จริงหรือไม่... ไม่เป็นไร ยังไงเสีย ท่านอาจจะผ่านการทดสอบนี้ก็ได้ เพราะ ยังเหลือตัวกลั่นกองอีกหนึ่ง ตัวกลั่นกรองสุดท้ายนี้คือ ′ความมีประโยชน์′ ท่านคิดว่าเรื่องที่ท่านกำลังจะบอกข้าเกี่ยวกับเพื่อนของข้านั้น จะเป็นประโยชน์อะไรกับข้าหรือไม่ "

"ไม่รู้สิท่าน...คงจะไม่" ชายคนนั้นเริ่มไม่แน่ใจว่ากำลังเล่นอะไรอยู่กับใครเสียแล้ว

"อื่มมม" โสเครติสสรุป "ถ้าเรื่องที่ท่านจะบอกข้านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องดี และ ไม่มีประโยชน์ เหตุใดท่านจึงอยากบอกข้าเล่า"



และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้โสเครติสเป็นมหาปราชญ์ และ ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงของโลก

แล้ว เพื่อนๆได้ใช้ "ตัวกลั่นกรองทั้งสาม" ในแต่ละครั้งที่ได้ยินเรื่องที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับเพื่อนผู้ใกล้ชิดของท่านบ้างหรือเปล่า





เป็นการเรียนรู้ผ่านการตั้งถามให้ผู้เรียนตอบด้วยตัวเองเรียกว่า Socratic Method ครับ
จาก : ม้าเขียวกทม.(ม้าเขียวกทม.) 14/3/2554 18:15:00 [115.87.112.155]
เป็นการยกปัญหาขึ้นมาสนทนาโต้เถียงกันโดยไม่มีธงคำตอบ แต่จะนำคำตอบแต่ละคนมาประมวลผลที่ดีที่สุด
จาก : ม้าเขียวกทม.(ม้าเขียวกทม.) 14/3/2554 18:15:52 [115.87.112.155]
ก็เรียกว่าสอนให้คนคิดเองครับ ซึ่งวิธีแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยขงจื๊อแล้วครับ
จาก : ม้าเขียวกทม.(ม้าเขียวกทม.) 14/3/2554 18:16:55 [115.87.112.155]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.16.65 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 16:14  IP : 125.24.16.65   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53442

คำตอบที่ 14
       ผมก็ขออนุโมทนาสาธุในการนำคำสอนมาเผยแพร่ที่พี่หนุ่มฯนำมาเผยแพร่ด้วยนะครับ ผมเป็นผู้น้อยย่อมไม่มีอะไรอยากจะมีข้อโต้แย้งอะไรกับผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากกว่า จึงขอน้อมรับคำแนะนำและข้อคิดเห็นเพื่อนำไปปฏิบัติอย่างเต็มที่แม้จะไม่เคยพบตัวจริงกันและผมเชื่อว่า ผมไม่ใช่บัวเหล่าหลังๆในลำดับบัวสี่เหล่าครับ ดังนั้น ผมเองก็ไม่ได้ถือโทษหรือขุ่นเคืองอะไรในการตอบคำถามของพี่หนุ่มฯและอ.วอนในกระทู้ของผม http://www.weekendhobby.com/offroad/newenergy/Question.asp?ID=1956 ออกจะดีใจและปลื้มด้วยซ้ำครับ

ผมเพียงแต่เป็นผู้แสวงหาความรู้ และผมก็ไม่อยากจะเชื่ออะไรง่ายๆตามที่ที่บ.รถต่างๆโฆษณาไว้ซะดิบดี ซึ่งผมก็ไม่อยากเป็น one in a million case ดังนั้นผมจึงได้เข้ามาแสวงหาความรู้จากพหูสูตรทั้งหลาย เพื่อที่จะมีข้อมูลในการตัดสินใจระดับหนึ่งในเมื่อจะเสียกะตังค์ที่จะซื้อรถที่ทุกวันนี้เกือบซื้อบ้านได้หลังหนึ่ง...



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ม้าเขียวกทม. จาก ม้าเขียว SRC 057 115.87.112.155 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 17:48  IP : 115.87.112.155   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53443

คำตอบที่ 15
       เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า
จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ
ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”

เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”

จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)
ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง? เช่นกัน
บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด




ชอบใจตรงเอาชนะเมียแล้วหากับข้าวกินเองนี่ละครับ...ชีวิตจริงเลย 555
จาก : translator(translator) 19/3/2554 22:29:58 [110.168.80.156]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ม้าเขียวกทม. จาก ม้าเขียว SRC 057 115.87.112.155 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 18:22  IP : 115.87.112.155   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53444

คำตอบที่ 16
       "ผมเองก็ไม่ได้ถือโทษหรือขุ่นเคืองอะไรในการตอบคำถามของพี่หนุ่มฯและอ.วอนในกระทู้ของผม http://www.weekendhobby.com/offroad/newenergy/Question.asp?ID=1956 ออกจะดีใจและปลื้มด้วยซ้ำครับ "


คิดถูกต้องแล้วครับ
คนเข้ามา "ขอ" โกรธคนที่ "ให้" ฟรีเพื่อเป็นทานแก่สัตว์โลก มีแต่คนบ้าเท่านั้น
อนุโมทนาในจิตกุศลด้วยครับ



" อ่านเเล้วได้เเต่ร่วม โมทนา กับอ.von ครับ "
จาก : kupree(kupree) 14/3/2554 21:14:02 [113.53.74.186]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.16.65 จันทร์, 14/3/2554 เวลา : 19:03  IP : 125.24.16.65   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53445

คำตอบที่ 17
       อ่านไม่หมด เดี๋ยวว่างๆมานั่งอ่านใหม่ แต่ตอนนี้ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

อนุบาลออฟโรด จาก อนุบาลออฟโรด 114.128.59.241 อังคาร, 15/3/2554 เวลา : 01:42  IP : 114.128.59.241   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53446

คำตอบที่ 18
      





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 113.53.74.186 อังคาร, 15/3/2554 เวลา : 09:33  IP : 113.53.74.186   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53447

คำตอบที่ 19
      





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 113.53.74.186 อังคาร, 15/3/2554 เวลา : 09:58  IP : 113.53.74.186   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53448

คำตอบที่ 20
       ผมชื่นชอบกับ กาลามสูตร นี้ มาตั้งอต่สมัยเรียน พระพุทธศาสนา มัธยมปลาย ....แม้หาอ่านเพิ่มเติมก็ไม่ได้ลึกซึ้ง เท่ากับที่ พี่หนุ่ม ให้มาใน ห นี้ ..ผมขออนุญาติ Copy ไว้อ่านสัก 4 - 5 รอบ เผื่อความเขลาของผมจะได้ถูกขัดเกลาเสียบ้าง....

และที่ผมจำได้ติดใจเลยครับ ที่อาจารย์ Von เคยสอนผมไว้เมื่อปีที่แล้ว (28 กย. 2553) ..ดังนี้

"คุณ KZ Wanzer การพูดอะไรก็แล้วแต่ทุกอย่างมันมีพื้นฐาน อยู่สามอย่างคือ

สิ่งที่พูดต้องไม่ใช่เรื่องเท็จที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือให้ร้ายแก่ผู้อื่นโดยไม่ใช่ความจริง
สิ่งที่พูดต้องมีประโยชน์แก่ผู้พูดและผู้ฟังอย่างใดอย่างหนึ่งหรือสองอย่าง
เว้นจาก วจีทุจริตทั้ง 4 พูดเท็จ ส่อเสียด คำหยาบ เพ้อเจ้อ

เท่านี้แหละครับ แล้วคำพูดมันจะคุ้มครองตัวเราตลอดไป" - ซึ่งยิ่งใหญ่เหลือเกินครับ สำหรับผม...

แม้คนอื่นจะไม่คิดอย่างผมก็ตามที....

 แก้ไขเมื่อ : 15/3/2554 19:00:54



ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้ปื๊ดครับ
จาก : nittaya.n(nittaya.n) 16/3/2554 10:26:05 [124.120.214.13]
...แม่นเลยคร้าบบบบบบ !!
จาก : kz wanzer(kz wanzer) 16/3/2554 16:29:55 [125.27.95.147]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kz wanzer จาก KZ Wanzer 125.27.89.244 อังคาร, 15/3/2554 เวลา : 18:34  IP : 125.27.89.244   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53451

คำตอบที่ 21
       ผมมี"กาลานุกรม"อยู่เล่มนึงได้มาตั้งนานแล้วยังไม่ได้อ่านเลยครับ

แต่เป็นเรื่องความเป็นไปของพูทธศาสนาครับ สารคดี"ตามรอลพระพุทธเจ้า"ผมว่าดีกว่า

ผมมีเก็บไว้หนึ่งชุดครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

navy_tui จาก เปี๊ยก ปากน้ำ 61.7.186.70 พุธ, 16/3/2554 เวลา : 07:52  IP : 61.7.186.70   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53452

คำตอบที่ 22
       เป็นหนังสือที่ดีของท่านเจ้าคุณอีกเล่มครับ
คนที่พิมพ์ถวายทำรูปเล่มและภาพประกอบแบบสุดใจอีกเล่มหนึ่ง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.86.213 พุธ, 16/3/2554 เวลา : 23:08  IP : 125.24.86.213   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53457

คำตอบที่ 23
       ด้วยความยินดีครับคุณปืน

น่าดีใจที่ยังมีการสอนพุทธศาสนาในมัธยมด้วย

เบื่อพวกนักวิชาการการศึกษาสมัยนี้จริง ๆ เขียนหลักสูตรประหลาด ๆ

เด็กสมัยนี้ใช้ไม้ตีไม่ได้ เพราะเป็นยุคประชาธิปไตย ต้องใช้ภาษาดอกไม้เท่านั้น



ขอบคุณครับพี่หนุ่ม ..น้ำมนต์ 7 วัด ของพี่ ก็ยังให้ความรู้กับผมยันปัจจุบัน และอนาคตครับ
จาก : kz wanzer(kz wanzer) 19/3/2554 11:31:31 [125.27.76.163]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.46.78.45 พฤหัสบดี, 17/3/2554 เวลา : 15:30  IP : 1.46.78.45   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53459

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันเสาร์,20 เมษายน 2567 (Online 4063 คน)