WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


MITSUBISHI Pajero Histary

จาก แว่นน้ำ ลอกเขามา
IP:110.77.232.20

อังคารที่ , 29/3/2554
เวลา : 14:13

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       MITSUBISHI Pajero Histary จากรถที่ทำเพื่อชดใช้ค่าเสียหายกลายเป็นแนวหน้าของตัวลุยศตวรรษที่ 20
ถ้ากล่าวถึงรถขับเคลื่อนสี่ล้อของค่าย “MISUBISHI” แล้ว เราก็คงจะทราบกันดีว่ามีประวัติความเป็นมายายนานพอสมควร โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องเดินสายพานผลิตรถตระกูล “Jeep” เพื่อชดใช้ค่าปฏิกรณ์สงครามให้กับประเทศสหรัฐอเมริกาและนี่เองที่ถือว่าเป็นการถ่ายทอดเทคโนโยลีของรถขับเคลื่อนสี่ล้อมาให้กับค่ายรถนี้และเป็นแม่แบบให้กับรถตรวจการณ์ตระกูล “Pajero” ซึ่งนับตั้งแต่ได้ทำออกมาวิ่งจนนับอายุได้กว่า 18 ปี ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรถตรวจการณ์ที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัยและมีประสิทธิภาพสมรรถนะสูงและได้รับความนิยมในนานาประเทศมากพอสมควรในชื่อต่างๆกัน เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจะถูกเรียกว่าเป็นตระกูล “Montero” เอาล่ะครับ เราจะมาย้อนดูความเป็นมาของรถตระกูลนี้กันเลยดีกว่า
เดือนตุลาคม ปี 1978
ในงานโตเกียวมอเตอร์เดือนพฤศจิกายน ปี คศ. 1978 ทางค่าย “MISUBISHI” ออกข่าวว่าจะทำรถตรวจการณ์ตระกูลใหม่โดยนำเอารถตระกูล “Jeep” รุ่น “J 52” ของตัวเองมาเป็นแม่แบบ และตั้งชื่อว่า “Pajero I” จุดประสงค์ของรถต้นแบบคันนี้ก็คือต้องการให้เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ฉีกแนวแตกต่างออกไปจากที่เขามีๆกันอยู่ รวมทั้งเน้นให้ผู้คนใช้งานประจำวันได้อย่างสะดวกสบายเป็นสำคัญ
เดือนตุลาคม ปี 1979
ปีรุ่งขึ้นในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์เหมือนกัน ค่ายนี้ก็ได้นำรถตรวจการณ์ต้นแบบ “Pajero II” ออกมาโชว์ตัว ซึ่งแม้จะมีรูปร่างหน้าตาต่างไปจากตระกูล “Jeep” อย่างสิ้นเชิงก็จริงแต่ก็ยังคงรูปแบบที่เป็นรถตรวจการณ์หลังคาผ้าใบ 2 ประตู และที่กันชนหน้ายังติดตั้งวิ้นช์ (Winch) เพื่อการชักลากตามสไตล์ตัวลุยพันธุ์แท้อีกด้วย
เดือนพฤสจิกายน ปี 1982
ทิ้งช่วงในเกือบ 3 ปี ทางค่าย “MISUBISHI” ก็ได้เดินสายพานผลิตตระกูล “Pajero” ส่งขึ้นโชว์รูมโดยจัดอยู่ในรุ่นแรกๆ ของรถขับเคลื่อนสี่ล้อประเภท “Recreational Vehicles” หรือที่ประเทศญี่ปุ่นเรียกสั้นๆ ว่า “RV” ซึ่งเริ่มแรกรถตรกูลนี้จะเป็นตัวถัง 2 ประตูหลังคาผ้าใบเพียงแบบเดียว (Soft Top) และมีรหัสตัวถังว่า “L Model” ส่วนขุมพลังที่นำมาใช้จะมีอยู่ 3 บล็อกด้วยกัน บล็อกแรกเป็นแบบเบ็นซิน IL 4 สูบ จากตระกูล “Sirius” ที่มีขนาก 2.0 ลิตร 110 แรงม้า รหัส “G 63 B” และมีแรงบิดสูงสุด 16.7 กก.-ม. ส่วนอีกสองบล็อกเป็นแบบดีเซล IL 4 สูบ ขนาด 2.3 ลิตร รหัส “4 D 55” ปั่นม้าออกมาใช้งานได้ 75 ตัวและมีแรงบิดสูงสุด 15.5 กก.-ม. และรหัส “4 D 55 T” ที่แบ่งกล้ามด้วยระบบเทอร์โบชาร์จได้ม้ามาควบทั้งหมด 95 ตัวและได้แรงบิดสูงสุดถึง 18.5 กก.-ม. ส่วนระบบส่งกำลังยังใช้เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ โดยมาแยกฝูงม้าไปยังล้อหน้าและหลังด้วยระบบถ่ายทอดกำลังแบบ “Part Time 4 WD”
เครื่องยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ “Pajero” ก็คือ “4 D 55 T” ซึ่งหอยพิษที่เบ่งกล้ามนั้นแม้จะเรียกม้ามาได้ 95 ตัวแต่แรกบิดสูงสุดจะมีให้ใช้งานได้ถึง 18.5 กก.-ม. โดยสามารถปรับเซ็ทระบบเทอร์โบใหม่ให้มีแรงบิดสูงขึ้นถึง 19.5 กก.-ม. ได้อีกด้วย ระบบช่วงล่างของ “Pajero” เป็นแบบแชสซีส์ โดยระบบกันสะเทือนหน้าจะเป็นแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น ทอร์ชั่นบาร์-ช็อค พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังจะเป็นแบบคานแข็ง-แหนบ
เดือนมีนาคม ปี 1983
มาถึงปี คศ.1983 รัฐบาลเมือซามูไรได้บังคับใช้มาตรฐานมลภาวะใหม่ ดังนั้นทางด้านขุมพลังของ “Pajero” จึงต้องปรับหรือโมดิฟายใหม่ โดยบล็อกเบ็นซิน “G 63 B” ถูกนำเอาระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์เข้ามาช่วยเบ่งกล้ามและเปลี่ยนรหัสเรียกขานเป็น “G 63 BT” มีม้าในฝูงก็เพิ่มขึ้น 35 ตัวพร้อมกันนั้นก็ยังมีแรงบิดสูงสุดเพิ่มจาก 16.7 กก.-ม.เป็น 22.0 กก.-ม. ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล “4 D 55 T” ถูกลดแรงบิดลงไป 0.25 กก.-ม. เหลือ 18.25 กก.-ม. สำหรับตัวถังนอกจากจะมีแบบ 2 ประตูหลังคาผ้าใบแล้วก็ยังมีแบบ 2 ประตูหลังคาแข็งซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นแบบแวก้อน 3 ประตูมาสมทบอีกแบบ แต่ค่ายนี้จะเรียกว่าเป็นตัวถังแบบ “Metaltop”
เดือนกรกฎาคม ปี 1983
นอกจากจะมีตัวถังให้เลือก 2 แบบแล้ว ในเดือนเจ็ด “MISUBISHI” ออกตัวถังให้กับตระกูล “Pajero” อีกแบบ โดยจะเป็นแวก้อน 5 ประตูหลังคาสูง (High Roof) ซึ่งเค้าจะเรียกว่าเป็นตัวถังแบบ “Estate” และมีเครื่องยนต์ประจำการอยู่ 2 บล็อก เป็นเครื่องเบ็นซิน “G 63 BT” ขนาด 2.0 ลิตร 145 แรงม้าและมีแรงบิดสูงสุด 22.0 กก.-ม.กับเครื่องยนต์ดีเซล “4 D 55 ” ขนาด 2.3 ลิตร 75 แรงม้าและมีแรงบิดสูงสุด 15.5 กก.-ม.
เดือนมิถุนายน ปี 1984
แม้ว่า “Pajero L Model” จะมีอายุอานามเพียง 2 ปีเท่านั้น “MISUBISHI” ก็ได้ขึ้นไมเนอร์เชนจ์ ให้เป็นครั้งแรกโดยเน้นปรับปรุงภายในห้องโดยสารเป็นสำคัญ ทั้งนี้ในตัวถังแบบ 2 ประตูหลังผ้าใบยังคงมีเครื่องยนต์เบ็นซิน “G 63 BT” เป็นรุ่นท้อปอ๊อฟเดอะไลน์
นอกจากตระกูล “Pajero” จะมีตัวถังให้เลือก 3 แบบคือ แบบ 2 ประตูหลังคาผ้าใบ แบบ 2 ประตูหลังคาแข็งที่เรียกว่า “Metaltop” และแบบแวก้อน 5 ประตูหลังคาสูงที่เรียกว่า “Estate” แล้ว ปีนี้ยังทำแบบแวก้อน 5 ประตูออกมาสมทบโดยเรียกว่าเป็นแบบ “Midroof”
“Pajero” ตัวถังแบบ “Metaltop” ถูกปรับปรุงรายละเอียดของตัวถังไปพอสมควรโดยขุมพลังดีเซลที่ประจำการอยู่นั้นแม้จะมีเครื่องยนต์ดีเซลบล็อก “4 D 55 ” เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญ แต่ก็ได้เริ่มนำเครื่องยนต์บล็อกใหม่ “4 D 55 T” มาใช้แล้ว
เดือนพฤษภาคม ปี 1986
ในช่วงปี คศ. 1985 “MISUBISHI” ได้นำระบบเชื้อเพลิงแบบไดเร็คท์อินเจ็คชั่น (Direct Injection) มาใช้กับขุมพลังดีเซล “4 D 55 ” และ “4 D 55 T” แล้วก็มีเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะให้เลือกใช้ควบคู้ไปกันด้วยแต่พอถึงปี คศ.1986 ก็ได้นำเครื่องยนต์ดีเซลทั้งสองมาเพิ่มความจุกระบอกสูบจาก 2.3 ลิตร เป็น 2.5 ลิตร โดยเปลี่ยนรหัสเป็น “4 D 56 ” ปั่นม้าออกมาได้ 70 ตัวและมีแรงบิดสูงสุด 15.0 กก.-ม.ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบจะเป็นรหัส “4 D 56 T” ที่เรียกม้าออกมาควบได้ 85 ตัว และมีแรงบิดสูงสุด 1200 กก.-ม.ซึ่งจะเห็นว่าขุมพลังทั้งสองนี้มีกำลังน้อยลงกว่าเดิมเนื่องจากมีมาตรฐานมลภาวะเป็นตัวแปรสำคัญนั่นเอง
เดือนกันยายน ปี 1987
ยิ่งนานวัน รถตรวจการณ์ตระกูล “Pajero” ก็ประสบความสำเร็จมากขึ้นเป็นลำดับ และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายเป็นพิเศษ “MISUBISHI” จึงได้ออกรุ่นใหม่เรียกว่า เป็นรุ่น “Exceed” ซึ่งถ้าเป็นตัวถังแบบ “Midroof” นั้นตัวรถจะติดตั้งบันไดข้าง (Side Step) และเปลี่ยนกระล้อแบบเหล็กปั๊มขึ้นรูปมาเป็นล้ออัลลอย
เดือนกันยายน ปี 1988
แม้ว่า “MISUBISHI” จะกล่าวว่าเป็นเพียงการขึ้นไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่สอง แต่ก็นับว่ามีความสำคัญไม่น้อยเนื่องจากเค้าได้ปรับเปลี่ยนขุมพลังที่ประจำการในตระกูล “Pajero” ใหม่โดยขุมพลังเบ็นซินที่เป็นแบบแถวเรียง (IL) 4 สูบ ตระกูล “Sirius” รหัส “G 63 B/BT” มาเป็นเครื่องยนต์เบ็นซิน V 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ที่มีรหัสเรียกขานว่า “6 G 72” สามารถปั่นม้าออกมาวิ่งเพ่นพ่านใต้ฝากระโปรงได้ถึง 145 ตัวที่ 5,000 รตน. และมีแรงบิดสูงสุด 23.55 กก.-ม. ที่ 2,500 รตน.
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ “4 D 56 T” ที่ได้นำมาประจำการตั้งแต่ปีแล้วนั้นก็ได้นำระบบอินเตอร์คูลเลอร์แบบอากาศสู่อากาศมาวางด้านบนเพื่อเรียกกำลังมาใช้ในรอบการทำงานเครื่องยนต์ต่างๆ ได้มากขึ้น แต่จำนวนม้าในฝูงยังคงมี 85 ตัวที่ 4,200 รตน.และมีแรงบิดสูงสุด 20.49 กก.-ม. ที่ 2,000 รตน.
ในตัวถังแวก้อน 5 ประตูหลังคาสูงแบบ “Estate” นั้น นอกจากจะมีขุมพลังเบ็นซินแบบ V 6 สูบบล็อก “6 G 72” แล้วก็ยังมีขุมพลังเบ็นซิน IL 4 สูบรหัส “4 G 54” ขนาด 2.6 ลิตร 106 แรงม้าที่ 5,00 รตน. และมีแรงบิดสูงสุด 19.57 กก.-ม. ที่ 3,000 รตน. มาให้เลือกในภายหลังอีกด้วย
สำหรับตัวถังแวก้อน 3 ประตู “Metaltop” นั้นทางมิตซูบิชิก็ได้นำขุมพลังมาประจำการเพียง 2 บล็อก โดยบล็อกแรกเป็นเครื่องยนต์เบ็นซิน “4 G 54” ขนาด 2.6 ลิตร ที่มีแรงม้าให้ควบ 106 ตัว ส่วนบล็อกที่สองเป็เครื่องยนต์ดีเซลบล็อก “4 D 56” ขนาด 2.5 ลิตร ที่เรียกม้ามาใช้งานได้ 72 ตัวที่ 4,200 รตน. และมีแรงบิดสูงสุด 14.98 กก.-ม. ที่ 2,000 รตน.
ในปี คศ. 1988 นอกจากจะมีการปรับเปลี่ยนขุมพลังให้กับตระกูล “Pajero” แล้ว “MISUBISHI” ยังได้เปลี่ยนระบบกันสะเทือนหลังใหม่จากแบบคานแข็ง-แหนบมาเป็นแบบคานแข็ง-คอยล์สปริงที่มีอาร์มวางตามยาวยึดปลายทั้งสองด้าน จากนั้นก็วางปังอาร็อค (หรือเหล็กกันเซ) ที่ด้านหลังพร้อมมีเหล็กกันโคลงอีกหนึ่งเส้น ส่วนด้านหน้ายังคงเป็นแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น ทอร์ชั่นบาร์เหมือนเดิม
เดือนมิถุนายน ปี 1989
“MISUBISHI” เพิ่มคความดุดันให้กับตระกูล “Pajero” ที่มีขุมพลัง V 6 สูบรหัส “6 G 72” ซุกอยู่ใต้ฝากระโปรงด้วยการดึงโป่งกาบข้างทั้งสี่ให้เชื่องขึ้นเพื่อมาคลุมล้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเรียกว่าเป็นรุ่น “JX”
เดือนมกราคม ปี 1991
หลังจากที่ทางค่าย “MISUBISHI” ได้เดินสายพานผลิตตระกูล “Pajero” ที่มีรหัสตัวถัง “V Model” และนอกจากจะเปลี่ยนตัวถังใหม่หมดแล้วก็ยังได้นำระบบถ่ายทอดกำลังแบบ “SS 4” หรือ “Super Select 4 WD” มาใช้เป็นครั้งแรกโดยในรุ่น (ราคา) สูงๆนั้นล้อหลังยังมีเฟืองท้ายแบบ “Differential Lock” ส่วนระบบเบรกจะมีระบบป้องกันล้อล็อคตาย (ABS) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เริ่มแรกระบบถ่ายทอดกำลังแบบ “SS 4” ของค่าย “MISUBISHI” จะใช้ควบกับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ โดยการแบ่งกำลังสู่ล้อหน้าและหลังก็มีลักษณะคล้ายกับระบบถ่ายทอดกำลัง “Select Trac” ของ “JEEI” คือ สามารถเลือกให้ถ่ายทอดทั้งแบบ “4 WD Full Time” และ “4 WD Part Time” ที่ยังมีทั้งเกียร์สูง (4 Hi) และเกียร์ต่ำ (4 Lo) ให้เลือกใช้อย่างครบครัน
ส่วนเฟืองท้ายแบบ “Diff Lock” ของล้อหลังจะทำงานด้วยระบบ “Air Pump” ซึ่งจะล็อคให้ล้อทั้งสองหมุนเท่ากัน ซึ่งก็หมายถึงม้าจะวิ่งลงเดินได้เท่าๆกันนั่นเอง
สำหรับตัวถังแบบแวก้อน 5 ประตูหลังคาสูงที่เดิมมีทั้งแบบ “High Roof” และ “Semi High Roof” นั้น มาถึงตัวถัง “V Model” จะมีหลังคา “Semi High Roof” หลังเพียงแบบเดียว และเพื่อไม่ให้สับสนก็เลยเปลี่ยนชื่อจาก “Estate” มาเป็นแบบ “Kickuproof”
ในสมัยนั้น ตัวถังแบบ “Midroof” ของตระกูล “Pafero” ถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ “Land Cruiser 70” (ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ “Land Cruiser 90” ในปัจจุบันนั้น) ของค่าย “TOYOTA” โดยของโตโยต้าจะมีขุมพลังเบ็นซิน IL 6 สูบ รหัส “3 F” 4.0 ลิตร 147 แรงม้าเป็นรุ่นท้อป ในขณะที่ “Pajero Midroof” จะมีขุมพลังเบ็นซิน “6 G 72” ขนาด 3.0 ลิตร 145 แรงม้ามาต่อกร
ส่วนตัวถังแบบ “Metaltop” ที่เป็นแบบแวก้อน 3 ประตูจะได้เครื่องยนต์มาประจำการทั้งสามบล็อก นั่นคือเครื่องเบ็นซิน IL 4 สูบ “4 G 54” และ V 6 สูบ “6 G 72” กับเครื่องดีเซลเทอร์โบ “4 D 56 T”
มาที่ตัวถังแบบ 2 ประตูหลังคาผ้าใบซึ่งตัวใหม่ “MISUBISHI” จะเรียกแบบ “J Top” ถือว่าเป็นแบบสปอร์ตที่นอกจากจะให้ความสนุกสนานในยามขับขี่ตรงกับที่เรียกประเภทรถนี้ว่า “RV” แล้วยังเน้นประสิทธิภาพสมรรถนะที่มากกว่าธรรมดาด้วย ซึ่งทาง “MISUBISHI” จะให้เฟืองท้ายล้อหลังแบบ “Diff Lock” และล้อขนาด 18 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเลยทีเดียว
เดือนกรกฎาคม ปี 1993
หลังจากที่ขึ้นเจนเนอร์ชานใหม่มาเป็น “V Model” ได้เพียง 2 ปี ทางค่าย “MISUBISHI” ก็ได้ปรับเครื่องยนต์ในตระกูล “Pajero” เสียใหม่โดยขุมพลังเบ็นซินที่นำมาใช้ก็คือ บล็อก “6 G 74” ที่มาแทน “6 G 72” ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลนำบล็อก “4 M 40” มาให้เลือกใช้คู่กับบล็อก “4 D 56” โดยทั้งคู่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเหมือนกัน และปลดประจำการเครื่องดีเซลธรรมดาบล็อก “4 D 56” ไปเลย
เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ “4 M 40” เป็นแบบ IL 4 สูบ ซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแค็มชาฟท์ (SOHC) ชนาด 2.8 ลิตร ที่มีระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์แบบอากาศสู่อากาศมาเรียกม้าออกมาได้ทั้งหมด 125 ตัวที่ 4,000 รตน. และมีแรงบิดสูงสุด 30.0 กก.-ม. ที่รอบการทำเครื่องยนต์เพียง 2,000 รตน.เท่านั้น
คงไม่ต้องกล่าวให้มากความ เนื่องจากเครื่องยนต์เบ็นซิน V 6 สูบ “6 G 74” พัฒนามาจาก “6 G 72” ซึ่งเครื่องดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแค็มชาฟท์ (DOHC) ขนาด 3.5 ลิตรบล็อกนี้สามารถปั่นม้าออกมาวิ่งแร่ดได้ถึง 230 ตัวที่ 5,500 รตน. และมีแรงบิดสูงสุดให้ใช้งาน 33.0 กก.-ม. ที่ 3,000 รตน.
ในรุ่น “Metaltop” นั้นก็ได้ขุมพลัง “6 G 74” มาซุกใต้ฝากระโปรงเหมือนกัน และถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ “ISUZU Bighom” ที่ใช้ขุมพลังเบ็นซิน V 6 สูบ แค็มคู่ (DOHC) รหัส “6 VD 1” ขนาด 3.2 ลิตร 200 แรงม้า/27.0 กก.-ม. และ “TOYOTA Land Cruiser” ที่ใช้ขุมพลังเบ็นซิน IL 6 สูบ แค็มคู่ (DOHC) รหัส “1 FZ-FE” ขนาด 4.5 ลิตร 215 แรงม้า/38.0 กก.-ม.
เดือนสิงหาคม ปี 1994
สำหรับตัวถังแบบ “J Top” ที่ได้รับความนิยมสูงนั้น ทางค่าย “MISUBISHI” ได้เพิ่มรุ่นเพื่อเป็นตัวเลือกให้มากขึ้นไปอีก โดยในปี 1994 ได้ออกรุ่น “ZS” ที่ดึงโป่งของกาบข้างทั้งสี่ด้านให้มีขนาดเขื่องขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะให้เลือกใช้ตามสบายด้วย
เดือนพฤษภาคม ปี 1996
หลังจากที่ได้ออกรุ่น “ZS” ให้กับตัวถังแบบ “J-Top” ไปเมื่อสองปีก่อน มาถึงปีนี้ก็ได้ออกรุ่นใหม่ให้กับตัวถัง “Metaltop” โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “ZR-S” ซึ่งตัวรถนอกจากจะดึงโป่งออกข้างมาให้มีลักษณะเดียวกันแล้วกระทะล้อก็ยังเพิ่มความกว้างให้มากขึ้นด้วยเพื่อให้ใช้คู่กับยางขนาด 265/70 R 16 แล้วก็ยังมีสปอยเลอร์วางอยู่ที่ขอบบนของท้ายรถอีกด้วย ส่วนขุมพลังที่นำมาประจำการในตระกูล “Pajero” จะเป็นเครื่องยนต์เบ็นซิน IL 4 สูบ รหัส “4 G 64” ซึ่งมาแทน “4 G 54” ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ “4 M 40” ก็เปลี่ยนมาใช้ระบบเชื้อเพลิงใหม่ทำให้มีจำนวนม้าในฝูงมากขึ้นกว่าเดิม
ขุมพลังเบ็นซิน IL 4 สูบรหัส “4 G 64” มีขนาดความจุกระบอกสูบ 2,350 ซีซี. ซึ่งแม้ว่าจะน้อยกว่าทาง “4 G 54” อยู่ 250 ซีซี. แต่ด้วยระบบเพลาราวลิ้นแบบ 4 วาล์วต่อสูบ ซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแค็มชาฟท์ (SOHC) ทำให้มีม้ามาใช้งานมากหว่าเดิม 39 ตัวเป็น 145 แรงม้าที่ 5,500 รตน. และมีแรงบิดสูงสุด 21.0 กก.-ม. ที่ 2,750 รตน.
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ “4 M 40” นั้น “MISUBISHI” ได้เปลี่ยนระบบเชื้อเพลงมาใช้ปั้มไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์ จนกระทั่งด้วยขนาดความจุเพียง 2.8 ลิตรก็สามารถรีดม้ามาให้ควบได้ถึง 140 ตัวที่ 4,000 รตน.และมีแรงบิดสูงสุด 32.0 กก.-ม. ที่ 2,000 รตน.
เดือนพฤษภาคม ปี 1997
นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของตระกูล “Pajero” อีกครั้งเนื่องจากขุมพลังเบ็นซิน V 6 สูบ 24 วาล์ว ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแค็มชาฟท์ (DOHC) ขนาด 3.5 ลิตร รหัส “6 V 74” ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบเชื้อเพลิงใหม่ที่เรียกว่า “GDI” หรือ “Gasoline Direct Injection” นั่นคือหัวฉีดจะจ่ายน้ำมันเข้าสู่กระบอกสูบแต่ละกระบอกโดยตรง ซึ่งนอกจากจะเรียกกำลังมาใช้งานได้มากกว่าเดิมแล้วยังมีมลภาวะต่ำลงกว่าเดิมด้วย นอกจากนี้ยังเปลี่ยนระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่ให้เป็นแบบ “INVECS-II” 5 จังหวะด้วย
ขุมพลัง “6 G 74 GDI” สามารถรีดม้าออกมาให้ใช้งานได้ถึง 245 แรงม้าที่ 5,500 รตน. และมีแรงบิดสูงสุด 35.0 กก.-ม. มาใช้ที่รอบการทำงานต่ำเพียง 2,500 รตน. ซึ่งทำให้เป็นที่กล่าวขานและยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสมรรถนะมากที่สุบล็อกหนึ่งในปัจจุบัน
ในปี 1997 นี้ก็ยังถือว่าเป็น “Big Minor Change” สำหรับเกียร์ด้วย เนื่องจากเกียร์อัตโนมัติ “INVECS-II” จะมี5 จังหวะแล้วคนขับยังสามารถเลือกสับจังหวัเกียร์ต่างๆได้เองอีกต่างหาก ส่วนระบบถ่ายทอดกำลังยังคงเป็นระบบ “SS-4” อยู่เหมือนเดิม
ทั้งแบบ “Midroof” และ “Metaltop” ต่างก็จะได้ขุมพลัง “6 G 74 GDI” มาใช้คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะแบบ “INVECS-II” ซึ่งอาจจะนับว่าเป็นรุ่นท้อปอ๊อฟเดอะไลน์แต่ปรากฏว่า “MISUBISHI” ได้ออกรุ่น “Evolution” ที่เป็นรุ่นพิเศษเน้นในเรื่องสมรรถนะของฝีเท้าที่จัดจ้านกว่าธรรมดาออกมาด้วย
เดือนตุลาคม ปี 1997
หลังจากได้นำบล็อก “6 G 74 GDI” มาประจำการได้เพียงห้าเดือน ทาง “MISUBISHI” ก็ได้นำไปโมดิฟาย เอาระบบเปลี่ยนองศาเปิดปิดและระยะยกวาล์วไอดีตามรอบการทำงานเครื่องยนต์ที่เรียกว่า “MIVEC” (“MISUBISHI” Intake Valve Electroric Control) มาใช้ ซึ่งก็สามารถเรียกม้าเพิ่มขึ้นมาอีก 35 เป็น 280 แรงม้า และมีแรงบิดสูงขึ้นเป็น 35.5 กก.-ม. มาให้เลือกใช้คู่กับเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์ออโตเมติค “INVECS-II” 5 จังหวะที่ได้เซ็ทอัตราทดใหม่ โดยระบบอิเล็คทรอทนิคส์ที่ควบคุมเกียร์อัตโนมัตินี้ยังปรับเซ็ทใหม่ให้อยู่ใน “Sport Mode” เช่นเดียวกันด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นของรุ่น “Evolution” นั่งเอง
เดือนกันยายน ปี 1999
ล่าสุดเมื่อในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์เมื่อปลายปีที่แล้ว ทาง “MISUBISHI” ก็ได้ขึ้นเจนเนอร์เรชั่นใหม่ให้กับตระกูล “Pajero” โดยทายาทลำดับที่สามนี้ โครงสร้างตัวถังเปลี่ยนจากแบบแชสซีส์มาเป็นแบบโมโนค็อกและมีตัวถัง 2 แบบด้วยกันคือ แวก้อน 5 ประตูที่เรียกว่า “Pajero Long” และแวก้อน 3 ประตูที่เรียกว่า “Pajero Short” ส่วนระดับเฟอร์นิเจอร์ (Trim) จะมีอยู่ 3 ระดับคือ ZR, Exceed และ Super Exceed สำหรับเครื่องยนต์ที่นำมาใช้จะมี 2 บล็อก โดยบล็อกแรกเป็นเครื่องยนต์เบ็นซิน “6 G 74 GDI” แบบ V 6 สูบ 24 วาล์ว แค็มคู่ (DOHC) ขนาด 3.5 ลิตร 220 แรงม้าที่ 5,500 รตน.และมีแรงบิดสูงสุด 35.5 กก.-ม.ที่ 3,760 รตน. บล็อกที่สองเป็นเครื่องยนต์ดีเซล “4 M 41” ที่มาแทนเครื่องยนต์โดยจะเป็นแบบ IL 4 สูบ 16 วาล์ว ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแค็มชาฟท์ (DOHC) ขนาด 3.2 ลิตร เรียกม้ามาใช้งานได้ 175 ตัวที่ 3,800 รตน.และมีแรงบิดสูงสุด 39.0 กก.-ม. ที่ 2,000 รตน. ส่วนเกียร์ที่จะส่งผ่านกำลังจะมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะของ “INVECS-II


 แก้ไขเมื่อ : 29/3/2554 15:34:55



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  

คำตอบที่ 1
       เเล้วปาเจโรสปอร์ตละครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Prapas T จาก หนึ่งบาท=หยาดเหงื่อ 219.146.128.157 อังคาร, 29/3/2554 เวลา : 15:21  IP : 219.146.128.157   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 827

คำตอบที่ 2
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

NUMPAJERO จาก NumPajero 14.207.167.80 อังคาร, 29/3/2554 เวลา : 19:33  IP : 14.207.167.80   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 860

คำตอบที่ 3
       พอดีไปเจอมาครับ รุ่นนี้ใช้ถ่านหิน





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

เจ้าหมีขาว 212 จาก เจ้าหมีขาว PCT_212 110.77.176.121 อังคาร, 12/4/2554 เวลา : 03:27  IP : 110.77.176.121   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 3675

คำตอบที่ 4
       ด้านหลัง





คงต้องไปวิ่งแถวแม่เมาะแล้วละคับ
จาก : rottapan(rottapan) 12/4/2554 22:33:41 [115.87.69.138]
 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

เจ้าหมีขาว 212 จาก เจ้าหมีขาว PCT_212 110.77.176.121 อังคาร, 12/4/2554 เวลา : 03:27  IP : 110.77.176.121   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 3676

คำตอบที่ 5
      



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

songpinong จาก songpinong 111.84.222.54 อังคาร, 12/4/2554 เวลา : 06:47  IP : 111.84.222.54   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 3678

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,29 มีนาคม 2567 (Online 2400 คน)