คำตอบที่ 54
ขอบคุณครับคุณฟลุ๊คที่มาช่วยตอบ
สำหรับกรณีถ้ามี FFA สูง มากกว่า 1% จะต้องเพิ่มคะตะไลซ์ เพื่อให้คะตะไลซ์ไปแปลง FFA ให้กลายเป็นสบู่เสียก่อน
ตามปกติจะใช้ 1% ของน้ำหนักของน้ำมัน
เนื่องจากต้องใช้คะตะไลซ์จำนวณ 1 โมล เพื่อกำจัด FFA 1 โมล
ดังนั้นจำนวนคะคะไลซืที่ต้องใส่เพิ่งไปสามารถคำนวณได้จากสูตร
NaOH = 1% + %FFA x 0.144
KOH = 1 % + %FFA x (0.197) / 0.9
เลข 0.197 และ 0.144 มาจากน้ำหนักโมเลกุลที่ไม่เท่ากันของ NaOH และ KOH
ส่วน KOH ต้องหารด้วย 0.9 เนื่องจาก KOH โดยทั่วไปบริสุทธิ์ 90% ครับ
ถ้าแบบ 86% ก็หารด้วยเลข 0.86
แต่ผมก็ไม่เคยใช้วิธีนี้ครับ
ผมยังใช้วิธี Pre-Treatment น้ำมันอยู่ครับคือ ใช้ ACID/BASE อยู่
ขั้นตอนการใช้ ACID (Esterification) จะทำให้เกิดน้ำขึ้นมาเล็กน้อย
การแก้ไขคือจะต้องเพิ่มแอลกอฮอล์ให้มีสัดส่วนที่สูงกว่าเดิมที่ใช้ตามปกติ
เพื่อให้น้ำที่เกิดขึ้นมามีนัย ที่ไม่สำคัญ
กรณีที่กลัวว่าไขวัวมีเกลือปน ก็เอาน้ำไปล้างในน้ำมันตั้งต้นเพื่อละลายเกลือออกมาก่อนครับ
คล้าย ๆ กับใช้ Bubble หรือพ่นฝอยน้ำอุ่น/ร้อน ลงไปในน้ำมันก่อน
แล้วค่อยเอาส่วนบนไปต้มไล่น้ำออกอีกที
สำหรับวุ้นใสนั้นผมยังคงคิดว่ามันคงเกิดปฏิกิริยาไม่สมบูรณ์
ผมเองถ้าวันไหนเลินเล่อหรือว่าโลภก็เกิดเหมือนกันครับ
ถ้าเอาไปล้างน้ำแล้วไม่มีปัญหา ก็แสดงว่ามันเป็นไบโอดีเซลแล้วแต่ว่าไขมันตั้งต้น
เป็นกรดไขมันที่เป็นพันธะเดียวมาก ก็พอมีสองวิธีที่แก้ไขคือ ใช้ผสมกับดีเซล
อัตราส่วนเท่าไหร่ต้องลองเอาไปแช่ที่อุณหภูมิต่าง ๆ กันครับ
ทำซักห้าตัวอย่าง คือผสม 10,20,30,40,50% แล้วดูว่าแต่ละตัวอย่างขุ่นที่อุณหภูมิเท่าไหร่
หรือแทนท่ีจะใช้ เมทานอล ก็ให้ใช้เอทานอลทำปฏิกิริยาแทน ( แต่ค่อนข้างจะหา 99.9%ยาก)
จุดขุ่น จุดไหลเท จะลดต่ำลงไปอีก
สำหรับปาล์มสเตอรีน(ที่เอาไปทำสบู่นกแก้ว) หลอมเหลวที่อุณหภูมิเกิน 65 C
พอทำเป็นไปโอดีเซล จุดขุ่นมันยังต่ำกว่า 20 องศาเลยครับ เขาแก้ด้วยวิธีใช้ไบโอจากน้ำมันไก่ผสมลงไป 20%