อังคาร,19 มีนาคม 2567

เรื่องเล่าคนตกปลา

250 ไมล์กับนายชนบท
แล่นเรือโต้คลื่น
ปลากระบึกที่สีชัง
คืนพระจันทร์ยิ้มแฉ่ง
บางเสร่ยังมีลุ้น
ดอดไปฟันไอ้โฉม
วันนี้ที่รอคอย
มันแปลกดีนะ
สายันรัญจวน
ทุบไอ้สากที่สัพพะยื้อ
น้ำใจ
โฉมเอยโฉมงาม
แข่งขันตกปลาสัญจร#1
ปลายฝนต้นหนาว
แข่งขันตกปลาแสมสารครั้งที่#6
ลูกหมูจอมซ่าส์
โต้ลมหนาว
เก่งกับเฮง
เมษาฮาวาย
เมื่อผมไปงานแข่งฯ
ลองเรือใหม่กับไต๋โก๊ะ
หูดำที่เกาะค้างคาว
ไปลุยโฉมงามกับไต๋น้อง
มหาเฮง
นักเลงโตสากดำ
ฟ้าหลังฝน
หลังมรสุมสงบ
ตามล่าปลาจัมโบ้
บันทึกแห่งความทรงจำ
คุณพริ้งลองของ
อัดปลาโต้เดิ้ง
เพื่อนรักต่างแดน
เก๋าหน้าหวาน
ไต๋ยอช์ตพาเพลิน
สานสัมพันธ์คนตกปลา#1
หรรษาตะวันแดง
บางเสร่รำลึก#4
ตะล่อนไปกับไต๋อ้วน
ตะลอนไปกับไต๋เปี๊ยก
แดงจ๋าแดงจ่า
ลีลาสละ
ลูกหมูย่ำสวาท
ผู้กล้าแห่งวารี
ไต๋ระยอดนักสู้
สายสัมพันธ์คนตกปลา#2
มือใหม่หัดเหวี่ยง
ผู้พันอินทรี
สัตว์ประหลาด
ยุทธการหักเขี้ยวอินทรี
จิตสังหาร
ลากมาอุ้ม
ปริศนาที่เร้นลับ
ดอนตะวันแดง
สานสัมพันธ์คนตกปลาปี3
ปลายักษ์ในตำนาน
ราพาร่าพรางตัว
สานสัมพันธ์คนตกปลา ครั้งที่ 4
อินทรีหลังโขด
ท่องไปกับตะวันแดง
รวมดาวกระจุย
บุกรังสีทอง
สานสัมพันธ์คนตกปลาปี 4
อยากอัดไอ้หลาม
ปลอบขวัญที่กำพวน
วาฮูนักวิ่งน้ำลึก
วังสีทอง
กุเลาเกมส์พันธ์ดุ
รางวัลชีวิต
สานสัมพันธ์คนตกปลาปี5
ธิดาย่ำสวาท
กุเลาเกมส์คนวัยมันส์
เมษาพาเพลิน

เพื่อนไร้พรมหแดน
ตอน. ตามล่าปลาจัมโบ้

ตราด 28-30 พ.ย. 46

ผู้ร่วมทริพ 1.ชนบท 2.พี่เหนี่ยว 3.คุณโฟว์ 4.พี่คิม 5.เฮียเล็ก 6.คุณไก่ ปะการัง 7.คุณตี๋ 8.คุณเต้ 9.คุณเต่า 10. คุณรวย และ11.คุณแจ็ค

"ยามดึกสงัด ในคืนที่ดวงจันทร์ มีเพียงครึ่งเสี้ยวลอยเด่นสง่าอยู่บนท้องฟ้า เปล่งแสงริบหรี่ แข่งความงามกับหมู่ดวงดาวน้อยใหญ่ นักตกปลากลุ่มหนึ่งกำลังเพลิดเพลินกับความงามของมวลหมู่ดาว บน เรือพิชิตมัสยา ที่มาลอยลำเปิดไฟแข่งกับแสงเดือน แสงดาว เสียงเครื่องยนต์ปั่นไฟ ทำลายความเงียบสงบ ดังประสานเสียงกับสายลมที่พัดดังหวีด หวิว อยู่เป็นระยะ แรงจากสายลมที่พัด ด้วยความแรง ก่อเกิดระลอกคลื่นเป็นฟองน้ำสีขาว ตัดกับความมืดในราตรีกาล มองเห็นได้ชัดยามที่ต้องแสงไฟ จากปลายคาน ไฟไดน์หมึก ส่องประกายสะท้อนกับเกลียวคลื่นเป็นสีขาวทอดตัวยาวตามริ้วคลื่น เสียงระลอกคลื่นพลิ้วกระทบลำเรือดัง ซ่า ซ่า ก่อนจะสลายจางหายไปกับสายน้ำที่ขุ่นมัว ยามใดที่สายลมกระทบกับผิวกายที่หยาบกร้านจากการตากแดด กรำฝนมานานนับ หลายปี พาให้เกิดความหนาวจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งทรวง ความหนาวเย็น ที่มากับสายลม มันแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่าง ผ่านลึก ลงไปจับถึงขั้วหัวใจ แม้ชีวิตจะผ่านร้อน ผ่านหนาวมาไม่รู้กี่ครั้ง ยังรับรู้ถึงความรู้สึกในคืนนี้"สายลมหนาว" มันช่างรุนแรง กว่าทุกครั้งที่เคยพบมา สายลมที่พัดแรง กับสายน้ำที่ขุ่นมัว มันเป็นตัวบันทอนความสุขของการตกปลา ให้เกิดความกังวล ว่าคืนนี้คงจะหาเหยื่อตกปลายากเสียแล้ว จนเกิดเป็นความวิตกว่า ผ่านพ้นคืนนี้จะมีหมึกว่ายน้ำ ในห้องขังเหยื่อ สักกี่ตัว หรือจะมีเพียงห้องที่ว่างเปล่า ก็ยากสุดจะคาดหวัง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พรุ่งนี้เราจะใช้อะไรเป็นเหยื่อตกปลา"

ท่าเรือเซ็นเตอร์พอย วันนี้ พลุ่นพล่าน ไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ ทั้งที่กำลังเดินทาง มุ่งหน้าข้ามไปยังเกาะช้าง และที่กำลังเดินทางกลับจากเกาะช้าง เดินประปน จนให้ขวักไปหมด รถยนต์พาหนะส่วนตัวต่อแถวเข้าคิวยาวเหยียด ก่อนที่จะทยอย ลงเรือเฟอร์รี่ขนาดใหญ่ เพื่อจะ ข้ามฝากไปยังเกาะช้าง สถานที่ท่องเที่ยวที่มีหาดทรายที่งดงาม ของจังหวัดตราด ในขณะที่ผู้คน ต่างสัญจรอยู่บนสะพานท่าเรือ นักตกปลากลุ่มหนึ่งก็กำลังช่วยกันลำเลียงสำภาระ ลงเรือเรือพิชิตมัสยา ที่ทอดตัวลอยลำอยู่ข้างสะพานเทียบเรือเซ็นเตอร์พอยอย่างสงบนิ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบ วัตถุประสงค์ ของนักตกปลากลุ่มนี้กับนักเดินทางกลุ่มนั้น คงจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเท่าไรนัก เพราะสิ่งที่แต่ละคนกำลังจะเดินทางไป ก็เพื่อไป แสวงหาความสุขให้กับชีวิต เพียงแต่จุดมุ่งหมายปลายทางและกิจกรรมที่จะสร้างความสุขเท่านั้นที่แตกต่างกัน เมื่อ สัมภาระ เสบียงกรังและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ถูกลำเลียงลงเรือจนครบหมดแล้ว เสียงเครื่องยนต์ขนาด 400 แรงม้า 24 Valve เทอร์โบ ของเรือพิชิตมัสยา ก็ดังกระหึ่ม ก่อนที่จะเคลื่อนตัวออกจากท่าเทียบเรือ มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ดังที่นักเดินทางกลุ่มนี้ ได้ใฝ่ฝันมานานนับเดือน "เฮ วุฒิ คืนนี้จะไปไดน์หมึกที่ไหนกันดี" ผมถามไต๋วุฒิ เมื่อเรือเคลื่อนตัวออกจากฝั่งมาได้ไม่นาน "ผมว่าจะไปไดน์ที่เกาะพะเนียง นะพี่โย เมื่อคืนไปไดน์ที่บางเบ้า ได้แต่หมึกกะตอยเป็นพันตัว " วุฒิตอบพร้อมกับบอกเหตุผลให้ฟัง แต่ก่อนจะพ้นแนวเกาะช้างโสตประสาทการรับรู้กลิ่น ก็สั่งงานมายังสมอง ก่อให้เกิดอาการน้ำสอ ด้วยกลิ่นที่หอมฉุยจากอาหาร ลอยมาปะทะจมูก มันเป็นสัญญาณบอกให้เรารู้ว่า บัดนี้จุ่มโพ่ปึ้งได้ทำอาหารเสร็จแล้ว อาหารมื้อแรกบนเรือถูกยกมาวาง ที่หัวเรือ ก่อนที่มันจะสลายหายวับไปกับตาในช่วงเวลาอีกไม่นาน มื้อนี้ทำให้พวกเราเจริญอาหารกันมาก

เมื่อเรือแล่นผ่านแนวเกาะช้าง เราต้องแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลของท้องทะเล พื้นผิวทะเล เคยราบเรียบ มาตลอด กลับมีริ้วคลื่น ถาดโถมซัดกระแทกหัวเรือ ดัง โครมๆ จนน้ำกระเด็นซาดซัด ท่วมหัวเรือ คนที่กำลังชื่นชมแสงเดือนแสงดาว ตัวเปียกมะหร๊อก มะแหร๊กกันเป็นแถว ต้องรีบหลบ เข้ามาในห้องเก๋งเรือกันจาระหวั่น เสียงลมพัดดัง วู้ วู้ แข่งกับเสียงเครื่องยนต์ ยังมีเสียงหัวเรือ กระแทกคลื่น ดังประสานกันฟังดูเหมือนวงดนตรีออเกสต้า มาบรรเลงเพลงให้ฟัง มันก็แปลกดีไปอีกอย่าง "ไอ๋หย๋า วุฒิ วันนี้มีลมนี่หว่า แรงด้วย" ผมคุยกับวุฒิ รู้สึกใจคอไม่ค่อยจะดี เป็นห่วงว่าคืนนี้ เราจะหา หมึกยาก ด้วยกระแสลมที่พัดแรงเช่นนี้ การตกหมึกก็ทำได้ยาก การเฉอวนก็ทำยากอีกด้วย ผมรู้สึกกังวล ว่าคืนนี้ไม่รู้ว่า เราจะได้หมึกกันหรือเปล่า "ลมมันพึ่งจะมีก็วันนี้แหละ พี่โยหอบเอาลมมาจากศรีราชารึป่าว เมื่อคืนวานมันยังเงียบอยู่เลย" หน่อยแน่ะ ดูมันมาหาว่าเราเป็นต้นเหตุพาลมน้องๆ พายุมาจากบ้านด้วย "อ้าวอ้ายเวงไต๋ ไหงมาโทษกันอย่างนี้ละฟ่ะ ถ้าคืนนี้เฉอวน ไม่ได้หมึกละก้อวุฒิโดดลงน้ำไปจับมันมาแล้วกัน ฮึ" ผมโหวกเหวก เสียงดัง แต่มันก็เป็นการคุยกันสนุกสนานเท่านั้น "เอ๊ะอะ ก็จะให้แต่โดดลงน้ำ ทั้งปีเลยอ้า..." เจ้าวุฒิบ่นหงุ๋มหงิม แต่ถ้าเอาเข้าจริงๆ ใครจะไปใจร้ายให้ไต๋ โดดลงน้ำ ได้ลงคอ จริงม่ะ จนเรือแล่นมาถึงบางเบ้า ไต๋วุฒิก็ชี้นิ้วให้ดูเรือ 5-6 ลำที่จอดเรียงราย เปิดไฟไดน์หมึก กันเป็นแถว วุฒิบอกว่า "พี่โยเมื่อคืน ผมก็จอดไดน์ที่บางเบ้านี่แหละ มีแต่หมึกกะตอยเพียบเลย ได้มาเป็นพันตัว" ผมเกิดอาการหมั่นไส้เลยสวนออกไปว่า "เออ! ได้หมึกกะตอยก็ขอให้มันเถอะวะ มันยังดีกว่าไม่ได้หมึกสักตัวนะโว้ยวุฒิ เด่ะ ถ้าคืนนี้ไม่ได้หมึก ตูจะหัวเราะ ให้ขี้แตก เลยเมิ้ง " เราแล่นผ่านกลุ่มเรือเหล่านั้นมุ่งหน้าสู่เกาะพะเนียด กว่าจะมาถึงที่ไดน์หมึกก็ปาไปเกือบ 2 ทุ่ม "เอ้า ทิ้ง" เสียงไต๋วุฒิ ร้องสั่งให้ลูกเรือนามว่า เวิน จัดการทิ้งสมอทันทีที่มาถึงตำแหน่งจุดที่จะไดน์หมึก เสียงสมอเรือที่หนักถึง 100 กิโลกรัม หล่นกระทบผิวน้ำดัง ตูมมมม! สายสมอโรยตัวดึงรั้งเรือให้หยุดอยู่กับที่ แล้วแผนการตกปลาในวันรุ่งขึ้นถูกกำหนด ขึ้นมาอย่าง คร่าวๆ ในเวลาต่อมา "เออ วุฒิ ถ้าเราได้เหยื่อหมึกขนาดไม่โตมาก เราจะไปตกไอ้เปียที่หัวเกาะหวายกันตอนเช้ามืด พอช่วง สายหน่อย กินข้าวกินปลาเสร็จก็ค่อยไปงัดไอ้เก๋า ตกลงตามนี้แล้วกันนะ" ทุกอย่างจะลงตัวตามแผน ถ้าเราได้เหยื่อ ตามที่คาดหวัง

ดวงจันทร์ครึ่งดวงเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ จากกลางกะบาลผ่านไปทางทิศตะวันตก จนหายลับไป กับความมืด มองดูนาฬิกาจากข้อมือคนอื่น มันแสดงเวลาบอกว่าตอนนี้มัน 4 ทุ่มแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไป ดึกเท่าไร กระแสลมก็ยิ่งทวีความรุนแรง พร้อมนำความหนาวเย็นมาก่อกวน ร่างกายจนหนาวสั่นสะท้าน ไปถึงขั้วหัวใจ เฮียเล็ก บางชัน ทนอากาศที่หนาวเย็นไม่ไหว ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นก่อนจะร้องครางฟังพอได้ศัพท์ว่า "อู้ยยยยย ทำไมมันถึงหนาวยังงี้ " สมาชิกทางหัวเรือยังคงช่วยกันตกหมึกต่อสู้กับอากาศที่หนาวเย็นส่วนสมาชิก "กลุ่มปลาแมน" ทางท้ายเรือ ดูจะไม่สะทกสะท้านกับลมหนาวที่พัดกระหน่ำแต่อย่างใด คงเพราะแอลกอฮอล์ 45 ดีกรี เป็นตัวช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เสียงคลื่นซัดสาดกระทบเรือเริ่มแรงขึ้นตามกระแสลม น้ำทะเลเริ่มขุ่นจนสีเหมือนดินโคลน ปลาหมึกเริ่มไม่ค่อยจะจับโยทะกา นานๆ ก็จะมีหมึกหน้ามืดหลงกลมาเกาะโยทะกา สักตัว จนเวลาผ่านเลยไปเข้าสู่วันใหม่ ไต๋วุฒิ และลูกเรือก็ตื่นขึ้นมาหรี่ไฟ เฉอวน เราได้หมึก ประมาณ 150 ตัว ถือว่าโชคยังเข้าข้างเราอยู่บ้าง จำนวนหมึกเพียงเท่านี้ คงพอสำหรับการใช้ตกปลาในวันรุ่งขึ้น แต่มัน คงไม่พอที่จะพาพวกเราออกไปไกลกว่า เกาะกูด เป็นแน่ คืนพรุ่งนี้เราคงต้องกลับเข้ามาไดน์หมึกที่นี่กันอีกครั้ง แผนการ ที่วางไว้ ว่าจะไปตกไอ้เปีย กันตอนเช้าเป็นอันต้องล่มสลายไปเพราะเหยื่อมันใหญ่โตตัวยาวกว่าคืบ ต่อให้ไอ้เปียที่หิวโซ ขนาดไหน คงไม่หน้ามืดกล้ามาหม่ำหมึกตัวขนาดนี้แน่ๆ "ตูนึกแล้ว เชียว ไหนฟ่ะ เจ้าวุฒิ หมึกกะตอยที่ว่า มีเพียบ เป็นพันๆ ตัว" ผมแซวเจ้าวุฒิ เมื่อตื่นขึ้นมาดูหมึกในห้องขังเหยื่อมีแต่หมึกกล้วยตัวยาวเป็นคืบทั้งนั้น "แฮ่ะ แฮะ พี่โย หมึกมันโตเร็วอ่ะ สงสัยมัน กินนมกันเยอะ เผลอแป๊บเดียว มันตัวโตยาวเป็นคืบอย่างที่เห็นนี่แหละ" เจ้าวุฒิพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะขับเรือมุ่งสู่หมายกอง หินท้าย เกาะรัง เพื่อที่จะพาพวกเราไปตกปลาเก๋าที่หลบซ้อนตัวอยู่ตามรู ของกองหิน

แต่แล้วจู่ๆ เจ้าวุฒิก็ร้องออกมาเสียจนเสียงดัง ว่า "ฉิบหาย แล้วพี่โย" เล่นเอาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังนั่งลุ้นมองดูจอ Sounder ตกกะใจ ไปตามๆกัน "อ้าว เฮ้ย เป็นอะไรอีกวะ เมนน์เอ็งมารึไง ร้องเสียจนตกใจหมด " "ป่าว วู้ พี่ก้อ ผมหมายถึงวันนี้มันซวยอีกแล้วนะซิ น้ำกับลมมันสวนทาง กันอีกแล้ว" วุฒิอธิบายด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล ผมเข้าใจสถานการณ์ และความรู้สึกของไต๋เรือคนนี้ดี เมื่อมาเจอกับสภาพอากาศเช่นนี้ การจอดเรือให้ตรงหมายปลา คงทำได้อย่างยากลำบาก ไต๋วุฒิวนเรือ เช็คดูเชื้อปลา แต่ก็ไม่มีเชื้อปลาปรากฏขึ้นบนจอ Sounder แม้แต่น้อย จนต้องย้ายเรือมุ่งไปยังหมายอื่น ผ่านไป 4 หมายก็ยังคงเหมือนเดิม "เอ๋ วุฒิ รึว่าปลามันพากันอพยพละทิ้งถิ่นฐาน เข้ามากรุงเทพกันหมดแล้ว วะ" "น้านนะซิพี่ ผมก็ไม่รู้ว่าปลามันพากันหายหัวไปไหนกันหมดสงสัยมันคงพากันไปเที่ยว กรุงเทพกันหมดละม้าง " ไต๋วุฒิ ก็พลอยเห็นพร่อง ไปกับผมด้วย ความพยายามของไต๋วุฒิ ที่แล่นเรือตระเวนตามหาปลา ตั้งแต่ท้ายเกาะรัง จนมาถึงท้ายเกาะกูด ก็บรรลุผล เมื่อมาพบกองเชื้อปลาขนาดมหึมา สมดังตั้งใจ แต่ถึงเราจะวิ่งเรือมาไกล หลายชั่วโมง เราก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงอุปสรรค ที่ใหญ่หลวงไปได้ "น้ำกับลมยังสวนทางกันเหมือนเดิมเลยพี่โย เดี๋ยวลองหย่อนสายดูสักหนึ่งสายก่อนนะครับ " ผมจัดการช้อนหมึกกล้วย ตัวยาวขนาดคืบ แล้วหย่อนลงน้ำ เพื่อทดสอบหา ทิศทางการไหลของน้ำ มันเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่เราจะนำมาคาดคะเน หาตำแหน่งการจอดเรืออีกวิธีหนึ่ง "วุฒิ น้ำ 2 กระดองวะ ตะกั่วไหลไปทางหัวเรือ" ผมบอกเจ้าวุฒิถึงทิศทางของกระแสน้ำไหลด้านล่างมันไหลไปทิศทางไหน เพื่อที่จะให้เจ้าวุฒินำไปคาดคะเน หาจุดทิ้งสมอเรือ ไต๋วุฒิถึงกับเซ็งหนักขึ้นกว่าเดิมอีก

"เรามาเจออุปสรรคที่ใหญ่หลวงเกินกว่าที่เราคิดไว้เสียแล้ว" วุฒิเอ่ยขึ้นมาเบาๆ สีหน้าแสดงถึงความ วิตกกังวล จนผมนึกเห็นใจในโชคชะตา ก็ได้แต่ปลอบใจว่า "วุฒิลองเอาสมอมาผูกกลางลำเรือดูดิ เผื่อมันพอจะช่วยแก้ไขได้บาง" ทางเดียวที่เราพอจะแก้ไขสถานการณ์ ที่น้ำกับลมสวนทางกัน แถมน้ำล่างยังไหลไปคนละทิศทางกับน้ำบนอย่างเช่นวันนี้ด้วยแล้ว การผูกสายสมอเรือไว้กลางลำ ดูจะเป็นการแก้ไขสถานการณ์ทีดีที่สุด เพราะเรือมันจะเคลื่อนเป็นครึ่งวงกลม ตามทิศทางของ กระน้ำและลม พอลมเบา น้ำก็จะพัดเรือเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เราก็ติดเครื่องเรือให้ถอยหลัง กลับมายังตำแหน่งเดิมได้ ในขณะเดียวกัน ที่ลมเกิดพัดแรงกว่ากระแสน้ำ เรือก็จะถอยหลังเรา ก็ติดเครื่อง เรือเดินไปข้างหน้า พยายามให้เรือจี้จุดหมายไว้ตลอด และวุฒิก็สามารถบังคับเรือ ให้เข้าหมายได้ดี สมกับเป็นไต๋มืออาชีพ เพียงไม่นานพี่คิม ก็งัดปลาเก๋าระดับเกิน 6 กิโล ขึ้นมาเป็นตัวสร้างแรงจูงใจ และเรียกเสียงเฮ ให้กับเพื่อนสมาชิกที่ร่วมชะตากรรมลงเรือมาด้วยกัน ในขณะที่เรากำลังแสดงยินดีกับปลาตัวแรกจากฝีมือพี่คิม กันอยู่นั้น คันเบ็ดในมือเจ้าตี๋ ที่นั่งตกปลาอยู่ทางหัวเรือ ก็ถูกกระชากอย่างแรงจนคันเบ็ดที่กำอยู่แทบจะหลุดออกจากมือ เจ้าตี๋ คงจะตกใจกับแรงกระชากที่รุนแรง จึงพยายามจะวัดคัน แต่ก็ทำได้ดีดีแค่เพียงยกคันขึ้นเท่านั้น ตี๋ไม่มีจังหวะที่จะวัดคันสวนได้แม้แต่น้อย คันเบ็ดถูกดึงจนงองุ้มจรดพื้นน้ำ มันเป็นภาพเหตุการณ์ที่เราเคยเห็นกันเป็นประจำที่ออกมาตกปลากับไต๋วุฒิ ก็ได้ปรากฏต่อสายตาพวกเราอีกครั้ง ภาพของคนที่รั้งคันเบ็ดต่อสู้กับปลาเก๋าลูกหมู จนคันเบ็ดโค้งงอเป็นรูปเคียว อย่างที่เจ้าตี๋กำลังเจออยู่ตอนนี้ "ตี๋วัดคันย้ำอีกที ตี๋ ยังไม่ได้วัดเบ็ดเลยนะ" ผมทำหน้าที่คอยเป็นเทรนเนอร์ ให้ตี๋ เมื่อเห็นว่าเจ้าตี๋ยังไม่ได้วัดคัน เพื่อย้ำคมเบ็ดให้ทะลุเจาะปาก ปลาแต่อย่างใด "ง่า..... มันวัดไม่ได้ ครับพี่ ปลายคันแทบจะจุ่มน้ำอย่างนี้ มันจะวัดคันยังไงละพี่" เจ้าตี๋ พยายามที่จะงัดคันเบ็ด แต่ก็ทำไม่ได้ คงทำได้แค่รั้งคันและออกแรงเท่าที่มีอยู่งัดคันจนคันโค้งง้อเสียวจะหักเสียให้ได้ ในที่สุดสายเอ็นขนาด 40 ปอนด์ก็ขาดกระจุย ชัยชนะเป็นของปลาเก๋าลูกหมู ตี๋ได้ฝากเขี้ยวสแตนเลสขนาด 6 โอไว้ให้มันดูต่างหน้าอีก 2 เขี้ยว พร้อมสายเอ็น 80 ปอนด์ ยาวร่วม 2 เมตรแถมให้อีก 1 เส้น มองดูหมึกในห้องขังเหยื่อ ก็ ลดน้อยลงไปทุกที คืนนี้เราต้องวิ่งเรือเข้ามาไดน์หมึกที่ บางเบ้า กันอีกครั้ง

ดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า ขณะที่เราวิ่งเรือย้อนกลับเข้ามาไดน์หมึก ที่หน้าบางเบ้า ก็เป็นเวลามืดค่ำพอดี รู้สึกว่า สภาพอากาศคืนนี้ มันหนักหนาสาหัสกว่าเมื่อคืนเสียอีก สายน้ำที่ขุ่นขลัก บวกกับสายลมที่หนาวเย็น ทำให้พวกเราหนาวสั่นสะท้าน ไปทั้งตัว "หนาว โว้ยยยย หนาว เต้ เอาเหล้ามากินแก้หนาวกันดีกว่า" เสียงนายเต่า หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม ปลาแมน ตะโกนเรียกให้นายเต้ เพื่อนรัก ตั้งวงสุรา ทั้งนายเต่า ปลาแมน นายแจ็ค ปลาแมน นายรวย ปลาแมน และพี่ๆ ก็มานั่งล้อมวง ดื่มเหล้า ได้แอลกอฮอล์ มาช่วยคลายความหนาวเย็น ลงได้บ้าง "ตูจะบ้าตาย กลางวันก็ร้อนฉิบโผ่ง พอกลางคืนก็หนาวบรรลัยทรวง" เสียงคนใกล้จะบ้า คนหนึ่งบ่นพึมพำ ไม่ต้องเอยนามก็คงจะรู้ว่าเขาคนนั้นคือใคร ไต๋วุฒิ คนเก่ง ของเรานั้นเอง คืนนั้นเราตกหมึกได้ไม่กี่ตัว รวมกับการเฉอวนแล้วเรามีเหยื่อไม่ถึง 50 ตัว "วุฒิไปเฝ้าไอ้สากข้างเกาะรัง กันดีกว่า เผื่อจะมีตัวให้เล่นพอให้หายอยากได้" ผมบอกเจ้าวุฒิหลังจากเก็บอวนกันเสร็จแล้ว วุฒิพยักหน้ารับคำก่อน จะเบนหัวเรือ แหวกพื้นน้ำมุ่งสู่ เกาะรัง เพื่อตกปลาสากกันตอนหัวรุ่ง จนกระทั้งแสงตะวันจับขอบฟ้า มันเป็นสัญญาณ บอกให ้หมู่มวลสรรพสัตว์ และมนุษย์ ได้รู้ว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมตื่นขึ้นมาก็พบกับภาพปลาสากถูกฆาตกรรม โดนตีหัวแบะ นอนตายกัน เกลื่อนพื้นเรือ ส่วนฆาตกร คงหลบหนีไปนอนกันหมดแล้ว ไต๋วุฒิ ตื่นขึ้นสตาร์ทเครื่องเรือ ก่อนจะบังคับเรือแล่น เข้าสู่หมาย ปลาเก๋า หลังเกาะรังอีกครั้ง สภาพน้ำกับลมยังคงไหลสวนทางกัน เฉกเช่นเดียวกับเมื่อวาน สถานการณ์แบบนี้ ถ้าขืนรออยู่ อย่างนี้ต่อไป ก็คงไม่ต่างจากเมื่อวานเป็นแน่ กลยุทธ์และแนวทางจึงถูกเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ "วุฒิ ย้าย ไปหาตกปลาจัมโบ้ ข้างเกาะกันดีกว่า" วุฒิพยักหน้ารับก่อนจะพูดออกมาว่า "เดี๋ยวผมพาไปตก โคตรยายโฉมข้างเกาะหยวก ดีกว่าพี่โย" พอได้ยินคำว่าโคตรโฉมงามผมก็หูผึ่งขึ้นมาทันที "อารายนะอย่ามาหลอกกันให้ดีใจเล่นนะเฟ้ย ถ้าไม่ได้ตัวตามที่คุยละก็ โดนถีบตกน้ำแน่ๆ ตูไม่ปล่อยให้ไต๋แห้วลอยนวลอีกต่อไปแล้ว ฮ่า! " วุฒิได้แต่ค้อนขวับๆ ก่อนจะขับเรือแล่นเข้าสู่เกาะหยวก ด้วยความหวังจะได้ยลโฉมปลาโฉมงามระดับจัมโบ้ สักตัว เราได้แต่หวังว่าทะเลคงไม่ใจร้ายกับพวกเราอีกหรอกนะ

สายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ใสแจ๋วขนาดมองเห็นพื้นดินด้างล่าง ไต๋วุฒิมาจอดเรือเกือบจะชิดข้างเกาะหยวก ห่างจากเกาะประมาณ 20 เมตร พอให้พ้นจากแนวหินปะการังที่อยู่รอบๆเกาะ มีเรือไดน์มาจอดหลบนอน ห่างจากท้ายเรือเราไปประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้ สายเบ็ดถูกหย่อนลงน้ำอีกครั้ง "เต้ สายชิ่งยาวเท่าไร ใช้ตะกั่วเม็ดขนาดไหน ครับ" ผมเดินตรวจเช็ค อุปกรณ์สายหน้าของนายเต้ เพื่อให้แน่ใจว่า ความหวังของเราจะต้องสำเร็จผล "ของผมสายหน้า 3 เมตร ใส่ตะกั่วเม็ดเท่านิ้วกอยครับป๋ม" เสียงนายเต้ ตอบเสียงดัง ฟังชัดผมจึงคว้าคันเบ็ดของนายเต้ออกมาจากกระบอกปักคัน ก่อนที่จะกดปุ่มฟรีสปูล ปล่อยสายเอ็นให้ไหลห่างจากท้ายเรือออกไปอีกประมาณ 50 เมตร โดยไม่ลืมที่จะตั้งระดับเบรค ให้พอเหมาะ ก่อนจะนำไปเสียบไว้ในกระบอกดังเดิม จังหวะนั้นเอง สายตาก็เหลือบ ไปเห็นปลาสละ ตัวน้อยกระโดด โด้งเด๋ง สะบัดหัวอยู่ข้างกาบเรือ "เฮ้ยยยย ปลาติดเบ็ดใครเข้าให้แล้ว ดูเด่ะ มันกระโดดใหญ่เลย" "นู้นคันกลางเรือของใครกันอ่ะครับ สั่นโหงกเหงก เป็นเจ้าเข้าอยู่นั้น" เสียงเอ่ะ อะ มะเทิ้ง ดังระงมแทรกซ้อนกันขึ้นจนสับสนไปหมด พี่เหนี่ยวที่นั่งเฝ้าอยู่ใกล้คันมากที่สุด ต้องรีบผวากางแขนป้อง กันพวกหัวขโมย จะมาคว้าคันไปอัดแบบต่อหน้าต่อตา "อุ่ย ของผมเองครับของผ๋ม" เสียงพี่เหนี่ยวรีบขานรับว่าเป็นเจ้าของคัน เพราะถ้าขืนช้ากว่านี้ สงสัยจะโดนปล้นไปต่อหน้าต่อตา เป็นแน่ ฮ่า รอยยิ้มแห่งความดีใจปรากฏบนใบหน้าพี่เหนี่ยว "ป๋าโยรู้ม่ะ ปลาสละนี่ผมละ ชอบอัดมากเลย มันเร้าใจดี " พี่เหนี่ยวพูดพลางอัดปลาไปพลาง ปลาสละตัวกำลังดี ถูกนำมาทำปลาเค็ม หลังจากโดนสวิง ช้อนขึ้นเรือมาได้ไม่นาน เจ้าวุฒิ แสดงฝีมือโชว์กรรมวิธี การทำสละปลาเค็ม ให้พวกเราได้ดูเป็นขวัญตากันสดๆ ทันใดนั้นเอง คันเบ็ดของนายเต้ ที่ปล่อยสาย ไว้ท้ายเรือ ก็ออกอาการ สั่นเหมือนถูกเจ้าเข้า "เต้ ไอ้เต้ โว้ย เจ้าลงคันเบ็ดเอ็งแล้ว ดู ดิ สั่นใหญ่เลย " ผมที่ยื่นอยู่ข้างๆ นายเต้ ร้องบอกให้นายเต้ ที่กำลังใช้เบ็ดซาบิกิ โสกปลาอยู่ ให้รู้ตัว "พลั๊ก โครมมมมม!" นายเต้ดีใจ จนลืมตัวเหวี่ยงคันเบ็ดที่ถืออยู่ในมือลงพื้นดังโครม ก่อนจะวิ่งพรวดพราดไปดึงคันของตัวเองออกมาจากกระบอกปักคัน แล้วออกแรงวัดอย่างแรง

"ตาย เมิงตายยยยย แน่" เสียงนายเต้สบถ ดังออกมาจากปาก ที่ยิ้มแหย แหย ผมจึงพูดสวนออกไปว่า "ปลามันไม่ตายหรอกอ้ายเต้ เมิงนั้นแหละจะตาย ดูหน้าเจ้าแก๊ส สะก่อน มันยืนแยกเขี้ยว ทำตาเหลือก โชว์ตาขาว อยู่ข้างคัน ที่เอ็งพึ่งจะโยนทิ้งพื้นไปเมื่อกี้นี้ไง " เจ้าเต้ถึงกับยิ้มไม่ออกมองหน้าเจ้าแก๊ส ลูกชายคนโตของไต๋วุฒิ ก่อนจะกล่าวคำขอโทษ ขอโพยกันยกใหญ่ "ขอโทษทีนะหนู พี่มันดีใจ จนลืมตัวไปหน่อย เดี๋ยวให้น้าโย ซื้อคันใหม่ให้ชุดหนึ่งนะ" อ้าวแล้วมั๊ยละ เจ้าเต้ มาลงที่ผมอีกจนได้ ผมต้องเสียคันกับรอก 1 ชุด ที่พึ่งจะซื้อมาใหม่ๆ ให้กับเจ้าแก๊สไปตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา "อย่างนี้มัน ต้องแช่งให้โดนปลาอัดเสียให้เข็ด" พูดยังไม่ทันจบ ปลาที่เจ้าเต้กำลังอัดอยู่ทีแรกก็คิดว่ามันคงจะตัวเล็ก เพราะดึงคันแค่คันสั่น ไม่โค้งงอ แต่ที่ไหนได้ พอมันตั้งลำได้มันโกยแนบ แบบไม่ให้เจ้าเต้ได้มีโอกาส ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย "เฮ้ยยยยย อย่าดึง อย่าดึงอย่างนั้น ตูเสียว" เสียงนายเต้ เปล่งออกมา เมื่อเห็นว่าปลามันใส่เกียร์หมา ออกแรงวิ่ง จนสายเอ็นวิ่งไหลออกจากสปูล อย่างเร็วจี๋ จนเสียวว่าปลามันจะพาสายไปพันกับสายสมอเรือไดน์ที่จอดอยู่ทางท้ายเรือ "เต้ อัดเบรคเข้าไปอีกหน่อย ปั๊มคันด้วยปั๊มเลย " ผมจัดการปรับเบรคให้แน่นขึ้นอีกนิด นายเต้เริ่มปั๊มคันเก็บสายเอ็นเข้ามาได้บ้างเสียงเพื่อนๆ ที่บัดนี้แปลสภาพ มาเป็นไทยมุ่ง มายื่นออ กันอยู่ท้ายเรือ คอยส่งเสียงเชียรเจ้าเต้อัดปลา ความเสี่ยวเริ่มมาเยือนเจ้าเต้อีกครั้ง เมื่อปลามันเบี่ยงหัววิ่ง ออกไปทางเกาะหยวก ที่พื้นด้านล่างเป็นแนวปะการังเต็มพรืดไปหมด นายเต้ พยายามรั้งคันและ ชูคันงัดปลาให้สูงขึ้น จนปลามัน เริ่มเปลี่ยนทิศทางวิ่งไปทางหัวเรือ ดูถ้าปลาตัวนี้จะไม่ยอมให้นายเต้จับกุมได้ง่ายๆ เสียแล้ว "เต้ระวังมัน จะพาไปพัน สายสมอ นะ เต้ " ผมร้องเตือนนายเต้ เมื่อเห็นว่าทิศทางที่ปลากำลังวิ่งมุ่งหน้าไปนั้นเป็นทางเดียว กับสายสมอเรือของเรา "เดินตามไปอัดที่ หัวเรือเลยเร็วอย่าช้า"

นายเต้เดินมาอัดกับมันที่หัวเรือ คราวนี้ปลามันมุดหัวรอดใต้ท้องเรือ ไปยังอีกฝากหนึ่ง นายเต้พยายาม จุ่มคันกดลงน้ำเพื่อจะให้สายเอ็นไม่ขูดกับท้องเรือ "เฮ้ย ซวยแล้ว สายติดท้องเรือพี่" นายเต้บอก เพราะ รู้สึกสายเอ็นจะไปขูดกับท้องเรือ "วุฒิ คราวนี้ถึงตาเอ็งแล้ว โดดลงน้ำไปปลดสายเอ็นเลยป่ะ " ผมหันมา บอกเจ้าวุฒิให้รีบลงน้ำไปปลดสายเอ็นที่ติดใต้ท้องเรือ แต่เจ้าวุฒิดันอิดออด คว้าคัน มาถือก่อน จะก้มตัวจุ่มคันลงไปทั้งตัว โดยมีผมคอยจับตัวมันไว้ ไม่ให้ตกน้ำ สักครู่เดียว เจ้าวุฒิก็ดิ้นกระเด่ว กระเด่ว ตะโกนออกมาว่า "โอ้ย สายสมอหนีบคอ ผม" ผมหันไปเห็นเจ้าวุฒิ บัดนี้กำลังถูกสายสมอเรือ หนีบเข้าที่คอเหมือนหนูติดกับ ผมใช้มือซ้ายคว้าสายสมอ แล้วออกแรงผลักสายสมอให้ห่างออก ส่วนมือขวาจิกลงที่กระบาลเจ้าวุฒิ แล้วกระชากให้หลุดออกมาจากสายสมอเรือที่รัดคอมันอยู่ "ตูบอกแล้วให้โดดลงไป เอ็งก็มัวแต่เล่นตัว เกือบถูกหนีบตายแล้วมั๊ยละเจ้าวุฒิ " คราวนี้เจ้าวุฒิ ไม่รอช้ากระโดดลงน้ำดำลงไปปลดสายเอ็นที่ติดคาร่องเสี้ยนไม้ของเรือออก เมื่อสายเอ็นเป็นอิสระ นายเต้ก็สามารถอัดมันขึ้นมาได้ แต่กว่าจะนำตัวมันขึ้นมาบนเรือได้สำเร็จ ก็เล่นเอาล่อเอาเถิดเย่อกับมันนานเกือบ ครึ่งชั่วโมง ก่อนที่เกมส์จะไปปิดลงที่ท้ายเรือ เมื่อไต๋วุฒิ ใช้ตะขอเกี่ยวตัวมันขึ้นมาบนเรือได้สำเร็จ มันเป็นปลาโฉมงามตาพอง ที่มีน้ำหนังถึง 22 ปอนด์ ปลาโฉมงามขนาดจัมโบ้ อย่างตัวที่เราได้มา นับวันจะหาตัวได้ยากมากในยุคนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโฉมหน้ามอม เสียมากกว่า ชัยชนะของนายเต้ และเพื่อนๆ ทุกคน โดยเฉพาะเจ้าวุฒิ ถึงกับยิ้มแป้น เกือบต้องสังเวยชีวิต เราสมหวังกับการ "ตามล่าปลาจัมโบ้" ตามที่ไต๋วุฒิให้คำมั่นไว้ บอกได้คำเดียวว่านายยังเยี่ยม สมกับเป็นไต๋เรือฝีมือดีของทะเลจริงๆ

ระหว่างนั้นมีเรือยอช์ท ราครแพง ขับมาวนรอบเรือเรา ขณะที่เรากำลัง เกี่ยวปลาโฉมงามจัมโบ้ ขึ้นเรือพอดี ก่อนที่เรือลำนั้นจะขับวนมาด้านซ้ายชิดฝั่งเกาะ เยื้องๆ ท้ายเรือเราห่างจากเรือเราไม่ถึง 20 เมตรแล้วก็หย่อนสายกันคึกโครม "เฮ้ย จอดเรืออย่างนี้แล้ว เราจะลงสายกันอย่างไรละเนี่ย สายเอ็นเราก็ไปพันสายสมอมันหมดดิ" เสียงบ่น ของเพื่อนเราบ้างคนที่แปลกใจในพฤติกรรม ของมนุษย์ บนเรือลำนั้น ที่หาความเกรงใจผู้อื่นไม่มี แสงยานุภาพบนเรือลำนั้น ทำให้คนที่ได้เห็นแสบตา เวลามองไปสะท้อนกับ แสงสีทองของรอกราคาแพง พวกเราเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า "ทำไม คนรวยล้นฟ้าถึงไม่เกรงใจคนเดินดินอย่างพวกตูบางฟ่ะ" "วุฒิ ย้ายหมาย ไปหมายอื่นดีกว่า ปล่อยให้พวกเขาไปเฮอะ" ผมบอกให้วุฒิ ถอนสมอแล้วย้ายหมายไปยังที่อื่น พอเราย้ายเรือมาได้ไม่นาน เรือลำนั้นก็ขับตามเรามาอีก "เวงกำ ....!!!!" ผมได้แต่นึกปลง และตัดสินใจ ให้วุฒิ เข้าฝั่ง ทันที....... " "นายเจ๋ง จริงๆ เจ้าเรือยอชท์ ไม่รู้จักนายเกรงกับนางใจ เลยนะ"




[หน้าต่อไป] [กลับสู่เมนู]


Home | Bicycle | Offroad | Fishing | Radio Control | GPS Corner | Second hand | Member area
Copyright © 2000, www.WeekendHobby.com, All right reserved.

Contact Webmaster