WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


.... หลวงตามหาบัว อาพาธ ครับ ........
kupree
จาก kupree
IP:125.26.73.91

พฤหัสบดีที่ , 23/12/2553
เวลา : 08:36

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      
เช้านี้ได้รับข่าวไม่ดีนักจาก ทวิตเตอร์ คุณ @ paisalvision ว่า


" หลวงตามหาบัวอาพาธมาก "

ขอเชิญมวลมิตรตั้งจิตทำอธิษฐานถึงหลวงตาว่า

"ขอกราบอาราธนาหลวงตาอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ค้ำจุนชาติต่อไปสักระยะ"




หากเป็นจริง ผมเเละครอบครัว


"ขอกราบอาราธนาหลวงตาอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ค้ำจุนชาติต่อไปสักระยะ" ด้วยเถิดครับ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  

คำตอบที่ 31
       พุทธทำนาย: ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย

หนังสือ " ศาสนาอยู่ที่ไหน " หน้า ๑๗๓ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


"สาธุ อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและในอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้นเมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า

ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาของของตถาคตล่วงเลยไปถึง กึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบแต่ความลำบาก ทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทุกทิศ คนในสมัยนั้นจะมีนิสัยโหด ดุจกำเนิดจากสัตว์ป่า อำมหิตจะรบราฆ่าฟันกันเองถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ ผู้ขวนขวายในกุศลตามวจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจะเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น

เริ่มแต่พุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปี เป็นต้นไป ไฟจะรุกรามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมชีพรามณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้า จะทะยานจากน้ำ มหาสมุทธจะชอกซ้ำ สงครามจากทั่วทิศศึกจะติดเมืองข้าวจะขาดแคลนทั่วแคล้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมือง ทรงเมือง จะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจ จะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาบเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาทโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะนักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ

ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ต้องอยู่ในศิลธรรม เชื่อคำคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพรักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับความเชื่อถือในสังคม ผู้ที่มีศิลธรรม ประพฤติดี ประพฤติชอบ กลับไม่มีใคร เคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่งเปล่งรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อ มี ธรรมิกราชโพธิญาณ บังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของ พระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคต ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวัสสา

ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์ ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศิล ๕ ประการ เจริญเมตตาภารนา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดดรู้จักพอ ไม่โป้ปดคตโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจปฏิบัติตน ตามคำสอนของตถาคต ให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในกึ่งพุทธกาล"

พุทธทำนายนี้ ข้าพเจ้าพบเมื่อปี 2535 และปรากฏอีกครั้งในหนังสือ "ศาสนาอยู่ที่ไหน " หน้า ๑๗๓ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

โดย อหิงสะกะ / ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๖


จาก... http://www.electoday.com/projects/nprotech/buddha/



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

juk_za จาก เพื่อนปา 115.67.3.208 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 17:56  IP : 115.67.3.208   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52765

คำตอบที่ 32
       1.จากบรรทัดที่7ของคต.31นั้น ได้กล่าวถึงการเสื่อมของพระพุทธศาสนาหลัง2500ปีไว้อย่างชัดเจนครับ

2.จากบรรทัดที่11ของคต.31 ตามข้ิอความ "มี ธรรมิกราชโพธิญาณ บังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของ พระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคต ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวัสสา " ตอบข้อสงสัยที่ว่าการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ครับ

 แก้ไขเมื่อ : 2/1/2554 18:07:38



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

juk_za จาก เพื่อนปา 115.67.3.208 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 18:01  IP : 115.67.3.208   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52766

คำตอบที่ 33
       คำเชื่อในทางเถรวาท

1. ตามบุรพกรรมสัญญา ระหว่างโคตมพุทธเจ้า และพระศรีอริยะเมตไตย ทำให้องค์พระเมตไตรยโพธิสัตว์ จะต้องมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาของพระพุทธโคดม จวบจนครบพุทธกาลดั่งนี้แล

2. "ดู ก่อนอานนท์ ผ้าอาบของตถาคต ได้แก่ ศาสนาที่ตถาคตวางไว้ ลิงแม่ลูกอ่อนที่มาถ่ายมูลเลอะเทอะหมดถึง 3 ชายนั้น ได้แก่ กองทัพ ซึ่งจะมารบราฆ่าฟันกันตาย เหลือที่จะคณานับ ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมทรุดไปถึง 3 ใน 4 ส่วน คงค้างอยู่แต่เพียงส่วนเดียว และนกยางขาวที่บินมาจับหัวแม่ลิงนั้น คือ พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ จะมาปราบอธรรม และช่วยสืบอายุศาสนาของตถาคต เริ่มตั้งแต่ 2,500 ปีขึ้นไป จนครบ 5,000 ปี"

3. พุทธทำนาย เมื่อศาสนาของพระองค์ผ่าน 2,500 ปีไปแล้ว คนทั้งหลายก็จะเป็นทุกข์และเดือดร้อนฉิบหายกันมากนัก เทวดาก็ทูลถามว่า หากเกิดเหตุเช่นนั้นจริง พระองค์จะให้พวกเทวดาทำอย่างไร พระพุทธองค์ตอบว่า หากคนยังเคารพและปฏิบัติตามในพระรัตนตรัยอยู่ ก็จะเป็นบุญของผู้นั้น แต่หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นกรรมของผู้นั้น จึงขอให้เทวดาทั้งหลายทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาฟังธรรมคำสอนของผู้รู้ สร้างกุศลและละเว้นจากบาป ทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้วตั้งจิตปรารถนาให้ได้พบพระพุทธอาริยเมตไตรย

(อ้างอิง : http://www.mindcyber.com/one/ariya/ariya_1124.php)



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

juk_za จาก เพื่อนปา 115.67.3.208 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 18:12  IP : 115.67.3.208   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52767

คำตอบที่ 34
       ตามความเชื่อของพุทธมหายานถือว่า พระพุทธเจ้านั้นมีมากมายเช่นเดียวกับพระโพธิสัตต์ก็มีมากมาย
ดั่งหนึ่งเม็ดทรายในมหาคงคานที ได้มีการแบ่งพระพุทธเจ้าเป็น 3 ประเภท คือ
1. พระพุทธเจ้าในอดีต เช่น พระอมิตาภพระพุทธ พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาส พระพุทธอักโษภัย
พระพุทธไวโรจน์ พระพุทธทีปังกร ฯลฯ

2. พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน คือ พระพุทธศากยมุนี หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

3. พระพุทธเจ้าในอนาคต คือ พระศรีอารยเมตไตรย ซึ่งทางมหายานถือว่าขณะนี้ท่าน คือ
พระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตต์ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต

สวรรค์ชั้นนี้ ในทางพุทธศาสนาถือเป็นดินแดนประทับของพระโพธิสัตต์ที่เตรียมมาประสูติ
และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงเป็นพระมหาเวสสันดรโพธิสัตต์
ก็ทรงประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสินนี้เอง เมื่อใดที่ถึงสมัยที่พระศรีอารยเมตไตรยจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
ก็คือ ต้องจากสวรรค์ดุสิตลงมา

(อ้างอิง : http://www.mindcyber.com/one/ariya/ariya_1124.php)



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

juk_za จาก เพื่อนปา 115.67.3.208 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 18:13  IP : 115.67.3.208   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52768

คำตอบที่ 35
       จากข้อคิดเห็นของคุณหนุ่มกระโทก "พระอานนท์ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สิ้นกิเลส ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว" ในคต.22นั้น ผมยังมีข้อติดใจอยู่ว่าแล้วเหตุใด พระพุทธเจ้าในอนาคต คือ พระศรีอารยเมตไตรย ตามความเชืิ่อทั้งในคต.33 และ34 (เถรวาทและมหายานจึงเสด็จจากสวรรค์ลงมาเกิดได้อีก)
มิได้เจตนาจะท้าทายความเชื่อของคุณหนุ่มกระโทกแต่อย่างใด....เพียงแต่เชื่อที่คุณหนุ่มเขียนแต่กลับไปค้นเจอแบบนี้ความสับสนเลยบังเกิดขึ้น หรือผมอาจจะว่างมากไป555

ปล. ผมยิ่งค้นก็ยิ่งสนุก แต่ปวดหัวครับ มีข้อสงสัยเกิดมากมาย ไม่ทราบมีหนังสือที่น่าเชื่อถือได้จากบุคคลที่อ้างถึงได้แบบ คต.31 แนะนำให้อ่่านบ้างไหมครับอยากเพิ่มเติมความรู้ครับคาใจหลายเรื่อง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

juk_za จาก เพื่อนปา 115.67.3.208 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 18:27  IP : 115.67.3.208   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52769

คำตอบที่ 36
       ตำราทางพุทธศาสนานั้นมี 4 ชั้น หรือระดับดังนี้ครับ

1 ตำราชั้นต้น หรือชั้นปฐมภูมิ เรียกว่า ปาลิ

2 ตำราชั้นสอง หรือชั้นทุติยภูมิ เรียกว่า อฏฺฐกถา หรือ วณฺณนส

3 ตำราชั้นสาม หรือชั้นตติยภูมิ เรียกว่า ฏีกา

4 ตำราชั้นสี่ หรือชั้น จตุตถูมิ เรียกว่า อนุฎีกา

ระดับถัดไปจากนั้น อาจเรียกว่า อาจารยมติ เกจิอาจริยา ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวในบางเรื่อง
ของอาจารย์รุ่นหลัง ๆ ไม่นับเข้าลำดับด้วย

เหตุที่เรียกตำราชั้นต้นว่า ปาลิ หรือ บาลี เพราะว่ามีความหมาย 3 นัยคือ

1 รักษาข้อความเดิมไว้ไม่ขาดตกบกพร่อง

2 มีแบบแผนขอบเขตอันแน่นอนและแข็งแรงพอ ดุจดั่งขอบสระกั้นน้ำไว้ฉะนั้น

3 มีการนำสืบกันต่อมาเป็นลำดับ ดุจดังของที่รับช่วงกันต่อไปฉะนั้น

ผมนับถือตามเถรวาท จึงถือ ตำราชั้นต้นเป็นใหญ่ครับ เพราะว่าไม่มีเพี้ยน
ไม่มีความคิดเห็นส่วนตัวใส่ไปเหมือนในตำราชั้นอื่น ๆ
หลักศิลาจารึก คาดว่าคงนับเป็นตำรา หลังจากชั้นที่ 4 ครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.161.120 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 18:34  IP : 1.47.161.120   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52770

คำตอบที่ 37
       พุทธทำนาย เท่าที่ผมทราบ อยู่ในบาลีมหาสุปินชาดกเอกนิบาต ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระสุบิน 16 ประการ

และทรงตกตื่นพระทัยจากพระบบรทม ปุโรหิตได้พยากรณ์ถวาย โดยความรวมว่าอันตรายจะเกิดขึ้นแก่พระชนม์ชีพของพระองค์
ตลอดจนมเหสีและราชสมบัติ และแนะนำให้จัดพิธีบูชายันขึ้น

นางมัลลิการ์ราชเทวี ได้ทรงแนะให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึงพระองค์ก็เห็นด้วย

พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธฏีกาทำนายว่าผลจะไม่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล แต่จะเกิดในอนาคตอันห่างไกล

ในกาลที่พระราชามหากษัตริย์ (ตลอดจนผู้ปกครองประเทศ) มิได้ตั้งในทศพิธราชธรรม ศีลธรรมและ
กุศลจิตของประชาชนทั้งหลายเสื่อมคลายย่อหย่อนลง

ผมก็ยังไม่เห็นการกำหนดเป็นปีออกมานะครับ ที่ลงรายละเอียดเป็นการขยายความทั้งสิ้น ไม่ใช่ตำราชั้นต้น



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.161.120 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 18:47  IP : 1.47.161.120   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52771

คำตอบที่ 38
       คำเชื่อในทางเถรวาท

"ตามบุรพกรรมสัญญา ระหว่างโคตมพุทธเจ้า และพระศรีอริยะเมตไตย ทำให้องค์พระเมตไตรยโพธิสัตว์
จะต้องมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาของพระพุทธโคดม จวบจนครบพุทธกาลดั่งนี้แล"


แน่นอนครับ พระโพธิสัตว์ ย่อมต้องลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ท่านจะมาตรัสรู้นะครับ
ส่วนจะมีพระโพธิสัตว์พระองค์ใดมาเกิดบ้างนั้น กระผมไม่ทราบ แน่นอนว่าไม่ใช่พระองค์เดียวอย่างแน่นอน

ในข้อสองและข้อสาม ผมไม่เคยเห็นในพระไตรปิฎกครับ เห็นแต่ เป็นข้อขยายความ

ส่วนในคำตอบที่ 34 ผมเคยเขียนเรื่องความเชื่อทางมหายานเอาไว้แล้วในกระทู้ที่ อ.von พาเที่ยววัด

ไปดูวัดสวยที่วัดกาญจนาภิเศกบางใหญ่
http://www.weekendhobby.com/offroad/newenergy/Question.asp?ID=786

คำตอนที่ 35

พระศรีอาริยเมตไตรย์ เป็นชื่อพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปครับ ปัจจุบันท่านยังมิได้ตรัสรู้ครับ อย่าเข้าใจผิด
ในสมัยพุทธกาลท่านก็ทรงบวชเป็นพระ มีพระนามว่า พระอชิตะ ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ได้มีพุทธทำนายว่า
พระอชิตะ ต่อไปจะบังเกิดเป็นพระเมตไตรยพุทธเจ้า

เหมือนกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ ท่านมีพระนามเดิมว่าสิทธัทถะ

แต่เจ้าชายสิทธัทถะนั้นไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้านะครับ เพราะตอนนั้นพระองค์ท่านยังไม่ตรัสรู้

สัมมาสัมพุทธะ คือ ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง
หากพระศรีอาริยเมตตไตรย์ทรงเป็นพระอรหันต์ หรือ เป็นอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่ง ย่อมหมายความว่าไม่ใช่ สัมมาสัมพุทธะซิครับ

ท่านจะทรงมาตรัสรู้ในยุคที่ไม่มีศาสนาพุทธครับ คงเป็นระยะหลักล้านปีครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.161.120 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 19:01  IP : 1.47.161.120   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52772

คำตอบที่ 39
       ย้อนกลับไปอ่านคำตอบที่ 29 ของ อาจารย์ von อีกทีครับ แล้วกลับมาอ่านคำตอบที่ 36

ผมว่าคราวนี้คุณเพื่อนปา จะเข้าใจได้อย่างกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 1.47.161.120 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 19:08  IP : 1.47.161.120   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52773

คำตอบที่ 40
      

ติดตามอ่านด้วยความสงบ ครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.26.74.102 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 19:31  IP : 125.26.74.102   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52774

คำตอบที่ 41
       ด้วยความเคารพและเข้าใจคุณหนุ่มกระโทกมากขึ้น กระผมได้อ่านและพิจารณาแล้วเชื่อถือและเข้าใจใน คต.29 คต.38 และ "คต.31" ครับ

ปล.เลยเถดกันมาไกลเลยครับ ยังติดตามอาการอาพาธของหลวงตาอยู่ด้วยความกังวลครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

juk_za จาก เพื่อนปา 1.46.1.208 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 20:22  IP : 1.46.1.208   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52775

คำตอบที่ 42
       คุณเพื่อนปาครับ สหายธรรมย่อมสลายโมหะให้แก่กันและกัน ถ้าสลายไม่ได้คือการดูดายเห็นสหายเดินลงเหว
ดังนั้นถ้าเอา อฏฺฐกถา ฏีกา อนุฎีกา มายุ่งกับส่วนที่บริสุทธิ์ แล้วจะป่วนมากกว่าเข้าใจครับ

ผมขอยกตัวอย่าง พุทธพยากรณ์ไว้บทหนึ่ง

สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ วิชฏฺเย ชฏํํ

ต่อมาพระพุทธโฆษาจารย์ได้นำเอาประโยคสั้นๆข้างบนมาเป็นแกนหลักมาสร้างคัมภีร์วิสุทธิมรรคที่เป็นอฏฺฐกถาอีกเล่มใหญ่ๆเมื่อพันห้าร้อยปีก่อน นั่นคือ ศิล สมาธิ ปัญญา หรือที่มหาเปรียญทั้งหลายต้องเรียนกัน สีลนิเทศ สมาธินิเทศ ปัญญานิเทศ

จะดูกันแล้ว พระพุทธโฆษาจารย์คือสุดยอดของสายเถรวาท พอๆ กับที่พระนาคารชุนเป็นสุดยอดของอาจริยวาท ตำราที่ท่านทั้งสองเขียนเป็นตำราอฏฺฐกถาที่ไม่มีใครกล้าแย้ง แต่ถ้าอีกพันปีข้างหน้าตำราของท่านพุทธทาสถ้ายังยืนยงอยู่ได้ก็จะเป็นเหมือนตำราทั้งสองสายที่ผมยกมานั่นแหละคือเป็นไม่มีใครกล้าแย้งตำราท่าน แต่ที่อาจจะหนักกว่าเพราะของท่านมีทั้งสามระดับคือ อฏฺฐกถา ฎีกา อนุฎีกา เลยก็ว่าได้



ดังนั้นธรรมจากพระโอษฐ์ คือสิ่งเบื้องต้นที่ไม่ต้องสงสัยในสิ่งใดอีก

อฏฺฐกถายังมีจุดไม่ตรงเพราะผู้เขียนเอาพระไตรปิฎกมาเรียงใหม่ตามความเข้าใจของตน ทั้งที่ผู้รจนาอฏฺฐกถาไม่อยู่ในสภาวะอรหันต์หรือพุทธะแต่กำลังอธิบายสภาวะธรรมที่แสดงโดยผู้มีสภาวะของพุทธะแล้วนำมาเรียงร้อยขยายความใหม่ เหมือนเอาคนไม่เคยไปเชียงใหม่มาเขียนหนังสือนำเที่ยวเมืองเชียงใหม่โดยใช้แผนที่จริง แม้จะอยู่บนพื้นฐานจริงแต่ความเที่ยงตรงจึงไม่ใช่เต็มร้อย

ฏีกา อนุฎีกา คือเอาข้อมูลมาขยายเป็นทอดที่สามและสี่ ความไม่แน่นอนยิ่งสูงขึ้นไปอีกเพราะเป็นการสอดแทรกความเข้าใจของผู้รจนาเข้าอีกเป็นทอดๆเหมือนเอาหนังสือทำเที่ยวเชียงใหม่ที่เขียนโดยคนภูเก็ตมาขยายความโดยคนประจวบ แล้วโดนคนเมืองนนท์เอามาเขียนอีกรอบ


เมื่อไม่ถึงสองปีที่ผ่านมานี้เองผมเจอพระที่เป็นผู้ใหญ่พอสมควรเอาข้อความในไตรภูมิกถามาผสมกับข้อความในพระไตรปิฎกเอามาเทศน์หน้าตาเฉยเลย แถมยังเจอหนังสือหลายๆเล่มจากหลายครูบาอาจารย์เอามาผสมในธรรมยำใหญ่ใส่สาระพัดที่เขียนเป็นหนังสือแจกคนอีก ทั้งที่หนังสือไตรภูมิกถาของสุโขทัยไม่ต่างอะไรกับหนังลือพระมาลัยโปรดสัตว์ของพม่าที่เป็นต้นแบบเลยแม้แต่น้อย

ถ้าเข้าใจจุดนี้อย่างแท้แล้วจะเข้าใจว่าทั้งผมและหนุ่มกระโทกกำลังทำหน้าที่สหายธรรมสลายโมหะให้แก่กันและกันรวมถึงเผื่อแผ่ให้คุณเพื่อนปาด้วยครับ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.24.203 อาทิตย์, 2/1/2554 เวลา : 20:57  IP : 125.24.24.203   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52776

คำตอบที่ 43
       ถ้าชอบแนวนี้ลองหาหนังสือ ตำนานพระเจ้าเลียบโลก กับ ชินนกาลมาลีปกรณ์ มาอ่านดูครับ

สนุก และได้ความรู้ไปอีกแบบ

ชินกาลมาลีปกรณ์ หาได้ที่ มหาจุฬาราชวิทยาลัย
เมื่ออ่านสองเล่มนี้แล้วจะเข้าใจว่าที่ผมพูดถึงว่าตำราชั้นต้น และชั้น สอง สาม สี่ ต่างกันอย่างไร

แต่ถ้าสนใจเรื่องประวัติพระศาสนาจริง ๆ ผมแนะนำหนังสือ สามเล่มที่ควรซื้อเอาไว้คือ

1 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา โดยท่านอาจารย์ เสถียร โพธินันทะ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ มหามงกุฏราชวิทยาลัย ราคา 180 บาท
อ่านแล้วจะได้มติต่าง ๆ ของพุทธแต่ละนิกาย และต้นเหตุของการเกิดนิกายต่าง ๆ
ท่านอาจารย์เสถียร นับได้ว่าเป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนา มีความรอบรู้ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน เสียดายที่ท่านอายุน้อย

2 พุทธศาสนประวัติ ระหว่าง 2500 ปี ที่ล่วงไปแล้ว ราคา 120 บาท
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ สุรวัฒน์ เบอร์โทร 281-8907,282-3271
เป็นการรวมบทความทางพุทธศาสนา ที่จัดพิมพ์ขึ้นคราวฉลองกึ่งพุทธกาล เมื่อปี 2499

3 พระพุทธศานามหายาน มหามกุฏราชวิทยาลัย ราคา 180 บาท
อ่านเล่มนี้จะได้แนวความคิดของนิกายต่าง ๆ ของทาง ทางมหายานว่ามีเรื่องดี ๆ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยครับ




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 111.84.172.15 จันทร์, 3/1/2554 เวลา : 19:47  IP : 111.84.172.15   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52800

คำตอบที่ 44
      
ขอเเทรกนิดเดียวครับ

" หลวงตามหาบัวออกจาก รพ. ศิริราชกลับวัดป่าบ้านตาดเเล้ว ครับ "

เรียนเชิญสนทนาธรรมต่อครับ





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 182.52.183.117 จันทร์, 3/1/2554 เวลา : 20:12  IP : 182.52.183.117   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52803

คำตอบที่ 45
       อ่านแล้วสนุก...ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็นด้วยคนครับ
เมื่อก่อนตอนวัยรุ่นผมชอบฝึกมวย...เห็นตัวอย่างในภาพยนต์ หรือบรรดามาสเตอร์ทั้งหลายที่แสดงพลังทำลาย ก็สงสัยว่าทำได้อย่างไร มันเกินวิสัยมนุษย์...ก็หาหนังสืออ่าน...ตำรามากมาย...หลักวิชาของมวยหลายๆ แบบ...ต่างก็ล้วนมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน....แต่ยิ่งอ่านยิ่งมึน ยิ่งสับสนเพราะตามที่ผมเข้าใจแบ่งแยกออกเป็นสองสายหลักคือมวยอ่อนที่ใช้หลักเบี่ยงเบนพลังของศัตรู และมวยแข็งที่ใช้แรงจากตัวเราเข้าปะทะทำลาย อ่านไปก็เท่านั้น พอฝึกฝนเข้าจริงๆ ใช้เวลาตั้งแต่อายุ 15 จนอายุเกือบสามสิบจึงเพิ่งเริ่มเข้าใจว่าแรงมาจากไหน ตั้งแต่เริ่มหัดยืนม้า (ยืนย่อกางขา) ชกลมแล้วก็ชกกระสอบทรายนับสิบปี จึงเริ่มจับสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนเริ่มปล่อยหมัด ตอนปลายหมัดสัมผัส และตอนอัดส่งแรงให้ทะลุผ่าน...แต่ก็เพียงแค่เข้าใจได้ตื้นๆ เท่านั้นเองว่าแรงมาจากไหน...จะต้องฝึกอย่างไร แล้วควบคุมร่างกายส่วนไหนบ้าง...พอมีรุ่นน้องมาถาม "พี่ๆ ทำไงให้ชกได้หนักแบบพี่"...ผมก็จะรู้สึกเหมือนกันทุกครั้งคือ "เราฝึกมาสิบกว่าปี...มันจะใจร้อนไปไหม..." พอบอกให้ยืนม้าครึ่งชั่วโมงได้ก่อนแล้วค่อยมาถามใหม่...ไม่เคยมีใครกลับมาถามอีกเลย....
พออายุมากขึ้น...มีครอบครัวก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้ลูก ทำตัวดีจะได้ปกครองครอบครัวได้ ก็แค่ศีล 5 คนทั่วไปทำได้อยู่แล้วโดยเป็นปกติ เพราะทุกวันนี้เราไม่ต้องล่าสัตว์ ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารทุกมื้อแบบโบราณ แค่ไม่โกหก ไม่ดื่มเหล้า ไม่ผิดลูกเมีย ไม่ขโมย คนที่มีวิถีชีวิตปกติทำได้สบายมาก พอถือศีล 5 ตั้งแต่แต่งงาน เห็นผลทันที...มีเงินเก็บครับ...เมื่อก่อนตอนโสดกินเหล้ากินเบียร์ประจำไม่มีเงินเหลือเลย ช่วงแรกๆ ก็เครียดเพราะต้องเลี้ยงลูกด้วยทำงานด้วย มีโทสะประจำ พอเรามีโทสะ บ้านก็ร้อนเป็นไฟ อ่านหนังสือ-บทความทางพุทธศาสนาให้ระงับโทสะแล้วลองทำดู เรื่องเดียวกันที่เคยโกรธก็ลองละวาง ลองปล่อยดู พอไม่โกรธเมียก็ไม่งอน ลูกก็มีความสุข ศีลข้อมุสา...แค่ไม่โกหกก็เป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้ เมียก็เชื่อใจ ลูกก็เชื่อฟังเพราะเราสัญญาหรือบอกอะไรแล้วไม่เคยผิดคำพูด...ละเอียดไปกว่านั้นเมื่อก่อนพอหงุดหงิดใครก็บ่นว่า บางทีก็นินทา แต่พอเห็นคนอื่นทำบ้างสะท้อนมองตัวเองเลยเลิกทำ มันก็ดีจริงๆ เวลาเราพูดสิ่งไม่ดีจิตใจก็ไม่สงบ คนที่ฟังใกล้ตัวที่สุดก็คือลูกเมีย เด็กวัยกำลังจดจำ พ่อแม่นินทาว่าร้าย พูดคำหยาบเด็กก็จดจำ เอาคร่าวๆ แค่ศีล 5 ข้อ เมื่อปฎิบัติจริงๆ ก็ได้ผลทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างมาก สงบร่มเย็นขึ้น ครอบครัวมีสุข

แล้วธรรมที่ละเอียดไปกว่านั้นเล่า...ผมก็ได้อ่านมาบ้างตั้งแต่อภินิหารเช่นเหาะเหินเดินอากาศ หรือล่วงรู้ความคิดคน ฯลฯ จนถึงสูงสุดคือดับกิเลสมันเป็นอย่างไรหนอ...ในส่วนนี้สำหรับผมเป็นการส่วนตัว...สงสัยแน่นอนครับ...แต่ผมคิดว่าคงคล้ายกับเรื่องมวยที่มีประสพการณ์เล็กน้อยครับ...นั่นคือต้องฝึกปฎิบัติอย่างเดียวครับ สงสัยเพราะอยากรู้ แต่ไม่สงสัยเพราะไม่เชื่อ แค่ศีล 5 ยังทำให้ชีวิตมีความสงบสุขได้ แล้วถ้าปฏิบัติมากขึ้นอีกสักนิดจนถึงที่สุด ผมว่าต้องเห็นผลจะมากน้อยก็แล้วแต่ เรื่องราวในหนังสือก็ตามที่จัดแบ่งกันไว้หลายลำดับขั้น ผมว่าเหมือนกับแผนที่...ลายแทง....จนถึงคำบอกเล่า ถ้าเราไม่เริ่มก้าวขาสักทีก็ไม่ถึงที่หมายหรอกครับ

ใช่ว่าผมจะหาว่าการค้นคว้าทางตำรา, การถกเถียงกันเป็นเรื่องไร้สาระ มัวแต่ถกกันแต่ไม่ปฏิบัติแล้วจะเห็นผลอย่างไร จะรู้ได้ไงว่าสิ่งใดเป็นจริงสิ่งใดเท็จ ก่อนเดินทางก็ยังต้องศึกษาเส้นทางดูแผนที่ เถียงกันว่าไปเส้นไหนดี เพียงแต่ผมให้ความสำคัญกับการปฏิบัติมากกว่าการอ่านน่ะครับ อ่านเพื่อเป็นแนวทาง ยิ่งอ่านมากเกินไปยิ่งฟุ้งซ่าน ผมเรียนมาน้อยเลยไม่ค่อยได้อ่านอะไรมากมายนัก ชอบปฏิบัติทดลองทำดูเห็นผลแล้วจึงเชื่อมากกว่า

ขอบคุณที่ช่วยกันถกประเด็นทำให้ความรู้กว้างขึ้น สนุกดีครับ เป็นเรื่องไกลตัวแต่ก็ต้องรับฟังเพราะอ้างอิงพุทธวจนะ...ขออภัยหากความเห็นของผมรบกวนท่านใดก็ตาม ผมเชื่อถือและศรัทธาสุดหัวใจเพราะเพียงเศษละอองเกษรที่ลอยมาตามลมแล้วผมคว้าไว้ได้ยังทำให้ชีวิตผมสงบสุข...คิดดูสิ...มหาโพธิ์มหึมาทั้งต้นจะร่มเย็นขนาดไหน

ไม่ได้ว่าท่านที่มาถกกันรู้แต่ทฤษฎีไม่ปฏิบัตินะครับ...ผมว่าต้องอยู่ในระดับหนึ่งแล้วล่ะ...ไม่งั้นคงไม่แตกฉานอย่างนี้...เพียงแต่อยากให้หลายๆ ท่านฉุกคิดบ้างว่าเราต้องย้อนมองตัวเรา เริ่มต้นที่ตัวเราเองบ้างเท่านั้นเองครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

translator จาก โต้ง 124.120.65.81 พฤหัสบดี, 6/1/2554 เวลา : 08:41  IP : 124.120.65.81   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52904

คำตอบที่ 46
       ปฎิบัติทุกลมหายใจครับ

แต่ต้องอยู่ในกรอบและแยกแยะสิ่งที่เป็นแก่นและกระพี้ออก

ครูบาอาจารย์ต้นธรรมสายพระป่าที่สร้างอาจารย์สามรุ่นต่อมาในปัจจุบันนี้ท่านเรียนปริยัติจนช่ำชองแผนที่มาแล้วทุกรูป
พอถึงรุ่นลูกศิษย์ หลานศิษย์ ที่หมดครูบาอาจารย์ก็เริ่มเดินสะเปะสะปะเพราะไม่รู้ว่าจะอิงกับอะไรเนื่องจากให้ความสำคัญในปฎิบัติโดยไม่สนใจในปริยัติ
การปฎิบัติก็เริ่มห่างออกเส้นทางเดิมไปเรื่อยๆเหมือนลูกไก่ไร้แม่ไก่ให้เดินตาม

ท่านอาจารย์มั่น ต้นธรรมสายพระป่าอีสานท่านก็เรียนปริยัติก่อนออกไปเป็นครูบาอาจารย์ครับ แม้จะรุ่นศิษย์ของท่านอย่างหลวงตามหาบัวก็เรียนปริยัติ พระอาจารย์สายปฎิบัติในยุคร้อยปีก่อนท่านเรียนปริยัติตั้งแต่ยังเป็นพระนวกะก่อนทุกรูป หลวงปู่เอี่ยมหลวงปู่สุขท่านก็ได้เปรียญที่สูงพอสมควรก่อนออกไปเป็นพระป่าเสียด้วยซ้ำ

เราเลยไม่ได้เห็นพวกครูบาอาจารย์สมัยเก่าๆท่านสอนผิดทางให้ไปติดกสิณจนงมงาย หรือทำผิดสมณะรูปเหมือนพระป่าวิตถารบางวัดที่เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์บ่อยๆในตอนนี้ครับ



แผนที่แม่น...เดินทางเก่ง...ขอให้ถึงจุดหมายโดยไว...อนุโมทนาบุญด้วยครับ
จาก : translator(translator) 6/1/2554 14:28:42 [124.122.132.151]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.40.59 พฤหัสบดี, 6/1/2554 เวลา : 10:22  IP : 125.24.40.59   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52905

คำตอบที่ 47
       ขอบคุณครับ คุณ translator ขอให้มุทิตาจิตจากใจของคุณที่มีกับผมตามข้อความข้างบน ส่งผลให้คุณโต้งพบหนทางก้าวลงแห่งรูปและนาม เข้าสู่เส้นทางนิพพานโดยเร็วครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.44.177 ศุกร์, 7/1/2554 เวลา : 01:07  IP : 125.24.44.177   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52907

คำตอบที่ 48
       กราบเรียน อ.วอน ที่เคารพ

ก่อนอื่นผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูง (แต่พิมพ์ไปหัวเราะไปน้ำตาไหล) ในความไม่รอบคอบของผม อาจทำให้อาจารย์ระคายเคือง...จากคำตอบข้างต้นที่ได้เปรียบการศึกษาปริยัติเหมือนอ่านแผนที่ การปฏิบัติเหมือนการเดินทาง ผมอ่านแล้วสนุกได้ความรู้ดีเลยขออนุญาตร่วมแสดงความเห็นในส่วนของผมที่เน้นปฏิบัติมากกว่า การอ่านแค่เป็นเพียงแนวทาง ซึ่งก็ต้องอ่านอยู่ดี แต่ไม่เน้นเอาแต่อ่าน เหมือนสมัยตอนวัยรุ่นทีผมฝึกมวย จากนั้นอาจารย์กรุณาให้ความกระจ่างว่า...คณาจารย์รุ่นก่อนๆ ต่างศึกษาแผนที่ (ปริยัติ) เป็นอย่างดี แล้วจึงเดินทาง (ปฏิบัติ) จึงไม่หลงทาง ต่างกับพระป่าบางสำนักปัจจุบันนี้ที่มีข่าวทำแปลกๆ ผิดสมณะวิสัย เพราะไม่ศึกษาปริยัติให้ดีก่อน ทราบว่าอาจารย์ปฏิบัติและมีความรู้ด้วย เปรียบเหมือนคนเก่งจำเส้นทางบนแผนที่แม่น แล้วก็เดินทางเก่ง...ผมก็ขอให้อาจารย์ถึงจุดหมายโดยไว พร้อมกับอนุโมทนาบุญที่อาจารย์ให้ความรู้ในด้านต่างๆ เป็นวิทยาทาน และบุญที่อาจารย์ได้ปฏิบัติธรรม

แต่ผมลืมนึกไปว่าจุดหมายสูงสุดผู้ปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธคือ "นิพพาน"....การจะเข้าสู่นิพพานได้ก็ต้อง "ตาย" กลายเป็นว่าผมบอกให้อาจารย์เข้านิพพานเร็วๆ...ผมเพิ่งถึงบางอ้อ ตอนอาจารย์ตอบมาในคำตอบที่ 47 นี่ละครับ

กราบขออภัยอีกครั้ง แต่ยิ่งนึกยิ่งขำ...สมมุติว่าผมนุ่งขาวกลับมาจากวัดแล้วเจอคนรู้จักทักทายว่า "แหม...เข้าวัดมาเรอะ...ไปนิพพานเร็วๆ เน้อ..." ผมคงชะงักกึก....อึ้ง...ไม่รู้จะขอบใจมันหรือจะโกรธมันดี...

จริงๆ ครับผมไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร...ยิ่งกับผู้ใหญ่ที่เคารพ...ขอโทษอีกครั้งครับ...แต่มันขำจนอดไม่ไหวจริงๆ

ผมยังไม่อยากไปนิพพานตอนนี้หรอกครับ...ลูกยังเล็กเพิ่ง 5 ขวบ บ้านก็ยังผ่อนไม่หมด...กะว่าจะไปสักอายุ 80 ไม่รู้จะมีวาสนาอยู่ถึงอายุ 80 แล้วเข้านิพพาน หรือว่าจะไปภพภูมิไหนก่อนหน้านั้น

แล้วผมก็ไม่อยากให้อาจารย์เข้านิพพานในเร็วๆ นี้หรอกครับ...สังคมออนไลน์มันน่าปวดหัว...น้อยนักที่จะมีบอร์ดดีๆ มีคนเสียสละเวลาให้ความรู้กับคนอื่นโดยไม่มีค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์แฝง...ที่ผมตั้งใจคือขอให้อาจารย์บรรลุธรรมไปตามลำดับขั้นเรื่อยไปน่ะครับ แล้วก็อยู่ในโลกนี้อีกนานๆ นะครับ

ผมเริ่มสังเกตุเห็นแล้วว่าแค่การอุปมา ปริยัติ = แผนที่, ปฏิบัติ = เดินทาง, บรรลุธรรม (นิพพาน) = เป้าหมาย ห่างกันไม่กี่สิบชั่วโมงแค่ระหว่างสองคนยังสื่อสารไขว้เขว ผิดพลาด (ผมเอง) กันได้ ธรรมอันลึกซึ้งกว้างขวางครอบคลุมนับคณาจะหาอันใดถ่ายทอดเที่ยงตรงได้เมื่อผ่านกาลเวลานับพันปี ผ่านคนหลายชั่วอายุขัย ต่อให้คัดลอกคัมภีร์กันก็ยังมีเขียนผิดได้บ้าง จึงเป็นธรรมดาที่ต้องมีการถกหารือกัน

ข่าวหลวงตาท่านอาพาธ...แม้ท่านเป็นอริยสงฆ์ แม้ท่านเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่มีใครอยากให้ท่านนิพพานหรอกครับ ต่างอธิษฐานให้ท่านอยู่นานๆ กันทั้งนั้น




 แก้ไขเมื่อ : 7/1/2554 16:01:06



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

translator จาก โต้ง 124.120.67.248 ศุกร์, 7/1/2554 เวลา : 15:57  IP : 124.120.67.248   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52954

คำตอบที่ 49
       "มรรค ก็ดี อริยมรรคก็ดี ตกแต่งเอาเองได้

ผลก็ดี อริยผลก็ดี ตกแต่เอาเองไม่ได้

เป็นของเป็นเองสำเร็จเอง

มาจากมรรคและอริยมรรคที่ตกแต่งถูกต้องแล้ว(เท่านั้น)

พ่อแม่ครูจารย์ท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ยังไงท่านก็นิพพานแน่ๆๆๆๆๆๆๆๆอยู่แล้วเป็นของห้ามไม่ได้



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

navy_tui จาก เปี๊ยก ปากน้ำ 61.7.186.238 ศุกร์, 7/1/2554 เวลา : 17:13  IP : 61.7.186.238   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52955

คำตอบที่ 50
       มิได้ครับคุณโต้ง มิได้ระคายเคืองอะไร ผมอายุมากเกินกว่าจะมีอารมณ์อะไรมากระทบได้ง่ายๆเหมือนยังหนุ่มอีกแล้ว

คุณโต้งเข้าใจเรื่องผมอนุโมทนานิพพานไม่ถูกต้องเรื่องหนึ่งครับ นิพพานไม่ใช่แช่งให้ตายครับ เส้นทางนิพพานอยู่ที่นี่เวลานี้วินาทีนี้

เวลาคนรุ่นเก่าๆหรือคนแก่เขาอนุโมทนาบุญเขาจะพูดว่า "นิพพานัง ปัจจโยโหตุ" แล้วยกมือไหว้อนุโมทนา

คนเฒ่าคนแก่เขาไม่ได้แช่งตัวเองหรือผู้อื่นให้ตายเร็วๆคาศาลวัดหรอกครับ เพราะปัจจัยแห่งนิพพานมันไม่ใช่จบตอนตายหรือธาตุขันธ์สลายลง

ตอนนี้คงเข้าใจแล้วนะครับว่า "นิพพานัง ปัจจโยโหตุ" ที่ผมอนุโมทนาให้คุณโต้งไม่ใช่บอกให้คุณรีบไปตายเร็วๆ เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนให้สัตว์ไปนิพพานครับไม่มีคำสอนให้ไปที่อื่น

เห็นประโยชน์ของการศึกษาปริยัติแล้วใช่ไหมครับ ว่าถ้าเข้าใจในนัยยะแห่งคำสอนย่อมเข้าใจนัยยะแห่งวิธีปฎิบัติที่ถูกต้อง เหมือนตัวอย่างคำอนุโมทนาที่ผมเพิ่งให้ไปนี่แหละ

ถ้าไม่เข้าใจศึกษาปริยัติ พอบอกอนุโมทนาให้ไปนิพพานก็มีเรื่องกันกลางศาลาวัดหาว่าแช่งให้ตายเร็วๆหรือพูดกระทบกัน แต่ถ้าเข้าใจในปริยัติดีเขาก็จิตฟูด้วยความยินดี เขาก็ยกมือไหว้อนุโมทนาขอบคุณตอบ

ชีวิตของผมโชคดีที่มีครูบาอาจารย์ดีๆสอนปริยัติและปฎิบัติพร้อมกันทุกบ่ายหลังเพลเลยพอจะเข้าใจวัตรปฎิบัติของการใช้ชีวิตที่เหลือก่อนตายบ้างเท่านั้นครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 180.180.138.202 ศุกร์, 7/1/2554 เวลา : 23:19  IP : 180.180.138.202   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52957

คำตอบที่ 51
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

paoey จาก paoey 117.47.103.90 เสาร์, 8/1/2554 เวลา : 09:41  IP : 117.47.103.90   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52958

คำตอบที่ 52
      
หากเทียบกับคุณโต้งเเละคุณเปี๊ยก ปากน้ำ ผมคงเป็นเเค่หางอึ่งของทั้ง 2 ท่าน

" เห็นได้จากการใช้คำพูด คำศัพท์ทางพุทธศาสนา " ฟังเเล้วต้องหาพจนานุกรมช่วยอธิบาย

โชคดีผมมีอาจารย์ดีช่วยให้คำปรึกษาโดยไม่รำคาญความโง่เง่าของผม

อาจารย์ท่านสอนให้ปฎิบัติจากเรื่องที่ว่ายาก ๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ

ทำให้การเป็นพุทธศาสนิกชนของผมมีค่ามากขึ้นครับ

เช่น หลักปฎิบัติของการครองเรือน , ธรรมะกับการประกอบอาชีพ เป็นต้น

อาจารย์ผมท่านไม่เคยอวดอ้างตนต่อหน้าใครว่าท่านสอนวิปัสนาให้กับ ระดับผู้บริหาร หรือ อาจารย์ เเม้เเต่ วิศวกร สถาปนิค ตั้งเเต่ ป.ตรี - ป.เอก

ท่านอธิบายเรื่องการทำสมาธิว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จับต้องไม่ได้ เเละเป็นทางลัดที่ไม่ใช่ความฟลุกไปเจอ

หรือไม่ใช่การ " หลงผิด ทึกทัก ฝันเฟื่อง จินตนาการบรรเจิด "

เเต่ท่านให้การศึกษาสมาธินั้นต่อยอดเป็น " ปัญญา" ที่จับต้องเเละใช้งานได้จริงครับ

เสียดายที่ผมอยู่ไกล การเข้าคอร์สเรียนไม่อาจกระทำได้ ต้องใช้การเรียนทางไกล ( โทรศัพท์ ) เป็นหลักสูตรสั้น ๆ ไป

เเม้จะถึงปลายทางช้ากว่าพี่น้องที่ได้เรียนต่อเนื่องทุกสัปดาห์กับอาจารย์

เเต่ก็จะพยายามไปให้ถึงให้ได้ครับ

เเต่เกรงใจอาจารย์จริง ๆ ครับ ไหนจะรับสายคนปรึกษาเรื่องรถเเล้ว ยังต้องมาเเนะนำลูกลิงไกลวัดอย่างผมอีก

" ขอไหว้ครูบา อาจารย์ von Richthofen อีกครั้ง ที่กรุณาสอนสั่งให้เรื่องศาสนาเป็นเรื่องที่ปฎิบัติได้ไม่ยากอย่างที่คิดครับ "






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

nanee จาก หนุ่มเมืองลุง 125.26.122.96 เสาร์, 8/1/2554 เวลา : 12:01  IP : 125.26.122.96   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52959

คำตอบที่ 53
       คุณหนุ่มเมืองลุงครับ

ไม่ต้องเสียดายเรื่องอยู่ไกล ถึงอยู่ใกล้ก็ใช่ว่าจะดีกว่า

สิ่งเหล่านี้มันเหมือนกับคนกินข้าว นั่งกินพร้อมกัน ก็ใช่ว่าจะอิ่มพร้อมกันครับ




ชัดเจนครับ
จาก : kupree(kupree) 8/1/2554 22:28:01 [125.26.69.22]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

somsaks จาก หนุ่มกระโทก 115.67.58.136 เสาร์, 8/1/2554 เวลา : 12:44  IP : 115.67.58.136   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52960

คำตอบที่ 54
       อนุโมทนาด้วยครับคุณหนุ่มเมืองลุง เส้นทางนิพพานไปได้หลากหลายทางแม้แต่จะต้องทำหน้าที่พ่อและสามีที่ดีก็ทำไปพร้อมกันได้

การมาเข้าฝึกสมาธิและศึกษาเรื่องราวบางเสี้ยวในพระไตรปิฎกกับผมปีละสี่เดือนมันหนักและลำบากสำหรับคนไกลและคนต้องประกอบอาชีพที่ทิ้งไม่ได้ บางท่านต้องบินทุกสัปดาห์เพื่อที่จะเข้ามาฟังบรรยายปริยัติและทำสมาธิกับผมทุกสัปดาห์ตลอดสี่เดือน บางท่านก็ขับรถกว่าห้าร้อยกิโลเมตรทุกสัปดาห์เป็นเรื่องโหดที่ผมนับถือในใจที่เอาจริงของพี่น้องของคุณหนุ่มเมืองลุงกลุ่มนั้น

ผมคงมีแรงทำแบบนี้ได้อีกไม่กี่ปี โทรศัพท์ผมไม่เคยปิดตลอด 24ชม.ครับคุณหนุ่มเมืองลุง



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.14.38 เสาร์, 8/1/2554 เวลา : 13:11  IP : 125.24.14.38   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52961

คำตอบที่ 55
       กำแพงที่มองไม่เห็น เป็นอุปสรรคขวางกั้นปัญญา
ขอบพระคุณ อ.วอน ที่ช่วยชี้แนะหนทางสู่นิพพาน...ผมสังเกตอะไรบางอย่างได้อีกแล้ว...นอกจากปัญหาเรื่องกาลเวลา, ลำดับการถ่ายทอด, สื่อการถ่ายทอด (ปากต่อปาก, ตัวอักษร) ที่สำคัญไม่ด้อยไปกว่านั้นคือ "ภาษา"
ภาษาไทยเราเองเท่าที่มีประวัติจารึกอายุเพียง 700 กว่าปี ที่เป็นคำไทยแท้มีไม่มาก ส่วนใหญ่นำมาจากภาษาอื่น ศาสนาพุทธมีอายุกว่า 2554 ปี คำศัพย์ทางศาสนามาจากภาษาของชาวชมพูทวีปโบราณ เราก็เอามาถ่ายทอดจากคำออกเสียงมาสะกดเขียนตามภาษาของเรา นอกจากเรื่องความหมายตรงตัวเป็นรูปธรรมที่แตกต่างกันแล้ว ยังเข้าใจยากขึ้นไปอีกคือเป็นคำอธิบายเชิงนามธรรม ต้องมีพื้นฐานเข้าใจขั้นหนึ่งก่อน จึงเข้าใจขั้นสอง แล้วจึงเข้าใจคำๆ นั้น เหมือนเด็กที่ต้องเรียนเคมีพื้นฐาน, โครงสร้างอะตอม, พันธะเคมี, สเตอรีโอเคมี ,ฯลฯ แล้วจึงเข้าใจคำว่าเคมิคอล ชิพท์ จู่ๆ จะบอกให้คนไม่มีความรู้พื้นฐานเคมีเข้าใจคำๆ นี้คงเป็นการยาก
เป็นบุญเหลือเกินสุดจะจินตนาการได้ หากได้เกิดในสมัยพุทธกาล ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นเอหิภิกขุ นั่นคือรับฟังพุทธวจนะด้วยภาษาเดียวกัน...ได้รับถ่ายทอดโดยตรงตามจริตของศิษย์ เราๆ ทั้งหลายอยู่ในยุคนี้กาลเวลาห่างถึงสองพันกว่าปี...หลักธรรมคำสอนก็ถูกถ่ายทอดสืบต่อมาหลายรุ่น แยกเป็นหลายนิกาย ถ้ามีบุญได้พบท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบควรเร่งคว้าโอกาสนั้นไว้
คนธรรมดา ชาวบ้านทั่วไปยังไม่เข้าใจกับคำง่ายๆ กันเลย "ขั้นธ์ 5" สำหรับบางกลุ่มคือการนำขันหรือพานที่มีดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้เจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรของเขาที่เวลาคนทักว่ามีองค์นะให้ไป "รับขันธ์" ...พอแยกให้ดูว่าขันธ์ 5 มี รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ เชื่อเถอะมีคนจำนวนมากเชื่อว่า "สังขาร" คือเนื้อหนังมังสา และ "วิญญาณ" คือ "ผี".....
ตอนนี้เห็นความสำคัญของ "ปริยัติ" เป็นอย่างยิ่งแล้วครับ...และเข้าใจดีขึ้นอีกนิดหนึ่งว่าทำไมพระต้องเรียนภาษามคธ, ภาษาสันสกฤต...ขนาดเป็นพระใช้เวลาศึกษาพระไตรปิฎก, ภาษา ยังต้องใช้เวลามากมาย ถึงตลอดชีพ ถ้าเจอผู้ชี้นำแนวทางสามารถอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย โดยไว ผมว่าคุ้มค่าครับกับการเดินทางไกล
ในใจลึกๆ ของผมอยากบวชอีกครั้ง ผมบวชครั้งแรกทำไปตามประเพณี ช่วงจบอนุปริญญาใหม่ๆ ยังมีเวลาก่อนเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ ก็บวชๆ ซะไม่งั้นพอเข้ากรุงเทพ เดี๋ยวเรียนเดี๋ยวทำงานก็ไม่มีเวลา คล้ายกับทำไปงั้นๆ เอง....จะว่าไม่ได้อะไรเลยก็ใช่ที่...การไม่ได้อะไรเลยก็ได้บางอย่างเหมือนกัน...จากวัยรุ่นธรรมดามาเป็นพระ...เมื่อก่อนเวลามาทำบุญกินข้าวในศาลาเคยนั่งข้างล่าง พอมีผ้าเหลืองก็มานั่งข้างบน ฯลฯ และอะไรอีกหลายอย่างที่รู้สึกเหมือนเล่นละคร...พอโกนหัวห่มผ้าเหลืองต้องทำตัวแบบนี้นะ...ตัวผมก็ยังเป็นคนเดิมอยู่...แต่ก็สงสัยหลายอย่าง...วัยรุ่นที่มีความรู้น้อย รู้แค่ว่าเราบวชตามประเพณีให้พ่อแม่ดีใจแค่เดือนเดียวก็อยู่ไปงั้นๆ (ขีดข้างฝา นับวันสึก) แต่พระที่บวชจนแก่ เค้าไม่ได้บวชเพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อนิพพานหรือ...ก็วัตรปฏิบัตรมันชวนให้สงสัยนี่ครับ เรื่องความโลภ, การสะสมวัตถุของพระ...ว่าพระไม่ได้นะ...โยมทั้งหลายทำให้พระเป็นแบบนั้นเอง...ผมบวชเป็นพระได้ไม่กี่นาทีพอก้าวเท้าออกจากประตูโบสถ์ ก็มีคนเอาเงินมาใส่ย่ามทันที...ถามภายหลังได้ความว่าที่ทำแบบนั้นเชื่อว่าทำบุญกับพระบวชใหม่ได้บุญสูง เพราะเพิ่งเป็นพระยังไม่ทำผิดไม่อาบัติอะไรทั้งสิ้น เรียกว่ารอเปิดบริสุทธิ์ย่ามพระกันหน้าประตูโบสถ์ทีเดียวเชียวครับ แต่ความจริงที่เกิดขึ้นคือ...พอพระใหม่เข้ากุฏิแล้วนับเงินในย่าม...โอ้โห...ได้หลายตังค์ (ดีจังเก็บไว้ใช้ตอนสึก) เป็นเหตุให้พระใหม่เกิดยินดีในทรัพย์...ไม่ได้บุญกันซะแล้วมั้งโยม
ตอนนี้อยากให้หมดภาระทางบ้าน อยากตัดกังวลกองใหญ่ออกให้ได้ก่อน ให้แน่ใจว่าลูกเมียอยู่ได้สุขสบายโดยไม่มีเรา แล้วจึงบวช ในใจผมอยากบวชจริงๆ จะทำอีกครั้งให้ดีใช้ชีวิตที่เหลือครองผ้าเหลืองจนตาย ถ้ามีบุญได้ทำก็ทำ แต่ถ้าไม่ได้ทำก็คงเป็นตาแก่ๆ นุ่งขาวอยู่กับบ้าน หรือถ้าจะตายก่อนแก่อย่างน้อยก็ไม่ผิดศีลห้า
กราบขอบพระคุณ อ.วอนอีกครั้งครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

translator จาก โต้ง 124.122.166.212 เสาร์, 8/1/2554 เวลา : 21:23  IP : 124.122.166.212   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52965

คำตอบที่ 56
      
คนส่วนมากคิดจะเข้าวัดตอนแก่หรือหมดห่วงแล้ว ซึ่งตอนนั้นอายุน่าจะอยู่ในวัยหมดแรงจะทำชั่วแล้วถึงจะไม่เข้าวัดก็ไม่มีแรงทำชั่วเหมือนยังหนุ่ม นั่งพับขาทำสมาธินานๆก็ไม่ได้มันปวดเมื่อยไปหมด นั่งอ่านหนังสือก็ปวดตา มันสายไปแล้วที่จะเริ่มปฎิบัติในเวลานั้น

เริ่มตอนนี้แหละครับ อย่างที่ผมบอกว่าผมปฎิบัติทุกลมหายใจ และแนะนำทุกคนไม่ต่างกันกับที่ผมทำ คือเริ่มที่วันนี้เดี๋ยวนี้เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะอยู่จนแก่หรือเปล่า จะอยู่จนผ่อนบ้านหมดหรือเปล่า จะอยู่จนเห็นลูกเรียนจบหรือเปล่า ผลัดไปทำตอนนั้นมันอาจจะไม่เหลือเวลาให้ทำแล้วก็ได้

เริ่มที่นี่เดี่ยวนี้วินาทีนี้ครับ จะได้ไม่เสียใจเสียดายเวลาตอนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดแล้วคิดย้อนกลับว่าเราใช้เวลาบางช่วงชีวิตที่เกิดมาของชาตินี้ไปแบบไม่คุ้มค่าเลย

ในสมัยพุทธกาลก็มีอุบาสกอุบาสิกาหลายๆท่านที่มีครอบครัวต้องดูแล มีงานอาชีพต้องทำเลี้ยงตัว แต่ท่านเหล่านั้นก็ไม่เว้นที่จะปฎิบัติธรรมทุกลมหายใจเหมือนกัน ท่านเหล่านั้นก็มีเวลาชีวิตวันละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากับคุณโต้งนี่แหละครับ







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

baron จาก von Richthofen 125.24.14.38 อาทิตย์, 9/1/2554 เวลา : 00:31  IP : 125.24.14.38   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52967

คำตอบที่ 57
       สวัสดีครับคุณโต้ง.....อนุโมทนาด้วยครับ"บุญใดก็ไม่ยิ่งใหญ่กว่าบุญบรรพชา"การบาชคืนการทานทุกสิ่งในทางภายนอกความอยากความสุขความดีใจ

ความเสียใจความอร่อย เรียกว่าออกจากกามๆนี้คือตัวร้ายกาจที่สุดเก่งที่สุดเป็นตัวหัวหน้า โลพะ โทสะ โมหะ ล้วนแต่เป็นลูกน้องของกามทั้งนั้น

การบวชคือการทวนกระแสโลกเพราะปกติใจมนุษบ์จะไหลไปในทางต่ำ(รวมถึงผมด้วย) การประกอบคุณงามความดีนั้นก็แล้วก็บุญของแต่ล่ะคนที่สั่งสมมา




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

navy_tui จาก เปี๊ยก ปากน้ำ 119.42.113.175 อาทิตย์, 9/1/2554 เวลา : 09:24  IP : 119.42.113.175   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52968

คำตอบที่ 58
       ต่อครับ......การบวชนั้นคือนิจศีล การทำอะไรบ่อยๆย่อมได้ผลกว่าการทำเป็นครั้งคราว การบาชเปรียบเสมือน

"ภาชนะใบใหญ่ที่สะอาด สะอาดคือศีลคือข้อวัตรคือความเพียร เมื่อฝนตกลงมาใส่ภาชนะใบใหญ่ที่สะอาดย่อมได้น้ำในปริมาณมาก

และเป็นน้ำที่สะอาดใช้ดื่มกินได้และยังสามารถแบ่งปันผู้อื่นดื่มกินได้อีก เมื่อผู้อื่นได้อาศัยดื่มกินน้ำที่สะอาดก็จะไม่ต้องปวดท้องหรือไม่สบาย

การปวดท้องหรือการไม่สบายนั้นก็มาจากการดื่มกินน้ำที่ไม่สะอาด"

ผมเองก็เคยบวชเคยผ่านครูบาอาจารย์มาบ้าง เคยฝึกฝนจิตใจมาบ้างอยากเล่าให้ฟังเรื่อง"บุญที่สั่งสมมา"

ไม่ได้มีเจตนาโอ้อวดแต่อย่างใดแต่น่าจะทำให้มีความเข้าใจในเรื่องต่างๆได้บ้าง

ผมเองเรียนจบศิลป และการเรียนศิลปนั้นก็ทำให้ผมได้ใกล้ชิดกับวัดเพราะวิชาประวัติศาสตร์ศิลปหลังจากเรียนจบก็ได้งานในวัด

คือเขียนภาพจิตรกรรมไทยที่"วัดเกาะสองพี่น้อง" อ.สองพี่น้องจ.สุพรรบูรี ใช้เวลาเขียน11เดือนคงเป็นตรงนี้กระมังที่ทำให้ใจของพวกผม

น้อมไปในทางพระ ก็เลยตัดสินใจบวชแต่คิดว่าจะบวชไม่บอกใครก็เลยไม่บอกใครเลยมีแต่ที่ไหนได้ เพื่อนที่เรียนมาด้วยกันเขียนงานมาด้วยกัน

ก็ดันมาบวชที่เดียวกันโดยไม่ได้นัดกัน ทั้งหมด9คนแต่การบวชในครั้งนั้นต้องเป็นผ้าขาวหรือเข้านาคกันเป็นปีกว่าจะได้บวชครูบาอาจารย์ท่าน

ดูจิตดูใจกันนานว่าใจเป็นพระหรือยังในระหว่างเป็นผ้าขาวนั้นก็ต้องทำทุกอย่าง ในที่สุดก็ได้บวชใช้เวลาเข้านาค2ปีกว่าท่านจะอนุญาตให้บวช

พวกผมบวชที่วัดอโศการาม เพราะเราเกิดมาเป็นคนปากน้ำ จำความได้ก็วัดอโศการามนี่แหละเป็นวัดแรกเข้าวัดก็วัดอโศการามนี่แหละเป็นวัดแรก

อาจเป็นเพราะบุญที่ได้ร่วมกันมาแต่ปางไหนไม่ทราบได้เป็นครูบาอาจารย์กันมาแต่ชาติใดไม่รู้ จึงได้มาร่วมกันในปัจจุบันในบรรดาเพื่อน9คนที่บวช

มีผมกับพี่พนธ์สองคนเท่านั้นที่ไปไม่ตลอดลอดฝั่งสึกออกมาเสียก่อน นอกนั้นท่านยังอยู่กันครบ23-24พรรษาแล้วครับแต่ผมเองก็ไม่เคยห่างวัดเลย

ยังคงไปมาวัดอยู่ตลอด อาจเป็นเพราะบุญเก่าที่สั่งสมมาถึงได้ส่งผลให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์ ได้มีชีวิตอย่างที่เป็นอยู่นี้คือจะมีใครบ้างล่ะ

ที่มีเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันและเป็นเพื่อนกล่มเดียวที่เราคบ บวชเป็นพระหมดแล้วก็อยู่กับครูบาอาจารย์ด้วยเช่น

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต หลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ผมเองอุปฐากท์หลวงปู่แว่น จนท่านละสังขารทำทุกอย่าง

จำได้ว่าซักผ้าที่เปื้อนมูลของท่านทุกวันทำให้ในใจมันหนักแน่นยังไงไม่รู้เป็นหนักแน่นที่เบาสบายอย่างบอกไม่ถูก หลวงปู่ขาน ฐานวโว

วัดป่าบ้านเหล่า จ.เชียงราย ส่วนตัวผมเองนั้นมาสายอีสานก็ได้อยู่กับครูบาอาจารย์เช่นกัน

ที่กล่าวมานั้นเพียงอยากจะบอกว่า คือบูญคือกรรมที่ผมทำมาจะด้วยเหตุใดก็ตาม จึงส่งผลให้ผมได้มีหมู่คณะที่ดีที่บริสุทธิ์ที่เป็นพรมจรรย์






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

navy_tui จาก เปี๊ยก ปากน้ำ 119.42.113.175 อาทิตย์, 9/1/2554 เวลา : 10:24  IP : 119.42.113.175   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52970

คำตอบที่ 59
       ขอบพระคุณ อ. วอน และคุณเปี๊ยก ที่ช่วยแนะนำ
มรณานุสิตที่ อ.วอน เตือนสติทำให้ผมรู้สึกขยันขึ้นมาแล้วครับ ผมคิดว่าจะรอให้ลูกโตจึงบวช ไม่ทราบว่าท่านเคยมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรต้องทำไหม มันคาๆ รีๆ รอๆ อยู่ในใจ ถ้ามีบุญอยู่ถึงตอนนั้น และถ้ามีบุญได้บวชก็จะบวช แต่ระหว่างนี้ก็สร้างบุญ หรือเหตุปัจจัยไปพลางๆ ก่อน

ผมคงเริ่มอ่านหนังสือ แล้วก็ออกกำลังกายอีกครั้ง หลังปล่อยเนื้อปล่อยตัวมาตั้งแต่แต่งงาน แต่ทุกอย่างจู่ๆ จะให้ผลิกผันทันทีคงยาก และไม่เสถียร ต้องเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตทีละน้อย ค่อยๆ ทำ อดทนและใช้เวลา ไม่หวังผลเร็วเกินไป คงคล้ายกับการฝึกมวยมั้งครับ

เริ่มน้อยๆ ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน...พาให้ลูกเมียทำด้วย...

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านในกระทู้นี้ที่มีส่วนให้ครอบครัวหนึ่งเริ่มสวดมนต์ก่อนนอน...ค่อยไปทีละน้อยครับ

หมู่บ้านผมมีพระมาโปรดถึงหน้าหมู่บ้าน แต่เมียผมตื่นตีห้าทำกิจวัตรพาลูกอาบน้ำไปโรงเรียนทุกวันไม่ทันใส่บาตร...เสาร์อาทิตย์ก็เห็นว่าตื่นเช้ามืดกันมาทั้งสัปดาห์ เลยให้นอนพักผ่อนสบายๆ กัน ไม่ได้ใส่บาตรอีก...ตั้งแต่มาอยู่นี่ใส่บาตรไม่กี่หนเอง...จะพยายามเข็นให้สองแม่ลูกพากันใส่บาตรอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง-สองครั้ง

ส่วนตัวผมเองก็ค่อยๆ ขัดเกลาไปเรื่อยๆ จากหยาบไปหาละเอียด...เช่นศีล 5 ข้อกาเม จากไม่ล่วงละเมิดทางกาย ก็ไม่ละเมิดทางใจ จนถึงไม่ยินดีในรูปสวยๆ หุ่นอึ๋มๆ (คงพยายามหนักน่าดู) ข้ออทินนา ก็จากแค่ไม่ขโมย ก็ไม่ยินดีอยากได้ทรัพย์มาสะสมเกินจำเป็นอีก (ยังอยากมีเรือลำใหม่...) ตอนนี้เป็นฆราวาส ก็รักษาศีล 5 ให้ดี...ดีขึ้นไปอีกสักหน่อย...สักวันพอปัจจัยต่างๆ พร้อมคงนำพาผมเข้าสมาคมสหายธรรมฝึกปฏิบัติเอง

ผมคิดแบบนี้ครับ...เพราะจู่ จะให้ผมตอนนี้ไปนุ่งขาว นั่งสมาธิ ยังไม่ได้หรอกครับ ขอขัดเกลากิเลส กับสันดานของตัวเองให้ดีก่อน

เหมือนถูกกระตุกเชือกที่ผูกคอไว้เลยครับ...นั่นนะสิครับ จะรอถึงเมื่อไร...พญามัจจุราชจะมานำตัวไปเมื่อใดก็ไม่ทราบ..นั่งพิมพ์อยู่เกิดเส้นโลหิตในสมองแตกก็ตายได้

ขอบพระคุณครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

translator จาก โต้ง 124.120.63.96 อาทิตย์, 9/1/2554 เวลา : 21:55  IP : 124.120.63.96   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 52971

คำตอบที่ 60
       ญาติโยมตื้นตัน-หลวงตามหาบัวนั่งรถกอล์ฟเยี่ยมเยียน


เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 12 ม.ค. ที่วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ขณะที่คณะศิษยานุศิษย์จำนวนมาก ได้พากันมาทำบุญอยู่ในวัด ต่างพากันดีใจ เมื่อคณะศิษย์ฯ ได้นำพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน นั่งรถกอล์ฟออกมาจากกุฏิหลังที่ปลอดเชื้อโรค ออกมาเยี่ยมเยียนญาติโยม โดยรถแล่นเคลื่อนไปช้า ๆ รอบ ๆ วัด คณะพุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์พากันพนมมือพร้อมพากันกล่าวขอให้หลวงตาหายป่วยไวๆ สำหรับอาการที่พบเห็นในวันนี้ที่นั่งรถกอล์ฟนั้นเห็นได้ว่าอาการหลวงตามหาบัวฯ ดีขึ้นมาก

พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี ศิษย์ของหลวงตามหาบัว ประกาศให้คณะพุทธศาสนิกชน และศิษยานุศิษย์ของหลวงตามหาบัวฯ ทราบถึงอาการป่วยของหลวงตามหาบัวฯ ว่า ขณะนี้หลวงตาฉันอาหารได้บ้างเล็กน้อย ไม่สำลัก เนื่องจากเมื่อวานนี้อากาศเมืองอุดรธานีหนาวมาก ฟ้ามืดทั้งวัน ทำให้อากาศเย็นจัด จนหลวงตาฯ ได้ปรารถว่าอากาศหนาวมาก อยากเข้าไปอยู่ที่กุฏิเดิม ทางคณะสงฆ์ ศิษย์และญาติโยม จึงได้ตกลงกันในเวลา 16.00 น.วานนี้ (11 ม.ค.) ได้กราบอาราธนาหลวงตาฯ ไปพักที่กุฏิหลังเดิมในห้องปลอดเชื้อในวัด ถึงแม้ว่ากลิ่นในห้องยังไม่หายดีคงมีอยู่บ้าง แต่ก็น้อยมากแล้วทั้ง ๆ ที่ได้เปิดใช้มาทั้ง 2 คืนแล้ว ส่วนอาการไอนั้นยังมีบ้างเป็นครั้งคราว เสมหะเหนียว มีอาเจียน ถ่ายเหลวเล็กน้อย ปัสสาวะปกติ ไม่มีไข้ แพทย์ได้ให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นยาที่ระงับเชื้อเกี่ยวกับปอดของหลวงตาฯ ให้สารอาหารและสารน้ำทางหลอดเลือด คือถวายน้ำเกลือ ด้วยยาปฏิชีวนะ

ข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJNU5EZ3hNVGMxTVE9PQ==&utm_source=twitterfeed&utm_medium=twitter





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

kupree จาก kupree 125.26.70.107 พุธ, 12/1/2554 เวลา : 13:24  IP : 125.26.70.107   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 53000

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 2 จาก >>> 1  2  3  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันเสาร์,27 เมษายน 2567 (Online 5624 คน)