WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


นำเสนอวิธีการตรวจสอบน้ำมันเฟืองท้าย
Din_PSG
จาก DiN_PSG
IP:124.120.98.64

พุธที่ , 3/7/2556
เวลา : 10:22

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       นำเสนอวิธีการตรวจสอบน้ำมันเฟืองท้ายครับ สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจ

การตรวจสอบน้ำมันเฟืองท้ายทำตามขั้นตอนดังนี้ครับ
- จอดรถบนพื้นราบที่ได้ระดับ
- ถอดปลั๊กเติมน้ำมันเฟืองท้ายและปะเก็น
- ตรวจเช็คระดับน้ำมัน ต้องอยู่ระหว่าง 0 ถึง 8 มม. จากขอบปากของรูเติม



ข้อควรระวัง : หลังจากเปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้ายใหม่ ให้ขับรถยนต์ทดสอบและนำกลับมาถอดวัดระดับน้ำมันอีกครั้งครับจึงจะถูก
ต้องและการเติมน้ำมันเฟืองท้ายมากจะเกิดอาการซีลน้ำมันรั่วเร็ว แต่ถ้าเติมน้อยกว่าระดับที่กำหนดชุดเฟืองท้ายจะสึกหรอเสีย
หายมากตามการใช้งาน

ขอสรุปสำหรับเรื่องนี้นะครับจะได้ชัดเจน
- เปลี่ยนเบอร์น้ำมันเฟืองท้ายเป็นเบอร์อื่นวิ่งไปสักพักมันก็กลับมาหอนครับ
- ถ้ามีการเปลี่ยนเบอร์น้ำมันเฟืองท้ายจริง มิตซูบิชิไทยต้องมีเอกสารแจ้งให้ศูนย์บริการรับทราบและแจ้งลูกค้าเมื่อเข้ารับบริการ
- ถ้ามิตซูบิชิไทยไม่มีการแจ้งให้เปลี่ยนอย่าไปทำเลยครับ (ถ้ามันจะหอนมันก็จะหอมครับไม่เกี่ยวกับน้ำมันเฟืองท้าย)

ปล. ใครสนใจเรื่องเบอร์น้ำมันเฟืองท้ายกับ PJS ก็แจ้งให้มิตซูบิชิไทยทดสอบแล้วแจ้งผลมาดีกว่า(เราไม่ใช้หนูทดลองครับ)

http://www.pajerosport-thailand.com/forum/index.php?PHPSESSID=a32051081b4c84fc128a3edfcea0f956&topic=4972.0


น้ำมันเฟืองท้ายของ PAJERO ตาม SPEC สามารถใช้ SAE 80W90 หรือ SAE 90 API. GL-5 ขึ้นไปครับ
(วาโวลีน 85w-90 GL-5 ประมาณ สองลิตรครึ่ง)

ถ้ายังหอนอยู่ อู่บอกว่าเบอร์นี้ครับ 85W-140






12052503
จาก : pbw(pbw) 1/8/2559 7:18:59 [223.207.130.243]
ตามคู่มือ workshop ใช้แยกเกียร์หน้า หลัง ให้ดูหน้า45ตามhttp://www.faq.out-club.ru/download/l200_2006
จาก : pbw(pbw) 1/8/2559 7:42:51 [223.207.130.243]

จาก : pbw(pbw) 1/8/2559 7:43:02 [223.207.130.243]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  

คำตอบที่ 1
       วิธีการถนอมเกียร์รถยนต์แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนของการถนอมรักษาเกียร์ธรรมดา และการถนอมรักษาเกียร์อัตโนมัติ
ซึ่งการใช้งานและการทำงานของระบบเกียร์ทั้งสองแตกต่างกัน ทำให้อายุการใช้งานและวิธีการถนอมรักษาแตกต่างกันไปด้วยครับ

1.เกียร์ธรรมดา



1. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามระยะทางทุกๆ 20,000 กม.

2. ควรตรวจสอบรอยรั่วของ Seal ว่ามีปัญหาหรือไม่เช่น Seal ท้ายเกียร์ (จะอยู่ระหว่าง Adepter เกียร์ Main – Transfer Case), Switch เกียร์ถอย, Seal หน้าแปลนเกียร์ 4 ว่ามีจุดไหนที่เกิดการรั่วหรือเปล่า



3. เวลาเดินทางไกล หรือไป Trip ต่างๆ รถของท่าน
อาจ จะต้องลุยน้ำ หลังจากกลับจากการเดินทางให้ตรวจ เช็คสภาพน้ำมันเกียร์ว่ามีน้ำผสมอยู่บ้างหรือไม่ ถ้าหาก มีน้ำผสมอยู่ภายในห้องเกียร์ อาจเป็นสาเหตุทำให้ อุปกรณ์และชิ้นส่วนของ เกียร์สึกหรอได้ง่าย

มาดูกันว่าอาการของเกียร์ Manual ที่มีปัญหาเป็นอย่างไรกันบ้าง
1. เข้าเกียร์ยาก
2. มีเสียงดังเวลาเข้าเกียร์
3. มีเสียงหอนเวลาวิ่ง
4. ขณะวิ่งเวลาถอนคันเร่งจะมีเสียงดังภายในห้องเกียร์



จากรูปภาพที่นำมาเสนอในครั้งนี้ เป็นชิ้นส่วนที่เสียหายภายในห้องเกียร์ สาเหตุเกิดจาก ปล่อยให้น้ำมันเกียร์แห้งไม่ได้ระดับ เนื่องจากเกิดการ ของ Seal และประเก็น และสาเหตุอีกอย่างหนึ่งคือ ถังน้ำมันเกียร์ หมดสภาพ เพราะ ไม่ได้ตรวจเช็คและเปลี่ยน ถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะทาง ซึ่งจะทำให้ชิ้นส่วน ภายในห้องเกียร์สึกหรอและเกิดความ เสียหายได้ง่าย





เพียงแต่ ท่านนำรถยนต์คู่กายของท่านเข้าตรวจเช็ค สภาพและเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน ตรงตามระยะทาง หรือทุกๆ 20,000 กม. ตรวจสอบรอยรั่วของ Seal ประเก็น หากพบปัญหาก็รีบแก้ไขแต่เนิ่นๆ เท่านี้ก็จะช่วยยืด อายุการใช้งานของเกียร์รถยนต์ของท่านไปได้อีกนาน

2. เกียร์อัตโนมัติ



1.ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน ATF ให้ได้อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง แม้ตามกำหนดที่โรงงานได้กำหนดไว้ในสมุดคู่มือถึง 40,000-45,000 km. หรือราว 2-2 1/2 ปี ก็อย่าได้วางใจตามนั้น ด้วยว่าการจราจรของกรุงเทพฯ เรา ติดๆ ขัดๆ ความร้อนสะสมสูงเกือบตลอดการใช้งาน เดี๋ยว ON Gear หรือ OFF Gear อยู่โดยตลอดทั้งวัน นานๆ ที
ถึงได้มีโอกาสยืดเส้นยืดสายออกทางไกลหรือขึ้นทางด่วนวันหยุดกับเขาหน่อย นึง ความร้อนสะสมจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูง และการใช้งานวิ่งๆ หยุดๆ
ทำให้แรงดันน้ำมัน ATF สูง-ต่ำไม่คงที่ อุณหภูมิมักสูงตลอดเวลาจากแรงดันที่สูงๆ ต่ำๆ ดังนั้นการให้โอกาส AT (เกียร์ออโตเมติก) ได้ดื่มด่ำกับ ATF ใหม่ๆ สดๆ
จึงเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราปฏิบัติได้ไม่ยากครับ อย่าถือว่าสิ้นเปลืองเลยนะ

2. ไม่ควรโยกตำแหน่งเกียร์บ่อย ควรให้โอกาสมันได้ทำ “หน้าที่อัตโนมัติ” ด้วยตัวของมันเองมากๆ หน่อย เพราะมันถูกออกแบบให้ทำงานตามลำดับขั้นตอนโดยใช้ความเร็วเป็นตัวกำหนดจังหวะ การเปลี่ยนเกียร์อยู่แล้วเป็นปกติวิสัยมีเจ้าของรถบางท่านที่เชื่อคำโฆษณา ว่าเกียร์ออโตสมัยใหม่สามารถโยกเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ก็เลยเอานิสัยเดิมที่เคยใช้รถเกียร์ธรรมดามาใช้กับ AT คือเชนจ์ขึ้น-ลง ปรากฏว่า อายุเกียร์ ไม่ข้ามปีที่ 2 หรือไม่เกิน 40,000 กม. ด้วยซ้ำครับ พัง! สาเหตุก็มาจากการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ทั้งวันจนเป็นนิสัย ชิ้นส่วนภายในเครียดตลอดเวลา ความร้อนสูงจากแรงดัน ATF ที่สูงเกินไป ทำให้สึกหรอสูง จนแรงดัน ATF ไม่คงที่ ทุกอย่างพังหมดครับ และพังอย่างเร็วซะด้วยครับ! บางท่านที่ไม่มากประสบการณ์ก็อาจเผลอกด Overdrive (เกียร์สำหรับลดรอบเครื่องยนต์) ไว้ทั้งวัน โดยมิได้สังเกตอาการก็มีครับ

3. ยุคหนึ่งเชื่อกันว่า ถ้าติดไฟแดงก็ควร “พักเกียร์” ผมเองในอดีตก็ทำเช่นนี้บ่อยๆ คือปลดเกียร์เป็น N ทุกครั้งที่ติดไฟแดง โดยหวังว่าจะช่วยเป็นการพักเกียร์! แต่ความจริงกลับไม่ต้องทำเช่นนั้น การใช้งาน AT ให้ยืนนาน ควรเข้าใจว่าทุกครั้งที่เรา “OFF Gear” น้ำมัน ATF จะหยุดแรงดันของมันทันทีครับ จำ “หลุมฉิ่ง” Orifice Valve ที่มีลูกปืนเม็ดเล็กๆ ทนๆ กลิ้งอุดและเปิดวาล์ว ATF ได้ไหมครับ ยามใดที่ ON Gear ลูกปืนในหลุมฉิ่งเหล่านี้จะเปิดให้ ATF ผ่านด้วยแรงดันน้ำมัน ATF ที่อัดอยู่เต็ม VB (Valve body สมองเกียร์) เพื่อ hold ตำแหน่งเกียร์ D อยู่แต่หากเราเข้าตำแหน่ง N เจ้า ATF ก็หยุดเดิน และไม่ “Standby” ลูกปืนเปิด-ปิด Orifice Valve ก็ปิดตัวลงนอนแอ้งแม้งใน “หลุมฉิ่ง” พอเราเข้าเกียร์ D เพื่อออกตัวในจังหวะไฟเขียว…เท่านั้นละครับ ATF มันก็แย่งกันสูบฉีดด้วยแรงดันให้ไหลวกวนใน VB สมองเกียร์ จงคิดเอาเถิดครับว่า วันหนึ่งๆ หรือครั้งหนึ่งที่คุณได้ทำเช่นนี้ แรงดัน ATF มันจะขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ไม่ Constant สักที ของเหลว (ATF) เมื่อเคลื่อนตัวไหลไป-มาด้วยแรงดันบ่อยๆ ความร้อนก็ไม่คลายแต่กลับเพิ่มขึ้นๆ สี่แยกแล้วสี่แยกเล่า หยุดแล้วหยุดเล่า Orifice Valve ต้องทำงานตลอดเวลา เดี๋ยวไหลเดี๋ยวหยุดกะปริบกะปรอย มันจะทนไหวหรือครับ ต่อไปนี้ให้ทำอย่างนี้ครับหากหยุดในชั่วแค่ 2-3 นาที ก็ควร “Hold D” เอาไว้ โดยเหยียบแป้นเบรกแทน แต่หากหยุดนานเกินกว่านี้ค่อยเข้า OFF Gear เป็น N อย่างน้อยก็ช่วยยืดอายุเกียร์ได้อีกโขเลยละครับ ด้วยวิธีง่ายๆนี้ จำไว้ต่อไปนี้หยุดแป๊บเดียวไม่ต้องปลดเกียร์

4. อย่าปลดให้เป็น N (ว่าง) เพื่อให้รถไหล เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันก่อนหยุดไฟแดง วิธีช่วยประหยัดน้ำมันเช่นนี้ไม่ดีแน่ แม้จะดีบ้างกับความประหยัดเชื้อเพลิงลิตรละ 10-15 บาท แต่เกียร์ออโตมันไม่ชอบควรปล่อยให้มัน ON Gear ไปจนถึงไฟแดงดีกว่าครับ แล้วแตะเบรกหยุดมันจะทนกว่ามากเลยครับ อีกอย่าง ความประหยัดเชื้อเพลิงด้วยวิธีไหลในตำแหน่ง N ก็ช่วยประหยัดแค่ 2-3% เท่านั้นเอง พูดถึงค่าซ่อมเกียร์ราว 2-3 หมื่น จะคุ้มหรือครับ!?

5. การ Take Off แบบในหนัง คือออกรถให้ล้อเอี๊ยดโชว์นั่นน่ะ อย่าทำเป็น อันขาด สิ่งที่จะพังเร็วคือ FP (Friction Plate) ที่เรียงเป็นตับอยู่ในเรือนเกียร์ไงครับ มันจะสึกจากความร้อนที่เสียดสีฉับพลัน น้ำมัน ATF ก็ร้อนสูง (ฮีต) บ่อยๆ เข้า เจ้า FP ซึ่งหนาแค่ 2-3 มิลลิเมตร ก็ไหม้ได้ครับ นึกถึงภาพเบิ้ลคันเร่ง บรื้นๆๆ… ในขณะที่ AT อยู่ในตำแหน่ง N วัดรอบขึ้นไปตั้ง 3,000-5,000 rpm แล้วโยกมาที่ N ทันที “จ๊ากโชว์” ได้แน่ครับ แต่ตับไตไส้พุงของ AT มันจะพังคาที่ ในการทำเช่นนี้ไม่ถึง 10 ที ลำพังเจ้าของแบบเราๆ คงไม่ทำเช่นนี้ แต่กล่าวเผื่อไว้สำหรับวัยรุ่นรถซิ่งนะครับ แอบเอารถคุณพ่อคุณแม่ หรือเด็กอู่บางคนแอบเอารถลูกค้าไปซิ่งเล่น ปรากฏว่าพังครับ พังชั่วไม่ข้ามคืนนี้แหละครับฉะนั้น อย่า Take Off เพื่อ Show Off เป็นอันขาดครับ!

6. ก่อนเข้า D ควรเหยียบแป้นเบรกไว้ก่อนหรือไม่? ก็ได้ครับ จะเหยียบก็ได้ หรือไม่ต้องก็ได้ ในกรณีที่เหยียบแป้นเบรกไว้ก็เพื่อไม่ให้รถกระตุกในขณะที่เข้า D เท่านั้นเอง หากเป็นรถเก่า เกียร์รุ่นเก่าๆ เวลา On gear จะกระตุกจนตกใจ ก็ควรเหยียบแป้นเบรกให้เป็นนิสัยก่อนเข้า D เพราะเกียร์ AT รุ่นเก่าจะกระตุกมากจนน่ารำคาญ รวมไปถึงเกียร์ AT ที่มีอายุการใช้งานมานมนานหลายปีอาจมีอาการสึกหรอให้เห็นชัดด้วยอาการกระตุก อย่างแรงน่ารำคาญ การเหยียบแป้นเบรกเพื่อช่วย On gear ด้วยความนุ่มนวลไว้ก่อนเข้า D ก็เป็นสิ่งที่น่าทำ ส่วนจำเป็นมากน้อยอย่างไรก็แล้วแต่กรณีครับ แต่ผมเหยียบแป้นเบรกจนเป็นนิสัยก็ไม่ลำบากแต่อย่างใดครับ

7. หลังจากสตาร์ตรถเกียร์ AT แล้ว อย่าผละออกจากรถไปที่อื่น ! บางครั้งเจ้าของรถอาจเผลอเข้าตำแหน่ง D เอาไว้โดยไม่รู้ตัว ลำพังเมื่อเปิดแอร์ เอาไว้ เจ้าอุปกรณ์ Idle UP Speed หรือเรียกกันว่า “Vacuum Air” อาจตัดเอาดื้อๆ เพราะอุณหภูมิความเย็นหนาวของแอร์แต่ละเวลา เย็นเร็วเย็นช้าไม่เท่ากัน ที่ตำแหน่งเกียร์ D บางครั้งเมื่อมีโหลดแอร์ รถเราถูกโหลดด้วยการเปิดแอร์ รถก็อาจจะหยุดนิ่งได้ แต่พอ Vacuum Air ตัด เครื่องยนต์ก็ปลดโหลดแอร์ไปอีกหน่อย รอบเครื่องยนต์เร่งขึ้นเอง ราว 500-700 rpm ก็อาจจะส่งผลโดยตรงให้เกียร์ ON D ทันที รถอาจวิ่งออกไปได้ดื้อๆ หรือบางทีโรงจอดรถเป็นเนินลาดขึ้น พอ Vacuum Air ตัด รอบก็เร่ง 500-700 rpm อาจจะทำให้รถวิ่งเองได้ด้วยเกียร์ D ที่เผลอเข้าเอาไว้ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็มักเป็นเรื่องพาดหัวหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ ครับ ผมเคยโดนกับตัวคือ เผลอ ON D เอาไว้ แล้วรถมันวิ่งไปเอง! เร็วเสียด้วยครับ ในระดับความเร็วสัก 15 กม./ชม. ปีนฟุตบาทชนรั้วข้างบ้านเฉยเลยครับ…เฮ้อ

http://www.9carthai.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99/



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Din_PSG จาก DiN_PSG 124.122.130.47 พุธ, 3/7/2556 เวลา : 10:29  IP : 124.122.130.47   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 18153

คำตอบที่ 2
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

gallardo จาก gallardo 223.205.34.253 พุธ, 3/7/2556 เวลา : 10:47  IP : 223.205.34.253   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 18154

คำตอบที่ 3
       ขอบคุณครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

keng จาก keng_zebra 124.120.171.185 พุธ, 3/7/2556 เวลา : 11:00  IP : 124.120.171.185   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 18155

คำตอบที่ 4
       ขั้นตอนในการเตรียมรถเพื่อใช้เดินทางไกล

จะต้องมีการตรวจสอบดังนี้

1. ยาง ต้องเป็นยางที่อยู่ในสภาพที่ดี และสิ่งที่ไม่ควรลืมก็คือยางอะไหล่ ที่ต้องเตรียมให้พร้อมอยู่เสมอ
2. เบรก ต้องมีความสมบูรณ์ และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรตรวจเช็คน้ำมันเบรก จานเบรก ปั้มลม และควรมีน้ำมันเบรกสำรองไว้ด้วยก็ดี
3. น้ำในหม้อน้ำ ให้อยู่ในระดับมาตรฐานเสมอ
4. น้ำกลั่นในหม้อน้ำแบตเตอรี่ ให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ ควรมีน้ำสำรองเก็บไว้ด้วย
5. กระจกมองข้างทั้ง 2 ด้าน และกระจกมองหลังให้อยู่ในสภาพที่มองเห็นได้ชัดเจน
6. น้ำมันเครื่อง ควรตรวจสอบว่าขาด หรือพร่องไปหรือเปล่า ควรเติมให้ถึงขีดมาตรฐาน และควรมีสำรองติดรถเอาไว้
7. น้ำมันเชื้อเพลิง ควรเติมให้เต็ม และควรคาดคะเน ตามเข็มของน้ำมัน และจำเป็นต้องเติมในจุดที่เหมาะสม
8. เครื่องมือประจำรถ และอะไหล่ต่างๆ
9. เครื่องมือพยาบาล ติดเอาไว้เผื่อฉุกเฉิน หรือในกรณีเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย

ข้อควรปฏิบัติ

ควรแจ้งหมายกำหนดการ ของผู้ที่อยู่ทางบ้าน และปลายทาง ให้ทราบเสมอ เมื่อต้องการเดินทางไกล เพื่อตรวจเช็ค เมื่อมีเหตุ หรือเห็นว่าผิดปกติ เมื่อมีการล่าช้า กว่ากำหนด และเมื่อถึงปลายทางแล้ว ควรแจ้งให้ทางบ้านทราบด้วย

ข้อเตือนใจ

1. ถ้าเส้นทางใดท่านไม่คุ้นเคย หรือต้องเดินทางตามลำพังในที่เปลี่ยว ไม่ควรไปในเส้นทางนั้น
2. อย่าหยุดรถ หรือแวะรับคนข้างทางในที่เปลี่ยวโดยไม่จำเป็น
3. คนร้ายอาจจะแกล้งขับรถชนท้ายรถท่าน เพื่อให้ลงมาเจรจา แล้วใช้อาวุธปืนจี้ ปล้น ไม่ควรหยุดรถ แต่ควรเดินทางต่อไปเล็กน้อย จนถึงป้อมตำรวจ
4. ศึกษาเส้นทงให้ละเอียด หรือสอบถามเส้นทาง จากชาวบ้านให้ละเอียด เพื่อที่จะไม่ต้องเสียเวลา เดินทางย้อนกลับทางเดิม

ข้อเตือนใจเมื่อต้องขับรถทางไกล

การแซงรถ ข้อควรระวัง ควรปฏิบัติตามกฎจราจรเสมอ

1. ไม่ควรแซงตรงทางแยก
2. ไม่ควรแซงรถบนเนินเขา
3. ไม่ควรแซงบนทางโค้ง
4. ไม่ควรแซงบนสะพาน

ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

* เมื่อกระจกแตก เมื่อถูกก้อนหิน ก้อนกรวดกระเด็นมาถูกกระจกแตก ข้อควรปฏิบัติมีดังนี้
1. ชะลอความเร็วของรถ แล้วเข้าข้างทางทันที ถ้าเป็นกระจก 2 ชั้นก็ยังพอจะขับต่อไปได้
2. ทุบกระจกรถเก่าออกให้หมด แล้วโกยเศษแก้วออกมาให้มากที่สุด
3. เมื่อต้องการจะขับรถต่อไปอีก ให้ไขกระจกข้างขึ้นจนมิด เพื่อป้องกันอาการร่อนของรถบนถนน

* ในกรณีสุนัขวิ่งตัดหน้า ถ้าชะลอไม่ทัน ให้ส่งขึ้นสวรรค์ไปเลย มิฉะนั้นรถอาจเสียหลักได้ ถ้ากรณีที่เป็นสัตว์ใหญ่ไม่ควร บีบแตร เพราะจะทำให้สัตว์เหล่านั้นตกใจได้

* ในกรณีหม้อน้ำรั่ว ถ้าหาอู่ไม่ได้ ให้ใช้วิธีการ โดยนำเอาสบู่ มาอุดรูไว้ก่อน เติมน้ำจนเต็ม แล้วขับไปให้อู่ซ่อมแซม

* ยางระเบิด เมื่อยางระเบิดกะทันหัน ต้องพยายามถือพวงมาลัยไว้ ให้มั่นคง และพยายามบังคับรถ เข้าข้างทางอย่างปลอดภัย และไม่ควรใช้เบรก อย่างกะทันหัน เพราะจะทำให้ รถเสียหลักพลิกคว่ำ ควรใช้เกียร์ เป็นตัวชะลอความเร็ว โดยเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำทันที
1. กรณียางระเบิดที่ล้อหลัง ท้ายรถจะส่าย ควรถือพวงมาลัยให้มั่นคง และรักษาทิศทางให้ตรง ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ พยายามย้ำเบรก หลายๆ ครั้ง ติดกัน เพื่อให้น้ำหนัก ตกอยู่ข้างล้อ ที่ใช้งานได้
2. กรณียางระเบิดที่ล้อหน้า พยายามจับพวงมาลัย ให้มั่นคง ใช้เบรกให้เบาที่สุด ถ้าแฉลบไปทางใด ต้องคืนพวงมาลัยกลับมา ให้ตรงทิศทาง จนกว่าจะนำเข้าข้างทางเรียบร้อย

* เมื่อคันเร่งน้ำมันค้าง กรณีนี้ ให้ใช้เบรกช่วย โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคลัตช์ เพราะเมื่อเหยียบคลัตช์ จะทำให้รอบเครื่องยนต์ สูงขึ้นทันที อาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ จะใช้คลัตช์ในกรณีที่ เปลี่ยนเกียร์เท่านั้น และเมื่อลดความเร็วลง มาอยู่ในอัตราที่ปลอดภัยแล้ว ใช้ปลายเท้า สอดเข้าไปใต้คันเร่ง แล้วงัดขึ้นมา ถ้าคันเร่งไม่ขึ้น ก็พยายามนำรถเข้าข้างทาง แล้วปิดสวิตช์การทำงานทันที
ข้อควรระวัง การปิดสวิตช์กุญแจ ควรปิดไว้ที่ตำแหน่ง OFF อย่าปิดที่ LOCK เพราะจะทำให้พวง มาลัยทำงานไม่ได้

* กรณีฝากระโปรงรถเปิดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ฝากระโปรงเปิดจนปิดกระจกบังลมหน้า การแก้ไขควรชะลอ และมองดูรถคันหลังด้วยว่ากระชั้นชิด หรือไม่ อย่าหยุดรถกระทันหัน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นำรถเข้าข้างทาง แล้วปิดให้เรียบร้อย

* ความร้อนขึ้นสูงผิดปกติ ให้รีบลดความเร็ว แล้วนำรถเข้าข้างทาง ตรวจดูรอยรั่วของหม้อน้ำ และข้อต่อต่างๆ สายพาน ถ้าพอมีน้ำให้ใช้น้ำราดลงหม้อน้ำได้เลย แต่ถ้ามีน้ำไม่พอ คอยให้เครื่องเย็น แล้วจึงเติมน้ำลงในหม้อน้ำ

* ที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงาน พยายามนำรถเข้าหาอู่ หรือถ้าฝนตกหนักควรจอดพักดีกว่า

* กรณีรถสตาร์ทไม่ติด (เกิดจากแบตเตอรี่ไม่มีไฟ) กรณีรถ เกียร์ธรรมดา
1. พยายามลาก หรือเข็น แล้วสตาร์ทกระตุก โดยให้ใช้เกียร์ 2 เหยียบคลัตช์ เมื่อความเร็วได้ที่ ปล่อยคลัตช์ แล้วเหยียบคันเร่ง
2. ใช้สายแบตเตอรี่พ่วงกับรถคันอื่น แล้วสตาร์ท
ขั้นที่ 1 : ต่อสายขั้วบวกเข้ากับ แบตเตอรี่ขั้วบวก ของรถยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด (สายขั้วบวกจะเป็นสีแดง หรืออย่างในภาพสายไม่ได้เป็นสีแดง แต่ตรงส่วนปลายสายจะเป็นสีแดง)
ขั้นที่ 2 : นำปลายสายขั้วบวกอีกด้าน ต่อเข้ากับ แบตเตอรี่ขั้วบวกของรถยนต์คันที่แบตเตอรี่ใช้งานได้
ขั้นที่ 3 : นำปลายสายขั้วลบต่อเข้ากับ แบตเตอรี่ขั้วลบของรถยนต์คันที่แบตเตอรี่ใช้งานได้ (สายขั้วลบ จะเป็นสีดำ หรือสีเขียว)
ขั้นที่ 4 : ต่อสายแบตเตอรี่ขั้วลบอีกข้าง เข้ากับส่วนของรถยนต์คันที่แบตเตอรี่ใช้งานไม่ได้ โดยต่อเข้ากับส่วนที่แข็ง และไม่ได้ทาสี ซึ่งส่วนมากจะเป็นน็อตของบล็อกเครื่องยนต์ (ถ้าต่อเข้ากับส่วนของรถที่ทาสี ,สกปรก หรือเปื้อนน้ำมัน การต่อพ่วงสายแบตเตอรี่จะไม่ได้ผล) คุณจะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสายขั้วลบเส้นนี้ เข้ากับแบตเตอรี่ขั้วลบโดยตรง เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการระเบิดให้น้อยที่สุด






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Din_PSG จาก DiN_PSG 124.122.130.47 พุธ, 3/7/2556 เวลา : 15:05  IP : 124.122.130.47   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 18157

คำตอบที่ 5
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

numapirat จาก หนุ่ม 49.48.102.215 พุธ, 10/7/2556 เวลา : 17:09  IP : 49.48.102.215   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 18213

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันอังคาร,23 เมษายน 2567 (Online 2848 คน)