คำตอบที่ 426
สำหรับข้อมูล คาเมไลน่า สตีว่า ครับ
" คาเมไลน่า " ... อีกหนึ่งพืชน้ำมัน โดย อุดมวิทย์ ไวทยการ
ปัจจุบันมีการค้นหาพืชน้ำมันชนิดใหม่ๆ เพื่อนำมาผลิตน้ำมันทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น สบู่ดำ
หรือการนำเข้าพืชน้ำมันชนิดใหม่จากต่างประเทศ ได้แก่ คาเมไลน่า ซึ่งเป็นพืชน้ำมันชนิดหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ในการ
พัฒนาการผลิตใน ประเทศไทย เนื่องจากเป็นพืชที่ให้น้ำมันในเมล็ดสูงถึง 30-40 % ซึ่งมีปริมาณสูงกว่าสบู่ดำ (มีน้ำมัน
ประมาณ 30 % และใกล้เคียงกับละหุ่งและงา และเป็นน้ำมันที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน
พืชน้ำมัน คาเมไลน่า เป็นพืชโบราณ มีชื่อสามัญ gold of pleasure, false flax หรือ linseed dodder ชื่อวิทยาศาสตร์
Camelina sativa (L.) Crantz อยู่ในวงศ์ Brassicaceae เช่นเดียวกับพืชตระกูลกะหล่ำ มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
ไปจนถึงยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีการปลูกตั้งแต่ 4,000 ปีมาแล้ว สมัยยุคทองแดงจนถึงยุคเหล็กเพื่อนำน้ำมันมาใช้
ประโยชน์ การกระจายพันธุ์ส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปตะวันออกจนถึงเอเชียกลาง แต่ไม่ได้รับความสนใจและพัฒนาจึงทำให้ไม่มี
การปลูกอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในระยะหลังมนุษย์มีการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงต่างๆมากขึ้น ทำให้ความต้องการค้นหา
พืชทดแทนพลังงานจากน้ำมันเพื่อใช้ทำไบโอดีเซล (biodiesel) ต้น Camelina จึงได้รับความสนใจที่จะค้นคว้าและพัฒนา
ในด้านต่างๆ
น้ำมันจากเมล็ด
เนื่องจากในเมล็ดมีน้ำมันที่นำไปใช้ประโยชน์ต่างๆได้อยู่ 30-40% เป็นน้ำมันที่มีคุณภาพดี สามารถนำมาทำเป็นไบโอดีเซล
ทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้
ในน้ำมันประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่า 50% มีองค์ประกอบจำพวกโอเมก้า-3ประมาณ 40 % โอเมก้า-6 ประมาณ
15% สามารถนำมาบริโภคได้ ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจ นอกจากนี้มีวิตามินอี 10
มิลลิกรัมในน้ำมัน 100 กรัม จึงใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหารคนและอาหารสัตว์ มีสาร antioxidants เช่น tocopherols
ทำให้น้ำมันไม่เหม็นหืน และยังใช้ในอุตสาหกรรมเคมี ยารักษาโรคและเครื่องสำอางได้อีกด้วย อีกทั้งน้ำมันในเมล็ดคาเมไล
น่ามีโปรตีนสูง 23-30 %
เป็นพืชล้มลุก ทนแล้ง ชอบอากาศเย็น เมล็ดสามารถงอกได้ในที่อากาศเย็นอุณหภูมิ -2 องศาเซลเซียส ถึง 2 องศา
เซลเซียส ต้นอ่อนสามารถต้านทานน้ำค้างแข็ง ทรงต้นเมื่อยังเล็กจะมีใบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นกระจุก ต้นสูง 40-100
เซนติเมตร ผิวลำต้นเรียบ เมื่อโตเต็มที่ลำต้นจะหยาบเนื่องจากมีเส้นใย (lignified) ใบรูปยาวรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ
ใบยาว 5 - 8 เซนติเมตร ใบเรียงสลับตั้งฉาก ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอดของลำต้นและกิ่งแขนง ดอกสีเหลืองอ่อนหรือ
เหลืองอมเขียว ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอก 4 กลีบเป็นพืชผสมตัวเอง ผลเป็นฝักกลมคล้ายลูกแพร์ ยาว 6 - 14 มิลลิเมตร
ภายในมีเมล็ด 8 - 10 เมล็ด เมล็ดรูปร่างยาวขอบสองข้างขนานกัน สีเหลืองหรือสีเหลืองปนน้ำตาล ผิวเมล็ดขรุขระเป็นรอย
ขีดข่วน เมล็ดขนาดเล็กมาก ขนาดกว้าง 0.7 มิลลิเมตร ยาว 1.5 มิลลิเมตร เมล็ด 1,000 เมล็ดมีน้ำหนักประมาณ 1 กรัม
แหล่งปลูก
ปัจจุบัน คาเมไลน่า มีปลูกมากเป็นการค้าใน อเมริกา ยุโรป เช่น รัสเซีย นอรเวย์ ฟินแลนด์และในประเทศออสเตรเลียด้าน
ตะวันตก เช่น เมืองเพิร์ธ สำหรับประเทศไทยภาคเอกชนได้นำเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศมาทดลองปลูกที่จังหวัด
นครราชสีมา ในปี 2548 โดยปลูกในช่วงปลายฤดูฝนต่อฤดูหนาว ในเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน ให้ผลผลิตประมาณ 200-
300 กิโลกรัมต่อไร่ บีบเป็นน้ำมันได้ประมาณ 60 - 90 ลิตร
สภาพแหล่งปลูกคาเมไลน่าที่ควรพิจารณามีดังนี้
สภาพพื้นที่ เนื่องจากเป็นพืชทนแล้ง และไม่ชอบน้ำขัง ดังนั้นพื้นที่ปลูกจึงควรเป็นที่ระบายน้ำดี
ลักษณะดิน สามารถขึ้นได้ในดินเกือบทุกประเภทที่มีการระบายน้ำได้ดี สามารถปลูกในที่ดินเลว เนื่องจากเป็นพืชที่ไม่
ต้องการธาตุอาหารมาก สามารถขึ้นได้ในที่กลางแจ้งและที่มีร่มเงา
สภาพภูมิอากาศ ชอบขึ้นในที่อากาศค่อนข้างเย็น เมล็ดสามารถงอกได้ในที่อุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส ถึง 2 องศา
เซลเซียส ต้นอ่อนสามารถทนต่ออากาศเย็นที่อุณหภูมิ -2 องศาเซลเซียส ถึง -10 องศาเซลเซียส
แหล่งน้ำ ควรมีแหล่งน้ำสำหรับให้ดินมีความชื้นเพียงพอต่อการงอกของเมล็ด หลังจากนั้นพืชจะอาศัยน้ำในดินในการ
เจริญเติบโต ในกรณีดินอุ้มความชื้นไม่ดีหรืออากาศร้อนต้องมีน้ำเพียงพอที่จะให้แก่ต้นพืชได้
พันธุ์
พันธุ์ คาเมไลน่า ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในแต่ละแหล่งปลูก ในประเทศเยอรมันนี มีพันธุ์ที่แนะนำ เช่น พันธุ์
Leindotter ดังนั้นถ้าเป็นพันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศควรมีการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของ
ประเทศไทย
การปลูกและดูแลรักษา
ฤดูปลูก เนื่องจากเป็นพืชอายุสั้นประมาณ 90 - 100 วัน และชอบอากาศเย็น ทนแล้ง การปลูกในประเทศไทยจึงควรปลูก
ในช่วงปลายฝนต่อฤดูหนาวหรือฤดูหนาว (เดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม) เพื่อไม่ให้ผลผลิตได้รับความเสียหายจากฝน และ
อากาศร้อน ในช่วงหลังของการเจริญเติบโต
การเตรียมดิน การปลูกคาเมไลน่า ใช้วิธีหว่านเมล็ด ซึ่งมีขนาดเล็กมากจึงควรมีการไถดินและเก็บวัชพืชก่อนปลูกหรือใช้สาร
กำจัดวัชพืชก่อนปลูก เพื่อให้เมล็ดงอกและต้นกล้าเจริญเติบโตได้ดี
วิธีการปลูก หว่านด้วยเมล็ดอัตรา 1- 2 กิโลกรัมต่อไร่ ความหนาแน่น 220 - 250 ต้นต่อตารางเมตร ใช้ฟางคลุมแปลงเพื่อ
รักษาความชื้นและป้องกันหน้าดินแน่น เมล็ดจะงอกในเวลา 4-7 วันนับจากวันปลูก
การให้ปุ๋ย คาเมไลน่า เป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยไนโตรเจนในระยะแรกของการเจริญเติบโตจึงควรใส่ปุ๋ย 2 ครั้ง ครั้งที่1 ใส่ปุ๋ย
ไนโตรเจนอัตรา 6 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากเมล็ดงอกได้ประมาณ 7 วัน ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนอัตรา 6 กิโลกรัมต่อไร่
หลังจากที่มีใบจริง 4 ใบ การปลูกร่วมกับพืชตระกูลถั่วจะทำให้ คาเมไลน่า ได้รับไนโตรเจนเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ปุ๋ย
ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมมีผลกับพืชนี้น้อยมาก
การให้น้ำ เนื่องจาก คาเมไลน่า เป็นพืชทนแล้ง ใช้น้ำน้อย ดินควรมีความชื้นเพียงพอต่อการงอก จากนั้นพืชจะอาศัยน้ำใน
ดินเจริญเติบโตจนให้ผลผลิตได้ ในกรณีดินอุ้มความชื้นไม่ดีอาจมีการให้น้ำเสริมในช่วงออกดอก แต่ต้องระวังไม่ให้น้ำขัง
โรคที่สำคัญ
Putnam et al. (1993) พบว่า คาเมไลน่า มีโรคพืชรบกวนได้แก่ โรคราน้ำค้าง สาเหตุจากเชื้อรา Peronospora camelinae
นอกจากนี้ Crowly (1999) ยังพบโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อราอื่นๆคือ Sclerotinia sclerotiorum, Botrytis cinerea, และ Ustilago
sp.
Akk and Ilumae (2005) พบเชื้อสาเหตุของโรคอื่นๆที่เกิดกับคาเมไลน่า ได้แก่ Verticillium
longisporum, Plasmodiophora brassicae, Phoma lingam, Cylindrosporium concentrium, Mycosphaerella brassicicola
Putnam et al. (1993) พบโรคไวรัสที่เกิดกับ Camelina ได้แก่ Turnip Yellow Mosaic Virus
แมลงศัตรูที่สำคัญ
Putnam et al. (1993) พบแมลงศัตรูพืชคือ ด้วงหมัด หรือ Flea Beetle (Phyllotreta cruciferae)
วัชพืชส่วนใหญ่เป็นปัญหาต่อการปลูก โดยเฉพาะในระยะต้นกล้าทำให้การเจริญของต้นลดลง จึงควรมีการไถพรวนดินและ
เก็บวัชพืช เพื่อกำจัดวัชพืชก่อนการหว่านเมล็ด หรือใช้สาร trifluralin กำจัดวัชพืชก่อนปลูก การปลูกคาเมไลน่าให้มีความ
หนาแน่นเหมาะสม ประมาณ 220-250 ต้นต่อตารางเมตร สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชได้
การเก็บเกี่ยว
ระยะเวลาเก็บเกี่ยว 80 - 100 วัน หลังจากเพาะเมล็ด ให้ผลผลิต 250-350 กิโลกรัมต่อไร่
จากข้อมูลตามที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า คาเมไลน่าเป็นพืชน้ำมันชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า ซึ่งน่าจะมีศักยภาพในการผลิตใน
ประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์จากน้ำมันของพืชชนิดนี้ซึ่งมีคุณค่าหลายประการ ทั้งนี้สถาบันวิจัยพืชไร่ จะได้ทำการวิจัย
เพื่อการผลิตและการใช้ประโยชน์พืชชนิดนี้ต่อไป
เอกสารประกอบการเรียบเรียง
นิรนาม. 2548. โครงการผลิตพืชน้ำมัน Camelina sativa Gold of pleasure. บริษัท ครอปโปร จำกัด. 73 หน้า.
Abramovic, H. and V. Abram. 2005. Physico - Chemical Properties, Composition and Oxidative Stability
of Camelina sativa Oil. Properties of Camelina sativa Oil, FoodTechnol. Biotechnol.
Department of Food Seience and Technology, Biotechnical Faculty, University of
Ljubljana, Slovenia. 43: 63-70.
Akk, E.,E. Ilumae. 2005. Possibilities of Growing Camelina sativa in ecological cultivation. Estonian
Research Institute of Agriculture, Saku, Estonia. 3pp.
Crowley, J.G. 1999. Evaluation of Camelina sativa as an alternative oilseed crop. Crops Research
Centre. Oak Park, Carlow. 9pp.
Mayr, W. 1997. Camelina sativa was produced in small scale in 1997. Results of establishing, fertilising,
weed and pest control and harvesting and yield experiences are presented. BVW GmbH,
Fuchsenbigl, Austria. 3pp.
Putnam,D.H. , J.I.Budin, L.A.Field and W.M.Breene. 1993. Camelina:A Promising low-input oilseed.
J.Janick and J.E.Simon (eds.), New crops. Wiley, New York. p. 314-322.
Vollman,J. , A. Damboeck, A.Eckl, H.Schrems and P.Ruckenbauer. 1996. Improvement of Camelina
sativa, an Underexploited Oilseed. J.Janick(ed.), Progress in new crops. ASHS Press,
Alexandria,VA. p. 357-362.