คำตอบที่ 751
วันนี้ได้รับ Mail จากเพื่อนที่ทำงานเห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาฝาก ขอรับ ........
การนำน้ำมันพืชมาใช้ในเครื่องยนต์ดีเซล
มี 3 แนวทาง
1. น้ำมันไบโอดีเซล (Biodiesel)
เป็นวิธีการที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยการนำน้ำมันพืชมาทำปฏิกิริยากับ แอลกอฮอร์ และ ด่าง จะได้น้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งอยู่ในรูปของ เมทธิลเอสเทอร์ และ กลีเซอรีน
น้ำมันไบโอดีเซลที่ได้จะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซลมาก สามารถนำไปเติมในเครื่องยนต์ดีเซล ได้ทุกชนิด ทั้งเติมโดยตรงและผสมลงในน้ำมันดีเซล 20 % ปัจจุบันราคาของน้ำมันไบโอดีเซลยังสูงกว่าน้ำมันดีเซล 1-2 เท่าตัว
2. น้ำมันก๊าดมาผสมน้ำมันพืช (Veggie / Kero Mix)
เป็นวิธีการฆ่าน้ำมันพืชด้วยน้ำมันก๊าด น้ำมันที่ได้จากวิธีการดังกล่าวเหมาะกับกรณีจำเป็นต้องการใช้ น้ำมันอย่าง เร่งด่วน และใช้กับเครื่องยนต์ ที่ใช้งานหนัก ตลอดจนใช้งานในภูมิอากาศเขตร้อน
อัตราส่วนผสม ระหว่างน้ำมันก๊าดและน้ำมันพืชขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิของพื้นที่ใช้งาน อัตราส่วนผสม ตั้งแต่ 10 % น้ำมันก๊าด 90 % น้ำมันพืช จนถึง 40 % น้ำมันก๊าด 60 % น้ำมันพืช
อัตราส่วนผสมที่เหมาะสมอยู่ที่ 20 % น้ำมันก๊าด 80 % น้ำมันพืช อย่างไรก็ตามหากต้องการเพิ่ม ประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันพืชผสมน้ำมันก๊าด ให้ติดตั้งถังน้ำมันดีเซลหรือน้ำมันไบโอดีเซลเพื่อใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์แล ะตอนก่อนเลิก ใช้งานเครื่องยนต์
ปัจจุบันมีการนำวิธีดังกล่าวไปใช้งานแต่เนื่องจากราคาของน้ำมันก๊าดค่อนข้างสูง ทำให้ใช้ปริมาณ ของน้ำมันก๊าดน้อยเกินไป ทำให้น้ำมันผสมที่ได้เมื่อนำไปใช้จึงเกิดผลกระทบต่อเครื่องยนต์จากปัญหาการเผาไ หม้ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันผสม
3. ใช้น้ำมันพืชโดยตรง (Straight Vegetable Oil)
เป็นวิธีการนำน้ำมันพืชบริสุทธิ์หรือน้ำมันพืชที่ใช้งานแล้วมาเดินเครื่องยนต์ด ีเซล ซึ่งจำเป็นต้องมีถัง น้ำมันดีเซลหรือน้ำมันไบโอดีเซลเพื่อใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์และใช้ก่อนหยุดเ ครื่องยนต์
ประเด็นสำคัญของการใช้น้ำมันพืชโดยตรงคือต้องมีการอุ่นน้ำมันในทุกจุดที่มีน้ำม ันผ่านได้แก่ ถังน้ำมัน ท่อทางเดินน้ำมัน ชุดกรองน้ำมัน อุณหภูมิของน้ำมันที่อุ่นอย่างน้อย 70 oC
แนวทางในการนำน้ำมันพืชมาใช้โดยตรงเป็นวิธีการที่ได้น้ำมันในราคาที่ถูกโดยเฉพา ะอย่างยิ่ง การนำน้ำมันพืชซึ่งยังไม่ผ่านกระบวนการกลั่นมาใช้ แต่การที่จะนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมจำเป็นต้องอาศัยความร้อนในการหลอมเหลว ไขแข็ง และลดความหนืดของน้ำมัน
แก๊สโซฮอล์ 95
มีส่วนผสมของน้ำมันเบนซินกับเอทานอล ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ดังนั้นนอกจากจะคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าน้ำมันเบนซิน 95 ทั่วไป แต่มีราคาถูกกว่า 1.50 บาทต่อลิตรแล้ว ยังเป็นพลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยแก๊สโซฮอล์ 95 มีไฮโดรคาร์บอน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าเบนซิน 95 ทั่วไป ช่วยลดควันดำ สารอะโรเมติกส์ สารเบนซีน และช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองจากท่อไอเสีย จึงนับได้ว่า แก๊สโซฮอล์ 95 เป็นเบนซินที่สะอาด ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
โครงการแก๊สโซฮอล์ เกิดขึ้นในปี 2528 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทย อาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน และปัญหาพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ จึงทรงมีพระราชดำริให้ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาศึกษา ถึงการนำอ้อยมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ (เอทานอล) ใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และได้ทดลองใช้กับรถยนต์ในโครงการส่วนพระองค์ตั้งแต่ปี 2537 โดยทดสอบกับเครื่องยนต์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้ผลดีทั้งในห้องปฏิบัติการและท้องถนน
ค่าออกเทน
คือ ค่าความต้านทานการจุดระเบิดน้ำมันเบนซิน ก่อนเวลากำหนดของเครื่องยนต์ หรือตัวเลข แสดงความต้านทานการน็อค ของเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ ถ้าค่าออกเทนสูง จะมีความต้านทานการน็อค ของเครื่องยนต์สูง ไม่เกี่ยวกับความแรงของเครื่องยนต์ การออกแบบเครื่องยนต์เบนซิน ของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ มีความแตกต่างกัน จึงต้องใช้น้ำมันเบนซิน ที่มีค่าออกเทนแตกต่างกัน การเลือกใช้น้ำมันเบนซิน ที่มีค่าออกเทน ที่เหมาะสมกับความต้องการ ของเครื่องยนต์ ตามที่ผู้ผลิตแต่ละรายกำหนดไว้ เป็นค่าออกเทน ที่ทำให้เครื่องยนต์ มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งคุณสามารถดูได้ จากคู่มือประจำรถของคุณ หรือบริเวณฝาปิดถังน้ำมันด้านในรถคุณ ส่วนเรื่องความแรง ของเครื่องยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษา เครื่องยนต์ของคุณเอง
9 วิธีประหยัดน้ำมัน 'ลดพลังงาน เพิ่มพลังเงิน'
สถานการณ์สงครามระหว่างอิรักกับสหรัฐฯ และพันธมิตร มีผลทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้นถึงระดับเกือบ 40 ดอลล่าร์ ต่อบาเรล รัฐบาลได้มีนโยบายตรึงราคาน้ำมันไว้ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาชดเชยราคาประมาณลิตรละ 3 บาท ซึ่งก็คือผู้ใช้น้ำมันเป็นหนี้กองทุนอยู่ เมื่อสถานการณ์เป็นปกติผู้ใช้น้ำมันก็ต้องผ่อนส่งเงินให้กับกองทุนหน ทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและประเทศก็คือการรู้จักประหยัดพลังงาน ประหยัดน้ำมัน ทั้งในวันนี้และวันหน้า โครงการรวมพลังหาร 2 ขอแนะนำ 9 วิธีประหยัดน้ำมัน "ลดพลังงาน เพิ่มพลังเงิน" ได้ดังนี้
1. ขับรถในความเร็วที่กฎหมายกำหนด หากขับรถด้วยความเร็ว 90 กม./ชม. แทนการขับรถด้วยความเร็ว 110 กม./ชม. จะประหยัดน้ำมันได้ 25% คิดเป็นเงิน 800 บาทต่อเดือนต่อคัน หรือ 9,600 บาทต่อปีต่อคัน ถ้ารถยนต์จำนวน 7 ล้านคันทั่วประเทศ ขับรถตามกฎหมายกำหนด ประเทศชาติจะประหยัดเงินได้ไม่น้อยกว่า 67,000 ล้านบาท ต่อปี
2. ตรวจเช็คสภาพรถเป็นประจำ การตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ปีละ 1 ครั้ง สามารถประหยัดน้ำมันได้ 10% คิดเป็นเงินที่ ประชาชนประหยัดได้ 250 บาทต่อเดือนต่อคัน คิดเป็นจะประหยัดได้ถึงปีละ 3,000 บาท หากรถยนต์เบนซิน จำนวน 3 ล้านคันใน ประเทศไทย ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว จะช่วยชาติจะประหยัดเงินได้ 9,000 ล้านบาทต่อปี
3. เติมลมยางไม่ขาดไม่เกิน ตรวจเช็คความดันลมยางสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือทุกๆระยะทาง 500 กิโลเมตร เพราะหากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุกๆ 1 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว จะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มร้อยละ 2
4. หมั่นทำความสะอาดไส้กรองอากาศ ควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศทุกๆ 2-4 สัปดาห์ หรือทุกๆ 2,500 กิโลเมตร เพราะถ้าไส้กรองไม่สะอาดแล้วจะทำให้รถยนต์กินน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10
5. ไม่ขับก็ดับเครื่อง ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อต้องจอดรถเป็นเวลานาน เพราะการติดเครื่องยนต์จอดรถเป็นเวลาเพียง 10 นาที จะเสียน้ำมันไปฟรีๆ 200-400 ซีซี หรือเสียเงินราว 3.35-7.75 บาท
6. ไม่บรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็น การบรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็น นอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำมันแล้ว ยังทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าที่ควรด้วย หากขับรถโดยบรรทุกของที่ไม่จำเป็น ประมาณ 10 กิโลกรัม เป็นระยะทาง 25 กิโลเมตร จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี
7. บำรุงรักษาเครื่องยนต์ การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดี โดยการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นเมื่อถึงกำหนด และตรวจสอบรอยรั่วในระบบน้ำมันเชื้อเพลิง จะช่วยประหยัดน้ำมันประมาณร้อยละ 3-9
8. ทางเดียวกันไปด้วยกัน (คาร์พูล) ทางเดียวกันไปด้วยกัน หรือ "คาร์พูล" นอกจากจะทำให้จำนวนรถยนต์ในถนนลดลง การจราจรดีขึ้น ใช้เวลาในการเดินทางลดลงแล้ว ยังทำให้คุณภาพอากาศบนถนนดีขึ้น และผลผลอยได้สุดท้ายคือค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางและบำรุงรักษารถยนต์ลดลงอีกด้ว ย
9. จอดรถไว้บ้าน การจอดรถไว้ที่บ้าน เมื่อต้องการเดินทางก็ใช้บริการขนส่งสาธารณะซึ่งปัจจุบันก็สะดวกสบายขึ้นมาก หรือจะอยู่ที่บ้านโดยใช้การติดต่อทางโทรศัพท์ โทรสาร และอินเตอร์เน็ตแทน ก็เป็นหนทางหนึ่งในการลดการใช้น้ำมันของตนเองและของประเทศได้
บทความจาก http://www.eppo.go.th
ที่มา http://www.energy.go.th