|
ทริพตราด
เมื่อวันที่ 3-4-5 กุมภาพันธ์
2544
ตอน
" เมียตายไม่เสียดายเท่าเหล้าตก...น้ำ
"
โดย...เสือปลาขี้เมา
ไต๋วุฒิสั่งย้ายหมายอีกครั้ง
หมายนี้เกิดเหตุเซ็งสำหรับผมและหมูขึ้นมาทันที
เพราะว่านายแก้วดันทะลึ่งทำเหล้าตกทะเล
ไปทั้งขวด
พึ่งเปิดใหม่แท้ๆ กินไปได้คนละแก้วเอง
ทำตกน้ำไม่ว่าเสือกทะลึ่ง
ครางเพลง "
เมียตายไม่เสียดายเท่าเหล้าหก"
ออกมาอีก
มันน่าตื๊บ ให้ตกน้ำ
เสียจริงๆ
ฉุนครับฉุน ใครๆก็รู้
เสือปลาอย่างผม
ขาดเหล้าได้ไง ..เฮอะ ..เท่ากับว่าเราเหลือเหล้าอีกขวดเดียวเท่านั้น
แล้ววันพรุ่งนตูจะเอาเหล้าที่ไหนมากินี้ตอนเรือวิ่งกลับเข้าฝั่งละวะ
ไอ้แก้ว.....คงไม่เหลือให้กินแน่ๆ
พวกเราย้ายหมายออกจากที่นี่
ตอนเที่ยงคืนเศษๆ หมายที่3
ความมันส์เริ่มมาเยือนเมื่อเหยื่อเป็นเกือบหมด
ไต๋วุฒิพาพวกเรามาถึงหมายที่3
ประมาณตี 2
พวกเราก็ลุกขึ้นมาตกปลาต่อ
ตามหน้าที่แต่
จะมีเพียงลุงส.กับเอ ทาโร
เท่านั้นที่หลับต่อปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น
ผมมองดูเหยื่อแล้วตะโกนบอกให้เด็กเรือเอาหมึกตายที่แช่ไว้
้อกมาเสริมเนื่องจากเหยื่อหมึกเป็นเหลือไม่เกิน
50 ตัว
ไต๋วุฒิเห็นเหยื่อแล้วก็ไม่ลงสาย
บอกว่าเก็บให้พวกเราลงสาย
และบอกให้พวกเราประหยัดเหยื่อหน่อยปลาจะกินดีช่วงต
ี4 ผมได้
เปลี่ยนคันกับรอกใหม่โดยใช้คันคอลสตาร
์20-40 กับรอกชิมาโน่ TFS200
ใส่สาย 25 ปอนด์เพราะว่า ชุด
Penn Inter.20 ที่ใช้อยู่มันมีน้ำหนักมาก
(
เพราะว่าวันนี้ไม่ค่อยหมานมากกว่า
อิอิอิ ) ผมกับตั้ม
นั่งตกกลางเรือแต่คนละฝั่ง
ส่วนพี่หมู,บูรณ์และแก้วปักหลักอยู่ท้ายเรือ
หมายนี้เมื่อมาถึงน้ำไหลค่อนข้างแรง
ทุกคนต้องเพิ่มตะกั่วอีก 1
ลูก
เพื่อให้เหยื่อลงถึงหน้าดิน
พอเหยื่อลงถึงหน้าดินปลาก็
ตอดเหยื่อทันทีเลย
แต่ผมวัดไม่ทันมัน
ตั้มที่นั่งตกใกล้ๆ
กันเห็นสายชิ่งของผมซึ่งยาวเกือบ
4 เมตร
จึงแนะนำให้ผมให้ลดความยาวของสายชิ่งลง
โดยให้เหตุผมว่าถ้าน้ำไหลแรงมากและปลากินเหยื่อ
เบาใช้สายชิ่งสั้นจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า
ผมได้ลองทำตามคำแนะนำปรากฏว่ามัน
work ผมรับ
ความรู้สึกได้ดีขึ้นและก็วัดคันเบ็ดได้ทัน
ผมได้ข้างปานขนาดโล.
กว่าขึ้นมาเป็นตัวที่3 และตั้มที่ตก
อยู่กราบเรืออีกข้างหนึ่ง
ก็อัดข้างปานขนาดเท่าที่ผมอัดขึ้นมาหลายตัว
อัดไปก็บ่นไป
ว่าทำไมอั่งเกยไม่ยอม
มากินซักที
เสียงเฮฮาจากท้ายเรือดังอยู่ตลอดเวลาเด็กเรือชื่อนายยอดหิ้วปลามาโยนใส่ตระกร้า
เป็นระยะๆ
ส่วนใหญ่จะเป็นปลาอั่งเกยขนาด
2-3 กก.
ทำให้ผมกับตั้มมองด้วยความอิจฉาผมได้อัดปลาอีก
3-4 ครั้งแต่หลุด
หมดขณะปลาอยู่กลางน้ำคิดว่าเป็นปลาอั่งเกยเพราะว่าน้ำหนักมากกว่าข้างปานที่ตกได้เยอะ
เลยดูที่ตัวเบ็ดพบว่าปลายหักเลยเปลี่ยนเบ็ดตัวใหม่แทน
พอปล่อยเหยื่อเป็นตัวใหม่ลงถึงหน้าดิน
กลับเจอปลาที่กินคันของตั้มวิ่งมาพันกับสายของผม
เลยต้องปล่อยสายไปให้ตั้มเอาปลาขึ้นมาก่อนและแก้สายที่พันกัน
พอตั้มแก้สายเสร็จแล้ว
ปล่อยสายคืนผม
สายผมก็วิ่งจู๊ดไปทางท้ายเรือผมก็สงสัยว่าทำไมสายวิ่งทำมุมแปลกๆ
จึงวัด
สวนเลยปรากฏว่าปลากินเหยื่อและคิดว่าใหญ่ด้วยเพราะวัดแล้วรั้งไม่อยู่ประกอบด้วยสายที่
ปล่อยไปยาวมาก
ไอ้เจ้าตัวลึกลับตัวนี้จึงวิ่งเข้าทรากเรือจมไปเลยต้องใช้บริการจากเด็กเรือให้ช่วยดึงสายให้ขาด
ซึ่งกว่านายยอดเด็กเรือจะดึงขาดใช้เวลาตั้งนาน
(ความเหนียวของสายตรา
ระฆังสีดำขนาด 30 ปอนด์)
ผมคิดแล้วว่านั่งตกกลางเรือคงจะเจอแต่ข้างปานเป็นแน่
จึงย้าย
ไปกระแซะที่ท้ายเรือบ้างเผื่อจะได้ปลาใหญ่บ้าง
เมื่อผมย้ายไปตกที่ท้ายเรือ
(โดยที่เจ้าแก้วเก็บคันขึ้นไปนอนเพราะว่าอัดมาหลายตัวแล้วง่วง
ผมจึงเข้าไปเสียบแทนที่)
พอลงเหยื่อถึงพื้นก็ปักคันไว้แล้วก็หันมาชงเหล้า
พอชงเสร็จยังไม่ทันได้ดื่มเลย
คันคอลสตาร์ของผมก็โค้งวูบลง
พร้อมกับเสียงรอกชิมาโน่ก็ดังขึ้น
ผมก็เลยต้องวางแก้วเหล้าแล้วดึงคันขึ้นมาอัดปลา
ไอ้ตัวนี้สู้ใช้ได้เลยแรงดีกว่าข้างปานที่ได้มาก่อนหน้า
เมื่ออัด
ขึ้นมาถึงผิวน้ำเห็นประกายสีทองแว๊บขึ้นมา
จึงรู้ว่าเป็นเจ้าอั่งเกยที่ต้องการ
น้ำหนักประมาณ 3 กก. ไต๋วุฒิเดินมาบอกว่าเหยื่อหมึกเป็นเหลืออีกไม่เกิน
20
ตัวขอให้เราประหยัดหน่อยเผื่อไว้อัด
ปลาที่จะเข้าตอนตี 5
ดังนั้นทุกคนจึงใช้หมึกตายตกกันแต่ก็ยังมีปลากินตลอดเวลา
โดยไม่เกี่ยงว่า
เป็นหมึกตาย
เจ้าสำนักตั้ม
ก็ทนตกอยู่กลางเรือคนเดียวไม่ไหวจึงย้ายมาอยู่ท้ายเรือด้วยซึ่งปลาที่
ท้ายเรือก็ทักทายอย่างดีโดยส่งอั่งเกยมากินเหยื่อ
ช่วงเวลาประมาณตี 3 กว่าๆ
เป็นช่วงเวลาที่ปลา
เข้ามาถล่มเหยื่อ
พวกเราสี่คนช่วยกันอัดปลาอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะพี่หมูโดนถี่
ที่สุดเรียกว่า
หย่อนเหยื่อลงเป็นกินทุกไม้
แดงเขี้ยวขนาด 3-4โล.
กินคันพี่หมูติดกันถึง 5
ตัว ผมได้เรียกนายเอ
ออกมาอัดปลาแต่ไม่ยอมตื่น
ไต๋วุฒิบอกให้ลงหมึกเป็นบ้างเวลาปลากินห่างตัวซึ่งก็ได้ผลปลา
ก็ยังฉวยเหยื่อต่อไปอีก
ช่วงประมาณตี 4 เกือบตี 5
ปลาสากได้เข้ามากวนอีกสายของพวกเราโดนกัดขาดทุกคน
ซึ่งเมื่อเปลี่ยนสายลงไปอีกมันก็ยังตามราวีอีก
(เราใช้สายชิ่งเป็นสายเอ็นกัน)
ดังนั้น
จึงเปลี่ยนสายหน้าเป็นลวดลงไปบ้าง
มันกับไม่กินเบ็ดแต่หันมากัดตะกั่วแทน
ผมเจอแบบนี้เลยเก็บคันดีกว่า
(ประกอบว่าอัดปลาช่วงนั้นได้มา5-6ตัวแล้ว)
หมูกับบูรณ์ก็เจอแบบผมเลยเก็บคันขึ้น
เหลือตั้มคนเดียวที่ยังลงสายอยู่
ไต๋วุฒิจึงแก้สถานการณ์โดยการติดเตาถ่านเอาหมึกตายที่เหลือจากปลากินเอามาย่าง
( อิอิอิ..เกี่ยวกันไหมละนี่?)
ผมกับหมูและบูรณ์เลยหันมาก๊งเหล้าแกล้มหมึกย่างแทน
การตกปลาซึ่งเจ้าสำนักตั้มที่ไม่กินเหล้าแต่หยิบหมึกย่างแกล้มน้ำเปล่า
ช่วงตี5 นายเอตื่น
ขึ้นมาแล้วโวยพวกเราหาว่าไม่ปลุก
ซึ่งพวกเราก็บอกว่าปลุกแล้วแต่ไม่ตื่นเอง
นายเอลงเหยื่อหมึก
เป็นซึ่งเหลือประมาณ 2-3
ตัวแล้วก็ประสบความสำเร็จตีไข่แตก
โดยได้ปลาสากขึ้นมา1ตัวแต่เอาตัวที่
2 ไม่ได้เนื่องจากหลุดหมด
พอเหล้าขวดสุดท้ายหมดหมูกับผมและบูรณ์ก็นอน
ปล่อยให้เจ้าสำนักตั้มกับเอทาโร่ตกกันต่อไป
เกมเบาๆ ข้างเกาะไม้ตั้ง
ผมตื่นขึ้นมาตอน 8โมงกว่าพบว่าเรือกำลังวิ่งกลับฝั่ง
พวกเราส่วนใหญ่ตื่นกันหมดแล้ว
นายเอกำลังทำปลาข้างปานตัวใหญ่บอกว่าจะทำปลานึ่งมะนาวให้กิน
พวกเราคุยกันแล้วลงความเห็นว่า
ควรจะตกปลาจานไปเป็นของฝากลูกน้อง
หมูจึงไปเจรจากับไต๋วุฒิให้หาที่จอดเรือให้ตกปลาเล็กซึ่งไต๋วุฒิรับปากว่าจะพาไปตกที่หมายข้างเกาะไม้ตั้ง
(ซึ่งเรือวิ่งผ่านพอดี)
พวกเราได้กินข้าวเช้า
คือข้าวต้มปลาสากที่เนื้อปลาหวานสดและปลาข้างปานนึ่งมะนาวที่แสนอร่อย
โดยฝีมือจากเอทาโร
่เรือวิ่งถึงหมายข้างเกาะไม้ตั้งเวลา
11 โมง
ไต๋วุฒิบอกให้เวลาเราตกประมาณ1ชม.
แล้วจะวิ่งกลับฝั่งผมได้เอาเหยื่อปลาเก๋ย
2
ถุงที่แช่เย็นไว้ออกมาพบว่ามันค่อนข้างที่จะเละ
ไม่น่าใช้ตกจึงเอาหมึกตายที่แช่เย็นไว
้สั่งให้เด็กเรือไปแล่เป็นชิ้นเล็กๆ
ไว้เกี่ยวเบ็ด
ผมได้โปรยปลาเก๋ยอ่อย
โดยบี้ด้วยมือแล้วโปรยลงน้ำเป็นระยะๆ
ตลอดเวลาช่วงแรกคนที่ลงเบ็ดบอกว่านอกจากไอ้ป๊อดมากินเหยื่อ
ยังไม่มีปลาอื่นมากินผมบอกให้ใจเย็นๆ
เดี๋ยวก็มีปลามากินเองหลังจากที่ผมโปรยปลาเก๋ยอ่อยเหยื่อไปไม่ถึง10นาท
ีก็เริ่มมีปลาเข้ามากินเหยื่อเป็นพวกปลากระพงโซ๊ะ
ผมอ่อยเหยื่อไปเรื่อยๆ
หวังว่าปลาเปี๊ยะน่าจะเข้า
(ได้ยินไต๋วุฒิบอกว่ามีตัว)
และแล้วหมูกับบูรณ์ก็วัดพร้อมกันคันเบ็ดโค้งลงอย่างสวยงาม
แสดงว่าไอ่ที่กินเหยื่อต้องมีขนาดไม่น้อยกว่าครึ่งโล.
แน่ๆ
ทั้งสองสู้ปลาได้พักเดียวสายก็ขาด
ไต๋วุฒิออกมาดูแล้วลงความเห็นว่าเป็นไอ้สาก
(อีกแล้ว)
ทุกคนที่ลงเหยื่อก็เจอกัดสายขาดกันหมดจะให้เปลี่ยนใส่ลวดไว้ปลายสายก็กลัวว่าปลาอื่นจะไม่กิน
ผมนึกขึ้นมาได้ว่าผมมีติดตัวเบ็ดแบบก้านยาวแบบพิเศษมาด้วย
(ปรกติเบ็ดชนิดนี้ผมเอาไว้ใช้ตกเต็กเล้ง)
เลยเอามาแจกให้คนอื่นใช้ตกแทนซึ่งก็ใช้งานได้ดีหมูกับบูรณ์
ก็อัดปลาสากทุ้ยตัวขนาดครึ่งโล
ถึง1โล.ขึ้นมาให้พวกเราดูหน้า
ส่วนเอกับตั้มและแก้วก็ใส่ลวดทำสายชิ่งเหมือนกัน
ก็ได้ปลาสากขึ้นมาหลายตัวเช่นกัน
แต่ส่วนใหญ่มักจะหลุดกลางน้ำไปหลายตัว
ผมยังอ่อยไปเรื่อยๆ
ทุกคนก็กำลังสนุกในการตกเจ้าสากน้อยฝูงนี้อยู่
ซึ่งผมก็นึกอยากจะมันส์บ้าง
จึงให้เด็กเรืออ่อยแทน
แล้วตัวผมก็เอาคันลงบ้าง
ซึ่งก็งัดขึ้นมาได้ 1ตัวแต่หลุดที่ข้างเรือและแล้วความขี้เกียจของเด็กเรือ
ก็ทำให้ฝูงปลาหนีไปหมด
คือแทนที่มันจะอ่อยแบบผม
คือโปรยทีละกำมือมันเล่นเททั้งถุงลงทะเลหมด
เหยื่ออ่อยทั้งถุง
มันก็ไหลตามน้ำไปหมด
ฝูงปลาสากก็เลยตามเหยื่อกองนั้นไปหมดแบบนี้
เลยเงียบไม่มีปลามากินเหยื่อพวกเราต่ออีกเลย
ดังนั้น ไต๋วุฒิเห็นปลาไม่กินเหยื่อแล้ว เลยสั่งถอนสมอกลับเข้าฝั่ง
เรามานับจำนวนปลาสากที่ได้ประมาณ 8
ตัวน่าจะได้มากกว่านั้นถ้ายังดึงฝูงมันให้อยู่ใต้เรือและถ้าไม่ขาดช่วง
เราน่าจะได้เกิน 20ตัว
เป็นอย่างต่ำ
เรือวิ่งใกล้จะถึงฝั่งแล้วจวนจะได้เวลา
อำลาท้องทะเลตราด
เราได้เอาปลาที่แช่เย็นไว้ขึ้นมานับจำนวนและถ่ายรูป
ก็พบว่าปลาที่ได้มาก็พอแบ่งกันแบบสบายๆ
น้ำหนักปลารวมน่าจะราวๆ
120-150 กก. โดยมีปลาเก๋าใหญ ่3
ตัว (16,12,12กก.) และปลาอื่นๆ
อีกมากมาย เรือพา
พวกเรามาถึงท่าเทียบเรือเวลาประมาณบ่าย
2 โมง
ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่า
ชำระคราบเหงื่อไคลที่เหนี่ยวเหนอะมาทั้งวัน
ส่วนผม,ตั้มและเอทาโร่ไปอาบน้ำที่บ้านไต๋วุฒิ
ปรากฏว่า
เรานั่งคุยกับดื่มเพลินไปหน่อย
อีกทั้งไต๋วุฒิที่แสนดี
ก็คอยหากับแกล้มเหล้ามาให้กินตลอดเวลา
กว่าจะกลับมากรุงเทพได้เหล้าก็หมดไป
1 ขวดกลม ก่อนร่ำรา
ไต๋หนุมแห่งท้องทะเลตราด
แล้วเราจะกลับมาใหม่
[BACK]
|