คำตอบที่ 46
เสนอภาษีรถยนต์ใหม่ รถหรู3,000 ซีซีแพงขึ้น เสียภาษีอัตรา 50%
กรมสรรพสามิต เสนอโครงสร้างภาษีรถยนต์ แบ่งตามความจุกระบอกสูบ ส่งผลรถยนต์ขนาดเล็กเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,500 ซีซี ถูกลงไม่มาก ส่วนรถหรูหราเครื่องยนต์ 3,000 ซีซีขึ้นไปแพงขึ้น โดยเสียภาษีในอัตรา 50%
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วานนี้ (12 ก.ค.47) คณะทำงานศึกษาโครงสร้างภาษีรถยนต์ กรมสรรพสามิต ได้มานำเสนอโครงสร้างใหม่ที่ได้หารือร่วมกับภาคเอกชนแล้วต่อ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยโครงสร้างภาษีใหม่จะเน้นการจัดหมวดหมู่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลออกเป็น 4 ระดับ ตามความจุกระบอกสูบ และมีกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกันไป เพื่อสนับสนุนให้มีการประหยัดพลังงาน
สำหรับคำจำกัดความของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะครอบคลุมถึงรถที่มีที่นั่งต่ำกว่า 11 ที่นั่งทุกประเภท ซึ่งรวมถึงรถออฟโรด รถตู้ 7 ที่นั่ง ที่เคยมีปัญหาการตีความพิกัดมาก่อนหน้านี้เข้าไปด้วย โดยจะแบ่งกลุ่มเป็น
1.รถยนต์นั่งที่มีความจุกระบอกสูบ 1-2,000 ซีซี จะจัดเก็บในอัตรา 30% 2.รถยนต์นั่งที่มีความจุกระบอกสูบระหว่าง 2,001-2,500 ซีซี จัดเก็บในอัตรา 35% 3.รถยนต์นั่งที่มีความจุกระบอกสูบ 2,501-3,000 ซีซี จัดเก็บในอัตรา 40% และ 4.รถยนต์นั่งที่มีความจุกระบอกสูบมากกว่า 3,000 ซีซีขึ้นไป จัดเก็บในอัตรา 50%
ทั้งนี้ สำหรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.รถที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,400 ซีซี เสียภาษี 35% 2.ขนาด 2,401-3,000 ซีซี เสียภาษี 41% 3.ขนาดเครื่องยนต์มากกว่า 3,000 ซีซี เสียภาษีในอัตรา 48%
ซึ่งหากเปรียบเทียบโครงสร้างเก่ากับแนวคิดโครงสร้างใหม่ ผู้ที่จะได้รับประโยชน์คือ กลุ่มรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี ซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดใหญ่ที่สุด มีรถทำตลาดที่สำคัญ เช่น โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส โตโยต้า โซลูน่า โตโยต้า อาวันซ่า ฮอนด้า ซีวิค ฮอนด้า ซิตี้ ฮอนด้า แจ๊ซ นิสสัน ซันนี่ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ฟอร์ด เลเซอร์ เทียร่า มาสด้า 323 โปรทีเจ หรือว่า เชฟโรเลต ออพตร้า โดยกลุ่มนี้จะเสียภาษีลดลงจาก 35% เหลือ 30% ตามแนวคิดโครงสร้างภาษีใหม่
นอกจากนั้น รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี ก็จะได้รับประโยชน์จากเดิมที่เสีย 41% ก็จะลดเหลือ 40% ส่วนรถที่มากกว่า 3,000 ซีซี เป็นกลุ่มเดียวที่เพิ่มจาก 48 เป็น 50% ซึ่งปัจจุบันรถที่ใช้เครื่องยนต์สูงกว่า 3,000 ซีซี มีตลาดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เท่ากับว่าแนวคิดใหม่ จะทำให้รถยนต์นั่งส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์
ส่วนรถที่จะได้รับผลกระทบอีกตัวหนึ่งก็คือ รถในกลุ่มออฟโรด ที่ปัจจุบันเสียภาษี 29% เพราะจะถูกจับเข้าไปรวมอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่ง และจะเสียภาษีตามปริมาตรกระบอกสูบ
"โครงสร้างใหม่จะจัดแบ่งหมวดหมู่เพื่อให้รถยนต์ที่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ และรถประเภทหรูหรา ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่ารถยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายในการประหยัดพลังงาน?
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มประเภทภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังทดแทน (ไฮบริด) ให้แยกออกจากรถยนต์ประเภทอื่นๆ โดยให้จัดเก็บภาษี 15% จากราคาหน้าโรงงาน ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป เพื่อสนับสนุนให้คนใช้รถยนต์ประเภทนี้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนว่าจะจัดอยู่ในประเภทใด
แหล่งข่าว กล่าวว่า สำหรับรถกระบะนั้นยังจัดเก็บในอัตรา 3% เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงมีรถกระบะ 4 ประตู (ดับเบิลแค็บ) ที่เสียภาษีในอัตรา 12% เช่นเดิม เพราะเป็นฐานผลิตที่ใหญ่ในประเทศ และเป็นรถใช้งาน หากเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบในวงกว้าง ส่วนรถยนต์นั่งกึ่งรถบรรทุก (พีพีวี) จัดเก็บเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากปัจจุบันเก็บในอัตรา 18%
?โครงสร้างภาษีดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอของคณะทำงาน จะต้องมีการพิจารณาในการประชุมใหญ่อีกครั้ง หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเดินทางกลับจากจีนในสัปดาห์หน้า? แหล่งข่าว กล่าว
ขณะที่ก่อนหน้านี้ ดร.สมคิด กล่าวว่า กระทรวงการคลังเลื่อนการหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ออกไปก่อน เนื่องจากเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบในวงกว้างและอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ที่มีมูลค่ามหาศาล การที่รัฐบาลจะออกนโยบายใดๆ ออกมา ย่อมก่อให้เกิดผลได้ผลเสียกับหลายฝ่าย จึงต้องการรับฟังเสียงจากภาคเอกชนให้มากที่สุด
การเลื่อนหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมของกระทรวงการคลังครั้งนี้ ส่งผลให้กระทรวงการคลังต้องเลื่อนนำโครงสร้างภาษีเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี จากเดิมที่กำหนดไว้ในสัปดาห์หน้าออกไปโดยปริยาย
"ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่รอไม่ได้ เราจำเป็นที่ต้องดูเรื่องนี้รอบคอบ เพราะมีผลกระทบมาก แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องการทอดเวลาออกไปจะมีใครเข้ามาล็อบบี เพราะผมไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการให้คลังได้รับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการ ซึ่งที่ผ่านมา ปลัดกระทรวงการคลังก็ได้เชิญผู้ประกอบการมาหารือแล้ว ส่วนวานนี้ อธิบดีกรมสรรพสามิต ก็ได้เชิญผู้ประกอบการรายย่อยมาหารือ" ดร.สมคิด กล่าว
ดร.สมคิด กล่าวว่า หลักใหญ่ของโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่นั้น ประกอบด้วย 1.การส่งเสริมให้เกิดศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 2.จัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเสียภาษี เช่น กรณีของรถตู้ ที่มีปัญหามาตลอดให้หมดไป และ 3.ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน
"ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะมีอีโคคาร์หรือไม่ แต่ทิศทางในอนาคต เราเห็นว่าเรื่องของพลังงานเป็นเรื่องสำคัญ และเราสนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ดังนั้น หากจะมีก็ต้องดูว่าไทยจะต้องได้ประโยชน์" ดร.สมคิด กล่าว