WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


มุมความรู้ครับ ใครที่คิดว่ามีข้อความที่เป็นความรู้ เกี่ยวกับ TOYOTA 2.7

จาก tnt
IP:61.19.88.226

เสาร์ที่ , 19/9/2552
เวลา : 16:12

อ่านแล้ว = ครั้ง
 เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งตรวจสอบกระทู้
 แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       มุมความรู้ครับ ใครที่คิดว่ามีข้อความที่เป็นความรู้ เกี่ยวกับ TOYOTA 2.7 มีประโยชน์ นำมารวมกัน อ่านได้ในหน้าเดียว จะได้ ไม่ต้อง ไปค้นในหลายหน้า

ขอแบบเป็นความรู้นะครับ
1 ข้อมูลเครื่อง
2 ข้อมูลการดูแลรักษา
3 เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เป็นความรู้หรือการพัฒนา
4 ข้อมูลเกี่ยวกับ หัวฉีดการปรับจูน
5 ข้อมูลการติดตั่ง

อยากให้เป็นความรู้จริง..จริง..อ่านแล้วมีประโยชน์ ควรค่าแก่การอ่านต่อ การบอกต่อด้วยครับ
<<--เนื่องจากรูปใหญ่จึงย่อเป็น icon เอาไว้ ถ้าจะดูรูป Click ที่นี่จ๊า



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

แจ้งเพื่อเก็บขึ้นกระทู้พิเศษ คลิ๊กที่นี่แจ้งเพื่อนำขึ้นกระทู้พิเศษ

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  

คำตอบที่ 1
       การดูแลรักษารถของท่านด้วยตนเอง



การดูแลรักษารถด้วยตนเองที่นำเสนอนี้ เป็นแนวทาง ทั่วๆไป ที่เน้นหนักไปที่รถ TOYOTA แต่สำหรับรถยี่ห้ออื่นก็สามารถ นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งที่นำเสนอนี้ต่างไปจากหนังสือคู่มือรถ ก็ขอให้ยึดถือข้อมูลในหนังสือคู่มือเป็นหลัก

รายการที่ควรตรวจเช็ค
1. น้ำหล่อเย็น ควรตรวจเช็คระดับน้ำหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ Full อยู่เสมอ โดยตรวจเช็คในขณะที่ดับเครื่องและเครื่องเย็น ถ้าระดับน้ำลดลงเป็นปริมาณมากก็อาจ จะมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นได้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องพิจารณาหาสาเหตุ หรือนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็คสาเหตุ (อย่าลืมเติมน้ำก่อนนำรถไป)
2. ระดับน้ำมันเครื่อง การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานแล้วดับเครื่องเช็คระดับน้ำมันเครื่องโดยใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง

- เพื่อให้การตรวจเช็คถูกต้อง รถควรอยู่ในแนวระดับเครื่องยังร้อน และทำการวัดหลังจากดับเครื่อง 2-3 นาทีเพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงด้านล่างก่อน
- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออก เช็คน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดด้วยผ้า
- เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิม
- ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง " F " กับ " L " แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติ

ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไป เพราะอาจ ทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
- ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่ก้านวัดอีกครั้งหลังเติม น้ำมันเครื่องลงไป




3. ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ควรตรวจเช็คระดับน้ำกลั่น แบตเตอรี่ ให้อยู่ในตำแหน่ง UPPER/LEVEL และไม่ควรเติมเกิน กว่าระดับ UPPER/LEVEL เพราะถ้าเติม มากเกินไป น้ำยาอิเลคโทรไลท์ซึ่งเป็นสารละลายกรด ซัลฟูริค จะเจือจางทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง นอกจากนี้ น้ำยาอิเลคโทรไลท์อาจจะกระเด็นออกทาง รูระบายไอ และไปกัดกร่อนชิ้นส่วนต่างๆ ในห้องเครื่องยนต์ได้



ข้อควรระวัง

- ปิดฝาเติมน้ำกลั่นให้แน่น
- ขั้วแบตเตอรี่ที่ขั้วบวกและลบขันแน่น
- แบตเตอรี่ยึดแน่นกับฐานที่ตั้ง





4. ระดับน้ำมันเบรค ควรตรวจเช็คด้วยสายตา สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันเบรคมีคำว่า MAX และ MIN ระดับน้ำมันเบรคควร อยู่ที่ระดับ MAX อยู่เสมอ สาเหตุที่เป็นไปได้ ที่มีผลทำให้ปริมาณน้ำมันเบรคในกระปุกน้ำมันเบรค ลดลงต่ำลงมี 2 ข้อ คือ

- มีการรั่วของน้ำมันเบรคออกจากระบบเบรค
- การสึกหรอของผ้าเบรค ซึ่งระดับน้ำมันเบรคจะลดลงน้อย และช้ามาก ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเบรคถ้าพบว่าระดับน้ำมันเบรคในกระปุกน้ำมันเบรค ลดลงต่ำลงรวดเร็ว ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจ เช็คสาเหตุ

5. ระดับน้ำมันคลัทช์ ควรตรวจเช็คด้วยสายตา สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันคลัทช์ จะมีคำว่า MAX กับ MIN ระดับน้ำมันคลัชท์ ควรอยู่ที่ระดับ MAX เสมอ ถ้าพบว่าระดับ น้ำมันคลัทช์ในกระปุกลดลงต่ำลง ควรนำรถเข้าศูนย์ บริการ เพื่อตรวจเช็คหาสาเหตุ

6. ระดับน้ำมันเกียร์ AUTO ควรตรวจเช็คขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่ โดยการดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ AUTO ออกเช็คน้ำมันเกียร์ ที่ติดก้านวัดด้วยผ้า แล้วเสียบก้านวัด น้ำมันเกียร์คืนกลับจุดเดิม ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจระดับน้ำมันเกียร์ที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมัน เกียร์อยู่ที่ขีด F พอดี แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์ปกติ

7. ตรวจเช็คระดับน้ำมัน POWER ควรตรวจเช็คขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่ โดยการหมุนฝาปิดกระปุกน้ำมันPOWER จะติด อยู่กับฝากระปุกน้ำมัน POWER ที่ก้าน วัดจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน ถ้าวัดตอนที่ เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ให้ดูด้าน COLD ถ้าวัดตอนเครื่อง ร้อนให้ดูด้าน HOT ถ้าเป็นรุ่นใหม่ให้ดูที่กระปุกน้ำมัน POWER จะเป็นพลาสติกใส ที่กระปุกจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน และมีขีดระดับ MAX กับ MIN อยู่ด้วยระดับน้ำมัน POWER ควรอยู่ระดับ MAX เสมอ ถ้าดูตอนเครื่องยนต์เย็นให้ดูด้าน COLD และถ้าดูตอน เครื่องยนต์ร้อนให้ดูด้าน HOT

8. ตรวจเช็คสภาพของสายพาน โดยวิธีการมองดูที่สายพานถ้าพบรอยแตกเกิดขึ้น ควรทำการเปลี่ยนแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะใช้รถได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ก็ควรตรวจดูความตึง ของสายพานด้วย โดยการใช้นิ้วกดลงบนสายพานตรงกลาง ระหว่างมู่เล่สองข้าง ถ้าสามารถกดลงได้เล็กน้อย ประมาณ 10 มม. ก็น่าจะพอใช้ได้ ( ถ้าไม่แน่ใจควรให้ช่างตรวจสอบ เพราะการตรวจด้วยวิธีดังกล่าว ผู้ตรวจต้องมีความชำนาญ พอสมควร )

9. ตรวจเช็คสภาพภายในห้องเครื่อง โดยวิธีการมองดูรอบๆภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ท่อยางหม้อน้ำมีคราบน้ำซึมหรือไม่ สายไฟภายใน ห้องเครื่องเรียบร้อยดีหรือไม่ มีหนูขึ้นมากัดหรือไม่ มีคราบ น้ำมันเครื่องรั่วซึมหรือไม่ เป็นต้น

10. ตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่าง และไฟสัญญาณต่างๆ เปิดไฟทั้งหมดดูว่าทำงานตามปกติหรือไม่ มีหลอดไหนไม่ติด หรือไม่ ถ้าพบว่ามีไฟหลอดไหนไม่ติดควรเปลี่ยน ให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน หรือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อ ตรวจเช็ค

11. ตรวจเช็คที่ปัดน้ำฝน ยางปัดน้ำฝนเมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ก็อาจมีการเสื่อมสภาพ ซึ่งเนื่องมาจากสาเหตุเหล่านี้
- ผิวสัมผัสส่วนปลายมีการสึกหรอ จากการทำงานปกติของ ใบปัด
- มีสิ่งสกปรก และหินทรายละเอียดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจกทำให้ยางปัดน้ำฝนสึกหรอ
- เมื่อใบปัดน้ำฝนผ่านการใช้งานนานๆ ยางใบปัดน้ำฝน จะแข็งตัว การยืดหยุ่นจะลดลง และความบกพร่องในการ ปัดจะเกิดขึ้น เนื่องจากหน้าสัมผัสระหว่างยางใบปัดกับ กระจกไม่ดี รวมทั้งอาจเกิดจากใบปัดน้ำฝนเกิดอาการ สั่นเต้น หรืออาการอื่นๆ ถ้าพบอาการเหล่านี้ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่

12. ตรวจเช็คยาง ควรเช็คแรงดันลมยางอยู่เสมอๆ โดยใช้ ความดันลมยางตามที่ผู้ผลิตกำหนด และควรเช็คขณะที่รถ ยังไม่ได้ใช้งาน( ยางยังไม่ร้อน ) ถ้าลมยางอ่อนผิดปกติ ควรนำไปตรวจสอบว่า มีตะปูตำหรือไม่ ดูสภาพยางด้วยตา ดูที่ผิวยางมีรอยแตกเล็กๆ หรือไม่ ดูการสึกหรอของดอกยาง กล่าวคือ ดอกยางสึกมากไปหรือยัง หรือมีการสึกหรอผิด ปกติ เช่น ลึกเฉพาะตรงกลางหน้ายาง ( เติมลมมากเกินไป ) สึกเฉพาะขอบยางทั้ง 2 ข้าง ( ลมยางอ่อนเกินไป ) หรือสึก ด้านใดด้านหนึ่ง ฯลฯ ซึ่งกรณีเหล่านี้ ควรปรึกษาช่าง เพราะ ควรจะมีการตรวจเช็คช่วงล่าง และศูนย์ล้อ เอาเล็บมือกดดู ที่เนื้อยางว่า นิ่ม หรือ แข็ง ถ้ายางหมดสภาพ เนื้อยางจะกดไม่ลงจะแข็งมาก





การบำรุงรักษารถด้วยตนเองที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ควรทำบ่อยแค่ไหน ?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับรถของท่านว่า ใหม่หรือเก่า มีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าเป็นรถใหม่ๆ ทำอาทิตย์ละครั้งก็มากพอแล้ว แต่ถ้าเป็นรถเก่าสภาพไม่ดีนักก็อาจต้องทำทุกวัน

คำแนะนำ
ข้อควรระวังในการบำรุงรักษารถด้วยตัวของท่านเองถ้าท่านทำการบำรุงรักษารถด้วยตัวท่านเอง , ก่อนอื่นต้อง แน่ใจว่า ได้ปฏิบัติตามข้อควรระวังที่ให้ไว้ในส่วนนี้ อย่างถูกต้องไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้คำแนะนำในส่วนนี้ใช้เฉพาะในการบำรุงรักษารถ เฉพาะส่วนที่บำรุงรักษาง่ายๆการทำงานใดๆ เกี่ยวกับรถยนต์ของท่านควรจะใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นตาม คำแนะนำ หรือคำเตือนดังต่อไปนี้

คำเตือน :
- ขณะเครื่องยนต์กำลังทำงาน ระวังอย่าให้มือ , เสื้อผ้าและ เครื่องมือต่างๆเข้าใกล้ใบพัด และสายพานขับเครื่องยนต์ ( ควรถอดแหวน , นาฬิกา และเนคไท ออกก่อนทำการ ตรวจซ่อม )
- หลังจากใช้รถให้ระวังอย่าสัมผัสกับเครื่องยนต์ , หม้อน้ำและท่อไอเสีย เนื่องจากความร้อนของสิ่งเหล่านี้
- อย่าสูบบุหรี่ ใกล้น้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากไอน้ำมันเชื้อ- เพลิงจะไวไฟมาก
- ให้ระมัดระวังอันตรายจากน้ำกรด และไอน้ำกรดจากแบตเตอรี่ เมื่อทำงานอยู่กับแบตเตอรี่
- อย่าเข้าใต้ท้องรถโดยมีเพียงแม่แรงรองรับเท่านั้น ควรใช้ขาตั้งรองรับเสียก่อน
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันตาขณะทำงานในที่ที่อาจมีของตก มีการพ่นหรือละอองของเหลวกระเด็นออกมาไม่ว่าจะอยู่บนหรือใต้รถก็ตาม - ควรระมัดระวังเมื่อมีการเติมน้ำมันเบรค เนื่องจากน้ำมันเบรคเป็นอันตรายต่อตาของท่าน และทำลายสีรถได้ ถ้า น้ำมันเบรคกระเด็นเข้าตาหรือโดนสีรถให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดโดยทันที

ข้อควรระวัง :
- จำไว้ว่าสายจากแบตเตอรี่และสายไฟจุดระเบิด มีกระแส หรือแรงดันไฟสูงมาก จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจร
- ก่อนปิดกระโปรงหน้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่ลือเครื่อมืออุปกรณ์ต่างๆ ไว้
- ถ้าท่านทำน้ำมันต่างๆ หกรดโดนชิ้นส่วนต่างๆ ให้รีบล้างออกโดยน้ำสะอาดเพื่อป้องกันชิ้นส่วน หรือสีเสียหาย
- อย่าเติมน้ำมันเกียร์อัตโนมัติมากเกิน มิฉะนั้นระบบเกียร์อาจเสียหายได้
- อย่าเติมน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์มากเกิน มิฉะนั้นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์อาจจะเสียหายได้




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก tnt 61.19.88.226 เสาร์, 19/9/2552 เวลา : 18:13  IP : 61.19.88.226   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 15324

คำตอบที่ 2
       http://www.weekendhobby.com/offroad/toyota2700club/Question.asp?ID=335

ที่เคยโพสต์กันไว้



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก Auto 202.80.239.130 เสาร์, 19/9/2552 เวลา : 18:22  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 15325

คำตอบที่ 3
       การดูแลรถยนต์หลังจากติดแก๊ส
มาดูกันครับว่าเราจะดูแลรถแสนรักของเราอย่างไรให้อายุการใช้งานยืนยาวไปตราบเท่าที่เขาจะอยู่กับเรา
ติดแก๊สแล้วจะต้องดูแลอะไรบ้าง จึงควรมีการดูแลที่ใกล้ชิดพอสมควร
1. ตรวจเช็ครอยรั่วซึมของก๊าซ ตามข้อต่อ และจุดต่างๆ ทุกเดือน โดยใช้ฟองสบู่ หรือเครื่องตรวจวัดการรั่วของก๊าซ
2. ตรวจเช็คและทำความสะอาดไส้กรองอากาศทุกๆ 5,000 กิโลเมตรซึ่งบ่อยกว่าการตรวจเช็คเมื่อใช้น้ำมันเบนซินเพียงอย่างเดียว (ปกติ 10,000 กิโลเมตร)
3. ตรวจสอบอุปกรณ์สำหรับเติมก๊าซ ถังก๊าซตรวจ น็อตที่ยึดถังก๊าซทุกเดือน
4. ควรตรวจเช็ค และตั้งบ่าวาล์วไอเสียทุกระยะ 40,000 - 60,000 กม. เพราะบ่าวาล์วไอเสียของเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV และ LPG จะมีโอกาสสึกหรอเร็ว 2.7 ไม่ต้องครับ
5. ไม่ควรดัดแปลงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้งานก๊าซที่ได้รับการติดตั้งจากศูนย์ที่ได้มาตรฐานหากมีปัญหาให้รีบติดต่อศูนย์บริการที่ติดตั้งมาทันที
6. ห้ามเติมก๊าซเกินแรงดันที่กำหนดไว้ของถัง จะทำให้ถังเสื่อมคุณภาพเร็ว และอาจระเบิดได้
7. เพื่อรักษาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ควรใช้น้ำมันสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนและหลังการใช้
8. หากเกิดการรั่วไหลของก๊าซ ให้รีบหยุดรถ และดับเครื่องยนต์โดยทันที รีบปิดวาล์วที่ถังก๊าซ และห้ามทำการใดๆ ที่ทำให้เกิดประกายไฟ ตรวจดูว่าหากไม่มีการรั่วไหล เพิ่ม ให้เปลี่ยนระบบมาใช้น้ำมันสตาร์ทเครื่องแล้วรีบนำรถเข้าไปยังศูนย์บริการที่ติดตั้งโดยทันที
9. หากเกิดไฟไหม้ที่ตัวรถให้รีบดับเครื่องยนต์ปิดวาล์วที่ถังก๊าซโดยทันทีถ้าทำได้ และออกห่างจากตัวรถ หรือพยายามดับไฟที่แหล่งกำเนิด
10. เพื่อรักษาประสิทธิภาพ และคุณภาพของชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำมัน ควรมีน้ำ มัน ติดถังไว้อย่างน้อย 1 ส่วน 4 ถังเสมอๆ และเพื่อป้องกันระบบปั๊มน้ำมันเสีย



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก tnt 61.19.88.226 เสาร์, 19/9/2552 เวลา : 18:32  IP : 61.19.88.226   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 15327

คำตอบที่ 4
       ติดแก๊ส
ก๊าซตอนนี้ จ่ายไว้หนา เครื่องยนต์จะ ปรับตัวเอง อยู่ตลอด ลดเวลาการฉีด ลง

มีผล เกี่ยวโยง กับ การจ่ายน้ำมัน

เวลา สตาร์ทครั้งแรก น้ำมันเลยจ่ายน้อย

เครื่องยนต์ เลยวูบ

แต่ เวลาร้อน อาจดีขึ้น แต่ เวลาเย็น อาการจะชัดเจน ครับ

กล่องเครื่องยนต์ จะไม่รู้ว่า ตอนนี้ ใช้น้ำมัน หรือแก๊ส อยู่ นึกว่า ยังฉีด น้ำมันอยู่

ถ้าเมื่อไร ตรวจเจอ ว่า เชื้อเพลิง หนา ก็จะสั่งลดการฉีด จากเดิม สมติ 3 ms

ลงมาเรื่อยๆ สมติ เหลือ 2ms เวลาการฉีด ขนาดนี้ เครื่องยนต์ อาจเดินเบาสั่น หรือ ติดยาก หรือ ติดแล้วดับ

ถ้าให้หาย ต้องรอให้ กล่อง รีเซ็ต อยู่ ระยะหนึ่ง อาการก็จะปกติ

การตรวจสอบ ง่ายๆ

รถติดตั้งแก๊ส วิ่งน้ำมันอย่างเดียว ไม่ใช้แก๊ส เลยทั้งวัน

พอเช้ามา ติดเครื่อง ถ้าอาการเครื่องยนต์กลับมา ปกติ ทุกอย่าง

แสดงว่า แก๊ส ที่จ่ายตอนนี้ หนา ทำให้เกิดอาการดังกล่าว

ข้อเสีย ของแก๊ส จ่ายหนา สิ้นเปลือง วิ่งอืด ห้องเผาไหม้ สกปรก น้ำมันเครื่อง เสื่อมเร็ว

อย่าคิดว่า แก๊ส ไม่มีเขม่า ถ้าเมื่อไร เกิดการเผาไหม้ ที่ไม่สมบูรณ์ ก็ย่อม มี เขม่า เกิดขึ้นได้เหมือนกัน




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก มุมความรู้ 61.19.88.226 พุธ, 23/9/2552 เวลา : 21:55  IP : 61.19.88.226   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 15483

คำตอบที่ 5
       http://www.weekendhobby.com/offroad/toyota2700club/question.asp?page=1&id=757



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก มุมความรู้ 61.19.88.226 พุธ, 23/9/2552 เวลา : 21:56  IP : 61.19.88.226   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 15484

คำตอบที่ 6
       ภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้ไม้ยี่โถสำหรับไล่หนู เพราะไม้ยี่โถมียางซึ่งเป็นพิษ พวก Rodent ซึ่งเป็นสัตว์ฟันแทะ จะไม่ยอมกัดไม้พวกนี้และจะหลีกหนีไปห่างไกล
เอาไปตัดทอนใช้ลวดผูกเป็นมัดแขวนไว้ในห้องเครื่อง กิ่งสดจะมีกลิ่นทน



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก Auto 202.80.239.130 พุธ, 23/9/2552 เวลา : 22:02  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 15485

คำตอบที่ 7
       บทความข้อ 4 คัดลอกมาจาก ช่างเจ...นะครับ
เป็นคำตอบของ ช่างเจ ผมเห็นว่าเป็นความรู้ดีครับ
เลยเอามาลงครับ



 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

จาก มุมความรู้ 61.19.88.226 พุธ, 23/9/2552 เวลา : 22:50  IP : 61.19.88.226   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 15487

คำตอบที่ 8
       สำหรับท่านเจ้าของรถทุกท่านคงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า การดูแลรักษาเครื่องยนต์และการทำความสะอาดรถเป็นประจำนั้น มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย Motor Technic ในครั้งนี้ขอแนะนำวิธีการรักษาพรมในรถยนต์ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งทำได้ไม่ยาก

1. ขณะที่ท่านก้าวขึ้นรถควรขจัดสิ่งสกปรก เช่น โคลน ทราย กรวด หรือหินที่ติดมากับรองเท้าให้ร่วงหลุดไปบนพื้นถนนก่อนที่จะก้าวขึ้นรถ

2. ควรปัดหรือดูดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งถ้าหากเจ้าของรถไม่สะดวกที่จะทำเองก็สามารถใช้บริการนี้ได้จากสถานนีบริการ ทั่วๆ ไป

3. ใช้แผ่นยางซึ่งมีขายอยู่ทั่วๆ ไปปูทับบนพื้นพรมบริเวณที่มักจะถูกรองเท้าสัมผัสบ่อยๆ เพื่อเป็นตัวรองรับกรวดทรายหรือฝุ่น ซึ่ง พรมรองเท้าหรือแผ่นยางนี้จะสามารถนำออกมาทำความสะอาดได้โดยสะดวก





อย่างไรก็ตาม ความสกปรกบนพื้นพรมมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ วิธีทำความสะอาดก็จะแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุแห่งความสกปรกที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีต่างๆ ดังนี้

1. ถ้าพรมเปียกน้ำเพียงเล็กน้อย ให้นำผ้าหรือกระดาษทิชชูมาซับน้ำออก นำรถจอดไว้กลางแดดโดยเปิดกระจกทิ้งไว้ ความร้อนจะช่วยทำ ให้พรมแห้งแต่ในกรณีที่น้ำเปียกพรมมาก ควรถอดเบาะนั่งออกก่อน หลังจากนั้นจึงถอดพรมออกมาซักแล้วผึ่งแดดจัดๆ เหมือนการตากผ้าทั่วไป เพียงแต่อาจต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 2 วัน หรือจนกว่าพรมจะแห้ง สนิท จึงนำเข้าที่ตามเดิม ซึ่งหากท่านไม่สามารถถอดอุปกรณ์ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง วิธีที่ดีที่สุด คือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อให้ช่างที่ชำนาญถอดพรมออกซัก

2. พรมเปื้อนโคลนหรืออาเจียน การทำความสะอาดที่ถูกวิธีควรใช้อุปกรณ์ตักเซาะเอาเศษความสกปรกออก หลังจากนั้นใช้ผ้าแห้งที่สะอาดหรือกระดาษซับความเปียกชื้นออกไปจนหมาด ควรเช็ดจากวงนอกเข้าไปกลางจุดที่เปื้อนเพื่อป้องกันความสกปรกขยายวงกว้างออกไป ถ้าความสกปรกยังไม่หมดไปใช้แชมพูซักพรมฉีดบริเวณนั้น หากภาย ในรถของท่านยังมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ติดอยู่ ควรนำรถไปจอดกลางแดดที่ร้อนจัดปิดกระจกทุกบานไว้ประมาณ 2-5 ชั่วโมง จึงค่อยเปิดประตูรถให้ลมพัดผ่าน ความร้อนจากแสงแดดจะช่วยทำลายกลิ่นให้ จางลงหรือหมดไป หากยังไม่หายสนิทก็ทำซ้ำเช่นนี้อีกจนกว่ากลิ่นจะจางลงไป

3. หมากฝรั่งติดพรม การขูดเซาะออกขณะที่หมากฝรั่งอ่อนตัวทำได้ยาก เนื่องจากหมากฝรั่งจะเหนียวทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อพรมได้ และถ้าไม่ระวังหมากฝรั่งอาจจะเลอะเทอะกระจายเพิ่มขึ้น วิธีที่พึงปฏิบัติคือใช้ก้อนน้ำแข็งมาประคบที่หมากฝรั่งให้เย็นจนแข็งตัว จากนั้นก็ใช้ช้อนขูดออก จะทำให้หมากฝรั่งหลุดออกได้ง่ายขึ้น





4. พรมเปื้อนสารเคมี ในกรณีที่พรมเปื้อนสารเคมีที่เกิดจากน้ำยาทาเล็บ น้ำมันเครื่องหรือไขจาระบี การซักด้วยน้ำเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถล้างคราบของสารเคมีออกได้หมด เพราะจะมีความมันติดหลงเหลืออยู่ ควรใช้แชมพูสำหรับซักพรมโดยเฉพาะ มาทำการล้างออกทันทีก่อนที่สารเคมีเหล่านี้จะจับนาน ซึ่งอาจจะทำให้ล้างออกยาก

อย่างไรก็ตาม พรมก็มีคุณประโยชน์เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฉนวนป้องกันความร้อน ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานจะมีความร้อนจากเครื่องยนต์ ส่งผ่านไปยังท่อไอเสียที่ติดตั้งอยู่ใต้พื้นผิวรถ นอกจากนั้น ในเวลากลางวันผิวถนนที่ถูกแสงแดดเผาจนมีความร้อนสูงมาก เมื่อรถแล่นไปเหนือผิวถนนก็จะรับเอาความร้อนเข้ามาทางพื้นห้องโดยสาร ซึ่งพรมจะช่วยป้องกันความร้อนได้ระดับหนึ่ง

อีกทั้งยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารให้คงที่ เนื้อพรมที่มีขนฟูสูงแต่ไม่ควบแน่นจะมีช่องอากาศอยู่ในตัว ทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่อมความร้อนและไม่ยอมให้ความร้อนผ่าน

จากคุณสมบัติเหล่านี้พรมจึงเป็นตัวช่วยควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารให้คงที่ ซึ่งจะช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ที่สำคัญช่วยซับเสียงรบกวนจากภายนอก เนื้อพรมที่มีลักษณะนุ่นหนาทำให้มีคุณสมบัติในการกั้น หรือต้านเสียงที่เกิดจากภายนอกห้องโดยสาร เช่น เสียงยางที่บดไปบนพื้นถนน เสียงเครื่องยนต์และเสียงรบกวนอื่นๆ ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความเพลิดเพลินในการใช้รถ


http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9520000113662




 แสดงความคิดเห็นย่อย แสดงความคิดเห็นย่อย

Auto. จาก Auto. 202.80.239.130 จันทร์, 28/9/2552 เวลา : 21:03  IP : 202.80.239.130   

edit แก้ไขคำตอบ   delete ลบคำตอบ 15625

      

คำตอบแบ่งหน้าละ 30 คำตอบ ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า 1 จาก >>> 1  



website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่



Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันศุกร์,29 มีนาคม 2567 (Online 2632 คน)