WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


วิทยาศาสตร์ + ความรู้ รอบๆ ตัวเรา...
005
จาก BoyDogtag,TTC-005
IP:202.122.130.31

อังคารที่ , 13/7/2553
เวลา : 15:28

อ่านแล้ว = 44637 ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

      


 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  

คำตอบที่ 61
      

fiogf49gjkf0d
จากรายงานฉบับนี้เปิดเผยว่า ในตลาดทั่วโลกนั้น รถยนต์ที่ใช้สีเงินอยู่ที่ 25% ส่วนสีดำตามมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยสัดส่วน 23% ตามด้วยสีขาว 16%, สีเทา 13%, สีน้ำเงิน 9% , สีแดง 8% , สีน้ำตาล 4% , สีเขียว สีเหลือง สีทอง ประมาณ 1% ส่วนในตลาดอเมริกาเหนือนั้นกลับแตกต่างจากที่อื่นเพราะสีที่มาแรงครองอันดับหนึ่งคือสีขาว 17.8 % ตามมาด้วยสีดำ 17% ส่วนสีเงินอยู่ในดันดับ 3 ที่ 16.7 % , สีเทา 13% , สีน้ำเงิน 12.4 % , สีแดง 12% , สีน้ำตาล 5.7% , สีเขียว 2.8% , สีเหลืองและสีทอง 2.3% และสีอื่นๆอีก 1%

ส่วนในยุโรปสีดำนำมาเป็นที่หนึ่ง 27% รองลงมาคือสีเงิน 19.9% และสีขาว10.2% ทางด้านประเทศญี่ปุ่นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกนั้นนิยมชมชอบสีขาวมากถึง 28% และสีเงินตามมาที่ 23%

สำหรับในประเทศไทยพบว่าสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือสีเงินและสีดำ ส่วนสีขาวมักจะออกมาในรูปแบบรุ่นพิเศษเท่านั้น ทั้งนี้ยังพบว่าเหตุผลที่กลุ่มลูกค้าและผู้ผลิตรถยนต์นิยมสีเงินเพราะเป็นสีที่เหมาะสมกับรถยนต์ ทำให้ดูทันสมัยอยู่เสมอ แล้วก็มีราคาขายต่อที่ดี

รวมถึงพฤติกรรมการเลือกซื้อรถพบว่าลูกค้าส่วนมากจะให้ความสนใจบริษัทรถที่มีสีรถให้เลือกมากกว่า 5 สีขึ้นไปในแต่ละรุ่นด้วย นอกจากนี้ในการสำรวจพบว่าสีน้ำเงิน หรือฟ้า อาจจะเป็นสีที่ได้รับความนิยมในปีหน้า เนื่องจากการที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในแง่ของ ท้องฟ้า สายน้ำ ที่สื่อออกมาทางสีรถนั่นเอง






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 115.87.39.10 เสาร์, 11/9/2553 เวลา : 21:17  IP : 115.87.39.10   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100133

คำตอบที่ 62
      

fiogf49gjkf0d
อันนี้.. อ่านเล่นนะครับ อย่าซีเรียส..

สมการ Perfect


* ROMANCE MATHEMATICS *

Smart man + smart woman = romance
ผู้ชายเท่ห์ + ผู้หญิงเก่ง = ความ โรแมนติก

Smart man + dumb woman = affair
ผู้ชายเก่ง + ผู้หญิงโง่ = ความใคร่*

Dumb man + smart woman = marriage
ผู้ชายโง่ + ผู้หญิงเก่ง = การแต่งงาน

Dumb man + dumb woman = pregnancy
ผู้ชายโง่ + ผู้หญิงโง่= ตั้ง ท้อง **
..............................................................................

* OFFICE ARITHMETIC *

Smart boss + smart employee = profit
เจ้านายเก่ง + ลูกน้องเก่ง = กำไร **

Smart boss + dumb employee = production
เจ้านายเก่ง + ลูกน้องโง่ = ผล ผลิต **

Dum! b boss + smart employee = promotion
เจ้านายโง่ + ลูกน้องเก่ง = เลื่อน ตำแหน่ง

Dumb boss + dumb employee = overtime
เจ้านายโง่ + ลูกน้อง โง่= OT อย่าง เดียว **

* SHOPPING MATH *

A man will pay $2 for a $1 item he needs.
ผู้ชายจ่าย 2 บาท ต่อ ของ 1 ชิ้นที่เขาต้องการ

A woman will pay $1 for items that she doesn't need.
แต่ ผู้หญิง จ่าย 1 บาท ต่อ ของหลายๆชิ้น ที่เธอไม่ต้อง การ **
.....................................................................................

* GENERAL EQUATIONS & STATISTICS *

A woman worries about the future until she gets a husband.
ผู้หญิงจะกังวลเกี่ยวกับอนาคตจนกว่าจะ มีสามี **

A man never worries about the future until he gets a wife.
แต่ ผู้ชายไม่เคยกังวลเลยเกี่ยวก ับอนาคตเลยจนกระทั่งมีภรรยา**

A successful man is one who makes more money than his wife can spend.
ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่สามารถหาเงินได้มากกว่าที่ภรรยาใช้ **

A successful woman is one who can find such a man.
แต่ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่สามารถหาสามีได้อย่างคนข้างบน **
........................................................................................

* HAPPINESS *

To be happy with a man, you must understand him a lot and love him a little.
การจะมีความสุขกับผู้ชายคนนึง คุณจะต้องเข้าใจเค้ามากๆ แต่รักเค้า น้อยๆ

To be happy with a woman, you must love her a lot and not try to understand her at all.
การจะมีความสุขกับผู้หญิงคนนึง คุณต้องรักเธอมากๆ และไม่ต้องพยายามจะเข้าใจอะไรในตัวเธอ ทั้งสิ้น **

* LONGEVITY *

Married men live longer than single men do, but married menare a lot more willing to die.
ผู้ชายที่แต่งงานแล้วจะมีอายุยืนกว่าชายโสด แต่ชายที่แต่งงานแล้วกลับ เต็มใจเลือกที่จะตายมากกว่าอยู่**
....................................................................................

* PROPENSITY TO CHANGE *

A woman marries a man expecting he will change, but he doesn't. **
ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชายคนนึงและหวัง ว่าจะเปลี่ยน แปลงเค้าได้ แต่ผู้ชายไม่ เปลี่ยน*

A man marries a woman expecting that she won't change, and she does. **
ส่วน ผู้ชายแต่ง งานกับผู้หญิงและหวังว่าเธอคงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เธอก็ เปลี่ยน **
................................................................................

* DISCUSSION TECHNIQUE *

A woman has the last word in any argument.
ผู้หญิงมักมี คำพูดสุดท้ายในการโต้เถียง

Anything a man says after that is the beginning of a new argument.
แต่อะไรก็ตามที่ผู้ชายพูดออกมาต่อจากนั้น จะเป็นการเริ่มการโต้เถียง ครั้งใหม่ *






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 13/9/2553 เวลา : 16:18  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100194

คำตอบที่ 63
      

fiogf49gjkf0d

Dumb man + smart woman = marriage
ผู้ชายโง่ + ผู้หญิงเก่ง = การแต่งงาน

เห็นมั้ย ไม่แกล้งโง่จะใด้หรือ จริงมั้ยพี่กบ
หนุ่มฉลาดๆ ไม่แกล้งโง่เลย....เฉา



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

rawat จาก TTC - 047 ฅนบางกอก 124.120.2.245 อังคาร, 14/9/2553 เวลา : 08:11  IP : 124.120.2.245   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100200

คำตอบที่ 64
      

fiogf49gjkf0d
ผู้ชายเก่ง+ผู้หญิงโง่ = การแต่งงาน
เห็นมั้ย ไม่แกล้งโง่จะใด้แต่งหรือ
หลีงจากนั้นมันฉลาดและรู้ทันทุกเรื่อง





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc051 จาก ย้ง 58.11.19.134 อังคาร, 14/9/2553 เวลา : 12:37  IP : 58.11.19.134   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100203

คำตอบที่ 65
      

fiogf49gjkf0d
ผู้ชายที่แต่งงานแล้วจะมีอายุยืนกว่าชายโสด แต่ชายที่แต่งงานแล้วกลับ เต็มใจเลือกที่จะตายมากกว่าอยู่
*****ประโยคนี้ผมชอบมากให้5ดาวแลย






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc051 จาก ย้ง 58.11.19.134 อังคาร, 14/9/2553 เวลา : 12:44  IP : 58.11.19.134   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100204

คำตอบที่ 66
      

fiogf49gjkf0d

Dumb man + dumb woman = pregnancy
ผู้ชายโง่ + ผู้หญิงโง่= ตั้ง ท้อง **
อ้าวแล้วผู้หญิงเป็นอาไร?......ถึงตั้งท้อง ..งง





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

rawat จาก TTC - 047 ฅนบางกอก 124.120.2.245 อังคาร, 14/9/2553 เวลา : 14:41  IP : 124.120.2.245   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100206

คำตอบที่ 67
      

fiogf49gjkf0d
ความถี่CB 245 กรุงเทพมหานคร
01/80 จส.100
02/80 ศูนย์ฉิมพลี
03/80 ศูนย์ กุ้ภัยพหลฯ
09/80 ศูนย์วีอาร์ จราจร
10/80 ศูนย์ กุ้ชีพบูรณะ/ศูนย์ ซีบี เจริญนคร/ศูนย์ทุ่งครุ
12/80 ศูนย์มีนบุรี
14/80 ศูนย์ประกันกลาง
16/80 ศูนย์พิรุณ
36/80 ศูนย์ร่วมด้วยฯ/ กุ้ภัยทรัพย์สนอง/สมิตติเวช
39/80 ศูนย์ชาลีกรุงเทพ
47/80 ศูนย์แจ้งข่าวดอนเมือง
48/50 ศูนย์พุฒตาล
49/80 ศูนย์พญาอินทรีย์
50/80 ศูนย์กุ้ชีพศรีวิชัย 1/ศูนย์พุธไท
51/80 ศูนย์กุ้ชีพศรีวิชัย 2
52/80 ศูนย์กุ้ชีพวิภาวดี/กุ้ชีพวิภาวดีราม
54/80 ศูนย์พระราม 2
69/80 ศูนย์กุ้ชีพมหาชัย 2/ศูนย์ร่วมด้วยฯพัทยา
73/80 ศูนย์ร่วมปทุมฯ
77/80 ศูนย์เหยี่ยวเวหา
79/80 ศูนย์วิทยุอาร์ คอม กรุงเทพ
80/80 ศูนย์วิทยุพระรามเก้า


ขอบคุณ Yutrpon[ R.I.P.] จาก siambbgun.com



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

sailom_276 จาก TTC048 125.24.114.147 อังคาร, 14/9/2553 เวลา : 16:22  IP : 125.24.114.147   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100207

คำตอบที่ 68
      

fiogf49gjkf0d
คุณแอ๊ดเอาคลื่นความถี่กู้ภัยเตรียมไว้....สงสัยรู้ว้าต้องมีคนหัวแบะ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

ttc051 จาก ย้ง 58.11.19.134 อังคาร, 14/9/2553 เวลา : 16:39  IP : 58.11.19.134   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100210

คำตอบที่ 69
      

fiogf49gjkf0d
สงสัยจากกระทู้นู้นนนนนน อ่ะพี่ย้ง.......



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

sailom_276 จาก TTC048 125.24.114.147 อังคาร, 14/9/2553 เวลา : 16:42  IP : 125.24.114.147   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100211

คำตอบที่ 70
      

fiogf49gjkf0d
กรรมเวร



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

TTC077 จาก TTC077 124.122.172.41 อังคาร, 14/9/2553 เวลา : 18:11  IP : 124.122.172.41   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100212

คำตอบที่ 71
      

fiogf49gjkf0d

อันนี้เป็นบทความของผมเองครับ
เขียนไว้นานแล้วในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ โลกวันนี้ วันสุข


“งู” กับความเชื่อของคนไทย


> ฝันว่างูรัดแล้วจะมีคู่

นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์มานานแล้วว่า ความฝันเป็นเรื่องของจินตนาการเนื่องจากสมองงานล่วงเวลา (O/T) ระหว่างที่เรากำลังหลับ และการหลับแล้วฝันยังเป็นการบอกด้วยว่า เรากำลังได้รับการพักผ่อนอย่างไม่เต็มที่ หรือหลับไม่ลึกนั่นเอง

ไม่เชื่อลองสังเกตดูสิครับว่า คืนไหนที่เราหลับแล้วฝันทั้งคืนเมื่อตื่นขึ้นมาจะรู้สึกไม่ค่อยสดชื่น ซึ่งต่างกับการหลับรวดเดียวแล้วตื่นโดยไม่มีการฝัน

ผมเคยเลี้ยงงูหลายชนิดรวมเวลาก็สิบกว่าปีแล้ว ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องฝันถึงงูบ้าง โดยเคยฝันมาแล้วสารพัดรูปแบบ ซึ่งยังไม่เห็นจะมีคู่เพิ่มกับเขาสักที เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาสุดสวยที่แสนดีคนเดิมตามปรกติ แถมก่อนจะรู้จักกับเธอผมไม่เคยฝันถึงงูเลยสักครั้ง ประกอบกับเคยถามบรรดาเพื่อนๆ ที่เป็นแฟนกันก็ไม่มีใครบอกว่า เคยฝันเห็นงูก่อนพบรักกัน ดังนั้น ผมเลยไม่เชื่อเรื่องนี้ครับ

อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานอย่างเป็นรูปธรรมมายืนยันเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องของจินตนาการที่ถูกนำไปเชื่อมโยงความเชื่อของแต่ละบุคคลครับ


> เสลดพังพอนป้องกันงูได้

เป็นที่ทราบกันดีว่า ต้นเสลดพังพอนมีฤทธิ์ในการถอนพิษหลายชนิด เมื่อนำมาประกอบกับเรื่องพังพอนกับงูเห่าที่จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายแรก ทำให้มีคนเชื่อว่า พืชที่มีชื่อคล้ายกันนี้น่าจะสามารถป้องกันงูได้ และเคยมีคนแนะนำให้นำต้นเสลดพังพอนไปปลูกเป็นรั้วบ้านเพื่อป้องกันงูเข้าบ้าน จนกลายเป็นประเด็นถกเถียงในเว็บบอร์ดสัตว์เลี้ยงแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน

เพื่อหาข้อสรุป พลพรรคไม่เชื่อต้องพิสูจน์อย่างพวกผมก็เลยทดสอบความเชื่อนี้ โดยนำต้นเสลดพังพอนเข้าไปปลูกในตู้เลี้ยงงูแล้วปล่อยงูเข้าไป ผลปรากฏว่า เจ้างูน้อยเลื้อยขึ้นไปนอนบนต้นเสลดพังพอนอย่างสบายใจ และแม้จะเปลี่ยนงูตัวอื่นเข้าไปก็ไม่มีท่าทีรังเกียจต้นเสลดพังพอนแต่อย่างใด (ฮา)

ในความเห็นของผม เสลดพังพอนที่ปลูกเป็นรั้วป้องกันงูได้น่าจะเป็นเสลดพังพอนตัวผู้ซึ่งจะมีหนามแหลมตามลำต้น โดยป้องกันได้เฉพาะงูขนาดใหญ่ หรือแม้แต่สัตว์ชนิดอื่นๆ ก็คงไม่อยากเข้าใกล้ล่ะครับ


> งูเหลือมแพ้เชือกกล้วย?

ผมสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว จนกระทั่งมาเจอหัวข้อกระทู้ที่มีคนมาตั้งถามในห้องจตุจ้กร ของเว็บพันธุ์ทิพย์ ก็เลยปรึกษากับเพื่อนๆ หาวิธีพิสูจน์ความเชื่อนี้ โดยผู้ทดสอบเป็นเจ้างูเหลือมติมอร์ที่ผมเขียนถึงไปก่อนหน้านี้นั่นเอง

ขั้นแรกเราจัดการเอาไม้เสียบมัดเชือกกล้วยแล้วแหย่เข้าไปในกรง ปรากฏว่า เจ้างูจิตตกทั้งคู่ช่วยกันรุมฉกมัดเชือกกล้วยกันอย่างสนุกสนาน

จากนั้นเราก็เริ่มแผนสองโดยแกะมัดเชือกกล้วยออกแล้วโยนเข้าไปในกรงเพื่อดูปฎิกิริยาของงูว่าจะเป็นยังไง และพบว่า งูทั้งคู่ไม่ได้มีท่าทางรังเกียจเชือกกล้วยแต่อย่างไร แถมยังชวนกันเข้าไปขดนอนอยู่ข้างใต้อย่างสบายใจ (ฮา)

เมื่อผลทดสอบเป็นดังนี้เพื่อนผมก็เลยถ่ายภาพแล้วเอาไปรายงานในกระทู้ต้นเรื่อง โดยไม่นานนักก็มีคนเข้ามาให้ความเห็นมากมาย บ้างก็บอกว่า ต้องใช้เชือกกล้วยตานีเท่านั้น หรือบางคนก็บอกให้ใช้เชือกกล้วยสดๆ เพราะงูไม่ชอบยางกล้วย ฯลฯ

สุดท้ายมีคนเข้ามาทุบโต๊ะว่า วิธีการของพวกผมนั้นไม่ถูก เพราะจริงๆ แล้วต้องเอาเชือกกล้วยทำเป็นบ่วงคล้องคองูถึงจะมัดงูให้สิ้นเรี่ยวแรงได้

พวกเราอ่านถึงตรงนี้เลยได้ข้อสรุปว่า ถ้าคำตอบเป็นตามที่บอกก็ไม่เห็นต้องใช้เชือกกล้วยเลย เพราะเอาเชือกอะไรมาทำเป็นบ่วงก็สามารถรัดคองูจนดิ้นไม่หลุดได้ทั้งนั้นแหละครับ


> งูเห่ากับพังพอน

เรื่องนี้เป็นตำนานที่ฟังมาตั้งแต่ผมจำความได้ และพังพอนก็รับบทเป็นพระเอกมาโดยตลอดเพราะคนส่วนมากทั้งเกลียดและกลัวงู

แต่เชื่อไหมครับว่า ถ้าพังพอนพลาดท่าโดนงูเห่ากัดก็เดี้ยงได้เหมือนกัน และที่พังพอนกลายเป็นฮีโร่อยู่ทุกวันนี้ เพราะคนทำสารคดีเขาเลือกนำเสนออยู่ด้านเดียวให้พังพอนเป็นฝ่ายชนะนั่นเอง

จริงๆ แล้วพังพอนเอาชนะได้แต่พวกงูขี้โมโห และบุ่มบ่าม เช่น งูเห่า หรืองูทางมะพร้าว โดยอาศัยความว่องไวหลอกล่อให้งูฉกแล้วหาจังหวะเข้าไปกัดให้งูบาดเจ็บและเสียสมาธิ แต่ถ้าไปเจอหน่วยซุ่มยิงอย่างพวกงูเหลือม-หลาม ที่ใช้กลยุทธ์สงบสยบเคลื่อนไหว เจ้าฮีโร่พังพอนก็สิ้นชื่อได้เหมือนกันครับ


> มะนาวกับงู

ใครก็ไม่รู้เคยบอกผมว่า งูกลัวมะนาวโดยไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมถึงต้องกลัว แต่ก็เคยได้ยินมาว่า งูเกลียดกลิ่นมะนาว และงูไม่ชอบต้นมะนาว

เพื่อคลายความสงสัย ผมจัดการทดสอบโดยใช้เชือกผูกมะนาวแล้วหย่อนแล้วหย่อนลงไปในกรงเจ้างูเหลือมติมอร์จิตตกคู่เดิม และเป็นไปตามคาดคือ ทั้งคู่รุมฉกมะนาวลูกนั้นอย่างสนุกสนาน

จากนั้นผมลองกรีดลูกมะนาวเป็นริ้วๆ แล้วส่งลงไปใหม่ คราวนี้ทั้งคู่แลบลิ้นสำรวจกลิ่นอยู่ 2-3 แผล็บ ก่อนจะค่อยๆฉากหลบไปอย่างสวยงาม ผมเลยสรุปว่า งูเหลือมอาจจะไม่ชอบกลิ่นมะนาวก็ได้ แต่สำหรับงูชนิดอื่นผมไม่ทราบนะครับ

ส่วนความเชื่อเรื่อง งูไม่ชอบต้นมะนาวนั้นเป็นไปได้ว่า มะนาวเป็นต้นไม้ที่มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเลื้อยของงู แต่น่าจะเป็นปัญหากับงูขนาดใหญ่เท่านั้นล่ะครับ เพราะเคยเห็นงูขนาดเล็กอย่าง งูเขียวพระอินทร์ หรืองูเขียวหางไหม้ นอนพักผ่อนอย่างสบายใจบนต้นมะนาวหน้าบ้านผมบ่อยๆ


> จงอางหวงไข่

นอกจากงูตระกลูเหลือม-หลาม (Python) แล้วก็มีเจ้างูเห่ากับงูจงอางนี่แหละครับ ที่ถือเป็นงูประเภทรักสายเลือดตัวเองเป็นที่หนึ่ง เพราะเป็นงูที่ออกไข่แล้วจะกกหรือเฝ้าไข่ตัวเองเอาไว้ไม่ห่างจนกว่าลูกงูตัวจิ๋วๆ ในไข่จะโผล่หน้าออกมา ซึ่งผมยกย่องหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ ของสิ่งมีชีวิตเพศแม่ทุกประเภทครับ

สำหรับความเชื่อที่ว่า งูจงอางหวงไข่นั้นเป็นเรื่องจริงครับ เพราะความยาว 4-6 เมตร จนได้รับการยกย่องให้เป็นงูพิษขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้คุณแม่จงอางไม่รู้สึกต้องเกรงกลัวใครหน้าไหนที่บังอาจเข้าไปแหยมใกล้รัง แต่เธอไม่ได้หวงไข่ขนาดออกติดตามไล่ล่าคนที่จิ๊กลูกน้อยในไข่ไปถึงบ้านหรือหม้อแกงหรอกนะครับ เพราะเมื่อขับไล่ศัตรูพ้นอาณาเขตแล้ว คุณแม่เหล่านั้นก็จะยูเทิร์นกับมาเฝ้ารังตามเดิม

ใครที่เคยข้องใจเรื่องนี้ก็ขอให้สบายใจได้ ขนาดหมาๆ ทั้งหลายที่เป็นเซียนด้านติดตามกลิ่น ถ้าโดนใจร้ายจับใส่รถเอาไปปล่อยไกลๆ ก็มีน้อยตัวล่ะครับที่กลับบ้านถูก


เลี้ยงห่านช่วยป้องกันงูได้
นิสัยอย่างหนึ่งของห่าน หรือแม้แต่เป็ดและไก่ ก็คือ การล่าสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร ดังนั้น การเลี้ยงห่านเพื่อป้องกันงูเข้าบ้านจึงช่วยได้บ้าง ซึ่งผมคิดว่า คงจะป้องกันได้แต่งูขนาดเล็กที่ไม่มีพิษเท่านั้นแหละครับ เพราะถ้าต้องประฝีมือกับงูพิษ ห่านของเราก็มีหวังเดี้ยงอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ถ้าเจอพวกพี่บิ๊กอย่างงูเหลือม-หลาม ห่านจอมซ่าก็คงต้องกลายเป็นผู้ถูกล่าเช่นเดียวกับเจ้าพังพอนนักสู้งูเห่าผู้ยิ่งใหญ่นั่นล่ะครับ


> แรงอาฆาตของงู

คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยได้ยินนิทานปรัมปราเรื่องงูเห่าที่ถูกมีดฟันจนตัวขาดสองท่อนแล้วลอยตามน้ำไปดักแก้แค้นคนที่ทำร้ายตัวเองถึงบ้านกันบ้างนะครับ

เรื่องนี้หากวิเคราะห์ตามความเป็นจริงจากสรีระและกายวิภาคของงูแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ เนื่องจากอวัยวะภายในของงู เช่น ปอด กระเพาะอาหาร หรือลำไส้ จะเป็นแนวยาวตามโครงสร้างร่างกาย ดังนั้น ถ้าโดนตัดเป็นสองท่อนงูก็จะตายในเวลาไม่นาน เพราะอวัยวะภายในถูกทำลายและเสียเลือดจำนวนมาก

นอกจากนี้ผมเคยอ่านรายงานของต่างประเทศ โดยนักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์สมองของงูแล้วพบว่า โครงสร้างสมองของกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานไม่ได้ซับซ้อนมากนัก โดยพวกเขาสามารถจดจำได้พอสมควร แต่จะไม่สามารถจดจำแบบแยกแยะรายละเอียดได้เหมือนสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพัฒนาการสูงกว่า

ยกตัวอย่างจากงูที่ผมเคยเลี้ยง เจ้าพวกนี้จะจำได้ว่า ตัวสองขา(คน) ที่เดินเข้ามาหามักจะมีของให้กินบ่อยๆ ดังนั้น ถ้ากำลังหิวก็จะรีบเลื้อยออกมารอกินอาหารทันทีที่เห็นคนเดินเข้าไปใกล้ๆ โดยที่ไม่รู้หรอกว่า คนๆ นั้นเป็นคนเลี้ยงหรือเปล่า เพราะงูจะจำได้แต่ลักษณะเด่นๆ เท่านั้นเอง

ต่างกับหมา-แมว ซึ่งสามารถจำหน้าตาหรือกลิ่นของคนเลี้ยงได้ เจ้าพวกนี้ก็เลยไม่หน้าแตกเพราะทักคนให้อาหารผิดคน .. อิอิอิ



จริงๆแล้วยังมีอีก 2 ตอน แต่หาไฟล์ไม่เจอครับ






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Nui_Terr_II จาก Nui TERR II, TTC 132 125.25.105.184 อังคาร, 5/10/2553 เวลา : 14:10  IP : 125.25.105.184   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 100819

คำตอบที่ 72
      

fiogf49gjkf0d
นิสสันคุยยอดพุ่ง...มาร์ชตัวนำโชคฟันไป 23,600 คัน

บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงว่า ยอดขายรถนิสสันสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยยอดขายรถยนต์เดือนกันยายนพุ่งขึ้นถึง5,445 คัน ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 8 % โดยคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่ม 2.3 % เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยของปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 5.7 % และยอดขายปลีกช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2553 (ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน) เพิ่มขึ้นสองเท่า (+97%) จากยอดครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2552

สำหรับรถที่ได้รับความนิยมคือ นิสสัน มาร์ช ล่าสุดมียอดขายในเดือนที่ผ่านมาสูงถึง 2,800 คัน และมียอดจองสุทธิตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบันที่ 23,600 คัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงต้องการรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน และต้องการเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่ช่วยด้านการประหยัดน้ำมันอย่างระบบเกียร์อัจฉริยะ XTRONIC CVT ซึ่งมีอยู่ในรถยนต์นิสสันรุ่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เทียน่า เอ็กซ์เทรล


ขณะเดียวกัน ทางนิสสันยังมีการจัดกิจกรรมอบรม “นิสสัน Xtronic CVT อีโค ไดรฟ์” ให้กับสื่อมวลชนสายรถยนต์และไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแนะนำให้ทราบถึงเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมของนิสสัน รวมไปถึงทักษะการขับขี่อย่างไรให้ประหยัดน้ำมัน เช่น หลีกเหลี่ยงการขับขี่แบบรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการกดคันเร่ง หรือหยุดเบรคกะทันหัน ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 10-20% ซึ่งบริษัทนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของรถยนต์อีโคคาร์ในตลาด

"ผมรู้สึกภูมิใจที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับรถยนต์นิสสันมากขึ้น และผู้บริโภคชื่นชอบกับรูปลักษณ์ที่ล้ำสมัย การประหยัดน้ำมันและความปลอดภัย เราคาดหวังการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพราะนิสสันกำลังจะเปิดตัวรถยนต์โฉมใหม่อีกหลายรุ่น เช่น นาวาร่าและเอ็กซ์เทรล” นาย โทรุ ฮาเซกาวา ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

“เรามีความชัดเจนที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 9 % ในปีงบประมาณ 2554 และมากกว่า 10 % ในปีงบประมาณ 2555โดยที่ผ่านมาส่วนแบ่งทางการตลาดเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 7.8 % เดือนสิงหาคมที่ 7.6 % และเดือนกันยายนที่ 8.0 % เห็นได้ชัดเจนว่าแผนปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามที่วางไว้ นิสสันจะเป็นผู้นำรถยนต์อีโคคาร์และจะสร้างเทรนด์ของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับตลาดในประเทศไทย”

เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศแผน “ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงปี 2555” เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจาก 5% ในปีงบประมาณ 2551 เป็น 10% ภายในปีงบประมาณ 2555 โดยขณะนี้ นิสสัน ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการดำเนินแผนและกำลังเดินมาถูกทางตามแผนที่วางไว้ นาย โทรุ ฮาเซกาวา กล่าวตบท้าย

ล่าสุดเมืองโยโกฮามา (วันที่ 12 ตุลาคม 2553) : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยภาพสเก็ตของรถยนต์นิสสันแบบซีดานใหม่ที่จะจำหน่ายทั่วโลก โดยรถยนต์ดังกล่าวจะถูกออกแสดงเป็นครั้งแรกในงานไชน่า อินเตอร์ เนชั่นแนล ออโตโมบิล เอ็กซ์ซิบิชั่นครั้งที่ 8 ณ เมืองกวางโจว ในเดือนธันวาคม ที่จะถึงนี้

Ref. : http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000144051







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 14/10/2553 เวลา : 09:12  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101100

คำตอบที่ 73
      

fiogf49gjkf0d
วัน
เสารที่ปลายซอย แม้ศัตรูยังอิจฉาในพระบารมี
เปลว สีเงิน23 ตุลาคม 2553 - 00:00

วันนี้ ของปีนี้ "๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๓" เป็นปีและวัน "ทดสอบรากฐาน-ทิศทางประเทศไทย ผ่านคนไทย" ว่าใจท่านจะเป็นหางเสือคัดเรือชีวิตและชาติไปทางไหน เพราะ ๒๓ ตุลา วันนี้-ของปีนี้ ไม่ได้มีความหมายแค่ "วันปิยมหาราช" ได้หยุดงานเพิ่มอีกวันดังทุกปีเท่านั้น หากแต่ ๒๓ ตุลาของปีนี้ "ครบ ๑๐๐ ปี" แห่งการที่องค์พระสยามินทร์ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๕ เสด็จสู่สวรรคาลัย ณ พุทธศักราช ๒๔๕๓
ไม่มีชีวิตใครอยู่เหนือกาลเวลา ยกเว้นคุณงาม-ความดี ดั่งนี้ก็เช่นกัน ด้วยพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินสยาม ร้อยปีที่ผ่าน ต่างกันตรงไหนกับวันวาน หรือวันนี้ หรือนาทีนี้ กับใจภักดีของมวลพสกไทยที่ไม่เคยจาง ด้วยรู้จำว่า
"ก้าวใหม่" ของประเทศไทย เป็นก้าวที่ "องค์พระสยามินทร์" ทรงนำเป็น "ก้าวไทย" หมุนตามโลกศิวิไลซ์ โดยไม่ละทิ้งแก่นรากความเป็นไทย ทรงเอกลักษณ์ไว้ ตราบทุกวันนี้!
พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ต่อชาติ ต่อประชาชน มากล้นพ้นรำพัน สุดที่ใครจะนำมาบอกกล่าวให้ครบถ้วนทุกด้านกันได้ในวันเดียว หรือนำมาเขียนให้ครอบคลุมได้แค่หน้ากระดาษหนังสือพิมพ์วันหนึ่ง
การยึดมั่นในชาติ กับการยึดมั่นในองค์พระสยามินทร์ "เป็นสิ่งเดียวกัน" ถือเป็นปณิธานทางใจที่ใช้แทนการพูดถึงกันได้ ผมมั่นใจเช่นนั้นนะครับ ฉะนั้น เมื่อวันวารเวียนถึงวาระพึงกตเวทิตาเป็นพิเศษเช่นนี้ เป็นหน้าที่ของพวกเรา-ชาวไทยทุกคน ควรน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน ด้วยการทบทวน "การกระทำตัวเอง" สู่เส้นทาง
ตลอดทั้งพระชนม์ชีพสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ณ วันเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พุทธศักราช ๒๔๑๑ ตราบวันจากสรวงสวรรค์คืนสู่สรวงสวรรค์ ณ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๓ คนทั่วไปพูดว่า เป็นเวลา ๔๒ ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่ องค์พระสยามินทร์เคยตรัสไว้กับเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ว่า
"....คำซึ่งกล่าว ได้รับสิริราชสมบัติเปนคำไพเราะจริงหนอ เพราะสมบัติย่อมเปนที่ปรารถนาของบุคคลทั่วหน้า และย่อมจะคิดเห็นโดยง่ายๆ ว่า ผู้ซึ่งได้เปนเจ้าแผ่นดินแล้วย่อมจะมีอำนาจอาจจะลงโทษแก่ผู้ซึ่งไม่พึงใจ อาจจะยกย่องเกื้อกูลแก่ผู้ซึ่งพอใจ และเปนผู้มีสมบัติมาก อาจจะใช้สอยเล่นหัวหรือให้ปันแก่ผู้ที่พึงใจได้ตามประสงค์ ผลแห่งเหตุที่ควรยินดี กล่าวโดยย่อเพียงเท่านี้ ยังมีข้ออื่นอีกเปนหลายประการจะกล่าวไม่รู้สิ้น
แต่ความจริงหาเปนเช่นความคาดหมายของคนทั้งปวงดังนั้นไม่ เวลาซึ่งกล่าวมาแล้วอันจะพูดตามคำไทยอย่างเลวๆ ว่ามีบุญขึ้นนั้น ที่แท้จริงแล้วเป็นผู้มีกรรมแลมีทุกข์ยิ่ง ดังตัวพ่อได้เปนมาเอง..."
"มีบุญขึ้นนั้น ที่แท้จริงแล้วเป็นผู้มีกรรมและมีทุกข์ยิ่ง" เพราะเหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนั้น และด้วยเหตุใดพระองค์จึงต้องทรงเป็นผู้มีกรรมและมีทุกข์?
อธิบายไม่จบหรอกครับ ผมขอแนะนำให้แต่ละท่าน "ควรอย่างยิ่ง" ไปหาซื้อหนังสือ "ธิราชเจ้าจอมสยาม" ที่ธนาคารกสิกรไทย มอบให้ทีมคณาจารย์ค้นคว้า รวบรวม เรียบเรียงขึ้น และพิมพ์จำหน่าย รายได้ทั้งหมด "ไม่หักค่าใช้จ่าย" มอบให้สภากาชาดไทย เป็นหนังสือเล่มเดียวที่บอกได้เลยว่า
ทุกบ้านสมควรต้องมีไว้เป็น "หนังสือประจำตระกูล-ประจำบ้าน" เพื่อให้ลูกหลาน และทุกคนในบ้านได้อ่าน ได้ศึกษา ถ้าเชื่อมั่น-ศรัทธา ด้วยภูมิใจ ในความเป็นคนไทยของตัวเอง!
ผมอ่าน "ธิราชเจ้าจอมสยาม" ถึงตอนเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ เสด็จเยือนประเทศต่างๆ รวม ๑๓ ประเทศ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย-ฮังการี รัสเซีย-โปแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก อังกฤษ เบลเยียม ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส สเปน และ โปรตุเกส ระหว่างเมษายน-ธันวาคม ๒๔๔๐
อ่านแล้วก็พลันนึกถึงหนังสือระดับ National Bestseller เล่มหนึ่งของ Amitav Ghosh ในเรื่อง The Glass Palace ผมไม่ได้อ่านเอง หากแต่คุณภูมิชาย ล่ำซำ ไปเที่ยวพม่าแล้วซื้อมาอ่าน มีบางบทกษัตริย์พม่าตอนนั้นซึ่งเป็นนักโทษในคุก รำพึง-รำพันถึงพระมหากษัตริย์ไทยเชิงเปรียบเทียบชะตากรรมทั้งของตัวเอง และประเทศชาติตัวเองอย่างน่าสนใจ
น่าสนใจแง่ที่ว่า เป็นความจริงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งคนภายนอกไม่มีโอกาสรู้ว่า "กษัตริย์พม่าคิดอย่างไร?" ต่อไทย ต่อพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นั้น-ขณะนั้น คือ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มันเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ อันมีบันทึกอยู่ใน "หอจดหมายเหตุ" ในพระราชวังพม่า
คุณภูมิชายให้เพื่อนช่วยแปลให้ผมฟัง เขาเขียนถึง "กษัตริย์องค์สุดท้าย" ของพม่าและของราชวงศ์อลองพญา พระนามว่า "พระเจ้าธีบอ" หรือพระเจ้าสีป่อ ท่านที่เคยอ่าน "เที่ยวเมืองพม่า" ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ คงจำได้ว่า พม่าเสียเมืองให้อังกฤษราวๆ พ.ศ.๒๔๒๙ ระบบกษัตริย์ล่มสลาย พระเจ้าสีป่อถูกอังกฤษจับไปขังอยู่ในคุกที่อินเดียเกือบ ๓๐ ปีก่อนถูกประหารชีวิต เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๘
Amitav Ghosh เขียนเกี่ยวพันถึงการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ผ่านการ "คิดสะท้อน" ของพระเจ้าสีป่อ โดยยกชะตาชีวิต-ชะตาชาติตัวเองเปรียบเทียบ ดังนี้
มีการตัดสินอนุญาตให้ส่งหนังสือพิมพ์จากบอมเบย์ไปยังเคหาสน์เอาท์แรม พร้อมกับเที่ยวเรือขนส่งเนื้อหมูของพระเจ้าสีป่อ หนังสือพิมพ์ปึกแรกอ่านพบรายงานข่าวที่ทำให้จิตใจจดจ่อหมกมุ่น มันคือข่าวบรรยายการเสด็จประพาสยุโรปของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์แห่งกรุงสยาม" นับเป็นครั้งแรกที่พระราชวงศ์เอเชียเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ การเสด็จประพาสกินเวลานานหลายสัปดาห์ และตลอดช่วงเวลานั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดครอบงำความสนพระทัยของพระเจ้าสีป่อได้อีกเลย
ที่กรุงลอนดอน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์ประทับ ณ พระราชวังบัคกิงแฮม พระองค์ทรงรับการถวายการต้อนรับสู่ออสเตรียโดยสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ทรงรับการถวายพระราชไมตรีโดยกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ณ กรุงโคเปนเฮเกน และประธานาธิบดีฝรั่งเศสถวายพระราชทานเลี้ยง ณ กรุงปารีส ที่ประเทศเยอรมนี พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์ม ทรงยืนคอยรับเสด็จที่สถานีรถไฟ จนกระทั่งขบวนรถไฟพระที่นั่งของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์" แล่นเข้าเทียบ พระเจ้าสีป่อทรงอ่านรายงานข่าวครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งทรงจดจำขึ้นพระทัย
เพียงมินานมานี้ที่ พระเจ้าอลองพญา ผู้ทรงเป็นสมเด็จทวดของพระเจ้าสีป่อ และพระเจ้าพะคยีดอ ผู้ทรงเป็นสมเด็จปู่ กรีธาทัพรุกรานสยาม บดขยี้กองทัพอยุธยา ปลดกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ และปล้นสะดมกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของสยาม ผลภายหลังคือ ผู้มีบรรดาศักดิ์ซึ่งถูกปราบพ่ายแพ้เลือกพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ บางกอกกลายเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ต่อมา มันเป็นเพราะพระเจ้าแผ่นดินพม่า เพราะบรรพกษัตริย์ของพระเจ้าสีป่อ เพราะพระราชวงศ์คองบอง สยามจึงได้มีพระราชวงศ์ปัจจุบันและกษัตริย์ผู้ครองแผ่นดิน
วันหนึ่งพระเจ้าสีป่อรับสั่งกับเหล่าพระราชธิดาว่า 'เมื่อครั้งที่บรรพกษัตริย์ของเรา พระเจ้าอลองพญาผู้เกรียงไกร ทรงยกทัพรุกสยาม พระองค์มีพระราชสาสน์ถึงพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา' พระราชสาสน์ฉบับคัดลอกเก็บอยู่ที่หอจดหมายเหตุในพระราชวัง กล่าวใจความว่า
"หาได้มีความเป็นคู่ขันแข่งในพระเกียรติยศและบุญญาธิการระหว่างเราทั้งสองไม่ การวางพระองค์เทียบข้างพวกหม่อมฉัน เป็นการเปรียบพญาครุฑของพระวิษณุกับนกนางแอ่น พระอาทิตย์เปรียบกับหิ่งห้อย พฤกษเทวดาแห่งสรวงสวรรค์เปรียบกับไส้เดือนดิน พญายูงทอง ธตรัฏฐะ เปรียบกับแมลงเสพคูถ"
นั่นเป็นวาจาที่บรรพกษัตริย์ของเราตรัสกับพระเจ้ากรุงสยาม ทว่าบัดนี้ พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบัคกิงแฮม ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบอยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้.......
ครับ..บุญญาบารมี และพระบรมเดชานุภาพด้วยพระเกียรติก้องแห่ง "พระมหากษัตริย์ไทย" เป็นฉันใด อยู่เหนือการลบหลู่ และผู้คิดล้มล้างจะมีผลฉันใด แม้ในประวัติศาสตร์พม่าเองยังต้องยอมรับ
ผู้ที่รุกรานสยาม บดขยี้กองทัพอยุธยา ปล้นสะดมกรุงศรีอยุธยา ปลดกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ ผลที่ตัวเองต้องได้รับ ก็ดังคำสารภาพของนักโทษประหาร "พระเจ้าสีป่อ" นั่นแหละว่า
"พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบักกิงแฮม ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบอยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้"!

Ref. : http://www.thaipost.net/news/231010/29081






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 124.122.16.58 จันทร์, 25/10/2553 เวลา : 22:38  IP : 124.122.16.58   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101438

คำตอบที่ 74
      

fiogf49gjkf0d
คนกรุงเตรียมใจรับเมืองใต้บาดาล ทาง 2 แพร่งอนาคตกรุงเทพฯย้ายเมืองหลวง - สร้างเขื่อนยักษ์

- กทม.รับไม่ถึง 10 ปีมหานครกรุงเทพฯจมน้ำ
- บางขุนเทียนรูโหว่ใหญ่น้ำทะเลทะลักท่วมทุกเขต
- เผยเบื้องลึกไทยยังไร้โรดแมปแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
- ภัยน้ำจะรุนแรงขึ้นทุกปีเดือดร้อนทั้งประเทศ

คำทำนายทั้งจากหมอดูและนักวิชาการ ที่ออกมาระบุว่า กรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทยจะจมน้ำภายใน 10 ปี กำลังจะเป็นความจริงแล้ว ล่าสุด “นายพรเทพ เตชะไพบูลย์” รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์”และยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นความจริง!

ก่อนหน้านี้สถาบันเวิลด์วอทช์ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ศึกษาวิจัยด้านสภาพแวดล้อมทั่วโลก พบว่า เมืองชายฝั่งทะเล 21 แห่งจากทั้งหมด 33 แห่งทั่วโลก กำลังเผชิญกับอันตรายจากระดับ น้ำทะเลที่สูงขึ้นและพิบัติภัย โดยเฉพาะเมืองใหญ่ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกรุงเทพมหานคร ติดโผเมืองใหญ่ที่มีความเสี่ยงสูง คือ ระดับ 5 ที่จะเกิดภัยธรรมชาติ เนื่องจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม และเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน

ข้อมูลดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการชื่อดังไม่ว่าจะเป็น “สมิทธ ธรรมสโรช” ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ , “ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา” นักวิทยาศาสตร์, “ พิจิตต รัตตกุล” ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center-ADPC ) และนักวิชาการอีกหลายท่าน ซึ่งทุกคนเห็นพ้องและพยากรณ์ตรงกันว่าอีกไม่เกิน 10 ปีเมืองหลวงของประเทศไทยจะกลายเป็น “มหานครใต้บาดาล”

“ทั้งหมดเป็นสิ่งที่คาดการณ์ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันกับเรา ก็อยู่ที่ว่า มันจะเป็น 10 ปีกว่ามันจะจมหรือมากกว่านี้ ตอนนี้เรายังไม่เห็นภาพชัดเจน เพราะเราดูดน้ำออกมาได้ตลอด และเรายังมี คิงไซส์ หรือ แนวกันน้ำ ระดับ 2.50 เมตรรองรับอยู่” พรเทพ บอก

รายงานจาก กทม.ระบุว่า ปัจจุบันที่ดินครึ่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล และอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในลักษณะที่ปริ่มน้ำ ซึ่งพรเทพ ระบุว่า สาเหตุหลักของเรื่องนี้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก นั่นคือ การทรุดตัวลงของดินในกรุงเทพฯ ปีละ 2 ซม.เนื่องจากการดูดน้ำบาดาลไปใช้ไม่ต่ำกว่าพันบ่อต่อวัน และระดับน้าทะเลที่เพิ่มขึ้นปีละ 1 ซม. ทั้งหมดนี้ก็รวมเป็น 3 เซนติเมตร ซึ่งเป็นอัตราปรกติ

แต่สิ่งที่น่าวิตกก็คือ ข้อมูลที่รองผู้ว่าฯ กทม.ที่ดูแลเกี่ยวกับการป้องกัน และ แก้ปัญหาน้ำท่วมเปิดเผยมาตรงๆ ว่า ความเชื่อที่ว่า แนวกันน้ำจะป้องกันน้ำไหลบ่าจะสามารถรองรับไปได้อีก 20 ปีนั้นเป็นข้อมูลที่ล้าสมัยไปแล้ว

“จากภาวะโลกร้อน ได้กลายเป็นตัวเร่งให้ระดับน้ำเพิ่มมากขึ้น 40% ยกตัวอย่าง เดิมที่เราคาดว่ากันว่า ฝนจะตกในเดือนนี้ 180 มิลลิเมตร แต่ความจริงตกถึง 210 มิลลิเมตร หรือทั้งปีน่าจะตกแค่ 1,400 มิลลิเมตร แต่วันนี้มันตก 1,800 มิลลิเมตร มันทำให้ผมเป็นห่วงแนวกั้นน้ำ อย่าว่า 20 ปีเลย แค่ 10 ปีจะรองรับถึงหรือเปล่า เพราะระดับน้ำขึ้นไปอยู่ที่ 2.20 เมตรแล้ว”

บางขุนเทียน
รูโหว่น้ำทะลัก

รองผู้ว่าฯ กทม. ชี้ว่า ช่องโหว่ที่จะทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นนครใต้บาดาล ก็คือ “บางขุนเทียน” ซึ่งมีการกัดเซาะจากน้ำทะเลไปรวดเร็วเกินกว่าที่คาดคิดไว้

“คุณเชื่อไหม วันนี้น้ำทะเลกัดเซาะแผ่นดินไปกว่า 300 ตร.กม.แล้ว และเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเราพยายามจะรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ คือ การคืนสภาพป่าชายเลนแต่ก็ไม่ได้ผล”

พรเทพ บอกว่า ปัญหาใหญ่และอุปสรรคสำคัญที่เขาประสบในการสกัดกั้นการรุกคืบของน้ำทะเลจากอ่าวไทยก็คือ เอ็นจีโอและกลุ่มคนที่มีแนวคิดอนุรักษ์ธรรมชาติ เขาเปิดเผยว่า กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับแนวทางหรือเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะหยุดการไหลบ่าจากน้ำทะเล ไม่ว่าจะเป็นการทำคิงไซส์ การสร้างเขื่อน หรือวิธีอื่นๆ เพราะมองว่าจะไปทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

...และวิธีเดียวที่เอ็นจีโอเหล่านี้เห็นด้วย ก็คือ การทิ้งวัสดุที่เหลือใช้ ไม่ว่าจะเป็น หิน ยาง หรือ เอาเสาไปปัก เพื่อทำให้เกิดการสะสมของดินตะกอน ซึ่งนำไปสู่การเกิดขึ้นของป่าชายเลน

“วิธีเหล่านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล เพราะเรามาทำตั้งแต่ปี 2523 แต่ก็หยุดการเพิ่มของระดับน้ำไม่ได้ เพราะสู้ธรรมชาติไม่ไหว ถ้าเราจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ก็ต้องย้ายเมืองหลวง เอามั้ย หรือไม่ ก็สร้างเขื่อนมี 2 ทางเลือก ถ้าไม่ทำทุ่งครุ และกรุงเทพฯ จะอยู่ใต้น้ำแน่นอน” เขาระบาย

จับตาฮอลแลนด์โมเดล

พรเทพ บอกว่า โมเดลของประเทศฮอลแลนด์ ที่จัดการกับปัญหาระดับน้ำทะเลเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในขณะนี้ เพราะประเทศฮอลแลนด์เป็นประเทศที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แต่ประชาชนก็ไม่เดือดร้อน

“ผมเพิ่งไปฮอลแลนด์มา ในที่สุดเขาก็ต้องสร้างเขื่อนขึ้นมากั้นเลย แล้วทำสถาบันสัตว์น้ำ จะเพาะปลา ปู ป่าโกงกางก็ทำไป เพราะถ้าใช้วิธีเดิมยังไงก็สู้ธรรมชาติไม่ได้ ไม่ว่าจะทุ่มเงินไปกี่หมื่นล้านบาทก็ตาม นักอนุรักษ์ควรปรับเปลี่ยนวิธีคิด ถ้าต้องการรักษาชีวิตคน รักษาบ้านคน ก็ต้องทำเขื่อนกั้นน้ำขึ้นมา”

แนวคิดโดยส่วนตัวของพรเทพนั้น เขาต้องการสร้างเขื่อนยักษ์แนวปากน้ำ ตั้งแต่บางขุนเทียน ปากน้ำ ไปจรดสมุทรปราการ ซึ่งจะมีความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านบาท โดยรัฐจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ

“ประเทศฮอลแลนด์ ยังทำเขื่อนทั้งประเทศ ทำเป็นภูเขากั้นน้ำขึ้นมาเลย ต่ไม่แนในอนาคตอาจจะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ขึ้นมาที่ดีกว่านี้ก็ได้”

ทั้งนี้ แนวคิดการสร้างเขื่อนยักษ์ของพรเทพนี้ ได้มีการถกเถียงและประชุมหลายครั้ง โดยมีคณะกรรมาธิการหลายชุดจากสภากรุงเทพมหานคร และมีหลายโปรเจกต์แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนเท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม พรเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันน้ำท่วมไม่เพียงการสร้างเขื่อนเท่านั้น แต่ก ทม.กำลังการวางผังเมืองใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้ในปีหน้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำ

“ผังเมืองใหม่ที่อยู่ระหว่างจัดทำนี้ จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดว่า เราจะหนีน้ำท่วม ฝนตกได้อย่างไร จะมีแหล่งรับน้ำอย่างไร จะมีควบคุมการเจริญเติบโตอย่างไร ที่สำคัญผังเมืองใหม่จะช่วยเรื่องโลกร้อน เรื่องฝนตก เรื่องน้ำท่วมขัง ตรงไหนสูงต่ำ เราจะจำกัดความเจริญอย่างไรไม่ให้กั้นทางน้ำไหล คาดว่า เดือนพฤษภาคมปีหน้านี้จะประกาศใช้ได้”

ด้าน “รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์” กรรมการภูมิศาสตร์โลก และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้กับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ว่า รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีสร้างคันกั้นน้ำ เพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุน โดยสามารถเลือกสร้างได้ทั้งคันดินสีเขียวเพื่อปลูกต้นไม้ หรือสร้างคันเป็นถนนสำหรับรถวิ่งลักษณะเดียวกับประเทศเวียดนามที่ก่อสร้างไปแล้วเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร

ถ้าจะให้รถวิ่งได้ ประเด็นคันดินต้องกั้นน้ำทะเล พอเราถมคันดินแล้วต้องมีป่าชายเลน การออกแบบก็แล้วแต่ หลายวัตถุประสงค์ คาดว่างบประมาณที่ใช้จะอยู่ที่หลักหมื่นล้านบาท ทั้งนี้ไม่ได้รวมค่าเวนคืน ค่าก่อสร้าง 80 กม. บางขุนเทียน สมุทรปราการ ถึงสมุทรสงคราม

ส่วนทางออก สำหรับน้ำเหนือ ต้องหาพื้นที่ให้น้ำอยู่ เป็นที่พักน้ำ ในบริเวณแถวภาคกลาง ไม่สามารถสร้างเขื่อน ระดับน้ำทะเล อาจจะต้องหาพื้นที่สร้างเขื่อนดินเป็นต้น ประสบการณ์จากเนเธอร์แลนด์ นั้นจะเป็นในลักษณะป้องกันต้องทำคันดินยกสูงขึ้นมา 5 เมตร พื้นที่ไหนที่เหมาะก็ทำคันดินไม่ให้น้ำทะเลเข้ามา

ขณะที่ สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้ให้มุมมองถึงการรับมือกับสภาวการณ์น้ำท่วมบริเวณที่ลุ่มตามชายฝั่งทะเลของประเทศไทย รวมทั้งพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่า การสร้างเขื่อนปิดปากอ่าวเป็นวิธีที่ดีที่สุด รูปแบบต้องเป็นเขื่อนคอนกรีตสูงประมาณ 5 เมตรยาวประมาณ 100-200 กิโลเมตร ตั้งแต่นนทบุรีไปถึงปากคลองประปา เพราะน้ำทะเลจะหนุนไปถึงคลองประปา

ควรสร้างวิ่งเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาตลอดไปถึงสมุทรปราการ อ้อมไปถึงบางปะกง ส่วนอีกด้านหนึ่ง สร้างจากฝั่งธนบุรี อ้อมมาถึงพระประแดง ไปสมุทรสาคร สมุทรสงคราม หากทำเขื่อนคอนกรีต รถจะสามารถวิ่งบนเขื่อนได้ รวมทั้งตรงปากแม่น้ำทำทางให้เรือสามารถลอดผ่านได้ มีช่องทางระบายน้ำ ซึ่งจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 1 แสนล้าน-2 แสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเขื่อนรูปแบบใด

การสร้างเขื่อนในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ อาทิ เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ที่สำคัญการสร้างเขื่อนในลักษณะเช่นนี้ จะมีที่เก็บน้ำในลักษณะของแก้มลิงตามแนวพระ ราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะเป็นที่เก็บน้ำ สำรองไว้ใช้ในงานเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งอยู่ระหว่างชายฝั่งกับแนวเขื่อน

“ในขณะนี้ที่ประเทศสิงคโปร์ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก โดยคณะวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์สัตว์น้ำเขตร้อนชื้นของ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ จะใช้เวลาในช่วง 2 ปีข้างหน้าศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพบรรยากาศโลก พร้อมตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไปในปี 2503 เพื่อศึกษาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการแล้ว”

ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติกล่าวต่อว่า หากสร้างเขื่อนที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีความคดเคี้ยว จะทำให้ระยะทางของเขื่อนมีความยาวมากและมีการก่อสร้างที่ลำบาก เพราะดินส่วนใหญ่เป็นดินเลน แต่การก่อสร้างเขื่อนบริเวณปากอ่าวไทยจะทำได้ง่าย กว่า เนื่องจากลักษณะของพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นดินทราย สามารถตอกเสาเข็มลงไปได้ ทำให้เขื่อนมีความแข็งแรงทนทาน

เขื่อนนี้นอกจากจะเป็นการกั้นน้ำทะเลไม่ให้ไหลเข้ามาแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้อีกด้วย โดยรถที่วิ่งมา จากด้านตะวันออกต้องการลง ภาคใต้จะไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯ สามารถวิ่งข้ามเขื่อนเพื่อเดินทางลงใต้ได้เลย เป็นการย่นระยะเวลาในการเดินทางได้ประมาณ 100 กิโลเมตร

การสร้างเขื่อนปิดปากอ่าวจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตั้งรับ สามารถจะป้องกันน้ำท่วมในหลาย ๆ จังหวัดได้ ตั้งแต่จังหวัดสมุทร ปราการ สมุทรสาคร สมุทร สงคราม ไปจนถึงบางปะกง ถ้ามีการสร้างกั้นเฉพาะกรุงเทพฯ ก็จะไปท่วม จ.สมุทรปราการไปจนถึงบางปะกง จากนั้นน้ำก็จะไหลย้อนกลับมาเกิดเป็นปัญหาเดิม ๆ เกิดขึ้นอีก

“ถ้ามีการกั้นน้ำที่ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นจะไม่สามารถป้องกันได้อย่างถาวร เพราะน้ำจะไปท่วมฝั่งธนบุรี พระประแดงแทน แล้วไหลย้อนกลับมา รวมทั้งการสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นจะบดบังทัศนียภาพของโรงแรมและ บ้านเรือนของประชาชน ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นได้ และต้องเวนคืนที่ดินอีกด้วย”

ชี้จมนาน 2 เดือน
แถมคนกรุงขาดน้ำจืด

หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมไม่ย้ายเมือง เพราะการย้ายเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และเวลานานมาก เนื่องจากในกรุงเทพฯ มีโบราณสถาน และสถานที่สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก การจะย้ายวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดสุทัศน์ สถานศึกษา มหาวิทยา ลัยจะย้ายไปตั้งไว้ที่ใด หากมีการทำกำแพงกั้นโบราณสถาน สถานที่ราชการ โรงเรียน โรง แรม โรงพยาบาล ก็ไม่สามารถดำเนินการได้โดยง่าย และภูมิทัศน์ไม่สวยงาม ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบยั่งยืนที่นักวิชาการหลายคนเห็นตรงกันก็คือ “ต้องสร้างเขื่อน”

ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวเตือนว่า หากไม่เร่งทำตอนนี้ ปล่อยรอให้ใกล้ ๆ เมื่อน้ำทะเลหนุน เข้ามาสูงขึ้นเรื่อย ๆ จะสร้างไม่ทันและความเสียหายจะเกิดขึ้นได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ ระบบ เศรษฐกิจจะหยุดชะงักหมด กรุงเทพฯจะค่อยๆ จมน้ำไปเรื่อย อีกทั้งน้ำจืดก็จะไม่มีกิน เพราะน้ำทะเลจะหนุนเข้าไปในคลองประปา ทำให้น้ำประปามีรสเค็มกลายเป็นน้ำกร่อย ผู้คนเป็นล้านจะไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้ เวลาน้ำเหนือลงมาปะทะกับน้ำทะเลที่ท่วมอยู่แล้วก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งอาจจะท่วมมากกว่า 2-3 เมตร ก็เป็นได้

“อยากให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับคนหลายสิบล้านคน อย่าวางใจ ชะล่าใจ ต้องรอให้เกิดวิกฤต ก่อนแล้วจึงคิดแก้ไข รัฐจะต้องมีนโยบายเป็นโครงการระดับชาติ มีการดำเนินการต่อเนื่องกันในหลายๆ รัฐบาล เพราะการสร้างเขื่อนต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 5-8 ปี”

รศ.ดร.เสรี กรรมการภูมิศาสตร์โลก และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเสริมว่า ก่อนหน้านี้ธนาคารโลกเคยนำเสนอปัญหาดังกล่าวต่อรัฐบาลไทยแล้ว เพราะที่ประชุมคณะกรรมการภูมิศาสตร์โลกมองว่ามีความเสี่ยงสูง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ความนิ่งเฉยของรัฐบาลไทย ทั้งนี้เราไม่สามารถรู้ได้ว่าน้ำจะท่วมเมื่อใด

หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงคาดว่าระดับน้ำที่ท่วมจะสูงถึง 1-2.5 เมตร สูงต่ำตามระดับพื้นดิน โดยจะรุนแรงมากในพื้นที่ฝั่งตะวันตก ฝั่งธนบุรี เขตคลองเตยจนถึงบางแค สำหรับฝั่งพระนครจะท่วมถึงบริเวณสวนหลวง ร.9 เพราะฉะนั้นประชาชนชาวกรุงเทพฯ ควรเรียกร้องให้รัฐบาลและเขตการปกครองท้องถิ่นตระหนักถึงปัญหาตรงจุดนี้ เพื่อเร่งสร้างคันกั้นน้ำให้เร็วที่สุดเพราะการก่อสร้างต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี หากเราลงมือทำกันจริงๆ วันนี้ก็ยังแก้ปัญหาทันอยู่ เพียงแต่เรายังไม่เริ่มเท่านั้น

“โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าหากไม่ทำอะไรเลยไม่ถึง 10 ปีกรุงเทพฯ จมน้ำแน่นอน และถ้าจมน้ำไม่ใช่แค่ 3-4 วันแต่จะเป็นเดือนถึงสองเดือนด้วยซ้ำ แต่ปีนี้คิดว่ากรุงเทพฯ ไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะเขื่อนดินที่อ่างทาง อยุทธา สิงหบุรี มันแตกหมดแล้ว น้ำเลยไหลเข้าทุ่ง คนกรุงเทพฯ เลยรับอานิสงส์ เพราะปริมาณน้ำจะผ่านไหลเข้าทุ่งไปหมด”

ไทยไร้กรอบชัดเจน
แก้ไขปัญหา “น้ำ”

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่ทวีความรุนแรงขึ้นและกระจายไปในหลายจังหวัดของประเทศนั้น แม้ที่ผ่านมาจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาและหาแนวทางป้องกันต่างๆ แต่ก็ยังไม่มีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจนและไม่มีใครกำหนดการทำงานที่ชัดเจน

“ประเทศไทยขาดความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำตลอดมา” เป็นคำกล่าวของ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการอุทกภัย ซึ่งในความเป็นจริงนั้นแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต่างก็มีแผนแต่ไม่เคยนำมาเชื่อมโยงกันออกมาเป็นแผนรองรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

ในภาพใหญ่ของการแก้ไขปัญหาในระยะยาว อภิรักษ์ กล่าวว่าแผนระยะยาวต้องพิจารณาใน 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบทั้งประเทศ 2.การทำเรื่องของโครงการแก้มลิง เพื่อรับสถานการณ์ในช่วงน้ำมาก 3.การดูแลและติดตามเรื่องของปัญหาโลกร้อน เรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ ป่าต้นน้ำ และ 4.การเข้มงวดเรื่องของการวางผังเมือง

ทั้งนี้ ในส่วนของกรุงเทพฯ กรมทรัพยากรธรณีและธรรมชาติ กรมชลประทาน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะต้องมาสำรวจหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ เกี่ยวกับน้ำที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบบนมาตรการที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปลูกป่าชายเลนเพิ่ม การสร้างแนวกั้นน้ำในพื้นที่เสี่ยงต่างๆ รวมถึงเรื่องการจัดระเบียบใหม่ของผังเมือง เนื่องจากที่ผ่านมามีการละเมิดกฎข้อห้ามของผังเมืองในจุดพื้นที่รับน้ำ จนทำให้ปิดกั้นเส้นทางน้ำไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ

“ต่อไปนี้ทุกหน่วยงานต้องลงมาดูในภาพรวมทั้งหมดรวมกันเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระดับชาติไม่ใช่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น”

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันนี้ทางศูนย์ฯ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นจะเป็นเสมือนจุดที่จะประสานการทำงานกับทุกๆ หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกรมชลประทาน กรมการป้องกันภัย ตัวแทนภาคเอกชนและภาคประชาชน โดยจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลของแต่ละภาคส่วนเข้ามาในจุดนี้ นอกจากนี้จะมีการปรับหมายเลข 1111 ให้ใช้สำหรับการโทร.แจ้งเหตุ ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับน้ำท่วม มีการเปิดเบอร์ SMS 4567891 และจะมีการเชื่อมโยงเครือข่ายออนไลน์เว็บไซต์ www.pm.co.th/flood กับเว็บไซต์ www.thaiflood.com ของเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชน รวมถึงการประสานงานกับสื่อมวลชนทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ ในการให้ข้อมูลความเดือดร้อนของประชาชน

สิ่งที่รัฐบาลต้องการมากที่สุดคือเรื่องข้อมูลที่แม่นยำถูกต้องรวดเร็ว เนื่องจากต้องการที่จะแจ้งเดือนภัยให้กับประชาชนได้ระวังตัวและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ได้ล่วงหน้า

อภิรักษ์ ระบุถึงสถานการณ์ขณะนี้ทางศูนย์ได้แบ่งออกเป็น 3 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูล และลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยมีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยทั้งหมด 25 จังหวัด แบ่งเป็นภาคกลาง 10 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ภาคเหนือ 5 จังหวัด และภาคตะวันออก 3 จังหวัด มีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนแล้วมากกว่า 8 แสนครัวเรือน มีผู้ที่เดือดร้อนรวมมากกว่า 2,500,000 ราย

ปัญหาใหญ่ในขณะนี้คือการเฝ้าจับตาสถานการณ์เพื่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง เนื่องจากหากไม่มีฝนตกหนักมาในช่วงนี้เพิ่ม และมีการควบคุมการปล่อยน้ำจากเขื่อนต่างๆ โดยกรมชลประทาน เชื่อว่าสถานการณ์น้ำท่วมในแต่ละพื้นที่จะดีขึ้น แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องอาจมีความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ว่าจะเป็นอยุธยา ปทุมธานี ลพบุรี นนทบุรี รวมทั้งพื้นที่ของกรุงเทพฯ ที่จะมีวันที่จะต้องเฝ้าระวังมากที่สุดอีกหนึ่งวันคือวันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 ที่จะถึงนี้ด้วย

ในหลวงรับสั่งหน่วยงาน
ต้องคิดแก้ปัญหาตรงกันก่อน

จากปัญหาน้ำท่วมหนักในหลายพื้น ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งผ่าน ดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ว่าเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เพราะฝนมากและตกผิดที่ผิดเวลา รวมทั้งตกลงมาพร้อมกันทั้งเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน และในทุกพื้นที่ที่เคยเป็นที่รับน้ำหรือแก้มลิงก็มีปริมาณน้ำฝนตกค้างในพื้นที่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ระบายน้ำทำได้ลำบากกว่าทุกปี

นอกจากนี้การสั่งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลยังทำได้ไม่เต็มที่ในระดับนโยบาย การสั่งงานเป็นไปแบบกระจัดกระจายไม่มีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ใดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการสั่งการลงไปในระดับท้องถิ่นที่ยังมีปัญหาความต่อเนื่องของข้อมูลจากต้นสังกัด

ดร.รอยล กล่าวว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ควรจะตั้งทีมเฉพาะกิจระดับชาติที่มีทุกหน่วยงานมาบูรณาการเรื่องการตั้งรับและระบายน้ำออกจากพื้นที่หลักให้ทันท่วงทีมากขึ้น เพราะปริมาณน้ำจำนวนมากต้องมีเจ้าภาพหลักในการสั่งการตลอดเวลา

ทักษิณเสนอแนวคิด
แก้ปัญหาน้ำท่วม

คณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยซึ่งหนักหน่วงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยได้ส่งจดหมายเปิดผนึกซึ่งเขียนด้วยลายมือ พ.ต.ท.ทักษิณ ลงวันที่ 26 ต.ค. ถึง ส.ส.และว่า ที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย เนื้อหาว่า หลังจากฝากนโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจไปให้ท่านเผยแพร่กับพี่น้องประชาชนไปแล้ว 3 ข้อ เข้าใจว่า ยังวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร ผมขอยืนยันว่าผมให้ทีมิดและคำนวณดูแล้วทำได้อย่างแน่นอน มีงบประมาณข้อที่ผมยังไม่เปิดเผยเพราะกลัวการลอกเลียนแบบผิดๆ

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังระบุว่า “วันนี้ ผมอยู่บนเครื่องบินและทราบข่าวน้ำท่วมบ้านเราเสียหายและเดือดร้อนกันมากมายรวมทั้งมีผู้เสียชีวิตด้วย ทำให้ผมต้องใช้เวลาคิดเรื่องนโยบายป้องกันน้ำท่วมขึ้นมาแซงนโยบายเศรษฐกิจก่อน”

โดยขอให้เป็นนโยบายพรรคเพื่อไทยดังนี้ 1.สร้างเขื่อนและประตูกันน้ำทะเลหนุนและประตูเพื่อระบายน้ำลงทะเลรอบกรุงเทพฯ สมุทรปราการ พร้อมเพิ่มพื้นที่เขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ โดยไม่ต้องกู้เงิน 2.สร้างแก้มลิงตามแนวพระราชดำริตามแนวบริเวณที่ลุ่มของแม่น้ำสายหลักทั่วประเทศรวมทั้งแม่น้ำโขงเพื่อกักน้ำไว้เวลาน้ำมาก เรียกว่าเบรกน้ำและเก็บไว้ใช้ยามน้ำน้อย และไม่ต้องกู้เงิน 3.ขุดเชื่อมแม่น้ำสายหลักที่ไม่ไกลกันมากเห็นๆกันเหมือนที่เคยทำแล้วโดยเชื่อมแม่น้ำยมเข้ากับแม่น้ำน่านทำให้สามารถผันน้ำไปมาตามปริมาณน้ำได้ 4.สร้างป่าชุมชนขึ้น/หมู่บ้าน/ป่าชุมชนเพื่อเกิดพื้นที่ชุ่มน้ำมากขึ้น และ 5.พื้นป่าต้นน้ำ ปลูกหญ้าแฝกกันดิน (Soil Erosion) ตามแนวพระราชดำริ

ยกน้ำท่วมปัญหาชาติ
หน่วยงานเดียวรับไม่ไหว

มุมมองของ อิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่าปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงวันนี้ต้องมีการวางแผนระยะยาวเพื่อรับมือ โดยต้องมองว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่เกินความสามารถของหน่วยงานอย่างกรมชลประทานที่จะรับภาระได้ แต่ทุกหน่วยงานต้องกำหนดแนวทางที่จะต้องทำงานร่วมกัน และไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาของเมืองใดเมืองหนึ่งที่ต้องแก้ไขปัญหา เพราะการแก้ไขเพียงหนึ่งหรือสองเมืองนั้น จะส่งผลกระทบต่อเมืองที่ติดกันทำให้เกิดปัญหาลูกโซ่ไม่จบสิ้น

ขณะนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้กระทบไปในหลากหลายธุรกิจ ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผู้ซื้อบ้านต่อชะลอการตัดสินเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ค่อนข้างมาก ยิ่งผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมาหลังจากน้ำท่วมนั้นเป็นสิ่งที่รัฐจะต้องเข้ามาดูแล ทั้งเรื่องของอาหารแพง เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย เรื่องของการเกษตรและอื่นๆ

อย่างไรก็ตามการที่รัฐจะเข้ามาดูแลเรื่องของผังเมืองมากขึ้นหลังจากน้ำลดนั้น อิสระ มองว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ทำธุรกิจตามกฎระเบียบของราชการอยู่แล้วไม่มีปัญหา เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการจะรู้ว่าพื้นที่ไหนสามารถจัดสรรเป็นที่อยู่อาศัยได้ และไม่กระทบต่อเส้นทางน้ำไหลและไม่กระทบกับพื้นที่รับน้ำ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากโครงการที่อยู่อาศัยที่จัดสรรไม่ถูกกฎหมายมากกว่า

หากรัฐจะลงมาดูแลเรื่องของผังเมืองในอนาคตอย่างเข้มข้น ต้องไม่โฟกัสเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯเท่านั้น แต่ต้องดูพื้นที่ปริมณฑลรอบกรุงเทพฯด้วย เนื่องจากวันนี้ต้องคำนึงว่าพื้นที่ปริมณฑลที่ถูกการขยายตัวของคนเมืองหลวงออกไปนั้นจะรับกับสถานการณ์อุทกภัยไหวหรือไม่

ที่ผ่านมาการคุมเข้มเรื่องของผังเมืองกรุงเทพฯ ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และผู้บริโภค ในการหาที่อยู่อาศัยในเมืองสำหรับครอบครัว ทำให้ปัจจุบันครอบครัวขนาดเล็กที่มีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยระดับล้านต้นๆ สามารถซื้อได้เฉพาะคอนโดมิเนียมเท่านั้น ไม่สามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์ หรือบ้านเดี่ยวได้ เนื่องจากราคาเริ่มต้นตั้งแต่สามล้านบาทขึ้นไป

“การแก้ไขปัญหาของภาครัฐจะต้องคำนึงถึงคนชั้นกลางด้วยว่าต่อไปในอนาคตชีวิตเขาจะอยู่ในเมืองได้อย่างไร”

อิสระ กล่าวว่าในช่วงภาวะน้ำท่วมในปัจจุบันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย เนื่องจากผู้บริโภคจะได้เห็นพื้นที่ต่างๆ ที่มีทั้งน้ำท่วมและไม่ถูกน้ำท่วม ซึ่งจะทำให้สามารถตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยได้ถูกต้องยิ่งขึ้น และไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์น้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปี

น้ำท่วมโลก วิกฤตการณ์แห่งปี
ยุโรป เอเชีย สูญเสียมหาศาล!!!

ปรากฏการณ์แห่งปีสำหรับโลกที่ไม่ปรากฏบ่อยนกทั้งปีเต็มไปด้วยสภาพ “ฝนตกหนักและน้ำท่วม” ครั้งรุนแรง ทั้งยุโรปและเอเชียปีนี้ หลายประเทศ เช่น โปรตุเกส โปแลนด์ ฮังการี เยอรมัน สโลวะเกีย เซอร์เบีย ยูเครน อเมริกา แคนาดา เม็กซิโก ลัตเวีย ออสเตรเลีย อียิปต์ เกาหลีเหนือ ปากีสถาน อินเดีย จีน และล่าสุดไทย รวม 18 ประเทศที่ในปีนี้ต่างเผชิญความเดือดร้อนและความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สินอย่างมากมายมหาศาล จนกลายเป็นประเด็นวิกฤตของประเทศไปถ้วนหน้า

รายงานอุตุนิยมวิทยาระบุว่า บางประเทศเช่น ในยุโรปทั้งออสเตรีย เยอรมัน ฮังการี โปแลนด์ ลัตเวีย ยูเครน สโลวะเกีย ต้องเผชิญกับสภาวะน้ำท่วม เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ทวีปยุโรปกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็เป็นสิ่งท้าทายอย่างยิ่งต่อความพยายามที่จะหลุดพ้นจากวิกฤตการณ์เหล่านี้

นอกจากนี้ ออสเตรเลีย ซึ่งโดยปรกติจะมีฝนน้อย แต่ปรากฏว่าปีนี้รัฐวิกตอเรียมีฝนมากผิดปรกติ ทำให้เกิดน้ำท่วมจนก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ประเทศเม็กซิโก แคนาดา และสหรัฐอเมริกาก็เช่นกันที่ประสบกับฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่มในปีนี้

น้ำท่วม ภัยร้ายแห่งปีของเอเชีย

อีกทั้งน้ำท่วมปีนี้ได้ส่งผลกระทบพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง เอเชียบางประเทศ เช่นปากีสถาน มีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิต ประชาชนหลายพันคนและพื้นที่บริเวณกว้างได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยที่ Swat Valley ประชาชนกว่า 9 แสนคนต้องย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย พืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าว ข้าวสาลี อ้อย และยาสูบเสียหาย อีกทั้งร้านค้ารวมถึงถนนหนทางและสะพานถูกกระแสน้ำพัดพาเสียหายทั้งสิ้น ประชาชนต้องการอาหารและที่พักชั่วคราวอย่างเร่งด่วน ก่อนที่สภาพอากาศหนาวอันเลวร้ายจะมาเยือน

สำหรับอินเดียซึ่งไม่เคยประสบกับปริมาณฝนที่สูงมากส่งผลกระทบต่อหลายรัฐในช่วงเวลาเดียวกันมาก่อน แต่ปีนี้ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็จะพบเห็นแต่ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม พืชผลการเกษตรเสียหาย บ้านเรือนถูกน้ำพัดพา ในเมืองเดลี แม่น้ำยมนาซึ่งปรกติจะค่อนข้างแห้งขอด มีน้ำน้อย แต่ปรากฏว่าปีนี้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร ประชาชนจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน

รวมถึงในอีกหลายรัฐของอินเดียก็ประสบกับปัญหาน้ำท่วมหนัก มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ราษฎรถูกอพยพออกนอกพื้นที่เพื่อบูรณะฟื้นฟูจากความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการที่หลายชีวิตต้องสูญเสีย บ้านเรือนถูกน้ำพัดพา ถนนหนทาง โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไฟฟ้า โทรศัพท์ พืชผลและพื้นที่การเกษตรได้รับผลความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารและที่พักอาศัย อีกทั้งเริ่มมีการระบาดของโรค

ส่วนเกาหลีเหนือ ฝนที่ตกหนักอย่างรุนแรงก่อให้เกิดดินถล่มปิดถนนหนทาง บ้านเรือน โรงเรียน และพืชผลการเกษตรต้องถูกฝังกลบอยู่ภายใต้กองโคลน นอกจากนี้จีนก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ประสบกับสภาวะน้ำท่วมรุนแรงในรอบทศวรรษ สร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน พืชผลทางการเกษตร และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย

ไทย วิกฤตการณ์รุนแรงในรอบสิบปี

สำหรับประเทศไทยมีรายงานน้ำท่วมบางพื้นที่เป็นระยะๆ ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม โดยในเดือนสิงหาคม ทั่วทุกภาคของประเทศมีฝนตกหนาแน่นจนก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ ส่วนเดือนกันยายน บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนาแน่นเป็นช่วงๆ และยังคงมีหลายพื้นที่ที่ยังคงประสบอุทกภัย โดยในปีนี้ ถือว่าเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบสิบปีที่ผ่านมา

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย รายงานว่า ระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2553 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีพื้นที่ประสบอุทกภัย มีจังหวัดประสบภัยทั้งสิ้น 33 จังหวัด 251 อำเภอ 1,757 ตำบล 13,046 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 978,183 ครัวเรือน 2,769,868 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะได้รับความเสียหาย 3,185,932 ไร่ จังหวัดที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ได้แก่ ระยอง จันทบุรี ตราด ตาก ชลบุรี และลำพูน จังหวัดที่สถานการณ์ยุติแล้ว ได้แก่ ระยอง จันทบุรี ตราด ตาก ชลบุรี

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่า อุทกภัยครั้งนี้จะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนและทางราชการราว 8,000-10,000 ล้านบาท ภาครัฐอาจต้องใช้งบประมาณชดเชย แก้ปัญหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัย คาดว่ามูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1-2 หมื่นล้านบาท มีผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ราว 0.2% ของจีดีพี แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้ 7-7.5% โดยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ในขณะที่ สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ประเมินว่า ปัญหาอุทกภัยและปัญหาเงินบาทแข็งค่ารวมกัน น่าจะส่งผลให้จีดีพีลดลงประมาณ 1% ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลดเหลือ 6%

ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานว่า พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายกว่า 2.4 ล้านไร่ เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน 1.5 แสนราย นาข้าวได้รับผลกระทบมากที่สุด คิดเป็น 1.7 ล้านไร่ ด้านปศุสัตว์และประมงได้รับผลกระทบ 1 แสนราย ซึ่งเมื่อนับรวมกับความเสียหายจากอุทกภัยตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา พบว่าพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายเกือบ 4 ล้านไร่ รวมเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน 2.9 แสนราย

ดังนั้น อาจกล่าวว่าปี 2010 เป็นปีแห่งอุทกภัยของศตวรรษนี้ก็ไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนัก สำหรับสาเหตุที่ทำให้ฝนตกหนักและหลายพื้นที่ประสบกับสภาวะน้ำท่วมนั้น ปัจจัยหลักทางอุตุนิยมวิทยา ได้แก่ ร่องมรสุม หย่อมความกดอากาศต่ำ พายุ รวมถึงมรสุมที่พัดปกคลุมในแต่ละช่วงฤดูกาลแล้วนั้น

สาเหตุสำคัญหนึ่งที่ก่อให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น มาจาก “การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” หรือ Climate Change ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ IPCC ที่ระบุว่า หนึ่งปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 21 คือการเกิดเหตุการณ์รุนแรงด้านภูมิอากาศ เช่น ฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่มเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงเป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องป้องกันและเสริมสร้างความสามารถในการรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิด
ขึ้น

13 เขต กทม.พื้นที่เสี่ยงจมน้ำ

สำนักงานกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาแจ้งเตือนว่า พื้นที่กรุงเทพฯ ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมมากที่สุด คือ รัชดาภิเษก ลาดพร้าว บางนา ศรีนครินทร์ ส่วนพื้นที่เสี่ยงหลังแม่น้ำเหนือไหลทะลักลงมากรุงเทพฯ คือ ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ทั้งหมด 13 เขต ดังนี้

1.เขตบางซื่อ ได้แก่ ชุมชนพระราม 6 (ฝั่งติดแม่น้ำ) และชุมชนปากคลองบางเขนใหญ่

2.เขตดุสิต ได้แก่ ชุมชนเขียวไข่กา ชุมชนราชผาทับทับทิมร่วมใจ (เชิงสะพานกรุงธน) ชุมชนซอยสีคาม (ซอยสามเสน 13) และชุมชนวัดเทวราชกุญชร (ถนนศรีอยุธยา)

3.เขตพระนคร ได้แก่ ชุมชนท่าวัง ชุมชนท่าช้าง และชุมชนท่าเตียน

4.เขตสัมพันธวงศ์ ได้แก่ ชุมชนวัดปทุมคงคา (ท่าน้ำสวัสดิ์) และชุมชนตลาดน้อย

5.เขตบางคอแหลม ได้แก่ ชุมชนวัดบางโคล่นอก ชุมชนหน้าวัดอินทร์บรรจง ชุมชนซอยมาตานุสรณ์ และชุมชนหลังโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

6.เขตยานนาวา ได้แก่ ชุมชนโรงสี (ถนนพระราม 3)

7.เขตคลองเตย ได้แก่ ชุมชนสวนไทรริมคลอง พระโขนง

8.เขตบางพลัด ได้แก่ ชุมชนวัดฉัตรแก้ว

9.เขตบางกอกน้อย ได้แก่ ชุมชนสันติชนสงเคราะห์ ชุมชนปากคลองน้ำตาล-คลองพิณพาทย์ ชุมชนครอกวังหลัง และชุมชนดุสิต-นิมิตรใหม่

10.เขตธนบุรี ได้แก่ ชุมชนปากคลองบางกอกใหญ่

11.เขตคลองสาน ได้แก่ ชุมชนเจริญนครซอย 29/2

12.เขตราษฎร์บูรณะ ได้แก่ ชุมชนดาวคะนอง

13.เขตทวีวัฒนา ได้แก่ ชุมชนวัดปรุณาวาส

ตำนานน้ำท่วม “บางกอก”

กรุงเทพฯ เคยเผชิญกับน้ำท่วมใหญ่มาหลายครั้ง ผู้ใหญ่อาจจะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2485 ที่น้ำท่วมนานกว่า 3 เดือนในสถานที่และถนนสายสำคัญๆ ในกรุงเทพฯ เช่น บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ถนนราชดำเนิน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือถ้าเด็กลงมาหน่อย หากยังพอจะจำได้ กับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2526 และ 2538 และแม้กระทั่งเหตุการณ์หลังสุดเมื่อปี 2549

พ.ศ.2485
ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อครั้งที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ โดยสถานการณ์ตอนนั้นน้ำท่วมหลายจังหวัดในภาคต่างๆ ท่วมหนักเป็นระยะเวลาร่วมกว่า 3 เดือนเต็ม (ก.ย.-พ.ย.)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ปิง วัง ยม น่าน ท่าจีน แม่กลอง บางปะกง และทางภาคอีสานและใต้ ซึ่งถือว่าเป็นปีหนึ่งที่มีน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้คนรู้สึกเป็นทุกข์และเดือดร้อนกับน้ำท่วม (ก่อนที่จะมีการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่คือ เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์) จึงทำให้ถนนราชดำเนินกลายเป็นทะเลสาบไปโดยปริยาย รวมถึงรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพราะสมัยก่อนนั้นยังไม่มีเขื่อน คือเมื่อฝนตกทางเหนือมากน้ำก็จะหลากลงมา ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาก็จะสูงขึ้นเป็นลำดับ

ทั้งนี้ วัดจากระดับน้ำที่กองรังวัดที่ดิน กรมที่ดิน เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า น้ำเริ่มท่วมล้นฝั่งขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 12 ตุลาคม มีระดับน้ำสูงสุด 2.27 เมตร แล้วก็ลดลงโดยลำดับจนแห้งไปหมดราวกลางเดือนพฤศจิกายน...ก็ถูกน้ำท่วมเป็นธรรมดา เพราะกรุงเทพฯ มันเป็นที่ต่ำ เป็นแอ่งน้ำ เป็นก้นกระทะของประเทศ ดังนั้น กรุงเทพฯ จะถูกน้ำท่วมทุกปี จนทำให้คนในสมัยนั้นถึงกับกล่าวว่า “เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง เดือนอ้าย เดือนยี่ น้ำก็รี่ไหลลง”

พ.ศ.2526 รถชนกับเรือ

น้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ.2526 คนที่อายุ 30 กลางๆ น่าจะมีโอกาสได้เล่นน้ำกันที่หน้าบ้าน โดยน้ำท่วมครั้งนี้ (หมายถึงปี 2526) เกิดขึ้นเพราะมีพายุพัดผ่านภาคเหนือ-ภาคกลาง ประกอบกับพายุหลายลูกพัดผ่านกรุงเทพฯ ในช่วงเดือนตุลาคม (นานกว่า 4 เดือน) จึงส่งผลกระทบเกิดวิกฤตน้ำท่วมในปี 2526 โดยเฉพาะปัญหาจราจรที่รถกับเรือใช้เส้นทางเดียวกัน เพราะคดีรถกับเรือชนกันบนถนนมีเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานย่อมสูงขึ้น ธุรกิจต่างๆ เสียรายได้ น้ำท่วมทำให้สร้างสิ่งสกปรกมากมาย ส่วนเรื่องจิตใจนั้นกล่าวเหมือนกันว่าสุขภาพจิตเสื่อมเพราะต้องเสียเงินทองมากขึ้น ไหนจะซ่อมบ้าน ซ่อมรถ โดยเฉลี่ยเมื่อ 2 ปี ที่กล่าวนั้นครัวเรือนเสียเงินไปกับเรื่องน้ำเฉลี่ย 2,000 บาท สถานประกอบการเฉลี่ย 9,000 บาท เพราะเครื่องจักรกล วัสดุเสียหาย ปี 2526 ได้ใช้จ่ายในการแก้ปัญหาน้ำท่วมไป 5,000 ล้านบาท

พ.ศ.2538
หมู่บ้าน White House

ปี พ.ศ.2538 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ประสบปัญหาน้ำท่วม ในช่วงที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร น้ำเหนือหลากท่วมอยุธยา ปทุมธานี หมู่บ้าน White House ตอนเหนือของกรุงเทพฯ น้ำท่วมร่วม 2 เดือน

ส่วนปี พ.ศ.2549 นั้นเกิดอุทกภัยทางภาคเหนือ ทำให้น้ำเหนือไหลเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดที่โดนหนักๆ เช่น พิษณุโลก นครสวรรค์ อ่างทอง แต่สำหรับกรุงเทพฯ นั้นน้ำท่วมเฉพาะบางส่วนที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งไม่รุนแรงเท่าปี พ.ศ.2538

ปราโมทย์ ไม้กลัด มองต่างมุม
กรุงเทพฯไม่จมน้ำแน่!

ในขณะที่นักวิชาการหลายคนปักใจเชื่อว่า กรุงเทพฯ จะต้องจมอยู่ใต้น้ำอย่างแน่นอน แต่อีกด้านก็ยังมีนักวิชาการหลายท่านที่มีความเห็นตรงกันข้าม และพวกเขาก็ยังเชื่อว่า ระบบการป้องกันของ กทม.ที่มีอยู่จะสามารถรับมือกับภาวะน้ำไหลบ่าได้อีกหลายปี โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพิ่มเติม

ปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร อดีตอธิบดีกรมชลประทาน อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอดีตรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็เป็นหนึ่งในนักวิชาการอีกคนหนึ่งที่เชื่อว่า อย่างไรกรุงเทพฯ ก็ไม่มีวันจมน้ำอย่างแน่นอน

“เรื่องจมน้ำเป็นเรื่องอนาคต มีการพูดจาในเชิงนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องมองดูสาเหตุว่าจมน้ำเพราะอะไร ถ้าจมเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ถ้าเป็นจริงๆ ก็จมน้ำ แต่เป็นไปได้ไหม” ปราโมทย์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองประธานกรรมการ มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์”

เขาย้ำว่า อย่างไรกรุงเทพฯ ก็ไม่มีวันจมน้ำ โดยอ้างถึงสถิติการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตลอดระยะเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกถึงความผิดปรกติ หรือวิกฤต

“จริงครับน้ำทะเลและแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงหลังสูงขึ้น แต่อยู่ในวิสัยที่เราตื่นตัวปรับตัวป้องกันได้ เพราะฉะนั้นกรุงเทพฯ ไม่จมน้ำ”

ปราโมทย์ ชี้ว่า ปัจจุบันระบบป้องกันน้ำท่วมของกรุงเทพฯ ที่สร้างไว้ตั้งแต่ปี 2527-28 ที่ตัวเขามีส่วนร่วมเข้าไปวางระบบนั้น มีความมั่นคงแข็งแรง และรัดกุมมาก

อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ บอกว่า ระบบป้องกันที่สร้าง เริ่มจาก ถนนทุกสายริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ใกล้ที่สุดยกสูงขึ้น ถนนสามเสน ถนนเส้นในเขตนนทบุรี พิบูลลสงคราม ไล่ตั้งแต่ปากคลองรังสิต เรื่อยมาผ่านกรุงเทพฯ ลงไปถึงประจวบฯ ไปถึงสมุทรปราการ เขตเศรษฐกิจอย่างเยาวราช ราชวงศ์ สำเพ็ง ยกถนนไม่ได้ ก็ต้องใช้กระสอบทราย

“เราสามารถคำนวณได้ว่าสถิติแม่น้ำเจ้าพระยาสูงแค่ไหน จะยกถนนแค่ไหน ทุกปีเกิดเท่าไร ทุกปีเก็บสถิติหมด ก็สามารถยกสูงขึ้นไปได้อีก”

ส่วนคลองต่างๆ ที่สัมผัสเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีการควบคุมกำกับไม่ให้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าไปข้างในโดยอิสระ มีอาคารบังคับน้ำ มีบานประตูปิด-เปิด สร้างปิดปากคลองทุกคลองที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มตั้งแต่คลองรังสิต เราเรียกว่าเขตเศรษฐกิจต้องป้องกัน ทุกคลอง ทั้งเล็กใหญ่ อาทิ คลองเทเวศ, สามเสน, บางซื่อ, บางเขน

ส่วนข้างในที่ปากคลองสร้างสถานีสูบน้ำ เพื่อควบคุมน้ำในพื้นที่ ฝนตกสามารถสูบออกได้ โดยสร้างเชื่อมโยงไปถึงสมุทรปราการ ขณะที่ในฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้านเหนือท้ายคลองรังสิต จะมีถนนคันคลองสายใหญ่เสมือนคันกั้นน้ำ ถนนสายไหมริมคลอง 6 วา ไล่ไปเรื่อยริมคลองลำลูกกา น้ำจะไม่เข้า เพราะว่ามีระบบป้องกัน และพัฒนามาเรื่อย ไปบรรจบกับคลอง 3วา ทางด้านตะวันออก และมีแนวคันลงทางด้านทิศใต้เข้าสู่เขตมีนบุรี ถนนร่มเกล้า ถนนกิ่งแก้ว ลงมาแนวดิ่งไปสู่ชายทะเล จะตัดกับคลองแสนแสบ คลองประเวศบุรีรมย์ ตัดกับคลองสำโรง ไปสู่ชายทะเล

ทั้งหมดนี้จะเชื่อมกับถนนสุขุมวิท ที่ยกระดับขึ้นมาสูงแถวบางปู บางปิ้ง ไล่มาเรื่อยถึงปากแม่น้ำบางปะกง เชื่อมไปตลอดเพื่อให้พ้นระดับน้ำทะเลที่จะขึ้นสูงสุด

“วิธีสร้างของเราก็คือจะดูสถิติในอดีตว่าน้ำทะเลขึ้นสูงสุดแค่ไหน แล้วมาเสริมให้สูงขึ้น เวลานี้ไปดูน้ำในอ่าวไทยมีระดับสูง แต่มองในพื้นดินมีระดับต่ำกว่า อาจจะพูดได้ว่า 6 เดือนในรอบปีจะเป็นอย่างนี้มานานแล้ว แม้ว่าข้างในเป็นท้องกระทะหมด แต่ภายนอกมีระบบคันกั้นน้ำ น้ำทะเลจะเข้ามาข้างในไม่ได้ รับรองได้ว่าระบบต่างๆ มันเวิร์กมาตั้งแต่ปี 30 ทั้งหมดนี้ทำขึ้นมาโดยศึกษาจากประสบการณ์ภัยธรรมชาติที่มันเกิดกับกรุงเทพฯ ซ้ำซาก”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภัยธรรมชาติในปัจจุบัน มีความรุนแรงและรวดเร็วกว่าเมื่อก่อน แต่โดยส่วนตัวปราโมทย์ก็ยังเชื่อว่า ยังสามารถรับมือได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็สามารถปรับเพิ่มเสริมขึ้นมาได้

“จะรุนแรงขนาดไหน ก็เป็นแค่เพียงการพูดกันของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า น้ำทะเลไม่เพิ่ม สมมติว่า เพิ่มขึ้นมาอีก 50-80 เซนติเมตร ในฐานะที่ผมเป็นช่างด้านนี้ รับได้สบาย หรือทำเพิ่มเติมนิดหน่อย ก็ยังอยู่ในแนวกั้นน้ำที่มีอยู่ เพราะเราเฝ้าดูตลอดเวลา”

ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า เวลานี้ต้องเฝ้าดูอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด เนื่องจากการเพิ่มของระดับน้ำทะเลจะเป็นไปทีละน้อย สัญญาณยังไม่ได้บ่งบอกชัดเจนอย่างที่นักวิทยาศาสตร์พูดกัน ไม่ว่าจะเป็นโลกร้อน น้ำแข็งละลาย แต่ว่าน้ำแข็งละลาย มวลน้ำที่อยู่ ในขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ กว่าจะเข้ามาสู่มหาสมุทรแปซิฟิกย่านที่เราอยู่ ก็คงจะถูกดูดซับลงไปบนพื้นผิวน้ำจนหมดแล้ว

“ตามความเห็นของผม ผสมกับประสบการณ์งานจริงก็จะประมวล และจับตาดูได้ทันอย่างแน่นอน แม้แต่ภาวะสตอร์มเซิร์จก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะพายุไต้ฝุ่นจะวิ่งปะทะแนวภาคใต้ อย่างมากก็จะลงไปที่ประจวบฯ แล้วลงไปภาคใต้ ทิศทางมันเป็นอย่างนั้น จะไปบอกว่ามันจะเลี้ยวเข้ากรุงเทพฯ มันไม่ใช่ ผิดธรรมชาติ”

นอกจากกรณีน้ำขึ้นล-งที่เกิดขึ้น ปราโมทย์ ก็มองว่าเป็นวัฏจักรประจำปี ไม่ผิดแปลกไปจากเหตุการณ์ปรกติ เพราะตามธรรมชาติแล้วจะมีน้ำขึ้นสูงสุดในช่วงวันเพ็ญ 15 ค่ำ ทุกปีจะเป็นอย่างนี้ คือ เพิ่มขึ้นแล้วก็ลงไป แค่ 10-20 เซนติเมตร ประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อครั้งเท่านั้น แล้วก็ลง

“ไม่ใช่ขึ้นแล้วก็แช่อยู่อย่างนั้น เราจะไปสมมติให้แช่ได้อย่างไร เพราะความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น”

อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ย้ำว่า การทำนายของกรมอุทกศาสตร์ทหารเรือ ดูจากดวงจันทร์ เป็นการพยากรณ์ล่วงหน้า ของจริงเป็นอย่างไรต้องติดตาม ซึ่งก็สอดคล้องกัน เพราะที่ผ่านมาก็ไม่ผิดปรกติถึงขนาดมากเกินเหตุ เนื่องจากระบบที่เราวางป้องกัน เผื่อการขึ้น-ลงของน้ำทะเลไว้ด้วย โดยเฉพาะตัวที่จะทำให้น้ำเอ่อล้นกรุงเทพฯ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำเหนือที่แปรผันไปแต่ละปี

“ปีที่ผ่านมามีวิกฤตอย่างไร เราเก็บสถิติไว้หมด วิกฤตที่สุดคือปี 38 ไม่ต้องพูดถึงปี 2485 ที่อยู่ในความทรงจำ แต่ปีนี้ผมบอกว่าสู้ได้ ถ้าไม่ได้ กทม.ต้องถูกตำหนิ เพราะยังไงปีนี้ก็ไม่ถึงอยู่แล้ว ส่วนอนาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่ เหมือนปี 38 หรือ 49 ไหมก็มีโอกาส แต่ไม่รู้จะเป็นปีไหน”

Reference : http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9530000151750







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พฤหัสบดี, 28/10/2553 เวลา : 16:07  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101533

คำตอบที่ 75
      

fiogf49gjkf0d
10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ

ติดตาม 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ (10 Technologies to Watch) โดย ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จากงาน NSTDA Investors’ Day ประจำปี 2553 "ธุรกิจเทคโนโลยี ของดีสำหรับนักลงทุน"

สิบเทคโนโลยี
สิบเทคโนโลยีที่ทำการคัดเลือกโดยทีมนักวิจัยของ สวทช. โดยเรียงลำดับจากท้ายสุด (๑๐) และจบที่อันดับที่ ๑

ลำดับที่10 เทคโนโลยีน้ำพุชีวิต

ตั้งแต่โบราณกาลคนเราอายุเฉลี่ย อยู่ประมาณ 35-50 ปีเท่านั้นเอง การมีอายุยืนยาวจึงเป็นสิ่งยอดปรารถนาของมนุษย์ ตำนานจีนอันหนึ่งเล่าว่าฮ่องเต้จีนส่งชาย 500 คน หญิง 500 คน ไปเสาะหายาอายุวัฒนะในทะเลจีน และมีผู้พลัดหลงเข้าไปในหมู่บ้านห่างไกลที่ไม่มีคนแก่และคนเจ็บ

ในความเป็นจริงนั้น ค่าอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ยาวขึ้นอีกราวร้อยละ 65 ได้ก็เพราะความรู้สาธารณสุขพื้นฐาน โดยรายงาน CIA World Factbook ปี 2553 บอกว่าชายไทยมีอายุเฉลี่ย 70 ปี หญิงไทย 75 ปี เฉลี่ยทั้งประเทศ ก็ 72.5 ปี โดยที่คนญี่ปุ่น อายุขัยเฉลี่ยประมาณ 82 ปี

ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา งานวิจัยด้าน ชีววิทยาศาสตร์ (biosciences) ได้ก้าวหน้าไปในหลายๆ ด้าน รวมทั้งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เสื่อมสมรรถนะหรือไม่ทำงาน เนื่องจากสูงอายุ เป็นโรค ถูกทำลาย หรือมาจากกรรมพันธุ์ ปัจจุบันอวัยวะสำคัญที่สลับซับซ้อนจำนวนมาก ก็ล้วนแล้วแต่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนได้แล้ว โดยอาจอาศัยอวัยวะแท้ที่มาจากผู้บริจาค แต่ปัญหาคือการที่มีผู้บริจาคอวัยวะเหล่านี้ไม่มากพอกับความต้องการ ปัญหาความเข้ากันไม่ได้ของเนื้อเยื่อระหว่างผู้บริจาคและผู้ป่วย ทั้งนี้เทคโนโลยีที่สำคัญและน่าจับตามองซึ่งจะทวีความสำคัญมากขึ้นในทศวรรษที่จะมาถึงได้แก่

1. เทคโนโลยีวิศวกรรมเนื้อเยื่อ (Tissue Engineering Technology) คือศาสตร์ใหม่ที่พยายามที่จะสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาซ่อมหรือทดแทนบางส่วนหรือเนื้อเยื่อทั้งหมด เช่น กระดูก กระดูกอ่อน เส้นเลือด กระเพาะปัสสาวะ ผิวหนัง เป็นต้น โดยการใช้เซลล์จากผู้ป่วยเองในการสร้างเนื้อเยื่อ ซึ่งการสร้างดังกล่าวมักต้องการวัสดุชีวภาพเป็น “นั่งร้าน” (scaffolds) เพื่อให้เนื้อเยื่อสามารถเจริญเติบโตและทำงานได้ ในอนาคตคงจะได้เห็นการใช้วิศวกรรมเนื้อเยื่อซ่อมแซมอวัยวะที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น ลิ้นหัวใจ ตับ ตับอ่อน ไต หรือแม้แต่การสร้างเนื้อที่กินได้ หัวใจทั้งลูกและอวัยวะเพศชาย

2. เวชศาสตร์การฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative Medicine) โดยทั่วไป regenerative medicine หรือ celltherapy มักเน้นการใช้เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) โดยการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด และการชักจูงให้เกิดการฟื้นฟูด้วยโมเลกุลกัมมันต์ เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะที่ปกติซ่อมแซมตนเองไม่ได้เกิดการฟื้นฟู หากร่างกายไม่สามารถรักษาตัวเองได้ ก็สามารถปลูกถ่ายอวัยวะและเนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นนอกร่างกายกลับเข้าไปได้

เดิมทีการใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน (embryo) ได้ก่อให้เกิดกระแสคัดค้านอย่างกว้างขวาง ด้วยปัญหาด้านจริยธรรม ในปัจจุบันการรักษาอาศัยเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกหรือระบบเลือด หรือไม่ก็จากสายสะดือที่มีเซลล์ดังกล่าวอยู่มากเป็นพิเศษ ยิ่งกว่านั้นในปี 2550 นักวิจัยญี่ปุ่นยังได้แสดงให้เห็นว่า สามารถ “ตั้งโปรแกรมใหม่” (reprogram) ให้เซลล์ผิวหน้าของคนกลับกลายเป็นเซลล์ต้นกำเนิดได้อีกครั้งหนึ่ง

ปัจจุบันได้เริ่มมีการทดลองใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากสายสะดือในการรักษาโรคเบาหวาน ซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจ และซ่อมแซมสมองส่วนที่เสียหาย ทำให้มีอุตสาหกรรมบริการการเก็บรักษาเลือดจากสายสะดือของตนเองเกิดขึ้น ธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ กำลังผุดขึ้นมามากมายในทุกประเทศ




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:08  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101638

คำตอบที่ 76
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 9 เภสัชพันธุศาสตร์ (Phamacogenomic)

ความสำเร็จของโครงการวิเคราะห์จีโนมมนุษย์ทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลความหลากหลายทางพันธุกรรม ของประชากรเชื้อชาติต่างๆ ซึ่งนับเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลต่อการพัฒนาทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยในปัจจุบัน

ที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดประการหนึ่งคือการนำข้อมูลดังกล่าวมาประยุกต์ร่วมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีห้องปฏิบัติการ และระบบชีวสารสนเทศ (Bioinformatics)เพื่อใช้ในการวิเคราะห์งานด้าน “เภสัชพันธุศาสตร์” หรือ Pharmacogenomics ซึ่งอาศัยการศึกษารูปแบบความหลากหลายของรหัสพันธุกรรม ที่มีสัมพันธ์กับการตอบสนองต่อยารักษา ทำให้แพทย์สามารถหลีกเลี่ยงการให้ยาที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้หรืออาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาอื่นๆที่รุนแรง

อีกทั้งสามารถเลือกปรับขนาดยาที่เหมาะสม โดยเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาให้เกิดการรักษาแบบการแพทย์เฉพาะบุคคล (personalized medicine) ซึ่งจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ความปลอดภัยและเหมาะสมกับรูปแบบพันธุกรรมของผู้ป่วยแต่ละคนมากที่สุดนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยใช้ข้อมูลตัวบ่งชี้ทางพันธุกรรม (genetic markers)

สำหรับประเทศไทย ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย ได้แสดงให้เห็นว่ารูปแบบความหลากหลายของรหัสพันธุกรรมหลายชนิด ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อยารักษามีเอกลักษณ์ที่จำเพาะ และพบมากในกลุ่มประชากรเฉพาะแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมชุดตรวจด้านเภสัชพันธุศาสตร์ หรือการค้นหาตัวบ่งชี้จำเพาะที่สำคัญต่อกลุ่มประชากรไทย ยังคงมีความจำเป็นและเป็นที่ต้องการ ซึ่งหากพิจารณาความสอดคล้องกับปริมาณงานวิจัยและพัฒนาภายในประเทศในปัจจุบัน ก็พบว่ามีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้มีการสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมในยีนที่สำคัญของคนไทยเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่นฐานข้อมูล ThaiSNP 1 และ 2 ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญที่จะรองรับงานค้นคว้าวิจัยและพัฒนาต่อไปในอนาคต

ขณะนี้ตามสถานพยาบาลใหญ่ๆภายในประเทศ เช่น โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลรามาธิบดี หรือโรงพยาบาลขอนแก่น ต่างเริ่มพัฒนาและให้บริการการตรวจทางด้านเภสัชพันธุศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ ก่อนที่แพทย์จะพิจารณาให้ยากับผู้ป่วยบ้างแล้ว โดยสามารถเลือกใช้ได้ทั้งเทคโนโลยีด้านอณูชีววิทยา อาศัย PCR-based technology ในการวิเคราะห์เฉพาะตัวบ่งชี้สำคัญไม่กี่ตัวในการแปลผล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอยู่ในหลักไม่กี่พันบาท จนไปถึงเทคโนโลยีการหาลำดับเบสของ DNA ขนาดใหญ่ (large scale DNA sequencing) ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งสามารถประยุกต์ในการใช้ค้นหาตัวบ่งชี้ชนิดใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาแนวทางทางการรักษาที่เหมาะสมให้กับแพทย์ได้



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:09  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101639

คำตอบที่ 77
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 8 รถพลังงานไฟฟ้า

จากการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่พลังงานสะอาดสำหรับขับเคลื่อนยานพาหนะและปัญหาด้านเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีราคาสูงขึ้น เป้าหมายสูงสุดคือ การหยุดปล่อยมลพิษออกสู่บรรยากาศ นำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายสำหรับยานพาหนะไร้มลพิษ (zero emission vehicle) ที่มีการนำร่องไปแล้วในสหรัฐอเมริกา และกำลังดำเนินการในยุโรปเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้สำหรับขับเคลื่อนนี้คาดว่าจะใช้เซลล์เชื้อเพลิงโดยใช้ก๊าซไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง มีไว้ตั้งแต่ทศวรรษที่แล้วแต่จนบัดนี้ยังมีปัญหาทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทั้งทางเทคโนโลยี ความปลอดภัยและราคาที่สูงขึ้นมาก จึงคาดกันว่าน่าจะนำมาใช้ได้จริงในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นต้นไปเป็นอย่างเร็ว ในระหว่างนี้รถไฟฟ้าและรถไฮบริดจึงได้รับความสนใจ ทั้งนี้ แบตเตอรี่แบบประจุไฟได้ใหม่ (rechargeable battery) ที่ใช้ในการขับเคลื่อนนั้น แรกเริ่มได้มีการใช้ในรูปแบบของนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์สำหรับรถไฮบริด แต่ในปัจจุบันได้หันมาใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนเนื่องจากความได้เปรียบด้านค่าพลังงานต่อน้ำหนัก อีกทั้งมีค่าวัฏจักรชีวิตที่สูงหลายพันรอบทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าแบตเตอรี่ชนิดเดิม

นอกจากนี้ยังต้องอาศัยระบบการจัดการ (battery management system) สำหรับด้านไฟฟ้าและความร้อนเพื่อช่วยให้การทำงานของแบตเตอรี่ที่รวมกันอยู่หลายๆ เซลล์มีประสิทธิภาพการทำงานรวมที่สูงที่สุดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

การพัฒนาในปัจจุบันเน้นไปที่การพัฒนาเพื่อให้ได้แบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัย น้ำหนักเบา และราคาไม่แพงมากกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากนัก จึงเป็นข้อได้เปรียบของลิเทียมไอร์ออนฟอสเฟตเหนือกว่าวัสดุคาโทดชนิดอื่นๆ ด้วยจุดเด่นเรื่องวัฏจักรชีวิตที่ยาวนานกว่า 7,000 รอบของการ charge และ discharge การพัฒนาจึงมุ่งไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ด้วยการใช้วัสดุขนาดนาโนเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการทำปฏิกิริยาและเพิ่มความหนาแน่นทางพลังงาน

ในด้านการนำไปประยุกต์ใช้งาน ทั่วโลกได้มีการพัฒนาในรูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและรถจักรยานไฟฟ้า นอกจากนี้ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานได้มุ่งเน้นไปที่สถานีประจุไฟฟ้าที่สามารถชาร์จไฟเข้าที่แบตเตอรี่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว รถไฟฟ้าที่มีการพัฒนาในต่างประเทศ มีหลักการพัฒนาที่แตกต่างกันไปทั้งแนวทางการทำ Supercar ของ Tesla หรือการทำรถไฟฟ้าสำหรับการใช้งานจริงบนท้องถนนเช่น Nissan Leaf ซึ่งมีระยะการขับขี่ประมาณ 160 กม.ต่อการประจุไฟหนึ่งครั้ง ในอนาคตคาดว่าตลาดในสหรัฐอเมริกาจะเน้นระยะการขับขี่ที่ไกลขึ้นให้เทียบเท่ากับรถใช้น้ำมันปัจจุบัน (ประมาณ 450 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันเต็มถัง) ส่วนในยุโรปที่มีการใช้งานที่แตกต่างกันนั้น จะเน้นที่การใช้งานระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ต่อวันหากประจุไฟตอนกลางคืนหรือสั้นลงที่ 40 กิโลเมตรหากประจุไฟระหว่างวันได้ ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายหลักสำหรับรถไฟฟ้าคือ ค่าใช้จ่ายสำหรับแบตเตอรี่ ซึ่งมีราคาประมาณ 15,000 - 25,000 บาทต่อ kWh






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:10  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101640

คำตอบที่ 78
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 7 พลังงานจากสาหร่าย
ปัญหาวิกฤติราคาน้ำมันตลอดจนสถานะการเป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป รวมทั้งเป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน ทำให้หลายประเทศทั่วโลกคิดค้นพลังงานใหม่ ๆ ขึ้นมาทดแทน และหนึ่งในนั้นคือ พลังงานจากพืช พืชอะไรเอ่ย ที่ใช้เวลาเจริญเติบโตสมบูรณ์ภายใน 24 ชั่วโมง และใช้ทำน้ำมันได้? คำตอบคือ สาหร่าย บริษัทพลังงานหลายบริษัทได้มุ่งมั่น คิดค้น และวิจัยเรื่องพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่เชื้อเพลิงเหลวจากผลิตผลทางการเกษตร เช่น เอธานอล น้ำมันปาล์ม น้ำมันจากผลสบู่ดำ (กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย) เป็นต้น และในปัจจุบันพลังงานความหวังใหม่ของคนไทย ทั้งประเทศที่นักวิทยาศาสตร์ต่างให้ความสนใจ คือ \“สาหร่าย\” สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่มีคุณค่ามาก

หากเลี้ยงสาหร่ายในบ่อพื้นที่ขนาดเท่ากับการปลูกปาล์มน้ำมันจะสามารถให้ผลผลิตได้ถึง 60 เท่าจากพื้นที่เท่ากัน และถ้าเทียบกับพื้นที่ปลูกสบู่ดำ 1 ต้นเป็นเวลา 7 ปี สบู่ดำจะให้น้ำมันร้อยละ 25 ในขณะที่สาหร่ายให้น้ำมันมากถึงร้อยละ 1,000 ปริมาณน้ำมันนี้อาจเพียงพอกระทั่งผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศได้ และการเลี้ยงก็ไม่ต้องใช้เนื้อที่เพาะปลูกมากมาย สามารถใช้ที่ไหนก็ได้ที่มีแสง เลี้ยงในน้ำจืด น้ำเค็มหรือน้ำกร่อยก็ได้ตามแต่สายพันธุ์และสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

ในส่วนของกรรมวิธีในการสกัดน้ำมันจากสาหร่ายนั้นมีหลายวิธี เช่น การใช้แรงเหวี่ยงแยกเอาน้ำมันออก การตกตะกอนแยกเอาตัวสาหร่ายออก การใช้สารละลายทางเคมีละลายเอาน้ำมันออก การใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้สาหร่ายคลายน้ำมัน และบีบอัดเพื่อให้คลายน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ยังต้องศึกษาต่อไปว่าวิธีใดเหมาะสมกับเครื่องยนต์และความต้องการในการใช้งานของคนไทยมากที่สุด

ในทางอ้อมผลพลอยได้จากการสกัดน้ำมันจากสาหร่าย คือการนำกากสาหร่ายที่ตกตะกอนไปใช้เป็นวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ย ยา อาหารเสริม เป็นต้น นอกจากนี้สาหร่ายยังเอื้อประโยชน์ในด้านอื่นๆ ทั้งการสร้างงานของเกษตรกรสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ บรรเทาผลกระทบจากวิกฤติราคาน้ำมันที่มีต่อทุกภาคส่วนของสังคม ก่อเกิดการขยายตัวของธุรกิจปิโตรเลียมและธุรกิจอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง

เทคโนโลยีในอนาคตอาจรวมถึงสาหร่ายและแบคทีเรียที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งสามารถสังเคราะห์แสงแล้วแปลงเป็นไขมัน โดยไขมันถูกสกัดออกมาเองโดยไม่ต้องใส่สารเคมีทำละลายเพื่อให้ได้ไบโอดีเซล แล้วสาหร่ายและแบคทีเรียนั้นๆ ก็ยังไม่ตาย ยังคงสังเคราะห์แสงและปล่อยไขมันออกมาให้เราใช้ต่อไปได้เรื่อยๆ สาหร่ายและแบคทีเรียเหล่านี้จะตายถ้าไม่ได้รับสารเคมีที่เลี้ยงมันและช่วยให้มันสกัดไขมันออกมาได้นี้ แปลว่ามันจะไม่แพร่พันธุ์ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมข้างนอก ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตราย







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:11  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101641

คำตอบที่ 79
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 6. เซลล์แสงอาทิตย์ที่โค้งงอได้ (Flexible Solar cells)

จากปัญหาสภาวะโลกร้อนและปัญหาการขาดแคลนพลังงานที่มีมาอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันทั่วโลกหันมาให้ความสนใจใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้เซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าเนื่องจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทนที่สะอาด ปราศจากมลพิษ เป็นแหล่งพลังงานที่ได้มาฟรีจากธรรมชาติและมีใช้ได้อย่างไม่จำกัด อย่างไรก็ตามเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใช้อยู่ทั่วไปจะเป็นรูปแบบที่ใช้กระจกเป็นแผ่นฐานรองหรือใช้แผ่นกระจกเป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีน้ำหนักมาก แข็ง โค้งงอไม่ได้ ทำให้ยังมีข้อจำกัดเรื่องรูป
แบบการนำไปใช้งาน ไม่สามารถติดตั้งบนหลังคาสิ่งปลูกสร้างได้ทั้งหมดโดยเฉพาะหลังคาที่ไม่ได้ออกแบบให้รับน้ำหนักของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้แต่แรก เช่น หลังคา metal sheet ตามโรงงานต่างๆ

จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น หลายหน่วยงานมองเห็นถึงโอกาสในการที่จะพัฒนาการสร้างเซลล์แสงอาทิตย์บนฐานรองที่สามารถบิดโค้งงอได้ตามรูปทรงของวัสดุที่ต้องการ เช่น polymer หรือแผ่นเหล็กกล้าสเตนเลสที่บางซึ่งจะช่วยให้ใช้งานในรูปแบบที่หลากหลายได้มากขึ้น ม้วนเก็บได้ และไม่มีการแตกหักเสียหาย รวมทั้งสามารถติดตั้งให้มีความสวยงามในหลายรูปแบบได้อีกด้วย เช่น บนหลังคาสิ่งปลูกสร้างที่โค้งอ ฝาผนัง ม่านกันแดด ฯลฯ

นอกจากนี้กระบวนการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์บนวัสดุฐานรองที่สามารถม้วนได้ ยังเหมาะกับการนำไปพัฒนาสร้างสายการผลิตเชิงพาณิชย์ด้วยระบบจากม้วนสู่ม้วน (roll to roll) ซึ่งระบบดังกล่าวสามารถเพิ่มกำลังการผลิต (throughput) ได้มากขึ้น จึงจะเป็นแนวทางการลดต้นทุนการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ได้อีกทางหนึ่ง

ในต่างประเทศมีบริษัทเอกชนหลายรายกำลังพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์บนฐานรองที่เป็นพลาสติก เช่น บริษัท Flex cell, บริษัท Applied Materials, บริษัท Uni-Solar และ บริษัท Fuji Electric โดยกระบวนการและวิธีการสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดนี้ไม่แตกต่างจากเซลล์แสงอาทิตย์ซิลิคอนชนิดฟิล์มบางที่สร้างบนฐานรองกระจกมากนักปัจจุบันแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดโค้งงอได้ที่ขายในท้องตลาดของบริษัท Flex cell มีประสิทธิภาพประมาณ 3% โดยอ้างต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า 1 US$ ต่อ watt ที่กำลังการผลิต 25 เมกกะวัตต์ต่อปี






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:12  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101642

คำตอบที่ 80
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 5. อิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้ (Printed Electronics)

อิเล็กทรอนิกส์ พิมพ์ได้ บางครั้งอาจเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น เช่น พลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ (plastic electronics:PE) หรืออิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ (organic electronics) หรือ อิเล็กทรอนิกส์งอได้ (flexible electronics) อิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้เป็นสาขาหนึ่งของอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ ที่ทำมาจาก organic polymer/conductive polymer หรือ conductive plastic โดยใช้วัสดุที่เป็นคาร์บอนเป็นพื้นฐาน (carbon-based) ซึ่งเป็นอีกแนวทางที่แตกต่างจากไมโครอิเล็กทรอนิกส์แบบดั้งเดิมที่ใช้สาร ซิลิคอน

เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้มีคุณสมบัติพิเศษที่บาง เบา และยืดหยุ่นได้ สามารถพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ เช่น การพิมพ์แบบอิงค์เจ็ต (ink-jet) การพิมพ์แบบ Gravure หรือ การพิมพ์แบบ Offset ได้ จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้ไม่เพียงเป็นทาง เลือกใหม่ในการใช้อินทรีย์วัตถุแทนการใช้ซิลิคอนแบบเดิมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมอุตสาหกรรมทั้งที่มีอยู่แล้วและที่เกิดขึ้นใหม่ อย่างเช่น อุปกรณ์ RFID อุปกรณ์ให้แสงสว่าง (lighting) หรือจอภาพ (display) ฯลฯ ให้สามารถผลิตได้ในราคาประหยัดอีกด้วย นอกจากนี้อิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้ยังก่อให้เกิดความร้อนขึ้นเพียงเล็กน้อยและ ใช้พลังงานจำนวนเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้ได้ถูกนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในด้านต่างๆ ได้แก่
- Flexible Electronics เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยการนำเอาคุณสมบัติในการพับงอได้ของพลาสติกมาใช้ ประโยชน์ เช่น เซลล์แสงอาฑิตย์ จอภาพแบบยืดหยุ่น แผ่นติดสินค้า เซ็นเซอร์ตรวจคุณภาพอาหารเป็นต้น
- On-site Printed Electronics เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยการเตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยการพิมพ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น อิงค์เจ็ต หรือ เฟล็กโซกราฟ เป็นต้นซึ่งจะทำให้สามารถดาวน์โหลดวงจรผ่านอินเตอร์เน็ต แล้วพิมพ์แผ่นวงจรใช้งานที่บ้านหรือ ณ จุดขายสินค้า ซึ่งจะทำให้เกิดการปฏิวัติอิเล็กทรอนิกส์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว
- Wearable Electronics และ Electronic Textile เป็นการนำเอาฟังก์ชันทางด้านอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปอยู่ในสิ่งทอ ทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่มีความสามารถในการประมวลผล เช่น เสื้อผ้าสามารถตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมหรือ เสื้อผ้าตรวจสุขภาพของผู้สวมใส่ เป็นต้น
- Ambient Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้สภาพล้อมรอบที่อาศัยอยู่มีความฉลาด และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ เช่น แผ่นไฟส่องสว่างแบบสภาพธรรมชาติ e-Wallpaper ฟิล์มปรับตามแสงสว่าง เซ็นเซอร์ตรวจสอบสภาพล้อมรอบ เป็นต้น







 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:12  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101643

คำตอบที่ 81
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 4 วัสดุอัจฉริยะ

ปัญหามลภาวะในเมืองหลวงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของประชาชน แล้วยังมีผลต่อการสึกกร่อนและทิ้งคราบสกปรกไว้บนผิวอาคาร ทำให้ต้องเสียเงินในการซ่อมบูรณะเป็นจำนวนมาก

โบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงโรม ชื่อว่า Jubilee Church ถูกสร้างขึ้นจากการผสมคอนกรีตและไทเทเนียมไดออกไซด์ (TiO2) ซึ่งก่อให้เกิดสมบัติทำความสะอาดตัวเอง (self cleaning) จากปฏิกิริยา photocatalysis ของ TiO2 ซึ่งเมื่อโดนกระตุ้นด้วยแสงอัลตราไวโอเล็ต (UV) จะปลดปล่อยอนุมูลอิสระขึ้น ทำให้สามารถย่อยสลายสารอินทรีย์และก๊าซต่างๆ ได้ จึงทำให้โบสถ์ Jubilee ดูใหม่ตลอดเวลา นอกจากนั้นจากการศึกษาผลของ TiO2 ต่อการลดมลภาวะทางอากาศ พบว่า คอนกรีต TiO2 สามารถลดมลภาวะทางอากาศได้ 15% ด้วยการย่อยสลายก๊าซพิษต่างๆ เช่น ไนตรัสออกไซด์ (NOx) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลองจินตนาการถึงบ้านที่มีกระจกทำความสะอาดตนเอง กระเบื้องห้องน้ำที่ดูเหมือนใหม่ตลอดเวลา ไม่มีคราบสบู่หรือราดำเกาะติด บ้านที่แลดูใหม่เสมอ ไม่มีคราบฝุ่นละอองหรือคราบน้ำสกปรกเกาะให้รำคาญตา ตัวบ้านมีฟิล์มบางเป็นฉนวนป้องกันแสงยูวี และความร้อน มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งที่ กระจกนาโนบางชนิดสามารถทำความสะอาดตนเองได้ (self-cleaning) ซึ่งหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ขายอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน ได้แก่ Aktiv glass จากบริษัทพิลคิงตัน (Pilkinton) โดยการเคลือบอนุภาคนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ ลงบนผิวกระจก ซึ่งสารเคลือบดังกล่าวจะทำให้เกิดปฏิกิริยาย่อยสลายด้วยแสง ซึ่งคราบและฝุ่นละอองต่างๆ สามารถที่จะถูกย่อยสลาย และจะถูกน้ำฝนชะล้างออกไปได้โดยง่าย ไม่ก่อให้เกิดคราบสกปรกฝังแน่นบนพื้นผิวแต่อย่างใด

นอกจากนั้นในสภาวะที่การประหยัดพลังงานเป็นเรื่องสำคัญ การคิดค้นวัสดุใหม่ๆ ที่มีความเบา และสามารถเป็นฉนวนกันความร้อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น Aerogels นับว่าเป็นวัสดุที่เบาที่สุดที่มนุษย์เคยสังเคราะห์ขึ้น และมีความหนาแน่นน้อยกว่ากระจก 1,000 เท่า เนื่องจากประกอบด้วยอากาศ ถึง 99.8% ที่เหลือเป็นโครงสร้างของ SiO2 (Silicon dioxide) ซึงเป็นองค์ประกอบหลักของกระจกทั่วไปนั่นเอง การที่ aerogel ประกอบด้วยอากาศถึง 99.8% ทำให้เป็นฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเคลือบกระจกนอกอาคาร หรือวัสดุก่อสร้างต่างๆ ทำให้วัสดุมีสมบัติในการเป็นฉนวนกันความร้อน และสามารถประหยัดพลังงานให้กับอาคารได้อย่างมาก






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:13  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101644

คำตอบที่ 82
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 3 เส้นใยสังเคราะห์ผสม


เส้นใยเป็นวัตถุดิบต้นน้ำที่มีสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งเส้นใยที่มีโครงสร้าง มีส่วนผสมที่แตกต่างกัน จะให้สมบัติของสิ่งทอที่แตกต่างกันออกไป นวัตกรรมเส้นใยสังเคราะห์ผสม (bi-component spinning fiber) โดยทั่วไปจะประกอบด้วยโพลิเมอร์ 2 ชนิดที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถฉีดขึ้นรูปเส้นใยที่มีหน้าตัดต่างๆ กันได้ถึง 4 ชนิด ตามแบบที่เห็นนี้ คือ Sheath-core, Side by side, Segment Pie และ Island in the sea ซึ่งหน้าตัดแต่ละชนิดก่อให้เกิดสมบัติที่แตกต่างกัน โดยเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย ดังต่อไปนี้
- เส้นใยสังเคราะห์ผสม ที่มีหน้าตัดแบบ Side by side จะมีสมบัติคล้ายขดสปริง ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง จึงสามารถนำไปใช้เป็นเส้นใยสั้น (หรือที่เรียกว่า staple fiber) โดยนำไปเป็น filler ของหมอน และวัสดุรองกระแทกต่างๆ หรือหากเป็นเส้นด้าย bulky yarn ก็สามารถนำไปเป็นวัสดุที่มีความหนา นุ่ม และซับน้ำได้ดีเช่น พรม เป็นต้น
- เส้นใย bi-component fiber แบบ Segment pie สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นผลิตภัณฑ์หลักๆ ได้ 3 ชนิด
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด โดยนำไปเป็นผ้าที่มีความละเอียดนุ่ม ที่สามารถทำความสะอาดได้ดีกว่าผ้าทั่วไป
- ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยนำไปเป็นผ้าเช็ดตัว หรือผ้าเช็ดเครื่องสำอางที่สามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้หมดจดขึ้น
- ผลิตภัณฑ์ทั่วไป โดยนำเป็นผ้าทำความสะอาดสารพัดประโยชน์
- เส้นใย bi-component fiber ชนิด island in the sea มีลักษณะที่มีความนุ่มสูงคล้ายเส้นไหม หนังเทียม ผ้ากำมะหยี่ หนังกลับ (suede) หรือผ้าที่มีลักษณะคล้ายผิวของผล peach ซึงสามารถนำไปผลิตเป็นสิ่งทอได้อย่างหลากหลาย






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:13  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101645

คำตอบที่ 83
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 2. หุ่นยนต์ จักรกลบริการ

หุ่นยนต์ (Robot) หมายถึง เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยมีการทำงานจากโปรแกรมการตัดสินใจและสามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรมการทำงาน ให้ทำงานได้หลากหลายหน้าที่เพื่อตอบสนองต่อข้อมูลหรือสัญญาณที่ได้จากสิ่งแวดล้อม

ย้อนหลังไปประมาณครึ่งศตวรรษ การพัฒนาหุ่นยนต์ในช่วงแรกเน้นหนักการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเครื่องกลเป็นหลัก แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ในหุ่นยนต์ได้รับการพัฒนาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเซ็นเซอร์ (sensor) สมองกลฝังตัว (embedded system) และปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) ที่เพิ่มขีดความสามารถของหุ่นยนต์ถึงระดับความเป็นไปได้ในการการรู้จำและปรับตัวตามสภาพแวดล้อมแบบเปิดที่มีการเปลี่ยนแปลงหลากหลายได้ เหล่านี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หลายประเทศสามารถต่อยอดเทคโนโลยีหุ่นยนต์อุตสาหกรรมการผลิตที่มีอยู่เดิม ไปสู่นวัตกรรมในตลาดใหม่ที่เรียกว่า หุ่นยนต์บริการ

ในทางวิชาการ หุ่นยนต์ขั้นสูง โดยเฉพาะหุ่นยนต์บริการมีคุณสมบัติพิเศษ 3 ประการได้แก่
1. รับรู้สภาพแวดล้อมผ่านระบบเซนเซอร์หลากชนิด โดยเฉพาะหุ่นยนต์บริการที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ผันแปรได้
2. เข้าใจความหมายคำสั่งและความต้องการของมนุษย์ ตลอดจนทำนายความผันแปรของสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องได้
3. เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว เพื่อตอบสนองคำสั่งหรือความต้องการของมนุษย์ได้

ข้อมูลจาก World Technology Evaluation Center (WTEC) ระบุว่ากรณีประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีปริมาณการผลิต
และใช้งานหุ่นยนต์มากที่สุดของโลก นอกเหนือจากบริษัท FANUC ที่เป็นผู้นำการผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรมการผลิตแล้ว ยังมีผู้นำด้านหุ่นยนต์บริการได้แก่ Sony, Fujitsu และ Honda ซึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการของตลาดหุ่นยนต์เพื่อความบันเทิง หุ่นยนต์ผู้ช่วย ทั้งนี้ข้อมูลจาก JETRO ระบุว่าตลาดหุ่นยนต์ใช้งานตามบ้านจะขยายตัวอย่างมาก เนื่องจากอัตราเพิ่มประชากรในญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว ประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ขาดแรงงานในประเทศ ซึ่งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอาทิ ยุโรปและอเมริกาก็มีแนวโน้มเช่นเดียวกัน






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:14  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101646

คำตอบที่ 84
      

fiogf49gjkf0d
ลำดับที่ 1 อินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ รอบตัว (The Internet of Things)

นับจากการมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพียงหลักแสน จนมาถึงหลักพันล้านในปัจจุบัน ที่มีทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ้ค เน็ตบุ้ค โทรศัพท์มือถือ มีสายและไร้สาย จากการประยุกต์ใช้งาน รับ-ส่ง อีเมล์ พื้นฐานมาจนสู่ World Wide Web และข้อมูลข่าวสารออนไลน์ มัลติมีเดีย จากปลายนิ้วสัมผัสของเราในเพียงไม่ถึงอึดใจ จุดเริ่มของความคิดนี้มาจากการติดบาร์โค้ด (รหัสแท่ง) ที่สินค้า ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเทคโนโลยี RFID หรือ การระบุด้วยป้ายชื่อที่อ่านด้วยคลื่นวิทยุ ต่อมา เราก็นำเครื่องอ่าน RFID มาใช้ในการสังเกตการณ์ ว่ามีวัตถุอะไรผ่านมาที่จุดที่เราสนใจหรือไม่ เครื่องอ่านเหล่านี้ก็คือสายลับ หรืออุปกรณ์ตรวจสอบว่า มีวัตถุใดอยู่ใกล้ตัวมัน

การนำสิ่งของต่างๆมาติดป้ายและสามารถอ่านได้ทางระบบที่ต่อกับอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจการขนส่งสินค้า การควบคุมการผลิตในโรงงาน การขายปลีกในห้าง รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยในสนามบิน หรือการควบคุมการเคลื่อนไหวของสินค้า หรือการป้องกันการลักขโมยสินค้าในห้าง

หลายๆประเทศ เริ่มที่จะมีป้ายทะเบียนรถ หรือป้ายจ่ายค่าทางด่วนเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการใช้เครื่องอ่านข้างถนน ตรวจสอบว่ารถที่วิ่งผ่านไปคือรถทะเบียนอะไร หากมีการใช้งานกันอย่างทั่วถึง การติดตามรถหาย คงไม่ต้องวิ่งตามแล้วครับ มันโผล่มาบนแผนที่เองเลยว่าอยู่ที่ไหน ส่งตำรวจไปดักจับข้างหน้าได้เลย

ในปัจจุบัน RFID ถูกนำมาติดกับร่างกายของสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข หรือสัตว์ในฟาร์ม เพื่อใช้เป็นป้ายประจำตัวบอกชื่อว่าใครเป็นใคร หากท่านจะนำสุนัขของท่านไปยุโรป ท่านต้องไปให้นายทะเบียนทำป้ายอิเล็กทรอนิกส์ให้เพื่อบ่งบอกว่าใครเป็นเจ้าของ พ่อพันธุ์แม่พันธุ์สัตว์ส่วนใหญ่ ก็ต้องมีการติดป้าย RFID เพื่อบอกว่าใครเป็นใคร

การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ หลายแห่งเริ่มมีการควบคุม ตอดเครื่องอ่านเพื่อคุ้มครองว่า สิ่งต่างๆเมื่ออยู่ระหว่างการขนส่ง ไม่มีใครเคลื่อนย้าย หรือนำสินค้าปลอมมาสลับสับเปลี่ยน หากมีใครเปิดคอนเทนเนอร์ รวมทั้งเคลื่อนย้ายสินค้าที่อยู่ระหว่างการเดินทาง เครื่องอ่าน RFID ที่ตู้คอนเทนเนอร์จะส่งสัญญาณแจ้งให้เจ้าของทราบทันที

การที่เรานำสิ่งของจำนวนมาก มาติดป้ายอิเล็กทรอนิกส์ และมีเครื่องอ่านอยู่ทุกหัวระแหง เราเรียกว่า “Internet of Things”

หากป้ายชื่ออิเล็กทรอนิกส์มีอุปกรณ์ตรวจวัด (sensor) คอยตรวจจับสภาพแวดล้อมต่างๆ อยู่ด้วย ป้ายชื่อเหล่านั้นก็จะเก่งขึ้นอีก เช่น ในการส่งออกอาหารเยือกแข็ง จำเป็นต้องมีการรับรองว่าในระหว่างการขนส่ง ต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่ถูกต้องตลอดเวลา ขณะนี้ในประเทศไทยเราสามารถสร้างป้ายชื่อที่มีระบบบันทึกอุณหภูมิซึ่งพร้อมที่จะรายงานประวัติการเดินทางได้ว่าผ่านหรือไม่ผ่านมาตรฐานที่ควบคุม

ทุกๆท่านที่ใช้ Smart phone ในวันนี้ ก็ถือว่าท่านเข้าสู่โลกของ Internet of things แล้วครับ โทรศัพท์ของท่าน ต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา และหากท่านอนุญาต มันจะส่งตำแหน่งของท่านไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก แจกให้กับเพื่อนๆที่ท่านอนุญาตให้ติดตามท่านได้อยู่แล้ว

ด้านระบบจราจรและขนส่ง เช่นรถยนต์ จะมี sensor และระบบสมองกลฝังตัวที่ช่วยให้หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ หรือ ระบบสื่อสารระหว่างยานพาหนะและโครงสร้างพื้นฐานจราจรเพื่อทราบสภาพจราจรล่วงหน้าเพื่อช่วยปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินทางให้หลีกเลี่ยงเส้นทางติดขัดหรือลดการสิ้นเปลือง และช่วยลดปัญหามลพิษเป็นต้น

ด้านการแพทย์สาธารณสุข ก็อาจจะได้เห็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ขนาดเล็กติดตัวผู้ป่วยหรือคนชราเพื่อติดตามเฝ้าระวังอาการและสื่อสารกับแพทย์และระบบข้อมูลสุขภาพได้ตลอดเวลา เหลานี้เป็นต้น

อย่างไรก็ดี Internet of Things นี้ไม่ได้เป็นเพียงส่วนขยายของ อินเทอร์เน็ต ที่เรารู้จักกันอยู่เท่านั้น แต่จะเกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของตนได้โดยพึ่งพาอยู่กับอินเทอร์เน็ต ซึ่งการเกิดประโยชน์จะเป็นในรูปแบบพึ่งพากับบริการ หรือธุรกิจใหม่ และจะสามารถครอบคลุมการสื่อสารในหลายรูปแบบ เช่น เครื่องสู่เครื่อง เครื่องสู่คนเป็นต้น

บทส่งท้าย
และนี่ก็เป็นสิบเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ผมหวังว่าสิ่งที่ยกตัวอย่างมานี้ จะสร้างจินตนาการให้แก่ทุกๆ ท่าน พอที่ท่านจะคิดถึงโอกาสทางธุรกิจเทคโนโลยีที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในโลก และในประเทศไทย ผมเชื่อว่าเพียงแค่เรามีความสามารถบางอย่างสักเรื่องสองเรื่องที่ดีระดับโลก สิ่งนั้นจะสร้างความมั่งคั่งให้กับธุรกิจและประเทศได้ แต่กว่าจะได้มา เราต้องทำการศึกษา ค้นคว้า วิจัยและมีความพากเพียรพอที่จะทำจนสำเร็จ การค้าของที่ดีที่สุดออกไปทั่วโลก น่าจะคุ้มค่ากว่าการทำหลายอย่างที่เล็กๆภายในประเทศ และสิ่งนั้นสามารถเป็นไปได้ หากมีความร่วมมือกัน

สวทช.พร้อมที่จะเป็นพันธมิตรร่วมทางกับธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย ที่อยากจะไปในอนาคตด้วยกัน โดยใช้ธุรกิจเทคโนโลยี เป็นยานพาหนะที่นำพาเราไปครับ

-------------------------------
ที่มา : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 จันทร์, 1/11/2553 เวลา : 09:15  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 101647

คำตอบที่ 85
      

fiogf49gjkf0d
เป็นงานวิจัยที่ยังต้องอาศัยการต่อยอดอีกสักระยะ แต่กับผลที่ปรากฏเบื้องต้นก็ทำให้นักวิจัยเจ้าของโครงการพบข้อสังเกตว่า การปั่นจักรยานอย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์นั้น "อาจ" ส่งผลกระทบต่อการผลิตเชื้ออสุจิของร่างกาย

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ที่ได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างชายจำนวน 2,200 คน และทุกคนยินยอมให้ตรวจคุณภาพของน้ำเชื้ออสุจิด้วย

ในการวิจัยมีทั้งการชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต การเลือกชุดชั้นใน ฯลฯ ผลปรากฏว่า ผู้ชายที่มีการออกกำลังกายเป็นปกตินั้นไม่ค่อยมีปัญหากับเรื่องของ "คุณภาพ" และ "ปริมาณ" ของน้ำเชื้ออสุจิสักเท่าใด เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย

อย่างไรก็ดี เมื่อลงลึกไปถึงประเภทของการออกกำลังกายแล้วพบว่า ผู้ชายที่ออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยานอย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์นั้นมีจำนวนเชื้ออสุจิน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ ถึงสองเท่า และเป็นเชื้อที่ไม่ค่อยแข็งแรงเสียด้วย

หัวหน้าโครงการวิจัย ลอร์เรน ไวส์ กล่าวว่า "การขี่จักรยานอาจก่อให้เกิดการบอบช้ำบริเวณเป้า หรืออาจทำให้อุณหภูมิบริเวณถุงอัณฑะเพิ่มสูงจึงมีผลกระทบออกมาดังที่ปรากฏ อย่างไรก็ดี ประเด็นดังกล่าวยังต้องการเวลา และการวิจัยเพิ่มเติมอีกสักระยะ"

เรียบเรียงจากเดลิเมล
Ref. : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000175772






 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พุธ, 15/12/2553 เวลา : 11:39  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 103040

คำตอบที่ 86
      

fiogf49gjkf0d
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรจะไปคู่ กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้

๑. อย่าเปรียบเทียบ ชีวิตของตัว เองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขา มีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒. อย่าคิดทางลบ เกี่ยวกับ เรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลก ในแง่ร้าย , ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิด ทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓. อย่าทำอะไร เกินกว่าที่ตัวเองทำได้ ...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔.. อย่าเอา จริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขา ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่า เสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณ กับ เรื่องหยุมหยิม หรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณ ผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖. จงฝันตอนตื่น มากกว่าตอน หลับ

๗. ความ รู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่อง ขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามี หรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร... จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.ประกาศ สงบศึกกับอดีตให้สิ้น , จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒.จงเข้าใจเสียว่า ชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียน รู้ และ ปัญหาเป็น เพียง ส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หาย ไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรีย ? รู้นั้นอยู่กับคุณตลอด ชีวิต

๑๓. จง ยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณ ไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถก เถียงกับคนอื่น หรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกัน ได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร



แล้ว เราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ ?


๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่ เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ ดังนั้น , อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็น อันขาด


และ ถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ , ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้

๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ , ไม่สวย , ไม่น่ารื่นรมย์ , จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม ?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผล ทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด , เดี๋ยว มันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน , จงลุก จากเตียง , แต่ง ตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน ด้วย... get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้ , อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...ดังนั้น , ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า

และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

" ส่งบทความที่ต่อไปให้คน ที่คุณรักและห่วงหาอาทรด้วย... "



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

005 จาก BoyDogtag,TTC-005 202.122.130.31 พุธ, 15/12/2553 เวลา : 16:04  IP : 202.122.130.31   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 103052

คำตอบที่ 87
      

fiogf49gjkf0d
ความรู้รอบตัวใหม่

ถีบเมียแล้วเมียจะรักมากขึ้น

1 . ดื่มเหล้าให้เมาแล้วกลับดึก ๆ
2. แต่พอกลับมาบ้านต้องพยายามให้ยังพอมีสตินิดนึง
3. แกล้งทำเป็นเข้านอนทั้งชุดนั้นเลยโดยไม่ต้องอาบน้ำ
4. ช่วงนั้นเมียคงจะด่าเราอยู่..เราก็เลยถอดกางเกง
5. แกล้งทำเป็นถอดไม่ได้..เมียเราก็จะมาช่วยถอดเอง
6. และจังหวะที่เมียเข้ามาใกล้นั่นแหละ.. บรรจงถีบเมีย ให้หงายไปเลย
7. แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า ” อย่ามายุ่งกับกู..กูรักเมียกุคนเดียว” แล้วก็หลับไปเลย
8. เช้ามาแค่นั้นแหละ..เมียก็จะรีบหากับข้าวอร่อยๆมาให้เราทานทันที

ใครกล้าช่วยบอกหน่อย
เนียนมากๆ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

thebank44 จาก thebank44TTC121 124.120.49.140 ศุกร์, 24/12/2553 เวลา : 19:53  IP : 124.120.49.140   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 103386

คำตอบที่ 88
      

fiogf49gjkf0d
ถอดกางเกงแล้วจะถีบยังงัย บอกด้วยตาแบ๊งค์





 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

rawat จาก TTC - 047 Mr. RAY 115.87.85.123 ศุกร์, 24/12/2553 เวลา : 20:08  IP : 115.87.85.123   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 103388

คำตอบที่ 89
      

fiogf49gjkf0d
55555....



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

bbb จาก โคบาลพงศ์ ttc 076 125.26.85.205 เสาร์, 25/12/2553 เวลา : 04:09  IP : 125.26.85.205   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 103398

คำตอบที่ 90
      

fiogf49gjkf0d
มาใหม่อีกแล้ว
ใช้กับช่วงปีใหม่นะครับ

ให้เหล้า = แช่ง
ไม่แบ่ง = ชั่ว
แบ่งไม่ทั่ว = เชี่ย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

thebank44 จาก thebank44TTC121 124.120.49.140 เสาร์, 25/12/2553 เวลา : 11:14  IP : 124.120.49.140   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 103410

      

ยังมีคำตอบมากกว่านี้นะครับ คลิ๊กเพื่อดูหน้าถัดไป


คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 3 จาก >>> 1  2  3  4  5  6  7  8  9  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,26 เมษายน 2567 (Online 5430 คน)