คำตอบที่ 1
       เหตุที่คนนิยมเลือก Fortuner ดีเซลเพราะว่ามันเป็นการตลาดบ้านเราครับที่เน้นไปทางนั้นมากกว่า
ค่านิยมเราเริ่มมีมานานกับเครื่องยนต์ดีเซลที่ถูกพัฒนาขึ้นมากเรื่อย ๆ เมื่อกระแสต้องการ ตลาดนิยมก็จึงเกิดโรงงานผลิต

โรงงานผลิตเครื่องยนต์โตโยต้าอยู่ที่นิคมอมตะนครคอยผลิตเครื่องดีเซลป้อนให้กับโรงงานโตโยต้าภายในประเทศเน้นที่ตลาดในประเทศเป็นหลัก




ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ มีเวลาเดี๋ยวผมมาตอบให้ใหม่

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 2
       มาต่อครับ


เรื่องเบนซินกับดีเซลอันไหนเหมาะสมกว่าสำหรับรถ SUV จริง ๆ แล้วคำตอบนี้ไม่ยากเลย เพียงแต่ว่าทรรศนะของคนมีหลากหลายและหลายแนวความคิด
จนเกิดการขยายตัวในวงกว้างไปหลาย ๆ แบบ






ผมย้อนอดีตให้ฟังนิดนึงครับ
สมัยก่อน ผมเองก็เคยเรียนมาจากตำราเล่มเก่า ๆ สมัยอดีต ๆ ที่คนแต่งตำราก็แต่งตามพื้นฐานหลักสูตร ปวช. ตามกระทรวงศึกษาธิการและสอดคล้องกับบ้านเรา
เวลานั้นและเวลานี้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่า ถ้าเป็นรถบรรทุก รถปิคอัพมันต้องเป็นเครื่องดีเซล เพราะเครื่องดีเซลแรงบิดดีที่รอบต่ำให้กำลังสูงกว่าเบนซินในขนาดซีซีเท่ากัน และยังประหยัดน้ำมันกว่า

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 3
       ลองมองภาพตามไปก็ได้ ไปต่อครับ



ทีนี้สมัยอดีตนั้น
รถดีเซลมีแรงม้าไม่มากนัก ซีซีก็ไม่มากนัก
ถ้าเป็นรถเบนซินก็แรงม้าไม่มากเช่นกัน แรงบิดก็ไม่มากซีซีต่ำด้วย แค่ไม่ถึง 1800 ซีซี
คำกล่าวที่เราเคยเรียนสมัยอดีตนั้น มันก็เป็นความจริงค่อนข้างมาก





แต่องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เคยถูกสอนสั่งกันมานั้น
มันขาดปัจจัยหลาย ๆ อย่างไปมาก
ในตำราสมัยอดีตนั้น ไม่เคยสอนสั่งกันมาเลยว่า
เครื่องยนต์แบบไหน ใช้เชื้อเพลิงอะไร สามารถประยุกต์การใช้เชื้อเพลิงได้หรือไม่
เครื่องยนต์แบบไหน มีมลพิษต่ำที่สุด และรถยนต์แบบไหน แรงม้าและแรงบิดเปรียบเทียบกันยังไง





สิ่งเหล่านี้แทบไม่เคยถูกถ่ายทอดหรือสอนกันในตำราให้นักศึกษาได้เล่าเรียนกันเลย
เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีของรถยนต์และเครื่องยนต์มันถูกพัฒนาไปมากไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ทั้งดีเซลและเบนซิน
ถึงแม้ว่าบริษัทรถยนต์ไม่ว่าจะเป็น Toyota หรือค่ายรถยนต์อื่นๆ จะพยายามที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ออกไปบ้าง เพื่อหวังผลขายสินค้าให้มากขึ้นและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ลงสู่ชาวบ้านให้มากขึ้น เพื่อผลทางการตลาดและชื่อเสียงในอนาคต
แต่เรื่องเหล่านี้มันมีนัยยะสำคัญอยู่ มาก
เพราะโนฮาวด์ด้านการผลิต การออกแบบ การตลาดรวมถึงปัจจัยอื่นๆ ในการกำหนดทิศทางการตลาด

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 4
       มาต่อ


ขอรวบรัดตัดความมาที่สมัยปัจจุบัน
เปรียบเทียบรถในหลาย ๆ แบบทั่วโลก

ถ้าเป็นอเมริกา
คนอเมริกันนิยมชื่นชอบรถ SUV และรถปิคอัพไซด์ใหญ่ ๆ
คนอเมริกันชื่นชอบกิจกรรมยามว่างหรือพักผ่อนในวันหยุดที่จะออกมาในรูปของกีฬาหรือกิจกรรมอื่นๆ ในครอบครัว
รัฐบางรัฐของอเมริกามีขนาดใหญ่การคมนาคมไม่สะดวก ครอบครัวมักจะมีรถยนต์ส่วนตัวเพราะรถที่นี่ราคาไม่แพงนักและราคาน้ำมันถ้าเทียบกับค่าครองชีพไม่ถือว่าแพง
รถอเมริกัน ส่วนใหญ่จึงเน้นหนักไปที่รถเบนซิน เครื่องยนต์ใหญ่ ๆ ที่มีซีซีมาก ๆ กำลังแรงม้าสูง ๆ เพื่อรองรับการใช้งานของตน
เราจะเห็นรถอเมริกันอย่าง Ford Explorer ที่เป็น SUV ยอดนิยมของคนอเมริกันเป็นรถไซด์ใหญ่ มีความจุประมาณ 4000 กว่าซีซีขึ้นไป ใช้เครื่องยนต์เบนซิน
หรือแม้แต่รถปิคอัพที่ขายในอเมริกา ก็มีขนาดความจุเครื่องยนต์ที่ใหญ่ มาก ๆ เป็นเครื่องยนต์เบนซินที่มีซีซีตั้งแต่ 4000 กว่าขึ้นไปจนถึง 5700 ซีซี เครื่องมีทั้ง 4 สูบ และ V6 V8
คนอเมริกันไม่นิยมรถดีเซลเท่าไหร่นัก เพราะพวกเขานิยมรถที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ และความจุเครื่องยนต์ที่ใหญ่มากเช่นกัน พวกเขาต้องการทั้งแรงม้าและแรงบิด
การได้เครื่องเบนซินขนาดนี้มานับได้ว่ากำลังเพียงพอสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี และเหมาะที่จะนำมาใช้ในครอบครัว

กลับกันถ้าเป็นรถปิคอัพหรือ SUV ที่มีขนาดใหญ่แล้วไปเลือกเครื่องยนต์ดีเซล คงไม่ไหว เพราะเครื่องดีเซลมีน้ำหนักมากการสั่นสะเทือนสูง ถ้าเอาเครื่องดีเซลมาลงกับรถที่มีขนาดใหญ่ ๆ ก็ต้องเพิ่มขนาดความจุกระบอกสูบให้ใหญ่ตามไปด้วยซึ่งการเพิ่มแบบนี้ถ้าเป็นเครื่องดีเซลต้นทุนจะยิ่งสูงมาก น้ำหนักโครงสร้างของตัวรถก็จะยิ่งมากตามไปด้วย การสั่นสะเทือนและเสียงก็มากขึ้นไปอีก การออกแบบเครื่องดีเซลที่มีขนาดใหญ่ ๆ เพื่อลงกับรถขนาดใหญ่ ๆ จึงเน้นไปที่รถ Truck รถบรรทุกขนาดใหญ่มากกว่ารถส่วนตัว


เพราะรถที่สอดคล้องกับการนำมาใช้เป็นรถส่วนตัวในชีวิตประจำวันนั้น เบนซินให้การตอบสนองที่ดีกว่าดีเซล

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 5
       ปัจจุบันนี้ในไทย รถปิคอัพดีเซลที่มีความจุซีซีสุงที่สุดคือ มิตซูบิชิ 3200 ถ้าเครื่องดีเซลออกแบบให้มีความจุมากว่านี้ในรถขนาดเล็ก ๆคงไม่ไหว


แต่กลับกันถ้าปิคอัพตัวเดียวกันนี้สามารถใส่เครื่อง เบนซิน V6 ความจุ 3800-4500 ซีซีได้สบาย
ซึ่งสามารถให้กำลังแรงม้าและแรงบิดได้ดีกว่าเครื่องดีเซลที่มีซีซีต่ำกว่าได้แม้เป็นคอมมอนเรลก็ตาม

เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นข้อได้เปรียบที่คนอเมริกันจะชอบมันมากกว่า

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 6
       ถ้าเป็นฟากฝั่งยุโรป
ปัจจุบันนี้นิยมรถที่มีซีซีต่ำและรถขนาดเล็กมากขึ้น
ค่าแรงงานในการซ่อมรถของยุโรปมีราคาแพง
ในยุโรปเองก็มีอากาศหนาวจัดมาก
การใช้งานรถจึงเริ่มนิยมไปที่รถดีเซลขนาดเล็กมาเป็นรถส่วนบุคคลมากขึ้น

เพราะดีเซลค่าซ่อมแซมถูกกว่าเบนซินและไม่ค่อยจุกจิกมากนัก

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 7
       ถ้าเป็นฝั่งโลกตะวันออกอย่างญี่ปุ่นรถส่วนใหญ่จะเป็นเบนซิน

SUV หรือแม้แต่ปิคอัพอย่างรุ่นไทเกอร์บ้านเราก็จะเป็นเครื่องเบนซิน
แต่ในขณะที่ปิคอัพโตโยต้าไทเกอร์บ้านเรามีแต่ดีเซล ล้วน ๆ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 8
       ถามว่าอะไรเหมาะสม
มันไม่มีจุดเหมาะสมหรอก เพราะจุดที่เหมาะสมมันอยู่ที่เจ้าของรถเป็นคนเลือกมากกว่า



ในรถถ้ามีการเปรียบเทียบกัน
Class A ถ้าเป็นรถ Mitsubishi New Pajero ราคาคันล่ะ 3.8 ล้านบาท
มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ คือ
1. ดีเซล 3.2 DID แรงม้าจะสูงกว่าในไทรทัน
2. เบนซิน 3800 ซีซี แรงบิดพอ ๆ กันกับดีเซล แต่แรงม้ามากว่า 250 แรงม้า


การกินน้ำมัน 2 ตัวนี้พอ ๆ กันที่ราว 7-9 km/l
ทั้ง 2 ตัวนี้ ถ้าให้เลือกน่าลองเลือกดีเซลเหมาะสมกว่า
เพราะชื่อเสียงมิตซูบิชิในการเซอร์วิสรถแบบนี้จะแพงมาก ๆ โดยเฉพาะด้านเครื่องยนต์และเกียร์ต้องใช้ผู้ชำนาญสูง แต่หาไม่ได้และมีราคาแพงอาจเอาไม่จบและจุกจิกในอนาคตการเลือกเครื่องเบนซินจะมีราคาค่าบริการแพงเกินความจำเป็นและหาพึ่งพาอู่นอกลำบากเพราะหาผู้ชำนาญไม่ได้และการรวมกลุ่มรวมตัวเป็นชมรมก็ไม่สามารถจำทำเพื่อช่วยเหลือกันในรถระดับนี้ได้



Class B
ถ้าเป็นรถ BMW X5 โฉมปัจจุบันมีเครื่องยนต์ให้เลือกเป็นดีเซลและเบนซิน วี 8 สูบ 4800 ซีซี
ทั้ง 2 ตัวกินน้ำมันพอ ๆ กันที่ 10-12 km/l
ความน่าเลือกยังคงเป็นดีเซลที่น่าเลือกกว่า
เพราะถ้าเป็นเบนซิน รถคันนี้ราคาขายอยู่ที่ 10 ล้านบาทโดนภาษีอ่วมอรทัย
ถ้าเป็นดีเซลราคาเหลือ 6.8 ล้านบาท ที่เปิดขายในตอนนี้

ราคาค่าเซอร์วิสไม่ว่าเข้าศุนย์ไหนของ BMW แพงระยิบระยับทั้งนั้นเพราะเขาคิดค่าแรงตามมาตรฐานยุโรป
ไม่ว่าจะเลือกเครื่องยนต์แบบไหน สำหรับรถระดับพรีเมี่ยมแบบนี้ ค่าแรงค่าซ่อมแพงหมดครับ
การเลือกเขาจึงนิยมเลือกไปที่ดีเซลที่จุกจิกน้อยกว่าครับและเป็นของเล่นใหม่ที่ภาษีไม่ต้องจ่ายแพงนัก เรียกว่าประหยัดเยอะมากและรถระดับนี้การซีลเก็บเสียงทำได้ยอดเยี่ยมมาก
เวลาอยู่นอกรถได้ยินเสียงเครื่องยนต์ชัดเจนแต่เมื่ออยู่ภายในรถแล้วแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นรถเบนซินหรือดีเซล
อีกอย่างถึงแม้รถจะเก่าก็ถูกขายออกไปก่อนที่จะซ่อมใหญ่

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 9
       ทีนี้ถ้ามมาลองเปรียบเทียบกับฟอร์จูเนอร์ที่คุณสนใจอยู่
มันจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด
1. ดีเซล 3.0 แรงบิด 345 NM. แรงม้า 163 แรงม้า
2. เบนซิน 2.7 vvti แรงบิด 241 NM. แรงม้า 160 แรงม้า


ข้อมูลด้านต้นจะเห็นว่าเครื่องดีเซล 3.0 จะได้เปรียบทั้งแรงม้าและแรงบิดเรียกว่าแรงกว่าเห็นได้ชัด
ถ้าดูกราฟที่เขามีมาให้ก็จะเห็นว่าเครื่องจะค่อนข้างได้เปรียบเกือบทุกช่วง


ตอบกันตามตรงว่า 2.7 ด้อยกว่าในเรื่องนี้
แต่ความด้อยของ 2.7 ตรงนี้ไม่ได้ด้อยกว่าเครื่องยนต์ตัวอื่นๆ แบบที่คนทั่วไปเข้าใจ

ถ้าเปรียบเทียบรถปิคอัพสมัยก่อน
Toyota MIGHTY x
Isuzu มังกรทอง
Mitsu L200
รถปิคอัพดีเซลเหล่านี้ที่ออกแบบมาสำหรับเป็นรถขับ 4 ล้อ ที่ใช้กันอยู่บนถนนของไทยเรา ปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่
แรงม้าและแรงบิดต่างก็ด้อยกว่า 2.7 อยู่หลายช่วงตัวทีเดียว
เพราะรถ 3 รุ่นที่กล่าวมานั้นแรงม้าไม่เกิน 90 แรงม้าเท่านั้น
ในขณะที่ 2.7 แรงม้าก็ปาเข้าไปตั้ง 160 แรงม้าแล้วจึงสามารถบอกได้ว่ารถ Fortuner 2.7 มีกำลังเครื่องยนต์เพียงพอต่อการใช้งานและเหลือเฟือในการใช้
แต่มันจะเหลือเฟือกับเจ้าของรถหรือเปล่ามันอีกเรื่องนึง เพราะคนเรามีความพอดีต่างกัน



ถ้าเปรียบ ดีเซล 3.0 คอมมอนเรล
เบนซิน 2.7
ดีเซล 2.5 คอมมอนเรล



เรื่องกำลังเครื่องยนต์ 3.0 ดีกว่าทั้งหมดทั้งรอบต่ำและรอบสูง
เบนซิน 2.7 ด้อยกว่าแต่ก็เหนือกว่าดีเซล 2.5




ไม่ว่าจะเป็นออฟโรดหรือทางเรียบเครื่องยนต์ทั้ง 2 แบบรองรับการใช้งานได้

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 10
       ทีนี้มาดูเรื่องการใช้งานจริง

ถ้าเป็นเบนซินจะเงียบกว่าขับแล้วได้ฟิลลิ่งการเป็น SUV ระดับหรูมากกว่า แต่เรี่ยวแรงในการตอบสนองเท้าจะด้อยกว่าดีเซล 3.0
การกินน้ำมันอยู่ที่ 8-9 km/l

ถ้าเป็นดีเซลจะมีเสียงและการสั่นสะเทือนที่มากกว่า
บางคนรับได้เพราะพื้ฯบานคนเลือกมาจากปิคอัพกันเป็นส่วนใหญ่ การตอบสนองคันเร่งดีกว่า
ประหยัดกว่านิดหน่อย ได้ที่ 8-11 km/l
แต่รถคันนี้ได้ถูกตอนแรงม้า ไว้ที่ 163 แรงม้า เพราะถ้าให้แรงม้าเท่ากับ 200 แรงม้า รถจะกินน้ำมันเท่ากับ 7-8 km/l






ความประหยัดและความคุ้มค่า

1. ถ้าเป็นเบนซิน 2.7 จะมีข้อยกเว้นไม่เหมือนรถที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้น เพราะรถมันถุกออกแบบมาตามพื้นฐานปิคอัพ เครื่องยนต์มันถูกวางไว้ในปิคอัพเป็นส่วนใหญ่และรถส่วนใหญ่ที่ Toyota เขาส่งออกเป็น Hilux ก็จะเป็นเครื่องยนต์ 2.7 ตัวนี้ ฉะนั้นพื้นฐานเครื่องยนต์จึงออกแบบมาให้มีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าค่อนข้างมาก ไม่มีภาระในการเปลี่ยนสายพานไทมมิ่ง ไม่มีภาระในการตั้งวาล์ว ไม่มีภาระในการดูแลจุดอื่นๆ เป็นพิเศษ เครื่องยนต์ค่อนข้างทนทานมากกว่า 4-5 แสนโล โดยไม่มีภาระการซ่อมใหญ่แต่อย่างใด
ภาษีประจำปีที่เสียจะถูกกว่าดีเซล 3.0 สามารถนำมาติดแก๊สได้ทั้ง LPG NGV เพราะเครื่องถูกออกแบบมาให้ใช้แก๊สได้อยู่แล้วไม่มีปัญหา


2.ถ้าเป็นดีเซล 3.0 เอามาเปรียบกันจะมีภาระในการซ่อมมากว่าและการเก็บเสียงสั่นสะเทือนก็ไม่ดีเท่าเบนซิน โอกาสเสียและจุกจิกมีมากกว่าเบนซิน 2.7 ภาษีโดนแพงกว่าขายต่อราคาตกกว่าเบนซิน 2.7 ขับ 4 ล้อด้วยกัน

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 11
       ต้องขอขอบพระคุณพี่ Auto มากๆ เลยครับที่ได้ให้ความรู้อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าพี่มีอะไรเพิ่มเติมก็ให้ความรู้ต่อได้เลยนะครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 12
       มาตามเก็บข้อมูลครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 13
       ผมเปรียบเทียบง่าย ๆ แบบนี้ให้อีก

ถ้าคุณซื้อรถ SUV โดยที่ราคาพอๆ กันเครื่องยนต์ 3.0 D4D คุณจ่ายเงินเองมักจะคิดรอบคอบว่าประหยัดกว่าเบนซิน (แค่นิดหน่อย )
เลยยอมจ่ายเงินแพง ๆ เพื่อที่จะซื้อเครื่องดีเซลมาใช้ตามกระแสในประเทศตลาดที่นิยม

ถ้าคุณจ่ายเงินเองกับ SUV บางครอบครัวจะคิดมากขึ้นกับราคาที่สูงเกินจำเป็นเพราะโดยมากราคารถดีเซลจะแพงกว่ารถเบนซิน 1 แสนบาทที่รุ่นเดียวกัน
แต่ความประหยัดต่างกันนิดนหน่อยไม่คุ้มกับที่จ่ายแพงขึ้นเพื่อเลือกดีเซล อีกอย่างเขานำรถมาใช้ในครอบครัวการเลือกเบนซินจะเหมาะมากกว่า
บางคนอาจจะคิดตอไปอีกว่าเบนซินมีทางเลือกในการใช้พลังงานทางเลือกมากว่าและอดีตก็เคยใช้รถเบนซินมาก่อน จะไปใช้ดีเซลก็รับสภาพที่ดังและสั่นสะเทือนกว่าไม่ได้


กับเปรียบเทียบถ้าสสมิตคุณซื้อ SUV ที่ราคาพอ ๆ กันเป็นเครื่อง V6 4.0 ลิตร แรงม้าและแรงบิดมากว่าดีเซลมีคนจ่ายเงินค่าน้ำมันให้ฟรี ๆ
คนหลายคนที่เคยเลือกดีเซลก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองว่าเคยชอบดีเซล เพราะการขับขี่รถเบนซินที่มีกำลังดีกว่าตอบสนองดีกว่า


โดยทั่วไปรถระหว่างดีเซลและเบนซินที่แรงม้าและแรงบิดพอ ๆ กัน เครื่องเบนซินจะให้ความสุนทรีย์และความสุขในการขับขี่มากกว่าดีเซลอยู่แล้วครับ
และการขับขี่จะไม่เหนื่อยเมื่อยล้าหรือเครียดจนเกินไป ถ้าเทียบรุ่นต่อรุ่น นี่คือสัจธรรมและความจริงที่หนีไม่พ้น
เพราะโดยธรรมชาติเครื่องเบนซินจะเหมาะกับรถส่วนตัวมากกว่าอยู่แล้ว
แต่ดีเซลพยายามพัฒนาให้เข้าใกล้เบนซินมากขึ้นเพื่อตอบสนองการขับขี่ในชีวิตประจำวัน แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรทดแทนกันได้ 100% ยังไงดีเซลก้ยังมีข้อด้อยของตัวมันเองอยู่ดี

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 14
       ผมแนะนําว่าถ้า 4x4 แนะนําดีเซลดีกว่านะครับ 2.7 แบบ 4x4 ไม่มีแล้วครับ นอกจากมือสอง จากที่ผมใช้มาแล้วทั้ง 2 ตัว น่าจะดีเซลนะครับ เมื่อก่อนใช้ 2.7 เด่นตรงที่เงียบ
ก็จริง แต่ขับผมว่าอืดไปหน่อย จะแซงใครไม่มีความมั่นใจเลยครับ ขับให้ความรู้สึกเหนื่อยกว่าดีเซลอีกครับ
(ความเห็นส่วนตัวนะ) ผมอยากให้เจ้าของกะทู้ไปลองเองที่ 0 ดีที่สุด

แสดงความคิดเห็นย่อย

คำตอบที่ 15
       ขอขอบพระคุณพี่AUTO และทุกท่านที่ให้ความเห็นมากๆ ครับ

แสดงความคิดเห็นย่อย