คำตอบที่ 1
       มาอีกแล้วแบบนี้......
1.ส่วนOff-Roadจะได้ในเรื่องของความพักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์โดยอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคระหว่างคนกับป่าไม่ล่วงเกินธรรมชาติซึ่งกันและกัน
2.ตอบยากครับ..แต่ผมว่าธรรมชาติก็คงมีความสุขมั้งที่เห็นเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลายมาเสพสุขกับความเป็นธรรมชาติด้วยเคารพซึ่งกันและกัน
3.อันนี้ตอบไม่ยากเพราะทำออกบ่อย......
...ได้ขายไอเดียซึ่งไม่รู้จะไปขายใครเป็นคนนำทางพาไปหาสิ่งต่างๆยากจะไปได้...ได้แลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกันซึ่งเมื่อก่อนอาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน(ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิดน่ะ)...ได้มีโอกาสช่วยเหลือชุมชนต่างๆที่อยู่อย่างขาดคนเหลียวแล(แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้อยากให้ใครๆจะมาแกล้งสนใจใยดีเท่าไหร่หรอก)
สรุปครับว่าเรื่องอย่างนี้แล้วแต่มุมมอง...แล้วแต่ความคิด...แล้วแต่องค์ประกอบ...หรือคิดได้แต่ไม่ทำ

คำตอบที่ 2
       ผมว่านะครับไอ้คำถามข้อที่ 2 คำตอบมันก็ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนนะครับเหมือนกับที่พี่อ็อดว่า เพราะต้นไม้ สัตว์ป่ามันพูด มันบอกเราไม่ได้ แค่เราเข้าไปแล้วไม่ทำให้ระบบนิเวศน์ของพวกเขาเสียหาย ไม่นำสิ่งอันไม่สมควรอยู่ในป่าเข้าไปทิ้งไว้ ผมว่ามันก็ไม่มีผลเสียอะไร บางครั้งการเข้าป่าได้เห็นธรรมชาติของต้นไม้ สัตว์ป่า อาจจะทำให้คนมีจิตสำนึกที่ดี หวงแหนป่าไม้ทรัพยากรธรรมชาติที่ตัวเองมีอยู่ก็ได้นะครับ เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งชมรมอนุรักษ์ป่า หรืออนุรักษ์สัตว์ป่าต่างๆ การได้เห็นธรรมชาติจากความเป็นจริงแล้วมาร่วมกันอนุรักษ์ดีกว่าอ่านจากหนังสือแล้เอามาพูดว่าจะอนุรักษ์นะครับ

คำตอบที่ 3
       ได้เรียนรู้ธรรมชาติ ครับ เพราะ มนุษย์เกิดมาเพื่อเรียนรู้ธรรมชาติที่มีอยู่ในโลก.

คำตอบที่ 4
       ผมว่าอย่าไปให้ความใส่ใจกับกระทุ้ลักษณะนี้...
คือการเข้าป่าจะออฟโรดไม่ออฟ มันก็คือพาหนะในการเดินทางเข้าไปตามเส้นทางที่มีที่กำหนดก็เท่านนั้น..
ไอ้ที่ตัดทางให้รถเก๋งวิ่งเข้าไปตามอ.ช.ต่างๆมันก็คือกันแล้วคุณว่าสัตว์ป่ามันตอบคุณว่าอย่างไรในเมื่อคุณก็ขับเก๋งเร่งเครื่องลันป่าเหมือนกัน จะบอกให้..มันต่างกันที่ทางที่ไปเท่านั้น ผมเคยถูกกรมป่าไม้เชิญไปให้ความเห็นในเรื่องนี้ เขาเข้าใจนะว่าอันที่จริงแล้วคนใช้ขับสี่นี้ส่วนให้มีจิตรสำนึกการอนุลักษณดีกว่าให้รถเก๋งรถบัสฉิ่งฉับเฮโลเข้าป่ากัน มันเป็นการscreenทางหนึ่ง แต่ก้ต้องมีกติกาควบคุมคนไม่ดี ที่ต้องยอมรับว่ายังมีอยู่ในกล่มคนใช้ออฟโรด เช่นหน้าด่านเข้าควรตรวจต่างๆ ที่สำคัญต้องมีถุงดำ ไม่มีขาย แล้วขาออกตรวจว่าได้เอาขยะกลับออกมาด้วยหรือเปล่า... ทุ่งใหญ่ฯหลายๆอช.เริ่มกันแล้ว.. อีกอย่างในหน้าฝนบางพื้นที่ก็ต้องเคารพต้องจำกัดเพราะเป็นทางลำเรียง รถเจ้าหน้าที่ ชาวบ้านจะเดือดร้อน ผมก็เสนอนะว่าที่เหล่านี้ห้ามใช้ยางบังโตๆ34-35นิ้ว เอาเปรียบเจ้าหน้าที่เขา..จะไปได้แต่ต้องเดิมๆนะเอาเปล่า..
เรื่องแบบนี้ผมว่าเราต้องช่วยกันปชส. ดูแลกันถ้าไปเจอก็ช่วยกันเก็บ ผู้ใหญ่ ในกลุ่มผมนะเจอขยะในป่ากลุ่มนั้นนี้ทิ้งไว้ก็เก็บเผาหรือใส่ถุงดำสะ มีอยู่ที่ เก็ยให้พวกเดินป่านี้เหลาะตัวดีทิ้งไว้ เก็บให้เห็นเลยนะไม่ต้องไปบ่นพูดมากความ คุณอ่านนี้แล้วว่าไงละ คุณก็ว่ามาว่าคนเดินป่าเหมารวมก็ต้องค้าน ฉันไดฉันนั้น...คนเล่นออฟโรดก็เหมืนกันมีดีมีเลว ในสือนี้และนอกสื่อพวกเราชาวออฟโรดทั้งที่เรียนสูงไม่เรียนเลยก็มีจิตรรับผิดชอบอนุลักษณเหมืนกัน เพียงแต่ช่วยกันแก้ลงมือปฏิบัตรเมื่อพบเห็นขยะในป่า ไม่ขับตัดเปิดทางใหม่ ไปไม่ได้ก็กลับ อย่าตัดต้นไม่เป็นๆนอกเส้นทาง ไม่ก่อไฟโดยไม่จำเป็นในป่าแล้ง ไม่เปิดเพลงในป่า ไม่เอะอะโวยวายเอาปืนมาซ้อมมาโชว์กัน ไม่เอาฃองป่าออกจากป่า เท่านี้ เองช่วยกันนะ ยิ่งไปเป็นกล่มต้องบอกคนที่ติดตามไปด้วยละ เดียวนักท่องเที่ยวเดินป่าที่ติดออฟโรดไปด้วยไม่รู้จะโยนขวดน้ำทิ้งในป่าตามความเคยชิน(ขี้เกียตถือกลับไง)

คำตอบที่ 5
       ... อืมมม..สะท้อนภาพชัดเจนดีครับ
... เห็นด้วยกับความคิด คุณ "คนออฟโรด"

คำตอบที่ 6
       เห็นด้วยกับคุณ คนออฟโรด เป็นอย่างยิ่งครับ

คำตอบที่ 7
       ผมก็เห็นด้วยกับคุณ คนออฟโรด แต่ขอเพิ่มเติมหน่อย นอกจากถุงดำที่จะเก็บของๆเรากลับแล้ว ควรเอาของคนอื่นๆ ที่ทิ้งเรี่ยราดกลับด้วย ป่าจะได้ไม่มีเศษพลาสติก
ถ้าไม่มีถุงดำ ก็กระบะรถเรานี่แหละขนออกให้พ้นป่า แล้วทิ้ง ปั๊มแรกที่เจอ

คำตอบที่ 8
       โดนใจครับ คุณ คนออฟโรด

คำตอบที่ 9
       ใช่เลย

คำตอบที่ 10
       ใช่เลย

คำตอบที่ 11
       ขอบคุณครับที่ช่วยตอบ...
ผมคิดว่าผมเข้าใจชาวออฟโรดดีว่ามีทั้งคนที่ "ดี" และ "เลว" ซึ่งก็เป็นเหมือนกลุ่มหรือสังคมอื่นๆ


แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ทำอย่างไรถึงจะเสนอกติการ่วมกันในการเป็นชาวออฟโรดที่ดี และเป็นมิตรกับธรรมชาติ คนกลุ่มนี้ต้องถูกสนับสนุน สำหรับชาวออฟโรดที่ขาดจิตสำนึก ผมว่าก็สมควรโดนกำจัดออกไป หรือหามาตรการในการควบคุมคนเหล่านั้น

มาตรการที่ว่า "สนับสนุนคนที่ทำดี และควบคุมคนทำชั่ว"

แต่ผมไม่เข้าใจอย่างหนึ่ง ทำไมคุณชาวออฟโรด คิดว่าไม่น่าไปใส่ใจตอบกระทู้นี้ครับ..?

คำตอบที่ 12
       ดีเลวมันขึ้นอยู่ที่จิตสำนึกของแต่ละคนครับ ผมคิดว่าชาวออฟโรดส่วนใหญ่มีจิตสำนึกในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะพวกเราก็รักธรรมชาติไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆและอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป และก็วิตกอยู่เสมอว่ามันจะถูกทำลายให้หมดไป กติกามีผู้ตั้งไว้อยู่แล้ว(ราชการ)แต่จะเอาใครตามเข้าไปจับผิดจับถูกผู้ที่เข้าไปท่องเที่ยวครับ แล้วคุณก็คงไปจำกัดสิทธิของใครคนใดคนหนึ่งให้เข้าไปได้อีกคนเข้าไม่ได้(คนดีคนชั่ว)เรื่องแบบนี้ได้แต่พูดกันเท่านั้นแต่ทำไม่ได้หรอกครับ....ก็ต้องได้แค่ช่วยกันรณรงด์ให้ชาวออฟโรดที่ต้องการไปท่องเที่ยวแสวงหาธรรมชาติตามที่ใจเรียกร้องให้มีจิตสำนึกว่าอะไรควรอะไรไม่ควรเท่านั้นเอง แต่ผมก็ยังมั่นใจว่าชาวออฟโรดส่วนใหญ่มีจิตสำนึกเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

คำตอบที่ 13
       แล้วบทความที่คุณจะเขียนเนี้ยคุณต้องการจะสื่อ อะไรล่ะครับ
คุณไม่เข้าใจ ทำไมคุณชาวออฟโรด คิดว่าไม่น่าไปใส่ใจตอบกระทู้นี้ เพราะคุณไม่เคยถูกเหมาว่ามีส่วนในการทำลายธรรมชาติ โดยกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า นักอนุลักนิยม(แนวอ่อนไหว) คุณไม่เคยถูกเหมาว่า เป็นพวกที่เข้าไปล่าสัตว์ ตัดไม้ สร้างมลภาวะในป่า
คนเที่ยวป่าบางคนอาจจะหาปลามากินทั้งๆที่ขนเสบียงไปมากมาย แต่คนเที่ยวป่าบางคนก็ไม่เคยซื้อหา,ล่าของป่า เขาสัตว์ หนังสัตว์มาปะรดับประดาบารมี
คุณเคยได้ยินเรื่องกลุ่มเที่ยวป่าเคยช่วยกันดับไฟป่า เคยแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าพบเห็นกลุ่มคนที่ล่าสัตว์มั้ย เราซื้อข้าวของจ้างแรงงานคนในพื้นที่เท่ากับช่วยกระจายรายได้ ไม่เคยตัดต้นไม้ใหญ่(เป็นๆ)เคยปลูกป่า เราไปในที่ๆมีทางให้ไป
การบุกตลุยบุกป่าเปิดทางใหม่เป็นหน้าที่ของป่าไม้เค้าครับ ส่วนไหนทีเค้าให้เข้าไปเที่ยวส่วนไหนไม่ให้เข้า ไม่ใช่นึกอยากจะเข้าก็เข้าได้ครับ
ถ้าคุณถามคนเดินห้าง ว่ามาทำอะไร คำตอบคงมีตั้งซื้อของ ยันวางระเบิด สำคัญว่าคุณเองอยากได้ยินคำตอบไหนมากกว่า แล้วก็คงยากที่มีมาตรการอะไร มาควบคุม ยังที่คุณม้าแกลบว่า
ที่สำคัญคำถามที่คุณถาม มันไม่ใช่ของใหม่ มันมีมานานแล้ว บางคนไม่เคยรู้ บางคนคิดไม่เป็น(พวกอนุลักนิยม ตามกระแส) บางคนขี้เกียจตอบ บางคนไม่อยากใส่ใจครับ บางคนเบื่อ บางคนอารมณ์ไม่ดีเวลาที่มีคนถามแบบนี้
แต่วันนี้ผมอารมณ์ดีครับ เลยตอบให้
สวัสดีปีใหม่ครับ

คำตอบที่ 14
       ผมไม่เคยเห็นคุณฟาง ตอบคำถามมากขนาดนี้ แต่คุณตอบออกมาที........... คงไม่ต้องมีคำตอบอื่นมาอธิบายอีก.......... หวังว่าคุณ มะเหมี่ยวคงเข้าใจแล้วนะครับ

คำตอบที่ 15
       เห็นด้วยกับคุณฟางครับผม

คำตอบที่ 16
       ทางใคร ทางมัน ดีกว่าครับ...

คำตอบที่ 17
       แหมๆ!!นายหมูบิน ใจร้ายจังไม่ยอมให้ใครร่วมทางเลยเหรอ...แฮะๆๆๆ

คำตอบที่ 18
      

คำตอบที่ 19
       คุณมะเหมี่ยว อยากรู้จริงๆ ก็ตามเค้าไปซี่ เข้าไปสัมผัสจริงๆ กับเค้าเลย มัวแต่ถามมันจะได้เรื่องยังไง ตามเค้าไปซักพักก็ได้คำตอบเองแหละ คุณเอาแต่ถามอย่างนี้มันเรียกว่ามักง่ายนะ จะทำรายงานทั้งทีก็ต้องลงทุนหน่อย นักวิจัยเขาเรียกว่า Field Trip นะ

คำตอบที่ 20
       ผมว่าชาว ออฟโรดส่วนใหญ่ที่เข้าไปเที่ยวป่า ส่วนใหญ่ก็จะมีเหตุผลในการเข้าไป เช่น เข้าไปพัฒนาสถานที่ต่างๆบ้าง โรงเรียนหรือหน่วยงานต่างในถิ่นทุรกันดารซิ่งงบประมาณและหน่วยงานของรัฐเข้าไปไม่ถึง ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่การเข้าไปของชาวออฟโรด ...ถ้าเข้าไปอย่างมีสามัญสำนึก มีความรู้ในการที่จะไม่ทำให้ผืนป่าเสียหาย ก็จะเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณเชื่อไหม สิ่งที่ทำให้พืนป่าของเราเสียหายและหมดไปไม่ใช่ชาวออฟโรดหลอกแต่เป็นพวกนายทุนและข้าราชการที่ทุจริต(บ้างคน)ยังไม่ยอมหยุดการตัดไม้ทำรายป่ากันมากกว่า.... ประโยชน์ที่ชาวออฟโรดเข้าไปที่ผมเห็น คือ 1การได้ช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนสิ่งที่จำเป็น เช่นโรงเรียนต่างๆ2 หน่วยงานของรัฐที่ยังขาดแคลนอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็น3.สร้างขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ให้เขารู้สึกว่า........พวกเราคนเมืองที่อยู่ดีมีความสุขไม่ได้ลืมพวกเข้า ให้พวกเข้ารู้ว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเพื่อพืนป่าของเราประเทศชาติและคนไทยทุกคน4.สร้างจิตรสำนึกแก่คนรุ่นหลัง การปลุกฝังความคิดในการรักธรรมชาติรักษาพืนป่าให้แก่นลูกหลานของเรา พาเขาไปสัมพัสกับความจริงประสบการจริง แล้วสอนเขาให้เห็นถึงทรัพยากรอันมีค่าซึ่งถ้าหมดไปแล้วจะพบกับปัญหาที่ตามมามากมาย
.........สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากสิ่งที่ออฟโรดควรปฎิบัติเป็นอย่างยิ่ง 1 .การเที่ยวอย่างมีสามัญสำนึก ศึกษาข้อมูลต่างๆให้ดีก่อนย่างเขาผืนป่า 2.นำกล้าไม้ติดเข้าไปเพื่อเป็นการปลูกป่า 10 ต้น/คัน 10คัน=100ตัน(คิดเองละกัน)10 ปีได้ต้นไม้กลับคืนมา.............กีต้น
3.ตักตวงความสุขให้เต็มที่ เก็บกลับมาแต่ ภาพถ่าย ความทรงจำ และประสบการณ์ที่ดี

คำตอบที่ 21
       การสร้างเส้นทาง ออฟโรด เคยนึกไหมว่าเป็นการช่วยรักษาป่าได้อีกทาง ตัวอย่าง เคยไปเที่ยวแปลงปลูกป่า
แล้วเห็นชาวบ้นวิ่งหนี กับต้นไม้ที่ตันได้เพียงครึ่งเดียว
ลองนึกดูครับ ถ้าเราไปเที่ยวกับบ่อยๆก็จะไม่เห็นชาวบ้านมาตัดไม้อีก แพราะชาวบ้านกลัวคนแปลกหน้า แน่นอนที่สุด

คำตอบที่ 22
       คุณมะเหมี่ยวครับ ถ้าต้องการข้อมูลเพื่อนำไปเขียนบทความจริงๆ ผมว่านัดคุยกันดีกว่า ผมว่าสมาชิกทุกท่านยินดีให้ข้อมูลต่างๆ เพราะเรื่องนี้คงมาขอข้อมูลทางกระทู้ไม่ได้หรอก อีกอย่างไม่ใช่แค่คนที่เล่น offroad เท่านั้นที่มีทั้งคนดีและคนเลว ทุกๆที่ก็มีเหมือนกัน ไม่เว้นแม้แต่ในเวบ ดังนั้น พวกเราเจอกระทู้ประเภทนี้มาเยอะมาก จนไม่รู้ว่าคนที่ตั้งกระทู้มีความบริสุทธิ์ใจมากน้อยแค่ไหน ถ้าต้องการข้อมูลจริงอย่าลืมมานั่งคุยกันนะครับ

คำตอบที่ 23
       ขอตอบบ้างนะครับ อึดอัดกับการตัดไม้ทำลายป่าเหมือนกัน ผมว่าตัวการจริงไ ที่ทำให้การตัดไม้คงอยู่ได้จนทุกวันนี้ก็คือ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือ ออป. นี่แหละครับ สมัยก่อนตัดไม้ในป่าลึกกันทีกว่าจะเอาไม้ออกจากป่าได้ต้องเอาช้างไปลากออกมาก่อน จากนั้นขึ้นรถ 6 ล้ออีกที จากสาละวินมันมีทางอื่นให้รถหกล้อวิ่งได้ไหมครับ ก็มีแค่ทางออฟโรดที่เราขับกัน ลุยกันไปนั่นแหละครับ ยังไงก็ต้องผ่านด่านป่าไม้ จับได้อยู่แล้วครับถ้าเจ้าหน้าที่ไม่รู้เห็นเป็นใจหรือโดนปืนจ่อหัว เห็นความลำบากของการเอาไม้ออกจากป่าไหมครับ แต่สมัยนี้นะครับ ผมเป็นนายทุนตัดไม้ครับ ตัดไม้สักได้ 100 ต้นก็หนีหายไปครับไม่ต้องเอาไม้ออกมาจากป่าหรอก จากนั้นก็แอบให้ใครไปแจ้งตำรวจว่ามีการตัดไม้ทำลายป่าเกิดขึ้นแล้ว ท่านตำรวจพร้อมด้วยป่าไม้ทั้งหลายก็กรูกันเข้าไป พร้อมอาวุธครบมือ ก็จะเจอใครละครับ เจอแต่ของกลางวางทิ้งไว้ จับผู้ร้ายไม่ได้ก็ยึดไม้ของกลางไว้ และต้องชักลากไม้ออกมาด้วย ออป. ฉลาดมากเลยครับ จัดการเอาไม้ของกลางออกมาจากป่าให้เรียบร้อยเลย เอามาวางไว้กลางตลาด พร้อมกับประกาศว่า ยึดของกลางได้ ต้องขายทอดตลาดโดยเปิดประมูล ตอนนี้แหละครับที่ผมผู้ตัดไม้จะใช้อิทธิพลและประมูลไม้ของกลางไปอย่างสบาย แถมถูกกฏหมายอีกด้วย ขอบคุณ ออป.หน้าโง่ ที่ช่วยชักลากไม้ออกมาให้ เป็นไงครับคุณ มะเหมี่ยว เลิกหมั่นไส้พวกออฟโรดแบบผมซะทีเถอะครับ แล้วเอาข้อมูลที่ผมบอกไปช่วยขยายผลให้หน่อย ลงในบทความที่คุณเขียนแหละครับ จะเป็นบุญคุณอย่างสูงต่อป่าไม้ที่คุณรักครับ

คำตอบที่ 24
       แสดงว่าพี่ไม่เคยเจอพวกเราพกถุงดำนะคับ เที่ยวไปแบบไม่ทำลายธรรมชาตินะคับ การไปสัมผัสธรรมชาตินั้นเป็นการพักผ่อน การเข้าไปในพื้นที่แต่ละครั้งคุณจะได้เรียนรู้ตั้งแต่ชีวิตของมดแดง ยันชัวิตของคนแหละคับ การเรียนรู้ตรงนี้ไม่มีในตำรานะคับ ชีวิตของแต่ละคนนี่ไม่เหมือนกันนะคับคุณเองอาจจะไม่เคยพบเห็นความลำบากที่ชาวบ้านชาวป่าเค้าเรียกกันว่าชีวิต ความไม่มี ความไม่เท่าเทียมกันนะคับ การที่เราได้ไปเรียนรู้สอนลูกสอยหลานถึงชีวิตที่มีทั้งมีเพรียบพร้อมและการขาดแคลน บวกกับสอนให้เค้ารู้จักการให้ การแบ่งปัน เรียกว่าเป็นการให้ที่ได้ประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับมากที่สุด คือผู้ให้ได้รู้จักสละกิเลศ กับผู้รับได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ เรียกว่าได้กันทั้งสองฝ่ายนะคับ นี่แหละคับที่ชุมชนได้ประโยชน์ คุณอย่าจำกัดคำว่าชุมชนเฉพาะที่เราฝากรอยล้อเข้าไปซิคับเพราะตัวคุณเองก็เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเหมือนกัน ขอบคุณคับสำหรับกระทู้ที่ให้แสดงความคิดเห็นคับคุณมะเหมื่ยว

คำตอบที่ 25
       ครับ ประโยชน์ได้รับโดยตรงคือพักผ่อนคลายเครียดครับ แต่ต้องทำลายธรรมชาติให้น้อยและควรใช้รถเฉพาะการจำเป็นจริงๆในทางท่พอจะไปได้เท่านั้นครับเนื่องจากบางจุดไม่ต้องการให้นำรถเข้าไป ทางราชการก็จะไม่ตัดถนนให้ ถ้าต้องการพักผ่อนท่แท้จริงต้องไปกันจำนวนน้อยๆและเดินเท้าต่อไปเรื่อยๆจะได้พบกับธรรมชาติท่หายากและน่าสนใจกว่าท่คาดว่าจะเจอ แต่ต้องเดินแบบเบาท่สุดนะครับ

คำตอบที่ 26
       ผมว่า off-road ไม่ทำลายธรรมชาติเลยก็ไม่ได้ เห็นบางกล่มเข้าป่า หลายสิบคัน มลพิษมากมาย ทั้งเสียง ทั้งควันพิษ ขับรถลงน้ำคราบน้ำมันก็ลอยไปตามน้ำ

คำตอบที่ 27
       ในโลกนี้มีใครที่ไม่ก่อผลกระทบต่อธรรมชาติมั่งล่ะครับเนี่ย กินเนื้อสัตว์ก็เบียดเบียฬสัตว์ กินพืชก็ต้องรุกธรรมชาติมาปลูกพืช หายใจก็คายคาร์บอนไดอ๊อกไซด์มาเป็นภาวะเรือนกระจก ใช้กระดาษ อ่านหนังสือพิมพ์ก็ใช้ไม้จากป่า ขอโทษ แม้แต่ตด คุณก็
ทำให้ธรรมชาติเสื่อมโทรม

ถ้าคุณจะรักธรรมชาติ รักสัตว์มากๆ รักป่ามากๆ มีทางเดียวครับที่คุณจะทำได้
ฆ่าคนให้หมดทั้งโลกนั่นแหละ แล้วปล่อยให้โลกนี้อยู่ของมันไป

ไม่มีอะไรที่จะได้อย่างเดียว โดยไม่เสียอะไรไป คำถามของคุณว่า ป่าได้อะไร สัตว์ได้อะไรจากออฟโรด ผมก็อยากจะถามกลับไปด้วยเพมือนกันว่า ป่าได้อะไร สัตว์ได้อะไรจากการที่มีมนุษย์อยู่ในโลกนี้

คนอยู่ในบ้าน ห้ามบ้านไม่ให้เก่าหรือชำรุดไม่ได้ ทำได้แค่รักษาให้มันอยู่นานที่สุด ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังเราจะทำได้ ถึงอย่างไร วันหนึ่งบ้านของเราก็จะต้องพังไปตามกาลเวลา แล้วธรรมชาติก็จะสร้างบ้านขึ้นมาใหม่อีก เหมือนกับที่เคยทำมาตลอดหลายแสนล้านปี เราเองเป็นเพียงคนมาอาศัยอยู่ชั่วคราว ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง