จาก ระบัดใบ 203.113.36.11
พุธที่ , 17/12/2546
เวลา : 05:30
อ่านแล้ว = 1084 ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
เมื่อวานนี้ตอนเย็น บนถนนสี่เลนทางเดียว ซอยนานา จากถนนเพชรบุรีมุ่งหน้าสุขุมวิท เลยทางเข้าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ไปประมาณร้อยเมตร
รถผมถูกชน โดยที่ไม่สมควรเกิดขึ้น และไม่ควรเรียกว่าอุบัติเหตุ
ผมขับกระบะ D4D Sportcruiser Prerunner (สี่ประตู ขับสอง ยกสูงเดิม ๆ ) ออกจากการทำงานพิเศษแถวสุขุมวิท อยู่เลนที่สองจากขวา ในจังหวะรถขยับตัว และชะลอตามไฟแดงรอบใหม่ พอผ่านหน้าโรงแรมซีนิท มองทางขวา เห็นรถวิออสสีทอง ออกมาจากที่จอดรถของตึกเข้ามาในถนนได้ครึ่งคัน ผมชะลอเกือบหยุด พอเห็นว่าวีออสหยุดเมื่อเห็นรถผม และอยู่ห่างจากเลนผมครึ่งคัน ผมก็ปล่อยให้รถไหลไปตามปรกติ แต่วินาทีถัดมาไม่เช่นนั้น เจ้าวีออสกลับพุ่งเข้าใส่ประตูด้านคนขับอย่างเต็มแรง กระทั่งรถผมต้องหยุดเคลื่อนที่เพราะแรงชน แต่เจ้าวีออสยังดันตัวมาข้างหน้าอีกครู่หนึ่ง
ผมไม่ใช่คนขี้ตกใจ และไม่ใช่คนชอบโวยวายอะไร ปิดเครื่องเสียง แล้วก็หันไปหาเบอร์โทรจากซองประกัน แล้วก็เรียกประกันมาดู เจ้าคนขับวิออสก็แสดงตัว มาขอโทษขอโพย เป็นคนแอฟริกัน เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย ผมก็บอกให้ไปเรียกประกันของเขามา เจ้าตัวบอกว่ามี แต่เมียเป็นคนจัดการทุกอย่าง เดี๋ยวเมียมา
ผมรออยู่ในรถประมาณห้านาที ออกจากรถไม่ได้เพราะวีออสคาประตูด้านคนขับอยู่ อีกอย่างก็จะรอเจ้าหน้าที่ด้วย แต่สักพักก็เห็นว่าจราจรติดมาก (ตามแบบฉบับสุขุมวิท) เพราะกินไปสองช่องทางด้านขวา คนทำงานแถวนั้นหลายคนก็บอกว่าขยับรถไปบนฟุตบาทหน้าโรงแรมดีกว่า ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นพยานให้ได้ อีกอย่างตำแหน่งร่องรอยบนรถ ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าใครผิดใครถูก
พอเจ้าคนแอฟริกันเริ่มขยับรถเท่านั้นแหละ ผู้คนแถวนั้น และตัวผมก็ถึงบางอ้อว่าทำไม พี่แกยังถอยรถไม่เป็น เฉซ้าย เฉขวา และรถกระโดดเป็นจังหวะ แม้กระทั่งตอนขับรถเดินหน้าก็ไม่ลื่น เจ้าหน้าที่โรงแรมต้องขอขับเอง เพื่อเปิดที่ให้บนฟุตบาทให้รถผม เท่านั้นแหละบางอ้ออีกประการก็แสดงตัว ไอ้นายขับรถโดยไม่ได้ปลดเบรกมือ ! ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า มันขับรถยังไม่เป็นนี่หว่า และนี่เองที่เป็นสาเหตุของรถกระโดด
เจ้าหน้าที่ของโรงแรมอีกคนก็มาบอกว่า คนนี้เพิ่งถอยรถชนรถคนอื่นในลานจอดรถของโรงแรม เมื่อวานนี้เอง
ผมถามเจ้าตัวดู เจ้าตัวก็บอกว่าเพิ่งขับรถไม่นาน ดูจากทะเบียนแล้วรถก็เพิ่งออก ไอ้นายตัวดีก็ขอโทษขอโพยผมหลายยก บอกว่าไม่ต้องห่วงมีอะไรจะรับผิดชอบเอง ทำงานอยู่ในตึกนี้แหละ เมื่อประกันมา ไอ้หมอก็ยื่นกระดาษถ่ายใบสำเนาใบขับขี่ให้ ซึ่งก็แปลก ที่ไม่ถือตัวจริง
ประกันผมจัดการบันทึกเรื่องจนเสร็จ ประกันอีกฝ่ายก็ยังไม่มา เกือบชั่วโมงแล้ว ถามไอ้นายตัวดี ก็บอกว่า เดี๋ยวเมียมา เดี๋ยวเมียมา
กระทั่งประกันที่ผมเรียกมาไปส่องที่หน้ากระจกรถ จึงถึงบางอ้อว่า เป็นประกันบริษัทเดียวกัน เจ้าหน้าที่ประกันจึงติดต่อกลับไปสำนักงานใหญ่ ปรากฏว่าฝ่ายไอ้นายตัวดีไม่มีการติดต่อไปเลย เจ้าหน้าที่ประกัน จึงเดินเรื่องเอง
สักพัก คุณเมีย พร้อมพวกเป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่งเป็นคนไทย ท่าทางดูดีทั้งหมด ก็มาถึง ภรรยาผมซึ่งค่อนข้างหงุดหงิดกับเหตุการณ์ก็ถามว่า เรื่องเสียเวลา เสียโอกาสการใช้รถจะมีการชดเชยให้บ้างไหม ฝ่ายภรรยาซึ่งมาทีหลัง และไม่มีคำว่าขอโทษสักคำ ร้องบอกว่าจะบ้าหรือ เขาไม่ได้ผิดนะ มันเป็นอุบัติเหตุ และเขาก็เป็นทนายด้วย ถ้าไม่พอใจอะไรก็ไปฟ้องศาลเอาโน่น
ฝ่ายผมก็บอกว่า ช่วงนี้เรามีแผนต้องใช้รถมาก ปลายสัปดาห์ต้องไปชลบุรี มีงานวิจัยของทางราชการที่เราต้องใช้รถบรรทุกของ ปลายสัปดาห์หน้าก็ต้องไปงานลักษณะเดียวกันที่เชียงใหม่ และถ้าเอารถเข้าอู่ก็ประมาณเจ็ดถึงสิบวัน (ตามคำของประกัน) ระหว่างนั้นเราจะเดินทางอย่างไร ไม่นับการเสียเวลาอีก
ชายกับหญิงฝ่ายเมีย ก็ขัดเข้ามาบ้างว่า เขาก็ทำงานราชการเช่นกัน เขารู้ดี ไม่ต้องอ้างราชการหรอก แต่ฝ่ายเขาไม่ผิด มันเป็นอุบัติเหตุ (ยังกับท่องมาเลย และยังกับเห็นด้วยตาตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น)
ผมก็เลยบอกเมียเจ้าตัวดีว่า คุณเป็นทนาย เอะอะก็จะเอาตามแต่ตัวหนังสือ และอีกอย่างคุณก็เป็นคนไทยด้วยกัน ทำไมถึงต้องพูดจาในลักษณะแบบนี้ คุณมีคุณธรรม มีน้ำใจบ้างไหม
คำตอบที่ได้ก็คือ เหมือนเดิมฝ่ายเขาไม่ผิดมันเป็นอุบัติเหตุ อยากได้อะไรไปฟ้องร้องเอา
พูดง่าย ๆ ว่าคุยกันอยู่พักหนึ่งอีก ก็ออกมาในน้ำเสียงเดียวกัน และสายตาเหยียด ๆ ทำเหมือนกับเราเป็นฝ่ายผิด และท่องประโยคนั้นอยู่ประโยคเดียว และไม่มีคำว่าขอโทษ ขออภัยใด ๆ เลย
สรุปก็คือ ผมค่อนข้างเสียความรู้สึกกับคนไทยสามคนนั้นมาก ผมว่าคนเรามีวิธีการพูดจากันที่ดีกว่านี้ คนไทยด้วยกันแท้ ๆ ต่างจากเจ้าแอฟริกันต้นตอของเรื่องที่เดินมาหาผม และผมก็อธิบายให้ฟัง เจ้าตัวก็เห็นใจ เสียใจ และบอกว่าจะให้ช่วยอะไรก็ (ไม่ทันขาดคำ ฝ่ายเมียก็ตวาดตาเขียว บอกว่าอย่าไปคุยกับฝ่ายผม ให้ไปนั่งอยู่ไกล ๆ) และไอ้นายก็ไปนั่งคอตกอยู่มุมตึก
ทั้งหมดนี้กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ไหน ไม่โผล่หัวเลยครับ ผมแจ้ง 191 ไปสองครั้ง ก่อนหน้านั้น ตอนที่รถผมคาถนนอยู่ เจ้าหน้าที่โรงแรมก็แจ้งไป ไม่มีการแสดงตัวเลย เจ้าหน้าที่โรงแรมก็บอกว่า เขาไม่เคยมาหรอกครับ ก่อนหน้านี้มีการชนกันขวางถนน แจ้งไปเขาก็ไม่มาเหมือนกัน
สรุป สำหรับผมก็คือ ซวย และก็ต้องทำใจสถานเดียว ต้องออกค่าแท็กซี่ไปทำงาน ต้องหาทางเช่ารถเพื่อไปทำงานวิจัย รวมทั้งประตูรถที่ต้องเคาะ ทำสีใหม่ ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ (ดูแล้วประตูน่าจะตกร่องนิดหนึ่ง แต่กระจกไฟฟ้ายังทำงาน)
ส่วนเจ้าคนไทยสามตัวนั้น พอประกันยื่นใบรายการให้ก็ออกรถแน่บเลย ปล่อยให้ฝ่ายแอฟริกันวิ่งเหยาะ ๆ ตามไป ผมก็นึกในใจว่า คนเรานี่แปลกดี ช่างปฏิบัติต่อคนอื่นได้ทรามจริง ๆ สักวันคงได้เจอแบบเดียวกัน แล้วจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ยิ่งขับรถเยี่ยม ๆ แบบนี้ ผมว่าคงได้เห็นในข่าวหน้าหนึ่งสักวัน และหากพูดจาอย่างนี้ หวังว่าธุรกิจคงได้เจริญลงสมใจ
เป็นคุณ คุณรู้สึกอย่างไรครับ
|